โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้ กล่าวคือ นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนต้องจับใจความและทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน  หากเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงอย่างเพียงพอ เจ้าจะพลาดพลั้งและหลงเจิ่นอย่างง่ายดาย  หากเจ้าต้องการที่จะเติบโตในชีวิต เจ้าต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าควรจะแสวงหาจนพบวิธีที่จะประพฤติตัวเพื่อที่จะอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริง และค้นพบว่าความแปดเปื้อนที่ดำรงอยู่ภายในตัวเจ้าอันใดที่ฝ่าฝืนความจริง เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้  ไม่ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าควรพิจารณาว่าสิ่งนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ มีคุณค่าและความหมายหรือไม่  เจ้าสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่สอดคล้องกับความจริง แต่เจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงได้  เมื่อคำนึงถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามารถที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้นั้น หากสิ่งเหล่านั้นสามารถถูกปล่อยวางไปได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นไป  มิฉะนั้นแล้ว หากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นบางเวลา และต่อมาในภายหลังก็พบว่าเจ้าควรจะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป เช่นนั้นแล้วจงรีบทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นไปโดยเร็ว  นี่คือหลักการที่เจ้าควรปฏิบัติตามในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ  ผู้คนบางคนยกคำถามนี้ขึ้นว่า เหตุใดการแสวงหาความจริงและนำความจริงมาปฏิบัติจึงลำบากยากเย็นยิ่งนัก—ราวกับว่าเจ้ากำลังพายเรือทวนกระแสน้ำ และคงจะลอยลำไปข้างหลังหากเจ้าหยุดพายไปข้างหน้า?  แต่ทว่าเหตุใดการทำสิ่งที่ชั่วและไร้ความหมายจึงง่ายกว่ามากนัก—ง่ายราวกับการล่องเรือไปตามกระแสน้ำ?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษยชาติคือการทรยศพระเจ้า  ธรรมชาติของซาตานได้มีบทบาทครอบงำอยู่ภายในตัวมนุษย์ และนี่คือกำลังบังคับที่เป็นปฏิปักษ์  แน่นอนว่าพวกมนุษย์ที่มีธรรมชาติที่ทรยศพระเจ้าหมิ่นเหม่อย่างยิ่งที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่ทรยศพระองค์ และการกระทำในเชิงบวกก็ลำบากยากเย็นที่จะปฏิบัติสำหรับพวกเขาไปโดยธรรมชาติ  การนี้ถูกตัดสินโดยแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษยชาติทั้งสิ้น  ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและเริ่มที่จะรักความจริงจากภายในตัวเจ้าเอง เจ้าก็จะพบว่าการทำสิ่งทั้งหลายตามความจริงนั้นง่าย  เจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าและปฏิบัติความจริงไปตามปกติ—โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและทำอย่างชื่นบานด้วยซ้ำ และเจ้าจะรู้สึกว่าการทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นลบย่อมต้องใช้ความพยายามอย่างมาก  นี่เป็นเพราะความจริงมีบทบาทครอบครองหัวใจของเจ้าแล้ว  หากเจ้าเข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีเส้นทางให้ติดตามว่าจะเป็นบุคคลประเภทใด ทำอย่างไรจึงจะเป็นบุคคลที่สุจริตและตรงไปตรงมา บุคคลที่ซื่อสัตย์ และเป็นใครบางคนที่เป็นพยานให้พระเจ้าและรับใช้พระองค์  และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่มีวันสามารถก่อเรื่องชั่วที่ท้าทายพระองค์ได้อีก อีกทั้งเจ้าจะไม่แสดงบทบาทของผู้นำเทียมเท็จ คนงานเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์อีกเลย  ต่อให้ซาตานชักพาให้เจ้าหลงผิด หรือใครบางคนที่ชั่วร้ายยุยงเจ้า เจ้าก็จะไม่ทำการนั้น ไม่สำคัญว่าผู้ใดพยายามที่จะบีบบังคับเจ้า เจ้าก็จะยังคงไม่กระทำหนทางนั้น  หากผู้คนได้มาซึ่งความจริง และความจริงกลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถเกลียดความชั่วและรู้สึกถึงความขยะแขยงจากภายในที่มีต่อสิ่งที่เป็นเชิงลบทั้งหลาย  นั่นคงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะก่อความชั่ว เพราะอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และพวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าแล้ว

หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง  ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!  เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขธรรมชาติของตนเสียก่อน  หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นความเสื่อมทรามของเจ้าเอง และตระหนักรู้ความน่ารังเกียจและความน่าเกลียดของความโอหังและความทะนงตน เมื่อนั้นเจ้าจะรู้สึกขยะแขยง คลื่นเหียน และทุกข์โศก  เจ้าจะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้อย่างมีจิตสำนึก และในการทำเช่นนี้จะรู้สึกสบายใจ  เจ้าจะสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า เป็นพยานให้พระเจ้าได้อย่างมีสติ และในหัวใจของเจ้า เจ้าจะรู้สึกถึงความชื่นชมยินดี  เจ้าจะถอดหน้ากากตัวเองอย่างมีจิตสำนึก โดยเปิดโปงความน่าเกลียดของเจ้าเอง และด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกดีอยู่ภายในและรู้สึกว่าตัวเจ้าเองอยู่ในสภาวะจิตใจที่ปรับปรุงดีขึ้น  ขั้นตอนแรกของการแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าก็คือการพยายามที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและพยายามที่จะเข้าสู่ความจริง  มีเพียงโดยการเข้าใจความจริงเท่านั้นเจ้าจึงสามารถที่จะบรรลุถึงการหยั่งรู้ได้ มีเพียงด้วยการมีการหยั่งรู้เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้อย่างถี่ถ้วน มีเพียงเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เฉพาะเมื่อเจ้ารู้จักตนเองอย่างแท้จริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถกบฏต่อเนื้อหนังและดังนั้นจึงนำความจริงไปปฏิบัติได้ อันเป็นการค่อยๆ นำเจ้าไปสู่การนบนอบพระเจ้า และทีละขั้นทีละตอนเจ้าก็จะอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องพร้อมกับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า  การนี้เชื่อมโยงกับการที่ผู้คนมีความเด็ดเดี่ยวเพียงใดเมื่อไล่ตามเสาะหาความจริง  หากใครบางคนมุ่งมั่นอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว หลังจากหกเดือนหรือปีหนึ่งพวกเขาก็จะเริ่มอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้อง  ภายในสามหรือห้าปี พวกเขาจะมองเห็นผลลัพธ์ และจะรู้สึกว่าพวกเขากำลังมีความก้าวหน้าในชีวิต  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่เคยมุ่งเน้นที่จะปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถเชื่อได้นานสิบหรือยี่สิบปีโดยที่ไม่มีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงใดๆ  แล้วในที่สุดพวกเขาก็จะคิดว่านั่นคือความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะคิดว่านั่นเหมือนกับวิธีดำรงชีวิตในสังคมทางโลกของพวกเขาก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก และคิดว่าการมีชีวิตอยู่นั้นไร้ความหมาย  นี่แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่า หากไม่มีความจริง ชีวิตก็ว่างเปล่า  พวกเขาอาจจะสามารถกล่าววาจาและคำสอนบางอย่าง แต่พวกเขาจะรู้สึกไม่สบายใจและลำบากใจอยู่ดี  หากผู้คนมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย และสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรู้สึกว่านี่คือชีวิตจริง รู้สึกว่ามีเพียงโดยการดำรงชีวิตในหนทางนี้เท่านั้นชีวิตของพวกเขาจึงจะมีความหมาย และรู้สึกว่าพวกเขาต้องดำรงชีวิตในหนทางนี้เพื่อที่จะนำความพึงพอพระทัยมาให้พระเจ้า ตอบแทนพระเจ้า และรู้สึกสบายใจ  หากพวกเขาสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย นำความจริงไปปฏิบัติ ขบถต่อตนเอง ละทิ้งแนวคิดของพวกเขาเอง นบนอบและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้โดยมีสติรู้ตัว—หากพวกเขาสามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างมีสติรู้ตัว—เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือความหมายของการนำความจริงไปปฏิบัติให้ถูกต้อง และนำความจริงไปปฏิบัติอย่างแท้จริง  นี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เพียงพึ่งพาความคิดฝันและทำตามข้อบังคับเท่านั้น และคิดว่านี่คือการปฏิบัติความจริง  อันที่จริง การพึ่งพาความคิดฝันและการทำตามข้อบังคับนั้นเหน็ดเหนื่อยมาก การไม่เข้าใจความจริงและทำสิ่งทั้งหลายโดยปราศจากหลักธรรมก็เหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน และการทำสิ่งทั้งหลายอย่างมืดบอดโดยไม่มีเป้าหมายยิ่งเหน็ดเหนื่อยกว่าเสียอีก  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าจะไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดตีกรอบ และเจ้าจะมีอิสรภาพและได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง  เจ้าจะกระทำการในหนทางที่มีหลักธรรม และผ่อนคลายและมีความสุข และเจ้าจะไม่รู้สึกว่านี่ใช้ความพยายามมากเกินไปหรือทำให้เกิดความทุกข์มากเกินไป  หากเจ้ามีสภาวะเช่นนี้ เจ้าย่อมมีความจริงและสภาวะความเป็นมนุษย์ และเจ้าคือใครบางคนที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ในกระบวนการของประสบการณ์ชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง และไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ถ้วนทั่วตามพระวจนะของพระเจ้าและตามความจริง  เมื่อเจ้ารู้วิธีทำสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เจ้าก็จะสามารถปล่อยมือจากสิ่งที่มาจากเจตจำนงของเจ้าเอง  ทันทีที่เจ้ารู้วิธีกระทำการตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าก็ควรกระทำการไปตามนั้นเท่านั้น ราวกับว่ากำลังไหลไปตามกระแสของธรรมชาติ  กล่าวคือ การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้จะรู้สึกผ่อนคลายและง่ายมาก นี่คือวิธีที่ผู้คนที่เข้าใจความจริงกระทำสิ่งต่างๆ  หากเจ้าสามารถแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเจ้ามีประสิทธิผลอย่างแท้จริงเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเห็นว่ามีหลักธรรมในวิธีที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย ว่าอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ ว่าเจ้าได้ทำสิ่งดีๆ มากมายเพื่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครบางคนที่เข้าใจความจริง และมีสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแน่นอน และย่อมมีผลลัพธ์ในการที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเป็นแน่  ทันทีที่ใครบางคนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถวินิจฉัยสภาวะต่างๆ ของตนได้ พวกเขาจะสามารถมองเห็นเรื่องราวที่ซับซ้อนได้อย่างชัดเจน และดังนั้นพวกเขาย่อมจะรู้วิธีปฏิบัติที่เหมาะสม  หากบุคคลหนึ่งไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถวินิจฉัยสภาวะของตนเองได้ เช่นนั้นแล้วหากพวกเขาต้องการขัดขืนตนเอง พวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าควรขัดขืนสิ่งใดหรือขัดขืนอย่างไร  หากพวกเขาต้องการละทิ้งเจตจำนงของตนเอง พวกเขาก็จะไม่รู้ว่ามีสิ่งใดผิดในเจตจำนงของตน พวกเขาจะคิดว่าเจตจำนงของตนสอดคล้องกับความจริง และอาจถึงกับถือว่าเจตจำนงของตนเองคือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บุคคลเช่นนี้จะทอดทิ้งเจตจำนงของตนเองได้อย่างไร?  พวกเขาจะไม่สามารถทำเช่นนั้น และพวกเขายิ่งจะไม่สามารถขัดขืนเนื้อหนัง  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะสำคัญผิดได้ง่ายว่าสิ่งที่มาจากเจตจำนงของตัวเจ้าเอง สิ่งทั้งหลายที่พ้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และความเมตตา ความรัก ความทุกข์ และการยอมลำบากของตัวคนเราเองนั้นถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถขัดขืนสิ่งเหล่านี้ของมนุษย์ได้อย่างไร?  เจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าไม่รู้ว่าการปฏิบัติความจริงหมายความเช่นไร  เจ้าอยู่ในความมืดโดยสิ้นเชิงและเจ้าไม่สามารถรู้ได้ว่าต้องทำอะไร ดังนั้นเจ้าจึงทำได้แต่สิ่งที่เจ้าคิดว่าดีเท่านั้น และผลก็คือมีความบิดเบือนในการกระทำบางประการของเจ้า  สิ่งเหล่านี้บางส่วนเป็นเพราะการทำตามข้อบังคับ บางส่วนเป็นเพราะความกระตือรือร้น และบางส่วนเป็นเพราะการก่อกวนของซาตาน  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงเป็นเช่นนี้  พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นอย่างมากเวลาทำสิ่งต่างๆ และเบี่ยงเบนอย่างไม่เคยเปลี่ยน ไม่มีความถูกต้องแม่นยำอันใดเลย  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมมองเห็นสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ไร้สาระเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีผิด  พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างไร?  การเข้าใจความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ว่าขีดความสามารถของคนเราจะสูงหรือต่ำเพียงใด ต่อให้ผ่านประสบการณ์มาแล้วทั้งชีวิต จำนวนความจริงที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ย่อมมีจำกัด และจำนวนพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ก็มีจำกัดเช่นกัน  เมื่อเทียบกันแล้วผู้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าคือผู้คนที่เข้าใจความจริงอยู่บ้าง และอย่างมากพวกเขาก็สามารถเลิกทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าและเลิกทำสิ่งที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดได้  เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกระทำการโดยไม่มีเจตนาของตนเองเจือปนอยู่เลย  เนื่องจากมนุษย์มีการคิดอ่านที่ปกติและความคิดของพวกเขาอาจไม่คล้อยตามพระวจนะของพระเจ้าเสมอไป การมีเจตจำนงของพวกเขาเองเข้ามาเจือปนจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  สิ่งสำคัญคือการมีวิจารณญาณในทุกสิ่งที่มาจากเจตจำนงของคนเราเองและขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และขัดแย้งกับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่พึงต้องให้เจ้าทำงานหนักเพื่อที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะมีวิจารณญาณ และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถทำให้แน่ใจได้ว่าเจ้าจะไม่ทำชั่ว

ในการแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เจ้าต้องพยายามรู้จักตนเอง แล้วจากนั้นก็ลงลึกถึงระดับที่เจ้าจะสามารถค้นพบสารพัดพิษเยี่ยงซาตานที่นอนอยู่ภายในธรรมชาติของเจ้าได้  เจ้าต้องรู้ว่าการเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าหมายถึงอะไร ตลอดจนการกบฏต่อพระเจ้าหมายถึงอะไร และเจ้าต้องเรียนรู้ว่าการปฏิบัติแบบใดที่สอดคล้องกับความจริงในทุกเรื่อง  เจ้ายังต้องได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติด้วยเช่นกัน  เจ้าต้องครองมโนธรรมและเหตุผลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าต้องไม่พูดอย่างอวดตัวหรือโกงพระเจ้า และเจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ต้านทานพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าแล้ว  ผู้ที่อุปนิสัยของตนเปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นย่อมรู้สึกยำเกรงพระเจ้า และความเป็นกบฏของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าย่อมค่อยๆ ลดทอนลง  ที่มากกว่านั้นก็คือ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาคอยเป็นห่วงพวกเขาอีกต่อไป อีกทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงพระราชกิจบ่มวินัยพวกเขาอยู่เสมอ  โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้า และทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายก็สอดคล้องกับความจริง  ทั้งหมดนี้รวมแล้วก็คือการได้กลายมาเป็นเข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว  สมมุติว่ามีคนมอบหมายงานบางอย่างให้แก่เจ้า  เจ้าย่อมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบริหารจัดการเจ้า ควบคุมดูแลเจ้า  เจ้าสามารถทำงานนี้ให้เสร็จโดยใช้เพียงพระวจนะของพระเจ้าและการอธิษฐานเท่านั้น  ระหว่างที่ทำงานนี้ เจ้าไม่สุกเอาเผากินหรือโอหัง หรือคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และเจ้าก็ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ในแนวทางของเจ้าเอง เจ้าไม่ได้บีบคั้นใครอื่น และเจ้าก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสงสารเห็นใจ  เจ้าสามารถช่วยให้ทุกคนได้มาซึ่งเสบียงและผลประโยชน์ และเจ้าสามารถนำผู้คนเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ทำงานนี้อยู่ เจ้าก็ไม่แสวงหาสถานะหรือผลประโยชน์ให้แก่ตัวเจ้าเอง ไม่รับเอาสิ่งที่เจ้าไม่สมควรได้ไว้กับตน ไม่พูดจาเข้าข้างตัวเอง และไม่ว่าใครจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม  เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะค่อนข้างดี  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะรับมอบงานบางอย่างและพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  นี่ไม่อาจทำได้หากปราศจากความเป็นจริงความจริง  มีหลายคนที่พึ่งพาพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ในการทำงานแล้วล้มลงและล้มเหลว  แน่นอนที่สุดว่าผู้คนที่ไม่มีความจริงย่อมเชื่อถือไม่ได้ หากพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนก็ยิ่งเชื่อถือไม่ได้เข้าไปใหญ่  ตอนนี้วุฒิภาวะของเจ้าเป็นเช่นไรแล้ว?  เจ้าควรปฏิบัติต่อคนที่ยกยอปอปั้นเจ้าอย่างไร?  หากใครบางคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเจ้าหรือมองเจ้าอย่างตำหนิติเตียน เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรจึงจะเป็นธรรมและสมเหตุสมผล?  เจ้าสามารถส่งเสริมและคัดเลือกผู้คนตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยบริบูรณ์และไม่ใช้ความรู้สึกของเจ้าได้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ด้วยวุฒิภาวะที่พวกเจ้ามีในตอนนี้ได้หรือไม่?  หากคนส่วนใหญ่ประเมินเจ้าไว้ไม่ดีนักหลังจากที่เจ้าทำงานในที่แห่งหนึ่งมานานหลายปี นี่ย่อมหมายความว่าเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้เพียงพอและไม่เหมาะที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งาน  หากคนส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นดีและเหมาะสม เช่นนั้นโดยพื้นฐานแล้วเจ้าก็เหมาะแก่การใช้งาน  หากเจ้าไม่มีความจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไปถึงขั้นที่เจ้านั้นเหมาะแก่การให้พระเจ้าทรงใช้งาน เจ้าต้องได้มาซึ่งความจริงก่อนจึงจะเหมาะ

ในการไล่ตามเสาะหาชีวิต เจ้าต้องให้ความสนใจกับสองสิ่ง กล่าวคือ สิ่งแรก การเข้าใจความจริงภายในพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่สอง การเข้าใจตัวเจ้าเองภายในพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือสิ่งพื้นฐานสองสิ่งที่สำคัญที่สุด  ไม่มีชีวิตหรือความจริงที่อยู่นอกพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าไม่แสวงความจริงภายในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถไปแสวงหาสิ่งนั้นได้ที่ใด?  ที่ใดในโลกที่มีความจริง?  หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนของโลกรายงานข่าวเรื่องพระวจนะของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  พรรคการเมืองทั้งหลายของโลกเป็นพยานให้พระเจ้าหรือไม่?  การเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าอย่างเปิดเผยนั้นทำได้ในประเทศใดก็ได้ในโลกหรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่  นี่คือสาเหตุที่ไม่มีความจริงอยู่ในโลก สาเหตุที่ซาตานมารร้ายครองโลก และสาเหตุที่โลกมืดมิดและชั่ว  มีความจริงแม้สักอณูหนึ่งในที่ใดบ้าง?  ส่วนสำคัญที่สุดของการเข้าใจความจริงในพระวจนะของพระเจ้าก็คือ การเข้าใจพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ การเข้าใจชีวิตมนุษย์ภายในพระวจนะของพระองค์ เข้าใจตนเองอย่างแท้จริงและค้นพบความหมายแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ภายในพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งแง่มุมอื่นๆ ของความจริง  ความจริงทั้งปวงล้วนดำรงอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าจะไม่สามารถเข้าสู่ความจริงได้นอกเสียจากจะผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยการมีประสบการณ์กับพระวจนะและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริง และการเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงย่อมหมายถึงการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด  ผู้คนบางคนทำงานและประกาศ แต่ภายนอกแล้วแม้จะดูเหมือนว่ากำลังสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็เพียงกำลังเสวนาความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระองค์เท่านั้น และไม่มีการเอ่ยถึงสิ่งใดที่เป็นเนื้อแท้เลย  การเทศนาของพวกเขาเป็นเหมือนคำสอนจากตำราภาษา—จัดการเตรียมการทีละรายการและทีละแง่มุม และเมื่อการเทศนาเหล่านั้นได้เสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนก็ขับร้องการสรรเสริญ พลางพูดว่า “บุคคลนี้ครองความเป็นจริง  เขาได้ประกาศอย่างดีเหลือเกินและลงรายละเอียดมากเลยทีเดียว”  หลังจากที่ผู้คนเช่นนั้นประกาศเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็บอกให้คนอื่นรวบรวมคำเทศนาของพวกเขาและแจกจ่ายคำเทศนาเหล่านั้นให้ทั่วคริสตจักร  ในการทำเช่นนี้ พวกเขาได้กลายเป็นใครบางคนที่ชักพาผู้คนให้หลงผิด  พวกเขากล่าวอ้างถึงพระวจนะของพระเจ้าในคำเทศนาทั้งหลาย และคำเทศนาของพวกเขาก็ฟังดูเหมือนว่าสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขากล่าวอ้างถึงสิ่งต่างๆ นอกบริบทและให้การตีความที่ห่างไกลจากความจริงและขัดกับหลักธรรม  ด้วยการใช้วิจารณญาณให้รอบคอบยิ่งขึ้น เจ้าก็จะมองเห็นว่าคำเทศนาเหล่านั้นเป็นเพียงคำพูดและคำสอน ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และเป็นบางสิ่งที่ตีกรอบพระเจ้า  สามัคคีธรรมและการประกาศประเภทนี้ย่อมกอปรกันขึ้นเป็นการขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือการรับใช้ที่ต้านทานพระเจ้า  คนที่มีเหตุผลต้องขีดเส้นตีวงให้กับวาจาของตนเอง—พวกเขาควรรู้ว่าตนเองควรกล่าวคำพูดแบบใด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของตน และคำพูดแบบใดที่มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ตรัสได้  มนุษย์ต้องไม่ยืนและกล่าววาจาแทนที่พระเจ้า  ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร ดังนั้นแล้วจะมีผู้ให้คำนิยามพระเจ้าได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะนิยามพระเจ้า  ต้องมีการทำความเข้าใจเรื่องนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล  ในฐานะคนที่มีเหตุผล เจ้าต้องรู้จักที่ทางของตนเอง รู้จักกล่าวสิ่งที่ถูกต้อง และเจ้าต้องไม่พูดสิ่งที่เจ้าไม่ควรกล่าว  ต่อให้พระเจ้าเคยตรัสบอกบางสิ่งแก่เจ้ามาก่อน เจ้าก็ต้องไม่นำไปบอกผู้อื่นต่อ  หากเจ้ามีความเชื่อ หากเจ้ายอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ  การเอาแต่พูดถึงพระวจนะย่อมไม่มีประโยชน์  การอยากให้ผู้อื่นฟังเจ้า เชื่อฟังสิ่งที่เจ้าพูดอยู่เสมอย่อมจะโอหังมิใช่หรือ?  ส่วนเรื่องของพระเจ้านั้น หากเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็เพียงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านั้นเท่านั้น  จงอย่าแสร้งทำเป็นเข้าใจกิจการของพระเจ้าหรือแสร้งทำเป็นผู้รู้ทุกอย่างเป็นอันขาด—นั่นน่ารังเกียจเกินไป!  เจ้าอยากยืนแทนที่พระเจ้าและอวดตนอยู่เสมอ ราวกับว่าเจ้าเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง อยากจะยึดครองความสนใจเอาไว้คนเดียว  เจ้าปรารถนาตลอดเวลาที่จะโบกธงประจำองค์พระเจ้ายามทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น  นั่นใช่เหตุผลของคนปกติหรือไม่?  นั่นใช่การปฏิบัติความจริงหรือไม่?  เจ้าล่วงรู้พระดำริของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  เจ้ามีพระปัญญาของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ผู้คนเองก็ไม่เข้าใจความจริง—และพวกเขายิ่งไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความจริง  พวกเขาเป็นพยานให้พระเจ้าไม่ได้ และไม่สามารถนบนอบพระเจ้าด้วยซ้ำ  กระนั้นพวกเขาก็ต้องการพูดจาและกระทำการพลางโบกสะบัดธงของพระเจ้า  ทุกคนมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าละอายและไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด

บัดนี้ผู้คนจากทั่วโลกกำลังมาแสวงหาหนทางที่แท้จริง ดังนั้นเจ้าควรเป็นพยานให้พระเจ้าอย่างไร?  หากเจ้าไม่มีเหตุผล หากเจ้าโอหัง ทะนงตน ทำตามอำเภอใจ และเกะกะระราน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังท้าทายพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระองค์มิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่ของเจ้า และยิ่งไม่ใช่การเป็นพยานให้พระเจ้า  แท้จริงแล้วนี่คือการเผยให้เห็นภาพลักษณ์เยี่ยงซาตานของเจ้า  ผู้ที่ได้รับการพิชิตอย่างแท้จริงต้องเรียนรู้ที่จะพูดจาอย่างจริงใจและเป็นพยานที่แท้จริงได้บ้าง  การแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของเจ้าย่อมดีกว่าสิ่งอื่นใด  การโอ้อวดและพูดถึงทฤษฎีอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย—นี่มีประโยชน์อะไร?  หลังจากที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาหลายปี ผู้คนก็ยังคงไม่ประพฤติตัวให้ดี  ตามอัตลักษณ์ของพวกเขาแล้ว ผู้คนไม่คู่ควรที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า  ผู้คนที่ไม่มีเหตุผลและโอหังยังคงปรารถนาที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า—เจ้ากำลังหมิ่นประมาทและนำความเสื่อมเสียมาให้พระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าไม่เข้าใจพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น อุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงท้าทายพระเจ้า  การเป็นพยานของเจ้าย่อมมีรสชาติที่น่ารังเกียจมิใช่หรือ?  ดังนั้นมนุษย์จึงไม่คู่ควรที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า  หากใครบางคนกล่าวว่า “คุณจะเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้าในจีนแผ่นดินใหญ่ให้แก่พวกเราได้ไหม?” และเจ้าบอกว่า “พวกเรามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาหลายปี ดังนั้นฉันคิดว่าพวกเรามีคุณสมบัติที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า” นี่ย่อมเป็นปัญหาไม่ใช่หรือ?  นี่ก็ไม่สมเหตุสมผลอีกเช่นกัน  มนุษย์ไม่คู่ควรที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า  เจ้าควรพูดเพียงว่า “พวกเราไม่คู่ควรที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า  แต่พระเจ้าได้ทรงช่วยพวกเราให้รอดและแสดงพระคุณให้เห็น  พวกเราได้รับพระคุณบางอย่างและมีประสบการณ์กับพระราชกิจบางประการของพระเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงร่วมสามัคคีธรรมได้ แต่พวกเราก็ไม่อาจคิดเป็นพยานให้พระเจ้าได้จริงๆ  พวกเราทำได้เพียงพูดถึงประสบการณ์ของตัวเองเท่านั้น”  เจ้าสามัคคีธรรมถึงการที่พระเจ้าทรงพิชิตตัวเจ้าได้ ว่าในตอนนั้นเจ้าเผยความเสื่อมทรามอันใดออกมา เจ้าโอหังอย่างไร เกิดผลเช่นไรในท้ายที่สุดหลังจากที่เจ้าถูกพิชิตแล้ว และเจ้าตั้งปณิธานไว้เช่นใด  อันที่จริงการเล่าประสบการณ์จริงเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้านั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่สุด และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์  การอยากมีสถานภาพเพื่อที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง—เจ้าทั้งไม่มีเหตุผลและโอหัง  เจ้าควรพูดว่า “ฉันจะพูดถึงประสบการณ์บางอย่างของตัวเอง แต่ฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า  ฉันจะสามัคคีธรรมถึงบางสิ่งก่อน  ทำไมพระเจ้าถึงประสูตรเป็นมนุษย์ที่ประเทศจีน?  พวกคุณน่าจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้  พวกเราเข้าใจเรื่องนี้จากพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเราชาวจีนเกิดในที่ที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขดอยู่ เติบโตขึ้นมาในที่อันโสมม  พวกเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างที่สุด โกหกมดเท็จมากกว่าใครๆ พวกเราไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด พวกเรามีความซื่อตรงน้อยที่สุด ไม่มีสภาวะเสมือนความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด  เทียบกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากชาติและภูมิภาคอื่นๆ ทั้งปวงแล้ว พวกเราเป็นประชากรที่ต่ำต้อยที่สุด โสมมที่สุด และเสื่อมทรามที่สุด  นี่คือสาเหตุที่พวกเราไม่คู่ควรที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า ถึงกระนั้นพวกเราก็ถูกพาเข้าสู่ความรอดอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและได้รับความรักอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ส่วนตัวของตน  พวกเราจะกีดขวางพระคุณของพระเจ้าไม่ได้”  การกล่าวบางสิ่งเช่นนี้มีเหตุมีผลกว่า  หลังจากที่พระเจ้าทรงพิชิตมนุษย์แล้ว อย่างน้อยที่สุดมนุษย์ก็ควรครองเหตุผลเพื่อให้แน่ใจว่าตนจะไม่พูดจาด้วยความโอหัง  จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาจะยอมรับสถานะอันต่ำต้อย “ดังมูลสัตว์บนพื้นดิน” และพูดบางสิ่งที่จริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นพยานให้พระเจ้า หากเจ้าสามารถพูดบางสิ่งอันมีสาระสำคัญจากหัวใจ โดยไม่มีการพูดคุยที่ว่างเปล่าหรือเกินจริง และไม่มีคำโกหกที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริง นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ควรเกิดขึ้นทันทีที่เจ้าได้ถูกพระเจ้าทรงพิชิต  หากเจ้าไม่อาจมีเหตุผลแม้เพียงเท่านี้ด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีสภาวะเสมือนมนุษยชาติอย่างสิ้นเชิง  ในภายภาคหน้า เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากชนชาติและภูมิภาคทั้งหมดได้กลับคืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และถูกพระวจนะของพระองค์พิชิตแล้ว ในการชุมนุมใหญ่เพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้า หากเจ้าเริ่มปฏิบัติตนอย่างโอหังอีกครั้ง คุยโม้และอวดตนอยู่เป็นนิจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะถูกปลดออกจากงานทั้งหมดและกำจัดออกไป  มนุษย์ต้องประพฤติตัวให้ถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ ระลึกรู้อัตลักษณ์และสถานะของตน และไม่หวนกลับไปสู่หนทางเก่าของพวกเขา  ภาพลักษณ์ของซาตานสำแดงอยู่ในความโอหังและความทะนงตนของมนุษย์อย่างเป็นอมตะ  เจ้าจะไม่มีวันมีสภาพเสมือนของมนุษย์ และเจ้าจะครองโฉมหน้าของซาตานอยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงแง่มุมนี้ของตัวเจ้าเอง  การแก้ไขความโอหังและความทะนงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด และการรู้จักความโอหังและความทะนงของตนเพียงเล็กน้อยย่อมจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าบรรลุการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ เจ้ายังคงจะจำเป็นต้องสู้ทนกระบวนการถลุงหลายครั้ง  หากไม่ถูกพิพากษา ตีสอน และตัดแต่ง เจ้าจะมีอันตรายอยู่ดีในระยะยาว  ในอนาคต เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากทั่วโลกยอมรับพระราชกิจของพระองค์และพูดว่า “พวกเราได้รับความรู้แจ้งมานานแล้วว่าพระเจ้าทรงได้ผู้ชนะกลุ่มหนึ่งไว้แล้วในประเทศจีน” เมื่อพวกเจ้าได้ยินเช่นนี้ พวกเจ้าก็จะคิดว่า “พระคุณของพระเจ้ามอบทั้งหมดนั้นมาให้ พวกเราไม่มีสิ่งใดให้คุยโวเลยสักนิด  พวกเราไม่คู่ควรที่จะได้รับการเรียกขานว่าผู้ชนะ”  แต่เมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่พวกเจ้าเริ่มมองตัวเองว่ามีความสามารถที่จะพูดบางสิ่งได้ ว่าเจ้ามีความเป็นจริงอยู่บ้าง เจ้าก็จะคิดไปว่า “กระทั่งชาวต่างชาติยังได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วพวกเขาก็บอกว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นมาในประเทศจีน ดังนั้นจึงควรถือว่าพวกเราเป็นผู้ชนะ”  ทีนี้พวกเจ้าก็จะอนุญาตให้มีการรับรู้นี้ในหัวใจของเจ้าอย่างเงียบๆ และพวกเจ้าก็มีแต่จะทำให้สาธารณชนรับรู้ในภายหลัง  มนุษย์ทนไม่ได้ที่จะถูกสรรเสริญหรือถูกทดสอบโดยสถานะ  หากเจ้าได้รับการสรรเสริญอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะอยู่ในภาวะอันตราย  พวกที่อุปนิสัยของตนยังไม่เปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถตั้งมั่นได้ในท้ายที่สุด

ปัญหาที่แก้ยากที่สุดของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือการทำความผิดเดิมๆ  เพื่อป้องกันการนี้ ผู้คนต้องตระหนักรู้ก่อนว่าพวกเขายังไม่ได้รับความจริง ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแห่งการดำเนินชีวิตของพวกเขา และแม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน และยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะทรยศพระเจ้าและไถลห่างจากพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  หากพวกเขามีสำนึกแห่งวิกฤตนี้อยู่ในหัวใจของตน—หากเป็นไปตามที่ผู้คนมักจะพูดกันว่าในยามสงบ พวกเขาก็เตรียมพร้อมรับภัย—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะยับยั้งชั่งใจได้บ้าง และเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ และจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำความผิดซ้ำเดิม  เจ้าต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอุปนิสัยของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ว่าธรรมชาติแห่งการทรยศพระเจ้ายังคงหยั่งรากลึกอยู่ในตัวเจ้าและยังไม่ถูกขับออกไป ว่าเจ้ายังคงเสี่ยงต่อการทรยศพระเจ้า และว่าเจ้าต้องเผชิญหน้าความเป็นไปได้ที่จะทนทุกข์กับความพินาศและการถูกทำลายอยู่เป็นนิจ  นี่คือเรื่องจริง ดังนั้นพวกเจ้าต้องรอบคอบระมัดระวัง  มีประเด็นสำคัญที่สุดสามประเด็นที่ต้องระลึกไว้ กล่าวคือ ประการแรก เจ้ายังคงไม่รู้จักพระเจ้า ประการที่สอง ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอุปนิสัยของเจ้า และประการที่สาม เจ้ายังไม่ได้ดำเนินชีวิตตามภาพลักษณ์ที่แท้จริงของมนุษย์  สามสิ่งนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง สามสิ่งนี้เป็นจริง และเจ้าต้องชัดเจนในเรื่องของสามสิ่งนี้  เจ้าต้องตระหนักรู้ตนเอง  หากเจ้ามีเจตจำนงที่จะแก้ไขปัญหานี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรเลือกคติเตือนใจตัวเจ้าเอง ตัวอย่างเช่น “ฉันคือมูลสัตว์บนเพื้นดิน” หรือ “ฉันคือมาร” หรือ “ฉันมักร่วงหล่นลงสู่ทางเดิมบ่อยๆ” หรือ “ฉันอยู่ในอันตรายเสมอ”  ไม่ว่าจะเป็นข้อใดในตัวอย่างเหล่านี้ก็เหมาะที่จะใช้เป็นคติเตือนใจเจ้าทั้งสิ้น และย่อมจะช่วยได้หากเจ้าใช้เตือนตนเองตลอดเวลา  จงทวนซ้ำคติเตือนใจนั้น นำมาคิดทบทวน แล้วเจ้าก็อาจทำความผิดน้อยลงหรือเลิกทำความผิดได้  กระนั้นก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงให้มากขึ้น รู้จักธรรมชาติของเจ้าเอง และทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะปลอดภัย  อีกสิ่งหนึ่งก็คือการไม่เคยเข้าประจำตำแหน่ง “พยานของพระเจ้า” และไม่เคยเรียกตัวเองว่าพยานของพระเจ้า  เจ้าสามารถพูดถึงประสบการณ์ส่วนบุคคลได้เท่านั้น  เจ้าอาจพูดเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าได้ทรงช่วยพวกเจ้าให้รอด สามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่พวกเจ้าถูกพระเจ้าทรงพิชิต และพูดคุยเกี่ยวกับพระคุณใดที่พระองค์ประทานให้พวกเจ้า  จงอย่าลืมเป็นอันขาดว่า พวกเจ้าคือผู้คนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกที่สุด พวกเจ้าคือปุ๋ยคอกและขยะ  การสามารถยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้ในตอนนี้เป็นเพราะพระองค์ทรงยกชูเจ้าโดยแท้  เป็นเพราะพวกเจ้าเสื่อมทรามและโสมมที่สุดเท่านั้น พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์จึงได้ทรงช่วยพวกเจ้าให้รอด พระองค์จึงได้ประทานพระคุณอันไพศาลเช่นนั้นให้พวกเจ้า  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจึงไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรค่าแก่การคุยโว และสามารถเพียงสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าได้เท่านั้น  ความรอดของพวกเจ้าเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหตุใดจึงมีการกล่าวว่าพวกเจ้าคือผู้คนที่โชคดีที่สุด?  พวกเจ้าได้ชื่อว่าโชคดีไม่ใช่เพราะพวกเจ้ามีข้อได้เปรียบหรือคุณสมบัติที่ดีบางอย่าง—เป็นเพียงเพราะพวกเจ้าถือกำเนิดในจีน และถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมัวหมองที่สุดเท่านั้น  พระเจ้าทรงทำตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ โดยทรงช่วยมนุษย์ที่โสมมที่สุด เสื่อมทรามที่สุดในดินแดนที่พญานาคใหญ่สีแดงขดตัวอยู่ให้รอดก่อน สร้างต้นแบบหรือวัตถุตัวอย่างกลุ่มหนึ่งให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน  นั่นคือสาเหตุที่พระองค์ทรงเลือกพวกเจ้าทุกคน พวกเจ้าคือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและลิขิตไว้ล่วงหน้า  หากพระเจ้าไม่ทรงมีแผนการเช่นนี้ พวกเจ้าก็คงจะจมดิ่งอยู่ในนิรันดรภาพ  เพราะฉะนั้นจึงมีการกล่าวว่าพวกเจ้าคือผู้คนที่โชคดีที่สุด  กระนั้นก็ตาม พวกเจ้าก็ไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจ และแน่นอนว่าพวกเจ้าย่อมโอ้อวดไม่ได้

การผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้านำประโยชน์และประสบการณ์จริงมาให้เจ้า—ดังนั้นเจ้าจึงควรเป็นคำพยานให้พระเจ้า  ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าควรพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน รวมทั้งบททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าทนทุกข์ไปมากเท่าใด เจ้าทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าไปมากเพียงใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด  จงเล่าว่าเจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร  พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย  จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย  จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ  นี่คือวิธีที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ  จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าดูเป็นคนค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล  เจ้าควรพูดให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง จากประสบการณ์จริงของเจ้า และกล่าวออกมาจากหัวใจให้มากขึ้น การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น  พวกเจ้าเคยเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าที่สุด มีแนวโน้มที่จะนบนอบพระองค์น้อยที่สุด แต่บัดนี้เจ้าได้ถูกพิชิตแล้ว—จงอย่าลืมการนั้นเป็นอันขาด  เจ้าควรไตร่ตรองและคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น  ครั้นผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็จะรู้ว่าจะเป็นคำพยานได้อย่างไร หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะหมิ่นเหม่ที่จะกระทำการที่น่าละอายและไร้สำนึก ซึ่งไม่ใช่การเป็นคำพยานให้พระเจ้า แต่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระเจ้าต่างหาก  หากไม่มีประสบการณ์จริงและไม่เข้าใจความจริง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า  ผู้คนที่ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้านั้นเลอะเลือนและสับสน จะไม่มีวันสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้า

ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1999

ก่อนหน้า: วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์

ถัดไป: เจ้ารู้จักความรักของพระเจ้าเพื่อมวลมนุษย์หรือไม่?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger