38. สิ่งที่เป็นสัมพันธภาพระหว่างการยำเกรงพระเจ้าและการหลีกเลี่ยงความชั่ว กับการได้รับการช่วยให้รอด
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอดเมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญคือพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าทรงมีที่ทางในหัวใจของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาสามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและธำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าหรือไม่ สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือผู้คนสามารถปฏิบัติความจริง และบรรลุการเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ นั่นคือเส้นทางและเงื่อนไขของการได้รับการช่วยให้รอด หากหัวใจของเจ้าไม่สามารถมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าและสามัคคีธรรมกับพระเจ้าบ่อยๆ และสูญเสียสัมพันธภาพอันปกติกับพระเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอด เนื่องจากเจ้าได้ปิดกั้นเส้นทางเข้าสู่ความรอดไปแล้ว หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าเลย เจ้าก็มาถึงปลายทางแล้ว หากไม่มีพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอ้างว่าเจ้ามีความเชื่อ ไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้าเพียงในนามเท่านั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าสามารถกล่าวคำสอนได้มากเท่าใด เจ้าทนทุกข์เพื่อความเชื่อในพระเจ้าของเจ้ามามากเพียงใด หรือเจ้ามีพรสวรรค์มากเพียงใด หากหัวใจของเจ้าขาดจากพระเจ้า และเจ้าไม่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่สำคัญว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างไร พระเจ้าจะตรัสว่า “จงออกห่างจากเรา เจ้าคนทำชั่ว” เจ้าจะถูกจัดว่าเป็นคนทำชั่ว เจ้าจะถูกตัดขาดจากพระเจ้า พระองค์จะไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าหรือพระเจ้าของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และยอมรับรู้ว่าพระองค์คือพระผู้สร้าง แต่เจ้าก็ไม่นมัสการพระองค์และไม่นบนอบต่ออธิปไตยของพระองค์ เจ้าติดตามซาตานและพวกมาร มีเพียงซาตานและพวกมารเท่านั้นที่เป็นเจ้านายของเจ้า หากเจ้าเชื่อใจตนเองในทุกสิ่งและทำตามเจตจำนงของเจ้าเอง หากเจ้าไว้วางใจว่าชะตากรรมของเจ้าอยู่ในมือของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าเชื่อก็คือตัวเจ้าเอง ถึงแม้เจ้าจะอ้างว่าเชื่อและยอมรับรู้ในพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ทรงยอมรับรู้ในตัวเจ้า เจ้าไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า และดังนั้นเจ้าจึงถูกลิขิตให้ถูกพระองค์รังเกียจและปฏิเสธ ถูกพระองค์ลงโทษ และถูกพระองค์ขับออกไปในท้ายที่สุด พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนอย่างเจ้าให้รอด ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือผู้ที่ยอมรับว่าพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอด ยอมรับว่าพระองค์คือความจริง หนทาง และชีวิต พวกเขาสามารถสละตนเพื่อพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างจริงใจ พวกเขาผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์และความจริง และพวกเขาเดินไปตามเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาคือผู้คนที่เชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เฉพาะเมื่อผู้คนมีความเชื่อเช่นนี้ในพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด ไม่เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะถูกกล่าวโทษ เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า การที่พวกเขาคิดฝันเฟื่องเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่? ในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา เมื่อผู้คนเกาะติดมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอันคลุมเครือและเป็นนามธรรมของตนเองอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องยอมรับความจริง เชื่อในพระองค์ตามที่พระองค์ทรงขอ และเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถบรรลุความรอด ไม่มีหนทางอื่นนอกเหนือจากนี้—ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าต้องไม่คิดฝันเฟื่องอันใด การสามัคคีธรรมในหัวข้อนี้สำคัญต่อผู้คนมากใช่หรือไม่? นี่คือการปลุกพวกเจ้าให้ตื่น
บัดนี้ที่พวกเจ้าได้ฟังข้อความเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าก็ควรเข้าใจความจริงและชัดเจนว่าความรอดพ่วงเอาสิ่งใดมาด้วย สิ่งที่ผู้คนชอบ สิ่งที่พวกเขาเพียรพยายาม สิ่งที่พวกเขาหลงใหล—ทั้งหมดนี้หาได้สำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยอมรับความจริง เมื่อได้พิจารณารอบด้านแล้ว การสามารถที่จะได้รับความจริงนั่นเองคือสิ่งสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่สามารถเปิดโอกาสให้เจ้าเกิดความยำเกรงพระเจ้า และการหลีกเลี่ยงความชั่วย่อมเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและมุ่งเน้นที่จะไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความจริงเสมอมา เช่นนั้นแล้วความเชื่อของเจ้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลย และไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เจ้าอาจอ้างว่าเชื่อและยอมรับรู้ในพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงควบคุมชะตากรรมของเจ้า เจ้าไม่นบนอบต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้แก่เจ้า เจ้าไม่ยอมรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าคือความจริง—ในกรณีเช่นนี้ ความหวังในความรอดของเจ้าย่อมพังทลายไปแล้ว หากเจ้าไม่สามารถเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้ เจ้าก็เดินบนเส้นทางแห่งการทำลายล้าง หากทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าไล่ตามเสาะหา มุ่งเน้น อธิษฐาน และวิงวอนขอเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและตามที่พระเจ้าทรงขอ และหากเจ้ารู้สึกมากขึ้นว่าเจ้าเชื่อฟังพระผู้สร้างและนมัสการพระผู้สร้าง และรู้สึกว่าพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าของเจ้า หากเจ้าเปรมปรีดิ์ยิ่งขึ้นที่จะเชื่อฟังทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเรียบเรียงและจัดการเตรียมการให้แก่เจ้า และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ายิ่งใกล้ชิดมากขึ้นทุกที และเป็นปกติยิ่งขึ้นทุกที และหากความรักพระเจ้าของเจ้านั้นบริสุทธิ์และจริงแท้ยิ่งขึ้นทุกที เช่นนั้นแล้วความคับข้องใจและความเข้าใจผิดที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า และความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อที่เจ้ามีต่อพระเจ้าก็จะน้อยลงทุกที และเจ้าย่อมจะบรรลุความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วโดยบริบูรณ์แล้ว ซึ่งหมายความว่าเจ้าย่อมจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอดแล้ว แม้ว่าการเดินบนเส้นทางแห่งความรอดจะมาพร้อมกับการบ่มวินัย การตัดแต่ง การจัดการ การพิพากษา และการตีสอนของพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดมากมาย นี่ก็คือความรักของพระเจ้าที่มาถึงตัวเจ้า หากเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าการได้รับพรเท่านั้น และไล่ตามไขว่คว้าเพียงสถานะ เกียรติยศ และผลประโยชน์เท่านั้น และไม่เคยถูกบ่มวินัย หรือถูกตัดแต่งและจัดการ หรือถูกพิพากษาและตีสอน เช่นนั้นแล้วแม้เจ้าอาจมีชีวิตที่สบาย หัวใจของเจ้าก็จะไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะสูญเสียสัมพันธภาพตามปกติกับพระเจ้า และเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าอีกด้วย เจ้าจะอยากเป็นนายของตนเอง—ซึ่งทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่าเส้นทางที่เจ้าเดินไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง หากเจ้าผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาระยะหนึ่งและสำนึกมากขึ้นว่ามวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึกมากและโน้มเอียงที่จะต้านทานพระเจ้ามากเพียงใด และหากเจ้ากระวนกระวายใจว่าอาจมีสักวันที่เจ้าจะทำบางสิ่งที่ต้านทานพระเจ้า และกลัวว่าเจ้ามีแนวโน้มที่จะล่วงเกินพระเจ้าและถูกพระองค์ทอดทิ้ง และด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดน่าขวัญผวามากไปกว่าการต่อต้านพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าเมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องไม่ไถลห่างจากพระเจ้า หากพวกเขาไถลห่างจากพระเจ้า หากพวกเขาไถลห่างจากการบ่มวินัยของพระเจ้า จากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ก็เทียบเท่ากับการสูญเสียการปกป้องและการดูแลห่วงใยของพระเจ้า เทียบเท่ากับการสูญเสียพรจากพระเจ้า และทุกสิ่งย่อมจบสิ้นแล้วสำหรับผู้คน พวกเขาทำได้เพียงชั่วช้ายิ่งขึ้นทุกทีเท่านั้น พวกเขาจะเป็นเหมือนผู้คนในศาสนาและยังคงหมิ่นเหม่ที่จะต่อต้านพระเจ้าแม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า—และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ไปแล้ว หากเจ้าสามารถตระหนักดังนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! ได้โปรดพิพากษาและตีสอนข้าพระองค์ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์ทำ ข้าพระองค์อ้อนวอนขอให้ทรงเฝ้ามองข้าพระองค์ หากข้าพระองค์ทำบางสิ่งที่ละเมิดความจริงและละเมิดน้ำพระทัยของพระองค์ ขอได้โปรดพิพากษาและตีสอนข้าพระองค์อย่างหนัก—ข้าพระองค์ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์” นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องที่ผู้คนควรเดินในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด
มีคติพจน์หนึ่งที่พวกเจ้าควรจดบันทึกไว้ เราเชื่อว่าคติพจน์นี้สำคัญมาก เพราะสำหรับเราแล้ว มันเข้ามาในความคิดจิตใจนับครั้งไม่ถ้วนในทุกๆ วัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เป็นเพราะทุกครั้งที่เราต้องเผชิญหน้ากับใครบางคน ทุกครั้งที่เราได้ยินเรื่องราวของใครบางคน และทุกครั้งที่เราได้รับฟังประสบการณ์หรือคำพยานของบุคคลหนึ่งเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า เรามักจะใช้คติพจน์นี้เพื่อกำหนดพิจารณาในหัวใจของเราเสมอ ว่าบุคคลผู้นี้เป็นบุคคลชนิดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์และเป็นบุคคลชนิดที่พระเจ้าทรงชอบหรือไม่ ดังนั้น เช่นนั้นแล้วคติพจน์นี้คืออะไรหรือ? ตอนนี้เราได้ทำให้พวกเจ้าสนใจจนนั่งไม่ติดแล้ว เมื่อเราเปิดเผยคติพจน์นั้น บางทีพวกเจ้าจะรู้สึกผิดหวัง เพราะมีบางคนได้พูดคติพจน์นั้นพล่อยๆ เพียงลมปากมานานหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม เราไม่เคยพูดคติพจน์นั้นพล่อยๆ เพียงลมปากเลยแม้สักครั้ง คติพจน์นี้พักอาศัยอยู่ในหัวใจเรา ดังนั้นคติพจน์นี้คืออะไรเล่า? คติพจน์นี้ก็คือ “จงเดินตามทางของพระเจ้า นั่นคือ จงยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” นี่ไม่ใช่วลีที่เรียบง่ายเหลือเกินกระนั้นหรือ? ถึงอย่างนั้นก็ตาม แม้จะมีความเรียบง่าย แต่ผู้คนที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในคำพูดเหล่านี้อย่างแท้จริง จะรู้สึกว่าพวกมันมีความหนักแน่นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคติพจน์นี้มีคุณค่ามากต่อการฝึกฝนปฏิบัติของคนเรา รู้สึกว่ามันเป็นบรรทัดหนึ่งจากภาษาแห่งชีวิตที่ประกอบด้วยความเป็นจริงความจริง รู้สึกว่ามันเป็นตัวแทนของวัตถุประสงค์ตลอดชีพสำหรับพวกที่กำลังพยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และรู้สึกว่ามันเป็นหนทางตลอดชีพที่ใครก็ตามที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าควรทำตาม… ไม่สำคัญว่าความเข้าใจปัจจุบันของพวกเจ้าในคติพจน์นี้จะเป็นอะไร หรือเจ้าจะปฏิบัติต่อคติพจน์นี้อย่างไร เราจะยังคงบอกพวกเจ้าดังนี้ว่า หากผู้คนสามารถนำคำพูดของคติพจน์นี้ไปปฏิบัติ และรับประสบการณ์กับคำพูดเหล่านั้น และสัมฤทธิ์มาตรฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมั่นใจว่าจะเป็นผู้อยู่รอดและแน่ใจว่าจะมีจุดจบที่ดี อย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าไม่สามารถตอบสนองมาตรฐานที่คติพจน์นี้ได้กำหนดไว้ เช่นนั้นแล้วอาจกล่าวได้ว่าจะไม่มีใครรู้จุดจบของพวกเจ้าเลย
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระองค์ประทานพระวจนะให้แก่ผู้คนไว้บ้างและตรัสบอกความจริงบางประการแก่พวกเขา ความจริงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหนทางที่ผู้คนควรยึดติด เป็นหนทางที่พวกเขาควรเดินตาม เป็นหนทางที่ทำให้พวกเขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเป็นหนทางที่ผู้คนควรนำไปฝึกฝนปฏิบัติและยึดติดในชีวิตของพวกเขาและตลอดครรลองแห่งการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา เป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้นั่นเองพระเจ้าจึงทรงแสดงถ้อยดำรัสเหล่านี้ต่อมนุษยชาติ พระวจนะเหล่านี้ซึ่งมาจากพระเจ้าควรได้รับการยึดติดโดยผู้คน และการยึดติดในพระวจนะเหล่านี้คือการรับชีวิตเอาไว้ หากบุคคลผู้หนึ่งไม่ยึดติดในพระวจนะเหล่านี้ ไม่นำพระวจนะเหล่านี้ไปฝึกฝนปฏิบัติ และไม่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็จะไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้คนไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้กำลังยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว อีกทั้งไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ ผู้คนที่ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ไม่สามารถรับคำสรรเสริญของพระองค์ได้ และผู้คนเช่นนี้ก็จะไม่มีจุดจบ
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีความจำเป็นและมีความสำคัญเหนือธรรมดา เพราะทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในตัวมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์และความรอดของมวลมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้ว พระราชกิจที่พระเจ้าทำในตัวโยบก็ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าโยบจะเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงทำสิ่งนั้นด้วยวิธีการใด ไม่ว่าในราคาใด ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของพระองค์คืออะไร จุดประสงค์แห่งการกระทำของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง จุดประสงค์ของพระองค์คือการสอดแทรกพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในตัวมนุษย์ รวมทั้งข้อพึงประสงค์และเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เพื่อทำให้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าสอดคล้องในเชิงบวกกับขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์แทรกซึมเข้าไปในตัวมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและจับใจความเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้มนุษย์นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์บรรลุความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว—ทั้งหมดนี้คือแง่มุมหนึ่งของจุดประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่า เนื่องจากซาตานคือวัตถุปรนนิบัติที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์จึงมักจะถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน นี่คือวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นความชั่วร้าย ความน่าเกลียด และความน่าเหยียดหยามของซาตานในการทดลองและการโจมตีของซาตาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเกลียดชังซาตานและสามารถรู้จักและระลึกรู้สิ่งที่เป็นลบ กระบวนการนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมและการกล่าวหา การก่อกวน และการโจมตีของซาตาน—จนกระทั่งพวกเขามีชัยชนะเหนือการโจมตีและการกล่าวหาของซาตาน ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้า และความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้พ้นจากอำนาจของซาตานโดยครบบริบูรณ์ การช่วยผู้คนให้รอดพ้นหมายความว่าซาตานได้พ่ายแพ้แล้ว หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่อาหารในปากของซาตานอีกต่อไป—แทนที่จะกลืนพวกเขา ซาตานก็ได้ปล่อยพวกเขาไป นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นเป็นคนเที่ยงธรรม เพราะพวกเขามีความเชื่อ มีการนบนอบ และมีความยำเกรงพระเจ้า และเพราะพวกเขาแตกหักกับซาตานโดยสิ้นเชิง พวกเขานำความอับอายมาให้ซาตาน พวกเขาทำให้ซาตานขลาดกลัว และพวกเขาทำให้ซาตานปราชัยอย่างเด็ดขาด ความเชื่อมั่นในการติดตามพระเจ้า การนบนอบและความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าทำให้ซาตานปราชัย และทำให้ซาตานยอมปล่อยมือจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้อย่างแท้จริง และนี่เองคือวัตถุประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด หากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด และปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้โดยบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ติดตามพระเจ้าทั้งหมดต้องเผชิญหน้ากับการทดลองและการโจมตีทั้งใหญ่และเล็กจากซาตาน บรรดาผู้ที่รอดพ้นจากการทดลองและการโจมตีเหล่านี้และสามารถทำให้ซาตานปราชัยได้อย่างหมดรูปคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงช่วยให้รอด นี่หมายความว่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดคือผู้ที่ก้าวผ่านบททดสอบของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ถูกซาตานทดลองและโจมตีมานับครั้งไม่ถ้วน บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นเข้าใจเจตนารมณ์และข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และสามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาไม่ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเมื่ออยู่ท่ามกลางการทดลองของซาตาน บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นครองความซื่อสัตย์ พวกเขาใจดี พวกเขาจำแนกความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียด พวกเขามีสำนึกของความยุติธรรมและมีเหตุผล และพวกเขาสามารถที่จะเอาใจใส่พระเจ้าและทะนุถนอมความล้ำค่าของทั้งหมดที่เป็นของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไม่ถูกซาตานพันธนาการ สอดแนม กล่าวหา หรือทารุณ พวกเขาเป็นอิสระโดยบริบูรณ์ พวกเขามีเสรีภาพและได้รับการปลดปล่อยโดยสมบูรณ์ โยบก็เป็นมนุษย์ที่มีอิสรภาพเช่นนั้น และแน่นอนว่านี่คือความสำคัญของการที่พระเจ้าทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตาน
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2
เมื่อพระเจ้าทรงต้องประสงค์ได้รับหัวใจของใครสักคน พระองค์จะทรงให้บุคคลผู้นั้นก้าวผ่านบททดสอบมากมาย ในระหว่างบททดสอบเหล่านี้ หากพระเจ้าไม่ทรงได้รับหัวใจของบุคคลผู้นั้นหรือเห็นว่าบุคคลผู้นี้มีท่าทีใดๆ—กล่าวคือ หากพระเจ้าไม่ทรงเห็นบุคคลผู้นี้ฝึกฝนปฏิบัติหรือประพฤติตนในวิธีที่แสดงให้เห็นความยำเกรงต่อพระองค์ และหากพระองค์ไม่ทรงเห็นท่าทีและปณิธานที่หลบเลี่ยงความชั่วในบุคคลผู้นี้—เช่นนั้นแล้ว หลังบททดสอบมากมาย ความอดทนของพระเจ้าต่อพวกเขาก็จะถูกถอนออกไป และพระองค์จะไม่ทรงทนยอมรับพวกเขาอีกต่อไป พระองค์จะไม่ทรงลองทดสอบบุคคลผู้นี้อีกต่อไป และพระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจกับพวกเขาอีกต่อไป ดังนั้น การนี้แสดงความหมายอะไรเล่าต่อจุดจบของบุคคลผู้นี้? มันหมายความว่าพวกเขาไม่มีจุดจบ บางทีบุคคลผู้นี้อาจไม่ได้ทำชั่ว บางทีพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่สร้างความแตกหักและไม่ได้ก่อเกิดสิ่งใดที่เป็นการรบกวน บางทีพวกเขาอาจไม่ได้ต้านทานพระเจ้าอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม หัวใจของบุคคลผู้นี้ยังคงซ่อนเร้นจากพระเจ้า พวกเขาไม่เคยได้มีท่าทีและทัศนคติที่ชัดเจนต่อพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของพวกเขาได้ถูกมอบให้กับพระองค์หรือว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว พระเจ้าทรงสูญเสียความอดทนกับผู้คนเช่นนี้ และจะไม่ทรงยอมจ่ายราคาใดๆ สำหรับพวกเขา ยื่นความกรุณาใดๆ ให้พวกเขา หรือทรงพระราชกิจกับพวกเขาอีกต่อไป ชีวิตแห่งความเชื่อในพระเจ้าของบุคคลเช่นนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว นี่เป็นเพราะในบททดสอบมากมายทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่พวกเขา พระเจ้าไม่ทรงได้รับผลลัพธ์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวพวกเขา การนี้จะสามารถเห็นได้อย่างไร? ผู้คนเหล่านี้อาจได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี และโดยผิวเผินแล้ว พวกเขาได้ประพฤติตนด้วยความกร้าวแกร่ง พวกเขาได้อ่านหนังสือมากมาย ได้จัดการกับเรื่องทั้งหลายมากมาย ได้เขียนสมุดบันทึกจนเต็มราวสิบกว่าเล่ม และได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญคำพูดและคำสอนมากมาย อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีการเจริญเติบโตที่มองเห็นได้ใดๆ ในตัวพวกเขา ทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงมองไม่เห็น และท่าทีของพวกเขายังคงไม่ชัดเจน กล่าวอีกนัยหนึ่ง หัวใจของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ หัวใจของพวกเขาถูกห่อหุ้มและปิดผนึกไว้เสมอ—หัวใจของพวกเขาถูกปิดผนึกไว้จากพระเจ้า ผลลัพธ์ก็คือ พระองค์ไม่เคยได้ทรงเห็นหัวใจที่แท้จริงของพวกเขา พระองค์ไม่เคยได้ทรงเห็นความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระองค์ในผู้คนเหล่านี้ และยิ่งกว่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ทรงเห็นวิธีที่ผู้คนเหล่านี้เดินตามหนทางของพระองค์ หากถึงตอนนี้พระเจ้ายังคงไม่เคยได้ทรงรับผู้คนเหล่านี้แล้ว พระองค์จะทรงสามารถได้รับพวกเขาในอนาคตหรือไม่? พระองค์ไม่ทรงสามารถ! พระองค์จะทรงพยายามให้ได้มาซึ่งสิ่งทั้งหลายที่ไม่สามารถได้มาต่อไปหรือไม่? พระองค์จะทรงไม่ เช่นนั้นแล้ว อะไรเล่าคือท่าทีปัจจุบันของพระเจ้าต่อผู้คนเช่นนี้? (พระองค์ทรงผลักไสพวกเขาและทรงเพิกเฉยต่อพวกเขา) พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อพวกเขา!
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
พระเจ้าควรหมายที่จะได้รับความยำเกรงและเชื่อฟัง เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่เหมือนกับของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และอยู่เหนือกว่าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าทรงปรากฏด้วยพระองค์เองและทรงคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ และไม่ทรงใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าเพียงเท่านั้นที่ควรค่าแก่ความยำเกรงและการเชื่อฟัง มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการนี้ ดังนั้น ผู้คนทั้งหมดที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์และรู้จักพระองค์อย่างแท้จริงย่อมพัฒนาหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่ปลดปล่อยมโนคติที่หลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์—พวกที่ไม่คำนึงถึงพระองค์ว่าทรงเป็นพระเจ้าเลย—ขาดพร่องหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกพิชิต พวกเขาคือผู้คนที่ไม่เชื่อฟังโดยธรรมชาติ ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะสัมฤทธิ์ผลโดยการทรงพระราชกิจเพื่อให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดได้มีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระผู้สร้าง นมัสการพระองค์ และนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์มีจุดมุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์ หากผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจดังกล่าวไม่มีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย และหากการไม่เชื่อฟังในอดีตของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกขับออกไปอย่างแน่นอน หากท่าทีที่บุคคลหนึ่งมีต่อพระเจ้าเป็นเพียงการเลื่อมใสพระองค์หรือการแสดงความนับถือต่อพระองค์จากที่ไกลๆ และไม่ใช่การรักพระองค์เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือผลลัพธ์ที่บุคคลหนึ่งซึ่งปราศจากหัวใจที่รักพระเจ้าได้มาถึง และบุคคลนั้นขาดเงื่อนไขที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากพระราชกิจมากมายไร้ความสามารถที่จะได้รับความรักที่แท้จริงของบุคคล เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นก็ไม่ได้รับพระเจ้า และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงแท้ บุคคลที่ไม่ได้รักพระเจ้าไม่ได้รักความจริงและดังนั้นจึงไม่สามารถได้รับพระเจ้า แล้วนับประสาอะไรที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไร้ความสามารถที่จะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไรก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาอย่างไรก็ตาม เหล่านี้คือผู้คนที่มีธรรมชาติที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และผู้ที่มีอุปนิสัยชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด ทุกคนที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจะต้องถูกขับออกไป ต้องเป็นเป้าหมายการลงโทษ และต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับผู้ที่ทำความชั่ว และต้องทนทุกข์มากยิ่งกว่าผู้ที่ได้กระทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์
ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์ การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่นบนอบหรือยำเกรงพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและการประพฤติปฏิบัติตนเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้ บรรดาผู้ที่พรั่งพรูการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกกำจัดออกไป ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้คือหมู่มารและเหล่าซาตานอย่างแท้จริง พฤติกรรมของพวกเขารบกวนและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก มันรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง และการนั้นสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้ นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้มักจะมีพระองค์อยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดเวลา และพวกเขาพกพาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หัวใจที่รักพระเจ้า ไว้ภายในพวกเขาเสมอ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างสุขุมและรอบคอบ และทุกอย่างที่พวกเขาทำควรสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระองค์ได้ พวกเขาไม่ควรดื้อรั้น กระทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพอใจ ที่ไม่เหมาะสมกับมารยาทอย่างวิสุทธิชน ผู้คนต้องไม่ก่อความวุ่นวาย โบกธงของพระเจ้าไปทั่วทุกแห่งในขณะที่กรีดกรายและฉ้อโกงไปทุกที่ นี่คือความประพฤติชนิดที่เป็นกบฏมากที่สุด ครอบครัวทั้งหลายมีกฎของตนเอง และชนชาติทั้งหลายก็มีกฎหมายของตน—และจะไม่มีมากกว่านั้นหรือในพระนิเวศของพระเจ้า? พระนิเวศไม่ยิ่งมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากกว่าอีกหรือ? พระนิเวศไม่ยิ่งมีกฤษฎีกาบริหารมากขึ้นไปอีกหรอกหรือ? ผู้คนมีอิสระที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามใจชอบได้ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองจากมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย ผู้คนไม่ได้รู้สิ่งนี้อยู่แล้วจริงๆ หรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง
การที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความอาวุโสของเจ้านั้นมีมากน้อยเพียงใดหรือว่าเจ้าได้ทำงานมาแล้วจนถึงขณะนี้เป็นเวลากี่ปีแล้ว และนับประสาอะไรที่มันจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้สร้างสมวิทยฐานะมามากน้อยเพียงใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าได้ให้ผลแล้วหรือไม่ เจ้าควรที่จะรู้ว่าบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดคือ “ต้นไม้” ที่ให้ผล ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีใบไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้อันอุดมที่ยังไม่เคยออกผลเลย ต่อให้เจ้าได้ใช้เวลาหลายปีร่อนเร่ไปตามท้องถนน นั่นสำคัญอะไรเล่า? คำพยานของเจ้าอยู่ที่ใด? เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าน้อยกว่าที่เจ้ามีในหัวใจซึ่งรักตัวเจ้าเองและความอยากได้อยากมีอันเต็มไปด้วยตัณหาของเจ้ามากมายนัก—บุคคลประเภทนี้ไม่ใช่คนเสื่อมหรอกหรือ? พวกเขาจะสามารถเป็นวัตถุตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับความรอดได้อย่างไร? ธรรมชาติของเจ้านั้นไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าเป็นกบฏมากเกินไป เจ้านั้นเกินกว่าที่จะได้รับความรอด! ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่พวกที่จะถูกกำจัดออกไปหรอกหรือ? เวลาที่งานของเราแล้วเสร็จไม่ใช่เวลาแห่งการมาถึงของวันสุดท้ายของเจ้าหรอกหรือ? เราได้ทำงานมากมายเหลือเกินและได้กล่าววจนะไปมากมายเหลือเกินท่ามกลางพวกเจ้า—สิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใดได้เข้าหูของพวกเจ้าอย่างแท้จริง? สิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใดที่เจ้าได้เคยนบนอบ? เมื่องานของเราสิ้นสุด นั่นจะเป็นเวลาที่เจ้าหยุดต่อต้านเรา เวลาที่เจ้าหยุดยืนต้านเรา ขณะที่เราทำงาน พวกเจ้าปฏิบัติตนต่อต้านเราอยู่เนืองนิตย์ พวกเจ้าไม่เคยปฏิบัติตามวจนะของเรา เราทำงานของเรา และเจ้าก็ทำ “งาน” ของเจ้าเอง สร้างราชอาณาจักรน้อยของเจ้าเอง พวกเจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากฝูงสุนัขจิ้งจอกและสุนัข ทำทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นการต่อต้านเรา! เจ้ากำลังพยายามอยู่เนืองนิตย์ที่จะนำพาพวกที่มอบความรักอันไม่แบ่งแยกของพวกเขาให้แก่เจ้าเข้ามาสู่อ้อมกอดของเจ้า—หัวใจที่เปี่ยมความยำเกรงของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ? ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นหลอกลวง! เจ้าไม่มีการนบนอบหรือความยำเกรงเลย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นหลอกลวงและเป็นการหมิ่นประมาท! ผู้คนเช่นนั้นสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ? พวกมนุษย์ที่ไร้ศีลธรรมในทางเพศและบ้าตัณหาต้องการที่จะดึงดูดหญิงโสเภณียั่วสวาทเข้ามาหาพวกเขาเสมอเพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขาเอง เราจะไม่ช่วยพวกปีศาจที่ไร้ศีลธรรมในทางเพศเช่นนั้นอย่างแน่นอน เราเกลียดชังพวกเจ้าปีศาจโสมม และความบ้าตัณหาและความยั่วสวาทของพวกเจ้าจะผลักพวกเจ้าลงสู่นรก พวกเจ้ามีสิ่งใดหรือที่จะพูดเพื่อตัวพวกเจ้าเอง? พวกเจ้าปีศาจโสมมและวิญญาณชั่วนั้นช่างน่าอาเจียนนัก! เจ้าช่างน่าขยะแขยงนัก! ขยะเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร? พวกเขาที่ติดบ่วงในบาปยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ? ในวันนี้ ความจริงนี้ หนทางนี้ และชีวิตนี้ไม่ได้ดึงดูดใจพวกเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับถูกดึงดูดใจโดยบาปหนา โดยเงินตรา โดยจุดยืน ชื่อเสียง และผลกำไร โดยความชื่นชมยินดีของเนื้อหนัง โดยความหล่อเหลาของพวกผู้ชายและเสน่ห์ของพวกผู้หญิง สิ่งใดหรือที่ทำให้พวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา? ภาพลักษณ์ของพวกเจ้ายิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ สถานะของพวกเจ้าสูงกว่าของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ คงไม่ต้องพูดถึงเกียรติยศของพวกเจ้าท่ามกลางพวกมนุษย์—พวกเจ้าได้กลายเป็นรูปเคารพที่ผู้คนเคารพบูชา เจ้าไม่ได้กลายเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์แล้วหรอกหรือ? เมื่อจุดจบของผู้คนถูกเปิดเผย ซึ่งก็เป็นเวลาที่พระราชกิจแห่งความรอดจะเข้าใกล้ตอนจบด้วยเช่นกัน คนเหล่านั้นมากมายในท่ามกลางพวกเจ้าจะเป็นซากศพที่พ้นวิสัยของการได้รับความรอดและจะต้องถูกกำจัดออกไป ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการช่วยให้รอด เราใจดีและดีต่อผู้คนทั้งหมด เมื่อพระราชกิจสรุปปิดตัวลง จุดจบของผู้คนต่างชนิดกันจะถูกเปิดเผย และในเวลานั้น เราจะไม่เมตตาและดีงามอีกต่อไป ด้วยเหตุที่จุดจบของผู้คนจะได้ถูกเปิดเผยแล้ว และแต่ละคนจะได้ถูกแยกชั้นไปตามประเภทของพวกเขาแล้ว และจะไม่มีประโยชน์เลยในการทำงานแห่งความรอดอันใดอีก เพราะยุคแห่งความรอดจะได้ผ่านไปแล้ว และเมื่อได้ผ่านไปแล้ว มันก็จะไม่หวนคืน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
โดยการยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นจึงจะสามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้
ผู้คนควรเชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า
บุคคลประเภทใดที่เกินกว่าจะได้รับความรอด
มีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้