บทที่ 109

ทุกวันเราเปล่งถ้อยคำ พูด และเผยหมายสำคัญและการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายของเรา  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดประกอบกันเป็นงานแห่งวิญญาณของเรา  ในสายตาของผู้คน เราเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง แต่ในตัวมนุษย์คนนี้นี่เองที่เราเผยทั้งหมดทั้งปวงของเรา รวมทั้งฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา

เป็นเพราะผู้คนเพิกเฉยต่อมนุษย์ที่เราเป็นและมองข้ามการกระทำของเรา พวกเขาคิดไปเองว่าเหล่านี้คือสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งกระทำ  อย่างไรก็ดี เหตุใดเจ้าจึงไม่หยุดยั้งเพื่อนึกฉงนใจว่า มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่เราทำได้หรือไม่?  ผู้คนไม่รู้จักเราถึงขอบเขตนี้ พวกเขาไม่เข้าใจวจนะของเรา อีกทั้งพวกเขาไม่จับใจความในกิจการทั้งหลายของเรา  เหล่ามนุษย์ชั่วที่เสื่อมทราม!  เราจะกลืนเจ้าหายไปเมื่อไรดี?  เราจะฝังเจ้าไว้ในบึงไฟและกำมะถันเมื่อไรดี?  หลายครั้งเหลือเกินที่เราถูกผลักดันออกไปจากกลุ่มของพวกเจ้า หลายคราเหลือเกินที่ผู้คนดูถูกดูแคลน เยาะเย้ยถากถาง และทำลายชื่อเสียงของเรา และหลายครั้งเหลือเกินที่ผู้คนพิพากษาและเยาะเย้ยท้าทายเราอย่างเปิดเผย  เหล่ามนุษย์มืดบอด!  เจ้าไม่รู้หรือไรว่าพวกเจ้าเป็นเพียงโคลนกำหนึ่งในฝ่ามือของเราเท่านั้น?  เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าเป็นเพียงวัตถุแห่งการสร้างโลกของเราเท่านั้น?  ความโกรธขึ้งของเรากำลังถูกปลดปล่อยในบัดนี้ และจะไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันสิ่งนั้นได้  ผู้คนสามารถเพียงวอนขอความปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า  อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่งานของเราได้ก้าวหน้ามาจนถึงขอบเขตนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนั้นได้  พวกที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วจะต้องกลับสู่โคลน  ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบธรรม แต่ว่าพวกเจ้านั้นเสื่อมทรามและเกะกะระรานมากเกินไป และเป็นเพราะพวกเจ้าได้ถูกซาตานฉวยเอาตัวไปและกลายเป็นเครื่องมือของมันไปแล้ว  เราคือพระเจ้าผู้พิสุทธิ์พระองค์เอง เราไม่สามารถถูกทำให้แปดเปื้อน อีกทั้งเราไม่สามารถมีวิหารที่มีมลทินได้  นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ความโกรธเกรี้ยวอันเดือดดาลของเรา (ซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าความโกรธของเรา) จะเริ่มหลั่งไหลลงมาบนชนชาติและกลุ่มชนทั้งปวง และตีสอนเศษมนุษย์ทั้งหมดที่มาจากเราแต่ไม่รู้จักเรา  เราเกลียดชังเหล่ามนุษย์อย่างสุดขั้ว และเราจะไม่มีความปรานีเกินกว่านี้ ตรงกันข้าม เราจะกระหน่ำพรมคำสาปแช่งทั้งหมดของเราลงมา  จะไม่มีความเมตตาสงสารและความรักอีกต่อไปเป็นอันขาด ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเผาผลาญจนไม่เหลือสิ่งใดเลย และมีเพียงราชอาณาจักรของเราเท่านั้นที่จะคงอยู่ เพื่อที่ประชากรของเราจะสรรเสริญเราในบ้านของเรา ถวายเกียรติแก่เรา และเปล่งเสียงยินดีเพื่อเราตลอดกาล (นี่คือการทำหน้าที่ของประชากรของเรา)  มือของเราจะเริ่มตีสอนคนเหล่านั้นอย่างเป็นทางการทั้งภายในและภายนอกบ้านของเรา  ไม่มีพวกทำชั่วคนใดจะมีความสามารถที่จะหลีกหนีการคว้าจับและการพิพากษาของเราได้ ทุกคนต้องก้าวผ่านความทุกข์ยากสาหัสนี้และนมัสการเรา  นี่คือบารมีของเรา และที่มากกว่านั้น นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารประการหนึ่งที่เรากล่าวประกาศต่อพวกคนทำชั่ว  ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยผู้ใดอื่นให้รอด  ผู้คนทำได้เพียงดูแลตัวเองด้วยตัวพวกเขาเองเท่านั้น แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะหลีกหนีมือแห่งการตีสอนของเราได้  เหตุผลที่มีการกล่าวไว้ว่า ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรานั้นเกรี้ยวกราด ได้ถูกเผยไว้ในที่นี้ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนทั้งปวงสามารถเห็นได้ด้วยดวงตาของพวกเขาเอง

เมื่อเราเริ่มกลายเป็นมีโทสะ ปีศาจใหญ่น้อยทั้งปวงจะหลบหนีกันอย่างสับสนอลหม่าน กลัวอยู่ลึกๆ ว่ามือของเราจะฟาดพวกมันตาย—แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีมือของเราได้  เราถืออุปกรณ์การลงโทษทั้งหมดไว้ในมือเรา มือของเราควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมดทั้งปวงล้วนอยู่ในกำมือของเรา และไม่มีผู้ใดสามารถหลุดพ้นไปได้  นี่คือปัญญาของเรา  เมื่อเราได้มาถึงอาณาจักรแห่งมนุษย์ เราได้ทำให้งานแห่งการตระเตรียมทุกลักษณะเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยวางรากฐานเพื่อการเริ่มต้นงานของเราในหมู่มนุษย์ (นี่เป็นเพราะเราคือพระเจ้าผู้ทรงพระปัญญา และเราจัดการกับสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างถูกต้องเหมาะสม)  หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกจัดการเตรียมการอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว เราก็ได้บังเกิดเป็นมนุษย์และได้มายังอาณาจักรแห่งมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดระลึกรู้จักเรา  นอกจากบรรดาผู้ที่เราได้ให้ความรู้แจ้งแล้ว พวกบุตรแห่งการกบฏทั้งหมดล้วนเยาะเย้ยท้าทายเรา ดูหมิ่นเหยียดหยามเรา และเมินเฉยต่อเรา  อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดแล้ว เราจะทำให้พวกเขากลายมาเป็นประพฤติตัวดีและนบนอบ  ถึงแม้ว่าสำหรับเหล่ามนุษย์ อาจดูเหมือนว่าเราไม่ได้กำลังทำสิ่งใดมากมาย แต่งานอันยิ่งใหญ่ของเราได้แล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว  (ผู้คนทั้งปวงล้วนเชื่อฟังสภาวะมนุษย์ที่เราเป็นโดยครบบริบูรณ์ ทั้งทางคำพูดและในหัวใจ นี่คือหมายสำคัญอย่างหนึ่ง)  ในวันนี้ เราลุกขึ้นตีสอนพวกวิญญาณชั่วสารพัดชนิดที่เยาะเย้ยท้าทายเรา  ไม่ว่าพวกเขาได้ติดตามเรามานานเพียงใดแล้วก็ตาม พวกเขาต้องไปจากข้างกายเรา  เราไม่ต้องการผู้ใดที่ต่อต้านเรา (พวกเขาคือพวกที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำเป็นการชั่วคราว และพวกที่ไม่รู้จักเรา)  เราไม่ต้องการพวกเขาสักคนเดียว!  ทั้งหมดจะถูกขจัดและกลายเป็นพวกบุตรแห่งความพินาศ!  หลังจากทำงานปรนนิบัติให้เราในวันนี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดต้องจากไป!  จงอย่าเอ้อระเหยอยู่ในบ้านของเรา จงหยุดการเอาแต่ได้ที่ต่อเนื่องไร้ยางอายของพวกเจ้า!  พวกที่เป็นของซาตานคือบุตรของมารทั้งหมด และย่อมจะพินาศตลอดกาล  ทั้งหมดที่เยาะเย้ยท้าทายเราจะผละจากข้างกายเราไปอย่างนิ่งสงบ เพื่อที่อัตราความเร็วแห่งงานของเราจะกลายเป็นถูกกีดกั้นขัดขวางน้อยลง โดยไร้การรบกวนเพิ่มเติม  ทุกสรรพสิ่งจะแล้วเสร็จตามคำบัญชาของเรา โดยไร้การขัดขวางหรืออุปสรรคใดๆ  ทั้งหมดจะล่มสลายเบื้องหน้าสายตาอันจับจ้องของเราและถูกทำลายในการเผาผลาญของเรา  การนี้แสดงให้เห็นความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเราและปัญญาอันเพียบพร้อมของเรา (สิ่งที่เราได้ทำในตัวบุตรหัวปีทั้งหลายของเรา)  นั่นจะเพิ่มสง่าราศีที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมให้แก่นามของเรา และย่อมจะเพิ่มสง่าราศีที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมให้แก่เรา  จากสิ่งที่เราทำและจากน้ำเสียงของเรา พวกเจ้าทั้งปวงสามารถมองเห็นว่า เราได้ทำให้งานของเราทั้งหมดในบ้านของเราเสร็จสมบูรณ์แล้ว และเห็นว่าเราได้เริ่มหันไปหาเหล่าชนต่างชาติ  เรากำลังเริ่มงานของเราที่นั่น และกำลังดำเนินขั้นตอนต่อไปแห่งงานของเรา

วจนะของเราส่วนใหญ่ไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้า—แต่จงอย่าผละจากไป บุตรทั้งหลายของเรา  การที่วจนะของเราไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ไม่ได้หมายความว่าวจนะเหล่านั้นไม่ใช่ถ้อยคำของเรา  เป็นการนี้นี่เองที่พิสูจน์ว่าเราได้เปล่งถ้อยคำเหล่านั้นอย่างแท้จริง  หากวจนะของเราอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมจะเป็นงานของพวกวิญญาณชั่ว  ด้วยเหตุนั้น เจ้าต้องใช้ความมานะพยายามในวจนะของเราให้มากขึ้น จงทำสิ่งที่เราทำ และจงรักสิ่งที่เรารัก  ยุคสุดท้ายนี้เป็นยุคที่ความวิบัติทั้งหมดบังเกิดขึ้นอีกครั้งด้วย และที่มากกว่านั้นก็คือ นั่นเป็นยุคที่เรากำลังเผยอุปนิสัยทั้งปวงของเรา  เมื่อแตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงของเราเริ่มดังขึ้น ผู้คนจะรู้สึกกลัวอย่างแท้จริง ณ เวลานั้นจะไม่มีผู้ใดกล้าทำชั่ว แต่จะหมอบราบเบื้องหน้าเราแทน โดยซึ้งคุณค่าในปัญญาของเราและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเรา  ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงพระปัญญา!  ผู้ใดสามารถหักล้างเราได้?  และผู้ใดกล้าลุกขึ้นต่อต้านเรา?  ผู้ใดกล้าไม่ยอมรับปัญญาของเรา?  ผู้ใดกล้าไม่รู้จักความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเรา?  เมื่อวิญญาณของเรากำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่ในสถานที่ทั้งปวง ทุกคนย่อมรู้จักความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเรา แต่กระนั้นก็ตามเป้าหมายของเรายังไม่บรรลุ  เราต้องการให้ผู้คนมองเห็นความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเรา ปัญญาของเรา และสง่าราศีแห่งสภาวะบุคคลของเรา อันเป็นผลจากความโกรธขึ้งของเรา  (ทั้งหมดเหล่านี้ถูกสำแดงในตัวบุตรหัวปีทั้งหลาย นี่เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน  นอกจากพวกเขาแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะบุคคลของเราได้ ข้อนี้ได้ถูกเราลิขิตไว้แล้ว)  ในบ้านของเรา มีความล้ำลึกไม่รู้จบที่ผู้คนไม่สามารถหยั่งลึกได้  เมื่อเราพูด ผู้คนกล่าวว่าเราไร้ปรานีเกินไป  พวกเขากล่าวว่าผู้คนมากมายเหลือเกินรักเราอยู่แล้วถึงระดับหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเราจึงชี้ให้เห็นว่าคนพวกนั้นเป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดงเล่า?  ที่มากกว่านั้น เหตุใดเราจึงจะทอดทิ้งพวกเขาทีละคน?  ไม่ดีกว่าหรือที่จะมีผู้คนมากขึ้นในบ้านของเรา?  แม้กระนั้นก็ตาม เรายังคงกระทำการในลักษณะนี้ต่อไป  ไม่สามารถมีจำนวนคนที่เรากำหนดไว้ล่วงหน้ามากขึ้นมาหนึ่งหรือน้อยลงไปหนึ่ง (นี่เป็นประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา  การนั้นไม่เพียงไม่สามารถถูกมนุษย์คนใดเปลี่ยนแปลงได้เท่านั้น แต่แม้กระทั่งเราเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการนั้นได้ เพราะเราต้องไม่อ่อนข้อต่อหน้าซาตาน  การนี้เพียงพอที่จะทำให้ปัญญาและบารมีของเราเป็นที่แจ้งชัด  เราคือพระเจ้าหนึ่งเดียวพระองค์เอง  เหล่ามนุษย์กราบไหว้เบื้องหน้าเรา เราไม่อ่อนข้อต่อหน้ามนุษย์)  นี่เองคือประเด็นที่ทำให้ซาตานได้อายมากที่สุด  เหล่ามนุษย์ที่เราได้คัดสรรแล้วทั้งหมดล้วนถ่อมใจ นบนอบ เชื่อฟัง และซื่อสัตย์ และพวกเขาสามารถรับใช้เราด้วยความถ่อมใจและในความบดบัง  (ซาตานปรารถนาที่จะใช้ข้อเท็จจริงนี้มาทำให้เราได้อาย แต่เราตีโต้ซาตานกลับไป)  อุปนิสัยของเราสามารถมองเห็นได้ภายในผู้คนเหล่านี้  เมื่อเราได้กลับมาหลังจากมีชัยในการสู้รบแล้ว เราจะเจิมบุตรหัวปีทั้งหลายของเราให้เป็นกษัตริย์ในราชอาณาจักรของเรา และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะเริ่มหยุดพัก เพราะพวกเขาจะครองราชย์เป็นกษัตริย์เคียงข้างเรา  บุตรหัวปีทั้งหลายของเราเป็นตัวแทนของเรา และพวกเขาแสดงออกถึงเรา  พวกเขานบนอบต่อเราอยู่ในการปรนนิบัติที่ถ่อมใจและบดบังของพวกเขา พวกเขาดำเนินการตามวจนะของเราอยู่ในความซื่อสัตย์ของพวกเขา พวกเขากล่าวสิ่งที่เรากล่าวอยู่ในความซื่อสัตย์ของพวกเขา และพวกเขานำสง่าราศีมาสู่นามของเราภายในความถ่อมใจของพวกเขา (โดยปราศจากทั้งความกำแหงและความป่าเถื่อน แต่ด้วยบารมีและความโกรธขึ้ง)  บุตรหัวปีทั้งหลายของเรา!  ถึงเวลาที่จะพิพากษาสากลพิภพแล้ว!  เราประสาทการอวยพรแก่พวกเจ้า เรามอบสิทธิอำนาจแก่พวกเจ้า และเราให้รางวัลแก่พวกเจ้าเป็นการมีส่วนในพรทั้งหลาย!  ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงเรียบร้อยแล้ว และทั้งหมดล้วนถูกพวกเจ้าควบคุมและจัดการเตรียมการ เพราะเราคือพระบิดาของพวกเจ้า เราคือหอคอยที่แข็งแกร่งของพวกเจ้า เราคือที่พักพิงของพวกเจ้า และเราคือผู้หนุนหลังของพวกเจ้า  ที่มากกว่านั้นก็คือ เราเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพวกเจ้า เราคือทั้งหมดทั้งมวลของพวกเจ้า!  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของเรา และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของพวกเจ้าเช่นกัน  นี่ไม่รวมแต่เฉพาะวันนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงวันวานและแม้กระทั่งวันพรุ่งอีกด้วย!  นี่ไม่ควรค่าแก่การฉลองหรอกหรือ?  นี่ไม่ควรค่าแก่การเปล่งเสียงยินดีของพวกเจ้าหรอกหรือ?  พวกเจ้าทั้งหมด จงยอมรับส่วนที่พวกเจ้าสมควรได้รับจากเรา!  เราให้ทุกสิ่งทุกอย่างของเราแก่พวกเจ้า โดยไม่เก็บสักส่วนเสี้ยวเดียวไว้ให้ตัวเราเอง เพราะทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเราเป็นของพวกเจ้า และความมั่งคั่งของเรามาถึงตัวพวกเจ้าแล้ว  นี่คือเหตุผลที่เราได้กล่าวว่า “ดียิ่งนัก” หลังจากการสร้างพวกเจ้า

พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดชี้นำสิ่งที่พวกเจ้าทำ คิดและกล่าวในวันนี้?  สิ่งใดคือจุดประสงค์เบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้า?  เราถามพวกเจ้าว่า พวกเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกอย่างไรหรือ?  ใช่วันนี้หรือไม่?  หรือเป็นในอนาคต?  สิ่งใดคืองานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก?  พวกเจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่?  ดีละ เช่นนั้นแล้ว เราจะอธิบายเรื่องนี้แก่พวกเจ้า กล่าวคือ เมื่อเราได้มายังอาณาจักรมนุษย์ เราได้จัดการเตรียมการผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ สารพัดชนิดไว้แล้วเพื่อปรนนิบัติสภาวะมนุษย์ที่เราเป็นในวันนี้  บัดนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ เรากำลังโยนพวกคนปรนนิบัติออกไปให้พ้นทาง  การนี้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงอภิเษกสมรสหรือ?  เมื่อผู้คนเหล่านี้ทำการปรนนิบัติแก่เรา—นั่นคือเมื่อเราได้รับการทำให้เป็นพระเมษโปดก—เรารู้สึกถึงรสชาติของงานเลี้ยงอภิเษกสมรส  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความเจ็บปวดทั้งมวลที่เราได้ทนทุกข์ สิ่งทั้งปวงที่เราได้ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้กล่าว ทุกคนที่เราได้เผชิญ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำในชั่วชีวิตของเรานั้น ได้ประกอบกันเป็นงานเลี้ยงอภิเษกสมรส  หลังจากมนุษย์ที่เราเป็นได้รับการเจิมแล้ว พวกเจ้าก็ได้เริ่มติดตามเรา (และ ณ เวลานั้นเราได้บังเกิดเป็นพระเมษโปดก) ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำทางของเรา พวกเจ้าได้มีประสบการณ์กับความเจ็บปวดและความวิบัติมาแล้วทุกลักษณะ ถูกโลกทอดทิ้งและว่าร้าย ถูกครอบครัวทอดทิ้ง และได้ใช้ชีวิตภายใต้พรของเรา  สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก  เราใช้คำว่า “งานเลี้ยงอภิเษกสมรส” เพราะทั้งหมดที่เรานำทางพวกเจ้าให้ทำ ก็เพื่อจุดประสงค์แห่งการได้รับพวกเจ้าไว้  อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานเลี้ยง  ในอนาคต—หรืออาจกล่าวได้ว่าในวันนี้—ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้าชื่นชม ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับไว้ และราชานุภาพทั้งมวลที่พวกเจ้าใช้ร่วมกับเรา คือส่วนหนึ่งของงานเลี้ยง  ความรักของเรามาสู่บรรดาผู้ที่รักเราทั้งปวง  บรรดาผู้ที่เรารักจะคงอยู่ตลอดกาล จะไม่มีวันถูกขจัด และจะอยู่ภายในความรักของเราไปชั่วนิรันดร์กาล  ตลอดกาล!

ก่อนหน้า: บทที่ 108

ถัดไป: บทที่ 110

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger