14. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “พระนามขององค์พระเยซูเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะยังทรงมีพระนามว่าพระเยซู”
เมื่อยึดตามพระวจนะเหล่านี้ในพระคัมภีร์ที่ว่า “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) และ “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” (ฮีบรู 13:8) โลกศาสนาจึงสรุปว่าพระนามขององค์พระเยซูเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ว่าพระองค์จะไม่ใช้พระนามอื่นใดเมื่อพระองค์ทรงกลับมา และใครก็ตามที่ใช้ชื่ออื่นย่อมไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา
ถ้อยคำจากพระคัมภีร์
“พระยาห์เวห์ … นี่เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ เป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์” (อพยพ 3:15)
“พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” (ฮีบรู 13:8)
“บรรดาประชาชาติจะเห็นความชอบธรรมของท่าน และพระราชาทั้งหลายเห็นศักดิ์ศรีของท่าน และเขาจะเรียกท่านด้วยชื่อใหม่ ซึ่งพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์จะประทาน” (อิสยาห์ 62:2)
“คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ ของเราด้วย” (วิวรณ์ 3:12)
“ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย เราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่แก่คนที่ชนะ และจะให้หินขาวแก่เขาด้วย และบนหินนั้นจะมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากผู้ที่ได้รับ” (วิวรณ์ 2:17)
“พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’” (วิวรณ์ 1:8)
“แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า ‘ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด’” (วิวรณ์ 19:6)
“และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ก็ทรุดตัวซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า และทูลว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และผู้ที่ทรงเคยเป็นอยู่ พวกข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และทรงเริ่มครอบครอง’” (วิวรณ์ 11:16-17)
“เขาร้องเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า และร้องเพลงของพระเมษโปดกว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ บรรดามรรคาของพระองค์ยุติธรรมและสัตย์จริง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีใครบ้างไม่เกรงกลัวพระองค์ และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์’” (วิวรณ์ 15:3-4)
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
บางคนพูดว่าพระนามของพระเจ้านั้นไม่เปลี่ยน ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมพระนามของพระยาห์เวห์จึงได้กลายเป็นพระเยซูเล่า? ได้มีการพยากรณ์ไว้ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา แล้วเหตุใดชายคนที่มาจึงชื่อพระเยซู? เหตุใดพระนามของพระเจ้าจึงเปลี่ยนพระราชกิจดังกล่าวไม่ได้ถูกดำเนินการนานมาแล้วหรอกหรือ? ขอพระเจ้าทรงโปรดไม่ปฏิบัติพระราชกิจซึ่งใหม่กว่าในวันนี้เลย? พระราชกิจแห่งวันวานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพระราชกิจของพระเยซูสามารถเกิดขึ้นตามหลังพระราชกิจของพระยาห์เวห์ได้ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจอื่นๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นต่อจากพระราชกิจของพระเยซูเชียวหรือ? หากพระนามของพระยาห์เวห์สามารถเปลี่ยนเป็นพระเยซู แล้วพระนามของพระเยซูจะไม่สามารถเปลี่ยนได้เช่นกันหรือ? ไม่มีอะไรในเรื่องนี้ที่แปลกประหลาดเลย เป็นเพียงแค่ว่าผู้คนนั้นด้อยปัญญาเกินไป พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระองค์จะเปลี่ยนไปเช่นใด และไม่คำนึงถึงว่าพระนามของพระองค์อาจเปลี่ยนไปเช่นใด พระอุปนิสัยและพระปรีชาญาณของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยน หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานได้ว่าพระเยซูเท่านั้น เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็ย่อมถูกจำกัดมากเกินไปแล้ว เจ้ากล้ายืนยันหรือไม่ว่า พระเยซูจะทรงเป็นพระนามของพระเจ้าตลอดกาล ว่าพระเจ้าจะทรงใช้พระนามของพระเยซูตลอดกาลและเสมอไป และว่านี่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง? เจ้ากล้ายืนยันด้วยความแน่ใจหรือไม่ว่า พระนามของพระเยซูนั่นเองที่ได้ทำการยุติยุคธรรมบัญญัติและจะทำการยุติยุคสุดท้ายเช่นกัน? ใครจะสามารถพูดได้ว่าพระคุณของพระเยซูสามารถนำพายุคนี้ไปสู่จุดจบได้?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?
แต่ละครั้งที่พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ย่อมเปลี่ยนพระนามของพระองค์ เพศสภาพของพระองค์ รูปลักษณ์ของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทำซ้ำพระราชกิจของพระองค์ พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า เมื่อพระองค์เสด็จมาก่อนหน้านี้ พระองค์มีพระนามว่าเยซู พระองค์จะยังคงสามารถใช้พระนามเยซูในยุคนี้ที่พระองค์เสด็จมาอีกครั้งได้อย่างไร? เมื่อพระองค์เสด็จมาก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงเป็นชาย พระองค์จะเป็นชายอีกครั้งในครานี้ได้หรือ? พระราชกิจของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมาในยุคพระคุณคือการถูกตอกตรึงกับกางเขน เมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง พระองค์จะยังคงไถ่มวลมนุษย์จากบาปอยู่อีกหรือ? พระองค์จะสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนอีกครั้งได้หรือ? นั่นจะมิใช่การทำซ้ำพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า? มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้ามิอาจทรงเปลี่ยนแปลงไปอีกได้ นั่นก็ถูกต้อง แต่นั่นหมายถึงพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปอีก การเปลี่ยนแปลงพระนามและพระราชกิจของพระองค์มิได้พิสูจน์ว่าแก่นแท้ของพระองค์ได้ปรับเปลี่ยนไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าย่อมจะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากเจ้ากล่าวว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการที่ยาวนานหกพันปีของพระองค์ได้หรือ? เจ้าเพียงรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า? หากพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถนำทางมวลมนุษย์มาตลอดทางจนถึงยุคปัจจุบันได้หรือ? หากพระเจ้ามิสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วไซร้ เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงพระราชกิจมาสองยุคแล้ว? พระราชกิจของพระองค์ไม่เคยหยุดเคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ได้รับการเปิดเผยแก่มนุษย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป และสิ่งที่ถูกเปิดเผยก็คือพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์ ในปฐมกาล พระอุปนิสัยของพระเจ้าถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์ พระองค์ไม่เคยเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์แก่มนุษย์อย่างชัดแจ้ง และจึงเป็นธรรมดาที่มนุษย์ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระองค์ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงใช้พระราชกิจของพระองค์มาเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์แก่มนุษย์ทีละน้อย แต่การทรงพระราชกิจในลักษณะนี้มิได้หมายความว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าจะเปลี่ยนไปทุกยุค ไม่ใช่ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพราะน้ำพระทัยของพระองค์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากแต่เป็นว่ายุคแห่งพระราชกิจของพระองค์แตกต่างกัน พระเจ้าจึงนำพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์ทั้งหมดมาเปิดเผยแก่มนุษย์ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้มนุษย์สามารถรู้จักพระองค์ แต่การนี้ก็มิใช่ข้อพิสูจน์ว่าเดิมทีพระเจ้าไม่ได้มีพระอุปนิสัยจำเพาะ หรือว่าพระอุปนิสัยของพระองค์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามยุคที่ผ่านไปแต่ประการใด—การเข้าใจเช่นนั้นย่อมผิดพลาด พระเจ้าเผยให้มนุษย์เห็นพระอุปนิสัยจำเพาะที่เป็นธรรมชาติของพระองค์—สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น—ตามยุคที่ผ่านไป พระราชกิจในยุคหนึ่งไม่สามารถแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้ และดังนั้นคำว่า “พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า” จึงอ้างอิงถึงพระราชกิจของพระองค์ และคำว่า “พระเจ้าย่อมไม่เปลี่ยนแปลง” ก็อ้างอิงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นโดยธรรมชาติ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่อาจแขวนพระราชกิจหกพันปีไว้กับจุดจุดหนึ่ง หรือล้อมกรอบเอาไว้ด้วยคำที่ตายแล้ว เช่นนั้นคือความโฉดเขลาของมนุษย์ พระเจ้ามิได้ทรงเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการ และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่ในยุคใดยุคหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นพระนามของพระเจ้าเสมอไปได้ พระเจ้าจึงสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์ภายใต้พระนามว่าเยซูด้วย นี่คือหมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าพระราชกิจของพระเจ้าก้าวไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ
พระเจ้าคือพระเจ้าเสมอ และพระองค์จะไม่มีวันกลายเป็นซาตาน ซาตานคือซาตานเสมอ และมันจะไม่มีวันกลายเป็นพระเจ้า พระปัญญาของพระเจ้า ความน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า ความชอบธรรมของพระเจ้า และพระบารมีของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชกิจของพระองค์นั้นย่อมเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพราะพระองค์ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า ในแต่ละยุค พระเจ้าใช้พระนามใหม่ ในแต่ละยุค พระองค์ทรงพระราชกิจใหม่ และในแต่ละยุค พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้สรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์มองเห็นน้ำพระทัยใหม่และพระอุปนิสัยใหม่ของพระองค์ หากในยุคใหม่ ผู้คนไม่สามารถมองเห็นการสำแดงพระอุปนิสัยใหม่ของพระเจ้า พวกเขาจะไม่ตอกตรึงพระองค์ไว้กับกางเขนตลอดไปหรอกหรือ? และโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่นิยามพระเจ้าเสียเองหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
ยุคพระคุณเริ่มต้นด้วยพระนามของพระเยซู เมื่อพระเยซูทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเริ่มเป็นพยานยืนยันให้แก่พระนามของพระเยซู และไม่มีการกล่าวถึงพระนามของพระยาห์เวห์อีกต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ดำเนินพระราชกิจใหม่นี้ภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นสำคัญแทน บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ก็เป็นคำพยานให้พระเยซูคริสต์ และงานที่พวกเขาทำก็เป็นไปเพื่อพระเยซูคริสต์เช่นกัน การสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมหมายความว่าพระราชกิจที่ดำเนินการภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นสำคัญได้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว นับแต่นี้ไป พระนามของพระเจ้าไม่ใช่พระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่พระองค์ทรงพระนามว่าเยซูแทน และจากจุดนี้ไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เริ่มต้นพระราชกิจภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นสำคัญ ดังนั้นผู้คนที่ยังคงกินและดื่มพระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่ในวันนี้ และยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ—เจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อยู่อย่างมืดบอดหรอกหรือ? เจ้ามิได้ติดอยู่ในอดีตหรอกหรือ? บัดนี้พวกเจ้ารู้ว่ายุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว เป็นไปได้หรือที่เมื่อพระเยซูเสด็จมาในวันนี้ พระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซู? พระยาห์เวห์ตรัสบอกประชากรแห่งอิสราเอลว่า พระเมสสิยาห์กำลังจะเสด็จมา แต่ทว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา พระองค์ก็มิได้ทรงพระนามว่าเมสสิยาห์ แต่เป็นเยซู พระเยซูตรัสว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง และว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ได้ทรงออกเดินทางแล้ว เหล่านี้คือพระวจนะของพระเยซู แต่เจ้าเห็นวิธีออกเดินทางของพระเยซูหรือ? พระเยซูประทับบนเมฆขาวจากไป แต่เป็นไปได้หรือที่พระองค์จะทรงเมฆขาวกลับมาในท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง? หากเป็นเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงพระนามว่าเยซูอยู่อีกหรอกหรือ? เมื่อพระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง ยุคย่อมจะเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นพระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซูอยู่ได้หรือ? หรือว่าพระเจ้าสามารถเป็นที่รู้จักได้ในพระนามของพระเยซูเท่านั้น? พระองค์มิอาจมีพระนามใหม่ในยุคใหม่หรอกหรือ? รูปลักษณ์ของบุคคลหนึ่งและชื่อเฉพาะชื่อหนึ่งสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์กระนั้นหรือ? ในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และมีพระนามใหม่ พระองค์จะทำพระราชกิจเดียวกันในยุคที่แตกต่างกันได้อย่างไร? พระองค์จะทรงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมได้อย่างไร? พระนามของพระเยซูนั้นใช้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นพระองค์จะยังคงใช้พระนามเดียวกันเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายหรือ? พระองค์จะยังทรงพระราชกิจแห่งการไถ่อยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงเป็นว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือหนึ่งเดียวกัน ทว่าทั้งสององค์กลับมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน? มิใช่เพราะว่ายุคแห่งพระราชกิจของทั้งสององค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ? ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างออกไป และพระองค์ต้องใช้พระนามนั้นๆ มาเปลี่ยนแปลงยุคและเป็นตัวแทนยุคนั้น เพราะชื่อเพียงชื่อเดียวไม่สามารถแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคหนึ่งๆ ได้เฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวกับยุคเท่านั้น ทั้งหมดที่ชื่อหนึ่งต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงสามารถเลือกพระนามใดก็ได้ที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้นทั้งยุค ไม่ว่าจะเป็นยุคของพระยาห์เวห์หรือยุคของพระเยซูก็ตาม แต่ละยุคมีชื่อหนึ่งเป็นตัวแทน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
พระราชกิจที่พระเยซูทำเป็นตัวแทนพระนามของพระเยซู และเป็นตัวแทนยุคพระคุณ ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็เป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจของทั้งสองพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวในสองยุคที่แตกต่างกัน พระราชกิจที่พระเยซูทำสามารถเป็นตัวแทนเฉพาะยุคพระคุณเท่านั้น และพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็สามารถเป็นตัวแทนเฉพาะยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิม พระยาห์เวห์เพียงทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลและอียิปต์ และประชาชาติทั้งหมดนอกเหนือจากอิสราเอลเท่านั้น พระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณภาคพันธสัญญาใหม่คือพระราชกิจของพระเจ้าภายใต้พระนามของพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงนำยุคนั้น… ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์มีสองพระนามที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกันที่ทำให้พระราชกิจทั้งสองช่วงระยะสำเร็จลุล่วงไป และพระราชกิจที่ทำไปนั้นก็ดำเนินต่อเนื่องกัน เมื่อพระนามแตกต่างกัน และเนื้อหาของพระราชกิจแตกต่างกัน ยุคจึงแตกต่างกัน เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จมา นั่นคือยุคของพระยาห์เวห์ และเมื่อพระเยซูเสด็จมา นั่นก็คือยุคของพระเยซู และดังนั้น ด้วยการเสด็จมาแต่ละครั้ง พระเจ้าจึงใช้พระนามหนึ่ง พระองค์ทรงแทนยุคหนึ่ง และพระองค์ทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ และในเส้นทางใหม่แต่ละเส้นทางนั้น พระองค์ก็ใช้พระนามใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และแสดงให้เห็นว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีวันหยุดเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้า ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ต้องก้าวหน้าต่อไปในทิศทางข้างหน้าเพื่อให้บรรลุถึงปลายทาง แต่ละวันพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ แต่ละปีพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ต้องทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ เปิดตัวยุคใหม่ เริ่มต้นพระราชกิจใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และนำพระนามใหม่และพระราชกิจใหม่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
พระนามของพระเยซู—ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”—สามารถเป็นตัวแทนแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่? พระนามนี้สามารถแสดงออกถึงพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนหรือไม่? หากมนุษย์กล่าวว่าพระเจ้าสามารถทรงพระนามว่าเยซูเท่านั้น และมิอาจมีพระนามอื่นเพราะพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ ถ้อยคำเหล่านี้ย่อมเป็นการหมิ่นประมาทอย่างแท้จริง! เจ้าเชื่อหรือว่าพระนามเยซู ซึ่งแปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เพียงพระนามเดียวนั้นสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์? พระเจ้าอาจได้รับการเรียกขานด้วยพระนามมากมาย แต่ท่ามกลางพระนามอันมากมายนี้ ไม่มีสักพระนามหนึ่งที่สามารถครอบคลุมทั้งหมดของพระเจ้าได้ ไม่มีสักพระนามหนึ่งที่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน และดังนั้นพระเจ้าจึงมีพระนามมากมาย แต่พระนามอันมากมายนี้ไม่สามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นอุดมมากเสียจนเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะรู้จักพระองค์ได้ ไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะใช้ภาษาของมวลมนุษย์มาบรรยายสรุปพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน มวลมนุษย์มีคำศัพท์ไว้ใช้สรุปใจความของทุกสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างจำกัดเท่านั้น ได้แก่ ยิ่งใหญ่ ทรงเกียรติ มหัศจรรย์ มิอาจหยั่งถึง สูงสุด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ทรงปัญญา และอื่นๆ ช่างมากมายหลายคำนัก! แต่คำศัพท์ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ไม่สามารถที่จะพรรณนาส่วนน้อยนิดที่มนุษย์ได้รู้เห็นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นอีกมากได้เพิ่มคำศัพท์ที่พวกเขาคิดว่าสามารถพรรณนาความรู้สึกอันแรงกล้าในหัวใจของพวกเขาได้ดีขึ้น ได้แก่ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน! พระเจ้าทรงบริสุทธิ์เหลือเกิน! พระเจ้าทรงดีงามเหลือเกิน! วันนี้คำกล่าวของมนุษย์เช่นที่ยกมานี้ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว กระนั้นมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกมาได้อย่างชัดเจน และดังนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว พระเจ้าจึงมีพระนามมากมาย กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีพระนามเดียว และนี่เป็นเพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก และภาษาของมนุษย์ก็ขัดสนเหลือเกิน คำเฉพาะหรือชื่อเฉพาะเพียงหนึ่งเดียวไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดังนี้แล้วเจ้าคิดหรือว่าพระนามของพระองค์จะสามารถคงที่ดังเดิมได้? พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนักและบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ทว่าเจ้าจะไม่ยินยอมให้พระองค์เปลี่ยนพระนามของพระองค์ในยุคใหม่แต่ละยุคกระนั้นหรือ? ดังนั้น ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เองนั้น พระองค์จึงใช้พระนามที่เหมาะกับยุคเพื่อสรุปใจความของพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ พระองค์ใช้พระนามเฉพาะนี้ ซึ่งเป็นพระนามที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับยุค เพื่อเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น นี่คือการที่พระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์เอง กระนั้นก็ตาม ผู้คนมากมายที่มีประสบการณ์ทางวิญญาณและได้เห็นพระเจ้าด้วยตนเองมาแล้วก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าพระนามเฉพาะพระนามหนึ่งนี้ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ได้—อนิจจา เช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้—ดังนั้นมนุษย์จึงไม่เรียกพระเจ้าด้วยพระนามใดอีกต่อไป เพียงเรียกพระองค์อย่างง่ายๆ ว่า “พระเจ้า” เท่านั้น เป็นราวกับว่าหัวใจของมนุษย์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ก็ถูกความขัดแย้งรุมเร้าด้วย เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงพระเจ้าอย่างไร สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักจนกระทั่งไม่มีหนทางที่จะพรรณนาถึงได้โดยง่าย ไม่มีชื่อใดที่สามารถสรุปพระอุปนิสัยของพระเจ้าไว้ในชื่อเดียวได้ และไม่มีชื่อใดที่สามารถพรรณนาทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นไว้ในชื่อเดียวได้ หากมีใครถามเราว่า “พระองค์ใช้พระนามว่ากระไรกันแน่?” เราจะบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าก็คือพระเจ้า!” นั่นมิใช่พระนามที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าหรอกหรือ? นั่นมิใช่การสรุปความถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ดีที่สุดหรอกหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงใช้ความพยายามมากมายเช่นนั้นเพื่อแสวงหาพระนามของพระเจ้า? เหตุใดพวกเจ้าจึงพยายามใช้สมอง ไม่กินไม่นอน เพียงเพื่อชื่อชื่อหนึ่ง? วันนั้นจะมาถึง เมื่อพระเจ้าจะไม่ได้ทรงพระนามว่ายาห์เวห์ เยซู หรือเมสสิยาห์—แต่พระองค์จะเป็นเพียงพระผู้สร้าง เมื่อนั้นพระนามทั้งหมดที่พระองค์มีบนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุด เพราะพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุดแล้ว และหลังจากนั้นจะไม่มีพระนามทั้งหลายของพระองค์อีกแล้ว เมื่อสรรพสิ่งมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง พระองค์จะต้องประสงค์พระนามที่เหมาะสมยิ่ง แต่ไม่ครบบริบูรณ์ ไปเพื่อสิ่งใด? ขณะนี้เจ้ายังคงแสวงหาพระนามของพระเจ้าอยู่หรือไม่? เจ้ายังกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามว่ายาห์เวห์เท่านั้นหรือไม่? เจ้ายังคงกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามได้ว่าเยซูเท่านั้นหรือไม่? เจ้าสามารถแบกรับบาปแห่งการหมิ่นประมาทพระเจ้าได้หรือ? เจ้าควรรู้ว่าเดิมทีนั้นพระเจ้าไม่มีพระนาม พระองค์เพียงใช้พระนามหนึ่ง หรือสอง หรือหลายพระนามก็เพราะพระองค์มีพระราชกิจต้องทำและต้องทรงบริหารจัดการมวลมนุษย์เท่านั้น ไม่ว่าพระนามใดที่พระองค์ใช้—พระองค์มิได้ทรงเลือกเด้วยพระองค์เองโดยเสรีหรอกหรือ? พระองค์จำเป็นจะต้องให้เจ้า—ซึ่งเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์—มาตัดสินใจให้กระนั้นหรือ? พระนามที่พระเจ้าใช้ก็คือพระนามที่สอดคล้องกับสิ่งที่มนุษย์สามารถทำความเข้าใจได้ สอดคล้องกับภาษาของมวลมนุษย์ แต่พระนามนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถสรุปความได้ เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่ามีพระเจ้าในสวรรค์ ว่าพระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้า ว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทรงพระปัญญายิ่งนัก เป็นที่ยกย่องยิ่งนัก มหัศจรรย์ยิ่งนัก ล้ำลึกยิ่งนัก และทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น แล้วจากนั้นเจ้าก็ไม่สามารถพูดมากไปกว่านี้ได้อีก สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้คือทั้งหมดที่เจ้าสามารถรู้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เพียงแค่พระนามของพระเยซูจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าพระองค์เองได้หรือ? เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง แม้ว่าพระเจ้าจะยังคงทรงพระราชกิจของพระองค์ แต่พระนามของพระองค์ต้องเปลี่ยนไป เพราะเป็นยุคที่แตกต่างออกไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
หากมนุษย์ยังคงถวิลหาการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และยังคงคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงในพระฉายาที่พระองค์ทรงใช้ในแคว้นยูเดีย เช่นนั้นแล้วแผนการบริหารจัดการสำหรับหกพันปีทั้งหมดทั้งสิ้นก็คงจะหยุดลงไปแล้วในยุคแห่งการไถ่ และคงไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสุดท้ายจะไม่มีวันมาถึง และยุคนั้นจะไม่มีวันถูกนำพาไปถึงบทอวสาน นี่เป็นเพราะพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำรงอยู่เพื่อการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์เท่านั้น เราได้ใช้ชื่อพระเยซูเพียงเพื่อประโยชน์ของคนบาปทั้งหมดในยุคพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ชื่อที่เราจะใช้เพื่อนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงไปสู่บทอวสาน แม้ว่าพระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเมสสิยาห์ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนวิญญาณของเราทั้งสิ้น แต่ชื่อเหล่านี้ก็แค่แสดงถึงยุคที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของเราเท่านั้น และไม่ได้เป็นตัวแทนเราในความครบถ้วนทั้งมวลของเรา ชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนบนแผ่นดินโลกใช้เรียกขานเราไม่สามารถแสดงชัดถึงอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของเราและทุกอย่างที่เราเป็นได้ ชื่อเหล่านั้นเป็นเพียงชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนใช้เรียกขานเราระหว่างยุคที่ต่างกันเท่านั้น และดังนั้น เมื่อยุคสุดท้าย—ยุคแห่งวันสุดท้าย—มาถึง ชื่อของเราก็จะเปลี่ยนอีกครั้ง เราจะไม่ถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์ หรือพระเยซู นับประสาอะไรที่จะเรียกว่าพระเมสสิยาห์—เราจะถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงฤทธานุภาพพระองค์เอง และภายใต้ชื่อนี้เราจะนำยุคทั้งยุคไปสู่บทอวสาน ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว
ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อพระองค์เสด็จมาในยุคสุดท้าย?
คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง
เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับมาพระองค์จะยังทรงถูกเรียกว่าพระเยซูไหม?
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
เจ้ากล้ายืนยันหรือว่าพระนามพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
นัยสำคัญของพระนามของพระเจ้า
พระเจ้าทรงใช้พระนามต่างกันเพื่อเป็นตัวแทนยุคที่ต่างกัน