พระวจนะว่าด้วยเรื่องอื่นๆ

บทตัดตอน 80

ทุกคนรับรู้ว่าพระเจ้าทรงปกครองโชคชะตาของมนุษย์และรับรู้ว่าชีวิตทั้งชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่หากเจ้ามีประสบการณ์ที่แท้จริงว่าเหตุการณ์ใหญ่ทุกเหตุการณ์ในทุกห้วงเวลาและทุกช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งถูกจัดเตรียมภายใต้การปกครองของพระเจ้า และไม่ได้เป็นไปตามแผนการและการจัดการเตรียมการของพวกเขาเอง หากเจ้าสามารถมองเห็นว่าผู้คนไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาของตนเองหรือความทุกข์ใดๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญ เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ได้ นี่ก็คือการมีความเชื่อที่แท้จริง  นี่ย่อมเป็นจริงมากขึ้นเมื่อเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าทรงปกครองโชคชะตาของมนุษย์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”  การมีประสบการณ์เรื่องอธิปไตยของพระเจ้าและเรื่องการจัดการเตรียมการและการออกแบบของพระองค์เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก  นี่เป็นบางสิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วยและไม่สามารถอธิบายได้หากเจ้าไม่เคยประสบมาก่อน แต่ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากขึ้นเท่าใด ยิ่งเจ้าพบเจอมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะสามารถอธิบายได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น  มีคำกล่าวอยู่ว่า “เจ้าย่อมเข้าใจโชคชะตาของเจ้าเมื่ออายุ 50 ปี”  การกล่าวว่าเจ้าเข้าใจโชคชะตาของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  ผู้คนเพิ่งเผชิญโลกในช่วงอายุยี่สิบปี  พวกเขายังอายุน้อย วู่วาม ไม่รู้อะไร และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าชีวิตนี้ของมนุษย์ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พวกเขายังคงต้องการดิ้นรนต่อสู้กับโชคชะตาของตน ยังคงคิดว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษและมีความเชี่ยวชาญ และพวกเขายังคงบากบั่นด้วยตนเอง พยายามสร้างชื่อให้ตัวเอง และพยายามให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและตำแหน่ง  พวกเขาพยายามต่อไปแม้จะล้มเหลว พยายามหาโอกาสอีกครั้งเสมอ  จากนั้นในช่วงวัย 50 ปี พวกเขาก็ย้อนมองกลับไป แล้วคิดว่า “โธ่เอ๋ย การวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นดินโลกตลอดสามสิบกว่าปีมานี้และทำเรื่องยื้อแย่งชิงดีทั้งหมดนี่ช่างยากเข็ญจริงๆ!  ไม่มีสักขั้นตอนในการแต่งงาน การสร้างอาชีพ และการมีลูกของฉันที่เป็นไปตามแผนการและการคิดคำนวณของฉันเอง—เป็นชะตากรรมทั้งสิ้น!”  นี่คือการเข้าใจโชคชะตาของเจ้า ไม่มีการต่อสู้กับมันอีก  แท้จริงแล้วการเข้าใจโชคชะตาของตนเมื่ออายุ 50 ปี เป็นเพียงการที่ผู้คนอายุครบ 50 ปี และเรียนรู้ที่จะยอมสงบศึกกับชะตากรรมหลังจากที่พ่ายแพ้ไปหลายครั้งเหลือเกิน  เมื่อผู้คนเข้าใจโชคชะตาของตนเอง พวกเขาจะหยุดต่อสู้กับมัน  ส่วนเรื่องที่ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือมนุษยชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แท้จริงแล้วผู้คนควรมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และพวกเขาควรดำรงชีวิตอย่างไร ผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้หรือไม่?  ผู้ไม่เชื่อย่อมไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้อย่างมากที่สุดก็คือยอมรับโชคชะตาของตัวเอง และเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้านทานโชคชะตาของตัวเอง  และแล้วพวกเขาก็มองเห็นลูกหลานของตนต่อสู้กับโชคชะตา แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด แต่ละรุ่นย่อมมีพรของตนเอง  เพียงปล่อยให้เป็นไป พวกเขาก็จะหยุดต่อสู้กับโชคชะตาเองเมื่อพวกเขาอายุ 50 ปี  นี่คือความเป็นไปจากรุ่นสู่รุ่น  พวกเขาล้วนต่อสู้กับโชคชะตาจนกระทั่งพวกเขาอายุมากขึ้นและต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป  พวกเขาจะยอมรับโชคชะตาของตนและเรียนรู้บทเรียนของพวกเขา  พวกเขาจะไม่อวดดีและไม่โอหังเช่นนั้นอีก และจะสงบลง”  ผู้ไม่เชื่อสามารถเข้าใจได้มากที่สุดเท่านี้ แต่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่อ่านพระวจนะของพระองค์  แล้วพวกเขาจะเข้าใจความจริงได้อย่างไร?  การรู้จักโชคชะตาของเจ้าเมื่ออายุ 50 ปีหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงอย่างนั้นหรือ?  ผู้คนเชื่อว่า “ชะตากรรมของมนุษย์มีสวรรค์เป็นผู้ลิขิต”  นี่หมายความว่าพวกเขานบนอบต่อเจตจำนงของสวรรค์หรือไม่?  (ไม่)  การเอาแต่เชื่อในเรื่องนี้จึงใช้การอะไรไม่ได้  การรู้สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการไม่ดิ้นรนต่อสู้กับชะตากรรมเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่การเข้าใจความจริง  ผู้คนต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับความรอดจากพระองค์จึงจะเข้าใจความจริง  พวกเขาต้องได้รับการพิพากษาจากพระวจนะของพระองค์ น้อมรับความจริงและชีวิตที่เสนอให้เพื่อที่จะเข้าใจความล้ำลึกของทุกสิ่งทุกอย่าง  มิฉะนั้น ผู้คนจะยังคงไม่รู้ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เหตุใดผู้คนจึงมีชีวิต และเหตุใดพวกเขาจึงตาย ต่อให้พวกเขามีชีวิตถึงอายุ 70 80 หรือหนึ่งร้อยปีก็ตาม  ผู้คนเดินกันบนแผ่นดินโลกเป็นระยะทางสั้นๆ และมีชีวิตอยู่หลายทศวรรษโดยไม่ทำความเข้าใจก่อนที่ชีวิตจะสิ้นสุดลงว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  เวลาตาย พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจและยังคงกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ จากโลกนี้ไปพร้อมความเสียใจในท้ายที่สุดและไม่ได้รับสิ่งใดเลย  ไม่น่าเศร้าหรอกหรือหากพวกเขาเกิดใหม่ในชีวิตหน้าแล้วยังคงดำรงชีวิตเช่นนี้?  (น่าเศร้า)  ผู้คนแต่ละรุ่นต่างก็มาและจากไปอย่างน่าสลดใจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้ที่มีชีวิตส่งผู้ที่จากไป หลังจากนั้นก็ถูกส่งโดยผู้คนในรุ่นต่อไป  พวกเขามีชีวิตเช่นนี้เป็นวัฏจักร ดำเนินชีวิตด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจอะไร  นี่แตกต่างจากพวกเจ้าที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย  พวกเจ้ามาทันโอกาสอันล้ำค่าและหายากที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดในยุคสุดท้าย  พวกเจ้าสามารถรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการเลี้ยงดูและนำทางของพระองค์ที่ทรงทำด้วยพระองค์เอง  พวกเจ้าเข้าใจความล้ำลึกและความจริงมากมาย และพวกเจ้าก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าสามารถได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงได้  พวกเจ้าได้รับไปแล้วมากมายนัก มากกว่าธรรมิกชนรุ่นต่างๆ ในอดีต  นี่ไม่ใช่พรสูงสุดหรอกหรือ?  พวกเจ้าได้รับพรมากที่สุดแล้ว

หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะมาหลายปี พวกเจ้าก็ค่อยๆ มาเข้าใจวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้าและความล้ำลึกแห่งการที่พระองค์ทรงบริหารจัดการและช่วยมนุษยชาติให้รอด  พวกเจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและมารู้จักกฎเกณฑ์ของพระองค์  พวกเจ้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์ด้วยหัวใจและสามารถเชื่อฟังพระองค์  การมีชีวิตอยู่ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเต็มอิ่ม  พระเจ้าให้เจ้ามีชีวิต และเจ้าก็ดำรงชีวิตเพื่อพระเจ้า เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง  นี่คือการดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย  หากผู้คนดำรงชีวิตโดยไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจความจริง และมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อเนื้อหนังอย่างเดียว ก็ย่อมไม่มีคุณค่าอันใด  บัดนี้พวกเจ้าทั้งหลายกำลังเพียรพยายามมุ่งสู่ความจริง และกำลังดำรงชีวิตด้วยมโนธรรมและสำนึกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  พวกเจ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเจ้าเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเจ้าเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากขึ้นทุกที และสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  การดำรงชีวิตเช่นนี้จะเติมหัวใจของพวกเจ้าให้เต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นบาน และนี่คือชีวิตที่มีความหมายที่สุดเท่าที่มีอยู่  ในบรรดามนุษยชาติทั้งปวง นี่คือพรที่มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่ได้รับ  ในโลกอันกว้างใหญ่และท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนให้มาเกิดในยุคสุดท้ายนี้และในชาติของพญานาคใหญ่สีแดง  พวกเจ้าสามารถรับพระบัญชาจากพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และพวกเจ้าสามารถสละเพื่อพระองค์  พวกเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรแล้ว  นี่ไม่ใช่พรที่ประเสริฐที่สุดหรอกหรือ?  (เป็นพรที่ประเสริฐที่สุด)  นี่คือพรอันประเสริฐเช่นนั้น  มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่สามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และนี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า  มีผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริง และแม้ในเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วง ก็สามารถกล่าวได้เพียงว่าพวกเขากำลังทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า  พวกเขาถวายพละกำลังที่ตนมีพลางทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนและหวังที่จะได้รับพร  สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจะสามารถตั้งหลักและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงด้วยความเต็มใจ  ชีวิตของพวกเจ้าในเวลานี้และการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าในทุกๆ วันเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าคือหนทางดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงเห็นชอบ  กล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้พวกเจ้าดำรงชีวิตเช่นนี้ และพระเจ้าคือผู้ประทานโอกาสนี้ให้แก่พวกเจ้า  พระเจ้าประทานโอกาสนี้แก่เจ้าและให้เจ้ามีชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง และสละเพื่อพระองค์ นี่คือสิ่งที่มีความหมายที่สุด  พวกเจ้าควรรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติ และควรทะนุถนอมโอกาสนี้ไว้  พวกเจ้าอายุน้อยมาก และการที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง ติดตามพระเจ้า และเป็นพยานให้พระองค์ท่ามกลางความวิบัติ และในสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้—นี่เป็นโอกาสที่หายากจริงๆ!  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายและทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยสมบูรณ์ ดังนั้นการที่มนุษยชาติอาจได้รับความจริงและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ย่อมเป็นโอกาสที่หายากที่สุด  มีเวลาไม่มากและเวลานั้นย่อมหายไปในพริบตา  พวกเจ้าจึงควรคว้าโอกาสนี้ไว้และรับความจริงทั้งหมดที่เจ้าควรได้รับเอาไว้  นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นพรอันยิ่งใหญ่กว่าพรที่ธรรมิกชนทั้งหมดในยุคทั้งหลายที่ผ่านมาเคยได้รับ

บทตัดตอน 82 (การตอบคำถามจากพี่น้องชายหญิง)

(ข้าพระองค์ยังคงถูกบีบคั้นจากความรักใคร่เอ็นดูของฉันที่มีต่อครอบครัวในขณะที่ลุล่วงหน้าที่ของตนเอง  ข้าพระองค์มักคิดถึงพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง และความคิดถึงก็ส่งผลต่อการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์  ช่วงหลังมานี้สภาวะของข้าพระองค์ฉันได้ปรับปรุงดีขึ้นแล้วเล็กน้อย แต่บางครั้งข้าพระองค์ก็ยังกังวลเรื่องที่พญานาคใหญ่สีแดงจะจับคนในครอบครัวไปเพื่อข่มขู่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าพระองค์จะไม่สามารถตั้งมั่นได้)  สิ่งเหล่านี้เป็นความกลัวที่ไร้เหตุผล  เมื่อเจ้าคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อการแก้ไข  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าไม่ว่าเจ้าเผชิญรูปการณ์แวดล้อมใด พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งนั้นไว้แล้ว  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้าและสามารถแสวงหาความจริงและตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย  นี่คือบทเรียนที่ผู้คนต้องเรียนรู้  เจ้าควรใคร่ครวญให้บ่อยว่า ในช่วงนี้เจ้ากำลังมีประสบการณ์กับการให้น้ำและการเลี้ยงดูของพระเจ้าอย่างไร?  วุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร?  เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไร?  เจ้าต้องขบคิดเรื่องเหล่านี้ให้ออก!  หากเจ้าสามารถคิดถึงเรื่องที่พญานาคใหญ่สีแดงข่มขู่เจ้าได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่คิดถึงวิธีเข้าไปสู่ความจริงเล่า?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ใคร่ครวญความจริง?  (เมื่อข้าพระองค์เกิดความคิดเหล่านี้ ข้าพระองค์ก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและให้คำมั่นว่า หากวันหนึ่งข้าพระองค์เผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้เข้าจริงๆ ข้าพระองค์จะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าไปจนตาย  แต่ข้าพระองค์กลัวจริงๆ ว่าด้วยวุฒิภาวะอันน้อยนิดนี้ ข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้)  จากนั้นเจ้าก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์กลัวว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้ด้วยวุฒิภาวะอันน้อยนิด  ข้าพระองค์กลัวตาย  ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น  พระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้ในยามที่ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะ”  นี่เป็นการอธิษฐานที่ดีหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าควรอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะและความเชื่อน้อยนิด ข้าพระองค์กลัวว่าจะต้องเผชิญกับบางอย่าง อันที่จริงข้าพระองค์ไม่เชื่อจริงๆ ว่าทุกเรื่องราวและทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ได้วางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นการกบฏอะไรเช่นนี้!  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์  ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด หัวใจของข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะเป็นพยานให้พระองค์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะตั้งมั่นในการเป็นพยานของข้าพระองค์โดยไม่ทำให้พระองค์ทรงอับอาย  โปรดทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด”  เจ้าจำเป็นต้องวางความมุ่งมาดปรารถนาและสิ่งที่เจ้าต้องการพูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือวิธีที่เจ้าสร้างความเชื่อที่แท้จริง  หากเจ้าลังเลแม้แต่การอธิษฐานเช่นนี้ ความเชื่อของเจ้าก็ช่างน้อยเหลือเกิน!  เจ้าจำเป็นต้องอธิษฐานเช่นนี้อยู่เป็นประจำ  ต่อให้เจ้าอธิษฐานเช่นนี้จริง ก็ไม่จำเป็นว่าพระเจ้าจะทรงตอบสนอง  พระเจ้าไม่ทรงสร้างภาระให้มนุษย์เกินกว่าที่พวกเขาสามารถรับไหว แต่หากเจ้าทำให้ท่าทีและความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าชัดเจน พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย  เมื่อพระเจ้าพอพระทัย หัวใจของเจ้าจะไม่ถูกเรื่องนี้ก่อกวนและบีบคั้นอีกต่อไป  “สิ่งต่างๆ อย่างเช่นสามี ลูกๆ ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ—สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย  ทั้งจักรวาลอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ครอบครัวของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เหมือนกันมิใช่หรือ?  การที่ฉันกังวลเรื่องพวกเขานั้นมีประโยชน์อะไร?  ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในเรื่องนี้ ฉันไม่มีความสามารถและไม่อาจคุ้มกันพวกเขาได้  ชะตากรรมและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาต่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า!”  เจ้าต้องมีความเชื่อที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยตั้งใจแน่วแน่และตัดสินใจที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  แล้วจากนั้นสภาวะในตัวเจ้าก็จะเปลี่ยนไป  เจ้าจะไม่มีความกังวลใดๆ อีก และเจ้าจะไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป  เจ้าจะไม่ระมัดระวังมากจนเกินไปและเต็มไปด้วยความเข้าใจในทุกสิ่งที่เจ้าทำ  ขณะที่ทุกคนทะยานไปข้างหน้า เจ้ากลับลังเล ต้องการจะปลีกตัวหนีอยู่เสมอ—นี่คือสิ่งที่คนขลาดทำมิใช่หรือ?  เมื่อประชากรของพระเจ้าลุล่วงหน้าที่ของตนในราชอาณาจักรและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง พวกเขาควรเดินหน้าไปอย่างสงบพร้อมหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขาไม่ควรงุ่มง่าม ถอยหนี หรือระมัดระวังอย่างยิ่ง  หากเจ้ารู้ว่าสภาวะนี้ผิดและมัวแต่กังวลแทนที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข เช่นนั้นเจ้าก็กำลังถูกสภาวะนี้บีบคั้นและผูกมัด และเจ้าจะไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้  เจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างสุดหัวใจ สุดจิตใจ และสุดเรี่ยวแรงของเจ้า แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถไปถึงจุดที่มอบทั้งหัวใจของเจ้าได้เพราะหัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่กับหน้าที่—อย่างดีที่สุดเจ้าก็มอบหัวใจของตนเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น  เมื่อไม่ได้มอบหัวใจทั้งหมดของเจ้า เจ้าจะมอบจิตใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนได้อย่างไร?  หัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่กับหน้าที่ของเจ้า และทั้งหมดที่เจ้ามีคือความเต็มใจเล็กน้อยที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง  เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้าได้จริงหรือ?  เจ้าไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง ดังนั้นเจ้าจึงต้องถูกบีบคั้นจากครอบครัวและความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อพวกเขา  พวกเขาจะมัดมือและเท้าของเจ้า พวกเขาจะควบคุมความคิดและหัวใจของเจ้า และเจ้าจะห่างไกลจากความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า—เจ้าจะเต็มใจ แต่ขาดความเข้มแข็ง  ดังนั้นเจ้าต้องอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในด้านหนึ่งเจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ขณะเดียวกันก็รู้ด้วยว่าเจ้าควรยืนอยู่จุดไหนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าต้องเอาความตั้งใจแน่วแน่และท่าทีที่เจ้าควรมีไปวางเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นี่คือท่าทีที่เจ้าต้องมี  เหตุใดผู้คนอื่นจึงไม่มีความกังวลเหล่านี้?  เจ้าคิดว่าคนอื่นๆ ไม่มีครอบครัวหรือความยากลำบากเหล่านี้หรือ?  อันที่จริงทุกคนต่างมีภาระผูกพันบางอย่างทางเนื้อหนังและทางครอบครัว แต่บางคนสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง  หลังจากแสวงหาไประยะหนึ่ง พวกเขาย่อมมองเห็นความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและปล่อยวางมันไปจากหัวใจ แล้วจากนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับพวกเขา และไม่สามารถควบคุมหรือบีบคั้นพวกเขาได้อีกต่อไป  ความยากลำบากเหล่านั้นไม่ส่งผลต่อการลุล่วงหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการปลดปล่อย  ในพระคัมภีร์มีพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดหนึ่งกล่าวว่า  “ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33)  การสละสิ่งสารพัดที่คนเรามีอยู่นี้คืออะไร?  “สารพัด” หมายความว่าอย่างไร?  สิ่งทั้งหลายอย่างสถานะ ชื่อเสียงและโชควาสนา ครอบครัว เพื่อนฝูง และทรัพย์สมบัติ—ทั้งหมดนี้หมายรวมอยู่ในคำว่า “สารพัด”  แล้วสิ่งใดมีความสำคัญในหัวใจของเจ้าเล่า?  สำหรับบางคนคือลูกๆ สำหรับบางคนคือพ่อแม่ สำหรับบางคนคือความมั่งคั่ง และสำหรับคนอื่นๆ คือสถานะ ชื่อเสียงและโชควาสนา  หากเจ้าให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะควบคุมเจ้า  หากเจ้าไม่ให้คุณค่าและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถควบคุมเจ้าได้  นั่นขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งเหล่านี้ และวิธีที่เจ้ารับมือกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น

พวกเจ้าต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจของพระองค์ในเวลาใดหรือระยะใด พระองค์ต้องประสงค์ผู้คนจำนวนหนึ่งมาทำงานกับพระองค์เสมอ  การที่ผู้คนเหล่านี้ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าหรือให้ความร่วมมือในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า  แล้วพระเจ้าทรงมีพระบัญชาต่อคนแต่ละคนที่ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่?  ทุกคนต่างมีภารกิจและความรับผิดชอบ ทุกคนมีพระบัญชา  เมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาแก่เจ้า พระบัญชาย่อมกลายเป็นความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าจำเป็นต้องรับความรับผิดชอบนี้มา นี่คือหน้าที่ของเจ้า  หน้าที่คืออะไร?  หน้าที่คือภารกิจที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า  ภารกิจคืออะไร?  (พระบัญชาของพระเจ้าคือภารกิจของมนุษย์  คนเราควรมีชีวิตอยู่เพื่อพระบัญชาของพระเจ้า  พระบัญชานี้เป็นสิ่งเดียวในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งอื่นใด)  พระบัญชาของพระเจ้าคือภารกิจของมนุษย์ นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าถูกส่งมายังแผ่นดินโลกเพื่อทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น  หากทั้งหมดที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตคือการยกระดับสถานะทางสังคม สั่งสมความมั่งคั่ง มีชีวิตที่ดี ชื่นชมการอยู่ใกล้ชิดครอบครัว และสุขสำราญกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—หากเจ้าได้รับสถานะทางสังคม หากครอบครัวของเจ้าเกิดโดดเด่นขึ้นมา และทุกคนในครอบครัวของเจ้าอยู่รอดปลอดภัย—แต่เจ้ากลับเมินเฉยต่อภารกิจที่พระเจ้าประทานให้ ชีวิตที่เจ้ากำลังใช้อยู่นี้มีคุณค่าอันใดหรือ?  เจ้าจะตอบคำถามพระเจ้าอย่างไรหลังจากเจ้าตายไป?  เจ้าจะไม่สามารถตอบได้ และนี่ก็คือการกบฏที่ร้ายแรงที่สุด นี่คือบาปที่หนักหนาที่สุด!  ขณะนี้มีพวกเจ้าคนใดกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าโดยบังเอิญบ้าง?  ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ไม่ว่าเจ้ามาจากภูมิหลังแบบใดก็ไม่มีการปฏิบัติใดเป็นความบังเอิญ  หน้าที่นี้ไม่อาจลุล่วงได้ด้วยการสุ่มหาผู้เชื่อเพียงไม่กี่คน นี่คือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าก่อนยุคสมัยทั้งปวง  การที่บางสิ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าหมายความว่าอย่างไร?  มีความเฉพาะเจาะจงอย่างไร?  การนี้หมายความว่าในแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้นานแล้วว่าเจ้าจะมาอยู่บนแผ่นดินโลกกี่ครั้ง ระหว่างยุคสุดท้ายเจ้าจะเกิดในเชื้อสายใดและครอบครัวใด รูปการณ์ของครอบครัวนี้จะเป็นเช่นไร เจ้าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง เจ้าจะมีจุดแข็งอะไร จะมีการศึกษาระดับไหน เจ้าจะพูดจาฉะฉานแค่ไหน จะมีขีดความสามารถอย่างไร อีกทั้งเจ้าจะมีรูปลักษณ์เช่นใด  พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้ว่าเจ้าจะเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนในยุคใด รวมถึงเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใดในช่วงเวลาใด  พระเจ้าทรงลิขิตแต่ละขั้นตอนไว้ให้เจ้าล่วงหน้าตั้งแต่ต้น  เมื่อเจ้ายังไม่เกิดและเมื่อเจ้ามายังแผ่นดินโลกในหลายชีวิตสุดท้ายของเจ้า พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับเจ้าไว้แล้วว่าหน้าที่ใดที่เจ้าจะปฏิบัติในระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจนี้  นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน!  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าสามารถฟังคำเทศนาที่นี่ได้ก็ถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า  นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นเล่น!  นอกจากนี้ ความสูงของเจ้า รูปลักษณ์ของเจ้า ลักษณะดวงตาของเจ้า รูปร่างของเจ้า สภาวะทางสุขภาพของเจ้า ประสบการณ์ชีวิตของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าสามารถทำได้ในยุคนั้น รวมถึงประเภทของขีดความสามารถและความสามารถที่เจ้ามี—สิ่งเหล่านี้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าเมื่อนานมาแล้ว และไม่ใช่ถูกจัดการเตรียมการตอนนี้อย่างแน่นอน  พระเจ้าทรงลิขิตสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าไว้ล่วงหน้านานแล้ว ซึ่งกล่าวได้ว่า หากพระองค์ทรงตั้งใจที่จะใช้เจ้า พระองค์จะทรงตระเตรียมเจ้าเอาไว้ก่อนมอบพระบัญชาและภารกิจนี้แก่เจ้า  ดังนั้นการที่เจ้าหนีจากการนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่?  การที่เจ้าไม่จริงจังกับการนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่?  ทั้งคู่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ นั่นจะทำให้พระเจ้าผิดหวัง!  การที่ผู้คนละทิ้งหน้าที่ของตนเป็นการกบฏประเภทที่เลวร้ายที่สุด  นี่เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย  พระเจ้าทรงงานหนักอย่างรอบคอบและจริงจัง ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้าตั้งแต่โบราณกาลเพื่อให้เจ้าทำมาจนถึงวันนี้และประทานภารกิจนี้แก่เจ้า  เช่นนั้นแล้วภารกิจนี้เป็นความรับผิดชอบของเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตนี้ของเจ้ามีคุณค่ามิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่ทำภารกิจที่พระเจ้าประทานให้เจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าย่อมสูญเสียคุณค่าและความหมายของการใช้ชีวิตไป ราวกับเจ้าใช้ชีวิตโดยสูญเปล่า  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการภาวะ สภาพแวดล้อม และภูมิหลังที่ถูกต้องเอาไว้ให้เจ้า  พระองค์ประทานขีดความสามารถและความสามารถนี้แก่เจ้า ทรงตระเตรียมเจ้าเพื่อมีชีวิตในยุคนี้ และทรงตระเตรียมเจ้าให้มีคุณสมบัติทั้งปวงที่เจ้าจำเป็นจะต้องมีเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ของเจ้า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการทั้งหมดนี้ไว้ให้เจ้า แต่เจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างแข็งขัน  เจ้าไม่อาจอดทนต่อการทดลองและเจ้าเลือกที่จะหลบหนี มองหาการมีชีวิตที่ดีและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลกทั้งหลายอยู่เสมอ  เจ้าใช้พรสวรรค์และความสามารถที่พระเจ้าประทานให้เจ้าเพื่อรับใช้ซาตาน มีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน  นี่ทำให้พระเจ้ารู้สึกเช่นไร?  การทำให้พระองค์ผิดหวังกับเจ้าเช่นนี้ พระองค์จะไม่ทรงเกลียดชังเจ้าหรือ?  พระองค์จะไม่ทรงเกลียดเจ้าหรือ?  พระองค์จะทรงระบายความพิโรธหนักหนาใส่เจ้า  แล้วจากนั้นจะถือว่าเรื่องนี้ยุติลงแล้วหรือไม่?  การนี้จะเรียบง่ายดั่งที่เจ้าจินตนาการหรือ?  เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่ทำภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้นในชีวิตนี้ ทุกอย่างก็จบลงที่ความตายของเจ้าหรือ?  มันไม่ได้จบลงตรงนั้น หลังจากนั้นดวงจิตของเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย  เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และเจ้าก็หลบหนีการทรงสถิตของพระเจ้า  สิ่งต่างๆ กลายเป็นเลวร้าย  เจ้าสามารถหนีไปที่ใดได้บ้าง?  เจ้าสามารถหนีรอดจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้หรือ?  พระเจ้าทรงจำแนกบุคคลประเภทนี้อย่างไร?  (เหล่านี้คือผู้คนที่ได้ทรยศพระองค์)  พระเจ้าทรงนิยามผู้คนที่ได้ทรยศพระองค์ไว้อย่างไร?  พระเจ้าทรงจำแนกผู้คนที่หนีจากบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระองค์อย่างไร?  ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่จะทนทุกข์กับความพินาศและถูกทำลายล้าง  สำหรับเจ้าจะไม่มีอีกชีวิตหนึ่งหรือมีการถือกำเนิดใหม่อีกแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีทางประทานพระบัญชาอื่นใดให้เจ้าอีก  ไม่มีภารกิจใดให้เจ้าอีกต่อไป และเจ้าย่อมหมดโอกาสในการได้รับความรอด  นี่คือปัญหาร้ายแรง!  พระเจ้าจะตรัสว่า “บุคคลนี้ได้หลบหนีต่อหน้าต่อตาเราไปแล้วครั้งหนึ่ง หลบหนีจากบัลลังก์แห่งการพิพากษาและการสถิตของเรา  พวกเขาไม่ได้ดำเนินภารกิจหรือทำบัญชาของพวกเขาให้เสร็จสิ้น  ชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลงตรงนี้  จบแล้ว ชีวิตของพวกเขาได้มาถึงจุดจบแล้ว”  ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน!  สำหรับพวกเจ้าแล้ว การที่พวกเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้ ไม่ว่าเป็นหน้าที่เล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าเป็นทางร่างกายหรือทางจิตใจ และไม่ว่าเป็นการรับมือกับประเด็นปัญหาภายนอกหรืองานภายใน ก็ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาคนใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ  นี่เป็นทางเลือกของเจ้าได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ได้รับการนำโดยพระเจ้า  การที่เจ้าตื้นตันใจเช่นนี้ มีสำนึกของภารกิจและความรับผิดชอบเช่นนี้ และการที่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ก็เป็นเพราะพระบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น  มีคนมากมายเหลือเกินในหมู่ผู้ไม่เชื่อที่มีรูปร่างหน้าตาดี มีความรู้ หรือมีความสามารถพิเศษ แต่พระเจ้าทรงโปรดปรานคนเหล่านั้นหรือไม่?  ไม่ พระองค์ไม่ทรงโปรดพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงคัดสรรพวกเขา และพระองค์ทรงโปรดปรานเพียงพวกเจ้าเท่านั้น  พระองค์ทรงให้พวกเจ้าทุกคนรับบทบาททุกรูปแบบ ปฏิบัติหน้าที่ทุกประเภท และมีความรับผิดชอบรูปแบบต่างๆ ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์  ในที่สุดเมื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดและสัมฤทธิ์แล้ว นี่จะเป็นพระสิริและพระคุณยิ่ง!  ดังนั้นแล้ว ในยามที่ผู้คนทนทุกข์ต่อความยากลำบากเล็กน้อยขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนในทุกวันนี้ ในยามที่พวกเขาต้องล้มเลิกบางสิ่ง สละตนเองเล็กน้อย และยอมลำบากในบางเรื่อง ในยามที่พวกเขาสูญเสียสถานะกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนบนโลก และในยามที่สิ่งเหล่านี้หายไปทั้งหมด ย่อมดูเหมือนพระเจ้าทรงพรากทั้งหมดนี้ไปจากพวกเขา แต่พวกเขากลับได้รับอะไรบางอย่างที่ล้ำค่าและมีคุณค่ามากกว่าเดิม  ผู้คนได้รับสิ่งใดจากพระเจ้า?  พวกเขาได้รับความจริงและชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ต่อเมื่อเจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของตน เจ้าจึงได้ทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าใช้ทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อภารกิจของเจ้าและพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้า เจ้ามีคำพยานอันงดงาม และเจ้าใช้ชีวิตที่มีคุณค่า—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงเป็นคนที่แท้จริง!  และเหตุใดเราจึงกล่าวว่าเจ้าเป็นคนที่แท้จริง?  เพราะพระเจ้าได้ทรงคัดสรรเจ้าและทรงให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้การบริหารจัดการของพระองค์  นี่คือสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่งยวดและมีความหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า

พระเจ้าไม่ได้ทรงขออะไรจากผู้คนมากมาย  เมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาและความรับผิดชอบให้เจ้า หากเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีความเชื่อเล็กน้อยและนี่คือความพยายามมากที่สุดที่เจ้าสามารถให้ได้ ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้ได้ และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าสามารถรับได้ เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงบังคับเจ้า  ไม่ใช่ว่าหากพระองค์ทรงขอจากเจ้าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์และเจ้าให้เก้าสิบห้า พระองค์ก็จะไม่พอพระทัย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยเจ้าไป และพระองค์จะทรงดลใจและกระตุ้นเจ้าอยู่ตลอดเวลาจนเจ้าสามารถทำได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่พระองค์ทรงขอ  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น  ในทางกลับกันพระองค์จะทรงทำให้เจ้าเพียรพยายามเพิ่มขึ้นทีละขั้นอย่างต่อเนื่องตามวุฒิภาวะของเจ้า ตามกำลังของเจ้า และสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้  พระเจ้าทรงยุติธรรมและมีเหตุผลในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงบีบบังคับผู้คน พระองค์ทรงปล่อยให้เจ้ารู้สึกสะดวกและสบายใจ พระองค์ทรงทำให้เจ้ารู้สึกว่าพระองค์สามารถเข้าพระทัยและทรงคำนึงถึงเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าทำ  ผู้คนต้องตระหนักถึงความอุตสาหะพยายามของพระเจ้า รวมไปถึงความกรุณา ความเมตตาอันเปี่ยมรัก และความอดกลั้นที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติ  ดังนั้นแล้วผู้คนควรทำอย่างไร และพวกเขาควรให้ความร่วมมืออย่างไร?  พวกเขาควรร่วมมือเช่นนี้ “ฉันต้องเพียรพยายามที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าต้องประสงค์หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จากฉัน ฉันจะไม่มอบให้พระองค์เพียงสามสิบหากฉันสามารถมอบให้ได้หกสิบ  ฉันจะมอบความเข้มแข็งทั้งหมดของฉัน  ฉันจะไม่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวง ฉันจะไม่มักง่าย และจะไม่มีชุดความคิดของการพึ่งพาโชค”  นั่นจึงจะใช้ได้  พระเจ้าทรงมองดูที่หัวใจของมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์แบบเดียวกันสำหรับทุกคน ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องทอดทิ้งลูกๆ และครอบครัวหรือล้มเลิกหน้าที่การงานของตนเพราะใครบางคนทำเช่นนั้น  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการเดียวกันกับทุกคน พระองค์ทรงมีพระประสงค์ต่อเจ้าตามวุฒิภาวะของเจ้าและสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้  ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกกังวลหรือกดดันใดๆ  จงอธิษฐานถึงพระเจ้าตามสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้เท่านั้น  ไม่ว่าจะมีความยากลำบากใดหรือเจ้าอยู่ภายใต้การบีบคั้นเช่นไร จงอย่าถอยหนีจากสิ่งเหล่านั้น  จงอย่าให้สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อเจ้า  นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง  ทันทีที่เจ้าได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะเอาแต่คิดว่า “ฉันทำได้ไม่ดีเลย  พระเจ้าไม่พอพระทัยในตัวฉันใช่ไหม?  ฉันต้องเอาใส่ใจให้มาก  ฉันไม่อาจกดดันมากจนเกินไป ฉันจำเป็นต้องเหลือพื้นที่ไว้หายใจบ้าง”  นี่ย่อมไม่ถูกต้อง เป็นการเข้าใจพระเจ้าผิด  แต่ละขั้นตอนของประสบการณ์ประเภทนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความเชื่อของตนน้อยเกินไป จนถึงจุดที่ทำให้พวกเขาถึงกับสามารถกังขาพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า “ประเมินผู้สูงศักดิ์ด้วยมาตรฐานของผู้ต่ำศักดิ์”  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่กลัวที่จะพึ่งพาพระองค์ พวกเขาเชื่อในอำนาจครอบครองของพระเจ้าแต่กลัวที่จะมอบทุกอย่างไว้กับพระองค์  ผู้คนมักกล่าวว่า “พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง” และ “ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสถานการณ์ พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้าทรงควบคุมได้จริงหรือ?  พระองค์ทรงสามารถเป็นที่พึ่งพาได้จริงหรือ?  ฉันพึ่งพาคนอื่นดีกว่า และถ้านั่นไม่ได้ผลฉันจะคิดหาบางสิ่งด้วยตัวเอง”  จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าวุฒิภาวะของตนไม่เป็นผู้ใหญ่ ไร้สาระ และน้อยแค่ไหน  พวกเขาจึงหันกลับมาอีกครั้งโดยต้องการที่จะพึ่งพาพระเจ้า แต่พบว่ายังคงไม่มีเส้นทาง  อย่างไรก็ตามลึกๆ แล้วพวกเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและทรงเป็นที่พึ่งพาได้ เพียงแต่พวกเขามีความเชื่อน้อยขนาดนั้นและมักคลางแคลงใจอย่างมากเสมอ  เจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?  เจ้าต้องพึ่งพาประสบการณ์ของตนและพึ่งพาการไล่ตามเสาะหาและการเข้าใจความจริง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถเกิดความเชื่อที่แท้จริงได้  ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์และยิ่งเจ้าพึ่งพาพระเจ้ามากเท่าไร เจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าพระองค์สามารถเป็นที่พึ่งพาได้มากเท่านั้น  ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์จากเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ได้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทรงช่วยให้เจ้าเอาชนะความยากลำบากและหลบเลี่ยงอันตรายมาได้ เจ้าย่อมจะเกิดความเชื่อและการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงโดยไม่รู้ตัว  เจ้าจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงไว้ใจได้และพึ่งพาได้  เจ้าจำเป็นต้องมีความเชื่อนี้อยู่ในหัวใจของเจ้าเสียก่อน

แต่ละคนมีโชคชะตาของตนเอง และพระเจ้าทรงลิขิตทั้งหมดนี้เอาไว้ล่วงหน้า ไม่มีผู้ใดสามารถรับผิดชอบชะตากรรมของผู้อื่นได้  เจ้าจำเป็นต้องหยุดเคร่งเครียดเรื่องครอบครัวของเจ้าและเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและสละทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย  เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?  หนทางหนึ่งคือการอธิษฐานถึงพระเจ้า  เจ้าต้องใคร่ครวญวิธีที่ญาติพี่น้องผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก ความมั่งคั่ง และความสะดวกสบายทางวัตถุด้วย  พวกเขาเป็นพวกของซาตาน และเป็นคนประเภทหนึ่งที่ต่างจากเจ้า  เจ้าจะมีชีวิตที่เป็นทุกข์ หากเจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ในเมื่อเจ้ามองเรื่องราวต่างๆ ต่างจากพวกเขา เจ้าจะเข้ากับพวกเขาไม่ได้และจะรู้สึกทรมานแทน  จะมีเพียงความเจ็บปวดและไร้ซึ่งความสุข  ความรักใคร่เอ็นดูสามารถนำสันติสุขและความชื่นชมยินดีมาสู่เจ้าได้หรือไม่?  การตอบสนองต่อเนื้อหนังจะไม่นำสิ่งใดมาให้เจ้านอกจากความทุกข์ ความว่างเปล่า และความเสียใจตลอดชีวิต  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าพึงต้องจับความเข้าใจให้ถี่ถ้วน  ดังนั้น การคิดถึงครอบครัวของเจ้าจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียว เป็นอารมณ์อ่อนไหวโดยไม่จำเป็น!  เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างจากพวกเขา  ทัศนคติในชีวิต โลกทัศน์ เส้นทางในชีวิต และเป้าหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้าล้วนต่างออกไป  ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่กับครอบครัวของเจ้า แต่เพราะเจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เจ้าจึงรู้สึกเสมอว่าเจ้าอยู่ใกล้พวกเขาและเป็นครอบครัวเดียวกัน  อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาจริงๆ เพียงไม่กี่วันที่ขับเคี่ยวกับพวกเขากลับจะทำให้เจ้ารู้สึกขุ่นข้องใจโดยสิ้นเชิง  พวกเขาเต็มไปด้วยคำโป้ปด สิ่งที่พวกเขาพูดล้วนเป็นเท็จ เป็นคำหวาน และหลอกลวง  หนทางของการประพฤติและการจัดการกับโลกของพวกเขาล้วนเป็นไปตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและคำคมในการดำเนินชีวิต  ความคิดและทรรศนะของพวกเขาล้วนผิดและไร้สาระทั้งสิ้น อีกทั้งเป็นสิ่งที่เกินจะฟัง  แล้วเจ้าก็จะพูดกับตนเองในใจว่า “ฉันเคยมีพวกเขาอยู่ในใจตลอดเวลา และกลัวอยู่เสมอว่าพวกเขาจะไม่มีชีวิตที่ดี  แต่ตอนนี้การใช้ชีวิตอยู่กับคนพวกนี้มันช่างเหลือทนจริงๆ!”  เจ้าจะถูกพวกเขาขับไล่ไสส่ง  เจ้ายังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด ดังนั้นเจ้าจึงยังคิดว่าสายใยครอบครัวนั้นสำคัญและเป็นจริงยิ่งกว่าสิ่งใด  เจ้าจะยังถูกบีบคั้นจากความรักใคร่เอ็นดู  จงพยายามปล่อยมือจากสิ่งที่เป็นความรักใคร่เอ็นดูทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าทำได้  หากเจ้าไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็จงให้ความสำคัญกับหน้าที่เป็นอันดับแรก  พระบัญชาของพระเจ้าและภารกิจของเจ้าสำคัญที่สุด  การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และตอนนี้จงอย่ามัวสนใจสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับญาติพี่น้องทางเนื้อหนังของเจ้า  เมื่อพระบัญชาและหน้าที่ของเจ้าลุล่วงแล้ว ความจริงย่อมจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเจ้า ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าของเจ้าจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของเจ้าจะยิ่งใหญ่ขึ้นและชัดเจนขึ้น จากนั้นสภาวะในตัวเจ้าจะเปลี่ยนไป  เมื่อสภาวะของเจ้าเปลี่ยนไป ทรรศนะและความรักใคร่เอ็นดูทางโลกของเจ้าจะเลือนหาย เจ้าจะไม่แสวงหาสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป และหัวใจของเจ้าจะต้องการแค่แสวงหาวิธีที่จะรักพระเจ้า วิธีทำให้พระองค์พอพระทัย วิธีใช้ชีวิตในลักษณะที่พระเจ้าทรงโปรด รวมถึงวิธีใช้ชีวิตอยู่ด้วยความจริง  เมื่อหัวใจของเจ้าเพียรพยายามไปสู่การนี้ สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังจะค่อยๆ เลือนหายไป และจะไม่สามารถผูกมัดหรือควบคุมเจ้าได้อีกต่อไป

คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ถูกความรักใคร่เอ็นดูต่อครอบครัวของฉันบีบคั้นเวลาที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเวลาอยู่ว่างๆ ฉันจะเริ่มคิดถึงพวกเขา”  แล้วผลของการคิดถึงครอบครัวของเจ้าคืออะไร?  หากนั่นสามารถนำเจ้าให้เริ่มคิดลบและไม่เต็มใจลุล่วงหน้าที่ของตน เช่นนั้นเจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อหาหนทางแก้ไข  เมื่อเจ้าได้แก้ไขปัญหาแล้ว คราวหน้าเมื่อเจ้ามีเวลาได้อยู่ว่างๆ เจ้าก็จะไม่คิดถึงครอบครัวอยู่เป็นนิจ และนั่นจะไม่ทำให้เกิดผลใดๆ ตามมาอีก  ดังนั้นไม่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเสมอ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด การคิดถึงครอบครัวของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล กุญแจสำคัญคือเจ้าจำเป็นต้องคิดว่าผลที่ตามมาของการคิดถึงบ้านอยู่เป็นนิจคืออะไร และเรื่องนี้ควรแก้ไขอย่างไร  เจ้าควรใคร่ครวญว่า “สภาวะนี้ของฉันเกิดขึ้นได้อย่างไร?  ทำไมฉันคิดถึงครอบครัวของฉันอยู่ตลอดเวลา?  ความจริงส่วนใดที่ไม่ชัดเจนสำหรับฉัน?  ความจริงประการใดที่ฉันควรเข้าไปสู่?”  จงปฏิบัติเช่นนี้ และเจ้าจะมีการเข้าไปสู่ความจริงโดยเร็ว  เจ้าต้องใคร่ครวญความจริงในจิตใจอยู่เสมอ ยิ่งเจ้าทำมากเท่าไร การเข้าใจความจริงของเจ้าจะชัดเจนมากขึ้น และเจ้าจะมีเส้นทางปฏิบัติในจิตใจของมากขึ้นเท่านั้น  สิ่งนี้จะนำไปสู่การเข้าใจความจริงโดยแท้จริงมากกว่าแค่การมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยผิวเผิน  เมื่อถึงจุดนี้เจ้าจะต้องการหาผู้คนเพื่อสามัคคีธรรมด้วย  จุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมคืออะไร?  จุดประสงค์คือเพื่อได้รับการยืนยัน เพื่อเข้าใจความจริงได้อย่างถูกต้องมากขึ้นโดยไร้ซึ่งการเบี่ยงเบนใดๆ  ในหนทางนี้เจ้าจะไม่มีความยากลำบากใดๆ และจิตใจของเจ้าจะบรรลุการปลดปล่อยและอิสรภาพ ไม่อยู่ภายใต้การบีบคั้นใดๆ อีกต่อไป  เจ้าจะไม่คิดถึงครอบครัวของเจ้าอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป และเจ้าจะสามารถหลุดพ้นจากภาระผูกพันทางโลก  สภาวะของเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้น  พวกเจ้าทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะใคร่ครวญความจริง  พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าวันนี้เจ้าได้ทำบางสิ่งที่เจ้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้องนักและดูเหมือนขัดต่อหลักธรรม แต่เจ้าไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด  นี่คือเวลาที่เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงโดยคิดว่า “ประเด็นปัญหานี้สัมพันธ์กับความจริงประการใด?  ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวโยงกับหลักธรรมข้อใด?”  เจ้าควรหาใครบางคนเพื่อสามัคคีธรรมความจริง มองย้อนกลับไป และคิดทบทวน  ในที่สุดเมื่อเจ้าพบที่มาของปัญหาและแก้ไขปัญหานั้นผ่านการแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น และเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้สร้างความก้าวหน้าในเรื่องของความจริงมากขึ้น  เจ้าจะสามารถมองทะลุบางเรื่องราวและเข้าใจคำพูดทางฝ่ายวิญญาณบางส่วน หรือเจ้าจะสามารถเข้าใจว่าคำสอนหรือคำขวัญบางอย่างที่ถูกกล่าวถึงซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอนั้น อันที่จริงแล้วชี้ให้เห็นหรือหมายความว่าอย่างไร  นี่คือการมีความเข้าใจความจริงบางอย่างและการรู้จักวิธีปฏิบัติความจริง  จากนั้นเจ้าจะมุ่งหน้าและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น โดยสามัคคีธรรมถึงคำขวัญนี้จนกระทั่งเข้าใจอย่างชัดแจ้ง และเปลี่ยนสิ่งนั้นเป็นเส้นทางปฏิบัติ  นี่คือสิ่งที่ดีมิใช่หรือ?  นี่คืออีกหนึ่งหนทางในการก้าวไปข้างหน้า  บางเวลาเจ้าจะเห็นใครบางคนกับสภาวะบางอย่าง และเจ้าอาจใคร่ครวญว่า “เหตุใดบุคคลนี้จึงมีสภาวะแบบนี้?  สภาวะนี้ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เหตุใดฉันจึงไม่มีสภาวะแบบนี้?  สิ่งที่พวกเขาพูดแสดงให้เห็นถึงสภาวะและวิธีคิดบางอย่าง  วิธีคิดแบบนี้ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร? ปัญหานั้นเกิดขึ้นที่ไหน?  สิ่งนี้สัมพันธ์กับความจริงในแง่มุมไหน?  ฉันไม่ควรแสวงหาความจริงด้วยหรือ?”  ผ่านการสามัคคีธรรมและการแสวงหา เจ้าย่อมพบปัญหาและตระหนักว่าสภาวะของพวกเขาคือบางสิ่งที่เจ้ามีเช่นกัน  เจ้าได้เทียบสถานการณ์ของพวกเขากับของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?  ความพยายามนี้คุ้มค่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากพบปัญหานั้น เจ้าก็หาใครสักคนมาสามัคคีธรรมด้วย  ท้ายที่สุดเมื่อเจ้าพบคำตอบและเข้าใจแล้วว่าอะไรคือปัญหา ปัญหานั้นย่อมได้รับการแก้ไข  การแก้ปัญหาเป็นเรื่องง่ายเมื่อเจ้าสามารถค้นพบปัญหา  หากเจ้าไม่สามารถค้นพบปัญหา ปัญหานั้นย่อมไม่มีวันได้รับการแก้ไข  บางครั้งเมื่อจิตใจของเจ้าสงบลงแล้ว ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไตร่ตรองความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าเสียโอกาสนี้โดยเปล่าประโยชน์ไปกับการบำรุงเลี้ยงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ การคิดที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหา  หากเจ้ามัวกังวลเรื่องครอบครัวของเจ้าอยู่เป็นนิจและคว้าทุกโอกาสที่เจ้ามีเพื่อเชื่อมโยงกับพวกเขาทางอารมณ์ จิตใจของเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยสิ่งพัวพันทางอารมณ์เหล่านี้อยู่เสมอ เจ้าจะไม่สามารถตัดความผูกพันเหล่านี้และไม่สามารถปล่อยมือได้  เจ้าควรอธิษฐานให้มากขึ้น อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้าบ่อยๆ  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง อย่างน้อยเจ้าก็จะไม่ถูกบีบคั้นจากครอบครัว เนื้อหนัง หรือความรักใคร่เอ็นดู  สิ่งเหล่านี้จะถูกปล่อยมือได้อย่างง่ายดาย นี่คือหนทางก้าวไปข้างหน้า  ที่จริงแล้วประสบการณ์ของผู้คนมากมายก็เป็นเช่นนี้  การแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ต้องอาศัยการมีประสบการณ์ในระยะหนึ่งเสมอ เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง ปัญหาทั้งหลายก็ย่อมแก้ไขได้โดยง่าย

บทตัดตอน 83

ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีจะมีรากฐานอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วมีปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข  ผู้คนส่วนใหญ่พอจะเข้าใจแง่มุมทั้งปวงของความจริงอยู่บ้าง และพวกเขาก็สามารถกล่าวถ้อยคำและประกาศคำสอนที่ถูกต้องได้ แต่ในชีวิตจริง พวกเขายังไม่มีประสบการณ์ว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้อง  แท้จริงแล้วพวกเขายังไม่เคยมีประสบการณ์ว่าความหมายที่แท้จริงและด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงที่บรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านี้คืออะไร  การที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้น เจ้าจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีคนที่ถูกต้องอยู่เคียงข้าง รวมทั้งมีผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่เหมาะสมซึ่งทำให้เจ้าสามารถเติบโตในชีวิตได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งความจริงและคำสอนที่เจ้าเข้าใจเหล่านี้ย่อมจะได้รับการยืนยัน และจะทำให้เจ้าได้รับประสบการณ์  ถ้าหย่อนเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิตลงไปในดินอันอุดม แต่กลับขาดแสงแดดและความชุ่มชื้นจากน้ำฝน ต้นอ่อนที่งอกขึ้นมาจากเมล็ดพันธุ์นั้นจะไม่เหี่ยวเฉาหรอกหรือ?  (ย่อมจะเหี่ยวเฉา)  ดังนั้น เมื่อเจ้าได้ฟังคำเทศนาไปมากมาย ฟังความจริงไปมากมาย และฟังพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า และเจ้าแน่ใจแล้วว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ถึงตอนนี้เจ้าย่อมต้องการอะไร?  เจ้าจำเป็นต้องขอให้พระเจ้าจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้แก่เจ้า สภาพแวดล้อมอันเป็นที่เจริญใจและเกื้อกูลชีวิตของเจ้า ทั้งยังสามารถทำให้เจ้าเติบโตในชีวิตได้  สภาพแวดล้อมที่ว่านี้อาจไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก—เนื้อหนังของคนเราต้องสู้ทนความยากลำบาก และคนเราต้องประกาศตัดขาดและปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ มากมาย  เมื่อถึงตอนนี้ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนล้วนมีประสบการณ์มาแล้ว  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านไปหาลูกๆ หรือคู่ครองได้ หรือไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ ไม่สามารถพบหน้าญาติพี่น้องหรือเพื่อนๆ หรือรับข่าวคราวใดๆ จากพวกเขาได้  ในเวลาดึกสงัด เจ้าก็จะเริ่มนึกถึงทางบ้านว่า “พ่อเป็นอย่างไรบ้าง?  พ่อแก่แล้ว และฉันก็ไม่มีหนทางที่จะเชิดชูพ่อ  แม่ฉันก็สุขภาพย่ำแย่ ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้าง”  เจ้าจะไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ?  หากหัวใจของเจ้าถูกเรื่องเช่นนี้บีบรัดอยู่ตลอดเวลา นี่ย่อมจะส่งผลเช่นไรต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า?  หากเจ้าไม่เข้าไปวุ่นวายหรือพะว้าพะวังกับเรื่องทางโลกและเนื้อหนังมากนัก ก็ย่อมเป็นผลดีต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า  การคิดและกังวลของเจ้าจะไม่ช่วยอะไร เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเจ้าก็เปลี่ยนชะตากรรมของคนในครอบครัวเจ้าไม่ได้  เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกของเจ้าในฐานะของผู้เชื่อในพระเจ้าก็คือการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ ทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ได้รับความเชื่อที่แท้จริง เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เติบโตในชีวิต และได้รับความจริง  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ดูจากภายนอกเหมือนผู้คนละทิ้งโลกและครอบครัวของตนกันอย่างแข็งขัน แต่แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น?  (เป็นพระเจ้าที่ทรงดูแลและจัดแจงเรื่องนี้)  เป็นการจัดแจงของพระเจ้า เป็นพระองค์ที่ทรงขัดขวางไม่ให้เจ้าพบหน้าครอบครัว  กล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้นก็คือ พระเจ้าทรงกีดกันเจ้าจากพวกเขา  นี่คือคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนพูดเสมอว่าพระเจ้าทรงปกครอง และจัดแจงสิ่งทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงดูแลเรื่องนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงพาเจ้าออกจากบ้าน ไม่ให้ครอบครัวของเจ้ากลายเป็นภาระที่คอยถ่วงเจ้า  แล้วพระองค์ทรงพาเจ้าไปที่ใด?  พระองค์ทรงพาเจ้าไปยังสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเนื้อหนังมาพัวพัน ที่ซึ่งเจ้าไม่อาจพบเจอผู้คนที่เจ้ารักได้  เมื่อเจ้าพะวงถึงพวกเขา และอยากจะทำบางสิ่งเพื่อพวกเขา เจ้าก็จะไม่สามารถทำได้ และเมื่อเจ้าอยากจะแสดงความกตัญญู เจ้าก็จะไม่สามารถทำได้  พวกเขาไม่สามารถเข้ามาพัวพันเจ้าอีกต่อไป  พระเจ้าทรงย้ายเจ้าออกมาพ้นตัวพวกเขา และกีดกันเจ้าจากสิ่งพัวพันเหล่านี้ หาไม่แล้ว เจ้าก็จะยังคงกตัญญูต่อพวกเขา ให้การปรนนิบัติพวกเขา และทำงานให้พวกเขาเหมือนทาส  การที่พระเจ้าทรงพาเจ้าออกมาจากสิ่งพัวพันภายนอกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?  (เป็นเรื่องดี)  นี่เป็นเรื่องดีและไม่จำเป็นที่จะต้องเสียใจ  ในเมื่อเป็นเรื่องดี ผู้คนควรทำอย่างไร?  ผู้คนควรขอบคุณพระเจ้าด้วยการกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรักข้าพระองค์ยิ่งนัก!”  คนเราไม่อาจก้าวข้ามพันธนาการแห่งความเสน่หาได้ด้วยตนเอง เพราะหัวใจของผู้คนล้วนถูกความเสน่หาบีบคั้น  พวกเขาล้วนปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับครอบครัว อยากให้ทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างปลอดภัย มีสุขภาพดี และมีความสุขกันทุกคน แล้วก็ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปทุกวันโดยไม่มีวันพรากจากกัน  แต่นี่ก็มีข้อเสีย  เจ้าจะอุทิศน้ำพักน้ำแรงและความพยายามทั้งหมดในชีวิตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า ช่วงอายุที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้า และส่วนที่ดีที่สุดทั้งหมดในชีวิตของเจ้าให้กับพวกเขา เจ้าจะสละทั้งชีวิตเพราะเห็นแก่เนื้อหนัง ครอบครัว ผู้คนอันเป็นที่รัก การงาน ชื่อเสียงและโชคลาภ ตลอดจนสัมพันธภาพที่ซับซ้อนทุกรูปแบบ และผลที่ตามมาก็คือเจ้าจะทำลายตัวเองจนสิ้น  ดังนั้น พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างไร?  พระเจ้าตรัสว่า “จงอย่าทำลายตัวเองอยู่ในปลักโคลนนี้  หากเท้าทั้งสองของเจ้าติดอยู่ เจ้าจะไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ไม่ว่าเจ้าจะทุ่มเทเรี่ยวแรงเช่นใดก็ตาม  เจ้าไม่มีวุฒิภาวะหรือความกล้าหาญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเชื่อเลย  เราจะพาเจ้าออกมาเอง”  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทำ และพระองค์ไม่ทรงหารือเรื่องนี้กับเจ้า  ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงขอความเห็นจากผู้คน?  บางคนพูดว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระประสงค์  มนุษย์ก็เป็นเหมือนมดปลวก ไร้ซึ่งความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้า”  นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่เลย  พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายและประทานความจริงเหล่านั้นเป็นของขวัญแก่มนุษย์ ช่วยให้ผู้คนได้รับการชำระล้างให้สะอาดจากความเสื่อมทรามของตนได้ และได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่นัก  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน  พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์เกี่ยวกับเจ้า จุดประสงค์ของพระองค์ในการนำเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าเริ่มต้นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เพื่อให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เป็นเส้นทางที่เจ้าย่อมจะไม่สามารถเลือกเองได้  ความปรารถนาในใจของผู้คนก็คือการใช้ชีวิตโดยสวัสดิภาพอย่างตลอดรอดฝั่ง และต่อให้พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร อย่างน้อยพวกเขาก็อยากจะอยู่พร้อมหน้าครอบครัวตลอดไป และรื่นรมย์กับความสุขในครอบครัวแบบนี้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำเช่นไรจึงจะเป็นการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่เข้าใจด้วยว่าควรจะคิดถึงบั้นปลายในอนาคตของตนหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไร  แต่พระเจ้าไม่ทรงวิตกที่พวกเขาไม่เข้าใจ และพระองค์ไม่จำเป็นต้องตรัสกับพวกเขาให้มากความ เพราะพวกเขาย่อมไม่เข้าใจ วุฒิภาวะของพวกเขามีน้อยเกินไป และการสนทนาใดๆ ย่อมจะพบแต่ทางตันเท่านั้น  เหตุใดจึงพบทางตัน?  เพราะเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ด้วยคำอธิบายเพียงหนึ่งหรือสองประโยค  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจึงตัดสินพระทัยและดำเนินการโดยตรงจนกว่าจะถึงวันที่ผู้คนเข้าใจในที่สุด

เมื่อพระเจ้าทรงพาประชากรบางส่วนที่พระองค์ทรงเลือกสรรออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในจีนแผ่นดินใหญ่ พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์อันดีในเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างก็ประจักษ์แล้ว  จากเรื่องนี้ผู้คนต้องแสดงสำนึกรู้คุณและขอบคุณพระเจ้าที่แสดงพระคุณแก่พวกเขา  เจ้าออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นของครอบครัวแล้ว แยกตัวจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคลอันซับซ้อนของเนื้อหนังแล้ว และพ้นจากสิ่งพัวพันทางโลกและทางเนื้อหนังทั้งปวงแล้ว  พระเจ้าทรงพาเจ้าออกมาจากกับดักอันซับซ้อน เข้าสู่การสถิตของพระองค์และพระนิเวศของพระองค์แล้ว  พระเจ้าตรัสว่า “ที่นี่มีสันติสุข ที่นี่ดีงามยิ่ง เหมาะแก่การเติบโตของเจ้า  ที่นี่มีพระวจนะและการนำทางของพระเจ้า และเป็นที่ซึ่งความจริงเป็นใหญ่  น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดก็อยู่ในที่แห่งนี้ และพระราชกิจแห่งความรอดก็มีศูนย์กลางอยู่ที่นี่  ดังนั้นเจ้าจงเติบโตอยู่ที่นี่จนพอใจเถิด”  พระเจ้าทรงนำเจ้าเข้าสู่สภาพแวดล้อมแบบนี้ สภาพแวดล้อมที่อาจไม่มีความชูใจจากผู้คนที่เจ้ารัก ไม่มีลูกๆ ของเจ้าอยู่รอบๆ คอยดูแลเจ้าในยามป่วยไข้ และไม่มีใครให้เจ้าบอกเล่าความในใจ  ยามที่เจ้าอยู่คนเดียวและนึกถึงความทุกข์และความลำบากยากเย็นของเนื้อหนัง รวมทั้งทุกสิ่งที่เจ้าจะเผชิญในอนาคต ในห้วงเวลาเหล่านั้นเจ้าจะรู้สึกเดียวดาย  ทำไมเจ้าถึงจะรู้สึกเดียวดาย?  สาเหตุอย่างหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริงก็คือผู้คนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป  แล้วเหตุผลด้านความรู้สึกส่วนตัวคืออะไร?  (ผู้คนยังปล่อยมือจากผู้เป็นที่รักทางเนื้อหนังของตนไม่หมด)  ถูกต้องแล้ว  เป็นเพราะผู้คนไม่สามารถปล่อยมือจากคนเหล่านั้นได้  ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนังต่างมีความยินดีในสัมพันธภาพที่หลากหลายและความผูกพันในครอบครัวของเนื้อหนัง  คนเหล่านี้เชื่อว่าไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากผู้คนที่ตนรัก  เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดบ้างว่าเจ้ามายังโลกมนุษย์อย่างไร?  เจ้ามาเพียงลำพัง ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ใดแต่กำเนิด  พระเจ้าทรงพาผู้คนมาที่นี่ทีละคน ที่จริงแล้วตอนเจ้ามา เจ้าก็มาเพียงลำพัง  ในเวลานั้นเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกเดียวดาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้สึกเดียวดายเวลาพระเจ้าพาเจ้ามาที่นี่ในตอนนี้?  เจ้าคิดว่าเจ้าขาดคู่หูที่สามารถเล่าความในใจให้ฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ ของเจ้า พ่อแม่ของเจ้า หรือคู่ชีวิตของเจ้า—ซึ่งก็คือสามีหรือภรรยา—และดังนั้น เจ้าจึงรู้สึกเดียวดาย  เมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาเจ้ารู้สึกเดียวดาย ทำไมเจ้าจึงไม่นึกถึงพระเจ้า?  พระเจ้าคือเพื่อนร่วมทางของมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้ารู้สึกทุกข์และโศกเศร้าอย่างที่สุด ผู้ใดสามารถชูใจเจ้าได้อย่างแท้จริง?  ผู้ใดสามารถแก้ปัญหาให้เจ้าได้อย่างแท้จริง?  (พระเจ้า)  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขความยากลำบากของผู้คนได้อย่างแท้จริง  หากเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมีลูกๆ อยู่เคียงข้าง รินเครื่องดื่มให้เจ้า คอยรับใช้เจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกมีความสุขมาก แต่พอเวลาผ่านไป ลูกๆ ของเจ้าก็จะเบื่อหน่ายและไม่มีใครเต็มใจที่จะอยู่รับใช้เจ้า  ในเวลาเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกเดียวดายอย่างแท้จริง!  ดังนั้น ในตอนนี้ที่เจ้าคิดว่าตัวเองไม่มีคู่หู นั่นจริงไหม?  ไม่จริงเลย  เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเสมอ!  พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งผู้คน พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งและที่พักพิงให้ผู้คนได้เสมอ และทรงเป็นเพียงผู้เดียวที่ผู้คนบอกเล่าความในใจได้  ดังนั้น ไม่ว่าความยากลำบากและความทุกข์ใดจะเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้าความคับข้องใจหรือเรื่องอันใดที่พาให้คิดลบและอ่อนแอก็ตาม หากเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานในทันที พระวจนะของพระองค์จะชูใจเจ้า และแก้ไขความยากลำบาก ตลอดจนปัญหาต่างๆ ให้แก่เจ้า  ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความเหงาของเจ้าจะกลายเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นให้กับการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความจริง  ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์ เจ้าจะค่อยๆ คิดได้ว่า “ฉันยังคงมีชีวิตที่ดีหลังจากที่จากพ่อจากแม่มา ยังคงมีชีวิตที่เต็มอิ่มหลังจากที่จากสามีมา และยังคงมีชีวิตที่สงบสุขและชื่นบานหลังจากที่จากลูกๆ มา  ฉันไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป  ฉันจะไม่พึ่งพาผู้คนอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระเจ้าแทน  พระองค์จะทรงดูแลและช่วยเหลือฉันทุกเมื่อ  แม้ว่าฉันไม่อาจจะสัมผัสหรือมองเห็นพระองค์ได้ แต่ฉันก็รู้ว่าพระองค์สถิตอยู่เคียงข้างฉันทุกหนแห่งตลอดเวลา  ตราบใดที่ฉันอธิษฐานถึงพระองค์ ตราบใดที่ฉันขอให้พระองค์ช่วย พระองค์จะทรงดลใจฉัน ทำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้อง”  ถึงตอนนั้น พระองค์จะทรงกลายเป็นพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง และปัญหาทั้งปวงของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไข

บทตัดตอน 85

คำที่พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้ามีหลักธรรมหรือไม่?  พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ใดบ้าง?  คำอธิษฐานของพวกเจ้ามีใจความว่าอย่างไร?  คนส่วนใหญ่อธิษฐานเมื่อพวกเขาทนทุกข์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด”  นี่เป็นประโยคแรกที่พวกเขาพูด  การพร่ำบอกในเวลาอธิษฐานว่าเจ้ากำลังทุกข์ทรมานใช่เรื่องดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  ทำไมถึงไม่ดี?  แล้วถ้าไม่ดี เหตุใดจึงยังอธิษฐานเช่นนั้นอยู่อีก?  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่รู้วิธีอธิษฐาน หรือไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดควรแสวงหาเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเจ้ารู้จักแต่การอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่อเจ้ามีความทุกข์เล็กน้อยและรู้สึกเศร้าโศก โดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน!  ข้าพระองค์ทุกข์ใจเหลือเกิน ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด”  นี่คือคำอธิษฐานของคนที่เพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า เป็นคำอธิษฐานของเด็กทารก  หากคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเนิ่นนานหลายปีแล้วยังอธิษฐานเช่นนี้อยู่ ก็ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงเป็นเด็กทารกที่ยังไม่เติบโตในชีวิต  ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์อย่างไร คือผู้ที่ยังไม่เติบโตในชีวิตและยังไม่เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  หากเป็นคนที่ช่างคิดพิจารณาอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขาต้องตรึกตรองว่าทำอย่างไรจึงจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า จะกินและดื่มพระวจนะของพระองค์อย่างไร รวมทั้งจะมีประสบการณ์กับพระวจนะและปฏิบัติตามพระวจนะอย่างไร  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไปยังที่ใด ประสบการณ์ของคนเราก็ควรไปถึงที่นั้นด้วย คนเราต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ในที่แห่งนั้น  หากผู้ใดสามารถปฏิบัติตามพระวจนะและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าด้วยหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเผชิญปัญหามากมาย และก็เป็นปกติที่พวกเขาจะแสวงหาความจริงจากพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  หากผู้ใดอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของตนด้วยวิธีนี้อยู่เสมอ ผู้นั้นก็กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  ความยากลำบากของพวกเขาจะค่อยๆ ลดน้อยลงจากการแก้ไขปัญหาของตนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะเริ่มเข้าใจความจริงทีละน้อยและได้รับความรู้ในพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาจะรู้ว่าควรให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างไร รวมทั้งควรนบนอบพระราชกิจของพระองค์อย่างไร  นี่คือการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไร  คนเหล่านี้สับสนอยู่เสมอ—พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่ใคร่ครวญ พวกเขาฟังคำเทศนา แต่ไม่สามัคคีธรรม และเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงหรือวิธีทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรหรือควรให้ความร่วมมืออย่างไร  พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้  พวกเขาเป็นฆราวาสในเรื่องเหล่านี้ และไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ  ไม่ว่าปัญหาอันใดบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ลึกๆ แล้วคนเหล่านี้ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้าหรือเทิดทูนพระองค์  พวกเขาเอาแต่พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน”  พวกเขาพร่ำพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนฟังรู้สึกเอือมระอาและรังเกียจ  พวกเจ้าส่วนใหญ่อธิษฐานกันแบบนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  จากคำอธิษฐานของผู้คน จะเห็นได้ว่าภาวะของพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก!  เจ้ามองหาพระเจ้าก็ต่อเมื่อกำลังทุกข์ทนเท่านั้น  ในยามที่ไม่ได้กำลังทนทุกข์หรือไม่ได้กำลังเผชิญกับปัญหาใด เจ้าก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า และไม่ต้องการพึ่งพาพระองค์  พวกเจ้าเพียงแค่ต้องการเป็นนายของตัวเอง  นี่คือภาวะที่พวกเจ้าเป็นอยู่ไม่ใช่หรือ? (ใช่)  ตอนที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาถูกตัดแต่งและการจัดการโดยพระวจนะเหล่านั้น แล้วจากนั้นก็ทบทวนตนเองและพยายามทำความรู้จักกับตัวเอง พวกเขาอธิษฐานอย่างไรหรือ?  พวกเขาล้วนแต่พูดสิ่งเดียวกันว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทน  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทน”  คำพูดเหล่านั้นไม่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงหรอกหรือ?  (รู้สึก)  ภายในของผู้คนนั้นแห้งเหี่ยวเหลือเกิน—ภาวะของพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก!  ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขาพูดวลีเรียบง่ายเหมือนเดิมออกมา โดยไม่มีสักคำพูดที่ที่มาจากใจ  พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหาของตน  นั่นเป็นการอธิษฐานแบบไหนกัน?  อะไรคือปัญหาที่กำลังมีบทบาทอยู่เมื่อคนเราไม่สามารถอธิษฐานด้วยคำพูดที่จริงใจได้ และไม่รู้ว่าตนเองมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องใดบ้าง?  เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องให้พระองค์ทรงมอบความรู้แจ้งเกี่ยวกับสิ่งใดเลยอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง หรือมีพระเจ้าเป็นผู้ระวังหลังให้เลยหรือ?  เจ้ายิ่งไม่จำเป็นเลยใช่ไหมที่ต้องมีพระเจ้าทรงมอบความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าให้เดินไปบนถนนข้างหน้า?  เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเองเลยหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องมีการบ่มวินัยและการสั่งสอนของพระเจ้า หรือการทรงนำจากพระองค์เลยหรือ?  สิ่งเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องได้จากพระเจ้าก็คือให้พระองค์ช่วยบรรเทาความทุกข์ของเจ้าใช่หรือไม่?  ในใจของเจ้าไม่รู้สึกจริงๆ หรือว่าตัวเองมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องอยู่มากมาย?  การไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานอย่างไรไม่ใช่ปัญหาเล็กเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่รู้วิธีที่จะรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้นำพาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตจริง และแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อันจริงแท้อันใดกับพระเจ้าเลยในชีวิตของเจ้าเลย  เจ้าก็แค่ยังไม่ได้สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าในแบบที่ควรมีอยู่ระหว่างพระเจ้ากับผู้ติดตามของพระองค์ หรือระหว่างวัตถุแห่งการสร้างสรรค์กับพระผู้สร้างของตนเลย  ยามที่เผชิญกับปัญหา เจ้าจะถูกนำทางโดยสมมติฐานที่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง มโนคติอันหลงผิดความคิด ความรู้ พรสวรรค์และความสามารถพิเศษ และอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เจ้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย ดังนั้นเมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เจ้าจึงมักจะไม่มีอะไรจะพูด  นี่คือสภาวะที่น่าเศร้าของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า!  ช่างเป็นภาวะที่น่าเวทนายิ่งนัก!  ผู้คนล้วนเหือดแห้งและด้านชาในจิตวิญญาณ  พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณในชีวิต อีกทั้งไม่มีความเข้าใจอันใดในเรื่องเหล่านั้นด้วย และเมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด  ไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญชะตาร้ายอะไร และไม่ว่าพวกเจ้าจะเผชิญความยากลำบากอะไรก็ตาม หากพวกเจ้าพูดไม่ออกเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นความเชื่อของพวกเจ้าในพระองค์ไม่ควรถูกตั้งคำถามหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ความน่าเวทนาของมนุษย์หรอกหรือ?

เหตุใดผู้คนจึงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า?  การอธิษฐานถึงพระเจ้าเป็นเส้นทางเดียวของมนุษย์ในการเทิดทูนพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์  หากไม่มีการอธิษฐาน ก็ไม่ต้องถามถึงสิ่งเหล่านี้เลย การพึ่งพาพระเจ้าและการเทิดทูนพระองค์สำเร็จได้โดยผ่านทางการอธิษฐาน  คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่อธิษฐานถึงพระองค์สามารถบรรลุความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ?  พวกเขาสามารถได้มาซึ่งพระราชกิจและการทรงนำจากพระเจ้าได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่วางใจมอบความลำบากยากเย็นไว้กับพระเจ้า และไม่อธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริง แล้วพระองค์จะทรงแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงนำพวกเจ้าให้ติดตามพระองค์ไปบนถนนข้างหน้าได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  กล่าวได้ว่าการเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการอธิษฐานไม่ใช่ความเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง  สัมพันธภาพปกติระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าต้องสร้างขึ้นจากการอธิษฐานและต้องธำรงไว้โดยผ่านทางการอธิษฐาน  การอธิษฐานเป็นเครื่องหมายแห่งการเชื่อของมนุษย์ในพระเจ้า ว่าการที่คนเราอธิษฐานอย่างแท้จริงนั้นเป็นเพียงเกณฑ์เดียวในการทดสอบว่าสัมพันธภาพของบุคคลนั้นกับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่  ตราบที่คนเรากล่าวคำพูดจากจากใจจริงในการอธิษฐาน และตราบที่เราสามารถแสวงหาความจริงในการอธิษฐาน พวกเขาก็สามารถได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า  หากคนเราไม่ค่อยอธิษฐานและไม่สามารถกล่าวคำพูดจากใจจริงได้ หากพวกเขาระวังตัวกับพระเจ้าเสมอ นั่นแสดงว่าสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้าไม่เป็นปกติ  และถ้าคนเราไม่อธิษฐานเลย ก็แสดงว่าพวกเขาไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า  หากบุคคลใดอธิษฐานดีและอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถนบนอบต่อพระองค์ และเป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก บรรดาผู้ที่อธิษฐานอย่างจริงใจอยู่เป็นนิจล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีความรักที่เรียบง่ายแด่พระเจ้า  ดังนั้น ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่อธิษฐานถึงพระองค์ ย่อมไม่มีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า  พวกเขาล้วนอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า เป็นกบฏและขัดขืนต่อพระองค์  ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่รักหรือผู้ที่แสวงหาความจริง และพวกที่ไม่รักหรือไม่แสวงหาความจริงต่างก็ไม่สามารถอธิษฐานอย่างจริงใจได้  ไม่ว่าพวกเขามีความลำบากยากเย็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่อธิษฐาน และเมื่อพวกเขาอธิษฐาน พวกเขาก็ปรารถนาเพียงใช้ประโยชน์จากพระเจ้าให้กำจัดความลำบากยากเย็นและความทุกข์ของตนเท่านั้น  พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ตรวจค้นไปในความลำบากยากเย็นของตนเพื่อดูแง่มุมทั้งหลายของความจริงที่ควรเข้าใจและควรเข้าสู่  ผู้คนเช่นนี้ไม่ถวิลหาความจริงและไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า—ในแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง  แม้ว่าเจ้าอาจไม่รู้สึกในทันทีหลังจากการอธิษฐานว่าจิตใจของพวกเจ้าแจ่มใสขึ้น หรือเจ้าได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติแล้ว จงรอคอยพระเจ้า และในขณะที่เจ้ารอคอย จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง  เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือฟังบทเทศน์และสามัคคีธรรม ให้มุ่งเน้นไปที่การนำปัญหาของเจ้ามาสู่การใคร่ครวญและแสวงหา  หากเจ้าให้ความร่วมมือในทางปฏิบัติในหนทางเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าความรู้ความเข้าใจเบื้องลึกอาจมาสู่เจ้าในชั่วพริบตาขณะที่กำลังใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังบทเทศน์ และสามัคคีธรรม  หรืออาจเป็นได้ว่าพวกเจ้าประสบกับประเด็นปัญหาบางอย่างจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ได้พบคำตอบที่ตรงพอดีกับคำถามซึ่งเจ้ากำลังพยายามแก้ไขอยู่  นี่ไม่ใช่การทรงนำของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์หรอกหรือ?  ดังนั้น การอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างจริงใจย่อมสามารถเกิดประสิทธิผลได้ แต่ผลนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ทันทีหลังจากการอธิษฐาน  การนี้ใช้เวลาและพึงต้องมีความร่วมมือและการปฏิบัติของคนเรา  ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า เมื่อใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้คำตอบแก่เจ้า  นี่คือกระบวนการแสวงหาความจริงและการทำความเข้าใจความจริง และเป็นเส้นทางที่มนุษย์เติบโตขึ้นในชีวิต  หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเนิ่นนานหลายปี พวกเจ้ายังต้องเรียนรู้วิธีอธิษฐานทั้งหมดใหม่อีกครั้ง  พวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา เจ้าได้แต่ตะโกนวลีติดปากออกมา และตั้งปณิธาน หรือคร่ำควรญกับพระเจ้า และเปล่งเสียงแสดงความคับข้องหมองใจของตน โดยพูดว่าเจ้ากำลังทุกข์ทนอย่างไร หรือไม่ก็หาเหตุผลเข้าข้างตนเองและหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ครองใจเจ้าอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเจ้าเข้าสู่ความจริงได้เนิ่นช้าเช่นนี้  เจ้ากำลังออกนอกลู่นอกทาง เจ้าไม่รู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริง จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า การเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้ จะเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะได้รับความรอดหรือไม่

บทตัดตอน 86

มีบรรทัดหนึ่งในบทเพลงสรรเสริญของคริสตจักรที่กล่าวไว้ว่า “ผู้คนที่รักความจริงล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง”  คำกล่าวนี้ถูกต้อง  บรรดาผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่เป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเท่านั้นเป็นพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง  เจ้าคิดหรือว่าบรรดาผู้ที่มักจะเข้าร่วมการชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้าล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง?  ไม่จำเป็นเลย  ผู้คนแบบใดเล่าไม่ใช่พี่น้องชายหญิง? (บรรดาผู้ที่เบื่อหน่ายความจริง ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง)  บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงและเบื่อหน่ายความจริงล้วนเป็นคนชั่ว  พวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่ปราศจากมโนธรรมหรือเหตุผล  ไม่มีผู้ใดในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด  คนเหล่านี้ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พวกเขาละเลยในงานของตนและสามหาวในความประพฤติของตน  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและใช้อุบายอันเจ้าเล่ห์ อีกทั้งใช้ ป้อยอ และเล่นไม่ซื่อกับผู้อื่น  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และพวกเขาได้แทรกซึมเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น  เหตุใดพวกเราจึงเรียกพวกเขาว่าผู้ปราศจากความเชื่อ? เพราะพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง และพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  ทันทีที่มีการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็หมดความสนใจ พวกเขาเบื่อหน่ายความจริง พวกเขาไม่อาจทนฟังเกี่ยวกับความจริงได้ พวกเขารู้สึกว่าความจริงนั้นน่าเบื่อและไม่สามารถนั่งอยู่ได้  เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ  เจ้าต้องไม่มองว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง  เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องการเข้าใกล้เจ้าเพื่อเสนอผลประโยชน์บางอย่าง พยายามสร้างสัมพันธภาพกับเจ้าโดยใช้ความเอื้อเฟื้อเล็กน้อย  แต่ทว่า เมื่อเจ้าสื่อสารความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็เฉไฉไปคุยเรื่องสัพเพเหระ พูดคุยเรื่องทางเนื้อหนัง งาน กิจธุระทางโลก กระแสทางโลก อารมณ์ เรื่องในครอบครัว สิ่งนอกดังเช่นสิ่งเหล่านี้  สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง การเชื่อในพระเจ้า หรือการปฏิบัติความจริง  คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงเลย  พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือสื่อสารความจริง และพวกเขาไม่เคยอธิษฐานหรือทำการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ  คนเหล่านี้เป็นพี่น้องชายหญิงหรือไม่?  ไม่เลย  คนเหล่านี้ไม่ปฏิบัติความจริง และเบื่อหน่ายความจริง  หลังจากที่พวกเขาแทรกซึมเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าการชุมนุมมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมถึงความจริง การพูดคุยถึงการรู้จักตนเอง การสามัคคีธรรมถึงปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมด้วยเสมอ ใจของพวกเขาก็เกิดความเบื่อหน่าย  พวกเขาไม่มีความเข้าใจหรือประสบการณ์ และไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาจึงเกิดความเหนื่อยหน่ายชีวิตคริสตจักร  พวกเขานึกสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า “ทำไมถึงสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าตลอด?  ทำไมถึงพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองตลอด?  ทำไมถึงไม่มีความบันเทิงหรือความสนุกสนานในชีวิตคริสตจักรเลย?  ชีวิตคริสตจักรแบบนี้จะจบลงเมื่อไหร่?  เมื่อไหร่พวกเราจึงจะเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้รับพร?”  พวกเขาเห็นว่าการสามัคคีธรรมถึงความจริงนั้นไม่น่าสนใจและไม่อยากฟังการสามัคคีธรรม  พวกเจ้าจะพูดหรือไม่ว่า เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ พวกเขาแสวงหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้)  หากพวกเขาไม่สนใจในความจริง พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  เช่นนั้นพวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใดเล่า?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน พวกเขาทำตัวเต็มไปด้วยเล่ห์และฉลาดแกมโกงอยู่เสมอ พวกเขาไม่มีชีวิตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง แต่รับมือทุกอย่างโดยใช้เล่ห์เหลี่ยม กลวิธี และปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตของมนุษย์—ซึ่งทำให้เกิดการดำรงอยู่ที่ที่น่าเหนื่อยล้าและเจ็บปวด  พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงในรูปแบบเดียวกับที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่เชื่อ พวกเขาทำตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและโกหกและเล่นไม่ซื่อ  พวกเขาชอบก่อการโต้เถียงและมีปากเสียงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มใด พวกเขาก็จะมองให้เห็นว่าใครเห็นพ้องกับใคร และใครเข้าทีมกับใครอยู่เสมอ  เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาจะเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง พวกเขาคอยระวังอยู่เสมอ พลางพยายามไม่ล่วงเกินใคร  พวกเขาทำตามปรัชญาเพื่อการใช้ชีวิตเหล่านี้อยู่เสมอเพื่อจัดการกับสรรพสิ่งรอบตัวและจัดการกับสัมพันธภาพของพวกเขากับคนอื่น  นั่นคือสิ่งที่ทำให้การดำรงอยู่ของพวกเขาน่าเหนื่อยล้ายิ่งนัก  แม้ว่าพวกเขาอาจดูแข็งขันในหมู่ท่ามกลางคนอื่น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเท่านั้นที่รู้ถึงการต่อสู้ดิ้นรนของตนเอง และหากเจ้ามองดูชีวิตของพวกเขาอย่างใกล้ชิด เจ้าจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเช่นนั้นน่าเหนื่อยล้า  สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือหน้าตา พวกเขายืนกรานที่จะชี้ให้ชัดเจนว่าใครถูกหรือผิด ใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า และพวกเขาต้องโต้เถียงเพื่อพิสูจน์ประเด็นของตน  คนอื่นไม่อยากได้ยินคำโต้เถียงนี้  ผู้คนพูดว่า “คุณช่วยพูดสิ่งที่คุณกำลังพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ไหม? คุณช่วยพูดให้ตรงไปตรงมาได้ไหม? ทำไมคุณต้องใส่ใจเรื่องหยุมหยิมมากนัก?”  ความคิดของพวกเขาซับซ้อนและเวียนวนมาก และพวกเขาใช้ชีวิตที่น่าเหนื่อยล้าเช่นนั้นโดยไม่ตระหนักถึงปัญหาที่แฝงอยู่  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแสวงหาความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ได้?  เพราะพวกเขาเบื่อหน่ายความจริงและไม่อยากซื่อสัตย์  เช่นนั้นแล้วพวกเขาพึ่งพาอะไรในชีวิต?  (ปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตและวิธีการของมนุษย์)  การกระทำที่อาศัยวิธีการของมนุษย์มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คนเราลงเอยด้วยการถูกหัวเราะเยาะหรือไม่ก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนเอง  และดังนั้นเมื่อตรวจสอบใกล้ชิดขึ้น การกระทำของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาใช้เวลาทำทั้งวัน—ล้วนเกี่ยวเนื่องกับหน้าตา กิตติศัพท์ ผลประโยชน์ และความฟุ้งเฟ้อของตัวพวกเขาเอง  การนี้ราวกับว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในใยแมงมุม พวกเขาต้องให้เหตุผลหรือหาข้ออ้างสำหรับทุกสิ่ง และพวกเขาพูดเพื่อประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ  การคิดของพวกเขาสลับซับซ้อน พวกเขาพูดเรื่องเหลวไหลมากมาย ถ้อยคำของพวกเขายุ่งเหยิงมาก  พวกเขาโต้เถียงอยู่เสมอว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น  หากพวกเขาไม่พยายามให้ได้หน้า พวกเขาก็กำลังแข่งขันเพื่อกิตติศัพท์และสถานะ และไม่มีเวลาใดเลยที่พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้  แล้วในท้ายที่สุดผลที่ตามมาคืออะไร?  พวกเขาอาจได้หน้า แต่ทุกคนก็เบื่อหน่ายและระอาพวกเขา  ผู้คนมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งและตระหนักว่าพวกเขาไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริง ตระหนักว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ  เมื่อบรรดาผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงคนอื่นใช้คำพูดสองสามคำเพื่อจัดการกับพวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธอย่างดื้อดึงที่จะยอมรับ พวกเขายืนกรานที่จะพยายามให้เหตุผลหรือหาข้อแก้ตัว และพวกเขาพยายามที่จะโทษคนอื่น  ระหว่างการชุมนุมพวกเขาปกป้องตนเอง เริ่มการโต้เถียง และสร้างความเดือดร้อนท่ามกลางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังคิดว่า “ไม่มีที่ไหนให้ฉันโต้เถียงเรื่องของฉันเลยหรือ?”  คนเช่นนี้เป็นบุคคลประเภทใด?  นี่คือคนที่รักความจริงหรือ?  นี่คือคนที่เชื่อในพระเจ้าหรือ?  เมื่อพวกเขาได้ยินใครพูดบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพวกเขา พวกเขาก็อยากจะโต้เถียงและร้องขอคำอธิบายเสมอ พวกเขาพัวพันกับเรื่องที่ว่าใครถูกใครผิด พวกเขาไม่แสวงหาความจริงและไม่ปฏิบัติต่อคำพูดนั้นตามหลักธรรมความจริง  ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเรียบง่ายขนาดไหน พวกเขาก็ต้องทำให้เรื่องดังกล่าวซับซ้อนมาก—พวกเขาแค่กำลังหาเรื่องใส่ตัว สมควรแล้วที่พวกเขาจะเหนื่อยล้ามาก!  ปัญหาหลายประการที่ผู้คนเผชิญนั้นเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน  พวกเขาหาเรื่องเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล  พวกเขาลงเอยด้วยการก้มหน้ารับกรรมที่ตนเองก่อไว้ ตามที่สุภาษิตกล่าวไว้  นี่คือวิถีชีวิตของคนโง่เขลา  คนสมองทึบบางคน แม้ว่าพวกเขาไม่พัวพันกับการชี้ถูกชี้ผิด ก็มีขีดความสามารถที่แย่มากจนไม่อาจเข้าใจสิ่งใดอย่างทะลุปรุโปร่งได้เลย  พวกเขาใช้ชีวิตเยี่ยงสุกร อยุ่ในความงุนงง  คนสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ประเภทหนึ่งเอียงไปทางซ้ายและอีกประเภทหนึ่งเอียงไปทางขวา แต่ทั้งสองประเภทอยู่ในบรรดาผู้ไม่เชื่อ  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม หรือไม่ว่าพวกเขาเคยได้ฟังคำสอนมามากมายเพียงใดก็ตาม ผู้คนเช่นนี้ย่อมไม่มีวันจะสามารถเข้าใจความจริง ไม่ต้องเอ่ยถึงการรู้ว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใด พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงแต่ใช้ชีวิตตามวิธีการของมนุษย์และปรัชญาของซาตาน ดำเนินชีวิตที่น่าเหนื่อยและน่าสมเพช  พวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าจริงๆ  บรรดาผู้ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยย่อมไม่สามารถถูกเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้  มีเพียงผู้ที่รักและสามารถยอมรับความจริงได้เท่านั้นที่เป็นพี่น้องชายหญิง  ทีนี้ บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงคือใคร?  พวกเขาล้วนคือผู้ไม่เชื่อ  บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงเลยนั้นเบื่อหน่ายและปฏิเสธความจริง  พูดให้แม่นยำกว่านั้นคือ พวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อที่ได้แทรกซึมเข้าสู่คริสตจักร  หากพวกเขาสามารถทำความชั่วทุกประเภท อีกทั้งก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร พวกเขาก็เป็นสมุนของซาตาน  พวกเขาควรถูกขจัดและขับออกไป  พวกเขาไม่สามารถได้รับการปฏิบัติด้วยในฐานะพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน  ทุกคนที่แสดงความรักต่อพวกเขานั้นโง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่งยวด

บทตัดตอน 88

ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้น พระองค์ตั้งพระทัยจะมอบให้กับผู้ใดเพื่อให้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา?  ความจริงที่ได้รับการสามัคคีธรรมนั้นมีเพื่อผู้ใด?  (เพื่อผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้)  ใครคือผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงไว้ในหัวใจของพวกเขาได้อย่างแท้จริง?  หากเจ้าสามารถเข้าใจคำถามนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าจะรู้ว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  พวกเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ มีเหตุผล มีความรักในสิ่งที่เป็นบวก และมีการตระหนักรู้มโนธรรมของพวกเขา  ผู้คนอื่นไม่ได้รักความจริง และหลังจากได้ฟังความจริง พวกเขาก็ไม่แยแสและยังคงนิ่งเฉย ไม่มีการตำหนิตนเองหรือมีความรู้สึกอันใดทั้งสิ้น—พวกเขาตายไปแล้วทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และถูกลิขิตให้ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ผู้คนบางคนจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าต้องทรงผ่านความลำบากตั้งมากมายเพื่อตรัสพระวจนะมากมายเหลือเกินในเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่รักความจริง หรือครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี หรือยอมรับความจริง และพวกเขาไม่ใช่วัตถุเป้าหมายแห่งความรอด และเป็นเพียงแค่คนปรนนิบัติเท่านั้น?”  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง แม้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งยังคงเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกเขาก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง และนี่คือกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอด)  ถูกต้องแล้ว  พระวจนะของพระเจ้ามีเพื่อให้ผู้คนรับฟัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือปิศาจ  ไม่ว่าหนึ่งในสามหรือหนึ่งในห้าของผู้คนภายในคริสตจักรสามารถยอมรับความจริงได้ก็ตาม ถึงอย่างไรผู้ที่จะคงเหลืออยู่ในตอนท้ายคือคนส่วนน้อย  ดังนั้นพวกเราควรจะประเมินวัดอย่างไรว่าใครคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ และใครสามารถคงอยู่ต่อไปได้?  พวกเราสามารถประเมินวัดได้หากบุคคลหนึ่งมีมโนธรรม ไม่ว่ามโนธรรมของพวกเขามีความตระหนักรู้ผ่านการรับฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงผ่านการรับฟังคำเทศนาและนำไปปฏิบัติทันทีที่พวกเขาเข้าใจหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่  บนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ พวกเราสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาคือผู้คนที่ยอมรับความจริงและคือแกะของพระเจ้าหรือไม่  แกะของพระเจ้าสามารถรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาตอบสนองและได้ตระหนักรู้หลังจากได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และพวกเขาเต็มใจที่จะติดตามพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ครองอะไรในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา?  (ผู้คนเหล่านี้ชอบสิ่งที่เป็นบวก เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีมโนธรรมอยู่บางส่วน)  ทำไมพวกเขาจึงเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาประกอบด้วยความรักในความจริง มโนธรรมและเหตุผล  พวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและปรับใช้พระวจนะเหล่านั้นตามสภาวะทั้งหลายของตนเอง จากนั้นก็เปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมาย หลักธรรมและพื้นฐานพฤติกรรมของพวกเขา  และเป็นหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนด้วย  นั่นคือ พระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นความเป็นจริงของชีวิตพวกเขา และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า  มีผู้คนบางคนที่ภายนอกดูไม่เลวและค่อนข้างไร้เล่ห์มายา แต่พวกเขาไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติหลังจากที่ได้รับฟังพระวจนะเหล่านั้น  ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่แกะของพระเจ้า  มีผู้คนแบบนั้นมากมายท่ามกลางเหล่าคนปรนนิบัติที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะฟังพระวจนะด้วยวิธีการใดก็ตาม ทั้งยังสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้น้อยลงอีกด้วย  พวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไม่มีการได้รับชีวิต  เพราะฉะนั้นผู้คนควรเข้าใจว่าใครสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีมากมายเท่าใด  แม้มีคนเพียงหนึ่งคนที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ก็จะยังคงทรงพระราชกิจที่สมควรทำ  ตามที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า มีคนเพียงแปดคนที่ถูกช่วยให้รอดเมื่อครั้งที่โนอาห์สร้างเรือใหญ่ขึ้นมา  จากช่วงเวลาแห่งพันธสัญญาเดิมจนถึงปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกช่วยให้รอด  ในยุคธรรมบัญญัติ เมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งความรอดอย่างเป็นทางการและไม่ทรงจัดเตรียมความจริงให้กับมวลมนุษย์ มีมนุษย์สักกี่คนที่พระเจ้าทรงยอมรับ?  มีมากมายเช่นนั้นหรือ?  มีผู้คนจำนวนน้อยมากที่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ระหว่างช่วงเวลานั้น  แล้วพระราชกิจในยุคสุดท้ายเล่า?  แม้จำนวนของผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงผ่านการพิพากษา การตีสอน การทดสอบและกระบวนการถลุงมีเป็นส่วนน้อย แต่จำนวนนี้ก็ยังมากกว่าผู้ที่ได้รับจากพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณเสียอีก  ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนค่อนข้างมากพอสมควรที่สามารถให้คำพยานเชิงประสบการณ์และมีบางส่วนที่เปลี่ยนอุปนิสัยของตนเองได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพระทัยของพระเจ้าจะไม่ได้รับความชูใจจากเรื่องนี้บ้างได้อย่างไร?

เมื่อพวกเจ้าเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่เปลี่ยนแปลงอันใดเลย และยังเป็นเสมือนผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย พวกเจ้าก็จะคิดลบใช่หรือไม่?  (บางครั้งฉันก็คิดลบเล็กน้อย แต่ฉันเห็นว่าไม่สำคัญว่าใครบางคนเป็นกบฏแค่ไหนหรือขีดความสามารถของพวกเขาจะต่ำแค่ไหน ตราบใดที่หัวใจของพวกเขานั้นถูกต้องและพวกเขาเต็มใจเพียรพยายามในการไล่ตามเสาะหาความจริง ตราบนั้นพระเจ้าก็จะทรงพระราชกิจเพื่อพวกเขาต่อไปด้วยความอดทนสูงสุด  ด้วยการแยกย่อยความจริงออกเป็นส่วนเล็กๆ แล้วสามัคคีธรรมกับพวกเขาในรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ฉันซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าพระเจ้าทรงจ่ายมากขนาดไหนเพื่อทำให้มวลมนุษย์สมบูรณ์แบบโดยไม่ทรงยอมแพ้จนกว่าพระองค์จะทรงประสบความสำเร็จ  ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าขีดความสามารถของฉันจะต่ำเพียงใด ฉันต้องพยายามทำให้ดีขึ้น ขยันในการไล่ตามเสาะหาของฉัน และไม่หมดกำลังใจ)  เป็นข้อเท็จจริงที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้คนบางส่วนมีขีดความสามารถต่ำหรือเป็นกบฏ  แต่พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าเจ้าจะไม่ได้รับความรอดด้วยเหตุนี้  หากพระองค์จะไม่ทรงช่วยให้เจ้ารอด เช่นนั้นแล้วเหตุใดต้องตรัสพระวจนะเหล่านี้ต่อเจ้า หรือต้องทรงยอมลำบากขนาดนั้นด้วยเล่า?  ในการทรงทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการบอกกล่าวอย่างชัดเจนต่อมวลมนุษย์และเปิดเผยให้ทราบอย่างชัดแจ้ง  นี่ไม่ใช่ความลับแต่เป็นที่ทราบกันดี และใครก็ตามที่มีหัวใจและมีวิญญาณย่อมสามารถเข้าใจได้ พวกคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้นที่สามารถคิดลบ และพวกที่ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่จะรู้สึกผิดหวังและท้อใจด้วยความเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับความรอด  สิ่งที่สำคัญมากที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าคือเจ้าต้องเชื่อพระวจนะและความจริงทั้งหมดที่พระองค์ตรัส  ตราบใดที่เจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่และสามารถนำความจริงมาปฏิบัติได้ ตราบนั้นพระวจนะและความจริงทั้งหมดก็สามารถกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ไม่สำคัญว่าชีวิตของเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่เพียงใดในท้ายที่สุด ตราบใดที่เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในเชิงบวกและในเชิงรุกโดยไม่จงใจละเมิดพระวจนะหรือความจริง ปฏิบัติให้มากเท่าที่เจ้าเข้าใจและเพียรพยายามเพื่อความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและความเข้มแข็งทั้งหมดของเจ้า ตราบนั้นก็คือการได้ตามมาตรฐาน  ข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ไม่ได้สูงเลย  ความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมนั้นครอบคลุมแล้ว และพระวจนะของพระองค์มีรายละเอียดและมีความจำเพาะเป็นพิเศษ  เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?  นี่เป็นการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวหรือแค่ผู้คนสองสามประเภท  ในความจริงทั้งหมดที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์ มีขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่เจ้าสามารถปฏิบัติและบรรลุได้  เหตุใดเราถึงกล่าวว่ามีขีดจำกัด?  เพราะขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจของคนทุกคนนั้นแตกต่างกัน เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการไว้ให้พวกเขาและหน้าที่ทั้งหลายที่พวกเขาปฏิบัติ “ความแตกต่าง” เหล่านี้นำทางแต่ละบุคคลให้สามารถปฏิบัติและเข้าสู่เพียงบางส่วนของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์หรือนำไปปฏิบัตินั้นมีขีดจำกัด  ยกตัวอย่างเช่น เหมาะสมหรือไม่หากใครบางคนมีประสบการณ์กับบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วย โดยตระหนักรู้ว่าบททดสอบนั้นมาจากพระเจ้า แต่แล้วเขากลับคิดว่าพระเจ้าควรทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์จากบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน?  (ไม่เหมาะสม)  เรื่องนี่มาจากเจตจำนงของมนุษย์ทั้งสิ้น  พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อคนทุกคนแตกต่างกัน และบททดสอบนี้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ  พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อพวกเขาเพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์กับบททดสอบความเจ็บป่วย  ผู้คนทั้งหมดได้รับอะไรหลังจากพระเจ้าทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งได้รับประสบการณ์เรื่องบททดสอบความเจ็บป่วย?  กล่าวคือ ระหว่างการทดสอบ ผู้คนควรเรียนรู้วิธีการเชื่อฟังพระเจ้า รู้จักความเป็นกบฏของตนเอง แก้ไขสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระผู้สร้าง แก้ไขสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์และพระเจ้าให้ถูกต้อง สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้า สัมฤทธิ์การเชื่อฟังพระองค์ และไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น จงอย่าเข้าใจพระเจ้าผิดแต่จงเชื่อฟังเพียงอย่างเดียว  แง่มุมนี้ของความจริงคือสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ  หากเจ้าได้รับความจริงแง่มุมนี้จากประสบการณ์ของคนอื่น เช่นนั้นเจ้าต้องมีประสบการณ์จากบททดสอบนี้ด้วยหรือไม่?  ไม่จำเป็น  พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้คนที่แตกต่างกัน—บางทีเป็นคนที่เหมาะสมหรือเป็นคนพิเศษบางคน—เพื่อมีประสบการณ์จากบททดสอบนี้และเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษย์และเป็นสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ  ผู้คนบางคนได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดของการสูญเสียคนอันเป็นที่รัก และจากการสูญเสียนี้มีประสบการณ์และคำพยาน มีการเชื่อฟังพระเจ้า มีการไว้วางใจและการเชื่อที่แท้จริง  จากพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำต่อกลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ทุกคนสามารถเข้าใจว่าคำพยานที่ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและสิ่งที่ผู้คนควรเลือกคือการเชื่อฟัง ไม่วิเคราะห์ ไม่ค้นคว้า หรือไม่ใช้เหตุผลกับพระองค์ ให้พระองค์อธิบายอย่างชัดเจนและถี่ถ้วน พวกเขาควรเชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่มีการพร่ำบ่นใดๆ  นอกจากนี้ ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจความหมายและคุณค่าของพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ  จากหนทางแห่งพระราชกิจของพระเจ้าเหล่านี้ และจากพระวจนะของพระองค์ทุกแง่มุม สิ่งที่แต่ละคนมีประสบการณ์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  ในส่วนเล็กๆ นี้ สิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์จากพระวจนะของพระเจ้าขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของเจ้า สภาพแวดล้อมของครอบครัวเจ้า และหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ คือหนึ่งในหนึ่งหมื่นของพระวจนะทั้งหมดหรือเจ้าสามารถพูดได้เพียงหนึ่งในหนึ่งหมื่นเท่านั้น  หากเจ้าเข้าสู่หนึ่งในหนึ่งหมื่นนี้และสัมฤทธิ์การเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร้เงื่อนไขและโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง วางตัวเจ้าเองในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้บรรลุในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจและคือหนทางที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่

สิ่งสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าคือพวกเจ้าจงรักภักดี  อะไรคือความจงรักภักดี?  ความจงรักภักดีหมายถึงจริงจังและรับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของพวกเจ้าอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการสุกเอาเผากินแม้แต่น้อย  หากเจ้าสุกเอาเผากิน เช่นนั้นแล้ว เมื่อบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดขึ้นมา ย่อมจะเป็นเครื่องหมายของความน่าละอาย และนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน  ยิ่งไปกว่านั้น ในเรื่องงานในพระนิเวศของพระเจ้าที่มอบหมายให้พวกเจ้า ทุกคนควรสามัคคีธรรรมร่วมกันให้มากขึ้น แสวงหาหลักธรรมความจริงให้มากขึ้น และค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้อง  เมื่อปัญหาทั้งหลายถูกค้นพบ ก็ควรถูกแก้ไขโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็ต้องรีบรายงานปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ให้กับผู้บังคับบัญชาในทันที  เพียรพยายามให้แน่ใจว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรค ช่องโหว่หรือการล่าช้า  จงทำงานของพวกเจ้าให้ดี ส่งเสริมงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และจงปล่อยให้น้ำพระทัยของพระเจ้าดำเนินไปบนแผ่นดินโลกโดยทั่วถึง  หน้าที่ของพวกเจ้าจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีด้วยหนทางนี้  ที่จริงแล้ว ภายในขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของใครบางคน สิ่งเหล่านี้คือแง่มุมบางประการของความจริงที่พวกเขาสามารถปฏิบัติ สัมฤทธิ์ และสัมผัสถึง และการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้คือการสัมฤทธิ์มาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่พระเจ้าพึงประสงค์จากมวลมนุษย์  ความเชื่อของผู้คนบางคนอ่อนแอ บางคนเป็นคนขี้ขลาด คนอื่นก็มีขีดความสามารถต่ำหรือมีความเข้าใจที่บิดเบือน หรือมีการคิดอ่านที่โง่เขลา สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นที่เป็นในเชิงลบและนิ่งเฉยในทุกแง่มุมจะส่งผลต่อความสามารถของผู้คนในการนำความจริงไปปฏิบัติและทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างมีประสิทธิผล  พระเจ้าทรงสร้างข้อกำหนดของพระองค์ให้กับผู้คนตามขีดความสามารถ บุคลิกลักษณะและระดับการเข้าใจความจริงของพวกเขา  มาตรฐานของข้อกำหนดนี้คืออะไร?  พระเจ้าทรงดูว่าคนบางคนมีความจริงใจในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ ทั้งสองสิ่งนี้คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสองประการ  ผู้คนบางคนนั้นโง่โดยธรรมชาติ มีความบิดเบือนในการเข้าใจสิ่งต่างๆ ของพวกเขา ขาดพร่องความเข้าใจในเชิงลึก เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดก็ตามที่คนอื่นพูด และจำเป็นต้องให้จับมือสอน—ผู้คนเหล่านี้คือพวกที่มีขีดความสามารถต่ำ และจะไม่มีวันเปลี่ยน  คนอื่นๆ อาจมีความมั่งคั่งทางความรู้ หรือเต็มไปด้วยความรู้ที่ลึกซึ้ง ภายนอกดูเฉลียวฉลาดมาก แต่มีแนวโน้มที่จะมีความบิดเบือนในการเข้าใจเรื่องที่สัมพันธ์กับความจริง  ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงก็ตาม แต่พวกเขายังคงไม่สามารถยอมรับ และนี่คือข้อบกพร่องอย่างร้ายแรงของพวกเขา  คนประเภทนี้ได้รับอิทธิพลจากความรู้และคำสอนขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยง่าย และพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะกระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือเปลี่ยนทัศนะของตนเองที่มีต่อสิ่งต่างๆ  ดังนั้นพวกเขาควรทำอย่างไรหากพวกเขาต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง?  สิ่งสำคัญคือการได้เห็นว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงหรือไม่  หากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วปัญหาก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย แต่หากพวกเขาดื้อดึงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จบกัน  ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี แต่เราเกรงว่าจะไม่มีหนทางรอดสำหรับพวกเขาด้วย  การบรรลุผลทางการศึกษาของคนเราและความรู้ความสามารถที่พวกเขามีนั้นไม่สำคัญ—สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสามารถยอมรับความจริงและรักพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งที่พระเจ้าทรงพิจารณาคือเมื่อได้รับความรู้แจ้งเพื่อให้เข้าใจความจริงในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดแจงเตรียมการให้แล้วเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้มากเพียงใด  พระองค์ทรงดูว่าเจ้าทุ่มเทตนเองให้กับภารกิจที่พระองค์ทรงกำหนดให้มากเพียงใด เจ้ามอบความเข้มแข็งของเจ้าให้กับกิจเหล่านั้นมากขนาดไหน เจ้าใช้ความพยายามไปมากมายเพียงใด  ยกตัวอย่างเช่น เจ้ามีขีดความสามารถปานกลาง ไม่ได้รับการศึกษาดีมาก ความสามารถในการเข้าใจของเจ้าต่ำและบิดเบือนเล็กน้อย  สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรม  กระนั้นเมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นและพระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าเห็นจุดบกพร่องทั้งหลายในสิ่งนั้น ให้เจ้าเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นและเป็นความรับผิดชอบของผู้ใด เมื่อนั้นเรื่องนี้ก็จะเผยให้เห็นว่าเจ้าสามารถยึดถือหลักธรรมและเป็นผู้ปฏิบัติความจริงหรือไม่  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดีและจริงใจต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำเช่นไรกับสิ่งนั้น?  เจ้าควรทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับความจริง เพื่อทำสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด?  ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงดูที่คุณภาพของขีดความสามารถของเจ้าหรือเจ้าได้รับการศึกษาแค่ไหน หรือเจ้าเชื่อในพระองค์มาแล้วกี่ปี  พระองค์ทรงดูที่ทัศนคติและท่าทีของเจ้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเจ้าจริงใจหรือไม่ และเจ้านำมโนธรรมของเจ้ามาปฏิบัติในเวลานั้นหรือไม่  หากเจ้าจริงใจต่อพระเจ้า เจ้าจะมีสำนึกแห่งความรับผิดชอบ และเจ้าจะคิดว่า “สิ่งนี้อาจไม่ได้ตกอยู่กับฉัน แต่เกี่ยวพันกับงานของคริสตจักร  ฉันต้องสอบถามข้อมูลและรับฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น”  และเมื่อเจ้าทำการสอบถามข้อมูลแล้ว เจ้าอาจเรียนรู้ว่าหัวหน้างานผู้นั้นเกียจคร้านและขาดความรับผิดชอบ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญและทำให้เรื่องนี้ล่าช้า  จากนั้นเจ้าจะไปหาหัวหน้างานและสามัคคีธรรมกับพวกเขา เพื่อแก้ไขประเด็นปัญหานั้นในทันที  เจ้าไม่จำเป็นต้องแสวงหาจากเบื้องบน เจ้าจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง  เจ้ามีขีดความสามารถปรกติและมีความบกพร่องและความผิดพลาดบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือส่งผลต่อความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่ส่งผล  ผู้คนบางคนกล่าวว่าพวกเขาโง่เขลาและความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือน บ้างก็กล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  และคนอื่นก็กล่าวว่า พวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่ได้รับการศึกษา  หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ปฏิบัติความจริงเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงมองที่คุณภาพขีดความสามารถของผู้คนหรือระดับการศึกษาของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงเท่าใดนัก  ความขาดแคลนและความบกพร่องเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้า หรือต่อความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้า หรือต่อความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  พระเจ้าทรงดูว่าเจ้าจริงใจหรือไม่—นี่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดและเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ได้  พระเจ้าทรงใช้วิธีการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดเพื่อทำการประเมินวัดบุคคลแต่ละคน  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ ฉันไม่รู้ความ ฉันมีความรู้มากเกินไป นั่นมีอิทธิพลต่อฉันในการนำความจริงไปปฏิบัติ”  เหล่านี้ล้วนเป็นข้อแก้ตัวทั้งสิ้นและข้อแก้ตัวเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น  แต่เป็นเพราะเหตุใด?  เพราะนั่นไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าประเมินวัดผู้คน  นั่นเป็นมาตรฐานของตัวเจ้าเอง ไม่ใช่มาตรฐานของพระเจ้า  อะไรคือมาตรฐานของพระเจ้าเมื่อประเมินวัดใครบางคน?  พระเจ้าทรงพิจารณาว่าใครบางคนจงรักภักดีต่อพระองค์หรือไม่ และพวกเขาจริงใจหรือไม่  หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่สำคัญว่าความเข้าใจของเจ้าจะบิดเบือนหรือไร้สาระสักเล็กน้อยหรือไม่  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ”  แล้วเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าจงรักภักดี เช่นนั้นแล้วย่อมจะไม่ส่งผลต่อการนำความจริงไปปฏิบัติของเจ้า  นี่ชัดเจนเพียงพอหรือไม่?  หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจริงใจ เจ้าจะยังคงคิดลบและอ่อนแอเมื่อถูกตัดแต่งหรือไม่?  เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นใดหากเจ้าคิดลบและอ่อนแอจริงๆ?  (พวกเราควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า พยายามคิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ คิดทบทวนในสิ่งที่พวกเราขาดพร่อง สิ่งผิดพลาดที่พวกเราได้ทำลงไป ในบริเวณที่เราได้ร่วงหล่น นั่นเป็นจุดที่พวกเราควรไต่กลับขึ้นมาอีกครั้ง)  ถูกต้อง  การคิดลบและความอ่อนแอไม่ใช่ปัญหาใหญ่  พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวโทษพวกเขา  ตราบเท่าที่ใครบางคนสามารถไต่กลับขึ้นมายังจุดพวกเขาได้ตกลงไป และเรียนรู้บทเรียนของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้เป็นปรกติ ก็แค่เพียงเท่านั้นเอง  ไม่มีใครจะตำหนิเจ้า ดังนั้นจงอย่าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  หากเจ้าละทิ้งหน้าที่ของเจ้าและหลบหนีจากหน้าที่นั้น เจ้าก็จะทำลายตัวเองให้ย่อยยับโดยสิ้นเชิง  ทุกคนคิดลบและอ่อนแอได้เป็นบางครั้ง—เพียงแค่ค้นหาความจริง ความคิดลบและความอ่อนแอย่อมจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย  สภาวะของผู้คนบางคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทหรือร้องเพลงนมัสการเพียงสองสามเพลง พวกเขาสามารถเปิดหัวใจของพวกเขาในการอธิษฐานถึงพระเจ้า และพวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์  เช่นนั้นแล้วปัญหาของพวกเขาจะไม่ได้รับการแก้ไขหรือ?  ที่จริงแล้ว การถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง  ถึงแม้พระวจนะที่ตัดแต่งเจ้าจะกร้าวกระด้าง จะกัดกร่อนไปบ้าง นั่นเพราะเจ้ากระทำการโดยไม่ใคร่มีเหตุผล และเจ้าได้ละเมิดหลักธรรมโดยไม่มีแม้แต่การตระหนักรู้—เจ้าจะไม่ถูกตัดแต่งในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้นได้อย่างไร?  การตัดแต่งเจ้าด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยเหลือเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือความรักสำหรับเจ้า  เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้และไม่พร่ำบ่น  ดังนั้น หากการตัดแต่งก่อให้เกิดความคิดลบและการพร่ำบ่น นั่นคือความโง่เขลาและการไม่รู้ความอันเป็นพฤติกรรมของใครบางคนที่ไม่มีเหตุผล

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมุ่งเน้นเมื่อเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  ไม่ว่าขีดความสามารถของใครบางคนจะสูงหรือต่ำก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาเข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณหรือไม่ หรือการตัดแต่งและการจัดการที่พวกเขาเผชิญอยู่จะเป็นแบบไหนก็ตาม—สิ่งหล่านี้ไม่สำคัญเลย  สิ่งสำคัญในทุกวันนี้คืออะไร?  คือหนทางที่พวกเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ในการทำเช่นนั้น อะไรคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดที่ใครบางคนควรจะมี?  พวกเขาต้องมีหัวใจที่จริงใจ  จริงใจหมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่ปลิ้นปล้อนเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับพวกเจ้า ไม่พิจารณาผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่วางแผนร้ายและวางอุบายต่อผู้อื่น และไม่เล่นเกมที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกับพระเจ้า  หากเจ้าสามารถคดโกงพระเจ้าและขาดพร่องความจริงใจต่อพระองค์ เช่นนั้นชีวิตเจ้าก็จบสิ้นลงโดยสิ้นเชิงและพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด ดังนั้นอะไรคือประเด็นของการเข้าใจความจริง?  เจ้าอาจเข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถที่ดี มีคารมคมคาย และสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีการคาดคะเนตามหลักเหตุผล และเข้าใจทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส แต่หากเจ้าเล่นเกมที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกับพระเจ้าเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานและเป็นสิ่งที่อันตรายมาก  ขีดความสามารถของเจ้าไม่มีประโยชน์ไม่ว่าจะดีเพียงใดก็ตาม และพระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์เจ้า  พระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าพูดได้ดี มีขีดความสามารถที่ดี มีไหวพริบ และเข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ แต่มีปัญหาเพียงเรื่องเดียว—เจ้าไม่รักความจริง”  ผู้ที่ไม่รักความจริงเหล่านั้นเป็นปัญหา และพระเจ้าไม่ต้องประสงค์พวกเขา  บุคคลที่ไม่มีจิตใจที่ดีจะถูกกำจัดออกไป เปรียบเสมือนรถยนต์ที่เหมือนดูแลดีจากสภาพภายนอกแต่เครื่องยนต์ที่ไม่ดีจะถูกโละทิ้งทั้งหมด  ผู้คนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ไม่สำคัญว่าขีดความสามารถของเจ้าจะดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าฉลาด มีคารมคมคาย หรือมีความสามารถเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้ารับมือกับปัญหาได้ดีเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ และนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ดังนั้นอะไรคือเรื่องสำคัญ?  เป็นเรื่องของหัวใจใครบางคนว่ารักความจริงหรือไม่  ไม่เกี่ยวกับการฟังว่าพวกเขาพูดอย่างไร แต่อยู่ที่พวกเขากระทำอย่างไร  พระเจ้าไม่ทรงดูสิ่งที่เจ้าพูดหรือสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระองค์  พระองค์ทรงดูว่าสิ่งที่เจ้าทำมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  อีกอย่างพระเจ้าไม่สนพระทัยว่าการกระทำของเจ้าสูงส่ง ลุ่มลึก หรือทรงพลังเพียงใด และต่อให้เจ้าทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงใดก็ตาม หากพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความจริงใจในทุกการเคลื่อนไหวของเจ้า พระองค์จะตรัสว่า “บุคคลผู้นี้เชื่อในตัวเราอย่างจริงใจ  พวกเขาไม่เคยโอ้อวด  พวกเขาประพฤติปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตน  แม้พวกเขาอาจไม่ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขายังคงแน่วแน่และมีความจริงใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ”  “ความจริงใจ” ที่ว่านี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง?  ความจริงใจที่ว่าประกอบด้วยความยำเกรงและการเชื่อฟังพระเจ้า รวมไปถึงความเชื่อและความรักที่แท้จริง ประกอบด้วยทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะเห็น  ผู้คนเช่นนี้อาจดูไม่พิเศษในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอาจเป็นคนทำอาหารหรือทำความสะอาด เป็นใครบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ธรรมดา  ผู้คนเช่นนี้ไม่โดดเด่นสำหรับผู้อื่น ไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่น่ายกย่อง น่าชื่นชมหรือน่าอิจฉา—พวกเขาเป็นเพียงผู้คนธรรมดา  แต่ทุกสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์พบได้ในหมู่พวกเขาและมีชีวิตในหมู่พวกเขา และพวกเขาทุ่มเทให้กับพระเจ้า  จงบอกเราว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดมากไปกว่านี้อีก?  พระองค์พอพระทัยพวกเขา  เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งหมดกำลังใจและคิดลบเพียงเพราะวุฒิภาวะของเจ้าน้อยเกินไปและเพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง หรือเพราะเจ้าเห็นผู้อื่นเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการถูกทำให้เพียบพร้อมหลังจากเผชิญหน้าความทุกข์ลำบากและกำลังมีประสบการณ์จากบททดสอบและกระบวนการถลุง และจงอย่าคิดวว่าพระเจ้าไม่ทรงรักเจ้าหรือไม่ทรงเต็มใจทำให้เจ้าเพียบพร้อม  อะไรคือความเร่งรีบของเจ้า?  สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับบุคคลแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และเมื่อเจ้าประเมินวัดตัวเอง ประการแรก จงประเมินวัดสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเจ้าและสิ่งที่เป็นเงื่อนไขทั้งหลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นล้วนเป็นสิ่งดี  ใครบางคนอาจกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันยังคงดีอยู่หรือไม่?”  ใช่ เป็นสิ่งดี  คนบางคนอาจกล่าวว่า “ฉันโง่มาก  สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันยังคงดีอยู่หรือไม่?”  ใช่ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งดี  ทำไมถึงดีทั้งหมด?  หากเจ้าไม่โง่ เจ้าก็อาจจะโอหังและลืมที่ทางของเจ้า ดังนั้น นี่จึงคุ้มครองเจ้าและเป็นสิ่งที่ดี  หากพวกเจ้าทุกคนมีความสามารถและทักษะที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในปัจจุบัน ใครจะสามารถรักษาความประพฤติดีและความเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า?  ไม่ใช่ว่ามีผู้คนบางส่วนที่เป็นเช่นนี้ แต่มีไม่มากหรอกหรือ?  (ใช่)  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีและถูกต้อง เพียงแต่ผู้คนไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ผู้คนมักต้องการจากพระเจ้ามากขึ้นอยู่เป็นนิจ ราวกับว่า ยิ่งพระองค์ประทานให้ใครบางคนมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสามารถนำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น  พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าอย่างเพียงพอแล้ว พระองค์ประทานให้เจ้าทุกอย่างและประทานชีวิตของพระองค์ให้กับเจ้า แล้วเจ้ายังต้องการอันใดอีก?  พระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำมีมากมายและเพียงพอสำหรับมวลมนุษย์  ไม่มีสิ่งใดที่ผู้คนสามารถเรียกร้องต่อพระเจ้าและพวกเขาไม่ควรพร่ำบ่นต่อพระองค์พร้อมกล่าวว่า “ฉันจะทำสิ่งใดได้ด้วยขีดความสามารถหรือพรสวรรค์อันน้อยนิดที่พระเจ้าประทานให้กับฉัน?”  เจ้าสามารถทำได้มากมายเหลือเกิน  สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดฝัน—พระองค์ต้องประสงค์ให้เจ้านำความจริงไปปฏิบัติ ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม และปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายที่เจ้าควรปฏิบัติให้ดี  เจ้าไม่ทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ แต่ทำในสิ่งที่เจ้าไม่สมควรทำอย่างมืดบอด  นี่เรียกว่าการละเลยการงานของเจ้า  เจ้าไม่ได้วางจุดมุ่งหมายสูงเกินไปสักหน่อยหรือ?  (สูงเกินไป)  ผู้คนต้องการทำอะไร?  ต้องการสร้างเกียรติยศท่ามกลางผู้อื่น ต้องการให้คำพูดและการกระทำของพวกเขาน่าเลื่อมใสและได้รับการยกย่องอย่างสูง และมีชื่อเสียงในวงกว้าง  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ให้เจ้ากลายเป็นบุคคลประเภทนั้น ดังนั้นพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งเหล่านั้นให้กับเจ้า  หากเจ้ามีโอกาสได้เป็นบุคคลประเภทนั้น เจ้าจะเต็มใจปฏิเสธหรือไม่?  เจ้าสามารถปล่อยมือไปง่ายๆ หรือไม่?  ผลที่ตามมาเป็นอันตราย  เจ้าสันนิษฐานว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของดีใช่หรือไม่?  เหตุใดผู้คนบางคนจึงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์?  ไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาพอมีทักษะอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วพวกเขาก็เลยโอหังอย่างยิ่งหรอกหรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงสามารถเดินบนเส้นทางนั้นได้?  พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่ว่า ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องเดินบนเส้นทางนั้น และพระเจ้าไม่ทรงมีแผนการในการตรัสความจริงกับพวกเขาหรือช่วยพวกเขาให้รอด  ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เจ้าย่อมแตกต่างจากสิ่งที่พระองค์ประทานให้คนอื่นอย่างแน่นอน  หากเจ้าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอ และต้องการมีเหมือนกับสิ่งที่พวกเขามีอยู่เป็นนิจ นี่คือความเข้าใจอันถ่องแท้หรือไม่?  เจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า!  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าตระหนักรู้ว่าขีดความสามารถของเจ้าต่ำ เจ้าไม่เข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณและมีความเข้าใจที่บิดเบือน เจ้าอ่อนแออยู่เป็นนิจ หรือคิดว่าเจ้ามีปัญหาและข้อบกพร่องมากมายเกินไป ก่อนอื่นเจ้าต้องไตร่ตรองว่าเหตุใดพระเจ้าไม่ประทานพรสวรรค์พิเศษให้กับเจ้า  น้ำพระทัยดีของพระองค์อยู่ในนี้  ลองดูอีกครั้งว่าเส้นทางใดที่คนที่มีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษเหล่านั้นส่วนใหญ่เลือกเดิน และท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขาคืออะไร  อะไรคือประโยคที่เจ้าจะต้องการพูดมากที่สุดทันทีที่เจ้าเข้าใจในเรื่องนี้?  (ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการคุ้มครองของพระองค์)  ถูกต้อง เจ้าควรขอบคุณพระเจ้าและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงดีกับข้าพระองค์เหลือเกิน พระองค์ไม่ได้ประทานพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษและทำให้ข้าพระองค์เป็นเหมือนคนเขลา คนโง่  นี่คือพรของข้าพระองค์!  ข้าพระองค์ไม่คิดลบหรือเศร้าเสียใจ  สิ่งที่ข้าพระองค์ขาดพร่องในเวลานี้คือความจริงใจและการอุทิศตนเพื่อพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้ฉลาดหลักแหลมและมีคารมคมคาย หรือขอพรสวรรค์และความสามารถพิเศษ  ข้าพระองค์เพียงต้องการมอบถวายความจริงใจของข้าพระองค์ต่อพระองค์  พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษและความรู้รวมทั้งสถานะและชื่อเสียงในหมู่ผู้คนไม่ใช่สิ่งดี และข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น”  นี่ไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ?  (แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง)  ดังนั้นเจ้าสามารถยังคงอยู่ในความเจ็บปวดและร่ำไห้เพราะเจ้ายังขาดพร่องอีกมากมายเหลือเกินหรือไม่?  เจ้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกและเจ้าก็จะไม่รู้สึกผิดว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  มิฉะนั้น เมื่อผู้อื่นจัดการเจ้าและเจ้าคิดว่า “ฉันโง่ ทุกคนบนโลกดูถูกฉัน และฉันจะไม่มีวันได้รับการส่งเสริมหรือครอบครองตำแหน่งที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าได้เลย”  ความหมายโดยนัยก็คือ  “พระเจ้าประทานให้ฉันน้อยนิดเหลือเกิน แล้วพระองค์ประทานให้ผู้อื่นมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?”  เจ้ามักพร่ำบ่นในหัวใจของเจ้าและรู้สึกอยู่เป็นนิจ  อันที่จริง พรอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงเจ้าและเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำ  หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต มุมมองของเจ้าจะแตกต่างออกไปใช่หรือไม่?  (ใช่ แตกต่างออกไป)  ผู้คนจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อมุมมองของพวกเขาแตกต่างจากเดิม?  (พวกเขาจะไม่มีจุดมุ่งหมายที่สูงลิบและไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่สูงส่งเช่นนั้น และจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยหัวใจที่สำนึกในบุญคุณและอยู่กับความเป็นจริง)  พวกเขาสามารถมีเหตุผลที่หนักแน่น มีชีวิตที่แท้จริงและตามความเป็นจริง และไล่ตามเสาะหาเป้าหมายที่แตกต่างกัน  จงบอกเราว่า เป็นการดีกว่าหรือไม่ที่พระเจ้าทำให้เจ้าเป็นคนเขลาและเป็นคนโง่ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในแบบที่มีเหตุผลเพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด หรือให้พระองค์ประทานขีดความสามารถสูงๆ การศึกษาระดับสูง หน้าตาดีและมีคารมคมคาย รวมทั้งมีความสามารถในการทำงานและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เพื่อที่ว่าไม่ว่าเจ้าไปที่ใด ผู้คนจะยอมรับนับถือเจ้า และเจ้าคือยักษ์ท่ามกลางคนแคระ จากนั้นเจ้าก็จะเดินบนเส้นทางของศัตรูพระคริสต์?  เจ้าจะเลือกแบบไหนดี?  (การเป็นคนเขลาและคนโง่ย่อมดีกว่า)  ตอนนี้เจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้ แต่หากใครบางคนเรียกเจ้าว่าคนเขลาและคนโง่จริงๆ ก็จะทำให้เจ้าเสียใจ  เจ้าต้องคิดเช่นนี้ว่า “แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำและฉันไม่รู้ความ ฉันก็ยังดีกว่าพวกที่ทำชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายเพราะฉันยังมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอยู่”  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะชูใจตนเอง  (ฉันจำได้ว่ามีคนอื่นอีกสองสามคนที่เชื่อในพระเจ้าร่วมกับฉัน  พวกเขาทุกคนล้วนมีขีดความสามารถสูงและฉลาดมาก แต่เพราะพวกเขามักต่อสู้เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ และก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่เสมอ พวกเขาถูกคัดออกและถูกขับออกไป  ฉันรู้สึกเหมือนฉันสามารถมาถึงจุดที่ฉันเป็นอยู่ในวันนี้ได้เพราะฉันมีขีดความสามารถต่ำ ฉันโง่ และฉันสามารถประพฤติตัวดี—นี่คือการคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน)  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงคุ้มครองเจ้า?  เพราะเจ้าโง่ใช่หรือไม่?  หรือพระองค์ทรงเห็นใจผู้อ่อนแอ?  ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่เหมือนที่บรรดาผู้ไม่เชื่อกล่าวว่า เด็กที่ร้องไห้ย่อมได้รับลูกกวาด  ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  วิธีที่จะมองเรื่องนี้ให้ชัดเจนคืออะไร?  วิธีพิจารณาแบบไหนที่สอดคล้องกับความจริง  (เพราะผู้คนเชื่อด้วยความจริงใจและความรักในความจริงเล็กน้อยในหัวใจ และเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง—พระเจ้าช่วยผู้คนที่มีหัวใจเช่นนี้ให้รอด และด้วยเหตุนี้ จึงทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมหลากหลายเพื่อคุ้มครองพวกเขา)  ถูกต้อง  การคุ้มครองของพระเจ้าต่อเจ้าแลกเปลี่ยนกับความจริงใจของเจ้าที่มีต่อพระองค์  ดังนั้นอะไรคือสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด?  ความจริงใจของมนุษย์ล้ำค่ามากที่สุด  เจ้ามีความรักเล็กน้อยให้กับสิ่งที่เป็นบวกและมีความจริงใจต่อพระเจ้า และเจ้าแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้กับการคุ้มครองและพระคุณของพระเจ้า—เจ้าได้รับมามากมาย  ใครบางคนอาจกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ และแม้ฉันได้รับมาอย่างมากมาย แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย”  เจ้าไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือไม่?  ความสามารถของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าในวันนี้สัมพันธ์กับความเข้าใจในความจริงของเจ้า  คนอื่นอาจกล่าวว่า “ฉันเข้าใจอะไรบ้าง?  ฉันไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน”  เจ้าอาจจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าสามารถยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้าเข้าใจมากมาย  ไม่ว่าความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ของเจ้าจะล้ำลึกหรือตื้นเขินเพียงใด สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์และใกล้เคียงกับความจริงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าได้รับการเกื้อหนุนจนถึงตอนนี้และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง  ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  การคิดว่าเจ้าเป็นคนเขลาหรือเป็นคนโง่ไม่ใช่สิ่งไม่ดี  เมื่อพิจารณาเรื่องนี้ในตอนนี้ “เขลา” และ “โง่เง่า” เป็นฉายาที่ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามหรือความหมายในทางดูแคลน  การถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่ เมื่อเปรียบเทียบกับการถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์ แบบไหนดีกว่ากัน?  (การถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่ย่อมดีกว่า)  หากวันหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “มาตรงนี้เถิดคนเขลา มาตรงนี้เถิดคนโง่” เจ้าอาจจะไม่ยินดี แต่หากเจ้าไตร่ตรองโดยคิดว่า “พระองค์ทรงเรียกฉันว่าคนโง่ ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นฉันจะเข้าไปหา”  แล้วเจ้าก็ไปอย่างมีความสุข  จากนั้นเมื่อใครบางคนถามว่า “ทำไมคุณถึงมีความสุขนักที่ถูกเรียกว่าคนโง่”  และเจ้าตอบว่า “พระองค์ทรงเรียกฉันว่าคนโง่และไม่ได้ตรัสว่าฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ หรือตรัสว่าฉันไม่สามารถได้รับความรอด  นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมีความสุข”  การที่ทรงเรียกเจ้าว่าคนโง่ไม่ใช่การปฏิบัติต่อเจ้าเช่นคนนอก แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นใครบางคนที่คุ้นเคย  ก็เหมือนที่ผู้คนเรียกลูกหลานของพวกเขาว่า “ปิศาจน้อย” มันอาจจะฟังดูหยาบไปสักนิด แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นความจริงและเป็นเพียงการแสดงความรัก  หากเจ้าถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์จะเป็นอย่างไร?  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะต้องเดือดร้อน เพราะการเปลี่ยนชื่อเรียกหมายถึงนิสัยที่แตกต่างออกไป และจุดจบของเจ้าก็จะแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน  พวกเจ้าจะเลือกแบบไหน?  (ฉันเลือกที่จะถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่)  ไม่ใช่เรื่องดีที่เป็นคนเขลาและคนโง่อยู่เสมอ ต้องปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าให้ดีขึ้นสักนิดด้วย  ขีดความสามารถของเจ้าได้รับการปรับปรุงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่?  (มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มากเกินไปนัก)  ในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต หากเจ้าทำงานหนักและเพียรพยายามอย่างแท้จริงต่อไป เจ้าย่อมจะดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยส่วนใหญ่ในพริบตา  นี่เป็นกระบวนการการเติบโตอย่างช้าๆ แต่ตราบใดที่เจ้ามีการเข้าสู่ ตราบนั้นเจ้าจะไม่ถดถอย และตราบใดที่เจ้ายังไล่ตามเสาะหา ตราบนั้นการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจะเติบโตอย่างช้าๆ ทีละน้อย

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพระเจ้าที่จะทรงพระราชกิจความจริงสู่ผู้คน  การนี้ไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วเท่ากับความเร็วของการงอกของเมล็ดพันธุ์เมื่อถูกปลูกลงบนแผ่นดินโลก—การนี้แตกต่างกันมาก  ความรอดของพระเจ้าต่อมนุษย์นั้นคือการชำระล้างอย่างสมบูรณ์และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเขา และด้วยการอนุญาตให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย  ถึงแม้เจ้าฟังคำเทศนา อ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานและมีประสบการณ์ในทุกๆ วัน ความก้าวหน้าของเจ้าจะถูกจำกัด และการเติบโตของชีวิตเจ้าจะเชื่องช้า  คนบางคนจำเป็นต้องมีกระบวนการมากมายเพื่อการเข้าใจความจริง  ผู้คนจำเป็นต้องมีประสบการณ์ซ้ำๆ กันหลายครั้ง และพวกเขาจำเป็นต้องพากเพียรและอุตสาหะในการพยายามเข้าใจความจริงต่อไป—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความจริงได้  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ผู้คนได้รับจะยิ่งถูกจำกัดมากขึ้นไปอีก  ผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้ามานานยี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดคำพยานเชิงประสบการณ์ของพวกเขาได้  นี่เพราะพวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทุ่มเทความพยายามด้วยความตั้งใจเพื่อการเข้าใจความจริง ส่งผลให้ไม่ได้รับอะไรเลยแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายทศวรรษแล้วก็ตาม  ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจความจริง มีประสบการณ์และทำความเข้าใจความจริง และพวกเขาจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ  การรวมแง่มุมที่แตกต่างกันเหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจและมีการเข้าสู่เล็กน้อย  ทันทีที่สิ่งนี้เกิดขึ้นภายในตัวเจ้า สิ่งนี้จะให้ความรู้ ความรู้สึกและความคิดที่แตกต่างกันแก่เจ้า ส่งผลให้จิตสำนึกและความคิดของเจ้าก้าวหน้าและเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งต่อมาจะทำให้ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยและเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อความจริงของเจ้าและเส้นทางชีวิตของเจ้าเองเล็กน้อยด้วย  ทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิต และต่อความคิดและทัศนะของเจ้า และต่อท่าทีของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายและที่มีต่อพระเจ้า  นี่คือพลังแห่งพระวจนะของพระเจ้า—ความจริง

บทตัดตอน 90

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงประสงค์ให้ผู้คนรู้จักพระองค์?  เหตุใดพระองค์จึงทรงประสงค์ให้ผู้คนรู้จักตัวเอง?  อะไรคือจุดประสงค์ของการรู้จักตัวเอง?  อะไรคือผลลัพธ์ที่ต้องการ?  และอะไรคือจุดประสงค์ของการรู้จักพระเจ้า?  การทำให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าจะสัมฤทธิ์ผลใดต่อพวกเขา?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามเหล่านี้หรือไม่?  พระเจ้าทรงใช้วิถีทางนานัปการเพื่อทำให้ผู้คนรู้จักตัวเอง  พระองค์ได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบเพื่อให้ผู้คนเปิดโปงความเสื่อมทรามของตน และให้พวกเขาค่อยๆ รู้จักตนเองผ่านประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระวจนะของพระเจ้า หรือการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ พวกเจ้าเข้าใจจุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในทรงพระราชกิจนี้หรือไม่?  จุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยหนทางนี้คือ ทรงอนุญาตให้คนทุกคนที่มีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระองค์รู้ว่ามนุษย์คืออะไร  และ “การรู้ว่ามนุษย์คืออะไร” เกี่ยวข้องกับอะไร?  การนี้เกี่ยวข้องกับการให้มนุษย์รู้จักตัวตนและสถานะของตนเอง รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  นั่นหมายถึงการให้เจ้ารู้จักความหมายของการเป็นมนุษย์ การให้เจ้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นใคร  นี่คือเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในการทำให้ผู้คนรู้จักตนเอง  แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ผู้คนรู้จักพระองค์?  นี่คือพระคุณพิเศษที่พระองค์ทรงประทานให้แก่มวลมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงทั้งหลายและสามารถมองทะลุความล้ำลึกมากมายได้ด้วยการรู้จักพระเจ้า  ผู้คนได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากการรู้จักพระเจ้า  เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้า พวกเขาย่อมเรียนรู้วิธีการดำเนินชิวิตในหนทางที่มีความหมายมากที่สุด ดังนั้นการให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า เป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์  และพระเจ้าทรงมีหนทางมากมายเพื่อให้ผู้คนรู้จักพระองค์ ซึ่งหนทางที่สำคัญที่สุดคือการพิพากษาและการตีสอน การทรงนำ และการจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์  แน่นอนว่าพระองค์ทรงทำให้ผู้คนรู้จักอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการพิพากษาและการตีสอนด้วยเช่นกัน—นี่เป็นทางลัดในการรู้จักพระเจ้า  อะไรคือผลลัพธ์สูงสุดที่สัมฤทธิ์ได้โดยผู้คนที่เห็นและรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า?  ผลลัพธ์สูงสุดคือการทำให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าคือใคร แก่นแท้ของพระองค์คืออะไร พระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์คืออะไร สิ่งทรงครองของพระองค์และความเป็นองค์พระเจ้าคืออะไร และพระอุปนิสัยของพระองค์เป็นอย่างไร  นั่นทำให้คนทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นพระผู้สร้าง และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรนบนอบต่อพระผู้สร้างอย่างไร  เส้นทางในชีวิตของมนุษย์ย่อมกระจ่างแจ้งโดยสมบูรณ์จากการรู้จักทั้งหมดนี้  เมื่อผู้คนรู้จักตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาจะไม่สามารถค่อยๆ ปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและจากเจตนาที่ไม่เป็นธรรมนานาประการเชียวหรือ?  (สามารถ)  แล้วจากนั้นพวกเขาจะไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถปล่อยมือได้โดยสมบูรณ์หรือไม่?  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล  คนคนหนึ่งสามารถปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและข้อเรียกร้องอันหลากหลายต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและได้รับความรู้และคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับแก่นแท้ พระอัตลักษณ์ และสถานะของพระองค์ผ่านพระราชกิจของพระองค์  มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความปรารถนาและความอยากได้อยากมีอย่างจริงใจที่จะรักพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขา และน้อมนำความรักของพระเจ้าไปปฏิบัติ เฉกเช่น เปโตร  ด้วยเหตุนี้การรู้จักพระเจ้าและการรู้จักตนเอง-ไม่สามารถละเว้นได้ทั้งสองประการ  เจ้ากล่าวว่าเจ้าต้องการที่จะรักพระเจ้า แต่เจ้าสามารถรู้จักวิธีรักพระองค์ได้หรือหากเจ้าไม่เข้าใจพระองค์?  ส่วนใดของพระองค์ควรค่าที่จะรัก?  แง่มุมใดของพระองค์ควรค่าที่จะรักมากที่สุด?  หากเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าก็ไม่สามารถรักพระองค์ได้  เจ้าจะไม่สามารถรักพระองค์ต่อให้เจ้าต้องการที่จะรักก็ตาม และเจ้าอาจพบแม้แต่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และความเป็นกบฏที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่ความคิดลบ  บุคคลประเภทนี้จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาจะไม่ได้รับความเห็นชอบ  เมื่อใครบางคนไม่รู้จักพระเจ้าแต่กลับพูดว่าพวกเขารักพระองค์ คำว่า “รัก” ที่ว่านี้ล้วนเป็นเพียงทฤษฎีอันว่างเปล่าที่เกิดจากตรรกะและการใช้เหตุผลของมนุษย์  ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและไม่ยกชูพระเจ้าเลย  ตอนนี้พวกเจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่าเรากำลังพูดอะไรเกี่ยวกับสองเรื่องนี้?  (เห็นแล้ว)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถกล่าวถึงในตอนนี้เล่า?  นี่พิสูจน์ว่าการรู้จักตนเองของพวกเจ้าจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้นสับสนเลอะเลือน และพวกเจ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเจ้ารู้ไหมว่าประเด็นปัญหาในที่นี้คืออะไร?  (พวกเรายังไม่ได้พบเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  พวกเราไม่สามารถเข้าจากแง่มุมของการรู้จักพระเจ้าและการรู้จักตัวเองพร้อมกันทั้งสองแง่มุม  พวกเรามุ่งเน้นเพียงการเข้าจากแง่มุมเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นการจำกัดการเติบโตของชีวิตพวกเรา)  เมื่อนี่คือสภาวะของพวกเจ้าในเวลานี้ แล้ววุฒิภาวะของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?  ไม่เป็นผู้ใหญ่ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าอยู่ไม่ห่างไกลจากข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระเจ้าในแง่ของการรู้จักตนเองมากนักมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีและเจตนารมณ์ส่วนตน  ความนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเจ้าสามารถสอดคล้องกับความจริงได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงมีสถานะใดในหัวใจของเจ้า?  มีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงมีคำถามแม้กระทั่งในเวลานี้ว่าการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้านั้นคือมนุษย์หรือพระเจ้า พวกเขาเหยียบเรือสองแคม ชั่วขณะหนึ่งเชื่อในพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ชั่วขณะต่อมาก็เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือบนท้องฟ้า  และมีใครบางคนที่ตั้งคำถามแม้กระทั่งแก่นแท้ของพระเจ้า โดยกล่าวว่า “พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และพระเจ้าบนท้องฟ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไปได้อย่างไร?  หากพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงแสดงปาฏิหาริย์และหมายสำคัญทั้งหลายเล่า?”  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ายังคงขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรง  นั่นคือวุฒิภาวะของพวกเจ้าที่แม้พระเจ้าจะตรัสอะไรมากมายแต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจ  ตอนนี้พวกเจ้ารับรู้แต่เพียงว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกเจ้ารับรู้เพียงความจริงที่แสดงโดยพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่พวกเจ้าไม่มีความรู้ใดๆ มากนักเมื่อเป็นเรื่องของแก่นแท้ พระอัตลักษณ์ และสถานะของพระเจ้า  พวกเจ้าอาจกล่าวได้ว่าความรู้เรื่องนี้ในหัวใจของเจ้าเป็นศูนย์ หรือไม่ใช่?  (เป็นศูนย์)  และนี่สามารถพิสูจน์ได้ในข้อเท็จจริง  ก่อนเราสามัคคีธรรมในแง่มุมเหล่านั้นของความจริง เช่น แก่นแท้ของพระเจ้าหรือน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าคิดว่าความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้านั้นลุ่มลึก และเจ้าคิดว่าความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแน่วแน่และไม่โลเล  แต่เมื่อเราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเหล่านั้น เช่น พระเจ้าพระองค์เอง พระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า คำพูดและเนื้อหาเหล่านี้ได้ยั่วยุปฏิกิริยารุนแรงในหัวใจของพวกเจ้า  ปฏิกิริยานี้แรงกล้าและทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเจ้าที่จะยอมรับ ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวงกับพระเจ้าที่พวกเจ้าคิดฝันในหัวใจของพวกเจ้า  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งหรอกหรือ?  (เป็นข้อเท็จจริง)  ดังนั้นเมื่อเราพูดบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเจ้าพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับในตอนแรก ราวกับว่าเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดถึง  นี่พิสูจน์ว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป น้อยจนพวกเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจหรือดีพอสำหรับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าจำเป็นจะต้องมีประสบการณ์อีกหลายปีก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้

บทตัดตอน 91

พันธสัญญาเดิมได้บันทึกการประเมินที่พระเจ้ามีต่อโยบไว้ดังนี้ “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย” (โยบ 1:8)  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าไม่เพียงเป็นพยานให้กับข้อเท็จจริงที่ว่าเปโตรรักพระองค์อย่างแท้จริงเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโยบคือผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอีกด้วย และพระเจ้าทรงกำหนดว่าประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรต้องมีความเชื่อเช่นโยบเป็นอย่างน้อยหากจะติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทาง  ในความคิดฝันของพวกเจ้าและในขอบเขตของข้อความอันจำกัดที่พวกเจ้าเข้าใจ โยบเป็นคนเช่นใด?  เขาเป็นคนดีหรือไม่?  (เป็น)  เรื่องนี้สำแดงให้เห็นในลักษณะใดมากที่สุด?  อย่างแรก เขาเป็นมนุษย์ที่ยำเกรงพระเจ้า และไม่เคยทำความชั่ว  นี่คือเครื่องหมายและลักษณะที่สำคัญของคนดี  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรม และปฏิบัติต่อลูกๆ และครอบครัวตามหลักธรรม  เขาไม่ได้พยายามปิดบังข้อเสียของลูกๆ ของตน ทั้งเขายังอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจฝากลูกของตนไว้กับพระองค์ ซึ่งแสดงให้ผู้คนเห็นว่าท่าทีที่เขามีต่อลูกๆ นั้นถูกต้องสมบูรณ์และสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเจ้าคิดว่าในฐานะลูก การมีพ่อเช่นนี้จะเป็นอย่างไร?  นี่จะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกเป็นสุขหรอกหรือ?  ว่าแต่เพื่อนๆ ของโยบเป็นเช่นไร?  เมื่อโยบเผชิญบททดสอบและความทุกข์ร้อน เพื่อนๆ ของโยบปฏิบัติกับเขาอย่างไร?  ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสามารถเข้าใจโยบ ทั้งยังตัดสินเขาเสียอีกว่า “ท่านล่วงเกินพระเจ้า และพระองค์ก็ได้สาปแช่งท่าน  ดูเถิดว่าการที่ท่านเชื่อในพระเจ้าให้อะไรแก่ท่านบ้าง  ช่างน่าเวทนานัก!”  กระทั่งภรรยาของโยบยังกล่าวว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9)  ในช่วงที่ทุกข์ทนอย่างแสนสาหัสนี้ เพื่อนๆ และภรรยาของโยบปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ซึ่งทำให้เขาเจ็บช้ำและเจ็บปวดมากมายนัก  แต่มีน้อยคนนักที่เข้าใจโยบ—ข้อนี้จริง  บัดนี้ที่พวกเราได้อ่านเรื่องราวของโยบ พวกเราย่อมรู้สึกว่าที่จริงแล้ว ผู้คนอย่างโยบนั้นไว้ใจได้และเชื่อถือได้มากที่สุด และคนเช่นนี้เองที่เป็นคนดีอย่างแท้จริง  พวกเขาจะไม่มีวันหลอกลวงหรือทำร้ายเจ้า และจะปฏิบัติต่อเจ้าโดยยึดหลักธรรมเสมอ  หากเจ้าเป็นคนที่ประพฤติตัวถูกต้อง พวกเขาย่อมจะไม่กล่าวโทษหรือว่าร้ายเจ้าเพียงเพราะเจ้าทำเรื่องแย่อย่างหนึ่งหรือเพราะคนอื่นพูดให้เจ้าเสียหาย  พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับข้อเท็จจริงและพูดบิดเบือนใส่ความใครต่อใครอย่างผิดๆ  พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความชอบพอหรือความถูกใจมาชี้นำถ้อยคำของตน  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะมองเห็นว่า “นี่เองคือคนดี  เมื่อใดก็ตามที่พวกเราพบเจอความยากลำบากเล็กน้อย พวกเราก็เอาแต่ทิ้งหน้าที่ของตัวเอง แต่พวกเขาไม่เคยละทิ้งพระนามของพระเจ้าไม่ว่าบททดสอบและความทุกข์ร้อนที่พวกเขาเผชิญจะสาหัสเพียงใด  ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าพอพระทัยคนเช่นนี้  หากฉันมีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ไม่ว่าความป่วยไข้หรือความทุกข์ร้อนอะไรจะเกิดขึ้นกับฉัน พวกเขาก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือ จุนเจือ เอาใจใส่ดูแล และยอมผ่อนปรนให้ฉันต่อไปเหมือนที่เป็นมา  คนเช่นนี้ยอดเยี่ยมนัก  ต่อให้มีบางครั้งที่พวกเขาทำฉันหงุดหงิดหรือต่อให้พวกเราไม่ได้เห็นตรงกันทุกครั้งไป ฉันก็ขอมีพวกเขาอยู่เคียงข้างดีกว่ามีพวกซาตานและมารเหล่านั้นสักตนหนึ่งมากนัก!”  โดยมากแล้ว เหล่าซาตานและพวกมารจะพูดให้ได้ยินว่า “เธอยอดมาก  ฉันรักและห่วงใยเธอนัก” แต่ทันทีที่เจ้าเผชิญเรื่องยุ่งยากบางอย่าง พวกเขาก็จะเมินเจ้า ตอนนี้เองที่เจ้าจะตระหนักว่าคนดีเป็นอย่างไร และคนที่พึ่งพาได้เป็นเช่นใด  มีเพียงคนที่ไว้วางใจได้ ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นที่เป็นคนดีอย่างแท้จริง และคนดีก็ล้ำค่านัก  หากเจ้ามีคนเช่นโยบสักสิบกว่าคนอยู่เคียงข้างก็จะวิเศษมาก—แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีสักคน!  ถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะรู้สึกแล้วว่าคนดีหายากเพียงใด  ทุกคนล้วนต้องการคนดีเช่นนี้  ทุกคนชอบคนที่ชอบธรรมและอาทร คนที่ใจดีมีเมตตาและกระทำการตามหลักธรรม มีสำนึกเรื่องความยุติธรรม ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว รวมทั้งคู่ควรแก่ความไว้วางใจ

ยามเจ้าถูกความทุกข์ร้อนและความป่วยไข้รุมเร้า ยามที่หัวใจของเจ้าทุกข์ทรมานที่สุด เจ้าต้องการให้คนแบบใดอยู่เคียงข้าง?  เจ้าต้องการคนที่พูดคำเท็จอาบน้ำผึ้งกระนั้นหรือ?  เจ้าต้องการคนที่ตัดสิน กล่าวโทษ และวิจารณ์เจ้ากระนั้นหรือ?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว คนที่เจ้าต้องการที่สุดเป็นคนแบบไหน?  เจ้าต้องการคนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจที่เจ้าพบเจอความยากลำบากต่างๆ และปลอบใจเจ้าได้ คนที่ฟังเจ้าพูดถึงความเจ็บปวดในใจ แล้วจากนั้นก็ช่วยให้เจ้าพ้นจากความคิดลบ ความอ่อนแอ และความทุกข์ได้  คนแบบนี้ช่วยเจ้าได้—พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรือซ้ำเติมยามเจ้าหดหู่ และพวกเขาจะไม่ทำเป็นไม่เห็นความลำบากของเจ้า  กล่าวคือ หากเจ้าต้องการให้พวกเขาชูใจเจ้า และเจ้าพบเจอความยากลำบาก มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ และปัญหาส่วนตัว เจ้าก็บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังได้ และพวกเขาก็จะไม่เอาไปเล่าต่อลับหลังเจ้า ล้อเลียนเจ้า เยาะหยันเจ้า หรือทำให้เรื่องส่วนตัวของเจ้ายุ่งเหยิง  พวกเขาสามารถพิจารณาความยากลำบาก ความอ่อนแอ ความคิดลบ และจุดอ่อนในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้อย่างถูกต้อง  การพิจารณาเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องก็ตรงตามหลักธรรมมิใช่หรือ? ทั้งหมดนี้คือลักษณะของคนดีมิใช่หรือ?  คนแบบนี้เข้าใจเจ้าได้ ยอมผ่อนปรนให้เจ้า และดูแลเจ้าได้  พวกเขาเกื้อหนุนเจ้าได้ ให้สิ่งที่เจ้าต้องการ และช่วยให้เจ้าพาตัวเองพ้นจากความเจ็บปวดและความอ่อนแอของตัวเองได้  พวกเขาให้ความช่วยเหลือเจ้าได้มากขนาดนั้น  คนเช่นนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง  นี่เองคือคนดี!  สมมุติว่าบางคนเมินเจ้า ถึงกับเยาะหยันและล้อเลียนเจ้าเมื่อเขาเห็นว่าเจ้ามีปัญหา  เจ้าอยากเล่าความในใจบางอย่างให้เขาฟัง แต่แล้วเจ้าก็คิดในใจว่า “ฉันจะบอกเขาไม่ได้  ถ้าทำแบบนั้น อาจมีเรื่องร้ายตามมาก็เป็นได้  เขาอาจเที่ยวไปเล่าเรื่องส่วนตัวของฉันลับหลังฉัน  และแล้วทุกคนก็จะหัวเราะเยาะฉัน แล้วใครจะรู้ว่าเขาจะปั้นแต่งเรื่องอะไรมาป้ายสีฉัน”  เจ้าจะกล้าคุยกับคนแบบนี้หรือไม่?  แท้จริงแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง  ไม่เพียงเขาอาจไม่ช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนเจ้าเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เรื่องส่วนตัวของเจ้ายุ่งเหยิงได้ หลอกลวงและทำร้ายเจ้าได้  เจ้าจะกล้าเล่าความในใจให้เขาฟังหรือ?  ถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะตระหนักว่าคนดีนั้นสำคัญ มีคุณค่า และล้ำค่าเพียงใด และการเป็นคนดีก็มีค่ามากกว่าการเป็นคนแบบอื่น  กระทั่งพ่อแม่ของเจ้าก็อาจไม่เข้าใจความยากลำบากและความต้องการของเจ้าอย่างแท้จริงในยามที่เจ้าทนทุกข์และอยู่ในความเจ็บปวด พ่อแม่ของเจ้าจึงไม่อาจปลอบใจเจ้าได้  มีลูกบางคนทำงานหนักและออกไปทำงานนอกบ้าน—โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนต้องประจบประแจงเจ้านาย หรือแม้แต่ขายเรือนกายแลกเงินอันน้อยนิด—และพ่อแม่ก็ไม่เคยถามว่าการที่ลูกๆ ทำงานนอกบ้านนั้นยากเย็นขนาดไหน หรือยากเพียงใดกว่าจะหาเงินมาได้  พวกเขาบ่นด้วยซ้ำไปหากลูกๆ ไม่หาเงินเข้าบ้านมากๆ แล้วก็เอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  นี่ย่อมทำให้ลูกรู้สึกอย่างไร?  (เศร้า ท้อใจ)  หัวใจของพวกเขาย่อมดำดิ่ง  พวกเขารู้สึกว่าโลกช่างมืดมน กระทั่งพ่อแม่ของตัวเองก็เป็นเช่นนี้ และสงสัยว่าตัวพวกเขาเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร  นี่คือสาเหตุที่เจ้าต้องเป็นคนดี  ทุกคนต้องการคนดีสักคน  แล้วคนดีเกิดขึ้นมาอย่างไร?  พวกเขาแค่หล่นลงมาจากฟ้าอย่างนั้นหรือ?  พวกเขางอกขึ้นจากดินหรือไร?  พวกเขาวิวัฒน์มาจากสัตว์บางชนิดหรือไม่?  พวกเขาเป็นผลิตผลของการศึกษาในโรงเรียนอันดับสูงๆ หรือเปล่า?  หรือเป็นผลิตผลของการอบรมบ่มเพาะทางศาสนาแบบนักพรต?  ไม่ใช่ คำอธิบายที่กล่าวมานี้ไม่มีข้อใดถูกต้อง แน่นอนที่สุดว่าทั้งหมดนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้  คนเราจะกลายเป็นคนดีได้ก็ด้วยการติดตามพระเจ้า ปฏิบัติความจริง และยอมรับความรอดจากพระเจ้าเท่านั้น  คนดีไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในทันใดของมนุษย์ที่เสื่อมทราม—ผู้คนต้องเชื่อในพระเจ้าและน้อมรับความรอดจากพระองค์ พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกทำให้เพียบพร้อมเพื่อที่จะกลายเป็นคนดี  ทุกคนต้องการคนดีสักคนเคียงข้างตนในฐานะมิตรและคนรู้ใจ  จงบอกเราเถิดว่าพระเจ้าต้องการคนเช่นนี้ด้วยหรือไม่?  (ต้องการ)  พระเจ้าต้องการคนดี และผู้คนก็ต้องการคนดีเช่นกัน  การเข้าใจเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเจ้า?  เจ้าต้องมีปณิธานข้อนี้และมีความปรารถนาข้อนี้ว่าจะพากเพียรเป็นคนดี  หากเจ้ากล่าวว่า “การเป็นคนดีนั้นยากและเหนื่อย แต่ฉันต้องมีปณิธานที่จะพากเพียรเป็นคนดีให้ได้  ผู้คนต้องการคนดีกันอย่างมาก และฉันเองก็ต้องการคนดี  ดังนั้นก่อนอื่นตัวฉันเองจะเป็นคนดี คอยช่วยและเกื้อหนุนผู้อื่น พยายามช่วยให้พระเจ้าได้คนดีไว้มากขึ้น” เช่นนั้นแล้วนี่ก็ถูกต้อง  หากทุกคนพากเพียรที่จะเป็นคนดี เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติย่อมจะมีความหวัง  เจ้าอาจกล่าวว่า “มนุษยชาติแสนจะเสื่อมทรามและชั่ว  ถ้ามีผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงไม่กี่คนที่เป็นคนดี นั่นก็ไม่มีประโยชน์  พวกเขาจะถูกรังแกอยู่ดีเพราะคนเลวมีมากเกินไป”  การกล่าวเช่นนี้เป็นเรื่องเขลา  เจ้าเชื่อในพระเจ้าเพื่อบรรลุความรอด  หากเจ้ากลายเป็นคนดีและชอบธรรม พระเจ้าย่อมจะทรงอวยพรเจ้า  ไม่ว่ามนุษย์จะชั่วและเสื่อมทรามเพียงใด พระเจ้าก็มีวิธีจัดการพวกเขา  ผู้คนไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้  เจ้าเพียงต้องจดจ่อกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อโนอาห์ต่อเรือใหญ่ สุดท้ายแล้วก็มีคนถูกช่วยให้รอดเพียงแปดคนเท่านั้น  ทุกคนที่ไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ล้วนถูกอุทกภัยของพระเจ้าทำลายล้างในตอนจบ  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถยอมรับมหิทธานุภาพของพระเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม?  เมื่อพระเจ้าสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะมีผู้ที่ได้รับความรอดกี่คน ยุคนี้ก็ต้องสิ้นสุด  มหาวิบัติย่อมต้องอุบัติ และพระเจ้าจะคลี่คลายปัญหาทั้งหมดนี้  เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และกลายเป็นคนชอบธรรมก็เพื่อตัวเจ้าเอง—นี่เป็นประโยชน์กับเจ้า และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น  บางคนกล่าวว่า “คนดีไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาสมควรได้” แต่คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง  ท้ายที่สุดแล้วคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะมีที่ทางของตนในราชอาณาจักรสวรรค์ และไม่ว่าคนเลวจะรุ่งเรืองขนาดไหนบนแผ่นดินโลก ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็จะถูกทำลายและถูกโยนลงนรกทั้งสิ้น  ดังนั้น ทั้งคนดีและคนชั่วย่อมได้รับสิ่งที่ตนสมควรได้แล้วมิใช่หรือ?  พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าอย่างไร?  “เราจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน” (วิวรณ์ 22:12)

สิ่งที่โยบทำ ซึ่งมีการบันทึกไว้ในพระธรรมโยบนั้น ที่จริงแล้วกินเนื้อที่เพียงน้อยนิด สิ่งเหล่านี้แสนเรียบง่าย และไม่ได้มีจำนวนมากมาย  แต่เจ้าก็ควรค้นหาเบาะแสจากการกระทำของโยบได้ และพบเจอหลักธรรมและเส้นทางที่โยบใช้ปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นคนดี  ประการแรก หลักธรรมที่โยบใช้ปฏิบัติต่อลูกๆ และผู้คนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดคืออะไร?  คือการไม่อิงความรักใคร่เอ็นดูของตน แต่กลับยึดมั่นในหลักธรรม  เขาจะไม่ทำบาปต่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น  นี่คือหลักเกณฑ์ข้อแรกแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วของเขา—โดยเริ่มจากวิธีที่เขาปฏิบัติกับสมาชิกในครอบครัวของตัวเอง  ประการที่สองคือวิธีที่เขาปฏิบัติกับสินทรัพย์ของตัวเอง  โยบรู้ว่าแม้สินทรัพย์ของเขาจะเป็นเพียงสมบัติทางโลก แต่ก็มาจากพระเจ้าและเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เขา และพระเจ้าทรงอวยพรเขาด้วยสิ่งเหล่านี้  ผู้คนควรบริหารจัดการและดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างดีด้วยความเอาใจใส่  การดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างดีไม่ได้หมายถึงการครอบครองหรือสุขสำราญไปกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความโลภ และมิได้หมายถึงการมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้ แต่หมายถึงการขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งเหล่านี้ มองเห็นการจัดวางเรียบเรียงแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์ที่อยู่ในสิ่งเหล่านี้ และรู้จักพระเจ้าผ่านทางสิ่งเหล่านี้  เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมเชื่อฟังอธิปไตยของพระองค์ได้ และตามจริงแล้ว นี่คือหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของการเป็นคนดี  หากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมได้เวลาจัดการผู้อื่น แต่เจ้าไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าเป็นคนดีจริงหรือไม่?  ไม่ เจ้าไม่ใช่คนดี  ยิ่งไปกว่านั้น ในการปฏิบัติต่ออธิปไตยและการจัดแจงของพระเจ้า โยบสามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดแจงของพระเจ้าได้ทั้งหมด  การจัดแจงของพระเจ้าหมายรวมถึงการปฏิเสธของพระองค์และบททดสอบของพระองค์  บางครั้งพระเจ้าทรงปฏิเสธ บางครั้งพระองค์ทรงทดสอบ  บททดสอบของพระองค์มีเรื่องใดบ้าง?  บางครั้งพระองค์อาจทำให้เจ้าป่วย หรือสร้างสภาวการณ์อันเป็นโทษให้เกิดขึ้นในครอบครัวของเจ้า หรือพระองค์อาจทำให้เจ้าประสบความยากลำบากบางอย่าง ถูกตัดแต่งและจัดการ และถูกพระองค์สั่งสอน บ่มวินัย พิพากษา และตีสอนระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการจัดแจงของพระเจ้า—และเจ้าควรทำตัวเช่นไรต่อการจัดแจงเหล่านี้?  หากเจ้ามิอาจนบนอบต่อสิ่งเหล่านี้ได้ และเจ้าอยากจะหนีจากสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  นอกจากนั้น ผู้คนยังต้องมีท่าทีที่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตัวเอง  พวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาเอง  ความจงรักภักดีในที่นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงการมอบถวายทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้และทุกสิ่งที่ตนครอบครอง  นี่คือความจงรักภักดี!  นี่คือมาตรฐานแห่งการเป็นคนดี  หากในหมู่พวกเจ้าตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่เป็นเช่นโยบ—แค่คนเดียว ไม่ต้องมากไปกว่านี้—เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าย่อมจะมีเสาหลักในหมู่พวกเจ้า  หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเจ้า คนเช่นนี้ย่อมจะเป็นบุคคลต้นแบบให้พวกเจ้าได้ตลอดเวลา  พวกเจ้าเพียงต้องทำอย่างที่เขาทำ และผ่านไประยะหนึ่งพวกเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง  พวกเจ้าจะปรับปรุงตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่ความคิดของพวกเจ้าไปจนถึงการกระทำของพวกเจ้า จากการแสวงหาความจริงไปสู่การปฏิบัติความจริง  สภาวะของพวกเจ้าจะดีขึ้นทันที เคลื่อนไปในทิศทางที่เป็นบวก ช่วยให้เจ้าเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า  หลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ได้หลายปี พวกเจ้าเองก็จะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้เหมือนโยบ และกลายเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม

บทตัดตอน 92

พวกเจ้ากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย  ชีวิตครอบครัวของพวกเจ้าส่วนใหญ่มั่งคั่งขึ้นกว่าเดิม และเจ้าก็มีความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุในทุกด้านของชีวิต  พวกเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร?  นี่เป็นเพียงความสุขเล็กน้อยทางเนื้อหนังเท่านั้น  แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างความสุขแบบนี้กับความสุขในหัวใจ?  พวกเจ้าทุกคนมีประสบการณ์และมองเห็นบางสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งมาแล้ว การไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พวกเจ้ารู้สึกได้ว่าการไล่ตามเสาะหาความยินดีทางเนื้อหนังนั้นว่างเปล่า และพวกเจ้าทุกคนก็เต็มใจที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง—พวกเจ้ามีประสบการณ์แบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า?  ความสุขทางเนื้อหนังที่ผู้คนได้จากวัตถุประเภทต่างๆ สามารถนำความชูใจทางฝ่ายวิญญาณมาให้พวกเขาหรือไม่?  ความรู้สึกว่าตนมีชีวิตที่เหนือกว่าและชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุนำอะไรมาให้ผู้คนบ้าง?  ชีวิตเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ผู้คนต่ำทรามและหลงทางได้เท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนย่อมจะสูญเสียสำนึกกันโดยง่าย กลายเป็นคนที่ไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว กลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล และจะค่อยๆ สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนไป พวกเขาจะใฝ่หาความสุขสบายมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ฐานะของตนในจักรวาลมากขึ้นเรื่อยๆ  และย่อมจะมีบางคนที่ถึงกับสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเอง  พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอย่างเป็นเอกเทศได้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถหาเลี้ยงชีวิตตนเองได้ และกลายเป็นคนที่พึ่งพาพ่อแม่  พวกเขาจะไม่รู้จักพอและไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ  สรุปได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ที่เหนือกว่าและชีวิตที่มั่งคั่งไปด้วยวัตถุพาแต่ความต่ำทรามมาให้ผู้คนเท่านั้น ทำให้พวกเขารักความเกียจคร้านและดูถูกการทำงาน ทำให้พวกเขากลายเป็นคนโลภที่ไม่รู้จักพอ และทำให้พวกเขาไร้สำนึกของความละอาย  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ทำประโยชน์ให้ใคร  ในส่วนของเนื้อหนังนั้น ยิ่งเจ้าเอนเข้าหามันมากเท่าใด เนื้อหนังก็จะยิ่งละโมบมากขึ้นเท่านั้น  การสู้ทนความทุกข์เล็กน้อยจึงเป็นเรื่องที่สมควร  ผู้คนที่สู้ทนความทุกข์บ้างย่อมจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและลงมือทำงานที่เหมาะสม  ถ้าเนื้อหนังไม่สู้ทนความทุกข์ ใฝ่หาแต่ความสบาย และเติบโตอยู่ในรังนอนที่สุขสบาย เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สัมฤทธิ์สิ่งใด และเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถได้มาซึ่งความจริง  หากผู้คนเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติและความวิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ พวกเขาย่อมจะสิ้นสำนึกและกลายเป็นคนไร้เหตุผล  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็มีแต่จะต่ำทรามลงเรื่อยๆ  มีตัวอย่างแบบนี้อยู่มากมิใช่หรือ?  เจ้าจะเห็นได้ว่าในบรรดาผู้ไม่เชื่อ มีนักร้องและดาราภาพยนตร์มากมายที่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะสู้ทนความยากลำบากและทุ่มเทให้กับงานของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดัง  แต่เมื่อนักร้องและดาราเหล่านั้นมีชื่อเสียงและเริ่มทำเงินได้มหาศาล พวกเขากลับไม่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  บางคนเสพยา บางคนฆ่าตัวตาย และชีวิตของพวกเขาก็ถูกบั่นให้สั้นลง  นี่เกิดจากอะไร?  พวกเขามีความสุขสำราญทางวัตถุมากเกินไป พวกเขาสุขสบายเกินไป และไม่รู้ว่าจะทำให้ตนเองได้รับความสุขสำราญหรือความตื่นเต้นมากขึ้นได้อย่างไร  บางคนจึงหันไปหายาเสพติดเพื่อค้นหาความตื่นเต้นและความหรรษามากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่สามารถเลิกมันได้  บางคนเสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด ส่วนคนอื่นเมื่อไม่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองเป็นอิสระจากยาเสพติดได้อย่างไร ก็ฆ่าตัวตายในที่สุด  มีตัวอย่างแบบนี้อยู่มากนัก  ไม่ว่าเจ้าจะกินดีขนาดไหน แต่งตัวดีขนาดไหน ใช้ชีวิตดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะสนุกสนานเพียงใด หรือชีวิตของเจ้าจะสุขสบายขนาดไหน และไม่ว่าความปรารถนาของเจ้าจะได้รับการตอบสนองครบถ้วนอย่างไร ในท้ายที่สุดมันก็คือความว่างเปล่าที่ทบลงไปบนความว่างเปล่า และผลที่ได้ย่อมเป็นการทำลายล้าง  ความสุขที่ผู้ที่ไม่เชื่อแสวงหานั้นเป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่?  อันที่จริงนั่นไม่ใช่ความสุข  นั่นเป็นการจินตนาการของมนุษย์ เป็นความต่ำทรามรูปแบบหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นคนต่ำทราม  สิ่งที่เรียกกันว่าความสุขที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้านั้นเทียมเท็จ  แท้จริงแล้วนั่นคือความทุกข์  ความสุขเช่นนั้นไม่ใช่เป้าหมายที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าในการดำรงชีวิต  หนทางและวิธีการบางอย่างที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้น กำลังทำให้พวกเขาแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความพึงพอใจในเนื้อหนังและความลุ่มหลงในตัณหา  ด้วยวิธีนี้ซาตานจึงทำให้ผู้คนด้านชา ล่อใจผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ทำให้พวกเขารู้สึกว่านั่นคือความสุข และนำพวกเขาให้ไล่ตามเป้าหมายนั้น  ผู้คนเชื่อว่าการได้สิ่งเหล่านั้นมาคือการได้มาซึ่งความสุข ดังนั้นผู้คนจึงทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้เพื่อมุ่งหน้าไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายนั้น  จากนั้นหลังจากที่พวกเขาบรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเขารู้สึกกลับไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความว่างเปล่าและความเจ็บปวด  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่านั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง เป็นทางไปสู่ความตาย  เหตุใดผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจึงไม่เดินบนเส้นทางสายนี้เหมือนผู้ไม่เชื่อ?  ความสุขที่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ารู้สึกอยู่นั้นเป็นอย่างไร?  ความสุขนั้นแตกต่างจากความสุขที่ผู้ไม่เชื่อไล่ตามไขว่คว้าอย่างไร?  หลังเชื่อในพระเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมไม่ไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่งมากนัก  พวกเขาไม่ไล่ตามไขว่คว้าความรุ่งเรืองบนโลก ความสำเร็จในอาชีพการงาน หรือการกลายเป็นคนดัง  แต่พวกเขากลับลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และไม่เรียกร้องคุณภาพชีวิตกันมากนัก  บางคนรู้สึกพอใจกับการมีเพียงอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวมใส่ด้วยซ้ำ  ในโลกที่มืดมนและชั่วร้ายเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาจึงยังเลือกเส้นทางแบบนี้กันได้?  เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าไม่มีความสามารถที่จะหาเงินก้อนใหญ่?  พูดไม่ได้แน่นอน  เพราะหลังจากที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะมากหรือน้อย พวกเขาก็รู้สึกลึกๆ อยู่ในหัวใจว่าการติดตามพระเจ้าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และความสุขนี้ไม่สามารถแทนที่ด้วยวัตถุใดๆ ในโลก  บางคนถึงกับเคยพยายามมาแล้ว พวกเขาก้าวผ่านความยากลำบากบนโลกมานานหลายปีและพบว่ามันเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก  แม้พวกเขาจะหาเงินได้บ้างและได้สัมผัสความสุขทางเนื้อหนัง แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี และชีวิตของพวกเขาก็ว่างเปล่าและขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขารู้สึกว่าตายเสียดีกว่าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น  ผู้คนเหล่านี้มองทะลุเรื่องเหล่านี้แล้ว  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริงว่าการติดตามพระเจ้าและการเดินตามเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตลอดจนการสละและอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้พระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ให้ความชูใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดแก่หัวใจของพวกเขาและเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา การเข้าถึงพระเจ้าและได้รับความจริงเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของผู้คนสงบสุข เบิกบาน และแน่วแน่เป็นที่สุด  พวกเขารู้สึกถึงความสุขนี้แล้ว นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่จินตนาการขึ้นมา  อาจกล่าวได้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนมีประสบการณ์กับความทุกข์ร้อนและบททดสอบมาบ้างแล้ว จึงเข้าใจความจริงและรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมาย  พวกเขายืนยันว่าการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงคือเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่มีเส้นทางอื่นใดให้เดินได้อีกแล้วในโลกนี้ และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง—และพวกเขาก็ได้ตั้งมั่นบนเส้นทางนี้แล้ว  คนแบบนี้มีความเชื่อที่แท้จริง และความทุกข์ทนตลอดหลายปีมานี้ย่อมจะไม่สูญเปล่า  ไม่ว่าคำพยานจากประสบการณ์ที่พวกเขากล่าวจะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือหากเจ้าพยายามขัดขวางไม่ให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำให้พวกเขากลับสู่ทางโลก ไม่ว่าในกรณีใดพวกเขาก็จะไม่มีวันไปทางนั้น  ต่อให้โลกมีภูเขาทองคำที่ดึงดูดใจและอาจทดลองใจพวกเขาในเวลานั้น พวกเขาก็จะคิดใคร่ครวญว่า “การได้ภูเขาทองคำหรือภูเขาเงินย่อมจะไม่ทำให้ฉันมีความสุขเท่ากับการสละตนเองเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง  ถ้าฉันได้โชคลาภเป็นทองคำและเงิน ฉันย่อมจะมีความสุขมากในขณะนั้น แต่ก็จะทุกข์ทรมานและเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ ดังนั้นฉันจะเดินทางนั้นไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  การหาพระเจ้าพบไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าฉันย้อนกลับไปอีก ฉันจะไปหาพระเจ้าพบที่ไหน?  โอกาสที่จะติดตามพระเจ้านั้นหายากมาก!  มีเวลาไม่มากนัก และเวลาเองก็ผ่านไปเร็ว—นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ!”  พวกเขามองเห็นการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว และการยึดมั่นในพระเจ้าก็เหมือนกับการคว้าเครื่องช่วยชีวิตเอาไว้  จงบอกเราเถิดว่าคนที่กำลังจมน้ำรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาคว้าเครื่องชูชีพได้?  (พวกเขารู้สึกเหมือนมีความหวังที่จะอยู่รอด ดังนั้นพวกเขาจึงกอดมันไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยมือ)  พวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ  เมื่อพวกเขากำลังคว้าเครื่องชูชีพ พวกเขาจะคิดอย่างไร?  “ฉันไม่ต้องตายแล้ว ในที่สุดก็มีหวังที่จะรอดตายแล้ว!  เมื่อความตายเข้ามาใกล้ ตราบใดที่ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่สักนิด ต่อให้ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี ฉันก็จะปล่อยมือไม่ได้  ไม่ว่าจะยากลำบากหรือเจ็บปวดขนาดไหน ฉันก็จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้  ต่อให้เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ฉันก็จำเป็นต้องยึดห่วงชูชีพนี้ไว้”  เมื่อบางคนรู้สึกว่าตนมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขาย่อมรู้สึกมีความสุขไม่ใช่หรือ?  ทีนี้เมื่อพวกเจ้าคิดเงียบๆ ไตร่ตรอง อธิษฐาน หรืออุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้รับไปมากเพียงใดจากการติดตามพระเจ้า ความรู้สึกเป็นสุขนี้ย่อมเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าไม่ใช่หรือ?  จงบอกความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเจ้ามาเถิด  (ถ้าพวกเราไม่ติดตามพระคริสต์ ก็คงตกอยู่ในความวิบัติไปแล้ว และผลที่ตามมาย่อมจะไม่สามารถจินตนาการได้  ตอนนี้ ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนเองให้ลุล่วง พวกเราจึงมาเข้าใจความจริงหลายประการ มีความเชื่อที่แท้จริง และสามารถยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนเองได้อีกด้วย พวกเราจึงได้เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า  พวกเราได้รับมามากเหลือเกินและสำนึกรู้คุณในการนำทางของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง)  ถูกต้องแล้ว  พวกเจ้าได้รับไปมากมายนักจากการติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงนำมาให้มนุษย์  พวกเจ้าควรสำนึกขอบคุณพระเจ้าให้ถูกต้องเหมาะสมและสรรเสริญพระองค์

เมื่อผู้คนที่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเกิดปัญหาต่างๆ พวกเขาสามารถแสวงหาความจริง และหลังจากผ่านประสบการณ์บางอย่างแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถได้รับความจริงบางอย่าง  ความสุขที่ความจริงเหล่านี้นำมาให้นั้นเพียงพอที่จะแทนที่ความสำราญที่เกิดจากวัตถุและความสบาย  ในส่วนของสิ่งเหล่านั้น ยิ่งเจ้าได้สิ่งเหล่านั้นมา เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกพอใจน้อยลง และจะยิ่งแยกแยะดีชั่วได้น้อยลง  แต่ยิ่งผู้คนเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้และยิ่งพวกเขาได้รับความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งรู้ว่าควรขอบคุณพระเจ้าและสำนึกในพระคุณ หัวใจของพวกเขายิ่งปรารถนาที่จะรักพระเจ้า และพวกเขาก็ยิ่งเชื่อฟังพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้าได้  นี่คือความสุขที่แท้จริง  การไล่ตามไขว่คว้าความสุขทางวัตถุนำอะไรมาให้ผู้คน?  ความว่างเปล่าและความต่ำทราม ซึ่งมีแต่จะทำให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและปรารถนาวัตถุสิ่งของต่างๆ มากขึ้น เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะโยนสถานะ ชื่อเสียง และความมั่งคั่งร่ำรวยที่มาทดลองใจทิ้งไป  ดังนั้น ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจะละทิ้งความสุขทางวัตถุเหล่านี้ได้อย่างไร?  ด้วยการอธิษฐานทุกวันและใช้ความยับยั้งชั่งใจใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่ ทำได้ด้วยการรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้)  คนเราจะรู้ทันสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  (ด้านหนึ่งด้วยการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า อีกด้านหนึ่งก็ด้วยประสบการณ์และการตระหนักรู้ของตนเอง และค่อยๆ เกิดความเข้าใจในความจริงบางอย่างจนคนเรารู้ทันสิ่งเหล่านี้ได้)  เจ้าเข้าใจความจริงจึงสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้ายอมรับความจริงแล้ว  ในส่วนลึกแล้วเจ้ายอมรับพระวจนะของพระเจ้า—สิ่งที่พระองค์ตรัสกับมนุษย์และสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากมนุษย์—และนั่นก็กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าไปแล้ว  ความเป็นจริงนี้ใช่ชีวิตของเจ้าหรือไม่?  ความเป็นจริงนี้ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว  ในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าได้รับความจริงมาเป็นชีวิตของเจ้าแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว  เป็นไปได้ว่าเจ้ายังไม่มีความรู้สึกใดๆ ในเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองดูมีวุฒิภาวะน้อยมากและมีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ—แต่เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าชีวิตของพระเจ้าได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในตัวเจ้าแล้ว  การเติบโตในชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารู้สึกในทางใดทางหนึ่ง  ต่อให้เจ้าไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนได้ ในความเป็นจริงเจ้าย่อมมีความก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เพราะฉะนั้น พร้อมไปกับการยอมรับความจริงชีวิตของพระเจ้า หัวใจของเจ้าได้เข้าใกล้พระเจ้าแล้วโดยไม่รู้ตัว และตลอดเวลาดังกล่าว พระเจ้าก็ทรงตรวจสอบเจ้าและพินิจหัวใจของเจ้า  คราวนี้จงคิดให้ดี—นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ออกจะมีความสุขหรอกหรือ?  นี่มีความสุขอย่างยิ่ง!  พวกเจ้าโชคดีมากที่มีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย มีสิทธิพิเศษที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง  พระวจนะของพระเจ้าถูกหลอมรวมอยู่ในตัวพวกเจ้าโดยตรงซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้ความจริงมาเป็นชีวิตของตน  เมื่อมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตจริง และมีความจริงเป็นชีวิตจริง การดำรงอยู่ของมนุษย์ย่อมมีคุณค่าโดยแท้มิใช่หรือ?  การดำรงอยู่ของมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่สูงส่งโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ?  การมีชีวิตอยู่ค่อยๆ เริ่มมีศักดิ์ศรีมากขึ้นใช่หรือไม่?  ถึงตอนนี้เท่านั้นที่ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับไปมากมายจากการเชื่อในพระเจ้า  การเข้าใจความจริงบางอย่างสามารถนำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาสู่ผู้คนได้ ก่อนหน้านี้พวกเขามองเรื่องนี้ไม่ออก แต่ตอนนี้พวกเขามองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน  กลับกลายเป็นว่าความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตภายในตัวพวกเขาไปแล้ว  ความจริงได้หยั่งรากลงไปในหัวใจและผลิดอกออกผล—นั่นคือชีวิต เป็นดอกผลที่เกิดจากการเข้าใจความจริงและไม่มีอะไรสามารถแทนที่ได้  ในภายหลังเมื่อพวกเจ้ามีประสบการณ์กับการบ่มวินัย การสั่งสอน การพิพากษา และการตีสอนบางอย่าง สามารถยอมรับและเชื่อฟังทั้งหมดนั้นได้ เมื่อนั้นหลังจากเข้าใจความจริงไปหลายประการแล้ว เจ้าย่อมจะรู้จักพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และชีวิตของเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  นั่นไม่ใช่การเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรอกหรือ?  พวกเจ้าตั้งตารอวันนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องพากเพียรเพื่อความจริง

บทตัดตอน 94

มีบางคนที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้าซึ่งมักคิดลบและอ่อนแอ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงพวกเขาด้อยวุฒิภาวะเกินไป และพวกเขาขาดพร่องความเข้าใจในความจริงทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตนเองมีขีดความสามารถต่ำ ไม่สามารถตามให้ทัน มีความลำบากยากเย็นมากมาย—ซึ่งก่อให้เกิดความคิดลบ และถึงกับทำให้พวกเขายอมแพ้ กล่าวคือ พวกเขาตัดสินใจล้มเลิก ตัดสินใจหยุดไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาขับตนเองออกไป  สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ “ไม่ว่าในกรณีใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงยกย่องฉันสำหรับการที่ฉันเชื่อในพระองค์  ทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงโปรดฉัน  และฉันก็ไม่มีเวลามากนักที่จะไปร่วมการชุมนุม  ชีวิตครอบครัวของฉันลำบากยากเย็นและฉันจำเป็นต้องหาเงิน” เป็นต้น  ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเหตุผลทั้งหลายที่พวกเขาไม่สามารถไปร่วมการชุมนุมได้  หากเจ้าไม่รีบหาให้พบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะเหมารวมว่าพวกเขาไม่รักความจริง และไม่ใช่ใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือไม่เจ้าก็จะเหมารวมว่าพวกเขาละโมบในความสุขสบายทางเนื้อหนัง ไล่ตามไขว่คว้าโลก และไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ทางโลกได้—และด้วยเหตุนี้ เจ้าก็จะทอดทิ้งพวกเขา  นี่ตรงตามหลักธรรมกระนั้นหรือ?  เหตุผลเหล่านี้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ?  ในข้อเท็จจริงนั้น ที่พวกเขากลายเป็นคิดลบก็เป็นเพราะความลำบากยากเย็นและความพัวพันของพวกเขา หากเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะไม่คิดลบมากเช่นนั้น และจะสามารถติดตามพระเจ้าได้  เมื่อพวกเขาอ่อนแอและคิดลบ พวกเขาก็จำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากผู้คน  หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถกลับลุกขึ้นยืนได้  แต่หากเจ้าเพิกเฉยต่อพวกเขา พวกเขาย่อมจะยอมแพ้เนื่องจากความคิดลบอย่างง่ายดาย  การนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนที่ทำงานของคริสตจักรมีความรักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแบกรับภาระนี้หรือไม่  การที่ผู้คนบางคนมาร่วมชุมนุมไม่บ่อยนัก มิใช่หมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่เทียบไม่ได้กับการไม่ชอบความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาละโมบในความยินดีทั้งหลายของเนื้อหนัง และไม่สามารถละวางครอบครัวและงานของพวกเขาได้—นับประสาอะไรที่พวกเขาควรถูกตัดสินว่าเจ้าอารมณ์หรือลุ่มหลงในเงินทองมากเกินไป  เพียงแต่ว่าในเรื่องเหล่านี้ วุฒิภาวะและความทะเยอทะยานของผู้คนนั้นแตกต่างกัน  ผู้คนบางคนรักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ พวกเขาเต็มใจที่จะทนทุกข์ ละทิ้งสิ่งเหล่านี้  ผู้คนบางคนมีความเชื่อเล็กน้อย และเมื่อเผชิญหน้าความลำบากยากเย็นจริง พวกเขาก็ไร้พลังและไม่สามารถเอาชนะได้  หากไม่มีผู้ใดช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนพวกเขา พวกเขาก็จะโยนผ้ายอมแพ้ และถอดใจไม่ไปต่อ ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุน การดูแลห่วงใย และการให้ความช่วยเหลือจากผู้คน  เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ และปราศจากความรักสำหรับความจริง และเป็นคนไม่ดี—ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาก็สามารถถูกเพิกเฉยได้  หากพวกเขาคือใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ได้เข้าชุมนุมบ่อยครั้งเนื่องจากมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริงบางอย่าง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก  หากพวกเขาเป็นคนดีและสามารถเข้าใจ อีกทั้งมีขีดความสามารถที่ดี เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยิ่งสมควรได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุน

บทตัดตอน 95

เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง การทำงานหนักอย่างเดียวไม่พอ เจ้าต้องทุ่มเทจิตใจลงไปด้วย วิธีเดียวที่นับได้ว่าเจ้าพยายามอย่างเต็มกำลังคือเมื่อลงมือทำด้วยหัวใจทั้งหมด หากเจ้าไม่ใส่ใจลงไป เจ้าก็ไม่ได้พยายามอย่างเต็มกำลัง หากเจ้าแค่ลงแรงทั้งหมดที่มีแต่ไม่ได้ให้ใจทั้งหมด เช่นนั่นเจ้าก็เพียงแค่ทำงานหนักโดยไม่ได้ทุ่มเทจิตใจลงไป  พระเจ้าไม่ทรงยอมรับวิธีการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ เจ้าควรทำอย่างเต็มที่เพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยแรงใจ แรงกาย และสติปัญญาทั้งหมดที่มีตลอดเวลา  หากเจ้าลงแรงแค่เพียงครึ่ง และเก็บแรงอีกครึ่งไว้ด้วยความคิดว่า “ฉันไม่อยากเหน็ดเหนื่อย ใครจะจัดหาให้ฉันเมื่อฉันเหนื่อยล้าหมดแรง” ท่าทีเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่) หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยแนวคิดเช่นนี้ เจ้าจะประสบความสูญเสียหรือไม่ (ใช่) การสูญเสียแบบใดเล่า (พระเจ้าจะทรงเกลียดชังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปทีละน้อย) การไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการสูญเสีย หากผู้คนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความสูญเสียของพวกเขานั้นจะใหญ่หลวงมากจนทำให้พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย ราวกับว่าพวกเขามีความเชื่อมาโดยสูญเปล่า มีหลายคนที่ไม่ได้เสาะหาความจริง และถูกขับออกไปภายในไม่กี่ปีหลังจากการเชื่อ นั่นก็คือไม่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามมากเพียงใดเมื่อปฏิบัติหน้าที่ หากเจ้าไม่ใส่ใจกับมัน เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริง สิ่งนี้คือการสูญเสียหรือไม่ พวกเจ้าตระหนักหรือไม่ว่านี่คือการสูญเสีย หากเจ้าเป็นคนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะเห็นว่าความสูญเสียนี้ช่างใหญ่หลวงเหลือเกิน ในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้ามานานห้าปีหรือสิบปี บางคนก็ได้รับความเป็นจริงความจริง ในขณะที่คนอื่นยังคงพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน ข้อนี้มีความแตกต่างสำคัญหรือไม่ (มี) ผู้ที่เข้าถึงความเป็นจริงความจริงสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างไร นั่นก็เพราะประสบการณ์และการปฏิบัติ สิ่งนี้พระเจ้าเป็นผู้ทรงประทานให้พวกเขาหรือไม่ (ใช่) แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ไม่เข้าถึงความเป็นจริงความจริง และยังคงพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ยังคงไม่ได้รับความจริง เนื่องจากพวกเขาไม่เสาะหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยแรงกายอย่างเดียวแต่ไม่ใช้หัวใจ การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ได้รับความจริงถือเป็นพรหรือคำสาป (เป็นคำสาป) ทำไมจึงเป็นคำสาป เจ้ามองออกหรือไม่ การที่เจ้าเข้าไม่ถึงความจริงถือเป็นปัญหาใหญ่หรือปัญหาเล็ก (ปัญหาใหญ่) ปัญหาใหญ่นี้เกี่ยวข้องกับอะไร เกี่ยวข้องกับความรอดหรือไม่ (ใช่)  การที่พวกเจ้าพร่ำประกาศคำพูดและคำสอนตลอดทั้งวันมีความหมายว่าอย่างไร นี่ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อการได้รับการช่วยให้รอด และเป็นเรื่องยากที่จะสัมฤทธิ์ผล บางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นสิบปีแต่ยังคงประกาศคำพูดและคำสอน  คนอื่นๆ ก็เชื่อมายี่สิบปีแต่ยังคงไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง และยังไม่รู้ว่าความเป็นจริงความจริงหมายถึงอะไร  คนเหล่านี้ตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?  การที่พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้นไม่ชัดเจนหรือ? (ใช่)  บอกเราหน่อยว่าในบรรดาผู้ที่เชื่อมาเป็นจำนวนปีเท่ากัน คนประเภทใดมีโอกาสใหญ่กว่าและความหวังมากกว่าที่จะได้รับความรอด?  คือคนที่ประกาศคำพูดและคำสอนหรือผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง? (ผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง)  เรื่องนี้ชัดเจน  เช่นนั้นพวกเจ้าอยากเป็นคนแบบใดเล่า? (คนที่มีความเป็นจริงความจริง)  คนเราจะเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงได้อย่างไร? (ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ) (ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยแรงใจ แรงกาย และสติปัญญาทั้งหมดที่มีตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และไม่ลดละความอุตสาหะที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย)  ถูกต้องแล้ว  หากเจ้าทำอะไรก็ตามที่พระเจ้าทรงรับสั่งให้เจ้าทำ เจ้าก็จะได้รับความจริง  เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไร?  เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับจุดจบและบั้นปลายของคนเรา  บางคนโง่เขลาและหยิ่งผยอง และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนได้สูญเสียไปมากแค่ไหน หรือพวกเขาประสบความเสียหายอะไรบ้าง  พวกเขาเอาแต่นั่งพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน และยังคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในจุดเสี่ยงอันตราย!  จุดจบของผู้ที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเป็นอย่างไร?  ลำดับแรก พวกเขาจะถูกพระเจ้าขับออก และมองดูการณ์ข้างหน้า จุดจบของพวกเขาเป็นอย่างไร? (ความพินาศและการทำลายล้าง)  นี่คือจุดจบของพวกเขา คือบั้นปลายของพวกเขา  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าและลงเอยเช่นนี้ นี่คือเจตนาเดิมของพวกเขาในการเชื่อในพระองค์หรือไม่ (ไม่)  ไม่มีใครต้องการลงเอยเช่นนี้  หากเจ้าไม่ต้องการจุดจบเช่นนี้ ก็จงอย่าดำเนินตามเส้นทางนั้น  เจ้าควรเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอด

หากผู้คนไม่สามารถได้รับพระราชกิจในยุคสุดท้าย พวกเขาจะจบสิ้นไปโดยสมบูรณ์และจะไม่ได้รับโอกาสอีก  นี่ไม่เหมือนพระราชกิจในยุคพระคุณ ที่หากผู้คนที่ไม่ได้รับพระราชกิจ ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดในประเทศใด ก็ยังสามารถรอคอยโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระเจ้าในยุดสุดท้าย  จุดจบของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเท่ากับจุดจบของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ แล้วจุดจบนั้นหมายถึงอะไร?  หมายถึงว่าพระเจ้าจะทรงกำหนดจุดจบของแต่ละคน และจุดจบของทุกสรรพสิ่งและของมนุษยชาติใกล้จะมาถึง พระราชกิจของพระเจ้าได้ดำเนินมาถึงระยะนี้แล้ว และหากผู้คนไม่ได้มีนิมิตนี้ในหัวใจของพวกเขา หากพวกเขาสับสนอยู่เสมอ และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่ใส่ใจหรือแบบขอไปที หากพวกเขาไม่อาจจริงจังกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเชื่อ พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นพวกเขาก็จะพลาดโอกาสสุดท้ายของตนในการได้รับความรอด วันหนึ่งเมื่อมหาวิบัติทั้งหลายมาถึง และพระราชกิจก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจในการให้น้ำและมอบความจริงให้แก่ผู้คนอีกต่อไป  พระเจ้าจะสบพระพักตร์กับมนุษยชาติด้วยพระอุปนิสัยแบบใดในเวลานั้น เจ้ารู้หรือไม่?  พระพิโรธของพระองค์จะยิ่งใหญ่และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยแก่มวลมนุษย์ทุกคนในแบบที่ไม่เคยทรงทำมาก่อน  นี่จะเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงครั้งสุดท้ายสำหรับมวลมนุษย์  ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอด พระองค์ทรงอดทนอดกลั้นและรอคอย รอคอยอะไรหรือ?  รอคอยคนที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้แล้ว ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ให้ผู้ที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอดมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์  ให้คนเหล่านั้นยอมรับการพิพากษา และการตีสอนของพระองค์ และยอมรับความรอดจากพระองค์  เมื่อผู้คนเหล่านี้ได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้ว พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็จะเสร็จสิ้น และพระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอีกต่อไป  นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของโนอาห์ อีกทั้งไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างของเมืองโสโดม หรือช่วงเวลาแห่งการสร้างโลก แต่คือช่วงเวลาแห่งจุดจบของโลก  บางคนยังคงฝันอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้ามาถึงระยะใดแล้ว  แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่รีบเร่ง พวกเขายังคงสับสนและไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ  เมื่อพระราชกิจระยะนี้สิ้นสุดลง จุดจบของแต่ละคนจะเป็นไปตามนั้น และจะไม่เปลี่ยนแปลง  มนุษย์โง่เขลาและยังคิดว่า “ไม่เป็นไร พระเจ้าจะทรงให้โอกาสพวกเราอีก!” มีการให้โอกาสในช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว  เมื่อยุคนี้จบลงจะมีโอกาสอีกครั้งได้อย่างไร?  นั่นเป็นเพียงความฝันไม่ใช่หรือ?

ก่อนหน้า: พระวจนะว่าด้วยการรับใช้พระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger