ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง
วิธีทำหน้าที่ของผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้าแตกต่างจากวิธีทำสิ่งต่างๆ ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างนั้นคืออะไร? พี่น้องชายหญิงอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันและเชื่อมโยงกันทางวิญญาณ พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างปรองดอง รวมถึงบอกกันและกันได้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาคิดอะไรอยู่ พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมความจริงแก่กันได้อย่างเรียบง่ายและเปิดเผย ชื่นชมพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงช่วยเหลือกันและกันได้ หากใครมีความยากลำบาก พวกเขาก็แสวงหาความจริงร่วมกันเพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าว พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเป็นหนึ่งทางวิญญาณ อีกทั้งสามารถนบนอบเบื้องหน้าความจริงและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ ส่วนผู้ไม่มีความเชื่อนั้นต่างออกไป ทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง พวกเขาไม่สัมพันธ์สนิทกันอย่างเปิดเผย พวกเขาระวังอีกฝ่าย และถึงกับวางอุบายและแก่งแย่งชิงดีกัน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันด้วยความหมางใจและไปตามเส้นทางของตัวเอง ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการอยู่ในคริสตจักรและการอยู่ในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อคือ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจสามารถยอมรับความจริงได้ ไม่ว่าใครจะมีปัญหาหรือความยากลำบาก ทุกคนก็สามารถสามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยและช่วยเหลือกันได้ และหากมีใครเปิดเผยความเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์และตัดแต่งเพื่อให้บุคคลนี้สามารถกลับใจได้ นี่คือความหมายของการรักกัน ทุกคนต่างอยู่ในความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน และหลักธรรมทั้งหลายที่ผู้คนปฏิบัติเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ดีก็มีรากฐานมาจากพระวจนะของพระเจ้า หากมีใครเปิดเผยความเสื่อมทราม พูดจาไม่ถูกต้อง หรือทำผิดพลาด พวกเขาก็สามัคคีธรรมกันได้อย่างเปิดเผย เมื่อทุกคนแสวงหาความจริง ช่วยเหลือกันและกัน และบรรลุความเข้าใจในความจริง พวกเขาย่อมได้รับการปลดปล่อยและได้มาซึ่งอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ในหนทางนี้ ผู้คนจะไม่พบว่าพวกเขาห่างเหินจากกันและกัน แก่งแย่งชิงดีกัน หรือระวังตัวกันอีกต่อไป พวกเขายังสามารถหนุนใจกันและรักเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตคริสตจักร บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงต่างก็มาเข้าใจความจริง ละทิ้งความเสื่อมทรามของตน ร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงอย่างปรองดอง ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง และใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
หากเจ้าอยากปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงดีและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะทำงานกับผู้อื่นอย่างปรองดองเสียก่อน เวลาร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าควรพิจารณาดังต่อไปนี้ว่า “ความปรองดองคืออะไร? คำพูดคำจาของฉันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกเขาหรือไม่? ความคิดของฉันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกเขาหรือไม่? วิธีที่ฉันทำสิ่งต่างๆ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกเขาหรือไม่?” จงพิจารณาว่าทำเช่นไรจึงจะเป็นการร่วมมือกันอย่างปรองดอง ในบางครั้ง ความปรองดองหมายถึงความอดกลั้นและความยอมผ่อนปรน แต่ก็หมายรวมถึงการรักษาจุดยืนของเจ้าและการยึดมั่นในหลักธรรมด้วย ความปรองดองไม่ได้หมายถึงการประนีประนอมในหลักธรรมเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ราบรื่นขึ้น หรือการพยายามเป็น “คนเอาใจผู้อื่น” หรือยึดติดกับทางสายกลาง และแน่นอนว่ามิได้หมายถึงการทำตัวให้เป็นที่ถูกใจของใครบางคน นี่คือหลักธรรม ทันทีที่เจ้าเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้แล้ว เจ้าจะพูดจาและกระทำการอย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริงโดยไม่รู้ตัว ในหนทางนี้การสัมฤทธิ์ความเป็นเอกภาพย่อมง่าย ในพระนิเวศของพระเจ้า หากผู้คนใช้ชีวิตตามปรัชญาสำหรับติดต่อเจรจาทางโลก และหากพวกเขาพึ่งพามโนคติอันหลงผิด แนวโน้ม ความอยากได้อยากมี เหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัว พรสวรรค์ และความฉลาดของตนเองเพื่อให้ไปกันได้กับทุกคน เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมไม่ใช่หนทางที่จะมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นี่เป็นเพราะเมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่นนั้นแล้วสิ่งใดคือผลสืบเนื่องท้ายสุดของการนี้? พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจกับพวกเขา เมื่อไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า หากผู้คนพึ่งพาความสามารถและความฉลาดอันน้อยนิดของตนเอง ความเชี่ยวชาญเพียงเล็กน้อยของตน พึ่งพาความรู้และทักษะนิดหน่อยที่พวกเขาได้มา เช่นนั้นแล้วการใช้พวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะลำบากยากเย็นยิ่ง และการที่พวกเขาจะกระทำการตามเจตนารมณ์ของพระองค์ก็จะยากมาก เมื่อไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็ไม่มีวันสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า หรือหลักธรรมของการปฏิบัติได้ เจ้าจะไม่รู้จักเส้นทางหรือหลักธรรมที่จะใช้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าจะไม่มีวันรู้ว่าจะกระทำการตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไรหรือรู้ว่าการกระทำใดละเมิดหลักธรรมความจริงและต้านทานพระเจ้า หากสิ่งทั้งหมดนี้ไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าก็จะเอาแต่เฝ้าสังเกตและทำตามข้อบังคับอย่างมืดบอด เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสับสนเช่นนี้ เจ้าย่อมล้มเหลวอย่างแน่นอน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และเจ้าจะทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้าอย่างแน่นอน แล้วเจ้าก็จะถูกกำจัดออกไป
เมื่อคนสองคนร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ บางครั้งพวกเขาจะมีข้อพิพาทในเรื่องของหลักธรรม พวกเขาจะมีมุมมองต่างกันและจะมีความคิดเห็นที่ต่างกัน ในกรณีนั้นจะทำสิ่งใดได้บ้าง? นี่เป็นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยใช่หรือไม่? นี่เป็นปรากฏการณ์ปกติ ความรู้สึกนึกคิด ขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก วัย และประสบการณ์ของทุกคนย่อมแตกต่างกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนสองคนจะมีความคิดอ่านและมุมมองตรงกันพอดี เพราะฉะนั้นการที่คนสองคนอาจแตกต่างกันในด้านความคิดเห็นและทัศนะของพวกเขาจึงเป็นปรากฏการณ์ที่ปกติมาก ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ปกติธรรมดาไปกว่านี้ได้อีกแล้ว นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำให้เป็นเรื่อง คำถามสำคัญก็คือ เมื่อมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น ควรจะร่วมมือและแสวงหาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและความเป็นเอกฉันท์ทางทัศนะและความคิดเห็นกันอย่างไร อะไรคือเส้นทางไปสู่การรวมกันเป็นหนึ่งทางทัศนะและความคิดเห็น? ย่อมเป็นการแสวงหาหลักธรรมความจริงในแง่มุมที่เกี่ยวข้อง ไม่กระทำการตามเจตนาของเจ้าเองหรือของใครอื่น แต่ให้แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า นี่คือเส้นทางไปสู่ความร่วมมืออันปรองดอง มีเพียงเมื่อเจ้าแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและหลักธรรมที่พระองค์ทรงพึงประสงค์เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หาไม่แล้ว หากสิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามวิธีของเจ้า อีกฝ่ายย่อมจะไม่พอใจ และหากสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ เจ้าก็จะไม่รู้สึกยินดีและไม่สะดวกใจ เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่สามารถปล่อยสิ่งต่างๆ ไป และเจ้าจะคิดอยู่เสมอว่า “การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่?” เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นว่าอันที่จริงใครคือผู้ที่มีวิธีคิดที่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกัน เจ้าก็จะไม่เต็มใจล้มเลิกแนวคิดของตัวเอง ในสถานการณ์เช่นนั้นเจ้าควรแสวงหาความจริง รวมถึงแสวงหาว่าควรใช้หลักธรรมใดและพระเจ้าทรงพึงประสงค์ในมาตรฐานใด เมื่อเจ้าแสวงหามาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์พบแล้ว ก็จงสามัคคีธรรมกับอีกฝ่าย แล้วจากนั้น หากพวกเขาสามัคคีธรรมถึงทัศนะและความรู้ของตนสักเล็กน้อย หัวใจของเจ้าย่อมจะชัดเจนและสว่าง เจ้าจะคิดกับตัวเองว่า “วิธีคิดของฉันเบี่ยงเบนและตื้นเขินอยู่เล็กน้อย—วิธีคิดของพวกเขาดีกว่า ใกล้เคียงมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มากกว่า ดังนั้น ฉันจะละวางวิธีคิดของตัวเอง ยอมรับและเชื่อฟังวิธีคิดของพวกเขา มาทำตามวิธีของพวกเขากันเถอะ” และการที่เจ้าได้เรียนรู้บางอย่างจากพวกเขาย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าได้รับความโปรดปรานแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาให้เจ้ามาเล็กน้อย และเจ้าก็ได้ชื่นชมบางสิ่งที่พร้อมใช้ นั่นเรียกว่าพระคุณของพระเจ้า และความโปรดปรานได้ถูกแสดงแก่เจ้าแล้ว เจ้าคิดหรือว่าจริงๆ แล้วเฉพาะเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าได้รับความโปรดปราน? เมื่อใครบางคนมีความคิดเห็นหรือมีความรู้แจ้งบางอย่าง และแบ่งปันสิ่งนั้นกับเจ้าในสามัคคีธรรม หรือเมื่อมีการนำบางสิ่งไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักธรรมของพวกเขา และเจ้าก็มองเห็นว่าผลลัพธ์นั้นไม่เลว นั่นคือการได้มาซึ่งบางสิ่งมิใช่หรือ? นี่คือการแสดงความโปรดปรานให้เห็น การร่วมมือกันในหมู่พี่น้องชายหญิงคือกระบวนการชดเชยจุดอ่อนของคนเราด้วยจุดแข็งของอีกคน เจ้าใช้จุดแข็งของเจ้าชดเชยข้อบกพร่องของผู้อื่น และผู้อื่นก็ใช้จุดแข็งของพวกเขาเติมเต็มให้กับสิ่งที่เจ้าขาด นี่เองคือสิ่งที่เป็นความหมายของการชดเชยจุดอ่อนของคนเราด้วยจุดแข็งของผู้อื่น และการร่วมมือกันอย่างปรองดอง มีเพียงเมื่อร่วมมือกันด้วยความปรองดองเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถได้รับการอวยพรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งคนเราได้รับประสบการณ์กับการนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ยามที่พวกเขาเดินไป เส้นทางของพวกเขาย่อมสว่างขึ้น และพวกเขาก็สบายใจยิ่งขึ้นทุกที หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมืออย่างปรองดอง หากเจ้าผิดใจกับผู้อื่นอยู่เสมอ และไม่เคยเชื่อตามสิ่งที่ผู้อื่นพูด แล้วพวกเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะฟังเจ้า หากเจ้าพยายามรักษาศักดิ์ศรีให้ผู้อื่น แต่พวกเขาไม่ทำอย่างเดียวกันให้กับเจ้า และเจ้ารู้สึกอึดอัดใจ หากเจ้าต้อนให้พวกเขาจนมุมในบางสิ่งที่พวกเขาได้พูด และพวกเขาจดจำการนั้น และครั้งถัดไปที่เกิดประเด็นปัญหาขึ้น พวกเขาก็ทำกับเจ้าแบบเดียวกัน—เช่นนั้นแล้วนี่คือปัญหาอะไร? นี่คือการที่เจ้าใช้ชีวิตด้วยความใจร้อนและเป็นการแก่งแย่งชิงดีกันไม่ใช่หรือ? นี่คือการใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ใช่หรือ? การที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในหนทางนี้ย่อมจะไม่ได้รับการเห็นชอบหรือได้รับพรจากพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด การนี้มีแต่จะทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้าเท่านั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ พวกเจ้าต้องร่วมมือกันอย่างปรองดอง เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีและทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า การร่วมมือกันอย่างปรองดองคืออะไร? พฤติกรรมใดที่ไม่ตรงกับคุณสมบัติของการร่วมมือกันอย่างปรองดอง? สมมุติว่าเจ้าทำหน้าที่ของเจ้า และเราทำหน้าที่ของเรา พวกเราต่างทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ระหว่างพวกเรานั้นไม่มีความเข้าใจกัน ไม่มีการสัมพันธ์สนิทหรือสามัคคีธรรมกัน พวกเราไม่ได้มีความเข้าใจกันในทางใดเลย พวกเราเพียงรู้อยู่ลึกๆ ว่า “ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉัน และคุณกำลังทำหน้าที่ของคุณ ขอพวกเราอย่าแทรกแซงกัน” นี่คือการร่วมมือกันอย่างปรองดองหรือ? ภายนอกแล้ว ระหว่างสองฝ่ายอาจดูเหมือนไม่มีการโต้แย้งหรือความเห็นต่าง อีกทั้งพวกเขาก็ดูเหมือนไม่ได้แทรกแซงกันหรือหน่วงเหนี่ยวกันเลย อย่างไรก็ตาม ในทางวิญญาณแล้วกลับไม่มีการร่วมมือกันอย่างปรองดองระหว่างพวกเขา พวกเขาไร้ซึ่งความใส่ใจ หรือความเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือแต่ละฝ่ายต่างทำในส่วนของตัวเอง และต่างฝ่ายต่างทุ่มเทความพยายามโดยไม่มีความร่วมมือใดๆ นี่คือหนทางที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ กระนั้นหรือ? เรื่องนี้อาจดูเหมือนไม่มีใครคอยเฝ้าดู ตีกรอบ สั่งการ หรือเชื่อฟังใครแบบสุ่มสี่สุ่มห้า และอาจดูสมเหตุสมผลด้วยซ้ำ ทว่าในตัวพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง พวกเขาต่างแข่งขันกันเพื่อเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้บังคับบัญชา หรือแข่งกันปฏิบัติหน้าที่ให้ดีกว่าผู้อื่น ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รัก ไม่ใส่ใจ หรือไม่ช่วยเหลือใครทั้งสิ้น ในที่นี้มีการร่วมมือกันอย่างปรองดองหรือไม่? (ไม่มี) หากไร้ซึ่งการร่วมมือกัน เจ้าย่อมกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว และเจ้าจะทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่ค่อยเพียบพร้อมหรือครบถ้วน นี่ไม่ใช่สภาวะที่พระเจ้าทรงต้องการเห็นในตัวมนุษย์ การนี้ไม่ได้ทำให้พระองค์พอพระทัย
ผู้คนบางคนชอบทำสิ่งทั้งหลายโดยลำพัง ไม่หารือสิ่งทั้งหลายกับผู้ใดหรือบอกผู้ใด พวกเขาเพียงทำสิ่งทั้งหลายตามที่ตนต้องการโดยไม่คำนึงว่าผู้อื่นจะมองพวกเขาเช่นไร พวกเขาคิดว่า “ฉันเป็นผู้นำ และพวกคุณคือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นพวกคุณจำเป็นต้องทำตามสิ่งที่ฉันทำ ทำตามที่ฉันพูดอย่างแม่นยำ—นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น” พวกเขาไม่แจ้งให้ผู้อื่นรู้เวลาที่พวกเขาลงมือทำ และการกระทำของพวกเขาไม่มีความโปร่งใส โดยส่วนตัวแล้วพวกเขามุมานะอยู่เสมอและกระทำการอย่างลับๆ เช่นเดียวกับพญานาคใหญ่สีแดงที่ยังคงผูกขาดอำนาจไว้ที่ตนฝ่ายเดียว พวกเขาปรารถนาอยู่เสมอที่จะตบตาและควบคุมผู้อื่นซึ่งพวกเขาเห็นว่าไม่มีนัยสำคัญและไร้ค่า พวกเขาต้องการเป็นผู้ชี้ขาดในเรื่องต่างๆ เสมอ ไม่หารือหรือสื่อสารกับผู้อื่น และพวกเขาไม่เคยขอความคิดเห็นจากผู้อื่น เจ้าคิดอย่างไรกับแนวทางนี้? นี่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ไม่มี) นี่คือธรรมชาติของพญานาคใหญ่สีแดงมิใช่หรือ? พญานาคใหญ่สีแดงนั้นเผด็จการและชอบกระทำการตามอำเภอใจ ผู้ที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ไม่ใช่เชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงหรอกหรือ? นี่คือวิธีที่ผู้คนควรรู้จักตัวเอง พวกเจ้าสามารถทำตัวเช่นนี้ได้หรือไม่? (ได้) เมื่อเจ้าทำตัวเช่นนี้ พวกเจ้ารู้ตัวหรือไม่? หากเจ้ารู้ตัว เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ยังคงมีความหวัง แต่หากเจ้าไม่รู้ตัว เจ้าย่อมมีปัญหาอย่างแน่นอน และในกรณีนี้เจ้าย่อมจบสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ? ควรทำอย่างไรหากเจ้าไม่ตระหนักรู้การทำตัวเช่นนี้? (พวกเราต้องให้พี่น้องชายหญิงชี้ให้เห็น และตัดแต่ง พวกเรา) หากเจ้าพูดกับผู้อื่นก่อนว่า “โดยธรรมชาติแล้วฉันเป็นคนชอบนำคนอื่น และฉันจะบอกพวกคุณเอาไว้ก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นก็อย่ามองเป็นปัญหา คุณต้องอดทนกับฉัน ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก และฉันก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้น ฉันหวังว่าพวกคุณจะยอมผ่อนปรนให้ฉัน เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็อดทนกับฉัน ร่วมมือกับฉัน พวกเรามาพยายามร่วมมือกันอย่างปรองดองเถิด” การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่? (ไม่ได้ นี่ไร้เหตุผล) เหตุใดเจ้าจึงบอกว่านี่ไร้เหตุผล? บางคนที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ตั้งใจแสวงหาความจริง พวกเขารู้ดีทีเดียวว่าการทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ไม่ถูกต้อง แต่พวกเขากลับยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ พลางบีบคั้นผู้อื่น เรียกร้องขอความร่วมมือและแรงสนับสนุนจากคนเหล่านั้น ความตั้งใจของพวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงเลย พวกเขาจงใจต่อต้านความจริง การละเมิดโดยรู้อยู่แก่ใจนั้น—เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดที่สุด ไม่มีใครทำเรื่องดังกล่าวได้นอกจากพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ และการทำเช่นนี้เป็นการกระทำของศัตรูของพระคริสต์อย่างแน่นอน เมื่อคนเราจงใจต่อต้านความจริงและต้านทานพระเจ้า พวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตราย นี่คือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ บุคคลเหล่านี้ไม่ปฏิบัติความจริงด้วยตนเอง แต่พวกเขากลับบีบคั้นและหว่านล้อมผู้อื่น พยายามทำให้ผู้อื่นต่อต้านความจริงและต้านทานพระเจ้าตามพวกเขา พวกเขาจงใจตั้งตนต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาปฏิบัติตนในหนทางนี้ พวกเขาได้แจ้งคนในกลุ่มไว้ล่วงหน้า และขอให้ผู้คนอะลุ้มอล่วยให้แก่ตน แล้วจากนั้นก็ทำให้ทุกคนสนับสนุนพวกเขา พวกเขายิ่งฉลาดแกมโกงมากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อทำเช่นนี้ การพูดเช่นนี้คือการแสดงแสนยานุภาพโดยแท้ เป็นการยื่นคำขาด พวกเขาหมายความว่า “ฟังทางนี้ ฉันไม่ใช่คนที่ใครจะมากวนใจ คนทั่วไปไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับฉัน สิ่งที่ฉันต้องการคือเป็นคนคุม อย่ามีใครพยายามมาพูดคุยหารือเรื่องต่างๆ กับฉันจะดีกว่า—ฉันไม่เสวนาด้วย! ประเด็นของฉันคือ หากคุณให้ฉันทำอะไรบางอย่าง เช่นนั้นแล้ว ฉันต้องเป็นคนชี้ขาด ใครก็อย่าพยายามทำงานร่วมกับฉันจะดีกว่า—ความสามารถของคุณไม่ถึงขั้น แม้ว่าคุณอยากจะทำให้ได้ก็ตาม!” นี่ใช่การตีแผ่ตัวเองหรือไม่? ไม่ใช่ นี่คือการทำสิ่งต่างๆ ในนามของซาตาน ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้น พวกเขาต้องการครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ต้องการให้เป็นไปตามคำพูดของตัวเอง เพื่อที่ทุกคนจะได้ทำตามที่พวกเขาพูด แล้วมาติดตามและเชื่อฟังพวกเขา นั่นคือการสำแดงมารร้ายตนหนึ่งให้ประจักษ์มิใช่หรือ? นี่ไม่ใช่การเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาแบบครั้งเดียวจบเท่านั้น การกระทำของศัตรูของพระคริสต์ถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาบงการ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและมาที่คริสตจักรด้วยความตั้งใจที่จะครองอำนาจ พวกเขาหมายจะตั้งตนต่อต้านพระเจ้า นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่เส้นทางแห่งการต้านทานพระองค์ พวกเขาเหมือนประมุขศาสนนิกายต่างๆ ข้างนอกนั้นไม่มีผิด พวกเขาล้วนมีแก่นแท้แห่งศัตรูของพระคริสต์ และต้องการที่จะทำตัวทัดเทียมพระเจ้าเช่นเดียวกับซาตาน หากหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเห็นว่ามีการสำแดงศัตรูของพระคริสต์ให้เห็น พวกเขาควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้? พวกเขาควรช่วยเหลือคนเหล่านั้นอย่างเปี่ยมรักหรือไม่? พวกเขาควรเปิดโปงและมีวิจารณญาณแยกแยะคนเหล่านั้น และปล่อยให้ผู้อื่นเห็นโฉมหน้าเยี่ยงซาตานของคนเหล่านั้น หลังจากนั้นก็ควรละทิ้งคนเหล่านั้นไปเสีย นี่คือหลักธรรมที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรรับรู้และเข้าใจ สำหรับผู้ที่มองการสำแดงตัวแห่งศัตรูของพระคริสต์ว่าเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เป็นการฝ่าฝืนชั่วขณะ และยังคงถูกสิ่งที่เรียกว่า “การรู้จักตนเอง” กับการกระทำที่เชื่อกันว่าเป็นการเปิดใจและตีแผ่ตนเองแห่งศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดอยู่อีก ทั้งยังสามัคคีธรรมความจริงกับคนเหล่านั้น พวกเขาย่อมจะเป็นคนที่โง่เขลาอย่างที่สุด และชัดเจนว่าไม่มีวิจารณญาณแต่อย่างใด บอกเราหน่อยเถิดว่าคนจำพวกศัตรูของพระคริสต์ที่เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา จะสามารถเปิดใจและตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นฟังได้หรือไม่? พวกเขาไม่เคยทบทวนหรือรู้จักตัวเองในยามที่ทำผิด และการตีแผ่ตัวเองของพวกเขาก็เป็นเพียงการกระทำที่ชักพาให้ผู้คนหลงผิด ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาความชอบธรรมให้ตัวเอง คนเราต้องแยกแยะว่า ที่จริงแล้วการเปิดใจและการตีแผ่ตัวเองอย่างแท้จริงหมายถึงอะไร หากพวกเขากล่าวว่า “ฉันอารมณ์ไม่ดี อย่ามายุ่งกับฉัน!” นี่ใช่การตีแผ่ตัวเองหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขากำลังเตือนเจ้าไม่ให้ไปยั่วยุพวกเขา บอกว่าการยั่วยุพวกเขาจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว แล้วจะเป็นเช่นไร ถ้าพวกเขาพูดว่า “ในบ้านของฉันต้องเป็นไปตามที่ฉันพูด ต่อให้เป็นพ่อแม่ก็ต้องทำตามที่ฉันพูด ฉันเป็นคนอารมณ์ร้ายแบบนี้ และพวกคุณมีแต่จะต้องยกโทษให้ฉันเท่านั้น–ฉันทำอะไรไม่ได้เลยในเรื่องนี้ พ่อแม่ของฉันบอกว่าคนที่มีความสามารถพิเศษอันเยี่ยมยอดย่อมมาพร้อมกับอารมณ์ที่รุนแรง พวกท่านจึงยกโทษให้ฉันในเรื่องนี้”? นี่จะเป็นการตีแผ่ตัวเองหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขากำลังบอกเจ้าว่าผู้ที่มีความสามารถพิเศษอันเยี่ยมยอดย่อมมีอารมณ์ที่รุนแรง ดังนั้น เจ้าจึงควรยกโทษให้พวกเขา หากพวกเขาบอกว่า “ฉันอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก สิ่งต่างๆ ต้องเป็นไปตามที่ฉันพูด ฉันไล่ตามไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบและสิ่งที่ฉันต้องการ ตอนนี้ พอมาเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ดีขึ้นมาก และกับเรื่องส่วนใหญ่ ฉันก็สามารถอดทนและควบคุมตัวเองได้ แต่ฉันยังคงไล่ตามไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบ หากสิ่งใดไม่สมบูรณ์แบบ สิ่งนั้นย่อมใช้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง และตัวฉันก็รับไม่ได้” นี่ใช่การตีแผ่ตัวเองหรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้ว นี่คืออะไร? นี่คือการสรรเสริญตัวเองและอวดตนเพื่อทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือพวกเขา เป็นการบอกผู้อื่นว่าพวกเขาน่าเกรงขามเพียงใด วิธีเดียวกับที่นักเลงและพวกอันธพาลคุยโม้อย่างดุเดือดและอวดเบ่งเวลาเจอกัน ราวกับจะบอกว่า “แกคิดว่าแกจะก่อกวนฉันได้หรือ? ถ้าคิดแบบนั้น มาดวลหมัดกันหน่อยเป็นไร!” นี่ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของซาตานหรอกหรือ? นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตาน วิธีการตีแผ่ตัวเองไม่ได้เหมือนกันไปหมด เมื่อศัตรูของพระคริสต์ตีแผ่ตัวเอง พวกเขาย่อมหมายถึงการข่มขู่ คุกคาม และทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว พวกเขาต้องการที่จะกำราบผู้อื่นเสมอ นี่คือโฉมหน้าของซาตาน นี่ไม่ใช่หนทางของการเปิดใจที่เรียบง่ายและเป็นปกติ ในการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้น คนเราควรเปิดใจและตีแผ่ตัวเองอย่างไร? ด้วยการเปิดใจเกี่ยวกับการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา ยอมให้ผู้อื่นมองเห็นความเป็นจริงในหัวใจของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็ชำแหละและรับรู้ถึงแก่นแท้ของปัญหาตามพระวจนะของพระเจ้า ชังและรังเกียจตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อพวกเขาตีแผ่ตัวเอง พวกเขาไม่ควรพยายามหาความชอบธรรมให้ตัวเอง หรือพยายามอธิบายให้ตัวเองพ้นผิด แต่กลับกัน พวกเขาควรปฏิบัติความจริงและเป็นคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้น บางคนมีอุปนิสัยที่ไม่ดีอย่างชัดเจน แต่ก็พูดอยู่เสมอว่าตนเองอารมณ์ร้าย นี่เป็นเพียงการให้เหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอย่างหนึ่งมิใช่หรือ? อุปนิสัยที่ไม่ดีก็เป็นเพียงแค่นั้น คืออุปนิสัยที่ไม่ดี เมื่อคนเราทำบางสิ่งที่ไร้เหตุผลหรือบางสิ่งที่ทำร้ายทุกคน ปัญหาอยู่ที่อุปนิสัยและสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา แต่พวกเขาก็พูดอยู่เสมอว่าควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ชั่วขณะหรือเผลอโกรธเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยเข้าใจแก่นแท้ของปัญหา นี่คือการชำแหละและตีแผ่ตนเองอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ? ประการแรก การที่คนเราจะเข้าใจปัญหา ชำแหละและตีแผ่ตัวพวกเขาเองในระดับแก่นแท้นั้น พวกเขาต้องมีหัวใจที่ซื่อสัตย์และท่าทีที่จริงใจ และต้องพูดถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้เกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายในอุปนิสัยของตน ประการที่สอง หากคนเรารู้สึกว่าตนมีอุปนิสัยที่เลวทราม พวกเขาต้องบอกทุกคนว่า “หากฉันเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนั้นให้เห็นอีก ช่วยเตือนให้ฉันรู้ตัว รวมถึงตัดแต่งฉันได้ตามสบาย หากฉันไม่สามารถยอมรับได้ ก็อย่าวางมือจากฉัน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันในด้านนี้ร้ายแรงมาก และฉันจำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมถึงความจริงหลายครั้งเพื่อเปิดโปงตัวฉันเอง ฉันยินดียอมรับการตัดแต่งจากทุกคน และฉันหวังว่าทุกคนจะเฝ้าดูฉัน ช่วยเหลือฉัน และคอยกันไม่ให้ฉันพลัดหลง” ท่าทีเช่นนี้เป็นอย่างไร? นี่คือท่าทีของการยอมรับความจริง บางคนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา พวกเขาคิดในใจว่า "ถ้าทุกคนลุกขึ้นมาเปิดโปงฉัน ถึงตอนนั้นฉันจะทำอย่างไร? ฉันจะรับไหวไหม?" พวกเจ้าจะหวาดกลัวการถูกผู้อื่นเปิดโปงหรือไม่? (ไม่) เจ้าควรเผชิญเรื่องนี้ด้วยความกล้าหาญ การหวาดกลัวที่จะถูกเปิดโปงนั้นเป็นเรื่องน่าละอาย หากเจ้ารักความจริงโดยแท้ เจ้าจะกลัวถูกเหยียดหยามในหนทางนี้หรือไม่? เจ้าจะกลัวการที่ทุกคนตัดแต่งเจ้าหรือไม่? ความกลัวนี้เป็นเรื่องของความอ่อนแอ การคิดลบ และความเสื่อมทราม ทุกคนต่างเปิดเผยความเสื่อมทรามออกมา แต่แก่นแท้ในการเปิดเผยของพวกเขาแตกต่างกันไป ตราบใดที่ใครบางคนไม่ได้ฝ่าฝืนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ หรือไม่ได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักและความไม่สงบ ตราบนั้นการเปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาก็เป็นเรื่องปกติ และทุกคนจะสามารถปฏิบัติต่อการนี้ได้อย่างถูกต้อง หากเป้าหมายของใครบางคนคือการตั้งใจทำให้เกิดการหยุดชะงักหรือก่อความไม่สงบ หรือจงใจสร้างความเสียหายแก่งานของคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมเป็นผู้คนที่กลัวการถูกผู้อื่นเปิดโปงที่สุด เพราะแก่นแท้ของปัญหานี้ร้ายแรงเกินไป และทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปง พวกเขาจะถูกเผยตัวและถูกกำจัดออกไป ความกลัวของพวกเขานี้ถ่วงจิตใจของพวกเขาให้หนักอึ้ง ไม่ว่าวันนี้พระเจ้าจะทรงพระราชกิจอย่างไร ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ที่จะชำระผู้คนให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทรามของพวกเขาและช่วยพวกเขาให้รอด หากเจ้าคือผู้ที่ถูกต้องเหมาะสม และเจ้าเพียรพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จ คนส่วนมากย่อมจะมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาสามารถสังเกตเห็นเรื่องนี้ในตัวเจ้าได้ นอกจากนี้การเปิดโปงและตัดแต่งผู้คนก็ไม่ใช่การสร้างปัญหาให้แก่พวกเขา แต่ทำไปเพื่อช่วยพวกเขาแก้ปัญหาของพวกเขาเอง เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีและปกป้องงานของคริสตจักรได้ นี่คือสิ่งที่ถูกทำนองคลองธรรม บุคคลหนึ่งยอมรับการถูกตัดแต่งเพื่อให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ นี่ยังเป็นท่าทีที่คนเราควรมีเพื่อสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอีกด้วย เมื่อคนเรามีท่าทีเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ต้องหาเส้นทางปฏิบัติที่เหมาะสม และเมื่อถึงเวลาทำเช่นนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องทนทุกข์ เมื่อมีการสู้รบ พวกเขาต้องขัดขืนเนื้อหนังและสลัดหลุดจากการบีบคั้นของความไร้แก่นสาร ความหยิ่งยโส และความรู้สึก เมื่อพวกเขาตีฝ่าความยากลำบากทางเนื้อหนังได้ สิ่งต่างๆ ย่อมง่ายดายขึ้นมาก คนเราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าอิสรภาพและการปลดปล่อย นี่คือขั้นตอนในการปฏิบัติความจริง ความทุกข์ย่อมมีอยู่บ้างวันยังค่ำ การไม่ทนทุกข์เลยย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเนื้อหนังนั้นเสื่อมทราม และผู้คนก็มีความไร้แก่นสารและความหยิ่งยโสอยู่ พวกเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดของผู้คนในการปฏิบัติความจริง ดังนั้นการปฏิบัติความจริงโดยไม่ทนทุกข์แม้แต่น้อยจึงเป็นไปไม่ได้ เมื่อผู้คนได้ลิ้มรสความหอมหวานของการปฏิบัติความจริง มีประสบการณ์กับสันติสุขและความชื่นบานที่แท้จริงแล้ว พวกเขาย่อมเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง พวกเขาจะปฏิเสธตัวเอง ขัดขืนเนื้อหนัง และมีชัยเหนือซาตานได้ง่ายขึ้น ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระโดยสมบูรณ์
บรรยากาศแบบใดที่ต้องพัฒนาให้เจริญขึ้นในชีวิตคริสตจักร? บรรยากาศที่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นก็กล่าวถึงสิ่งนั้น ไม่ใช่ตัวบุคคล บางครั้งความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอาจนำไปสู่การถกเถียงและเกิดความโกรธจัด แต่ก็ไม่มีความบาดหมางกันในหัวใจ ทุกสิ่งเป็นไปเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คนและให้คนเราปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ทั้งหมดเป็นไปเพื่อที่จะปฏิบัติความจริงเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่มีความเกลียดชังระหว่างผู้คน นี่เป็นเพราะทุกคนต่างอยู่ในกระบวนการของการพยายามที่จะสัมฤทธิ์ความรอด ทุกคนต่างมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกัน และบางครั้งก็เป็นไปได้ว่าอาจมีคำพูดที่รุนแรงเกินไปบ้าง เกินเลยไปบ้าง หรือบางคนอาจมีท่าทีที่ไม่ดีบางอย่าง ผู้คนก็ไม่ควรถือโกรธสิ่งเหล่านี้ หากเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจหรือมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ที่พึ่งสุดท้ายก็คือ อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและใคร่ครวญในใจว่า "พวกเราเชื่อและติดตามพระเจ้าองค์เดียวกัน ดังนั้น ไม่ว่าพวกเราจะมีความขัดแย้งอะไรหรือมีความคิดเห็นอะไรที่แตกต่างกันก็ตาม ไม่ว่าสิ่งที่แบ่งแยกพวกเราคืออะไร พวกเราก็เป็นหนึ่งเดียวกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเราอธิษฐานถึงพระเจ้าองค์เดียวกัน ดังนั้นมีอะไรบ้างที่พวกเราปล่อยผ่านไม่ได้?" หากเจ้าคิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ เจ้าย่อมจะเอาชนะความบีบคั้นเหล่านี้ได้ไม่ใช่หรือ? เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว จุดมุ่งหมายสูงสุดของการนี้คืออะไร? คือการร่วมมือกันอย่างปรองดอง แสวงหาที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง และสัมฤทธิ์ความเป็นหนึ่งเดียวกัน–ความเป็นหนึ่งเดียวกันทางหลักธรรม ความเป็นหนึ่งเดียวกันทางจุดมุ่งหมาย รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันทางเจตนาและบ่อเกิดแห่งการกระทำ นี่เป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยาก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? (ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม) ถูกต้องแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะความแตกต่างทางอารมณ์ ลักษณะนิสัย หรือวัยของผู้คน หรือเพราะผู้คนมาจากครอบครัวที่ต่างกัน แต่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นั่นคือมูลเหตุ หากพวกเจ้าทุกคนมองเห็นสาเหตุที่แท้จริงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้อย่างชัดเจน เจ้าก็จะสามารถรับมือสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และย่อมจะแก้ปัญหาได้โดยง่าย ดังนั้นในที่นี้ พวกเรายังจำเป็นต้องพูดคุยถึงวิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามโดยละเอียดหรือไม่? ไม่จำเป็น พวกเจ้าได้ฟังคำเทศนามามากมายจนพวกเจ้าต่างก็รู้บางอย่างเกี่ยวกับเส้นทางที่จะใช้เดิน และพวกเจ้าล้วนมีประสบการณ์บางอย่างในเรื่องนี้ ตราบใดที่ผู้คนสามารถพากเพียรแสวงหาความจริงในทุกสิ่งเพื่อแก้ไขปัญหา ทบทวนปัญหาที่มีอยู่ในตัวพวกเขา อีกทั้งปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมต่อไปได้ ตราบนั้นโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็จะร่วมมือกับผู้อื่นอย่างปรองดองได้ ตราบใดที่ผู้คนสามารถยอมรับความจริง ไม่โอหังหรือคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ และสามารถนำข้อเสนอแนะของผู้อื่นมาขบคิดได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ร่วมมือกันได้ และหากเกิดปัญหาขึ้นจริง การร่วมมือกันด้วยการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นก็ย่อมง่ายขึ้น ตราบใดที่ใครบางคนสามารถยอมรับความจริงและเปิดใจได้ในสามัคคีธรรม ก็ย่อมง่ายที่คู่ทำงานของพวกเขาจะตื้นตันใจ และสามารถยอมรับความจริงได้ จากนั้น การสัมฤทธิ์ความร่วมมืออันปรองดองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และการบรรลุเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันทางหัวใจและความรู้สึกนึกคิดก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย
5 กันยายน ค.ศ. 2017