5. วิธีรู้จักตนเองและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์เริ่มต้นด้วยความรู้เกี่ยวกับเนื้อแท้ของเขาและโดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ธรรมชาติ และทัศนะทางจิตใจของเขา—โดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทั้งหลาย ในหนทางนี้เท่านั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงทั้งหลายจะได้สำเร็จลุล่วงในอุปนิสัยของมนุษย์ รากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นในตัวมนุษย์ก็คือการชักพาให้หลงผิด การทำให้เสื่อมทราม และพิษของซาตาน มนุษย์ถูกซาตานพันธนาการและควบคุมเอาไว้ และเขาทุกข์ทนกับอันตรายใหญ่หลวงที่ซาตานก่อให้เกิดขึ้นกับการคิด ศีลธรรม ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา นั่นเป็นเพราะสิ่งพื้นฐานทั้งหลายของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วอย่างแน่นอน และไม่เหมือนอย่างที่สุดกับวิธีการที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง มนุษย์จึงต่อต้านพระเจ้าและไม่สามารถยอมรับความจริง ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของมนุษย์จึงควรเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา ซึ่งจะเปลี่ยนความรู้ของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและความรู้ของเขาเกี่ยวกับความจริง พวกที่เกิดมาในดินแดนที่เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกที่สุดในบรรดาดินแดนทั้งหมดนั้นไม่รู้เท่าทันในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น หรือความหมายของการเชื่อในพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งผู้คนเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรู้จักการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น และสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขาก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือการที่เขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เพราะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มโนธรรมของมนุษย์จึงยิ่งด้านชา เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อมลง และเขามีทัศนคติทางจิตใจที่ล้าหลัง ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ปกติแล้วหลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์ก็นบนอบพระเจ้าและนบนอบพระวจนะของพระองค์ เขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้อง และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไปเองโดยธรรมชาติ หลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสูญเสียความนบนอบและความรักที่เขามีต่อพระเจ้า สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏที่เขามีต่อพระเจ้าก็เกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ตระหนักถึงการนี้ เอาแต่ต่อต้านและกบฏอย่างไม่ลดละ อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้มึนชายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า หากสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขาก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ และย่อมทำตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าไม่ได้เช่นกัน หากสำนึกรับรู้ของมนุษย์ไม่น่าไว้ใจ เขาก็ย่อมไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า “สำนึกรับรู้ที่ปกติ” หมายถึงการนบนอบและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า โหยหาพระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์ และมีมโนธรรมต่อพระเจ้า นั่นหมายถึงการเป็นหัวใจและจิตใจหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และการไม่ต่อต้านพระเจ้าโดยจงใจ การมีสำนึกรับรู้ที่ผิดปกติวิสัยไม่ได้เป็นเช่นนี้ เนื่องจากมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขาจึงได้คิดมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา และเขาไม่เคยมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือการโหยหาในพระองค์เลย ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงมโนธรรมที่มีต่อพระเจ้า มนุษย์ต่อต้านพระเจ้าและตัดสินพระองค์โดยจงใจ และยิ่งไปกว่านั้น ยังกล่าวคำผรุสวาทใส่พระองค์ลับหลังพระองค์ มนุษย์ตัดสินพระเจ้าลับหลังพระองค์ ทั้งที่รู้ชัดเจนว่าพระองค์คือพระเจ้า มนุษย์ไม่มีเจตนาที่จะนบนอบพระเจ้า และเพียงสร้างข้อเรียกร้องและคำร้องขอแบบไม่ลืมหูลืมตาจากพระองค์ ผู้คนเช่นนั้น—ผู้คนผู้ซึ่งมีสำนึกรับรู้อันผิดปกติวิสัย—ไม่สามารถที่จะรู้จักพฤติกรรมอันน่าดูหมิ่นของพวกเขาเองหรือเสียใจในความเป็นกบฏของพวกเขา หากผู้คนสามารถรู้จักตัวเองได้ พวกเขาก็ย่อมได้รับเอาสำนึกรับรู้ของพวกเขากลับมาแล้วเล็กน้อย ยิ่งผู้คนที่ไม่สามารถรู้จักตัวเองมีความเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีสำนึกรับรู้ที่ถูกต้องน้อยลงเท่านั้น
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า
พระเจ้าทรงใช้วิถีทางนานัปการเพื่อทำให้ผู้คนรู้จักตัวเอง พระองค์ได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบเพื่อให้ผู้คนเปิดโปงความเสื่อมทรามของตน และให้พวกเขาค่อยๆ รู้จักตนเองผ่านประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระวจนะของพระเจ้า หรือการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ พวกเจ้าเข้าใจจุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในทรงพระราชกิจนี้หรือไม่? จุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยหนทางนี้คือ ทรงอนุญาตให้คนทุกคนที่มีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระองค์รู้ว่ามนุษย์คืออะไร และ “การรู้ว่ามนุษย์คืออะไร” เกี่ยวข้องกับอะไร? การนี้เกี่ยวข้องกับการให้มนุษย์รู้จักตัวตนและสถานะของตนเอง รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบของตน นั่นหมายถึงการให้เจ้ารู้จักความหมายของการเป็นมนุษย์ การให้เจ้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นใคร นี่คือเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในการทำให้ผู้คนรู้จักตนเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
ในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คนเราต้องสามารถระลึกถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเป็นอันดับแรก การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงเกี่ยวข้องกับการมองทะลุปรุโปร่งและการชำแหละแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนอย่างถ้วนทั่ว ตลอดจนการระลึกรู้สภาวะนานาสารพันที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำให้เกิดขึ้น มีเพียงเมื่อใครบางคนเข้าใจสภาวะที่เสื่อมทรามและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างชัดเจนเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเกลียดชังเนื้อหนังของตนและเกลียดชังซาตานได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเมื่อนั้นเท่านั้น หากพวกเขาไม่สามารถระลึกถึงสภาวะเหล่านี้ และไม่สามารถทำการเชื่อมโยงและทำให้สภาวะเหล่านี้สอดคล้องต้องกันกับตัวเอง อุปนิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ? เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยพึงต้องให้คนเราระลึกถึงสภาวะต่างๆ ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาสร้างขึ้นมา พวกเขาต้องไปให้ถึงจุดที่ไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและนำความจริงไปปฏิบัติ—เมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยของพวกเขาจึงจะสามารถเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หากพวกเขาไม่สามารถระลึกถึงจุดเริ่มต้นของสภาวะที่เสื่อมทรามของตน และจำกัดควบคุมตัวเองตามคำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเขามีพฤติกรรมบางอย่างที่ดีและเปลี่ยนแปลงภายนอกเล็กน้อย การนั้นย่อมไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เนื่องจากการนั้นไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เช่นนั้นแล้วอะไรคือบทบาทที่ผู้คนส่วนใหญ่แสดงในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน? นั่นก็คือบทบาทของคนลงแรง พวกเขาเพียงแค่ทุ่มเทตัวเองและยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าที่ต่างๆ แม้ว่าพวกเขาก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามุ่งความสนใจไปที่การทำให้สิ่งต่างๆ ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ไม่ใช่การแสวงหาความจริง แต่แค่ทุ่มเทตัวเอง ในบางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ดี พวกเขาจะทุ่มเทความพยายามเป็นพิเศษ และในบางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะจำใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นพวกเขาจะตรวจสอบตัวเองและรู้สึกผิด ดังนั้นพวกเขาก็จะทุ่มเทความพยายามมากขึ้นอีกครั้ง เชื่อว่านี่เป็นการกลับใจใหม่ อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง อีกทั้งไม่ใช่การกลับใจใหม่ที่แท้จริง การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการรู้จักตนเอง การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม ทันทีที่พฤติกรรมของใครบางคนเปลี่ยนไปแล้ว และพวกเขาสามารถขัดขืนเนื้อหนังของตน นำความจริงไปปฏิบัติ และปรากฏว่าตรงกับหลักธรรมในแง่ของพฤติกรรม นี่ย่อมหมายความว่ามีการกลับใจใหม่ที่จริงแท้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมไปถึงจุดที่สามารถพูดและกระทำการตามหลักธรรมได้ทีละน้อย คล้อยตามความจริงโดยสมบูรณ์ นี่คือเวลาที่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเริ่มต้น
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการรู้จักตนเองเท่านั้นที่ช่วยในการไล่ตามเสาะหาความจริง
กุญแจสู่การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคือการรู้จักธรรมชาติของคนเราเอง และการนี้ต้องเกิดขึ้นโดยสอดคล้องกับวิวรณ์จากพระเจ้า มีเพียงในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่คนเราสามารถรู้จักธรรมชาติอันน่าขยะแขยงของตนเองได้ ระลึกได้ถึงพิษอันหลากหลายของซาตานในธรรมชาติของตนเอง ตระหนักว่าตนนั้นโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน และระลึกได้ถึงองค์ประกอบที่อ่อนแอและเป็นด้านลบในธรรมชาติของตน หลังจากที่สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างครบถ้วนแล้ว และเจ้าสามารถเกลียดชังตัวเจ้าเองและละทิ้งเนื้อหนังได้อย่างแท้จริง ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เป็นนิตย์พลางปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า และกลายเป็นผู้ที่รักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางของเปโตรแล้ว เมื่อปราศจากพระคุณของพระเจ้า และปราศจากความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คงจะเป็นการยากที่จะเดินบนเส้นทางนี้ เนื่องเพราะผู้คนไม่ครองความจริงและไร้ความสามารถที่จะทรยศตนเองได้ โดยหลักแล้วการเดินบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมของเปโตรอยู่บนพื้นฐานของการมีความตั้งใจแน่วแน่ การมีความเชื่อ และการพึ่งพาพระเจ้า ที่มากยิ่งกว่าคือ คนเราต้องนบนอบต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทุกสรรพสิ่ง คนเราไม่สามารถทำโดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้าได้ เหล่านี้คือแง่มุมสำคัญ ซึ่งไม่มีแง่มุมใดที่สามารถถูกล่วงละเมิดได้ การได้ทำความรู้จักตนเองโดยผ่านทางประสบการณ์เป็นเรื่องลำบากยากเย็นมาก เมื่อปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การนี้ก็ย่อมเปล่าประโยชน์
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
เพื่อที่จะรู้จักตัวเอง เจ้าต้องรู้จักการแสดงออกทั้งหลายของความเสื่อมทรามของเจ้าเอง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า จุดอ่อนที่สำคัญยิ่งชีพของตัวเจ้าเอง แก่นแท้ธรรมชาติของเจ้า เจ้าต้องรู้จักสิ่งเหล่านั้น—สิ่งจูงใจทั้งหลายของเจ้า มุมมองทั้งหลายของเจ้า และท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับทุกๆ สิ่ง—ที่ถูกเปิดเผยในชีวิตประจำวันของเจ้าให้ลึกลงไปถึงรายละเอียดท้ายสุดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้าน ตอนที่เจ้ากำลังอยู่ในการชุมนุม ตอนที่เจ้ากำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือในทุกๆ ประเด็นปัญหาที่เจ้าเผชิญ เจ้าต้องมารู้จักตัวเองผ่านทางแง่มุมเหล่านี้ แน่นอนว่าการที่จะรู้จักตัวเจ้าเองในระดับที่ลึกลงไป เจ้าต้องรวมพระวจนะของพระเจ้าเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เฉพาะโดยการรู้จักตัวเองบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้ ขณะยอมรับการพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้า จงอย่ากลัวความทุกข์หรือความเจ็บปวด และยิ่งไปกว่านั้น จงอย่ากลัวว่าพระวจนะของพระเจ้าจะเสียดแทงหัวใจของพวกเจ้าและเปิดโปงสภาวะอันอัปลักษณ์ทั้งหลายของพวกเจ้า การทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์มากเหลือเกิน หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและตีสอนผู้คนให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะที่เปิดเผยแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมนุษยชน เจ้าควรเปรียบเทียบพระวจนะกับสภาวะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าให้มากขึ้น และเจ้าควรนำพระวจนะมาเชื่อมโยงกับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นและใช้กับผู้อื่นให้น้อยลง สภาวะชนิดต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยมีอยู่ในตัวบุคคลทุกคน และสามารถพบได้ในตัวเจ้าได้ทั้งสิ้น หากเจ้าไม่เชื่อ ก็จงลองผ่านประสบการณ์กับการทำเช่นนี้ดู ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใด เจ้าก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าจะรู้สึกมากขึ้นว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องแม่นยำมาก หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้คนบางคนไม่มีความสามารถที่จะเชื่อมโยงพระวจนะเหล่านี้เข้ากับตัวเอง พวกเขาคิดว่า ส่วนทั้งหลายของพระวจนะเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่เกี่ยวกับผู้คนอื่นๆ ต่างหาก ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงผู้คนว่าเป็นพวกร้อยเล่ห์มารยาและแพศยา พี่น้องหญิงบางคนก็รู้สึกว่า เพราะพวกเธอได้มีความสัตย์ซื่อต่อสามีของพวกเธออย่างไม่มีผิดพลาด พระวจนะเหล่านั้นต้องไม่มีอะไรอ้างอิงถึงพวกเธอ พี่น้องหญิงบางคนรู้สึกว่า เนื่องจากพวกเธอไม่ได้แต่งงาน และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ พระวจนะเหล่านั้นต้องไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเธอด้วยเช่นกัน พี่น้องชายบางคนรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พวกผู้หญิงเท่านั้น และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ผู้คนบางคนเชื่อว่าพระวจนะแห่งการเปิดเผยของพระเจ้ารุนแรงเกินไป ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะยอมรับพระวจนะเหล่านี้ ในบางตัวอย่างถึงกับมีกระทั่งผู้คนที่กล่าวว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ถูกต้องแม่นยำ นี่เป็นท่าทีอันถูกต้องที่ควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือ? เห็นได้ชัดว่าผิด ผู้คนล้วนมองตัวเองตามพฤติกรรมภายนอกของตน พวกเขาไม่สามารถทบทวนตัวเองและมารู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า คำว่า “ร้อยเล่ห์มารยา” และ “แพศยา” ในที่นี้อ้างอิงถึงแก่นแท้ของความเสื่อมทราม ความโสมม และความมักมากของมวลมนุษย์ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สมรสหรือไม่สมรส ทุกคนย่อมมีความคิดที่เสื่อมทรามของความมักมาก—ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่นั่นจะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า? พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย คนเรามีความเสื่อมทรามที่ระดับเดียวกัน นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหนึ่งหรอกหรือ? พวกเราจำต้องตระหนักเสียก่อนว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสคือความจริงและอยู่ในแนวเดียวกับข้อเท็จจริงทั้งหลายนั้น และไม่ว่าพระวจนะของพระองค์ที่พิพากษาและเปิดโปงผู้คนจะรุนแรงเพียงใด หรือไม่ว่าพระวจนะของพระองค์ที่สามัคคีธรรมถึงความจริงหรือเตือนสติผู้คนจะอ่อนโยนเพียงใด ไม่ว่าพระวจนะของพระองค์จะเป็นการพิพากษาหรือพร ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวโทษหรือสาปแช่ง ไม่ว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกขมขื่นหรือหวานชื่น ผู้คนก็ต้องยอมรับไว้ทั้งหมด เช่นนี้เองคือท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้า นี่คือท่าทีชนิดใด? นี่คือท่าทีที่อุทิศตน ท่าทีอันศรัทธา ท่าทีอันอดทน หรือท่าทีของการโอบกอดความทุกข์ไว้กระนั้นหรือ? เจ้าค่อนข้างจะสับสนแล้ว เราบอกพวกเจ้าเลยว่านี่ไม่ใช่อันใดในท่าทีเหล่านี้เลย ในความเชื่อของพวกเขานั้น ผู้คนต้องยืนยันหนักแน่นว่า พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้คือความจริงโดยแท้ ผู้คนจึงควรยอมรับพระวจนะด้วยเหตุผล ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถตระหนักรู้หรือยอมรับการนี้หรือไม่ ท่าทีแรกที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นท่าทีแห่งการยอมรับโดยสมบูรณ์ หากพระวจนะของพระเจ้าไม่เปิดโปงเจ้า แล้วพระวจนะจะเปิดโปงผู้ใด? และหากไม่ใช่เพื่อเปิดโปงเจ้า เหตุใดจึงขอให้เจ้ายอมรับพระวจนะ? นี่ไม่ขัดแย้งกันหรอกหรือ? พระเจ้าตรัสแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง ทุกประโยคที่พระเจ้าดำรัสล้วนเปิดโปงมวลมนุษย์อันเสื่อมทราม และไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น—ซึ่งย่อมรวมถึงเจ้าด้วยเป็นธรรมดา ถ้อยดำรัสของพระเจ้าไม่มีสักบรรทัดเดียวที่ว่าด้วยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกหรือสภาวะชนิดหนึ่ง นับประสาอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ภายนอกข้อหนึ่ง หรือรูปแบบอันเรียบง่ายรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมในตัวผู้คน ไม่มีถ้อยดำรัสใดที่เป็นเช่นนั้นเลย หากเจ้าคิดว่าทุกบรรทัดที่พระเจ้าดำรัสเป็นเพียงการเปิดเผยพฤติกรรมหรือลักษณะภายนอกประเภทที่เรียบง่ายของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณเลย และเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ผู้คนรู้สึกได้ถึงความลุ่มลึกแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะลุ่มลึกอย่างไร? พระวจนะทุกคำของพระเจ้าเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน และสิ่งทั้งหลายที่หยั่งรากลึกเป็นสาระสำคัญอยู่ภายในชีวิตของพวกเขา ไม่ใช่การปรากฏภายนอก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่พฤติกรรมภายนอก เมื่อมองดูผู้คนจากลักษณะภายนอก พวกเขาอาจจะดูเป็นคนดีกันทั้งนั้น แต่เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่า ผู้คนบางคนเป็นพวกวิญญาณชั่ว และบ้างก็เป็นวิญญาณที่ไม่สะอาด? นี่เป็นเรื่องที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้น คนเราต้องไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของมนุษย์ หรือตามคำบอกเล่าของมนุษย์ และตามถ้อยแถลงของพรรครัฐบาลโดยเด็ดขาด มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริง คำพูดของมนุษย์ล้วนเป็นตรรกะวิบัติ หลังจากที่ได้รับการสามัคคีธรรมเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าได้รับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงในท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? ไม่สำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยเพียงใด คราวต่อไปที่พวกเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดเผยผู้คน อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ควรพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้า เจ้าควรเลิกบ่นพระเจ้าว่า “พระวจนะแห่งการเปิดเผยและพิพากษาของพระเจ้ารุนแรงจริงๆ ฉันจะไม่อ่านหน้านี้ ฉันก็แค่จะข้ามหน้านี้ไปเลย! ให้ฉันสำรวจค้นบางสิ่งบางอย่างมาอ่านเกี่ยวกับพระพรและพระสัญญาเถอะ เพื่อที่จะพบสิ่งชูใจบ้าง” เจ้าไม่ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าโดยเลือกเฟ้นตามความชอบของเจ้าเองอีกต่อไป เจ้าต้องยอมรับความจริงและการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจึงจะสามารถได้รับการชำระให้สะอาด และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถบรรลุความรอดได้
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง
หากเจ้าเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมต้องทบทวนและเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามพระวจนะของพระเจ้า ประเมินวัดตัวเองโดยอิงทุกประโยคของพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการเปิดโปงและการพิพากษา และขุดค้นอุปนิสัยและสภาวะอันเสื่อมทรามทั้งหมดของตนไปทีละน้อย จงเริ่มต้นด้วยการขุดคุ้ยเจตนาและจุดประสงค์ของคำพูดและการกระทำของเจ้า ชำแหละและแยกแยะทุกคำที่เจ้าพูด และไม่มองข้ามสิ่งใดก็ตามที่ดำรงอยู่ภายในความคิดและความรู้สึกนึกคิดของเจ้า ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะค้นพบผ่านทางการชำแหละและวิจารณญาณที่เพิ่มขึ้นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้มีแค่เล็กน้อย แต่ค่อนข้างมีเหลือล้น และว่าพิษของซาตานไม่ได้มีจำกัด แต่ค่อนข้างมีมาก ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะค่อยๆ มองเห็นอุปนิสัยและแก่นแท้ตามธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนอย่างชัดเจน และตระหนักว่าซาตานทำให้เจ้าเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเพียงใด ในเวลานี้เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าความจริงที่แสดงโดยพระเจ้าล้ำค่าอย่างที่สุดเพียงใด ความจริงดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยและธรรมชาติของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามได้ ยาชนิดนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับมนุษย์ที่เสื่อมทรามเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง มีคุณค่ามากกว่ายาอายุวัฒนะใดๆ เสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะรับความรอดของพระเจ้าไว้ เจ้าจึงไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเต็มใจ ทะนุถนอมทุกแง่มุมของความจริงมากขึ้นทุกที ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นทุกที เมื่อคนเรามีความรู้สึกนี้ในหัวใจของตน นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงบางอย่างไว้แล้ว และได้หยั่งรากในหนทางที่แท้จริงแล้ว หากพวกเขาสามารถมีประสบการณ์กับความจริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้นและรักพระเจ้าจากหัวใจของตนอย่างแท้จริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนย่อมจะเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพฤติกรรมเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต้องเริ่มด้วยการรู้จักตนเอง การนี้พึงต้องมีความใส่ใจ การมุ่งความสนใจไปที่การตรวจสอบเจตนาและสภาวะของคนเราทีละน้อย โดยตรวจสอบเจตนาและแบบอย่างในการพูดอันเป็นนิสัยอยู่เป็นนิตย์ จากนั้นอยู่มาวันหนึ่งย่อมจะมีการตระหนักโดยกะทันหันว่า “ฉันพูดสิ่งที่ดีเพื่อปลอมแปลงตนอยู่เสมอ โดยหวังว่าจะได้รับสถานะในหัวใจของผู้อื่น นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วอย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่การเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่ปกติและไม่คล้อยตามความจริง แบบอย่างในการพูดและเจตนาที่ชั่วนี้ไม่ถูกต้อง และต้องมีการเปลี่ยนแปลงและถูกกำจัดทิ้ง” หลังจากมีการตระหนักเช่นนี้แล้ว เจ้าจะรู้สึกถึงความรุนแรงสาหัสของอุปนิสัยที่ชั่วของตนอย่างชัดเจนขึ้น เจ้าได้คิดว่าความชั่วก็แค่หมายถึงการดำรงอยู่ของตัณหาชั่วเล็กน้อยระหว่างชายและหญิง และรู้สึกว่าแม้ว่าเจ้าแสดงให้เห็นความชั่วในแง่มุมนี้ แต่เจ้าก็ไม่ใช่บุคคลที่มีอุปนิสัยที่ชั่ว การนี้บ่งชี้ว่าเจ้าขาดพร่องความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยที่ชั่ว เจ้าดูเหมือนรู้ความหมายผิวเผินของคำว่า “ชั่ว” แต่ไม่สามารถระลึกรู้หรือแยกแยะอุปนิสัยที่ชั่วได้อย่างแท้จริง และในข้อเท็จจริงนั้นเจ้ายังคงไม่เข้าใจว่าคำว่า “ชั่ว” หมายความว่าอย่างไร เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้เผยให้เห็นอุปนิสัยประเภทนี้แล้ว เจ้าก็เริ่มที่จะทบทวนตัวเองและระลึกถึงอุปนิสัยดังกล่าว และขุดคุ้ยลึกลงไปในจุดเริ่มต้นของอุปนิสัยนั้น และเจ้าก็จะมองเห็นว่าเจ้ามีอุปนิสัยเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป? เจ้าต้องตรวจสอบเจตนาของตนภายในแบบอย่างในการพูดที่คล้ายกันของตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านทางการขุดคุ้ยอันสม่ำเสมอนี้ เจ้าจะระบุแยกแยะด้วยความจริงแท้และความแม่นยำถูกต้องที่มากขึ้นว่าเจ้ามีอุปนิสัยและแก่นแท้ประเภทนี้อย่างแท้จริง มีเพียงในวันที่เจ้ายอมรับอย่างแท้จริงว่าจริงๆ แล้วเจ้ามีอุปนิสัยที่ชั่วเท่านั้น เจ้าจึงจะเริ่มมีความเกลียดชังและการรังเกียจต่ออุปนิสัยที่ชั่วนี้ คนเราเปลี่ยนจากการคิดว่าตนเป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม มีสำนึกของความยุติธรรม เป็นคนที่มีความสัตย์สุจริตทางศีลธรรม เป็นคนที่ไร้เล่ห์มายา ไปสู่การระลึกถึงว่าตนมีแก่นแท้ตามธรรมชาติ อย่าง ความโอหัง การดื้อแพ่ง การหลอกลวง ความชั่ว และการรังเกียจความจริง ที่จุดนั้น พวกเขาจะประเมินวัดตัวเองอย่างถูกต้องแม่นยำแล้วและรู้ว่าตนเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง การเพียงแค่ยอมรับด้วยวาจาหรือระลึกรู้อย่างลวกๆ ว่าเจ้ามีการสำแดงและสภาวะเหล่านี้จะไม่สร้างความเกลียดชังอันจริงแท้ขึ้นมา โดยการระลึกรู้ว่าแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้คือลักษณะที่น่าคลื่นเหียนของซาตานเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงจนถึงจุดที่เกลียดชังตนเองพึงต้องมีความเป็นมนุษย์จำพวกใด? คนเราต้องรักสิ่งที่เป็นบวก รักความจริง รักความเที่ยงธรรมและความชอบธรรม มีมโนธรรมและการตระหนักรู้ มีจิตใจดี และสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้—ผู้คนทุกคนเช่นนี้สามารถรู้จักตนเองและเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง พวกที่ไม่รักความจริงและพวกที่พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความจริงย่อมจะไม่มีวันรู้จักตนเอง ต่อให้พวกเขาอาจพูดคำบางคำเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และจะไม่ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่จริงแท้ใดๆ การรู้จักตนเองเป็นงานที่ลำบากยากเย็นที่สุด
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการรู้จักตนเองเท่านั้นที่ช่วยในการไล่ตามเสาะหาความจริง
เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอน นับประสาอะไรที่เขาจะมุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งความรู้ทางศาสนศาสตร์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาจดจ่ออยู่กับการจับใจความความจริงและการจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ตลอดจนการสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระอุปนิสัยและความน่ารักของพระเจ้า เปโตรยังได้พยายามที่จะเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์จากพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ตลอดจนแก่นแท้ธรรมชาติ และข้อบกพร่องตามจริงของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเพื่อที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย เปโตรมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากมายเหลือเกินที่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนี้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และนั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถร่วมมือได้ในขณะที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อผ่านประสบการณ์กับบททดสอบหลายร้อยครั้งที่พระเจ้าส่งมา เปโตรได้ตรวจสอบตัวเขาเองอย่างเข้มงวดโดยใช้พระวจนะทุกคำแห่งการพิพากษาและการเปิดโปงมนุษย์ของพระเจ้า และพระวจนะทุกคำในข้อเรียกร้องที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ และเพียรพยายามที่จะหยั่งลึกถึงความหมายของพระวจนะเหล่านั้นอย่างถูกต้องแม่นยำ เขาพยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะไตร่ตรองและจดจำทุกพระวจนะที่พระเยซูตรัสกับเขา และเขาก็สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีมาก ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้ เขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาเองจากพระวจนะของพระเจ้า และเขาไม่เพียงมาเข้าใจสภาวะที่เสื่อมทรามและข้อบกพร่องนานาของมนุษย์เท่านั้น แต่เขายังมาเข้าใจแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย นี่คือความหมายของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร
หากผู้คนจะต้องเข้าใจตนเอง พวกเขาก็ต้องเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และมีการจับความเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของตนด้วย แง่มุมสำคัญที่สุดของการเข้าใจสภาวะของตนเองของคนเรานั้นก็คือ การมีการจับความเข้าใจในความคิดและแนวคิดทั้งหลายของตนเองของคนเรา ในทุกช่วงเวลา ความคิดและแนวคิดของผู้คนได้ถูกควบคุมโดยสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจความคิดและแนวคิดทั้งหลายของเจ้า เจ้าย่อมสามารถจับความเข้าใจสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังความคิดเหล่านั้น ผู้คนไม่สามารถควบคุมความคิดและแนวคิดทั้งหลายของเขาได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าจำเป็นต้องรู้จริงๆ ว่า ความคิดและแนวคิดเหล่านี้มาจากไหน สิ่งใดที่เป็นสิ่งจูงใจเบื้องหลังพวกมัน ความคิดและแนวคิดเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นอย่างไร สิ่งใดควบคุมพวกมัน และธรรมชาติของพวกมันคืออะไร หลังจากอุปนิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ความคิด แนวคิด ทัศนะ และเป้าหมายที่คนคนนั้นเพียรพยายามจะไปให้ถึง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ย่อมจะแตกต่างจากเดิมมาก—โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะเข้าใกล้ความจริงและสอดคล้องกับความจริง สิ่งทั้งหลายภายในตัวผู้คนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ความคิดเดิม แนวคิดเดิม และทัศนะเดิมของพวกเขา รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบและไล่ตามเสาะหา ล้วนเป็นสิ่งสกปรก โสโครก และน่าขยะแขยงที่สุด หลังจากคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาจะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ และมองเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถละทิ้งและหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้ ผู้คนเช่นนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในหนทางใดหนทางหนึ่ง พวกเขาสามารถยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงบางประการ ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เสื่อมทรามหรือสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถละทิ้งสิ่งเหล่านี้ นับประสาอะไรกับการหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้ อะไรทำให้เกิดความแตกต่างนี้? พวกเขาเป็นผู้เชื่อทั้งหมด ทว่าทำไมบางคนในหมู่พวกเขาสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและสิ่งที่เป็นมลทินทั้งหลาย และละทิ้งสิ่งเหล่านั้นได้ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้? ความสามารถในการแยกแยะและละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับการที่บุคคลคนนั้นรักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
นี่คือกุญแจสำคัญสู่การคิดทบทวนกับตัวเองและการรู้จักตัวเอง กล่าวคือ ยิ่งเจ้ารู้สึกมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าทำได้ดี หรือทำในสิ่งที่ถูกในหลายด้านเฉพาะ และยิ่งเจ้าคิดมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือมีความสามารถที่จะอวดตัวในบางด้าน เช่นนั้นแล้วการรู้จักตัวเจ้าเองในด้านเหล่านั้นก็จะคุ้มค่ามากขึ้น และการขุดลึกลงไปในด้านเหล่านั้นเพื่อดูว่าเจ้ามีความมีราคีใดอยู่ในตัวก็ย่อมจะคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้น รวมถึงดูว่าอะไรคือสิ่งทั้งหลายในตัวเจ้าที่ไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ พวกเราจงมาดูเปาโลเป็นตัวอย่างกันเถิด เปาโลนั้นมีความรู้ดีเป็นพิเศษ เขาได้ทนทุกข์ไปมากมายในงานประกาศของเขาและผู้คนมากมายก็ชื่นชมบูชาเขาเป็นพิเศษ ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากที่ได้ทำงานมากมายไปจนครบบริบูรณ์แล้ว เขาก็ได้ทึกทักไปว่าคงจะมีมงกุฎพักวางเอาไว้ให้เขา นี่เป็นเหตุให้เขาล่องไปตามเส้นทางที่ผิดไกลขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ หากเขาได้คิดทบทวนและชำแหละตนเอง ณ เวลานั้น เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะไม่ได้คิดในหนทางที่เคยคิด กล่าวได้อีกนัยหนึ่งก็คือ เปาโลไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า เขาเพียงเชื่อในมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการทั้งหลายของตัวเขาเองเท่านั้น เขาได้คิดไปว่าการแค่ทำสิ่งที่ดีบ้าง และแสดงพฤติกรรมที่ดีงามบ้าง พระเจ้าก็คงจะทรงสรรเสริญและประทานบำเหน็จให้แก่เขา ในตอนท้ายนั้น มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของตัวเขาเองได้ทำให้หัวใจของเขามืดบอดและบดบังความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเขา แต่ผู้คนไม่สามารถแยกแยะการนี้ พวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และดังนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงเผยการนี้ พวกเขาจึงถือเอาเปาโลเป็นมาตรฐานที่ใช้เป็นเป้าหมายอยู่เสมอ เป็นตัวอย่างที่จะดำเนินชีวิตตามกันต่อไป และได้คำนึงถึงเขาในฐานะรูปเคารพที่พวกเขาเสาะแสวงและถวิลหาที่จะเป็นเช่นนั้น และในฐานะบุคคลในดวงใจที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา กรณีของเปาโลคือการตักเตือนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราที่ติดตามพระเจ้าสามารถทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ของพวกเรา และเมื่อพวกเรารับใช้พระเจ้า พวกเราย่อมรู้สึกว่าพวกเรานั้นสัตย์ซื่อและรักพระเจ้า และในเวลาเช่นนี้ พวกเราควรคิดทบทวนและเข้าใจตนเองยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเรากำลังใช้อยู่ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีคือสิ่งที่เจ้าจะกำหนดว่าถูกต้อง และเจ้าจะไม่กังขา คิดทบทวน หรือชำแหละว่าสิ่งนั้นมีอะไรที่ต้านทานพระเจ้าหรือไม่ ตัวอย่างเช่น มีผู้คนที่เชื่อว่าตัวพวกเขาเองมีหัวใจที่ใจดีมีเมตตาสุดขั้ว พวกเขาไม่เคยเกลียดชังหรือทำอันตรายผู้อื่น และพวกเขายื่นมือช่วยเหลือพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงที่มีความจำเป็นในครอบครัวของพวกเขาเสมอ เพื่อกันมิให้ปัญหาของพวกเขาไปไกลเกินแก้ไข พวกเขามีไมตรีจิตอันยิ่งใหญ่ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือทุกคนที่พวกเขาสามารถช่วยได้ แต่พวกเขาไม่เคยมุ่งปฏิบัติความจริง และพวกเขาก็ไร้ซึ่งการเข้าสู่ชีวิต อะไรหรือคือผลลัพธ์ของการมีน้ำใจเช่นนั้น? พวกเขาทำให้ชีวิตของตัวพวกเขาเองต้องชะลอออกไป แต่พวกเขาก็ค่อนข้างยินดีกับตัวเอง และพึงพอใจสุดขีดกับทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำลงไป ที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขาภูมิใจในการนั้นอย่างใหญ่หลวง โดยเชื่อว่าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่มีสิ่งใดขัดกับความจริงเลย ว่าการนั้นย่อมจะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน และเชื่อว่าพวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขามองความใจดีมีเมตตาตามธรรมชาติของพวกเขาเป็นบางสิ่งที่สามารถอาศัยประโยชน์ได้ และทันทีที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็นึกไปเองว่านั่นคือความจริง ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือความดีแบบมนุษย์ พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด เพราะพวกเขาทำเช่นนั้นต่อหน้ามนุษย์ หาใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะปฏิบัติไปตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและตามความจริง เพราะฉะนั้นความประพฤติทั้งปวงของพวกเขาจึงสูญเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่พวกเขาทำที่เป็นการปฏิบัติความจริงหรือปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในทางกลับกัน พวกเขาใช้ความใจดีมีเมตตาและพฤติกรรมที่ดีแบบมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยสรุปแล้ว พวกเขาไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ อีกทั้งพวกเขาก็มิได้กระทำไปโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงสรรเสริญพฤติกรรมอันดีประเภทนี้ของมนุษย์ สำหรับพระเจ้าแล้วนี่ควรที่จะถูกกล่าวโทษ และไม่คู่ควรแก่การจดจำของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น
ในระหว่างที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลว ล้มลง ถูกตัดแต่ง หรือถูกเผยตัวตนสักกี่ครั้งก็ตาม เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าเจ้าจะถูกตัดแต่งอย่างไร หรือจะโดยผู้นำ คนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงของเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งดี เจ้าต้องจดจำไว้ดังนี้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์มากเพียงใด แท้จริงแล้วเจ้ากำลังได้ประโยชน์ ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์ย่อมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การถูกตัดแต่งหรือเผยตัวย่อมเป็นเรื่องดีเสมอ นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษ นี่คือความรอดจากพระเจ้าและเป็นโอกาสดีที่สุดที่เจ้าจะได้รู้จักตัวเอง นี่สามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของเจ้า หากไม่มีการตัดแต่งหรือเผยตัวเจ้าออกมา เจ้าจะไม่มีทั้งโอกาส ภาวะ อีกทั้งบริบทที่จะสามารถเข้าถึงความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้า หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และสามารถขุดคุ้ยสิ่งเสื่อมทรามที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าออกมาได้ หากเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นการดี นี่ย่อมแก้ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตแล้ว และมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย การที่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะกลับตัวเสียใหม่และกลายเป็นคนใหม่ มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้มาซึ่งชีวิตใหม่ ทันทีที่เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าเมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง และเจ้าจะกระหายความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง นี่ช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! หากเจ้าสามารถคว้าโอกาสเหมาะนี้ และทบทวนตัวเจ้าเองอย่างจริงจังตั้งใจ และได้รับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล้มเหลวหรือตกต่ำ เช่นนั้นแล้ว ในท่ามกลางความเป็นลบและความอ่อนแอ เจ้าจะสามารถกลับขึ้นมายืนได้ ทันทีที่เจ้าได้ข้ามธรณีประตูนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถก้าวครั้งใหญ่ไปข้างหน้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว
ทุกคนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงล้วนเคยล้มเหลวและสะดุดอยู่สองสามครั้งในกาลที่ผ่านมา หลังจากนั้นพวกเขาจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานถึงพระองค์ และทบทวนตนเอง และด้วยเหตุนั้นจึงมามองเห็นความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของตนอย่างชัดแจ้ง และมารู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำจริงๆ ไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริงอย่างสิ้นเชิง หากเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ และเจ้าอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริงเวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักตนเอง และแล้วในที่สุด สักวันหนึ่งเจ้าก็จะเกิดความกระจ่างชัดในหัวใจของเจ้าว่า “ฉันอาจมีขีดความสามารถดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน เวลาพูดจา ฉันก็โอ้อวดอยู่เสมอ พยายามที่จะเอาชนะคนอื่น และพยายามให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของฉัน ฉันไร้สำนึกจริงๆ—นี่คือความโอหังและการคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ! ด้วยการตรึกตรอง ฉันถึงได้เรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง นี่คือความรู้แจ้งและพระคุณของพระเจ้า ฉันขอขอบคุณพระองค์สำหรับการนี้!” การเรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? (เป็นสิ่งที่ดี) จากจุดนั้นเจ้าควรแสวงหาวิธีพูดจาและวิธีกระทำการอย่างมีสำนึกและเชื่อฟัง วิธียืนอย่างทัดเทียมกับผู้อื่น วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมโดยไม่บีบคั้นพวกเขา วิธีมองขีดความสามารถ พรสวรรค์ และจุดแข็งของเจ้าอย่างถูกต้อง เป็นต้น ในหนทางนี้ อุปนิสัยอันโอหังของเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไข เหมือนการใช้ค้อนทุบภูเขาไปทีละครั้งจนเป็นผุยผง หลังจากนั้นเมื่อเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือทำงานกับพวกเขาเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อทัศนะของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง และระหว่างที่รับฟังพวกเขา เจ้าก็สามารถให้ความสนใจได้อย่างละเอียดและตั้งใจ และเมื่อเจ้าได้ยินพวกเขาแสดงทัศนะที่ถูกต้อง เจ้าก็จะค้นพบว่า “ดูเหมือนขีดความสามารถของฉันไม่ได้ดีที่สุด ข้อเท็จจริงก็คือทุกคนมีจุดแข็งของตนเอง พวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าฉันเลย ก่อนหน้านี้ฉันนึกเสมอว่าฉันมีขีดความสามารถดีกว่าคนอื่น นั่นคือการเลื่อมใสตนเองและเป็นความไม่รู้ที่มีจิตใจคับแคบ ฉันมีทัศนคติที่จำกัดมาก เหมือนกบที่ก้นบ่อ การคิดเช่นนั้นไร้ซึ่งสำนึกโดยแท้—ไม่มีความละอาย! ฉันหูหนวกและตาบอดเพราะอุปนิสัยอันโอหังของตนเอง ฉันฟังคำพูดของคนอื่นก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และฉันก็นึกว่าตัวเองเก่งกว่าพวกเขา นึกว่าตัวเองถูก แต่ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เก่งกว่าพวกเขาคนไหนเลย!” จากนั้นเป็นต้นไป เจ้าย่อมจะมีความรู้และความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริงเกี่ยวกับความบกพร่องและความด้อยวุฒิภาวะของเจ้า แล้วหลังจากนั้นเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมกับผู้อื่น เจ้าจะรับฟังทัศนะของพวกเขาอย่างตั้งใจ และเจ้าจะตระหนักว่า “มีผู้คนมากมายนักที่เก่งกว่าฉัน อย่างดีที่สุดขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจของฉันก็อยู่ในระดับปานกลางทั้งคู่” เมื่อตระหนักเช่นนี้ เจ้าย่อมจะเกิดความรู้ตัวขึ้นมาบ้างมิใช่หรือ? เมื่อมีประสบการณ์เช่นนี้และทบทวนตนเองตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่เนืองๆ เจ้าก็จะสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงซึ่งย่อมลึกซึ้งขึ้นทุกที เจ้าจะสามารถมองทะลุไปถึงความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของเจ้า ถึงความอ่อนด้อยและความน่าเวทนาของเจ้า ถึงความอัปลักษณ์อันน่าสังเวชของเจ้า และในเวลานั้นเจ้าจะนึกรังเกียจตัวเองและเกลียดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะกบฏต่อตนเองโดยง่าย นั่นคือวิธีการที่เจ้าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องคิดทบทวนตามพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการพรั่งพรูความเสื่อมทรามของตนออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบใดก็ตาม เจ้าต้องทบทวนตนเองและรู้จักตนเองอยู่เนืองๆ เมื่อนั้นเจ้าจึงจะมองเห็นแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนอย่างชัดเจนโดยง่าย และเจ้าจะสามารถเกลียดความเสื่อมทรามของเจ้า เนื้อหนังของเจ้า และซาตานได้จากหัวใจ เจ้าจะสามารถรักและพากเพียรเพื่อความจริงได้จากหัวใจ ในหนทางนี้ อุปนิสัยอันโอหังของเจ้าจะลดน้อยลงเรื่อยๆ และเจ้าก็จะทยอยทิ้งอุปนิสัยดังกล่าว เจ้าจะมีสำนึกมากขึ้นทุกที และการนบนอบพระเจ้าจะง่ายขึ้นสำหรับเจ้า ในสายตาของผู้อื่น เจ้าจะดูหนักแน่นและมั่นคงขึ้น และจะดูเหมือนว่าเจ้าพูดจาตามข้อเท็จจริงมากขึ้น เจ้าจะสามารถรับฟังผู้อื่นได้ และจะให้เวลาพวกเขาพูดบ้าง เมื่อผู้อื่นถูกต้อง เจ้าก็จะยอมรับคำพูดของพวกเขาโดยง่าย และปฏิสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับผู้คนก็จะไม่ยากเย็นเท่าใดนัก เจ้าจะสามารถร่วมมือกับใครก็ได้อย่างกลมเกลียว หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนดังนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีสำนึกและสภาวะความเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (1)
เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าโดยสมบูรณ์ เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขทันทีในครั้งแรกที่เกิดขึ้น เจ้าต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเมื่อมันอยู่ในสภาวะที่กำลังก่อตัว เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทำสิ่งใดที่ผิดพลาดเกิดขึ้นและป้องกันความเดือดร้อนในอนาคต หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหยั่งรากและกลายเป็นความคิดหรือทัศนคติของบุคคลหนึ่ง ก็จะสามารถชี้นำบุคคลให้ทำชั่ว เพราะฉะนั้น การคิดทบทวนตนเองและการรู้จักตนเองโดยหลักแล้วจึงเกี่ยวกับการค้นพบอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา และเกี่ยวกับการแสวงหาความจริงโดยเร็วเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น เจ้าต้องรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในธรรมชาติของเจ้า เจ้าชอบสิ่งใด เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งใด และเจ้าต้องการได้มาซึ่งสิ่งใด เจ้าต้องชำแหละสิ่งเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดูว่าสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ และคลาดเคลื่อนอย่างไร ครั้นเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ต้องแก้ไขปัญหาของเหตุผลอันผิดปกติของเจ้า กล่าวคือ ปัญหาเรื่องการก่อกวนโดยไม่หยุดหย่อนและไร้เหตุผลของเจ้า นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการที่เจ้าขาดพร่องเหตุผลอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา ผู้คนที่ถูกควบคุมโดยผลประโยชน์ส่วนตนย่อมไม่มีเหตุผลที่เป็นปกติ นี่เป็นปัญหาในทางจิตวิทยาและเป็นจุดตายของผู้คนด้วย…
สิ่งทั้งหลายในธรรมชาติของมนุษย์ไม่เหมือนกับพฤติกรรมภายนอก การปฏิบัติ หรือความคิดและแนวคิดบางอย่างที่สามารถจัดการได้และจบเพียงเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ต้องถูกขุดพบทีละน้อย นอกจากนี้ สิ่งทั้งหลายนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถระบุได้โดยง่าย และต่อให้ระบุได้ ก็ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง—การทำเช่นนั้นต้องอาศัยความเข้าใจที่ล้ำลึกมากพอ เหตุใดพวกเราจึงวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์อยู่เสมอ? พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งนั้นหมายความว่าอย่างไร? การเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนมาจากที่ไหน? ทั้งหมดมาจากภายในธรรมชาติของพวกเขา และถูกควบคุมโดยธรรมชาติของพวกเขาทั้งสิ้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกแบบของมนุษย์ ความคิดและแนวคิดทุกประการ เจตนาทุกอย่างล้วนสัมพันธ์กับธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยเหตุนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์จึงแก้ไขได้อย่างง่ายดายด้วยการขุดค้นธรรมชาติของพวกเขาโดยตรง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของผู้คนจะไม่ง่าย หากพวกเขาสามารถหยั่งรู้และเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และหากพวกเขาสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองไปทีละน้อย เมื่อบุคคลหนึ่งสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน ในตัวของพวกเขาก็ย่อมมีสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าน้อยลงไปเรื่อยๆ จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์คือเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา พวกเจ้ายังไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายนี้ และคิดว่าการแค่วิเคราะห์และเข้าใจธรรมชาติของตนก็ทำให้เจ้าสามารถเชื่อฟังพระเจ้าและกู้คืนเหตุผลของเจ้ากลับมาได้ ทั้งหมดที่พวกเจ้าทำคือนำกฎเกณฑ์มาปรับใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า! เหตุใดเราจึงไม่เพียงเปิดโปงความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอของผู้คน? เหตุใดเราจึงต้องวิเคราะห์ธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเขาด้วย? หากเราเพียงเปิดโปงความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอของพวกเขา ปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไข แต่หากเราวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขา การนี้ย่อมครอบคลุมแง่มุมที่กว้างมาก ทั้งยังหมายรวมถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งปวง สิ่งนี้มากกว่าแค่ขอบเขตที่คับแคบของความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ความคิดว่าตนสำคัญ และความโอหัง คำว่าธรรมชาติหมายรวมเกินกว่าสิ่งนี้มาก ดังนั้นย่อมจะเป็นการดีหากผู้คนสามารถรับรู้ว่าพวกเขากำลังเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากเพียงไหนในข้อเรียกร้องนานาประการของพวกเขาต่อพระเจ้า ซึ่งก็คือ ในความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของพวกเขา เมื่อผู้คนเข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองแล้ว พวกเขาก็สามารถดูหมิ่นและไม่ยอมรับตนเองได้ การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเองจะเป็นเรื่องง่าย และพวกเขาก็จะมีเส้นทาง ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีวันขุดพบรากเหง้าต้นตอ และจะกล่าวเพียงว่านี่คือความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ความโอหัง หรือความหยิ่งยโส หรือการไม่มีความจงรักภักดีเลย การแค่พูดถึงสิ่งที่ผิวเผินเหล่านั้นสามารถแก้ไขปัญหาของเจ้าได้หรือไม่? มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยถึงธรรมชาติของมนุษย์หรือไม่?
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป
ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจอันผิวเผินมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง พวกเขายังไม่ได้มารู้จักอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนของธรรมชาติของพวกเขาเลยทั้งสิ้น พวกเขามีเพียงความรู้เกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามไม่กี่อย่างที่พวกเขาเปิดโปง เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ หรือข้อบกพร่องไม่กี่อย่างของพวกเขาเท่านั้นเอง และนี่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขารู้จักตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ไม่กี่อย่าง มั่นใจว่าพวกเขาไม่ทำผิดพลาดในด้านเฉพาะใดๆ และหลีกเลี่ยงการกระทำการล่วงละเมิดเฉพาะอย่างได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็พิจารณาว่าตัวพวกเขานั้นครองความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และทึกทักไปว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นจินตนาการแบบมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ หากเจ้ายึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะกลายเป็นมีความสามารถที่จะงดเว้นจากการกระทำการล่วงละเมิดอันใดจริงหรือ? เจ้าจะได้บรรลุการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในอุปนิสัยแล้วกระนั้นหรือ? เจ้าจะกำลังใช้ชีวิตในสภาพเสมือนของมนุษย์คนหนึ่งจริงหรือ? เจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างจริงแท้แบบนั้นได้หรือ? แน่นอนเลยว่าไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง การเชื่อในพระเจ้าได้ผลเพียงเมื่อคนเรามีมาตรฐานสูง และได้บรรลุความจริงและการแปลงสภาพบางอย่างในอุปนิสัยของชีวิตคนเราแล้วเท่านั้น ก่อนอื่นการนี้พึงต้องอาศัยความทุ่มเทในการรู้จักตนเอง หากความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองนั้นตื้นเขินเกินไป พวกเขาก็จะพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ปัญหาทั้งหลาย และอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาก็ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จึงจำเป็นที่ต้องรู้จักตัวคนเราเองในระดับที่ลุ่มลึก ซึ่งหมายถึงการรู้จักธรรมชาติของคนเราเองว่า องค์ประกอบใดที่รวมอยู่ในธรรมชาตินั้น สิ่งเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างไร และสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด ที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้ามีความสามารถที่จะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือไม่? เจ้าได้เห็นดวงจิตอันอัปลักษณ์ของเจ้าเองกับธรรมชาติชั่วของเจ้าแล้วหรือไม่? หากเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะเกลียดตัวเอง เมื่อเจ้าเกลียดตัวเจ้าเอง แล้วจากนั้นก็นำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าก็จะสามารถละทิ้งเนื้อหนังและมีความแข็งแกร่งที่จะดำเนินการตามความจริงโดยไม่เชื่อว่าต้องบากบั่นพยายาม เหตุใดเล่าผู้คนมากมายจึงทำตามความเลือกชอบทางเนื้อหนังของพวกเขา? ก็เพราะพวกเขาพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองช่างดีงามนัก พลางรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกต้องและเป็นธรรม รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความผิดเลย และรู้สึกกระทั่งว่า พวกเขาถูกต้องอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ข้างพวกเขา เมื่อคนเราระลึกได้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของคนเราเป็น—อัปลักษณ์อย่างไร น่าดูหมิ่นอย่างไร และน่าเวทนาอย่างไร—เมื่อนั้นคนเราก็จะไม่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างเกินขนาด ไม่โอหังอย่างลำพองเหลือเกิน และไม่ยินดีกับตัวเองเหลือเกินดังก่อนหน้านี้ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกว่า “ฉันต้องจริงจังตั้งใจและติดดินในการปฏิบัติตามพระวจนะบางประการของพระเจ้า หาไม่แล้ว ฉันย่อมจะไม่ดีพอที่จะไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และจะอดสูที่จะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” เช่นนั้นแล้ว คนเราจึงมองเห็นตัวเองอย่างแท้จริงว่าไม่มีความสลักสำคัญ ไร้นัยสำคัญอย่างแท้จริง ณ เวลานี้ ย่อมกลับกลายเป็นง่ายที่คนเราจะดำเนินความจริงให้เสร็จสิ้น และคนเราจะปรากฏเป็นเหมือนที่มนุษย์ควรเป็นอยู่บ้าง มีเพียงเมื่อผู้คนเกลียดตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนัง หากพวกเขาไม่เกลียดตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังได้ การที่คนเราเกลียดตัวเองอย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป มีหลายสิ่งที่ต้องค้นหาให้พบในตัวพวกเขา กล่าวคือ สิ่งแรก การรู้จักธรรมชาติของตัวคนเราเอง และสิ่งที่สอง การมองเห็นตัวคนเราเองอัตคัดขัดสนและน่าเวทนา การมองเห็นตัวคนเราเองเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างสุดขั้ว และการมองเห็นดวงจิตอันสกปรกและน่าเวทนาของคนเราเอง เมื่อคนเราเห็นสิ่งที่คนเราเป็นอย่างแท้จริงโดยครบถ้วน และได้สัมฤทธิ์บทอวสานนี้แล้ว ถึงตอนนั้น คนเราจึงจะสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวคนเราเองอย่างแท้จริง และสามารถพูดได้ว่า คนเราได้มารู้จักตัวคนเราเองอย่างครบถ้วนแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตัวคนเราเองได้อย่างแท้จริง โดยไปไกลถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง และรู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกจนถึงขนาดที่คนเราไม่สามารถแม้กระทั่งมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่ง เมื่อการคุกคามแห่งความตายปรากฏขึ้น บุคคลเช่นนั้นย่อมจะคิดว่า “นี่คือการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้ ฉันควรตายจริง!” ณ จุดนี้ เขาจะไม่ยื่นเรื่องร้องทุกข์ นับประสาอะไรที่จะติเตียนพระเจ้า ด้วยรู้สึกเพียงว่า เขาช่างขัดสนและน่าเวทนายิ่งนัก ช่างโสมมและเสื่อมทรามจนเขาควรถูกพระเจ้าทรงขับออกไปและทำลายเสีย และดวงจิตเช่นของเขานั้นไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ดังนั้น บุคคลผู้นี้ก็จะไม่พร่ำบ่นหรือต้านทานพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะทรยศพระเจ้า หากใครคนหนึ่งไม่รู้จักตัวเอง และยังคงพิจารณาตัวเองว่าดีมาก เช่นนั้นแล้วเมื่อความตายมาเคาะประตู บุคคลนี้จะคิดว่า “ฉันได้ทำดีเหลือเกินในความเชื่อของฉัน ฉันได้แสวงหาหนักเพียงใด! ฉันได้ให้มากมายเหลือเกิน ฉันได้ทนทุกข์มากมายเหลือเกิน กระนั้นในที่สุดแล้ว ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงขอให้ฉันตาย ฉันไม่รู้ว่าความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดพระองค์จึงกำลังทรงขอให้ฉันตาย? หากฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้วใครเล่าจะได้รับการช่วยให้รอด? เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มาถึงบทอวสานหรอกหรือ?” อย่างแรก บุคคลนี้มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ประการที่สอง บุคคลนี้กำลังพร่ำบ่น และไม่ได้กำลังแสดงให้เห็นการนบนอบใดๆ แต่อย่างใดเลย นี่เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล กล่าวคือ เมื่อเขากำลังจะตาย เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และเมื่อถึงเวลาที่การลงโทษของพระเจ้าใกล้มาถึง ทั้งหมดก็ล้วนสายเกินไป
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
การรู้จักตนเองเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนทุกคน เพราะการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเรื่องสำคัญที่ว่า คนเราสามารถกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่ จงอย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ง่าย การรู้จักตนเองไม่ใช่การเข้าใจการกระทำหรือการปฏิบัติของเจ้า แต่เป็นการรู้ถึงแก่นแท้ของปัญหาของเจ้า รู้ถึงรากเหง้าและแก่นแท้ของความไม่เชื่อฟังของเจ้า รู้ว่าทำไมเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง และเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและก่อกวนเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติความจริง สิ่งเหล่านี้คือบางแง่มุมที่สำคัญที่สุดของการรู้จักตนเอง ตัวอย่างเช่น ด้วยภาวะทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน ในมโนคติอันหลงผิดแบบดั้งเดิมของชาวจีนนั้นพวกเขาเชื่อว่าคนเราต้องรักษาความกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาไว้ ใครที่ไม่รักษาความกตัญญูต่อบิดามารดาย่อมเป็นลูกอกตัญญู แนวคิดเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังในตัวผู้คนมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งเหล่านี้ก็ถูกสอนกันอย่างจริงจังในทุกครอบครัว รวมถึงในทุกโรงเรียนและในสังคมขนาดใหญ่ เมื่อคนคนหนึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัว พวกเขาย่อมคิดว่า “ความกตัญญูนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าฉันไม่รักษาสิ่งนี้ไว้ฉันก็จะไม่ใช่คนดี—ฉันจะเป็นลูกอกตัญญูและจะถูกสังคมประณาม ฉันจะเป็นคนที่ไร้มโนธรรม” ทรรศนะนี้ถูกต้องหรือไม่? ผู้คนได้เห็นความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงมากมาย—พระเจ้าทรงเรียกร้องให้คนเราแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาหรือไม่? นี่เป็นหนึ่งในความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมบางอย่างเท่านั้น พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์ หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง และพวกเขาคือผู้ที่ขัดขืนและเกลียดชังพระเจ้า—แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงชังและเกลียดพวกเขา เจ้าจะนึกชังบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่? พวกเขาต่อต้านและด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน เจ้าจะสามารถเกลียดชังและสาปแช่งพวกเขาได้หรือไม่? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? ตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?” “เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ “จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง” พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น หากบุคคลผู้หนึ่งคือใครบางคนที่ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ผู้ซึ่งถูกพระเจ้าสาปแช่ง แต่พวกเขาเป็นบิดามารดาหรือญาติของเจ้า และเท่าที่เจ้าสามารถบอกได้พวกเขาไม่ใช่คนทำชั่ว และปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจพบว่าตนเองไม่สามารถเกลียดชังบุคคลผู้นั้น และอาจยังคงมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาด้วยซ้ำ สัมพันธภาพของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง การได้ฟังว่าพระเจ้าทรงดูหมิ่นคนเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าลำบากใจ และเจ้าก็ไม่สามารถยืนอยู่ฝั่งพระเจ้าและปฏิเสธพวกเขาอย่างใจดำได้ เจ้าถูกพันธนาการไว้ด้วยภาวะอารมณ์เสมอ และเจ้าไม่สามารถปล่อยวางพวกเขาได้โดยสมบูรณ์ อะไรคือสาเหตุของการนี้เล่า? นี่เกิดขึ้นเพราะภาวะอารมณ์ของเจ้าแข็งแกร่งเกินไป และนั่นขัดขวางเจ้าจากการปฏิบัติความจริง บุคคลผู้นั้นดีต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขาได้ เจ้าจะสามารถเกลียดชังพวกเขาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาทำร้ายเจ้าเท่านั้น ความเกลียดชังนั้นจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริงหรือไม่? นอกจากนี้ เจ้ายังถูกพันธนาการด้วยมโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ อีกด้วย คิดไปว่าพวกเขาคือบิดามารดาหรือญาติ ดังนั้นหากเจ้าเกลียดชังพวกเขา เจ้าก็จะถูกสังคมสบประมาทและถูกด่าทอโดยประชามติ ถูกกล่าวโทษว่าอกตัญญู ไม่มีมโนธรรม และไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ เจ้าคิดไปว่าเจ้าจะทนทุกข์กับการกล่าวโทษและการลงโทษจากสวรรค์ ต่อให้เจ้าต้องการเกลียดชังพวกเขา มโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าทำ เหตุใดมโนธรรมของเจ้าจึงทำหน้าที่ในหนทางเช่นนี้? นี่เป็นเพราะวิธีคิดที่ถูกปลูกฝังในตัวเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านการถ่ายทอดในครอบครัวของเจ้า ผ่านการศึกษาที่เจ้าได้รับจากบิดามารดา และการสั่งสอนวัฒนธรรมดั้งเดิม วิธีคิดเช่นนี้หยั่งรากลึกในหัวใจของเจ้ามาก และทำให้เจ้าเชื่อแบบผิดๆ ว่าความกตัญญูนั้นเป็นธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ชอบธรรมโดยสมบูรณ์ และสิ่งใดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้าย่อมดีเสมอ เจ้าเรียนรู้สิ่งนี้เป็นอันดับแรก ซึ่งยังคงมีอำนาจครอบงำ สร้างสิ่งสะดุดและการรบกวนอันใหญ่หลวงในความเชื่อและการยอมรับความจริงของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก เกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตของเจ้ามาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากบิดามารดาของเจ้า และเจ้าก็รู้เช่นกันว่าบิดามารดาของเจ้าไม่เพียงไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังขัดขืนพระเจ้าอีกด้วย รู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขา และเจ้าก็ควรนบนอบพระเจ้า ยืนข้างพระองค์ แต่เจ้าก็ไม่สามารถบังคับตนเองให้เกลียดชังพวกเขา แม้ว่าเจ้าต้องการที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม เจ้าไม่สามารถผ่านจุดวิกฤตนั้นไปได้ เจ้าไม่สามารถแข็งใจทำได้ และเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง สิ่งใดคือต้นเหตุของการนี้? ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมและมโนคติอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมมาพันธนาการความคิดของเจ้า จิตใจของเจ้า และหัวใจของเจ้า ทิ้งให้เจ้าไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าถูกสิ่งเหล่านี้ที่เป็นของซาตานครอบงำ และถูกทำให้ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ยามที่เจ้าต้องการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิดการรบกวนในตัวเจ้า ทำให้เจ้าต่อต้านความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และทำให้เจ้าไร้พลังที่จะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากแอกแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม หลังจากดิ้นรนต่อสู้มาระยะหนึ่ง เจ้าก็ประนีประนอม นั่นคือ เจ้าพอใจที่จะเลือกเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดตามประเพณี ทางด้านศีลธรรมนั้นถูกต้องและตรงกับความจริง ดังนั้นเจ้าจึงปฏิเสธหรือละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และเจ้าไม่เห็นความสำคัญของการได้รับการช่วยให้รอด รู้สึกว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และสามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาคนเหล่านี้เท่านั้น เมื่อไม่สามารถสู้ทนการกล่าวโทษของสังคมได้ เจ้าจึงเลือกที่จะยอมทิ้งความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเสีย ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมและอิทธิพลของซาตาน เลือกที่จะล่วงเกินพระเจ้าและไม่ปฏิบัติความจริงแทน มนุษย์ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ? พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ? บางคนเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ยังไม่มีความเข้าใจเชิงลึกเรื่องความกตัญญู พวกเขาไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีวันสามารถทำลายกำแพงแห่งสัมพันธภาพทางโลกนี้ได้ พวกเขาไร้ความกล้าหาญและความมั่นใจ นับประสาอะไรกับความมุ่งมั่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรักและเชื่อฟังพระเจ้าได้ คนบางคนสามารถมองไปไกลกว่านี้ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่พวกเขาจะพูดว่า “พ่อแม่ของฉันไม่เชื่อในพระเจ้า และพวกท่านก็ห้ามฉันไม่ให้เชื่อ พวกท่านคือมาร” ไม่มีผู้ไม่เชื่อคนไหนเชื่อว่ามีพระเจ้า หรือเชื่อว่าพระองค์ทรงสร้างสวรรค์กับแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง หรือมนุษย์ได้รับการทรงสร้างจากพระเจ้า คนบางคนถึงกับพูดว่า “มนุษย์ได้รับชีวิตมาจากพ่อแม่ของพวกเขา และพวกเขาก็ควรให้เกียรติพ่อแม่ของตน” ความคิดหรือทรรศนะดังกล่าวมาจากไหน? มาจากซาตานใช่หรือไม่? วัฒนธรรมดั้งเดิมนับพันปีได้สั่งสอนและหลอกลวงมนุษย์ในหนทางนี้ ทำให้พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทรงสร้างและอธิปไตยของพระเจ้า หากไร้ซึ่งการหลอกลวงและการควบคุมของซาตานแล้ว มวลมนุษย์ย่อมจะสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ และพวกเขาย่อมจะรู้ว่าตนเองถูกสร้างโดยพระเจ้า รู้ว่าชีวิตของตนได้รับประทานจากพระเจ้า พวกเขาจะรู้ว่าทุกสิ่งที่ตนมีล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ และเป็นพระเจ้าที่พวกเขาควรขอบคุณ หากใครสักคนช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ควรยอมรับการนั้นจากพระเจ้า—โดยเฉพาะบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา การนี้ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง มนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือในการปรนนิบัติ หากใครบางคนสามารถละวางบิดามารดาของพวกเขา หรือสามี (หรือภรรยา) และลูกๆ ของพวกเขาลงได้เพื่อที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว คนคนนั้นย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นและจะมีสำนึกแห่งความชอบธรรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเฉพาะพระพักตร์ขพระองค์ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะหลุดพ้นจากพันธนาการของการศึกษาระดับชาติ รวมถึงแนวคิดทางวัฒนธรรมดั้งเดิม มโนคติอันหลงผิด และถ้อยแถลงทางศีลธรรม เพราะพิษและปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้หยั่งรากลึกลงในหัวใจของผู้คนมานานแล้ว ก่อกำเนิดเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกประเภทที่กีดกันพวกเขาจากการฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเชื่อฟังพระองค์ ในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ขาดพร่องความเต็มใจขั้นพื้นฐานในการนำความจริงมาปฏิบัติและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นผู้คนจึงกบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระเจ้า พวกเขาอาจทรยศพระองค์และละทิ้งพระองค์ได้ทุกเมื่อ หากคนเรามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และมีพิษและปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่ในตัว พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? คนเราสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบต่อพระเจ้าได้หรือไม่? เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าพระองค์เอง เช่นนั้นแล้วมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ความรอดและไม่อาจถูกชำระให้สะอาดจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงได้ ต่อให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและเต็มใจที่จะติดตามพระองค์ พวกเขาก็ไม่สามารถรับฟังพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ได้ เพราะการที่ผู้คนจะยอมรับความจริงได้นั้นใช้ความพยายามมากเกินไป เพราะฉะนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงต้องนำด้วยการไล่ตามเสาะหาการรู้จักตนเองและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเสียก่อน เมื่อนั้นเท่านั้นที่การยอมรับความจริงจะง่ายขึ้น ไม่ว่าอย่างไรการรู้จักตนเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงผู้ที่ยอมรับความจริงเท่านั้นที่สามารถรู้จักตนเองได้ ด้วยเหตุนี้การรู้จักตนเองจึงสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่พวกเจ้าต้องไม่มองข้าม
ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะยอมรับความจริง และเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่พวกเขาจะรู้จักตนเอง หากพวกเขาต้องการที่จะสัมฤทธิ์ความรอด พวกเขาต้องมารู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของตนเอง เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงมาปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ผู้คนส่วนมากที่เชื่อในพระเจ้านั้นพึงพอใจแค่กับการสามารถกล่าวคำพูดและคำสอน โดยคิดว่าตนเองเข้าใจความจริง นี่คือความผิดพลาดอันใหญ่หลวง เพราะคนที่ไม่รู้จักตนเองย่อมไม่เข้าใจความจริง ด้วยเหตุนี้ ผู้คนต้องมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเองเพื่อการเข้าใจและได้มาซึ่งความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ไม่ว่าพวกเราอยู่ที่ไหนหรือเวลาใด และไม่ว่าพวกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นไร หากพวกเราสามารถมารู้จักตนเอง ขุดคุ้ยและชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง รวมถึงปฏิบัติต่อการรู้จักตนเองว่าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดอันดับแรกของพวกเรา เช่นนั้นย่อมแน่นอนว่าพวกเราจะได้รับอะไรบางอย่าง และจะค่อยๆ รู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันพวกเราก็จะปฏิบัติความจริง ปฏิบัติการรักและเชื่อฟังพระเจ้า อีกทั้งเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นความจริงก็จะกลายเป็นชีวิตของพวกเราไปโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามหากเจ้าไม่เข้าไปสู่การรู้จักตนเองเลย การที่เจ้าบอกว่าเจ้าปฏิบัติความจริงย่อมเป็นเท็จ เหตุเพราะเจ้าตามืดบอดจากปรากฏการณ์แบบผิวเผินทุกรูปแบบ เจ้ารู้สึกราวกับว่าพฤติกรรมของเจ้าได้พัฒนาขึ้นแล้ว รู้สึกว่าเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รู้สึกว่าเจ้าสุภาพอ่อนโยนมากขึ้น คำนึงถึงและผ่อนปรนต่อผู้อื่นมากขึ้น รวมถึงอดทนและให้อภัยผู้คนได้มากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ เจ้าคิดว่าตนเองใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติแล้ว และคิดว่าตนเองเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมคนหนึ่ง แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เจ้ายังไม่เป็นไปตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระองค์ และเจ้าก็ยังห่างไกลจากการเชื่อฟังและนมัสการพระองค์อย่างแท้จริงอยู่มาก นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เจ้ายังไม่มีความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย และยังห่างไกลจากการไปถึงมาตรฐานแห่งความรอด
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
นี่คือสภาพเสมือนของบุคคลที่แท้จริง
ความล้มเหลวคือโอกาสเหมาะอันดีที่สุดในการรู้จักตัวเจ้าเอง
จงเข้าใจตัวเจ้าเองไปตามพระวจนะของพระเจ้า