8. จงปฏิบัติความจริง แม้เป็นการล่วงเกิน

โดย เอพริล, ประเทศฟิลิปปินส์

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ฉันแสวงหาหน้าที่ของฉันอย่างกระตือรือร้นและทำหน้าที่อย่างแข็งขัน  สิบเดือนต่อมา ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร  ณ เวลานั้นฉันรู้สึกกดดันอย่างมาก  ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังเด็กและความเข้าใจที่ฉันมีต่อความจริงก็ตื้นเขิน ฉันจึงกลัวว่าฉันจะทำหน้าที่นี้ไม่ได้  ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า  ต่อมาฉันคิดย้อนไปถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “เจ้าต้องเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และผู้คนเพียงให้ความร่วมมือเท่านั้น  หากเจ้าจริงใจ พระเจ้าย่อมจะทรงเห็น และพระองค์จะทรงให้ทางออกแก่เจ้าในทุกสถานการณ์  ไม่มีความยากลำบากใดที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ เจ้าต้องมีความเชื่อนี้  ดังนั้นเวลาพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ไม่จำเป็นต้องวิตกอะไร  ตราบใดที่เจ้าทุ่มสุดตัวสุดหัวใจของเจ้า พระเจ้าจะไม่ประทานความยากลำบากแก่เจ้า และพระองค์จะไม่ประทานเกินกว่าที่เจ้าจะรับมือได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์)  พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อแก่ฉัน และฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นหัวใจของผู้คน  ตราบใดที่ฉันคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและพยายามอย่างสุดความสามารถ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงนำทางฉัน  เมื่อรู้เช่นนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกว่ามีข้อจำกัดอีกต่อไป และเริ่มทุ่มเทกายใจทำหน้าที่ของฉัน

ต่อมาคริสตจักรจำเป็นต้องฝึกฝนมัคนายกข่าวประเสริฐสองคนอย่างเร่งด่วน  ฉันพบว่าขีดความสามารถของพี่น้องชายเควินนั้นดี เขาค่อนข้างแข็งขันในการชุมนุม และจับความเข้าใจในหลักธรรมทั้งหลายของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้  และยังมีพี่น้องหญิงจาเนลล์ที่แข็งขันในหน้าที่ของเธอและมีผลงานอยู่บ้างอีกด้วย  เมื่อเทียบกับคนอื่น สองคนนี้ดูจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้ และผู้นำของฉันก็เห็นด้วยกับฉัน  ดังนั้นฉันจึงให้ทั้งสองเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ  ผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาเริ่มคุ้นกับบทบาทหน้าที่นี้ ฉันจึงให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระ ส่วนฉันก็ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้กับงานให้น้ำ  สองสามสัปดาห์ผ่านไป ฉันก็พบว่าคนที่เพิ่งจะรับข่าวประเสริฐบางคนผละออกจากกลุ่มชุมนุม และคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนก็มีความยากลำบากที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ในการทำหน้าที่  เมื่อฉันเห็นปัญหาทั้งหมดนี้ในงานข่าวประเสริฐ ฉันก็เริ่มนึกสงสัยว่า “มัคนายกข่าวประเสริฐสองคนนี้กำลังทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่หรือไม่?”  ดังนั้นฉันจึงไปตรวจสอบงานของพวกเขาอย่างละเอียด  ฉันพบว่าพวกเขาเพียงแค่จัดแจงสิ่งทั้งหลายเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำงานด้วยตัวเอง พวกเขาไม่ติดตามผล และในการชุมนุม พวกเขาก็ไม่ได้แก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขาแค่ย้ำเตือนและบอกพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ให้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม  การนี้พาให้ปัญหาของพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับการแก้ไข  พอล่วงรู้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้แล้ว ฉันรู้สึกผิดหวังมาก  ฉันคิดในใจว่า “ในฐานะมัคนายกคริสตจักร การที่พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงคือการละเลยหน้าที่มิใช่หรือ?”  ฉันยังพบอีกด้วยว่าพี่น้องชายเควินไม่ได้ทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสม เขาเล่นเกม ในขณะที่พี่น้องหญิงจาเนลล์ก็ค่อนข้างเกียจคร้านและไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตนในช่วงนี้  ตอนแรกฉันอยากจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาและชี้ให้เห็นปัญหาในการทำหน้าที่ของพวกเขา แต่เนื่องจากพวกเราเข้ากันได้ดีมากมาโดยตลอด ฉันจึงกลัวว่านี่จะทำให้สัมพันธภาพของพวกเราเสียไป  หากฉันชี้ให้เห็นปัญหาของพวกเขา พวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร?  พวกเขาจะพูดหรือไม่ว่าฉันมองไม่เห็นความพยายามของพวกเขา ว่าฉันสนใจแต่ความบกพร่องของพวกเขา และขาดพร่องหัวใจที่เปี่ยมรัก?  ฉันหวังให้พี่น้องชายหญิงมองว่าฉันเป็นคนดี เป็นใครคนหนึ่งที่เข้าใจและคำนึงถึงผู้อื่น  ฉันไม่อยากทำให้ตัวเองเสียชื่อเพราะเรื่องนี้  หากมัคนายกทั้งสองยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้และคิดลบ ไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน พี่น้องชายหญิงของฉันจะคิดหรือไม่ว่าฉันไม่สามารถทำงานผู้นำได้?  จะคิดหรือไม่ว่าฉันเป็นผู้นำที่แย่?  หากผู้นำของฉันรู้เรื่องนี้ ฉันก็อาจจะถูกตัดแต่ง  แต่ฉันคิดว่าในเมื่อฉันเป็นผู้ดูแลงานของคริสตจักร ย่อมเป็นความรับผิดชอบของฉันที่จะชี้ให้พวกเขาเห็นปัญหา เพื่อให้พวกเขาสามารถทบทวนและได้รับความรู้บางอย่าง  ฉันรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายใน แต่สุดท้ายฉันก็ยังคงพูดไม่ออก และส่งพระวจนะบางตอนของพระเจ้าเกี่ยวกับการหนุนใจและความชูใจไปให้พวกเขาแทน และสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างนุ่มนวลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของคนเราให้ดี  หลังจากนั้นฉันรู้สึกผิดเอามากๆ  ฉันรู้สึกไม่ซื่อสัตย์และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง

อยู่มาคืนหนึ่ง ฉันนอนไม่หลับเพราะเฝ้าคิดว่า “ความไร้ประสิทธิผลของงานข่าวประเสริฐเกี่ยวพันกับฉันโดยตรง  ฉันเห็นมัคนายกข่าวประเสริฐสองคนที่ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตน ไม่แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และกำลังเป็นเหตุให้พี่น้องชายหญิงไร้ประสิทธิผลในการทำหน้าที่ของพวกเขา  พี่น้องชายหญิงบางคนตกอยู่ในสภาวะคิดลบ และผู้มาใหม่บางคนก็ออกจากกลุ่มชุมนุมไป แต่ฉันกลับไม่พูดถึงปัญหาของมัคนายกสองคนนี้”  ฉันรู้สึกผิดมากมายในหัวใจของฉัน และฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ โดยแสวงหาความรู้แจ้งจากพระองค์และขอให้พระองค์ทรงนำทางฉันในการแก้ไขปัญหานี้  หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็ดูวิดีโอคำพยานประสบการณ์ ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่บันดาลใจฉันอย่างมาก  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ทั้งมโนธรรมและเหตุผลควรเป็นองค์ประกอบของสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง  สองสิ่งนี้คือสิ่งที่  เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุด  บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ?  พูดโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด  เมื่อลงรายละเอียด บุคคลผู้นี้แสดงให้เห็นถึงการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปเช่นไร?  จงวิเคราะห์กันตามสบายว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ  (พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า)  ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับ  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย… มีผู้คนบางคนที่ไม่รับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่  พวกเขาไม่รายงานปัญหาที่พวกเขาพบต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยทันทีอีกด้วย  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเข้ามาขัดจังหวะและก่อกวน พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วทำความชั่ว พวกเขาไม่พยายามห้ามคนพวกนั้น  พวกเขาไม่ปกป้อง  ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงถึง  หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาเลย  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนแบบนี้ไม่ทำงานจริงจังใดๆ พวกเขาเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและละโมบความสะดวกสบาย พวกเขาพูดและกระทำเพียงเพื่อความถือดี หน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และยินดีที่  จะอุทิศเวลาและความพยายามของตนเพื่อสิ่งต่างๆ  ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าและรู้สึกเศร้ามาก  ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่าฉันมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ว่าฉันช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงอย่างอดทนเรื่อยมา และเวลาที่ฉันลงมือทำสิ่งใด ฉันก็คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา  ฉันนึกว่าฉันคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และตัวฉันเองก็เป็นคนดี  แต่เมื่อฉันเห็นมัคนายกทั้งสองไร้ความรับผิดชอบในหน้าที่และทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า ฉันกลับไม่ได้พิทักษ์ผลประโยชน์ของคริสตจักร และไม่ได้ชี้ให้เห็นปัญหาของพวกเขา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับตามใจพวกเขาเพราะเกรงว่าการพูดถึงปัญหาของพวกเขาจะทำลายสัมพันธภาพของพวกเรา  ฉันยังเป็นกังวลอีกด้วยว่าหากฉันทำให้พวกเขาคิดลบ ผู้นำของฉันจะวิจารณ์ฉัน และพี่น้องชายหญิงของฉันก็จะมองฉันในทางไม่ดี  ฉันเลือกที่จะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าเพื่อภาพลักษณ์ สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตัว  นี่ไม่ใช่การคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย และฉันก็ไม่ใช่คนดี  ที่จริงแล้ว ผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีคือผู้คนที่ซื่อสัตย์ สามารถปฏิบัติความจริงและปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรได้ และเมื่อพวกเขามองเห็นปัญหาของผู้อื่น พวกเขาก็มีความกล้าที่จะสามัคคีธรรมและเปิดโปงผู้อื่น ช่วยให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลง  พวกเขาปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงของตนด้วยหัวใจที่จริงใจ  แต่เมื่อฉันเห็นปัญหาของมัคนายกทั้งสอง ฉันไม่ได้พูดอะไรหรือชี้ให้เห็นปัญหา และเลือกที่จะปล่อยให้งานของคริสตจักรเสียหายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของฉันเอง  ฉันมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ขนาดนี้  ฉันรู้สึกอับอายที่ฉันขาดพร่องมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าและเข้าใจตัวเองมากขึ้น  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อผู้นำคริสตจักรเห็นพี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาอาจไม่ว่ากล่าวแม้พวกเขาควรที่จะว่ากล่าวก็ตาม  เมื่อพวกเขามองเห็นชัดเจนว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ากำลังได้รับความเสียหาย พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้หรือสอบถาม และไม่ยอมล่วงเกินผู้อื่นแม้แต่น้อย  อันที่จริงพวกเขาไม่ได้คำนึงถึงความอ่อนแอของผู้คนอย่างแท้จริง เจตนาและเป้าหมายของพวกเขากลับเป็นการเอาชนะใจผู้คน  พวกเขาตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยมว่า ‘ตราบใดที่ฉันทำเช่นนี้และไม่ไปล่วงเกินใครเข้า พวกเขาก็จะคิดว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี  พวกเขาจะมีความคิดเห็นที่ดีและสูงส่งเกี่ยวกับตัวฉัน  พวกเขาจะเห็นชอบในตัวฉันและชอบฉัน’  พวกเขาไม่สนใจว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะเสียหายมากเพียงใด หรือเกิดความสูญเสียมากมายเพียงใดในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือว่าชีวิตคริสตจักรของผู้คนเหล่านั้นจะถูกรบกวนมากเพียงใด พวกเขาเอาแต่ยึดมั่นในปรัชญาของซาตานและไม่ยอมล่วงเกินผู้ใด  ในหัวใจของพวกเขาไม่เคยมีการติเตียนตนเอง  เมื่อเห็นใครบางคนก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะพูดคุยกับคนเหล่านั้นในเรื่องดังกล่าวสักสองสามคำ ทำให้ปัญหาดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็จบเรื่องไป  พวกเขาจะไม่สามัคคีธรรมความจริงหรือชี้ให้คนคนนั้นมองเห็นแก่นแท้ของปัญหา และจะยิ่งไม่ชำแหละสภาวะของคนเหล่านั้น  พวกเขาจะไม่มีวันสามัคคีธรรมว่าสิ่งใดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยเปิดโปงหรือชำแหละความผิดพลาดที่ผู้คนมักจะทำกัน หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนมักจะเผยให้เห็น  พวกเขาไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง แต่กลับตามใจปล่อยให้ผู้คนปฏิบัติอย่างผิดๆ และเผยความเสื่อมทรามออกมา และไม่ว่าผู้คนจะคิดลบหรืออ่อนแอเพียงใด พวกเขาก็ไม่มองเป็นเรื่องจริงจัง  เอาแต่ประกาศวาจาและคำสอนบางอย่าง กล่าวคำเตือนสติไม่กี่คำเพื่อจัดการสถานการณ์อย่างสุกเอาเผากิน พยายามรักษาความสมานฉันท์เอาไว้  ผลก็คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่รู้วิธีทบทวนและทำความรู้จักตนเอง ไม่มีหนทางแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา และใช้ชีวิตอยู่กับวาจาและคำสอน มโนคติอันหลงผิดและสิ่งที่คิดฝัน ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแต่อย่างใด  พวกเขาถึงกับเชื่ออยู่ในหัวใจของตนว่า ‘ผู้นำของพวกเราเข้าใจความอ่อนแอของพวกเรามากกว่าพระเจ้าด้วยซ้ำ  พวกเรามีวุฒิภาวะน้อยเกินกว่าจะทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้  พวกเราจำเป็นต้องทำให้ได้ตามข้อกำหนดของผู้นำก็พอ เมื่อพวกเรานบนอบผู้นำ พวกเราก็กำลังนบนอบพระเจ้า  ถ้าวันหนึ่งเบื้องบนปลดผู้นำของพวกเรา พวกเราก็จะส่งเสียงให้เบื้องบนได้ยิน เจรจากับเบื้องบนและบีบให้พวกเขาเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของพวกเราเพื่อให้ผู้นำอยู่กับพวกเราต่อไปและยับยั้งไม่ให้ผู้นำถูกปลด  พวกเราจะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้นำของพวกเราแบบนี้’  เมื่อผู้คนมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวใจ เมื่อพวกเขามีสัมพันธภาพเช่นนี้กับผู้นำของตน เกิดการพึ่งพิง อิจฉา และเคารพบูชาผู้นำของตนอยู่ในหัวใจ พวกเขาย่อมมีความเชื่อในตัวผู้นำคนนี้มากขึ้นทุกที และอยากฟังวาจาของผู้นำอยู่เสมอ แทนที่จะแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ผู้นำเช่นนี้เกือบจะเข้าแทนที่พระเจ้าในหัวใจของผู้คนอยู่แล้ว  หากผู้นำเต็มใจที่จะธำรงสัมพันธภาพเช่นนี้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากพวกเขาเกิดความรู้สึกชื่นชมยินดีในหัวใจของตนเพราะสัมพันธภาพดังกล่าว และเชื่อว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรปฏิบัติต่อพวกเขาแบบนี้ เช่นนั้นแล้วผู้นำเยี่ยงนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเปาโล พวกเขาก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ถูกศัตรูของพระคริสต์คนนี้ชักพาให้หลงผิดไปแล้ว ไร้ซึ่งวิจารณญาณอย่างสิ้นเชิง… ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่ทำงานจริง พวกเขาไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา ไม่นำผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  พวกเขาทำงานเพื่อสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์เท่านั้น ใส่ใจแต่การสถาปนาตนเอง ปกป้องที่ทางที่พวกเขาถือครองอยู่ในหัวใจของผู้คน ทำให้ทุกคนเคารพบูชาพวกเขา ยกย่องพวกเขา และติดตามพวกเขาตลอดเวลาเท่านั้น เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายที่พวกเขาต้องการสัมฤทธิ์  ศัตรูของพระคริสต์ใช้วิธีนี้พยายามเอาชนะใจผู้คนและควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—วิธีทำงานเช่นนี้ย่อมเลวมิใช่หรือ?  น่าขยะแขยงเกินไปโดยแท้!(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน)  หลังจากที่อ่านพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้า ฉันรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากใจ เพราะพระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉันโดยแท้  ฉันมองเห็นชัดเจนว่ามัคนายกทั้งสองไม่ได้ทำงานจริง และปัญหาก็ร้ายแรง  ฉันน่าจะใช้พระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนมาสามัคคีธรรม เพื่อให้พวกเขาสามารถรู้ปัญหาของตนและเปลี่ยนแปลงท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนได้โดยเร็ว ป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้าในงานของคริสตจักรต่อไป  แต่แล้วเพื่อที่จะให้พวกเขาประทับใจในตัวฉัน และเพื่อให้พวกเขาพูดว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี ฉันกลับไม่เปิดโปงแก่นแท้แห่งปัญหาของพวกเขา ฉันแค่ใช้พระวจนะที่ชูใจของพระเจ้ามาหนุนใจพวกเขา ซึ่งหมายความว่าปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที  นี่ส่งผลต่องานของคริสตจักรและถึงขั้นทำให้ผู้ที่เพิ่งรับข่าวประเสริฐบางคนออกจากกลุ่มชุมนุม  ฉันตระหนักว่าฉันคือสาเหตุหลักของการนี้  หน้าที่ของผู้นำคือการกำกับดูแลและติดตามผลงานของบรรดามัคนายกและหัวหน้ากลุ่มในคริสตจักร รวมทั้งแก้ไขปัญหาให้ทันการณ์  พวกเราจำเป็นต้องรู้สถานการณ์ของพี่น้องชายหญิงของพวกเรา และเมื่อพวกเราค้นพบว่าใครบางคนทำสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมหรือส่งผลต่องานของคริสตจักรในการทำหน้าที่ของพวกเขา พวกเราก็ควรสามัคคีธรรมและช่วยเหลือพวกเขาอย่างเปี่ยมรัก  หากพวกเราสามัคคีธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อะไรๆ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พวกเราก็ควรตัดแต่งพวกเขา หรือปลดพวกเขา  นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะปกป้องงานของคริสตจักรเอาไว้ได้  ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองเลย และฉันก็ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้นำ  ฉันแตกต่างจากพวกผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริงตรงไหน?  ฉันอับอายและเศร้าใจ  หากฉันสามัคคีธรรมและเปิดโปงปัญหาของพวกเขา ฉันก็คงไม่สร้างความสูญเสียเหล่านี้ให้แก่งานของคริสตจักร  ปัญหาทั้งหลายในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นเพราะความละเลยของฉัน  ฉันไม่ได้ช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจความจริงและไม่สามารถนำพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ฉันแค่อยากให้พวกเขายอมรับฉันและคอยคุ้มกันฉันเสมอมา เพื่อที่พวกเขาจะได้มีภาพลักษณ์ที่ดีเกี่ยวกับตัวฉันในหัวใจของพวกเขา และฉันเองก็จะได้มีสถานะ  ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่ต้านทานพระเจ้า  หากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันอาจทำความชั่วอะไรลงไปอีกเหมือนกัน

ทันทีที่ฉันตระหนักรู้การนี้ ฉันก็เสียใจกับการกระทำของตน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้ตระหนักว่าความเห็นแก่ตัวของข้าพระองค์จะนำความเสียหายมาสู่งานของคริสตจักรเช่นนี้และทำให้ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของข้าพระองค์มีอันตราย  ข้าพระองค์ไม่คู่ควรกับงานที่สำคัญเช่นนั้น  พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ ได้โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์ทบทวนเพื่อที่จะได้รู้จักตัวเอง  ข้าพระองค์ไม่อยากทำผิดพลาดเช่นเดิมอีก”  หลังการอธิษฐาน สภาวะของฉันดีขึ้นมาบ้าง แต่ฉันยังคงรู้สึกผิดอยู่มาก  ฉันรู้สึกเหมือนคนบาป เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำคือตัวแทนของซาตาน ฉันรู้สึกว่าไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด และไม่มีความหวังสำหรับฉันแล้ว  ในตอนนี้เองที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าเข้ามาในห้องสนทนากลุ่มทางออนไลน์  พระวจนะของพระเจ้าระบุว่า “ประสบการณ์มากมายของเจ้าเกี่ยวกับความล้มเหลว เกี่ยวกับความอ่อนแอ เวลาในด้านลบของเจ้า ทั้งหมดสามารถพูดได้ว่าเป็นการทดสอบของพระเจ้า  นี่เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า และทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลวหรือว่าเจ้าจะอ่อนแอและเจ้าจะสะดุดหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพระเจ้าและอยู่ภายในการทรงคว้าจับของพระองค์  จากมุมมองของพระเจ้า นี่เป็นการทดสอบของเจ้า และหากเจ้าไม่สามารถระลึกรู้การนั้น มันก็จะกลายเป็นการทดลอง  มีสภาวะสองประเภทที่ผู้คนควรระลึกรู้  หนึ่งนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และแหล่งที่มาซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นของอีกสภาวะหนึ่งก็คือซาตาน  หนึ่งนั้นเป็นสภาวะซึ่งในนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความกระจ่างแก่เจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักตัวเจ้าเอง รังเกียจและรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับตัวเจ้าเองและมีความสามารถที่จะมีความรักอันจริงแท้ต่อพระเจ้าได้ เพื่อตกลงปลงใจให้หัวใจของเจ้าทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  อีกสภาวะหนึ่งเป็นสภาวะซึ่งในนั้นเจ้ารู้จักตัวเจ้าเอง แต่เจ้าอยู่ในด้านลบและอ่อนแอ  อาจกล่าวได้ว่าสภาวะนี้เป็นกระบวนการถลุงของพระเจ้า และก็อาจกล่าวได้อีกด้วยว่าเป็นการทดลองของซาตาน  หากเจ้าระลึกรู้ว่านี่คือความรอดของพระเจ้าสำหรับเจ้าและหากเจ้ารู้สึกว่าตอนนี้เจ้าเป็นหนี้พระองค์อย่างลึกซึ้ง และหากว่าจากบัดนี้เป็นต้นไป เจ้าพยายามชดใช้คืนให้พระองค์และไม่ตกลงสู่ความต่ำทรามเช่นนั้นอีกต่อไป หากเจ้าใส่ความพยายามของเจ้าลงไปในการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และหากเจ้าพิจารณาตัวเจ้าเองว่าขาดพร่องอยู่เสมอ และมีหัวใจแห่งการถวิลหา เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นการทดสอบของพระเจ้า  หลังจากความทุกข์ได้สิ้นสุดลงและเจ้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง พระเจ้าจะยังคงทรงนำทาง ให้ความกระจ่าง ให้ความรู้แจ้ง และบำรุงเลี้ยงเจ้า  แต่หากเจ้าไม่ระลึกรู้มันและเจ้าอยู่ในด้านลบ โดยยอมทอดทิ้งตัวเจ้าเองให้กับความท้อแท้สิ้นหวัง หากเจ้าคิดในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วการทดลองของซาตานก็จะเกิดขึ้นแก่เจ้าโดยไม่คาดฝัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  พออ่านพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้าแล้ว ฉันรู้สึกชูใจ แถมยังได้เส้นทางปฏิบัติมาอีกด้วย  ก่อนหน้านี้เวลาที่ฉันอ่านพระวจนะอันกร้าวกระด้างของพระเจ้าที่เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันถูกกล่าวโทษและไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด ดังนั้นฉันจึงคิดลบและอ่อนแอ  แต่เมื่อฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ ฉันก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  หากผู้คนไม่ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรในการทำหน้าที่ของตน แล้วถูกเปิดโปงและตัดแต่ง ก็เป็นปกติที่พวกเขาจะรู้สึกในทางลบและอ่อนแอ  หากฉันสามารถแสวงหาความจริงในความล้มเหลวของตนและทบทวนตนเองได้ นี่ย่อมเป็นโอกาสที่ฉันจะได้เรียนรู้บทเรียน  แต่หากฉันคิดลบ แยกตัวออกมา ยอมแพ้ให้กับความสิ้นหวัง หรือหมดหวังในตัวเอง ฉันก็คงจะหลงกลเล่ห์เหลี่ยมของซาตานและยอมจำนนต่อการทดลอง  คำพิพากษาและการเปิดเผยผู้คนของพระเจ้าเป็นไปเพื่อชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด  พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ฉันรู้จักตัวเอง เรียนรู้จากความล้มเหลวของตัวเอง และไม่ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานควบคุม  นี่เป็นสิ่งที่ดี นี่เป็นโอกาสให้ชีวิตของฉันเจริญเติบโต  เมื่อตระหนักรู้การนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกในทางลบหรือเข้าใจพระเจ้าผิดอีกต่อไป  ฉันเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของฉันตามพระวจนะและหลักธรรมของพระเจ้า  ฉันจะไม่ระวังรักษาชื่อ ความมีหน้ามีตา และสถานะของฉันอีกต่อไป

ในภายหลังฉันได้อ่านพระวจนะบางตอนของพระเจ้า ความว่า “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์  โดยแก่นแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์  ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง  ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก  เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง  รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและทรงรักผู้คนที่ซื่อสัตย์  ผู้คนที่ซื่อสัตย์สามารถปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร รับผิดชอบชีวิตพี่น้องชายหญิงของตน และทำหน้าที่ของตนให้ดีได้  ฉันต้องเลิกคิดถึงความภาคภูมิใจและสถานะของฉัน นึกถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นอันดับแรก และปฏิบัติความจริงในการสามัคคีธรรมและเปิดโปงมัคนายกทั้งสอง เพื่อให้พวกเขาตระหนักว่าปัญหาของพวกเขาร้ายแรงเพียงใด ให้พวกเขากลับใจอย่างแท้จริง และเริ่มกระทำการอย่างมีความรับผิดชอบอีกครั้ง  หากว่าหลังการสามัคคีธรรมของฉัน พวกเขายังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฉันก็ต้องรับผิดชอบโดยการปลดพวกเขาและปกป้องงานของคริสตจักร

ในเวลาต่อมาฉันพบเจอพระวจนะบางตอนของพระเจ้าและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายเควินก่อน เพื่อให้เขารู้ว่ากระแสนิยมอันชั่วทางสังคมก็คือการทดลองของซาตาน และว่าเขาควรปล่อยมือจากความชอบใจทางฝ่ายเนื้อหนังของเขาและทุ่มเทกายใจให้กับหน้าที่ ว่ามีเพียงการนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  จากนั้นฉันก็สามัคคีธรรมกับพี่น้องหญิงจาเนลล์และชี้ให้เห็นถึงการที่เธอไม่มีความเร่งร้อนและขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ของเธอ และบอกเธอให้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า  หลังการสามัคคีธรรมของฉัน พวกเขาสองคนเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน  ต่อมาพี่น้องชายเควินทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือเมื่อเขาถูกทดลองอีก เขาสามารถละทิ้งเนื้อหนังของเขาเองได้อย่างตระหนักรู้  พี่น้องหญิงจาเนลล์เองก็สามารถทำหน้าที่ของเธอในเชิงรุกมากขึ้นเช่นกัน เมื่อฉันเห็นผลลัพธ์นี้ ฉันก็ตำหนิตัวเองที่ไม่พูดถึงปัญหาของพวกเขาให้เร็วกว่านี้  ฉันมองเห็นอีกด้วยว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ทำให้ผู้คนคิดลบ และว่าผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงได้ย่อมสามารถรู้จักตัวเอง กลับใจอย่างแท้จริง และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีขึ้นได้  ฉันมีความสุขมากที่ได้มีประสบการณ์นี้  ความรู้แจ้งและการชี้นำแห่งพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของฉันเอง  ฉันยังได้รับประสบการณ์อีกด้วยว่า พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงคือความจริง และพระวจนะเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนและช่วยพวกเขาให้รอดได้จริง  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 7. การหลุดพ้นจากความวิตกกังวลเรื่องอาการป่วย

ถัดไป: 9. การเรียนรู้ที่จะนบนอบผ่านทางหน้าที่ของผม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger