พระวจนะว่าด้วยเรื่องอื่นๆ
บทตัดตอน 79
หลังจากขับร้องบทเพลงสรรเสริญ “องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง” พวกเจ้ามีความประทับใจอะไรบ้าง? พวกเจ้ามีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งบ้างหรือไม่? ทุกคนที่ดำรงชีวิตมาได้ก้าวผ่านความยากลำบากมามากมาย แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ และไม่มีใครใคร่ครวญอย่างครบถ้วนว่ารากเหง้าของความยากลำบากเหล่านี้คืออะไร การนี้คุ้มค่าหรือไม่ หรือถูกต้องสำหรับผู้คนหรือไม่ที่จะดำรงชีวิตแบบนี้ ตอนที่ผู้คนอายุน้อย พวกเขาต้องการมีเสื้อผ้าที่ดีไว้สวมใส่และมีของดีๆ ให้กิน และพวกเขารู้สึกว่านี่คือหนทางที่จะมีความสุข เมื่อผู้คนเติบโตขึ้น พวกเขาเริ่มใคร่ครวญว่า พวกเขาจำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนให้หนักอย่างไร เพื่อที่จะโดดเด่นออกจากฝูงชนและสำราญกับชีวิตที่ดี เมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาเริ่มต้องการที่จะหาเงินให้มาก สัมฤทธิ์เรื่องชื่อเสียงและผลตอบแทน รวมทั้งบรรลุอำนาจและอิทธิพล พวกเขาต้องการอยู่เหนือกว่าคนอื่น พวกเขาวางแผนที่จะครองตำแหน่งงานราชการ รวมทั้งได้รับความนับถือและความเลื่อมใสจากผู้คน เมื่อพวกเขามีลูกหลาน พวกเขาก็หวังให้เชื้อสายของตนเจริญเติบโตต่อไปจวบหลายชั่วคน รวมทั้งมีความก้าวหน้าและรุ่งเรืองสืบไป อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังของทุกย่างก้าวเหล่านี้ที่ผู้คนเดิน? เหตุใดผู้คนจึงคิดแบบนี้? เหตุใดพวกเขาจึงดำรงชีวิตแบบนี้กันหมด? ผู้คนกำลังดำรงชีวิตอยู่อย่างปราศจากเส้นทาง เหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่มีเส้นทาง? นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหนหรือกำลังไปแห่งหนใด และพวกเขาไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใดในชีวิตนี้ ควรดำเนินชีวิตอย่างไร หรือควรเดินบนเส้นทางชีวิตของตนอย่างไร ผู้คนไม่รู้สิ่งเหล่านี้ แล้วเหตุใด ผู้คนจึงยังคงสามารถไล่ตามชื่อเสียง ผลตอบแทน และชีวิตที่เป็นสุขอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจนวันตายโดยไม่หันมองย้อนหลัง? นั่นเป็นเพราะผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และพวกเขาได้สร้างกรอบความคิดและทรรศนะที่ผิดพลาดต่อชีวิตขึ้นมา พวกเขามองเห็นหนทางของการดำเนินชีวิตนี้เป็นบางสิ่งที่ถูกต้อง และพวกเขามองว่าการไล่ตามชื่อเสียงและผลตอบแทนนั้นถูกต้องและถูกควร พวกเขาคิดว่าการได้รับชื่อเสียงและผลตอบแทนคือความสุข และพวกเขาก็ดำรงชีวิตอยู่ตามความเชื่อเหล่านี้ นี่คือวิธีที่ผู้คนแข่งกันล่องไปตามเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่เคยพบกับความสุขเลยแม้กระทั่งวันตาย ทุกคนดำรงชีวิตเช่นนี้ ไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินในโลกนี้ ทุกคนต้องการหาเงินและสำราญกับชีวิตที่ดี ชีวิตยากลำบากเมื่อไม่มีเงิน และมีหลายสิ่งที่เจ้าทำได้ด้วยเงิน ดังนั้นทุกคนจึงต้องการหาให้ได้มากขึ้น เมื่อชีวิตเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็ต้องการยึดครองความมั่งคั่งของตน และให้ลูกหลานสืบทอดทรัพย์มรดกของพวกเขา และไม่มีใครเข้าใจว่าการดำรงชีวิตเช่นนั้นว่างเปล่า ทุกคนไปจากโลกนี้ด้วยความเสียดาย คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ และความรู้สึกที่ไม่เต็มใจ ผู้คนก้าวผ่านชีวิตนี้ในความยากจนและความมั่งคั่ง และมีชีวิตที่สั้นและยืนยาว บ้างก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ในขณะที่คนอื่นก็เป็นข้าราชการระดับสูงและเป็นพวกผู้ดีชั้นสูง มีผู้คนจากทุกระดับของสังคม แต่โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาล้วนดำเนินชีวิตในหนทางเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาแก่งแย่งเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทนไปตามความอยากได้อยากมี ความมักใหญ่ใฝ่สูง และอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และหากพวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ พวกเขาก็จะตายตาไม่หลับ เมื่อมองเห็นรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ผู้คนอาจพิจารณาว่า “ทำไมผู้คนถึงดำรงชีวิตอยู่แบบนี้? ไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินแล้วหรือ? ผู้คนดำรงชีวิตอยู่เพียงเพื่อกินและดื่มอย่างดีตลอดจนวันตายหรือ? แล้วจากนั้นพวกเขาไปไหน? เหตุใดผู้คนหลายรุ่นเหลือเกินล้วนดำรงชีวิตอยู่ในหนทางเดียวกันนี้? อะไรคือรากเหง้าของทั้งหมดนี้?” มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหน ภารกิจของพวกเขาในชีวิตคืออะไร หรือใครคือผู้มีอำนาจดูแลและใครถือครองอธิปไตยเหนือทั้งหมดนี้ ชนรุ่นต่างๆ มาแล้วก็ไปรุ่นต่อรุ่น และแต่ละรุ่นก็ดำรงชีวิตแล้วก็ตายในหนทางเดียวกัน พวกเขาล้วนมาและไปในหนทางเดียวกัน และไม่มีใครพบวิถีทางหรือเส้นทางเที่ยงแท้ในการดำรงชีวิตเลย ไม่มีใครแสวงหาความจริงในการนี้ จากบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ผู้คนล้วนดำรงชีวิตในหนทางเดียวกัน พวกเขาล้วนกำลังค้นหาและรอคอย ปรารถนาที่จะมองเห็นว่ามนุษยชาติจะเป็นแบบไหนโดยไม่มีใครรู้หรือมีโอกาสได้เห็นการนี้ เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว ผู้คนก็แค่ไม่รู้ว่าใครคือองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองและถือครองอธิปไตยเหนือทั้งหมดนี้ หรือไม่รู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่รู้คำตอบของการนี้ และทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือดำรงชีวิตต่อไปอย่างอับจนหนทาง โหยหาปีแล้วปีเล่า และสู้ทนวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งทุกวันนี้ หากผู้คนได้รู้ว่าเหตุใดทั้งหมดจึงเป็นเช่นนี้ นี่จะให้เส้นทางแก่พวกเขาได้เดินตามว่าควรดำรงชีวิตอย่างไรหรือไม่? เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถหนีพ้นจากความทุกข์นี้ และไม่ต้องดำเนินชีวิตตามความปรารถนาและความหวังแบบมนุษย์อีกต่อไปหรือไม่? เมื่อผู้คนเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิตอยู่ เหตุใดพวกเขาจึงตาย และใครคือผู้มีอำนาจดูแลโลกใบนี้ เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใจคำตอบว่าองค์หนึ่งเดียวผู้ถือครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งก็คือพระผู้สร้าง เช่นนั้น พวกเขาก็จะมีเส้นทางให้เดินตาม พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาควรแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหาหนทางที่จะไปข้างหน้า และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ในความทุกข์ระทมเช่นนั้นโดยการพึ่งพาความปรารถนาและความหวัง หากผู้คนค้นพบคำตอบถึงเหตุผลที่พวกเขามีชีวิตอยู่และตาย นั่นจะไม่เป็นทางออกของความทุกข์ระทมและความลำบากยากเย็นแบบมนุษย์ทั้งหมดหรอกหรือ? นี่จะไม่เสนอการช่วยให้รอดพ้นแก่ผู้คนหรอกหรือ? ผู้คนจะได้พบการช่วยให้รอดพ้นอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระอย่างบริบูรณ์
พวกเจ้าควรไตร่ตรองอะไรในหัวใจหลังจากที่ได้ยินเพลง “องค์หนึ่งเดียวผู้ถือครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง?” หากมวลมนุษย์รู้ว่า เหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิตอยู่และเหตุใดพวกเขาจึงตาย และในข้อเท็จจริงแล้ว ใครคือองค์อธิปัตย์แห่งพิภพนี้และทุกสรรพสิ่ง และเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองทุกสิ่ง และพระองค์สถิตอยู่แห่งหนใดกันแน่ และพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใดจากมนุษย์—หากมวลมนุษย์สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะรู้วิธีที่จะปฏิบัติต่อพระผู้สร้าง และวิธีที่จะนมัสการและนบนอบต่อพระองค์ พวกเขาก็คงได้รับการเกื้อหนุนในหัวใจตน พวกเขาคงจะอยู่ในสันติสุขและมีความสุข และพวกเขาก็คงไม่ดำรงชีวิตอยู่ในความทรมานและความเจ็บปวดเช่นนั้นอีกต่อไป ในการวิเคราะห์สุดท้าย ผู้คนต้องเข้าใจความจริง เส้นทางที่พวกเขาเลือกเพื่อชีวิตของตนนั้นสำคัญยิ่งยวด และวิธีที่พวกเขาดำรงชีวิตนั้นก็สำคัญเช่นกัน วิธีที่คนเราดำรงชีวิตและเส้นทางที่คนเราเดินตัดสินว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความชื่นบานหรือเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ เมื่อผู้คนได้ยินบทเพลงสรรเสริญนี้ พวกเขาอาจมีความรู้สึกลึกซึ้งในหัวใจตนว่า “ชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงติดตามแบบแผนจำพวกนี้ คนโบราณก็ไม่มีข้อยกเว้น และผู้คนสมัยใหม่ก็เป็นเหมือนกันกับเมื่อสมัยเก่า ผู้คนสมัยใหม่ไม่ได้เปลี่ยนหนทางเหล่านี้ ดังนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์มีองค์อธิปัตย์ พระเจ้าผู้เป็นตำนานซึ่งมีอำนาจดูแลทุกสิ่งอยู่หรือไม่? หากมวลมนุษย์สามารถพบเจอพระเจ้า องค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งมีอำนาจดูแลทุกสิ่ง มวลมนุษย์จะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสุขเชียวหรือ? กุญแจสำคัญตอนนี้คือการหารากเหง้าของมวลมนุษย์ รากเหง้านี้อยู่ที่ไหน? ครั้นเจอรากเหง้านี้ มนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรอีกประเภทหนึ่ง หากมวลมนุษย์ไม่สามารถหารากเหง้านี้พบและยังคงดำเนินชีวิตในแบบเดิมอย่างที่เคยทำต่อไป พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์ความสุขได้หรือ?” หากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้า ต่อให้พวกเขารู้ว่ามวลมนุษย์เสื่อมทรามดิ่งลึก แล้วพวกเขาจะทำอะไรต่อไปหรือ? พวกเขาสามารถแก้ปัญหาที่เป็นอยู่จริงของความเสื่อมทรามได้หรือ? พวกเขามีเส้นทางสู่ความรอดหรือไม่? แม้เจ้าอาจปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ เจ้าทำได้หรือ? เจ้าไม่มีเส้นทางที่จะเริ่มทำเช่นนั้นเลย! ตัวอย่างเช่น คนบางคนมีชีวิตอยู่เพื่อลูกหลานของตัวเอง เจ้าอาจพูดว่าไม่ปรารถนาที่จะทำดังนั้น แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือ? คนบางคนมีธุระยุ่งและสาละวนเร่งร้อนเพื่อความมั่งคั่ง และเพื่อชื่อเสียงกับผลตอบแทน เจ้าอาจพูดว่าเจ้าไม่ปรารถนาจะสาละวนเร่งร้อนเพื่อสิ่งเหล่านี้ แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้จริงหรือ? เจ้าได้ออกเดินทางไปบนเส้นทางนี้เรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้ตัว และแม้ว่าเจ้าอยากเปลี่ยนไปสู่หนทางการดำรงชีวิตที่ต่างไป เจ้าก็ไม่สามารถทำได้ เจ้าดำรงชีวิตในโลกนี้อย่างไรนั้นไม่ได้อยู่ในมือของเจ้า! อะไรคือรากเหง้าของการนี้? นั่นก็คือการที่ผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และไม่ได้รับความจริง สิ่งใดหรือที่ค้ำชูจิตวิญญาณของมนุษย์? พวกเขามองหาการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณจากที่ไหนหรือ? สำหรับการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณ ผู้คนฝากความหวังไว้ที่การกลับมารวมตัวกันของครอบครัว ความเกษมสุขแห่งการสมรส ความชื่นชมยินดีในสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลตอบแทน สถานะภาพของพวกเขา ความรู้สึกของพวกเขา และอาชีพการงานของพวกเขา และความสุขของชนรุ่นถัดไป ใครบ้างที่ไม่ฝากความหวังไว้ที่สิ่งเหล่านี้เพื่อการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณ? บรรดาคนที่มีลูกหลานหาการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณในลูกหลานของพวกเขา บรรดาคนที่ไม่มีลูกหลานหาการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณในอาชีพการงานของพวกเขา ในการสมรส ในสถานะทางสังคม และในชื่อเสียงกับผลตอบแทน เพราะฉะนั้น หนทางชีวิตที่เกิดขึ้นจากการดังกล่าวจึงล้วนแต่เหมือนเดิม อยู่ใต้อำนาจและการเป็นนายของซาตาน และทั้งที่ไม่อยากทำเช่นนั้น ผู้คนทั้งหมดก็ล้วนสาละวนเร่งร้อนและทำตัวเองให้มีธุระยุ่งเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียง ผลตอบแทน ความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ของพวกเขา อาชีพการงานของพวกเขา การสมรสของพวกเขา ครอบครัวของพวกเขา หรือเพื่อเห็นแก่ชนรุ่นถัดไป หรือเพื่อความยินดีทางกาย นี่คือเส้นทางที่ถูกหรือ? ไม่ว่าผู้คนลุกลี้ลุกลนด้วยธุระยุ่งในโลกนี้อย่างไร ไม่ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในเชิงวิชาชีพเพียงใด ไม่ว่าครอบครัวของพวกเขามีความสุขเพียงใด ไม่ว่าครอบครัวของพวกเขาใหญ่โตเพียงใด ไม่ว่าสถานะของพวกเขาเปี่ยมชื่อเสียงเกียรติยศเพียงใด—พวกเขามีความสามารถในการออกเดินทางไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์หรือ? โดยการไล่ตามชื่อเสียงและผลตอบแทน ไล่ตามโลก หรือโดยการไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของพวกเขา พวกเขามีความสามารถในการมองเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและทรงถือครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมวลมนุษย์หรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ หากผู้คนไม่ยอมรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงถือครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมวลมนุษย์ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าการไล่ตามเสาะหาหรือเส้นทางเฉพาะของพวกเขาคืออะไร เส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นย่อมผิด นั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูก แต่เป็นเส้นทางที่คดโกง เส้นทางแห่งความชั่ว ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าได้ความพึงพอใจออกมาจากการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณของเจ้า หรือว่าเจ้าไม่ได้ และไม่สำคัญว่าเจ้าพบการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณจากตรงไหน นั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถ่องแท้ และไม่ใช่เส้นทางที่ถูกสำหรับชีวิตมนุษย์ การมีเส้นทางที่ถ่องแท้คืออะไรหรือ? นั่นคือการยอมรับพระราชกิจและการทรงปรากฏของพระเจ้า รวมทั้งการยอมรับความจริงทั้งมวลที่พระเจ้าได้ทรงแสดง ความจริงนี้เป็นเส้นทางที่ถูกสำหรับชีวิตมนุษย์ รวมทั้งเป็นความจริงและชีวิตที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา การเดินบนเส้นทางที่ถูกในชีวิตก็คือการติดตามพระเจ้าและการมีความสามารถภายใต้การนำของพระวจนะของพระองค์ ในอันที่จะเข้าใจความจริง แยกความดีออกจากความชั่ว รู้ว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ และเข้าใจอธิปไตยและมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อใดที่ผู้คนเข้าใจอย่างแท้จริงในหัวใจตนว่า พระเจ้าไม่ได้เพียงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก รวมทั้งทุกสรรพสิ่ง แต่ทรงเป็นองค์อธิปัตย์เหนือจักรวาลและทุกสิ่งอีกด้วย พวกเขาก็จะสามารถเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งมวล สามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว นี่คือการเดินบนเส้นทางที่ถูกสำหรับชีวิตมนุษย์ เมื่อใดที่ผู้คนใช้เส้นทางที่ถูกในชีวิต พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงมีชีวิตและพวกเขาควรมีชีวิตอย่างไรเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง และรับพระพรและความเห็นชอบของพระเจ้า
ปัจจุบันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรหรือ? พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อเสร็จสิ้นภารกิจทั้งหลายและสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเรา และลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง) หากเจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเสร็จสิ้นสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมาย นี่คือความปรารถนาที่มีตนเป็นที่ตั้งของเจ้าและเส้นทางของชีวิตที่เจ้าได้เลือกไว้ และการนี้ถูกต้อง แต่มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่เจ้าต้องรู้ กล่าวคือ ผู้คนดำรงชีวิตในโลกนี้ และการนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า บุคคลทุกคนเข้าสู่โลกนี้พร้อมด้วยภารกิจหนึ่ง พวกเขาไม่เพียงแค่มาถึงแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ทุกอย่างถูกปกครองดูแล จัดการเตรียมการ และจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้าโดยปราศจากข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด เมื่อทุกคนเข้าสู่โลก สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเรียนรู้หรือทำล้วนเป็นไปเพื่อปฏิบัติบทบาทหนึ่งในนั้น บทบาทนี้คืออะไรหรือ? นั่นคือการที่พวกเขาต้องทำกิจหนึ่งในโลกนี้ให้เสร็จสิ้น มีหลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำ ตัวอย่างเช่น คนสองคนสมรสกันและมีลูกหนึ่งคน และพวกเขาสามคนก็สร้างครอบครัวที่ครบบริบูรณ์ ภายในครอบครัวนี้ ภรรยามีชีวิตอยู่เพื่อลุล่วงภารกิจของเธอ ซึ่งก็คือการดูแลลูกและสามีของเธอ ให้การดูแลครอบครัว แล้วลูกล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? พวกเขาเล่นบทอะไรหรือ? ในฐานะทายาทของครอบครัว พวกเขาสืบทอดสายตระกูล พวกเขาเป็นรุ่นถัดไปของครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้ครบบริบูรณ์เพราะลูกคนนี้มา และนี่คือบทบาทแรกที่พวกเขาเล่น ไม่ว่าพวกเขาเป็นลูกชายหรือลูกสาว พวกเขาก็มีภารกิจเป็นของตัวเอง สำหรับโชคชะตาในอนาคตของพวกเขา ประกาศนียบัตรทางการศึกษา ทักษะ หรือวิชาชีพใดที่พวกเขามีหลังจากที่พวกเขาเติบโต หรือเมื่อใดที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า และหน้าที่ใดที่พวกเขาปฏิบัติหลังจากนั้น ขั้นตอนเหล่านี้มิใช่ถูกวางแผนและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าหรอกหรือ? (ใช่) ตัวพวกเขาเองมีทางเลือกหรือไม่? (ไม่มี) ตลอดมานับตั้งแต่ใครบางคนถือกำเนิดมาในครอบครัวหนึ่ง ไม่มีสักขั้นตอนที่เป็นการเลือกของพวกเขา และทั้งหมดล้วนถูกจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ทั้งหมดนั้นถูกจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า และมีความจริงอยู่ในนั้น การนี้เกี่ยวกับสิ่งที่มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อ ตัวอย่างเช่น หากเจ้าศึกษาดนตรีและเจ้ามีภาวะและสภาพแวดล้อมทางครอบครัวเพื่อการนั้น เช่นนั้นแล้ว การเรียนดนตรีเป็นบางสิ่งที่เจ้าได้เลือกหรือ? (ไม่ใช่) เจ้าเกิดมาในสภาพแวดล้อมนี้ เจ้าได้เรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพผ่านทางการเลี้ยงดูของสภาพแวดล้อมนี้ และสำเร็จลุล่วงภารกิจนี้ อะไรที่ทำให้เจ้าสำเร็จลุล่วงภารกิจนี้? นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงลิขิตการนั้น ไม่ใช่เพราะเจ้าเลือก นั่นไม่ใช่สำเร็จลุล่วงโดยการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างหรอกหรือ? ด้วยการที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าอยู่ตอนนี้และใส่สิ่งที่เจ้ารู้และได้เรียนรู้มาลงไปในการนี้ ใครคือผู้ที่ตัดสินการนี้? (พระเจ้า) เป็นพระเจ้าที่ทรงตัดสินการนี้ไม่ใช่เจ้า พูดตามข้อเท็จจริงแล้ว ตอนนี้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อใคร? (พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า) ในความเป็นจริงแล้ว นั่นก็เหมือนกันสำหรับทุกตัวบุคคล พวกเขาล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาตระหนักรู้หรือไม่และไม่ว่าพวกเขารู้ตัวเกี่ยวกับการนี้หรือไม่ก็ตาม ผู้คนก็เหมือนหมากตัวหนึ่งในเกม พระเจ้าทรงวางเจ้าตรงไหนก็ตาม พระองค์ทรงให้เจ้าทำสิ่งใดก็ตาม และพระองค์ทรงให้เจ้าอยู่ในบางสถานที่นานเพียงใดก็ตาม นั่นก็ล้วนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ในความเป็นจริงแล้วผู้คนล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อจุดประสงค์แห่งอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์และเพื่อการบริหารจัดการของพระองค์ และพวกเขาไม่มีอำนาจควบคุม ไม่ว่าเจ้ามีความสามารถและมีของประทานเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถไปเกินกว่าโชคชะตาที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ให้เจ้า ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่เลยขีดจำกัดเหล่านี้หรือออกนอกโชคชะตา และชีวิตที่พระผู้สร้างทรงจัดตั้งและจัดการเตรียมการให้แก่พวกเขา เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่ในความเป็นจริงแล้วผู้คนไม่รู้สักนิดเลย และพวกเขาได้ดำเนินไปภายใต้การจัดวางเรียบเรียงและอธิปไตยของพระเจ้ามาโดยตลอดจนกระทั่งบัดนี้อย่างไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมองการนี้ตามความเป็นจริง อะไรหรือที่ผู้คนได้เข้าใจ? (ชีวิตและความตายของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาแต่อยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า) (พวกเขาไม่ควรพยายามที่จะมีอำนาจดูแลโชคชะตาตัวเอง และควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า) เจ้าจะมีความก้าวหน้าหากเจ้าสามารถมองการนี้เช่นนี้ ความจริงใดหรือที่เจ้าต้องเข้าใจเพื่อให้สามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้? ไม่ว่าเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในครอบครัวประเภทใด และไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ขีดความสามารถของเจ้า เชาว์ปัญญาของเจ้า และความคิดของเจ้าจะเป็นอย่างไร โชคชะตาของเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้าก็อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า เจ้าไม่มีอำนาจตัดสินใจในการนี้ นี่คือเส้นทางที่ผู้คนควรเลือก นั่นคือ การเข้าใจวิธีที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการการนี้ทั้งหมดของเจ้า วิธีที่พระองค์ทรงนำการนี้ วิธีที่พระองค์จะทรงนำการนี้ในภายภาคหน้า การเสาะแสวงที่จะเข้าใจน้ำพระทัยและพระเจตนาของพระเจ้า และจากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปบนครรลองของโชคชะตาที่พระผู้สร้างทรงบริหารปกครองและจัดวางเรียบเรียง นั่นไม่ใช่การแก่งแย่ง การฉกฉวย หรือการคว้ากุมสิ่งทั้งหลาย นั่นไม่เกี่ยวกับการพินิจพิเคราะห์หรือการขัดขืนน้ำพระทัยของพระผู้สร้าง นั่นไม่เกี่ยวกับการพินิจพิเคราะห์หรือการต่อต้านทั้งหมดนี้ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า นี่ไม่ทำให้การดำรงชีวิตของเจ้าถูกต้องและถูกควรหรอกหรือ? นี่จบข้อกังขาเช่น “ทำไมผู้คนจึงมีชีวิต และทำไมผู้คนจึงตาย” หรือความเจ็บปวดของการที่ “ผู้ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ก็สร้างประวัติอันน่าเวทนาซ้ำแบบเดียวกับพวกที่ดับสูญไปแล้ว” ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีความลำบากยากเย็นอันใดจริงๆ ในการดำเนินชีวิตนี้ และพวกเขาก็ได้พบกับแหล่งที่มาของชีวิต พวกเขาเข้าใจว่าโชคชะตาเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พวกเขารู้วิธีที่ผู้คนควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และก็ไม่ขัดขืน นี่เป็นหนทางอันเปี่ยมความหมายที่จะดำรงชีวิต ผู้คนไม่พึ่งพาการคิดฝันของจิตใจตนหรือพละกำลังของตนเองในการดิ้นรนและแก่งแย่งเพื่อความสุขอีกต่อไป พวกเขารู้ว่าทั้งหมดนั้นโง่เง่าและดื้อรั้น และพวกเขาก็ไม่ทำการนั้นอีกต่อไป พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และเรียนรู้ว่า การนี้ช่างหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้มากมายนัก! แล้วตอนนี้พวกเจ้ากำลังดำรงชีวิตเช่นนี้หรือไม่? เจ้ารู้สึกว่ากำลังดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกประเมินค่าต่ำไปหรือไม่? เจ้ารู้ว่าความสามารถพิเศษของเจ้าและหน้าที่ของเจ้าถูกจัดการเตรียมการและมอบให้เจ้าโดยพระเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม และหน้าที่นี้ที่เจ้ามีก็ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าทำให้ความทะเยอทะยานของเจ้าเป็นจริงได้ อันที่จริงแล้วเจ้ามีเป้าหมายถึงธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่สาขาเฉพาะนี้ที่เจ้ากำลังทำหน้าที่อยู่นั้นไม่เปิดโอกาสให้เจ้าทำเป้าหมายเหล่านั้นให้เป็นจริงเลยจริงๆ เจ้ากำลังคิดเช่นนี้หรือไม่? (ไม่) เจ้าไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงหรือความอยากได้อยากมี เจ้าไม่มีข้อพึงประสงค์อันฟุ้งเฟ้อ เจ้าได้ละวางทุกสิ่งที่เจ้าควรละวาง และสิ่งเดียวที่เจ้าขาดไปก็คือความเข้าใจความจริงเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้า นี่ทำให้เส้นทางที่ผู้คนควรเดินและทิศทางที่พวกเขาควรเข้าไปนั้นชัดเจนขึ้นทุกที พวกเขาไม่จำเป็นอีกต่อไปที่จะต้องตั้งคำถามเช่น “ทำไมผู้คนจึงมีชีวิต? และทำไมพวกเขาจึงตาย? ใครคือองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง?” ไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาหรือความปรารถนาของเจ้าคืออะไร มีเพียงการหวนคืนสู่การทรงสถิตของพระผู้สร้าง การสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่เจ้าควรทำอย่างเป็นหน้าที่ รวมถึงการทำหน้าที่ซึ่งเป็นของเจ้าให้ลุล่วงและเสร็จสิ้นเท่านั้น เจ้าจึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในหนทางซึ่งถูกต้องและถูกควรได้ อีกทั้งนำพามโนธรรมอันชัดเจนมาให้ ไม่มีความทุกข์มาเกี่ยวข้องเลย นี่คือความหมายและคุณค่าของการมีชีวิต
บทตัดตอน 80
ทุกคนรับรู้ว่าพระเจ้าทรงปกครองโชคชะตาของมนุษย์และรับรู้ว่าชีวิตทั้งชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่หากเจ้ามีประสบการณ์ที่แท้จริงว่าเหตุการณ์ใหญ่ทุกเหตุการณ์ในทุกห้วงเวลาและทุกช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งถูกจัดเตรียมภายใต้การปกครองของพระเจ้า และไม่ได้เป็นไปตามแผนการและการจัดการเตรียมการของพวกเขาเอง หากเจ้าสามารถมองเห็นว่าผู้คนไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาของตนเองหรือความทุกข์ใดๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญ เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ได้ นี่ก็คือการมีความเชื่อที่แท้จริง นี่ย่อมเป็นจริงมากขึ้นเมื่อเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าทรงปกครองโชคชะตาของมนุษย์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” การมีประสบการณ์เรื่องอธิปไตยของพระเจ้าและเรื่องการจัดการเตรียมการและการออกแบบของพระองค์เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก นี่เป็นบางสิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วยและไม่สามารถอธิบายได้หากเจ้าไม่เคยประสบมาก่อน แต่ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากขึ้นเท่าใด ยิ่งเจ้าพบเจอมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะสามารถอธิบายได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น มีคำกล่าวอยู่ว่า “เจ้าย่อมเข้าใจโชคชะตาของเจ้าเมื่ออายุ 50 ปี” การกล่าวว่าเจ้าเข้าใจโชคชะตาของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ผู้คนเพิ่งเผชิญโลกในช่วงอายุยี่สิบปี พวกเขายังอายุน้อย วู่วาม ไม่รู้อะไร และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าชีวิตนี้ของมนุษย์ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกเขายังคงต้องการดิ้นรนต่อสู้กับโชคชะตาของตน ยังคงคิดว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษและมีความเชี่ยวชาญ และพวกเขายังคงบากบั่นด้วยตนเอง พยายามสร้างชื่อให้ตัวเอง และพยายามให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและตำแหน่ง พวกเขาพยายามต่อไปแม้จะล้มเหลว พยายามหาโอกาสอีกครั้งเสมอ จากนั้นในช่วงวัย 50 ปี พวกเขาก็ย้อนมองกลับไป แล้วคิดว่า “โธ่เอ๋ย การวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นดินโลกตลอดสามสิบกว่าปีมานี้และทำเรื่องยื้อแย่งชิงดีทั้งหมดนี่ช่างยากเข็ญจริงๆ! ไม่มีสักขั้นตอนในการแต่งงาน การสร้างอาชีพ และการมีลูกของฉันที่เป็นไปตามแผนการและการคิดคำนวณของฉันเอง—เป็นชะตากรรมทั้งสิ้น!” นี่คือการเข้าใจโชคชะตาของเจ้า ไม่มีการต่อสู้กับมันอีก แท้จริงแล้วการเข้าใจโชคชะตาของตนเมื่ออายุ 50 ปี เป็นเพียงการที่ผู้คนอายุครบ 50 ปี และเรียนรู้ที่จะยอมสงบศึกกับชะตากรรมหลังจากที่พ่ายแพ้ไปหลายครั้งเหลือเกิน เมื่อผู้คนเข้าใจโชคชะตาของตนเอง พวกเขาจะหยุดต่อสู้กับมัน ส่วนเรื่องที่ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือมนุษยชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แท้จริงแล้วผู้คนควรมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และพวกเขาควรดำรงชีวิตอย่างไร ผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้หรือไม่? ผู้ไม่เชื่อย่อมไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้อย่างมากที่สุดก็คือยอมรับโชคชะตาของตัวเอง และเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้านทานโชคชะตาของตัวเอง และแล้วพวกเขาก็มองเห็นลูกหลานของตนต่อสู้กับโชคชะตา แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด แต่ละรุ่นย่อมมีพรของตนเอง เพียงปล่อยให้เป็นไป พวกเขาก็จะหยุดต่อสู้กับโชคชะตาเองเมื่อพวกเขาอายุ 50 ปี นี่คือความเป็นไปจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาล้วนต่อสู้กับโชคชะตาจนกระทั่งพวกเขาอายุมากขึ้นและต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาจะยอมรับโชคชะตาของตนและเรียนรู้บทเรียนของพวกเขา พวกเขาจะไม่อวดดีและไม่โอหังเช่นนั้นอีก และจะสงบลง” ผู้ไม่เชื่อสามารถเข้าใจได้มากที่สุดเท่านี้ แต่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่อ่านพระวจนะของพระองค์ แล้วพวกเขาจะเข้าใจความจริงได้อย่างไร? การรู้จักโชคชะตาของเจ้าเมื่ออายุ 50 ปีหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงอย่างนั้นหรือ? ผู้คนเชื่อว่า “ชะตากรรมของมนุษย์มีสวรรค์เป็นผู้ลิขิต” นี่หมายความว่าพวกเขานบนอบต่อเจตจำนงของสวรรค์หรือไม่? (ไม่) การเอาแต่เชื่อในเรื่องนี้จึงใช้การอะไรไม่ได้ การรู้สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการไม่ดิ้นรนต่อสู้กับชะตากรรมเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่การเข้าใจความจริง ผู้คนต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับความรอดจากพระองค์จึงจะเข้าใจความจริง พวกเขาต้องได้รับการพิพากษาจากพระวจนะของพระองค์ น้อมรับความจริงและชีวิตที่เสนอให้เพื่อที่จะเข้าใจความล้ำลึกของทุกสิ่งทุกอย่าง มิฉะนั้น ผู้คนจะยังคงไม่รู้ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เหตุใดผู้คนจึงมีชีวิต และเหตุใดพวกเขาจึงตาย ต่อให้พวกเขามีชีวิตถึงอายุ 70 80 หรือหนึ่งร้อยปีก็ตาม ผู้คนเดินกันบนแผ่นดินโลกเป็นระยะทางสั้นๆ และมีชีวิตอยู่หลายทศวรรษโดยไม่ทำความเข้าใจก่อนที่ชีวิตจะสิ้นสุดลงว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เวลาตาย พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจและยังคงกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ จากโลกนี้ไปพร้อมความเสียใจในท้ายที่สุดและไม่ได้รับสิ่งใดเลย ไม่น่าเศร้าหรอกหรือหากพวกเขาเกิดใหม่ในชีวิตหน้าแล้วยังคงดำรงชีวิตเช่นนี้? (น่าเศร้า) ผู้คนแต่ละรุ่นต่างก็มาและจากไปอย่างน่าสลดใจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้ที่มีชีวิตส่งผู้ที่จากไป หลังจากนั้นก็ถูกส่งโดยผู้คนในรุ่นต่อไป พวกเขามีชีวิตเช่นนี้เป็นวัฏจักร ดำเนินชีวิตด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจอะไร นี่แตกต่างจากพวกเจ้าที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พวกเจ้ามาทันโอกาสอันล้ำค่าและหายากที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดในยุคสุดท้าย พวกเจ้าสามารถรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการเลี้ยงดูและนำทางของพระองค์ที่ทรงทำด้วยพระองค์เอง พวกเจ้าเข้าใจความล้ำลึกและความจริงมากมาย และพวกเจ้าก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าสามารถได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงได้ พวกเจ้าได้รับไปแล้วมากมายนัก มากกว่าธรรมิกชนรุ่นต่างๆ ในอดีต นี่ไม่ใช่พรสูงสุดหรอกหรือ? พวกเจ้าได้รับพรมากที่สุดแล้ว
หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะมาหลายปี พวกเจ้าก็ค่อยๆ มาเข้าใจวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้าและความล้ำลึกแห่งการที่พระองค์ทรงบริหารจัดการและช่วยมนุษยชาติให้รอด พวกเจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและมารู้จักกฎเกณฑ์ของพระองค์ พวกเจ้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์ด้วยหัวใจและสามารถเชื่อฟังพระองค์ การมีชีวิตอยู่ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเต็มอิ่ม พระเจ้าให้เจ้ามีชีวิต และเจ้าก็ดำรงชีวิตเพื่อพระเจ้า เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง นี่คือการดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย หากผู้คนดำรงชีวิตโดยไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจความจริง และมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อเนื้อหนังอย่างเดียว ก็ย่อมไม่มีคุณค่าอันใด บัดนี้พวกเจ้าทั้งหลายกำลังเพียรพยายามมุ่งสู่ความจริง และกำลังดำรงชีวิตด้วยมโนธรรมและสำนึกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเจ้าเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากขึ้นทุกที และสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การดำรงชีวิตเช่นนี้จะเติมหัวใจของพวกเจ้าให้เต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นบาน และนี่คือชีวิตที่มีความหมายที่สุดเท่าที่มีอยู่ ในบรรดามนุษยชาติทั้งปวง นี่คือพรที่มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่ได้รับ ในโลกอันกว้างใหญ่และท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนให้มาเกิดในยุคสุดท้ายนี้และในชาติของพญานาคใหญ่สีแดง พวกเจ้าสามารถรับพระบัญชาจากพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และพวกเจ้าสามารถสละเพื่อพระองค์ พวกเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรแล้ว นี่ไม่ใช่พรที่ประเสริฐที่สุดหรอกหรือ? (เป็นพรที่ประเสริฐที่สุด) นี่คือพรอันประเสริฐเช่นนั้น มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่สามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และนี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า มีผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริง และแม้ในเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วง ก็สามารถกล่าวได้เพียงว่าพวกเขากำลังทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า พวกเขาถวายพละกำลังที่ตนมีพลางทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนและหวังที่จะได้รับพร สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจะสามารถตั้งหลักและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงด้วยความเต็มใจ ชีวิตของพวกเจ้าในเวลานี้และการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าในทุกๆ วันเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าคือหนทางดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงเห็นชอบ กล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้พวกเจ้าดำรงชีวิตเช่นนี้ และพระเจ้าคือผู้ประทานโอกาสนี้ให้แก่พวกเจ้า พระเจ้าประทานโอกาสนี้แก่เจ้าและให้เจ้ามีชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง และสละเพื่อพระองค์ นี่คือสิ่งที่มีความหมายที่สุด พวกเจ้าควรรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติ และควรทะนุถนอมโอกาสนี้ไว้ พวกเจ้าอายุน้อยมาก และการที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง ติดตามพระเจ้า และเป็นพยานให้พระองค์ท่ามกลางความวิบัติ และในสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้—นี่เป็นโอกาสที่หายากจริงๆ! พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายและทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยสมบูรณ์ ดังนั้นการที่มนุษยชาติอาจได้รับความจริงและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ย่อมเป็นโอกาสที่หายากที่สุด มีเวลาไม่มากและเวลานั้นย่อมหายไปในพริบตา พวกเจ้าจึงควรคว้าโอกาสนี้ไว้และรับความจริงทั้งหมดที่เจ้าควรได้รับเอาไว้ นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นพรอันยิ่งใหญ่กว่าพรที่ธรรมิกชนทั้งหมดในยุคทั้งหลายที่ผ่านมาเคยได้รับ
บทตัดตอน 81
อย่างน้อยที่สุดบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าต้องสามารถละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีได้ ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33) คำว่าสละสิ่งสารพัดที่คนเรามีหมายความว่าอย่างไร? คำนี้หมายถึงการละทิ้งครอบครัว ละทิ้งการงาน ละทิ้งสิ่งพัวพันทางโลกทั้งหมดที่คนเรามี การทำสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ง่ายหรือไม่? นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก หากไร้ซึ่งความตั้งใจที่จะทำ การนี้ย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้อย่างแน่นอน เมื่อคนเรามีความตั้งใจที่จะละทิ้ง พวกเขาย่อมจะมีความตั้งใจที่จะสู้ทนความยากลำบากไปโดยธรรมชาติ หากคนเราไม่สามารถสู้ทนความยากลำบากได้ พวกเขาจะไม่สามารถละทิ้งสิ่งใดได้ทั้งสิ้น แม้ว่าพวกเขาอาจจะปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม มีบางคนที่ได้ละทิ้งครอบครัวของพวกเขาและแยกห่างคนที่พวกเขารักมาแล้ว แต่หลังจากปฏิบัติหน้าที่ไปได้ระยะหนึ่งพวกเขาก็เริ่มคิดถึงบ้าน หากพวกเขาไม่สามารถทนสิ่งนี้ได้จริง พวกเขาก็อาจจะแอบวิ่งกลับบ้านไปดู แล้วจึงกลับมาปฏิบัติหน้าที่ของตน บางคนที่จากบ้านมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนที่พวกเขารักในวันหยุดปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ และในตอนกลางคืนที่ทุกคนนอนหลับ พวกเขาก็แอบร้องไห้ เมื่อร้องไห้เสร็จพวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นมาก หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนต่อไป ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะสามารถละทิ้งครอบครัวของพวกเขาได้ พวกเขาก็ไม่สามารถสู้ทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสได้ หากพวกเขาไม่อาจทิ้งความรู้สึกที่มีต่อความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้เสียด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะสามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าโดยแท้จริงได้อย่างไร? บางคนสามารถละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามี ละทิ้งอาชีพการงานและครอบครัวมาติดตามพระเจ้าได้—แต่เป้าหมายที่พวกเขาทำเช่นนี้คืออะไร? บางคนพยายามเพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพร และบางคนก็เป็นเช่นเดียวกับเปาโลที่ไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎและบำเหน็จเท่านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่ละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อให้ได้รับความจริงและชีวิต และเพื่อให้บรรลุความรอด ดังนั้นแล้วในบรรดาการไล่ตามเสาะหาเหล่านี้ สิ่งใดที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า? แน่นอนว่าสิ่งนั้นคือการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับชีวิตนั่นเอง สิ่งนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า หากคนคนหนึ่งไม่สามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายในทางโลกหรือความมั่งคั่งไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน มีคนบางคนที่ได้ละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อมารับผิดชอบหน้าที่ของพวกเขา ทว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งยังปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ หลังจากทำตัวลอยชายเช่นนี้อยู่สองสามปี พวกเขาก็ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์และไม่ได้รับสิ่งใดเลย เหล่าผู้ที่ไล่ตามไขว่คว้าแต่เพียงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ รวมถึงผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ยิ่งไม่สามารถได้รับความจริงได้เลย มีคนมากมายที่การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพียงเล็กน้อยในเวลาว่างเท่านั้น การที่ผู้คนเช่นนั้นได้รับความจริงจะเป็นเรื่องง่ายหรือไม่? สำหรับเราแล้วนี่ดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การได้รับความจริงไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย คนเราต้องสู้ทนความยากลำบากมากมายและยอมลำบากอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเราต้องมีประสบการณ์กับความยากลำบากของการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุง รวมถึงการตัดแต่ง ทั้งหมดนี้คือความยากลำบากที่ต้องสู้ทน คนเราไม่อาจได้รับความจริงโดยไร้ซึ่งการสู้ทนความเจ็บปวดมหันต์ ในช่วงเวลานี้คนเราต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงกี่ครั้ง? คนเราต้องหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจต่อพระเจ้ากี่หน? คนเราต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงไรก่อนที่พวกเขาจะได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่าง? คนเราต้องก้าวผ่านการสู้รบฝ่ายวิญญาณกี่คราวพวกเขาจึงจะสามารถเอาชนะซาตานได้? แล้วกระบวนการของการมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ใช้เวลานานเพียงใด? ต้องใช้เวลากี่ปีคนเราจึงจะสามารถได้รับความจริงและความเห็นชอบจากพระเจ้าได้ในที่สุด? จงดูที่ประสบการณ์ของเปโตร แล้วพวกเจ้าจะรู้ ความรอดและความเพียบพร้อมที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นเรียบง่ายดั่งที่ผู้คนคิดฝันหรีอ? การละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จริงแล้วคำว่าละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีหมายความว่าอย่างไร? “ทั้งหมดที่คนเรามี” ไม่ได้หมายรวมถึงเพียงสิ่งภายนอก ครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก และเพื่อนฝูง อีกทั้งไม่ได้หมายถึงเพียงอาชีพการงาน เงินเดือน ความมั่งคั่ง และโอกาสในอนาคตของคนเรา นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว คำว่าทั้งหมดที่คนเรามียังรวมถึงสิ่งทั้งหลายทางจิตใจและวิญญาณ อันได้แก่ ความรู้ การเรียนรู้ ทัศนคติที่คนเรามีต่อสิ่งทั้งหลาย กฎในการดำเนินชีวิต ความชอบส่วนตนทางเนื้อหนัง รวมไปถึงสิ่งทั้งหลายที่คนเราไล่ตามเสาะหาและใฝ่ฝันถึง อย่างเช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ โดยหลักแล้ว การละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งในความหมายของคำว่าละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามี การละทิ้งสิ่งภายนอกทั้งหลายที่คนเรามีในคราวเดียวนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบ ไล่ตามไขว่คว้า และค้ำจุนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและล้ำค่าที่สุดสำหรับพวกเขา เป็นตัวแทนของคำว่าทั้งหมดที่คนเรามี ทั้งยังเป็นสิ่งที่ละทิ้งได้ยากที่สุด เหตุผลหลักที่ทำให้คนส่วนมากยังไม่สามารถละทิ้งได้ในตอนนี้ก็คือ พวกเขายังไม่อาจปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเขาให้ราคาและหวงแหนมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ หรือความรุ่งโรจน์และโชควาสนา หน้าที่การงานที่คนเรารัก หรือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาให้ค่ามากที่สุด—สิ่งเหล่านี้คือทั้งหมดที่พวกเขามี และเป็นสิ่งที่ละทิ้งได้ยากที่สุด มีผู้จัดการธนาคารคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้า เขาเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงโดยแท้ และเห็นว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด แต่เมื่อเขาตัดสินใจที่จะละทิ้งทั้งหมดที่มีมาติดตามพระเจ้า เขาก็ต้องยุ่งยากใจอย่างหนักกับตำแหน่งของเขาที่ธนาคาร ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่า “ตำแหน่งของฉันที่ธนาคารเป็นสิ่งที่ล้ำค่า รายได้ดีแถมยังมีอิทธิพล” แล้วในชั่วขณะต่อมาเขาก็คิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าจะทำให้ฉันได้รับความจริงและชีวิตนิรันดร์ นั่นคือสิ่งที่สำคัญ” ในหัวใจของเขาเกิดการรสู้รบอยู่ไม่ว่างเว้น ชั่วขณะหนึ่งเขาต้องการที่จะเป็นผู้จัดการธนาคาร และต่อมาเขาก็ต้องการเชื่อในพระเจ้า ชั่วขณะหนึ่งเขาต้องการไขว่คว้าเงินทอง และต่อมาเขาก็ต้องการได้รับความจริง ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สามารถปล่อยวางสถานะของตนได้ และต่อมาเขาก็ต้องการได้รับชีวิตนิรันดร์ หัวใจของเขาระส่ำระสายไปมา สำหรับเขาสถานะผู้จัดการธนาคารเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเหลือเกิน และเขาก็ไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนั้นไปได้ ในหัวใจของเขาเกิดการสู้รบนี้อยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ปล่อยวางสถานะนั้นไปได้ แม้อาจจะด้วยความอิดออดก็ตาม สำหรับเขาแล้ว การละทิ้งทั้งหมดที่มีเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน! ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตำแหน่งผู้จัดการธนาคารของเขาเป็นสิ่งชั่วคราวที่อาจหายไปได้ราวกับควัน แต่การที่เขาจะปล่อยวางสิ่งนั้นไปก็ยังไม่ง่าย บางคนเป็นแพทย์ ทนายความ หรือผู้บริหารระดับสูงที่มีค่าตอบแทนและเงินเดือนสูง การปล่อยวางสิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องต่อสู้กับตัวเองอยู่กี่เดือนถึงจะปล่อยวางได้ หากคนเราต้องใช้เวลาต่อสู้นานหลายปีจึงจะปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ไปได้ ทว่าเมื่อถึงจุดนั้นพระราชกิจของพระเจ้ากลับปิดจบลงไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว การนั้นจะมีประโยชน์อะไร? ในเวลานั้นคนเราจะได้แต่ร่วงลงสู่ความวิบัติพลางร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเท่านั้น เจ้าจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถละทิ้งทุกสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้ามาติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับชีวิตเท่านั้น การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าสามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีและติดตามพระเจ้า เอาใจใส่พระวจนะของพระองค์ และนบนอบการจัดการเตรียมการ นบนอบพระองค์ได้ในทุกสิ่งนั่นเอง การนี้หมายความว่า พระองค์ได้ทรงกลายมาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า และเป็นพระเจ้าของเจ้า สำหรับพระเจ้า สิ่งนั้นหมายถึงการที่เจ้าได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ และไม่ว่าเกิดความวิบัติใดขึ้นกับเจ้า เจ้าย่อมจะมีการคุ้มครองของพระองค์และจะสามารถมีชีวิตรอด และเจ้าจะได้กลายเป็นหนึ่งในประชากรแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ พระเจ้าจะทรงรับรู้ถึงเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ หรือทรงสัญญาว่าจะทำให้เจ้าเพียบพร้อม—แต่ในขั้นแรกเจ้าต้องติดตามพระคริสต์เสียก่อน มีเพียงการติดตามพระคริสต์ที่จะทำให้เจ้ามีส่วนร่วมในการฝึกฝนของราชอาณาจักร หากเจ้าไม่ติดตามพระคริสต์และอยู่นอกราชอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงไม่รับรู้ถึงเจ้า และหากพระเจ้าไม่ทรงรับรู้ถึงเจ้า ต่อให้เจ้าปรารถนาที่จะได้รับความรอด ได้รับพระสัญญากับความเพียบพร้อมจากพระเจ้า เจ้าจะสามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้หรือ? เจ้าจะไม่บรรลุในสิ่งเหล่านี้ หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า อันดับแรกเจ้าต้องมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ หากเจ้าสามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงได้ หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ หากเจ้าสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ และหากเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและได้รับพระสัญญาจากพระองค์ หากเจ้าไม่สามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อติดตามพระเจ้าได้ เจ้าก็ย่อมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ และเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ในพระพรและพระสัญญาของพระองค์เลย ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่ได้ละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีและกำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่กระนั้นก็ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะสามารถได้รับความจริง คนเราต้องรักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้ก่อน จึงจะได้รับความจริงนั้น หากคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ไม่อาจได้รับความจริงนั้นได้ ยังไม่รวมถึงเหล่าผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในเวลาว่าง—พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจำกัดมากเสียจนการได้รับความจริงจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าสำหรับพวกเขา หากคนเราไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ย่อมจะพลาดโอกาสอันแสนวิเศษที่จะได้บรรลุความรอดและความเพียบพร้อมจากพระเจ้า คนบางคนอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ทั้งยังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายทางโลก นี่คือการที่พวกเขาละทิ้งทั้งหมดที่มีอย่างนั้นหรือ? หากคนเราเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทางได้หรือไม่? จงดูสาวกขององค์พระเยซูเจ้าเป็นตัวอย่าง ในบรรดาสาวกเหล่านั้นมีชาวประมง ชาวนา และคนเก็บภาษี เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเรียกพวกเขาและตรัสว่า “ตามเรามา” พวกเขาก็ทิ้งอาชีพของตนและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่ได้สนใจประเด็นปัญหาเรื่องอาชีพการงานของพวกเขาเลย อีกทั้งไม่สนใจปัญหาที่ว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะมีเส้นทางในการเอาตัวรอดทางโลกหรือไม่ และพวกเขาก็ติดตามองค์พระเยซูเจ้าในทันที เปโตรอุทิศตนเองอย่างสุดหัวใจ ลุล่วงพระบัญชาขององค์พระเยซูเจ้าจนถึงปลายทาง และค้ำจุนหน้าที่ของเขา เปโตรไล่ตามเสาะหาที่จะรักพระเจ้าตลอดทั้งชีวิต และท้ายที่สุดเขาก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า ตอนนี้มีบางคนที่ไม่สามารถละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีได้ด้วยซ้ำ แต่กระนั้นก็ยังปรารถนาที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกเขามิได้กำลังฝันอยู่หรอกหรือ?
การเชื่อในพระเจ้านั้น แค่ความกระตือรือร้นยังไม่พอ เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ วิธีการที่พระองค์ทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อม บุคคลใดที่พระองค์ทรงทำให้เพียบพร้อม รวมถึงท่าทีกับทัศนะที่คนเราควรมีต่อการที่พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อม นอกจากนี้ในฐานะผู้ติดตามของพระเจ้า คนเราต้องรู้ว่าการเดินตามหนทางของพระเจ้านั้นสำคัญเพียงใด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ว่าคนเราจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่ การเดินตามหนทางของพระเจ้าหมายถึงการปฏิบัติความจริง มีเพียงการปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่คนเราจะนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น การปฏิบัติความจริงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการได้รับความจริง หากคนเราไม่เข้าใจหรือไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง พวกเขาจะไม่มีทางได้รับความจริงนั้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้การปฏิบัติความจริงเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจความจริงโดยสมบูรณ์ และมีเพียงบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงโดยสมบูรณ์เท่านั้นที่รู้จักพระเจ้า ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติความจริง ไม่ว่ามีคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่กี่คน พระเจ้าก็ทอดพระเนตรว่าพวกเขาคนไหนเดินตามหนทางของพระองค์ คนไหนปฏิบัติความจริง และคนไหนที่นบนอบพระองค์อย่างแท้จริง ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงเพื่อให้กลายเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์และนบนอบพระองค์ บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เหตุใดผู้คนจึงควรเชื่อพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา นับตั้งแต่พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างไร และคนเราต้องสัมฤทธิ์สิ่งใดในการไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนที่จะบรรลุความรอดและเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้าและพรของพระองค์ ในอดีตไม่มีใครเข้าใจความจริงเหล่านี้ คนทุกคนต่างเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการได้รับพร มงกุฏ และบำเหน็จ ผลก็คือ พวกเขาล้วนขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า พลัดหลงไปจากหนทางที่แท้จริง และก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ เพราะฉะนั้นหากคนเราปรารถนาที่จะเข้าใจความจริง ได้รับความจริง และได้รับความรอด พวกเขาก็ต้องแก้ไขทัศนะเรื่องการเชื่อในพระเจ้าแบบผิดๆ ที่มีมาแต่อดีตให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทางศาสนา รวมถึงทัศนะด้านเทววิทยาที่ไร้สาระ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและเป็นตรรกะวิบัติที่ดูเหมือนสมเหตุสมผล พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในหนทางทั้งปวงที่คนในศาสนาเชื่อ หากเวลานี้ผู้คนยังคงค้ำจุนหนทางเหล่านั้นต่อไป อีกทั้งไล่ตามไขว่คว้าพร มงกุฏ และบำเหน็จ—หากพวกเขายังคงเชื่อในพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงและชีวิตหรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วผู้คนควรนำทัศนคติแบบใดมาใช้กับการเชื่อในพระเจ้า? เจ้าต้องเริ่มด้วยการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและมองเห็นโดยชัดเจนว่าพระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง ทว่ายังเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองต่อไป หากเจ้าเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ ความมั่งคั่ง และสิ่งทั้งหลายในทางโลก เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าจะพิชิตทุกสิ่งบนโลก แต่หากท้ายที่สุดสิ่งนั้นแลกมาด้วยชีวิตของเจ้า การนั้นจะคุ้มค่าหรือ? คนบางคนกล่าวว่า “เมื่อฉันหาเงินได้มากพอและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เมื่อฉันได้ลุล่วงความทะเยอทะยานและทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงแล้ว ถึงเวลานั้นฉันจะมาเป็นผู้เชื่อที่ดี” พระเจ้าทรงรอเจ้าหรือไม่? พระราชกิจของพระเจ้ารอเจ้าหรือไม่? หากเจ้าไม่สามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นได้ในเวลานี้ พระเจ้าก็ไม่ทรงเรียกร้องให้เจ้าทำเช่นนั้นในทันที แต่เจ้าต้องปฏิบัติการปล่อยวาง หากเจ้าไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง จงอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ จงปล่อยให้พระองค์ทรงนำเจ้า นอกจากนี้ เจ้าต้องให้ความร่วมมือและปฏิบัติหน้าที่ของตน จุดประสงค์ของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคืออะไร? ที่จริงแล้วสิ่งนี้หมายถึงการตระเตรียมความประพฤติดีนั่นเอง ต่อให้ในท้ายที่สุดเจ้าจะไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องตระเตรียมความประพฤติดีเอาไว้บ้าง เพื่อที่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว เจ้าจะได้ชี้แจ้งเรื่องเหล่านั้นให้พระองค์ทรงฟัง วันหนึ่งพระราชกิจของพระเจ้าจะมาถึงจุดจบ และพระองค์จะทรงเริ่มปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว พระองค์จะทรงให้เจ้านำเสนอความประพฤติดีของตน และหากไม่มีเลยเจ้าก็ย่อมจบสิ้น—เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาราวสิบปี และหน้าที่ซึ่งมีคุณค่ามากที่สุดที่เจ้าได้ปฏิบัติมีเพียงการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในเวลาว่างและรับผู้เชื่อใหม่เข้ามาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท้ายที่สุดคนเหล่านั้นจะสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่ เจ้าจะชี้แจงเรื่องนี้แก่พระเจ้าได้หรือไม่? เจ้าย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าต้องพิจารณาว่าผลลัพธ์ประเภทใดที่เจ้าสามารถชี้แจงแก่พระเจ้าได้ และเจ้าต้องมีคำพยานจากประสบการณ์รูปแบบใดจึงจะสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยและทำให้พระองค์ทรงยอมรับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ได้ เจ้าไม่สามารถพึงพอใจกับการแค่รับรู้ข้อเท็จจริงเรื่องการประสูติเป็นมนุษย์ในปัจจุบันของพระเจ้า และยอมรับพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายในหัวใจของเจ้าเพียงเท่านั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็นคือคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงของเจ้า และผลแห่งการนบนอบพระราชกิจของพระองค์ของเจ้า สิ่งที่พระเจ้าจะทรงทดสอบในตอนท้ายก็คือเจ้าได้รับความจริงหรือไม่ และเจ้ามีชีวิตหรือไม่ เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า หากเจ้าเพียงแต่เพิ่มชื่อของตนเข้าไปในบัญชีรายชื่อของคริสตจักรหรือปฏิบัติหน้าที่แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และหลังจากเชื่อในพระเจ้าไปแล้วสองถึงสามปีเจ้าก็ยังไม่มีคำพยานจากประสบการณ์เลย เช่นนั้นพระเจ้าจะยังทรงรับรู้ถึงเจ้าได้อยู่หรือไม่? หากพระเจ้าไม่ทรงรับรู้ถึงเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังอยู่นอกพระนิเวศของพระองค์ หากเจ้าเพียงแค่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ท้ายที่สุดแล้วความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะได้รับสิ่งใดหรือ? เจ้าจะยังห่างไกลจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดอยู่มากทีเดียว! การได้รับความจริงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน คนเราต้องสู้ทนกับบททดสอบและความทุกข์ลำบาก รวมถึงความเจ็บปวดและการถลุงมากมายเสียก่อนที่จะได้รับความจริงและรู้จักพระเจ้า เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจในลักษณะนี้ของพระเจ้า หากเจ้าไม่ละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อติดตามพระองค์ เจ้าจะได้รับความรอดอย่างนั้นหรือ? เจ้าจะสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเพียงการเชื่อในพระองค์ในยามว่างที่เจ้ามีอยู่น้อยนิดได้หรือ? เจ้าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจด้วยการเชื่อในพระเจ้าอยู่ที่บ้านได้อย่างไร? เจ้าจะมีประสบการณ์กับสิ่งนี้ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างไร? ด้วยเหตุนั้น การละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีจึงเป็นเงื่อนไขของการติดตามพระเจ้า หากเจ้าไม่สามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีได้ เจ้าก็ย่อมไม่ได้รับความจริงอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่ได้รับความจริง เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
บทตัดตอน 82 (การตอบคำถามจากพี่น้องชายหญิง)
(ข้าพระองค์ยังคงถูกบีบคั้นจากความรักใคร่เอ็นดูของฉันที่มีต่อครอบครัวในขณะที่ลุล่วงหน้าที่ของตนเอง ข้าพระองค์มักคิดถึงพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง และความคิดถึงก็ส่งผลต่อการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์ ช่วงหลังมานี้สภาวะของข้าพระองค์ฉันได้ปรับปรุงดีขึ้นแล้วเล็กน้อย แต่บางครั้งข้าพระองค์ก็ยังกังวลเรื่องที่พญานาคใหญ่สีแดงจะจับคนในครอบครัวไปเพื่อข่มขู่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าพระองค์จะไม่สามารถตั้งมั่นได้) สิ่งเหล่านี้เป็นความกลัวที่ไร้เหตุผล เมื่อเจ้าคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อการแก้ไข เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าไม่ว่าเจ้าเผชิญรูปการณ์แวดล้อมใด พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งนั้นไว้แล้ว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้าและสามารถแสวงหาความจริงและตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย นี่คือบทเรียนที่ผู้คนต้องเรียนรู้ เจ้าควรใคร่ครวญให้บ่อยว่า ในช่วงนี้เจ้ากำลังมีประสบการณ์กับการให้น้ำและการเลี้ยงดูของพระเจ้าอย่างไร? วุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร? เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไร? เจ้าต้องขบคิดเรื่องเหล่านี้ให้ออก! หากเจ้าสามารถคิดถึงเรื่องที่พญานาคใหญ่สีแดงข่มขู่เจ้าได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่คิดถึงวิธีเข้าไปสู่ความจริงเล่า? เหตุใดเจ้าจึงไม่ใคร่ครวญความจริง? (เมื่อข้าพระองค์เกิดความคิดเหล่านี้ ข้าพระองค์ก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและให้คำมั่นว่า หากวันหนึ่งข้าพระองค์เผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้เข้าจริงๆ ข้าพระองค์จะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าไปจนตาย แต่ข้าพระองค์กลัวจริงๆ ว่าด้วยวุฒิภาวะอันน้อยนิดนี้ ข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้) จากนั้นเจ้าก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กลัวว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้ด้วยวุฒิภาวะอันน้อยนิด ข้าพระองค์กลัวตาย ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น พระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้ในยามที่ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะ” นี่เป็นการอธิษฐานที่ดีหรือไม่? (ไม่) เจ้าควรอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะและความเชื่อน้อยนิด ข้าพระองค์กลัวว่าจะต้องเผชิญกับบางอย่าง อันที่จริงข้าพระองค์ไม่เชื่อจริงๆ ว่าทุกเรื่องราวและทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้วางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นการกบฏอะไรเช่นนี้! ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด หัวใจของข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะเป็นพยานให้พระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะตั้งมั่นในการเป็นพยานของข้าพระองค์โดยไม่ทำให้พระองค์ทรงอับอาย โปรดทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด” เจ้าจำเป็นต้องวางความมุ่งมาดปรารถนาและสิ่งที่เจ้าต้องการพูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือวิธีที่เจ้าสร้างความเชื่อที่แท้จริง หากเจ้าลังเลแม้แต่การอธิษฐานเช่นนี้ ความเชื่อของเจ้าก็ช่างน้อยเหลือเกิน! เจ้าจำเป็นต้องอธิษฐานเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ต่อให้เจ้าอธิษฐานเช่นนี้จริง ก็ไม่จำเป็นว่าพระเจ้าจะทรงตอบสนอง พระเจ้าไม่ทรงสร้างภาระให้มนุษย์เกินกว่าที่พวกเขาสามารถรับไหว แต่หากเจ้าทำให้ท่าทีและความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าชัดเจน พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย เมื่อพระเจ้าพอพระทัย หัวใจของเจ้าจะไม่ถูกเรื่องนี้ก่อกวนและบีบคั้นอีกต่อไป “สิ่งต่างๆ อย่างเช่นสามี ลูกๆ ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ—สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย ทั้งจักรวาลอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ครอบครัวของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เหมือนกันมิใช่หรือ? การที่ฉันกังวลเรื่องพวกเขานั้นมีประโยชน์อะไร? ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในเรื่องนี้ ฉันไม่มีความสามารถและไม่อาจคุ้มกันพวกเขาได้ ชะตากรรมและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาต่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า!” เจ้าต้องมีความเชื่อที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยตั้งใจแน่วแน่และตัดสินใจที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แล้วจากนั้นสภาวะในตัวเจ้าก็จะเปลี่ยนไป เจ้าจะไม่มีความกังวลใดๆ อีก และเจ้าจะไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป เจ้าจะไม่ระมัดระวังมากจนเกินไปและเต็มไปด้วยความเข้าใจในทุกสิ่งที่เจ้าทำ ขณะที่ทุกคนทะยานไปข้างหน้า เจ้ากลับลังเล ต้องการจะปลีกตัวหนีอยู่เสมอ—นี่คือสิ่งที่คนขลาดทำมิใช่หรือ? เมื่อประชากรของพระเจ้าลุล่วงหน้าที่ของตนในราชอาณาจักรและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง พวกเขาควรเดินหน้าไปอย่างสงบพร้อมหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาไม่ควรงุ่มง่าม ถอยหนี หรือระมัดระวังอย่างยิ่ง หากเจ้ารู้ว่าสภาวะนี้ผิดและมัวแต่กังวลแทนที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข เช่นนั้นเจ้าก็กำลังถูกสภาวะนี้บีบคั้นและผูกมัด และเจ้าจะไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้ เจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างสุดหัวใจ สุดจิตใจ และสุดเรี่ยวแรงของเจ้า แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่? เจ้าไม่สามารถไปถึงจุดที่มอบทั้งหัวใจของเจ้าได้เพราะหัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่กับหน้าที่—อย่างดีที่สุดเจ้าก็มอบหัวใจของตนเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น เมื่อไม่ได้มอบหัวใจทั้งหมดของเจ้า เจ้าจะมอบจิตใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนได้อย่างไร? หัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่กับหน้าที่ของเจ้า และทั้งหมดที่เจ้ามีคือความเต็มใจเล็กน้อยที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้าได้จริงหรือ? เจ้าไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง ดังนั้นเจ้าจึงต้องถูกบีบคั้นจากครอบครัวและความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อพวกเขา พวกเขาจะมัดมือและเท้าของเจ้า พวกเขาจะควบคุมความคิดและหัวใจของเจ้า และเจ้าจะห่างไกลจากความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า—เจ้าจะเต็มใจ แต่ขาดความเข้มแข็ง ดังนั้นเจ้าต้องอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในด้านหนึ่งเจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ขณะเดียวกันก็รู้ด้วยว่าเจ้าควรยืนอยู่จุดไหนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าต้องเอาความตั้งใจแน่วแน่และท่าทีที่เจ้าควรมีไปวางเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นี่คือท่าทีที่เจ้าต้องมี เหตุใดผู้คนอื่นจึงไม่มีความกังวลเหล่านี้? เจ้าคิดว่าคนอื่นๆ ไม่มีครอบครัวหรือความยากลำบากเหล่านี้หรือ? อันที่จริงทุกคนต่างมีภาระผูกพันบางอย่างทางเนื้อหนังและทางครอบครัว แต่บางคนสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง หลังจากแสวงหาไประยะหนึ่ง พวกเขาย่อมมองเห็นความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและปล่อยวางมันไปจากหัวใจ แล้วจากนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับพวกเขา และไม่สามารถควบคุมหรือบีบคั้นพวกเขาได้อีกต่อไป ความยากลำบากเหล่านั้นไม่ส่งผลต่อการลุล่วงหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการปลดปล่อย ในพระคัมภีร์มีพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดหนึ่งกล่าวว่า “ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33) การสละสิ่งสารพัดที่คนเรามีอยู่นี้คืออะไร? “สารพัด” หมายความว่าอย่างไร? สิ่งทั้งหลายอย่างสถานะ ชื่อเสียงและโชควาสนา ครอบครัว เพื่อนฝูง และทรัพย์สมบัติ—ทั้งหมดนี้หมายรวมอยู่ในคำว่า “สารพัด” แล้วสิ่งใดมีความสำคัญในหัวใจของเจ้าเล่า? สำหรับบางคนคือลูกๆ สำหรับบางคนคือพ่อแม่ สำหรับบางคนคือความมั่งคั่ง และสำหรับคนอื่นๆ คือสถานะ ชื่อเสียงและโชควาสนา หากเจ้าให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะควบคุมเจ้า หากเจ้าไม่ให้คุณค่าและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถควบคุมเจ้าได้ นั่นขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งเหล่านี้ และวิธีที่เจ้ารับมือกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
พวกเจ้าต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจของพระองค์ในเวลาใดหรือระยะใด พระองค์ต้องประสงค์ผู้คนจำนวนหนึ่งมาทำงานกับพระองค์เสมอ การที่ผู้คนเหล่านี้ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าหรือให้ความร่วมมือในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า แล้วพระเจ้าทรงมีพระบัญชาต่อคนแต่ละคนที่ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่? ทุกคนต่างมีภารกิจและความรับผิดชอบ ทุกคนมีพระบัญชา เมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาแก่เจ้า พระบัญชาย่อมกลายเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าจำเป็นต้องรับความรับผิดชอบนี้มา นี่คือหน้าที่ของเจ้า หน้าที่คืออะไร? หน้าที่คือภารกิจที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า ภารกิจคืออะไร? (พระบัญชาของพระเจ้าคือภารกิจของมนุษย์ คนเราควรมีชีวิตอยู่เพื่อพระบัญชาของพระเจ้า พระบัญชานี้เป็นสิ่งเดียวในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งอื่นใด) พระบัญชาของพระเจ้าคือภารกิจของมนุษย์ นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าถูกส่งมายังแผ่นดินโลกเพื่อทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น หากทั้งหมดที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้าในชีวิตคือการยกระดับสถานะทางสังคม สั่งสมความมั่งคั่ง มีชีวิตที่ดี ชื่นชมการอยู่ใกล้ชิดครอบครัว และสุขสำราญกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—หากเจ้าได้รับสถานะทางสังคม หากครอบครัวของเจ้าเกิดโดดเด่นขึ้นมา และทุกคนในครอบครัวของเจ้าอยู่รอดปลอดภัย—แต่เจ้ากลับเมินเฉยต่อภารกิจที่พระเจ้าประทานให้ ชีวิตที่เจ้ากำลังใช้อยู่นี้มีคุณค่าอันใดหรือ? เจ้าจะตอบคำถามพระเจ้าอย่างไรหลังจากเจ้าตายไป? เจ้าจะไม่สามารถตอบได้ และนี่ก็คือการกบฏที่ร้ายแรงที่สุด นี่คือบาปที่หนักหนาที่สุด! ขณะนี้มีพวกเจ้าคนใดกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าโดยบังเอิญบ้าง? ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ไม่ว่าเจ้ามาจากภูมิหลังแบบใดก็ไม่มีการปฏิบัติใดเป็นความบังเอิญ หน้าที่นี้ไม่อาจลุล่วงได้ด้วยการสุ่มหาผู้เชื่อเพียงไม่กี่คน นี่คือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าก่อนยุคสมัยทั้งปวง การที่บางสิ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าหมายความว่าอย่างไร? มีความเฉพาะเจาะจงอย่างไร? การนี้หมายความว่าในแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้นานแล้วว่าเจ้าจะมาอยู่บนแผ่นดินโลกกี่ครั้ง ระหว่างยุคสุดท้ายเจ้าจะเกิดในเชื้อสายใดและครอบครัวใด รูปการณ์ของครอบครัวนี้จะเป็นเช่นไร เจ้าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง เจ้าจะมีจุดแข็งอะไร จะมีการศึกษาระดับไหน เจ้าจะพูดจาฉะฉานแค่ไหน จะมีขีดความสามารถอย่างไร อีกทั้งเจ้าจะมีรูปลักษณ์เช่นใด พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้ว่าเจ้าจะเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนในยุคใด รวมถึงเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใดในช่วงเวลาใด พระเจ้าทรงลิขิตแต่ละขั้นตอนไว้ให้เจ้าล่วงหน้าตั้งแต่ต้น เมื่อเจ้ายังไม่เกิดและเมื่อเจ้ามายังแผ่นดินโลกในหลายชีวิตสุดท้ายของเจ้า พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับเจ้าไว้แล้วว่าหน้าที่ใดที่เจ้าจะปฏิบัติในระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน! ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าสามารถฟังคำเทศนาที่นี่ได้ก็ถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นเล่น! นอกจากนี้ ความสูงของเจ้า รูปลักษณ์ของเจ้า ลักษณะดวงตาของเจ้า รูปร่างของเจ้า สภาวะทางสุขภาพของเจ้า ประสบการณ์ชีวิตของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าสามารถทำได้ในยุคนั้น รวมถึงประเภทของขีดความสามารถและความสามารถที่เจ้ามี—สิ่งเหล่านี้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าเมื่อนานมาแล้ว และไม่ใช่ถูกจัดการเตรียมการตอนนี้อย่างแน่นอน พระเจ้าทรงลิขิตสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าไว้ล่วงหน้านานแล้ว ซึ่งกล่าวได้ว่า หากพระองค์ทรงตั้งใจที่จะใช้เจ้า พระองค์จะทรงตระเตรียมเจ้าเอาไว้ก่อนมอบพระบัญชาและภารกิจนี้แก่เจ้า ดังนั้นการที่เจ้าหนีจากการนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่? การที่เจ้าไม่จริงจังกับการนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่? ทั้งคู่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ นั่นจะทำให้พระเจ้าผิดหวัง! การที่ผู้คนละทิ้งหน้าที่ของตนเป็นการกบฏประเภทที่เลวร้ายที่สุด นี่เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย พระเจ้าทรงงานหนักอย่างรอบคอบและจริงจัง ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้าตั้งแต่โบราณกาลเพื่อให้เจ้าทำมาจนถึงวันนี้และประทานภารกิจนี้แก่เจ้า เช่นนั้นแล้วภารกิจนี้เป็นความรับผิดชอบของเจ้ามิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตนี้ของเจ้ามีคุณค่ามิใช่หรือ? หากเจ้าไม่ทำภารกิจที่พระเจ้าประทานให้เจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าย่อมสูญเสียคุณค่าและความหมายของการใช้ชีวิตไป ราวกับเจ้าใช้ชีวิตโดยสูญเปล่า พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการภาวะ สภาพแวดล้อม และภูมิหลังที่ถูกต้องเอาไว้ให้เจ้า พระองค์ประทานขีดความสามารถและความสามารถนี้แก่เจ้า ทรงตระเตรียมเจ้าเพื่อมีชีวิตในยุคนี้ และทรงตระเตรียมเจ้าให้มีคุณสมบัติทั้งปวงที่เจ้าจำเป็นจะต้องมีเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ของเจ้า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการทั้งหมดนี้ไว้ให้เจ้า แต่เจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างแข็งขัน เจ้าไม่อาจอดทนต่อการทดลองและเจ้าเลือกที่จะหลบหนี มองหาการมีชีวิตที่ดีและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลกทั้งหลายอยู่เสมอ เจ้าใช้พรสวรรค์และความสามารถที่พระเจ้าประทานให้เจ้าเพื่อรับใช้ซาตาน มีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน นี่ทำให้พระเจ้ารู้สึกเช่นไร? การทำให้พระองค์ผิดหวังกับเจ้าเช่นนี้ พระองค์จะไม่ทรงเกลียดชังเจ้าหรือ? พระองค์จะไม่ทรงเกลียดเจ้าหรือ? พระองค์จะทรงระบายความพิโรธหนักหนาใส่เจ้า แล้วจากนั้นจะถือว่าเรื่องนี้ยุติลงแล้วหรือไม่? การนี้จะเรียบง่ายดั่งที่เจ้าจินตนาการหรือ? เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่ทำภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้นในชีวิตนี้ ทุกอย่างก็จบลงที่ความตายของเจ้าหรือ? มันไม่ได้จบลงตรงนั้น หลังจากนั้นดวงจิตของเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และเจ้าก็หลบหนีการทรงสถิตของพระเจ้า สิ่งต่างๆ กลายเป็นเลวร้าย เจ้าสามารถหนีไปที่ใดได้บ้าง? เจ้าสามารถหนีรอดจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้หรือ? พระเจ้าทรงจำแนกบุคคลประเภทนี้อย่างไร? (เหล่านี้คือผู้คนที่ได้ทรยศพระองค์) พระเจ้าทรงนิยามผู้คนที่ได้ทรยศพระองค์ไว้อย่างไร? พระเจ้าทรงจำแนกผู้คนที่หนีจากบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระองค์อย่างไร? ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่จะทนทุกข์กับความพินาศและถูกทำลายล้าง สำหรับเจ้าจะไม่มีอีกชีวิตหนึ่งหรือมีการถือกำเนิดใหม่อีกแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีทางประทานพระบัญชาอื่นใดให้เจ้าอีก ไม่มีภารกิจใดให้เจ้าอีกต่อไป และเจ้าย่อมหมดโอกาสในการได้รับความรอด นี่คือปัญหาร้ายแรง! พระเจ้าจะตรัสว่า “บุคคลนี้ได้หลบหนีต่อหน้าต่อตาเราไปแล้วครั้งหนึ่ง หลบหนีจากบัลลังก์แห่งการพิพากษาและการสถิตของเรา พวกเขาไม่ได้ดำเนินภารกิจหรือทำบัญชาของพวกเขาให้เสร็จสิ้น ชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลงตรงนี้ จบแล้ว ชีวิตของพวกเขาได้มาถึงจุดจบแล้ว” ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน! สำหรับพวกเจ้าแล้ว การที่พวกเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้ ไม่ว่าเป็นหน้าที่เล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าเป็นทางร่างกายหรือทางจิตใจ และไม่ว่าเป็นการรับมือกับประเด็นปัญหาภายนอกหรืองานภายใน ก็ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาคนใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ นี่เป็นทางเลือกของเจ้าได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ได้รับการนำโดยพระเจ้า การที่เจ้าตื้นตันใจเช่นนี้ มีสำนึกของภารกิจและความรับผิดชอบเช่นนี้ และการที่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ก็เป็นเพราะพระบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น มีคนมากมายในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อที่มีรูปร่างหน้าตาดี มีความรู้ หรือมีความสามารถพิเศษ แต่พระเจ้าทรงโปรดปรานคนเหล่านั้นหรือไม่? ไม่ พระองค์ไม่ทรงโปรดพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงคัดสรรพวกเขา และพระองค์ทรงโปรดปรานเพียงพวกเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงให้พวกเจ้าทุกคนรับบทบาททุกรูปแบบ ปฏิบัติหน้าที่ทุกประเภท และมีความรับผิดชอบรูปแบบต่างๆ ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ ในที่สุดเมื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดและสัมฤทธิ์แล้ว นี่จะเป็นพระสิริและพระคุณยิ่ง! ดังนั้นแล้ว ในยามที่ผู้คนทนทุกข์ต่อความยากลำบากเล็กน้อยขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนในทุกวันนี้ ในยามที่พวกเขาต้องล้มเลิกบางสิ่ง สละตนเองเล็กน้อย และยอมลำบากในบางเรื่อง ในยามที่พวกเขาสูญเสียสถานะกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนบนโลก และในยามที่สิ่งเหล่านี้หายไปทั้งหมด ย่อมดูเหมือนพระเจ้าทรงพรากทั้งหมดนี้ไปจากพวกเขา แต่พวกเขากลับได้รับอะไรบางอย่างที่ล้ำค่าและมีคุณค่ามากกว่าเดิม ผู้คนได้รับสิ่งใดจากพระเจ้า? พวกเขาได้รับความจริงและชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน ต่อเมื่อเจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของตน เจ้าจึงได้ทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าใช้ทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อภารกิจของเจ้าและพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้า เจ้ามีคำพยานอันงดงาม และเจ้าใช้ชีวิตที่มีคุณค่า—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงเป็นคนที่แท้จริง! และเหตุใดเราจึงกล่าวว่าเจ้าเป็นคนที่แท้จริง? เพราะพระเจ้าได้ทรงคัดสรรเจ้าและทรงให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้การบริหารจัดการของพระองค์ นี่คือสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่งยวดและมีความหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ทรงขออะไรจากผู้คนมากมาย เมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาและความรับผิดชอบให้เจ้า หากเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีความเชื่อเล็กน้อยและนี่คือความพยายามมากที่สุดที่เจ้าสามารถให้ได้ ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้ได้ และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าสามารถรับได้ เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงบังคับเจ้า ไม่ใช่ว่าหากพระองค์ทรงขอจากเจ้าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์และเจ้าให้เก้าสิบห้า พระองค์ก็จะไม่พอพระทัย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยเจ้าไป และพระองค์จะทรงดลใจและกระตุ้นเจ้าอยู่ตลอดเวลาจนเจ้าสามารถทำได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่พระองค์ทรงขอ พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น ในทางกลับกันพระองค์จะทรงทำให้เจ้าเพียรพยายามเพิ่มขึ้นทีละขั้นอย่างต่อเนื่องตามวุฒิภาวะของเจ้า ตามกำลังของเจ้า และสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ พระเจ้าทรงยุติธรรมและมีเหตุผลในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงบีบบังคับผู้คน พระองค์ทรงปล่อยให้เจ้ารู้สึกสะดวกและสบายใจ พระองค์ทรงทำให้เจ้ารู้สึกว่าพระองค์สามารถเข้าพระทัยและทรงคำนึงถึงเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าทำ ผู้คนต้องตระหนักถึงความอุตสาหะพยายามของพระเจ้า รวมไปถึงความกรุณา ความเมตตาอันเปี่ยมรัก และความอดกลั้นที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติ ดังนั้นแล้วผู้คนควรทำอย่างไร และพวกเขาควรให้ความร่วมมืออย่างไร? พวกเขาควรร่วมมือเช่นนี้ “ฉันต้องเพียรพยายามที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องประสงค์หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จากฉัน ฉันจะไม่มอบให้พระองค์เพียงสามสิบหากฉันสามารถมอบให้ได้หกสิบ ฉันจะมอบความเข้มแข็งทั้งหมดของฉัน ฉันจะไม่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวง ฉันจะไม่มักง่าย และจะไม่มีชุดความคิดของการพึ่งพาโชค” นั่นจึงจะใช้ได้ พระเจ้าทรงมองดูที่หัวใจของมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์แบบเดียวกันสำหรับทุกคน ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องทอดทิ้งลูกๆ และครอบครัวหรือล้มเลิกหน้าที่การงานของตนเพราะใครบางคนทำเช่นนั้น พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการเดียวกันกับทุกคน พระองค์ทรงมีพระประสงค์ต่อเจ้าตามวุฒิภาวะของเจ้าและสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกกังวลหรือกดดันใดๆ จงอธิษฐานถึงพระเจ้าตามสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้เท่านั้น ไม่ว่าจะมีความยากลำบากใดหรือเจ้าอยู่ภายใต้การบีบคั้นเช่นไร จงอย่าถอยหนีจากสิ่งเหล่านั้น จงอย่าให้สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อเจ้า นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง ทันทีที่เจ้าได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะเอาแต่คิดว่า “ฉันทำได้ไม่ดีเลย พระเจ้าไม่พอพระทัยในตัวฉันใช่ไหม? ฉันต้องเอาใส่ใจให้มาก ฉันไม่อาจกดดันมากจนเกินไป ฉันจำเป็นต้องเหลือพื้นที่ไว้หายใจบ้าง” นี่ย่อมไม่ถูกต้อง เป็นการเข้าใจพระเจ้าผิด แต่ละขั้นตอนของประสบการณ์ประเภทนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความเชื่อของตนน้อยเกินไป จนถึงจุดที่ทำให้พวกเขาถึงกับสามารถกังขาพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า “ประเมินผู้สูงศักดิ์ด้วยมาตรฐานของผู้ต่ำศักดิ์” พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่กลัวที่จะพึ่งพาพระองค์ พวกเขาเชื่อในอำนาจครอบครองของพระเจ้าแต่กลัวที่จะมอบทุกอย่างไว้กับพระองค์ ผู้คนมักกล่าวว่า “พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง” และ “ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสถานการณ์ พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้าทรงควบคุมได้จริงหรือ? พระองค์ทรงสามารถเป็นที่พึ่งพาได้จริงหรือ? ฉันพึ่งพาคนอื่นดีกว่า และถ้านั่นไม่ได้ผลฉันจะคิดหาบางสิ่งด้วยตัวเอง” จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าวุฒิภาวะของตนไม่เป็นผู้ใหญ่ ไร้สาระ และน้อยแค่ไหน พวกเขาจึงหันกลับมาอีกครั้งโดยต้องการที่จะพึ่งพาพระเจ้า แต่พบว่ายังคงไม่มีเส้นทาง อย่างไรก็ตามลึกๆ แล้วพวกเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและทรงเป็นที่พึ่งพาได้ เพียงแต่พวกเขามีความเชื่อน้อยขนาดนั้นและมักคลางแคลงใจอย่างมากเสมอ เจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? เจ้าต้องพึ่งพาประสบการณ์ของตนและพึ่งพาการไล่ตามเสาะหาและการเข้าใจความจริง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถเกิดความเชื่อที่แท้จริงได้ ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์และยิ่งเจ้าพึ่งพาพระเจ้ามากเท่าไร เจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าพระองค์สามารถเป็นที่พึ่งพาได้มากเท่านั้น ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์จากเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ได้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทรงช่วยให้เจ้าเอาชนะความยากลำบากและหลบเลี่ยงอันตรายมาได้ เจ้าย่อมจะเกิดความเชื่อและการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงโดยไม่รู้ตัว เจ้าจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงไว้ใจได้และพึ่งพาได้ เจ้าจำเป็นต้องมีความเชื่อนี้อยู่ในหัวใจของเจ้าเสียก่อน
แต่ละคนมีโชคชะตาของตนเอง และพระเจ้าทรงลิขิตทั้งหมดนี้เอาไว้ล่วงหน้า ไม่มีผู้ใดสามารถรับผิดชอบชะตากรรมของผู้อื่นได้ เจ้าจำเป็นต้องหยุดเคร่งเครียดเรื่องครอบครัวของเจ้าและเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและสละทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? หนทางหนึ่งคือการอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าต้องใคร่ครวญวิธีที่ญาติพี่น้องผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก ความมั่งคั่ง และความสะดวกสบายทางวัตถุด้วย พวกเขาเป็นพวกของซาตาน และเป็นคนประเภทหนึ่งที่ต่างจากเจ้า เจ้าจะมีชีวิตที่เป็นทุกข์ หากเจ้าไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา ในเมื่อเจ้ามองเรื่องราวต่างๆ ต่างจากพวกเขา เจ้าจะเข้ากับพวกเขาไม่ได้และจะรู้สึกทรมานแทน จะมีเพียงความเจ็บปวดและไร้ซึ่งความสุข ความรักใคร่เอ็นดูสามารถนำสันติสุขและความชื่นชมยินดีมาสู่เจ้าได้หรือไม่? การตอบสนองต่อเนื้อหนังจะไม่นำสิ่งใดมาให้เจ้านอกจากความทุกข์ ความว่างเปล่า และความเสียใจตลอดชีวิต นี่คือบางสิ่งที่เจ้าพึงต้องจับความเข้าใจให้ถี่ถ้วน ดังนั้น การคิดถึงครอบครัวของเจ้าจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียว เป็นอารมณ์อ่อนไหวโดยไม่จำเป็น! เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างจากพวกเขา ทัศนคติในชีวิต โลกทัศน์ เส้นทางในชีวิต และเป้าหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้าล้วนต่างออกไป ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่กับครอบครัวของเจ้า แต่เพราะเจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เจ้าจึงรู้สึกเสมอว่าเจ้าอยู่ใกล้พวกเขาและเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาจริงๆ เพียงไม่กี่วันที่ขับเคี่ยวกับพวกเขากลับจะทำให้เจ้ารู้สึกขุ่นข้องใจโดยสิ้นเชิง พวกเขาเต็มไปด้วยคำโป้ปด สิ่งที่พวกเขาพูดล้วนเป็นเท็จ เป็นคำหวาน และหลอกลวง หนทางของการประพฤติและการจัดการกับโลกของพวกเขาล้วนเป็นไปตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและคำคมในการดำเนินชีวิต ความคิดและทรรศนะของพวกเขาล้วนผิดและไร้สาระทั้งสิ้น อีกทั้งเป็นสิ่งที่เกินจะฟัง แล้วเจ้าก็จะพูดกับตนเองในใจว่า “ฉันเคยมีพวกเขาอยู่ในใจตลอดเวลา และกลัวอยู่เสมอว่าพวกเขาจะไม่มีชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้การใช้ชีวิตอยู่กับคนพวกนี้มันช่างเหลือทนจริงๆ!” เจ้าจะถูกพวกเขาขับไล่ไสส่ง เจ้ายังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด ดังนั้นเจ้าจึงยังคิดว่าสายใยครอบครัวนั้นสำคัญและเป็นจริงยิ่งกว่าสิ่งใด เจ้าจะยังถูกบีบคั้นจากความรักใคร่เอ็นดู จงพยายามปล่อยมือจากสิ่งที่เป็นความรักใคร่เอ็นดูทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าทำได้ หากเจ้าไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็จงให้ความสำคัญกับหน้าที่เป็นอันดับแรก พระบัญชาของพระเจ้าและภารกิจของเจ้าสำคัญที่สุด การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และตอนนี้จงอย่ามัวสนใจสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับญาติพี่น้องทางเนื้อหนังของเจ้า เมื่อพระบัญชาและหน้าที่ของเจ้าลุล่วงแล้ว ความจริงย่อมจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเจ้า ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าของเจ้าจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของเจ้าจะยิ่งใหญ่ขึ้นและชัดเจนขึ้น จากนั้นสภาวะในตัวเจ้าจะเปลี่ยนไป เมื่อสภาวะของเจ้าเปลี่ยนไป ทรรศนะและความรักใคร่เอ็นดูทางโลกของเจ้าจะเลือนหาย เจ้าจะไม่แสวงหาสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป และหัวใจของเจ้าจะต้องการแค่แสวงหาวิธีที่จะรักพระเจ้า วิธีทำให้พระองค์พอพระทัย วิธีใช้ชีวิตในลักษณะที่พระเจ้าทรงโปรด รวมถึงวิธีใช้ชีวิตอยู่ด้วยความจริง เมื่อหัวใจของเจ้าเพียรพยายามไปสู่การนี้ สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังจะค่อยๆ เลือนหายไป และจะไม่สามารถผูกมัดหรือควบคุมเจ้าได้อีกต่อไป
คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ถูกความรักใคร่เอ็นดูต่อครอบครัวของฉันบีบคั้นเวลาที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเวลาอยู่ว่างๆ ฉันจะเริ่มคิดถึงพวกเขา” แล้วผลของการคิดถึงครอบครัวของเจ้าคืออะไร? หากนั่นสามารถนำเจ้าให้เริ่มคิดลบและไม่เต็มใจลุล่วงหน้าที่ของตน เช่นนั้นเจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อหาหนทางแก้ไข เมื่อเจ้าได้แก้ไขปัญหาแล้ว คราวหน้าเมื่อเจ้ามีเวลาได้อยู่ว่างๆ เจ้าก็จะไม่คิดถึงครอบครัวอยู่เป็นนิจ และนั่นจะไม่ทำให้เกิดผลใดๆ ตามมาอีก ดังนั้นไม่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเสมอ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด การคิดถึงครอบครัวของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล กุญแจสำคัญคือเจ้าจำเป็นต้องคิดว่าผลที่ตามมาของการคิดถึงบ้านอยู่เป็นนิจคืออะไร และเรื่องนี้ควรแก้ไขอย่างไร เจ้าควรใคร่ครวญว่า “สภาวะนี้ของฉันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมฉันคิดถึงครอบครัวของฉันอยู่ตลอดเวลา? ความจริงส่วนใดที่ไม่ชัดเจนสำหรับฉัน? ความจริงประการใดที่ฉันควรเข้าไปสู่?” จงปฏิบัติเช่นนี้ และเจ้าจะมีการเข้าไปสู่ความจริงโดยเร็ว เจ้าต้องใคร่ครวญความจริงในจิตใจอยู่เสมอ ยิ่งเจ้าทำมากเท่าไร การเข้าใจความจริงของเจ้าจะชัดเจนมากขึ้น และเจ้าจะมีเส้นทางปฏิบัติในจิตใจของมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้จะนำไปสู่การเข้าใจความจริงโดยแท้จริงมากกว่าแค่การมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยผิวเผิน เมื่อถึงจุดนี้เจ้าจะต้องการหาผู้คนเพื่อสามัคคีธรรมด้วย จุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมคืออะไร? จุดประสงค์คือเพื่อได้รับการยืนยัน เพื่อเข้าใจความจริงได้อย่างถูกต้องมากขึ้นโดยไร้ซึ่งการเบี่ยงเบนใดๆ ในหนทางนี้เจ้าจะไม่มีความยากลำบากใดๆ และจิตใจของเจ้าจะบรรลุการปลดปล่อยและอิสรภาพ ไม่อยู่ภายใต้การบีบคั้นใดๆ อีกต่อไป เจ้าจะไม่คิดถึงครอบครัวของเจ้าอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป และเจ้าจะสามารถหลุดพ้นจากภาระผูกพันทางโลก สภาวะของเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้น พวกเจ้าทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะใคร่ครวญความจริง พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าวันนี้เจ้าได้ทำบางสิ่งที่เจ้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้องนักและดูเหมือนขัดต่อหลักธรรม แต่เจ้าไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด นี่คือเวลาที่เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงโดยคิดว่า “ประเด็นปัญหานี้สัมพันธ์กับความจริงประการใด? ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวโยงกับหลักธรรมข้อใด?” เจ้าควรหาใครบางคนเพื่อสามัคคีธรรมความจริง มองย้อนกลับไป และคิดทบทวน ในที่สุดเมื่อเจ้าพบที่มาของปัญหาและแก้ไขปัญหานั้นผ่านการแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น และเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้สร้างความก้าวหน้าในเรื่องของความจริงมากขึ้น เจ้าจะสามารถมองทะลุบางเรื่องราวและเข้าใจคำพูดทางฝ่ายวิญญาณบางส่วน หรือเจ้าจะสามารถเข้าใจว่าคำสอนหรือคำขวัญบางอย่างที่ถูกกล่าวถึงซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอนั้น อันที่จริงแล้วชี้ให้เห็นหรือหมายความว่าอย่างไร นี่คือการมีความเข้าใจความจริงบางอย่างและการรู้จักวิธีปฏิบัติความจริง จากนั้นเจ้าจะมุ่งหน้าและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น โดยสามัคคีธรรมถึงคำขวัญนี้จนกระทั่งเข้าใจอย่างชัดแจ้ง และเปลี่ยนสิ่งนั้นเป็นเส้นทางปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่ดีมิใช่หรือ? นี่คืออีกหนึ่งหนทางในการก้าวไปข้างหน้า บางเวลาเจ้าจะเห็นใครบางคนกับสภาวะบางอย่าง และเจ้าอาจใคร่ครวญว่า “เหตุใดบุคคลนี้จึงมีสภาวะแบบนี้? สภาวะนี้ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร? เหตุใดฉันจึงไม่มีสภาวะแบบนี้? สิ่งที่พวกเขาพูดแสดงให้เห็นถึงสภาวะและวิธีคิดบางอย่าง วิธีคิดแบบนี้ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร? ปัญหานั้นเกิดขึ้นที่ไหน? สิ่งนี้สัมพันธ์กับความจริงในแง่มุมไหน? ฉันไม่ควรแสวงหาความจริงด้วยหรือ?” ผ่านการสามัคคีธรรมและการแสวงหา เจ้าย่อมพบปัญหาและตระหนักว่าสภาวะของพวกเขาคือบางสิ่งที่เจ้ามีเช่นกัน เจ้าได้เทียบสถานการณ์ของพวกเขากับของเจ้าแล้วใช่หรือไม่? ความพยายามนี้คุ้มค่ามิใช่หรือ? (ใช่) หลังจากพบปัญหานั้น เจ้าก็หาใครสักคนมาสามัคคีธรรมด้วย ท้ายที่สุดเมื่อเจ้าพบคำตอบและเข้าใจแล้วว่าอะไรคือปัญหา ปัญหานั้นย่อมได้รับการแก้ไข การแก้ปัญหาเป็นเรื่องง่ายเมื่อเจ้าสามารถค้นพบปัญหา หากเจ้าไม่สามารถค้นพบปัญหา ปัญหานั้นย่อมไม่มีวันได้รับการแก้ไข บางครั้งเมื่อจิตใจของเจ้าสงบลงแล้ว ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไตร่ตรองความจริงและพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าเสียโอกาสนี้โดยเปล่าประโยชน์ไปกับการบำรุงเลี้ยงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ การคิดที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหา หากเจ้ามัวกังวลเรื่องครอบครัวของเจ้าอยู่เป็นนิจและคว้าทุกโอกาสที่เจ้ามีเพื่อเชื่อมโยงกับพวกเขาทางอารมณ์ จิตใจของเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยสิ่งพัวพันทางอารมณ์เหล่านี้อยู่เสมอ เจ้าจะไม่สามารถตัดความผูกพันเหล่านี้และไม่สามารถปล่อยมือได้ เจ้าควรอธิษฐานให้มากขึ้น อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้าบ่อยๆ เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง อย่างน้อยเจ้าก็จะไม่ถูกบีบคั้นจากครอบครัว เนื้อหนัง หรือความรักใคร่เอ็นดู สิ่งเหล่านี้จะถูกปล่อยมือได้อย่างง่ายดาย นี่คือหนทางก้าวไปข้างหน้า ที่จริงแล้วประสบการณ์ของผู้คนมากมายก็เป็นเช่นนี้ การแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ต้องอาศัยการมีประสบการณ์ในระยะหนึ่งเสมอ เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง ปัญหาทั้งหลายก็ย่อมแก้ไขได้โดยง่าย
บทตัดตอน 83
ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีจะมีรากฐานอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วมีปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข ผู้คนส่วนใหญ่พอจะเข้าใจแง่มุมทั้งปวงของความจริงอยู่บ้าง และพวกเขาก็สามารถกล่าวถ้อยคำและประกาศคำสอนที่ถูกต้องได้ แต่ในชีวิตจริง พวกเขายังไม่มีประสบการณ์ว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้อง แท้จริงแล้วพวกเขายังไม่เคยมีประสบการณ์ว่าความหมายที่แท้จริงและด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงที่บรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านี้คืออะไร การที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้น เจ้าจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีคนที่ถูกต้องอยู่เคียงข้าง รวมทั้งมีผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่เหมาะสมซึ่งทำให้เจ้าสามารถเติบโตในชีวิตได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งความจริงและคำสอนที่เจ้าเข้าใจเหล่านี้ย่อมจะได้รับการยืนยัน และจะทำให้เจ้าได้รับประสบการณ์ ถ้าหย่อนเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิตลงไปในดินอันอุดม แต่กลับขาดแสงแดดและความชุ่มชื้นจากน้ำฝน ต้นอ่อนที่งอกขึ้นมาจากเมล็ดพันธุ์นั้นจะไม่เหี่ยวเฉาหรอกหรือ? (ย่อมจะเหี่ยวเฉา) ดังนั้น เมื่อเจ้าได้ฟังคำเทศนาไปมากมาย ฟังความจริงไปมากมาย และฟังพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า และเจ้าแน่ใจแล้วว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ถึงตอนนี้เจ้าย่อมต้องการอะไร? เจ้าจำเป็นต้องขอให้พระเจ้าจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้แก่เจ้า สภาพแวดล้อมอันเป็นที่เจริญใจและเกื้อกูลชีวิตของเจ้า ทั้งยังสามารถทำให้เจ้าเติบโตในชีวิตได้ สภาพแวดล้อมที่ว่านี้อาจไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก—เนื้อหนังของคนเราต้องสู้ทนความยากลำบาก และคนเราต้องประกาศตัดขาดและปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ มากมาย เมื่อถึงตอนนี้ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนล้วนมีประสบการณ์มาแล้ว ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านไปหาลูกๆ หรือคู่ครองได้ หรือไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ ไม่สามารถพบหน้าญาติพี่น้องหรือเพื่อนๆ หรือรับข่าวคราวใดๆ จากพวกเขาได้ ในเวลาดึกสงัด เจ้าก็จะเริ่มนึกถึงทางบ้านว่า “พ่อเป็นอย่างไรบ้าง? พ่อแก่แล้ว และฉันก็ไม่มีหนทางที่จะเชิดชูพ่อ แม่ฉันก็สุขภาพย่ำแย่ ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าจะไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ? หากหัวใจของเจ้าถูกเรื่องเช่นนี้บีบรัดอยู่ตลอดเวลา นี่ย่อมจะส่งผลเช่นไรต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า? หากเจ้าไม่เข้าไปวุ่นวายหรือพะว้าพะวังกับเรื่องทางโลกและเนื้อหนังมากนัก ก็ย่อมเป็นผลดีต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า การคิดและกังวลของเจ้าจะไม่ช่วยอะไร เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเจ้าก็เปลี่ยนชะตากรรมของคนในครอบครัวเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกของเจ้าในฐานะของผู้เชื่อในพระเจ้าก็คือการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ ทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ได้รับความเชื่อที่แท้จริง เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เติบโตในชีวิต และได้รับความจริง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดูจากภายนอกเหมือนผู้คนละทิ้งโลกและครอบครัวของตนกันอย่างแข็งขัน แต่แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น? (เป็นพระเจ้าที่ทรงดูแลและจัดแจงเรื่องนี้) เป็นการจัดแจงของพระเจ้า เป็นพระองค์ที่ทรงขัดขวางไม่ให้เจ้าพบหน้าครอบครัว กล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้นก็คือ พระเจ้าทรงกีดกันเจ้าจากพวกเขา นี่คือคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดมิใช่หรือ? (ใช่) ผู้คนพูดเสมอว่าพระเจ้าทรงปกครอง และจัดแจงสิ่งทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงดูแลเรื่องนี้อย่างไร? พระองค์ทรงพาเจ้าออกจากบ้าน ไม่ให้ครอบครัวของเจ้ากลายเป็นภาระที่คอยถ่วงเจ้า แล้วพระองค์ทรงพาเจ้าไปที่ใด? พระองค์ทรงพาเจ้าไปยังสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเนื้อหนังมาพัวพัน ที่ซึ่งเจ้าไม่อาจพบเจอผู้คนที่เจ้ารักได้ เมื่อเจ้าพะวงถึงพวกเขา และอยากจะทำบางสิ่งเพื่อพวกเขา เจ้าก็จะไม่สามารถทำได้ และเมื่อเจ้าอยากจะแสดงความกตัญญู เจ้าก็จะไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่สามารถเข้ามาพัวพันเจ้าอีกต่อไป พระเจ้าทรงย้ายเจ้าออกมาพ้นตัวพวกเขา และกีดกันเจ้าจากสิ่งพัวพันเหล่านี้ หาไม่แล้ว เจ้าก็จะยังคงกตัญญูต่อพวกเขา ให้การปรนนิบัติพวกเขา และทำงานให้พวกเขาเหมือนทาส การที่พระเจ้าทรงพาเจ้าออกมาจากสิ่งพัวพันภายนอกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี? (เป็นเรื่องดี) นี่เป็นเรื่องดีและไม่จำเป็นที่จะต้องเสียใจ ในเมื่อเป็นเรื่องดี ผู้คนควรทำอย่างไร? ผู้คนควรขอบคุณพระเจ้าด้วยการกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรักข้าพระองค์ยิ่งนัก!” คนเราไม่อาจก้าวข้ามพันธนาการแห่งความเสน่หาได้ด้วยตนเอง เพราะหัวใจของผู้คนล้วนถูกความเสน่หาบีบคั้น พวกเขาล้วนปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับครอบครัว อยากให้ทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างปลอดภัย มีสุขภาพดี และมีความสุขกันทุกคน แล้วก็ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปทุกวันโดยไม่มีวันพรากจากกัน แต่นี่ก็มีข้อเสีย เจ้าจะอุทิศน้ำพักน้ำแรงและความพยายามทั้งหมดในชีวิตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า ช่วงอายุที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้า และส่วนที่ดีที่สุดทั้งหมดในชีวิตของเจ้าให้กับพวกเขา เจ้าจะสละทั้งชีวิตเพราะเห็นแก่เนื้อหนัง ครอบครัว ผู้คนอันเป็นที่รัก การงาน ชื่อเสียงและโชคลาภ ตลอดจนสัมพันธภาพที่ซับซ้อนทุกรูปแบบ และผลที่ตามมาก็คือเจ้าจะทำลายตัวเองจนสิ้น ดังนั้น พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างไร? พระเจ้าตรัสว่า “จงอย่าทำลายตัวเองอยู่ในปลักโคลนนี้ หากเท้าทั้งสองของเจ้าติดอยู่ เจ้าจะไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ไม่ว่าเจ้าจะทุ่มเทเรี่ยวแรงเช่นใดก็ตาม เจ้าไม่มีวุฒิภาวะหรือความกล้าหาญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเชื่อเลย เราจะพาเจ้าออกมาเอง” นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทำ และพระองค์ไม่ทรงหารือเรื่องนี้กับเจ้า ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงขอความเห็นจากผู้คน? บางคนพูดว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระประสงค์ มนุษย์ก็เป็นเหมือนมดปลวก ไร้ซึ่งความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้า” นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นหรือไม่? ไม่เลย พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายและประทานความจริงเหล่านั้นเป็นของขวัญแก่มนุษย์ ช่วยให้ผู้คนได้รับการชำระล้างให้สะอาดจากความเสื่อมทรามของตนได้ และได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์ ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่นัก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์เกี่ยวกับเจ้า จุดประสงค์ของพระองค์ในการนำเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าเริ่มต้นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เพื่อให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เป็นเส้นทางที่เจ้าย่อมจะไม่สามารถเลือกเองได้ ความปรารถนาในใจของผู้คนก็คือการใช้ชีวิตโดยสวัสดิภาพอย่างตลอดรอดฝั่ง และต่อให้พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร อย่างน้อยพวกเขาก็อยากจะอยู่พร้อมหน้าครอบครัวตลอดไป และรื่นรมย์กับความสุขในครอบครัวแบบนี้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำเช่นไรจึงจะเป็นการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่เข้าใจด้วยว่าควรจะคิดถึงบั้นปลายในอนาคตของตนหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไร แต่พระเจ้าไม่ทรงวิตกที่พวกเขาไม่เข้าใจ และพระองค์ไม่จำเป็นต้องตรัสกับพวกเขาให้มากความ เพราะพวกเขาย่อมไม่เข้าใจ วุฒิภาวะของพวกเขามีน้อยเกินไป และการสนทนาใดๆ ย่อมจะพบแต่ทางตันเท่านั้น เหตุใดจึงพบทางตัน? เพราะเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ด้วยคำอธิบายเพียงหนึ่งหรือสองประโยค ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจึงตัดสินพระทัยและดำเนินการโดยตรงจนกว่าจะถึงวันที่ผู้คนเข้าใจในที่สุด
เมื่อพระเจ้าทรงพาประชากรบางส่วนที่พระองค์ทรงเลือกสรรออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในจีนแผ่นดินใหญ่ พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์อันดีในเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างก็ประจักษ์แล้ว จากเรื่องนี้ผู้คนต้องแสดงสำนึกรู้คุณและขอบคุณพระเจ้าที่แสดงพระคุณแก่พวกเขา เจ้าออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นของครอบครัวแล้ว แยกตัวจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคลอันซับซ้อนของเนื้อหนังแล้ว และพ้นจากสิ่งพัวพันทางโลกและทางเนื้อหนังทั้งปวงแล้ว พระเจ้าทรงพาเจ้าออกมาจากกับดักอันซับซ้อน เข้าสู่การสถิตของพระองค์และพระนิเวศของพระองค์แล้ว พระเจ้าตรัสว่า “ที่นี่มีสันติสุข ที่นี่ดีงามยิ่ง เหมาะแก่การเติบโตของเจ้า ที่นี่มีพระวจนะและการนำทางของพระเจ้า และเป็นที่ซึ่งความจริงเป็นใหญ่ น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดก็อยู่ในที่แห่งนี้ และพระราชกิจแห่งความรอดก็มีศูนย์กลางอยู่ที่นี่ ดังนั้นเจ้าจงเติบโตอยู่ที่นี่จนพอใจเถิด” พระเจ้าทรงนำเจ้าเข้าสู่สภาพแวดล้อมแบบนี้ สภาพแวดล้อมที่อาจไม่มีความชูใจจากผู้คนที่เจ้ารัก ไม่มีลูกๆ ของเจ้าอยู่รอบๆ คอยดูแลเจ้าในยามป่วยไข้ และไม่มีใครให้เจ้าบอกเล่าความในใจ ยามที่เจ้าอยู่คนเดียวและนึกถึงความทุกข์และความลำบากยากเย็นของเนื้อหนัง รวมทั้งทุกสิ่งที่เจ้าจะเผชิญในอนาคต ในห้วงเวลาเหล่านั้นเจ้าจะรู้สึกเดียวดาย ทำไมเจ้าถึงจะรู้สึกเดียวดาย? สาเหตุอย่างหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริงก็คือผู้คนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป แล้วเหตุผลด้านความรู้สึกส่วนตัวคืออะไร? (ผู้คนยังปล่อยมือจากผู้เป็นที่รักทางเนื้อหนังของตนไม่หมด) ถูกต้องแล้ว เป็นเพราะผู้คนไม่สามารถปล่อยมือจากคนเหล่านั้นได้ ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนังต่างมีความยินดีในสัมพันธภาพที่หลากหลายและความผูกพันในครอบครัวของเนื้อหนัง คนเหล่านี้เชื่อว่าไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากผู้คนที่ตนรัก เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดบ้างว่าเจ้ามายังโลกมนุษย์อย่างไร? เจ้ามาเพียงลำพัง ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ใดแต่กำเนิด พระเจ้าทรงพาผู้คนมาที่นี่ทีละคน ที่จริงแล้วตอนเจ้ามา เจ้าก็มาเพียงลำพัง ในเวลานั้นเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกเดียวดาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้สึกเดียวดายเวลาพระเจ้าพาเจ้ามาที่นี่ในตอนนี้? เจ้าคิดว่าเจ้าขาดคู่หูที่สามารถเล่าความในใจให้ฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ ของเจ้า พ่อแม่ของเจ้า หรือคู่ชีวิตของเจ้า—ซึ่งก็คือสามีหรือภรรยา—และดังนั้น เจ้าจึงรู้สึกเดียวดาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาเจ้ารู้สึกเดียวดาย ทำไมเจ้าจึงไม่นึกถึงพระเจ้า? พระเจ้าคือเพื่อนร่วมทางของมนุษย์มิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อเจ้ารู้สึกทุกข์และโศกเศร้าอย่างที่สุด ผู้ใดสามารถชูใจเจ้าได้อย่างแท้จริง? ผู้ใดสามารถแก้ปัญหาให้เจ้าได้อย่างแท้จริง? (พระเจ้า) มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขความยากลำบากของผู้คนได้อย่างแท้จริง หากเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมีลูกๆ อยู่เคียงข้าง รินเครื่องดื่มให้เจ้า คอยรับใช้เจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกมีความสุขมาก แต่พอเวลาผ่านไป ลูกๆ ของเจ้าก็จะเบื่อหน่ายและไม่มีใครเต็มใจที่จะอยู่รับใช้เจ้า ในเวลาเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกเดียวดายอย่างแท้จริง! ดังนั้น ในตอนนี้ที่เจ้าคิดว่าตัวเองไม่มีคู่หู นั่นจริงไหม? ไม่จริงเลย เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเสมอ! พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งผู้คน พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งและที่พักพิงให้ผู้คนได้เสมอ และทรงเป็นเพียงผู้เดียวที่ผู้คนบอกเล่าความในใจได้ ดังนั้น ไม่ว่าความยากลำบากและความทุกข์ใดจะเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้าความคับข้องใจหรือเรื่องอันใดที่พาให้คิดลบและอ่อนแอก็ตาม หากเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานในทันที พระวจนะของพระองค์จะชูใจเจ้า และแก้ไขความยากลำบาก ตลอดจนปัญหาต่างๆ ให้แก่เจ้า ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความเหงาของเจ้าจะกลายเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นให้กับการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความจริง ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์ เจ้าจะค่อยๆ คิดได้ว่า “ฉันยังคงมีชีวิตที่ดีหลังจากที่จากพ่อจากแม่มา ยังคงมีชีวิตที่เต็มอิ่มหลังจากที่จากสามีมา และยังคงมีชีวิตที่สงบสุขและชื่นบานหลังจากที่จากลูกๆ มา ฉันไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ฉันจะไม่พึ่งพาผู้คนอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระเจ้าแทน พระองค์จะทรงดูแลและช่วยเหลือฉันทุกเมื่อ แม้ว่าฉันไม่อาจจะสัมผัสหรือมองเห็นพระองค์ได้ แต่ฉันก็รู้ว่าพระองค์สถิตอยู่เคียงข้างฉันทุกหนแห่งตลอดเวลา ตราบใดที่ฉันอธิษฐานถึงพระองค์ ตราบใดที่ฉันขอให้พระองค์ช่วย พระองค์จะทรงดลใจฉัน ทำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้อง” ถึงตอนนั้น พระองค์จะทรงกลายเป็นพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง และปัญหาทั้งปวงของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไข
บทตัดตอน 84
ไต้หวันเป็นมณฑลประชาธิปไตยซึ่งมีความมั่นคงทางสังคม ซึ่งผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความเจริญรุ่งเรือง ความสงบเรียบร้อยของประชาชน คุณภาพชีวิต ค่านิยมทางวัฒนธรรม และสิ่งอื่นๆ ล้วนดีกว่าในจีนแผ่นดินใหญ่อย่างยิ่ง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมาก แม้ว่าการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้คนจำนวนมากที่เชื่อในพระเจ้าและใช้ชีวิตอย่างสบายนั้นกลับไม่เต็มใจจะติดตามพระองค์ นับประสาอะไรกับการทนทุกข์หรือจ่ายราคา การละทิ้งสิ่งที่พวกเขามีทั้งหมดและสละตนเพื่อพระเจ้านั้นเป็นเรื่องยากมาก เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่หรือ? เมื่อผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างสะดวกสบาย พวกเขาย่อมมักจะคิดถึงแต่เรื่องกิน ดื่ม และหาความบันเทิงอยู่เสมอ คิดว่าจะสุขสำราญในเนื้อหนังและสุขสำราญกับชีวิตได้อย่างไร สิ่งนี้ส่งผลบางอย่างต่อผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้คนในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่สะดวกสบายเช่นนี้จำนวนมากต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่กลับทำเช่นนั้นได้อย่างยากลำบาก พวกเขาไม่เต็มใจที่จะอดทนต่อความทุกข์แม้เพียงน้อยนิด และพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานต่างๆ ให้กับคริสตจักรอย่างมีประสิทธิผล บางครั้งก็เกิดผลกระทบต่อความคืบหน้าในงานของพวกเขา ซึ่งมีความเกี่ยวโยงบางอย่างกับสภาพแวดล้อมทางสังคมของพวกเขา เรารู้สึกประทับใจเมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่พวกเรามาชุมนุมกัน พวกเจ้าสามารถนั่งและฟังคำเทศนาได้ตั้งแต่เริ่มจนจบ คนบางคนในจีนแผ่นดินใหญ่สามารถเชื่อในพระเจ้าเพราะถูกสกัดกั้นโดยสภาพแวดล้อมของพวกเขา ถูกกดขี่ ถูกสังคมเลือกปฏิบัติ และต้องทนทุกข์จากการข่มเหงอย่างแสนสาหัส ในขณะที่บางคนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะพวกเขากำลังมองหาความยุติธรรมและเหตุผล หรือเพื่อหาการสนับสนุนฝ่ายวิญญาณและสิ่งที่พึ่งพาได้ สำหรับบางคน ความกระตือรือร้น ความเชื่อ และความจงรักภักดีของพวกเขาถูกปลุกขึ้นภายใต้การข่มเหงอันโหดเหี้ยมของพญานาคใหญ่สีแดง บางคนถูกบีบให้จำต้องหนีไปต่างประเทศ เพราะการเชื่อในพระเจ้าในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นเรื่องยากยิ่งและหลายๆ คนก็ถูกไล่ล่า—พวกเขาไม่มีที่ใดให้หลบซ่อน เหล่านี้คือสาเหตุที่พวกเขาต้องหนีไปต่างประเทศ เมื่อเทียบกับสภาพการใช้ชีวิตที่กดขี่และโหดร้ายในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ผู้คนในไต้หวันมีชีวิตที่ง่ายดายมาก ด้วยชีวิตที่สะดวกสบายเช่นนี้ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นจึงไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์หรือจ่ายราคา และเมื่อพวกเขาพบเจอกับการข่มเหงหรือความทุกข์ทรมาน พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป ผู้คนเพียงแต่สำราญกับการกิน ดื่ม และหาความบันเทิงเมื่อชีวิตสะดวกสบายเช่นนี้ พวกเขากังวลกับสิ่งทั้งหลาย เช่น “ฉันควรจะกินอะไรดี? ฉันควรไปเที่ยวที่ไหน? มีประเทศไหนที่ฉันยังไม่เคยไปบ้าง? หนึ่งช่วงชีวิตมนุษย์มีเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ถ้าฉันไม่ได้ไปเที่ยวประเทศต่างๆ ทั่วโลกและเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลขึ้น ฉันก็คงใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าไม่ใช่หรือ?” นี่เป็นสาเหตุที่หัวใจของคนคนหนึ่งไม่เชื่อฟังและไม่สามารถควบคุมได้ คนเรายังสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ได้อย่างสงบเช่นนี้หรือ? คนเรายังสามารถฟังคำเทศนาในที่ชุมนุมอย่างตั้งอกตั้งใจได้หรือ? แน่นอนว่าจะทำได้ยาก ดังนั้น เมื่อคนเราได้รับการหนุนใจให้เชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เกิดความอึดอัด และคอยแต่รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ก่อให้เกิดการทดลองและอุปสรรคร้ายแรงต่อผู้คนไม่ใช่หรือ? ใช่ ผู้คนล้วนกระหายความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ทว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ความสะดวกสบายไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีในแง่การเติบโตของชีวิต คนส่วนใหญ่กลายเป็นคิดลบและอ่อนแอเมื่อทนทุกข์เพียงน้อยนิดและไม่มีความตั้งใจจริงเลย นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการมีสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายหรอกหรือ? มีวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์ทุกรูปแบบที่แสดงให้เห็นถึงการที่เหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่ถูกทรมานในคุก ถูกตัดสินโทษ และถูกคุมขัง พวกเจ้าทุกคนเคยเห็นวิดีโอเหล่านี้บ้างไหม? (พวกเราเคยเห็น) แล้วพวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากได้เห็นวิดีโอเหล่านั้น? (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากจะเล่าถึงความรู้สึกของตัวเองสักหน่อย หลังจากได้เห็นเหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่ถูกข่มเหงด้วยการทรมานทั้งหมดนั้น และเห็นว่าพวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า พึ่งพาพระองค์ และยึดมั่นในความเชื่อของตนเองในสภาพแวดล้อมที่ลำบากยากเย็นแบบนั้น มีประสบการณ์ภายใต้การนำของพระเจ้าไปทีละขั้นในขณะที่ยืนหยัดในคำพยานของตนและไม่ทรยศต่อพระองค์ ข้าพระองค์รู้สึกว่าพวกเขามีความเชื่อมากกว่าและมีวุฒิภาวะที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเรา ข้าพระองค์คงไม่สามารถยืนหยัดได้อย่างพวกเขาหากข้าพระองค์อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ซึ่งทำให้ข้าพระองค์รู้สึกว่าตนเองมีวุฒิภาวะน้อยมาก) เหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงสามารถยืนหยัดที่จะเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุม และปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้สภาพแวดล้อมที่พวกเขาต้องทนทุกข์จากการข่มเหงอันโหดเหี้ยมของพญานาคใหญ่สีแดง นี่คือคำพยาน และเป็นคำพยานที่ทรงพลัง การที่พวกเขาสามารถตั้งมั่นในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้คือคำพยาน ดังนั้น พวกเจ้าที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายเช่นนี้ควรพิจารณาว่าจะมอบคำพยานในแบบที่ต่างออกไปได้อย่างไร ประการแรก เจ้าควรทะนุถนอมทุกสิ่งในชีวิตนี้และสภาพแวดล้อมเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เจ้า รวมถึงเจ้าควรใคร่ครวญด้วยว่าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่ทำให้พระเจ้าต้องทรงอับอาย และกลายเป็นผู้ชนะได้อย่างไร การเชื่อในพระเจ้าในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย แม้คนเราอาจไม่อยู่ภายใต้การปราบปรามและข่มเหงด้วยการทรมานจากรัฐบาล แต่จะมีการข่มเหงจากครอบครัวและญาติพี่น้อง และคนเรายังคงต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ได้รับความจริง และตั้งมั่นในคำพยานของตน ไม่ว่าคนเราจะเชื่อในพระเจ้าท่ามกลางสภาพแวดล้อมใดก็ตาม การได้รับความจริงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เจ้าต้องทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อที่จะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง เพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า เจ้าต้องเกิดความเข้าใจความจริงในทุกแง่มุมของประสบการณ์ สิ่งนี้ไม่เพียงหมายถึงการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและพระนามของพระเจ้าเท่านั้น โดยหลักแล้วสิ่งนี้หมายถึงคำพยานจากประสบการณ์ในชีวิตด้วย ในกลุ่มคนใดหรือภายใต้ระเบียบทางสังคมของประเทศใดก็ตาม ผู้คนจะทนทุกข์จากการเลือกปฏิบัติ การกีดกันออก หรือการข่มเหงอยู่บ้างหากพวกเขาดำเนินชีวิตตามความจริง มานะบากบั่นในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และพยายามนบนอบพระเจ้า นี่เป็นเพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ได้นบนอบพระเจ้าเช่นกัน มีพรรคการเมืองที่ถืออเทวนิยมกุมอำนาจอยู่ ทั้งยังปฏิเสธความจริงและปฏิเสธพระเจ้า การเชื่อในพระเจ้าในประเทศเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีการข่มเหงหรือความทุกข์ทรมาน ก็จะมีข้อจำกัดบางประการ รวมถึงการอยู่ภายใต้การเลือกปฏิบัติ การใส่ร้าย การตัดสิน และการกล่าวโทษหากเจ้าต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า—นี่ล้วนเป็นข้อเท็จจริง หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดแจ้ง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่คนที่เข้าใจความจริง การยอมรับและติดตามพระคริสต์ในประเทศใดก็ตามมาพร้อมกับการข่มเหงและความทุกข์ทรมานในระดับหนึ่ง เจ้าต้องกระทำโดยระมัดระวังเสมอ และอธิษฐานถึงและมองไปที่พระเจ้า รวมถึงเจ้าต้องมีความฉลาดและสติปัญญาด้วย ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในประเทศและสภาพแวดล้อมทางสังคมแบบใดก็ตาม ทุกประเทศล้วนมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมและจัดการเตรียมการไว้สำหรับเจ้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ สภาพแวดล้อมที่สบายนำการทดลองมาสู่ผู้คน ในขณะที่การข่มเหงด้วยการทรมานก็นำมาซึ่งการทดลองและบททดสอบเช่นกัน แล้วในสภาพแวดล้อมที่สบายมีบททดสอบหรือไม่? มีบททดสอบของพระเจ้าเช่นกัน พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมที่สบายนี้ไว้สำหรับเจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้อย่างไร—ไม่ว่าเจ้าจะติดบ่วงของซาตานและอยู่ในการทดลองของซาตานอย่างเต็มตัว หรือเจ้าจะสามารถมีชัยเหนือมันได้ทุกประการและเป็นพยานให้พระเจ้าโดยยึดมั่นในความจงรักภักดีและหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้อย่างไรและทางที่เจ้าเลือก เหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่มีสภาพแวดล้อมที่ทรหดกว่าเล็กน้อย และพระเจ้าได้ทรงมอบภาระที่หนักกว่าเล็กน้อยให้พวกเขา และทรงกำหนดสภาพแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นอีกเล็กน้อยสำหรับพวกเขา แต่พระองค์ก็ประทานแก่พวกเขามากกว่าด้วย ยิ่งสภาพแวดล้อมทรหดและบททดสอบที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ยิ่งใหญ่กว่าเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น แต่ในสภาพแวดล้อมที่สบาย ผู้คนก็ประสบกับการทดลองและบททดสอบทุกที่เช่นกัน และพระเจ้าก็ได้ประทานอะไรมากมายให้กับเจ้าเช่นเดียวกัน หากเจ้าสามารถมีชัยเหนือการทดลองทุกครั้งที่เจ้าเผชิญกับมัน เจ้าก็จะไม่ได้รับน้อยไปกว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าที่พบเจอกับการข่มเหงด้วยการทรมาน สิ่งนี้ต้องอาศัยการไล่ตามเสาะหาความจริงและการมีวุฒิภาวะให้เอาชนะเช่นกัน ตัวอย่างเช่น สิ่งต่างๆ อย่างการอยู่ด้วยกันกับครอบครัว การกินและดื่มอย่างดี ความสำราญและความเพลิดเพลิน และกระแสนิยมทางสังคมบางอย่างที่ปลอบประโลมเนื้อหนังและก่อให้เกิดความเสื่อมทราม ล้วนเป็นการทดลองสำหรับเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญกับการทดลองเหล่านี้ การทดลองนั้นไม่เพียงแต่จะสะดุดตาเจ้าเท่านั้น แต่ยังเข้ามารบกวนและล่อลวงเจ้าด้วย เมื่อเจ้าทำตามสิ่งและกระแสทางโลก นั่นคือเวลาที่การทดลองของซาตานหรือที่คนเราอาจพูดว่าบททดสอบของพระเจ้าจะเกิดขึ้น เจ้าต้องเลือกว่าจะตอบสนองต่อการทดลองและบททดสอบเหล่านี้อย่างไร และนี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงทดสอบผู้คนและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาเป็นใคร นี่คือเวลาที่สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสกับเจ้าและความจริงที่เจ้าได้เข้าใจแล้วควรบังเกิดผล หากเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถเอาชนะการทดลองเหล่านี้ รวมถึงตั้งมั่นและเป็นพยานให้พระเจ้าในบททดสอบที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับเจ้า ถ้าเจ้ารักโลก รักกระแสนิยม รักการกระหายความสบายและสร้างความพึงพอใจให้กับเนื้อหนังของเจ้า และเจ้ารักชีวิตที่ว่างเปล่าแทนที่จะรักความจริง เจ้าก็จะทำตามสิ่งทางโลกเหล่านี้ เจ้าจะรู้สึกชื่นชมยินดี รวมทั้งถูกดึงดูดและครอบงำโดยสิ่งเหล่านี้ ใจของเจ้าจะหมดความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าไปทีละน้อย เจ้าจะกลายเป็นคนรังเกียจความจริง และจากนั้นซาตานจะฉกฉวยเจ้าไปท่ามกลางการทดลอง ในบททดสอบเช่นนี้ เจ้าจะสูญเสียคำพยานของตน มีหลายคนที่ได้ฟังคำเทศนามามากมายและกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ถึงกระนั้นภายในก็ยังคงรู้สึกว่างเปล่า พวกเขายังคงรักที่จะติดตามดาราดังและคนมีชื่อเสียง ตามกระแส ดูรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ และแม้แต่ดูการแสดงยาวไปตลอดทั้งคืนจนกลายเป็นคนใช้ชีวิตกลางคืนเป็นหลัก คนหนุ่มสาวบางส่วนเล่นวิดีโอเกมด้วยซ้ำ โดยสรุปแล้ว พวกเขาไม่ลังเลที่จะจ่ายราคาใดๆ และไล่ตามเสาะหาแต่สิ่งทันสมัยเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้? เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับความจริง คนที่ไม่ได้รับความจริงจะมีความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งความรู้สึกนั้นคือการไม่เห็นความแตกต่างอะไรมากระหว่างการเชื่อในพระเจ้ากับการไม่เชื่อในพระองค์ พวกเขายังคงรู้สึกว่างเปล่าอยู่ในหัวใจและรู้สึกว่าชีวิตของตนไร้ซึ่งความหมาย หากพวกเขาตามกระแสนิยม พวกเขาจะรู้สึกว่าตนได้รับการเติมเต็มมากกว่า ชีวิตของพวกเขามีความสมบูรณ์มากขึ้นอีกเล็กน้อย และพวกเขาก็มีความสุขมากขึ้นอีกหน่อยในแต่ละวัน หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและไม่ตามกระแสนิยม พวกเขาจะยังคงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมายและว่างเปล่า นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริง เจ้าสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเช่นกันว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อยและไม่มีความเป็นจริงความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ทำตามกระแสนิยม บางคนไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงและรู้สึกไม่มั่นคงแม้ว่าจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาไม่สามารถตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับการทดลอง และท้ายที่สุดก็ต้องถอนตัวออกไป บางคนค่อนข้างกระตือรือร้นและแน่วแน่เมื่อเริ่มปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเขากลับเลิกอยากปฏิบัติหน้าที่เมื่อเผชิญกับการทดลอง กลายเป็นคนสุกเอาเผากินและขาดความทุ่มเท ไม่มีคำพยานในสิ่งนี้ หากพวกเขาสามารถปล่อยมือจากหน้าที่ของตนทันทีที่เผชิญกับการทดลองและเลือกอะไรก็ตามที่ตนเลือกชอบ การนี้ย่อมไม่มีคำพยาน หากมีการทดลองอื่นเกิดขึ้น พวกเขาอาจปฏิเสธพระเจ้าและต้องการตามกระแสนิยมทางโลกและออกจากคริสตจักร หรือเมื่อมีการทดลองอื่นเกิดขึ้น พวกเขาเริ่มสงสัยในพระเจ้าและไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริงหรือไม่ และถึงกับเชื่อว่าตนเองวิวัฒนาการมาจากลิง คนเหล่านี้ถูกซาตานจับไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่ได้อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริงเมื่อเข้าไปข้องเกี่ยวในการทดลองทั้งหมดเหล่านี้ พวกเขาคิดถึงแต่โชคชะตาของเนื้อหนังของตน และผลก็คือพวกเขาไม่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตัวเอง พวกเขาถูกซาตานลากลงสู่นรกและเข้าสู่เหวแห่งความตายไปทีละขั้น พระเจ้าทรงมอบคนผู้นี้ให้กับซาตาน และพวกเขาไม่มีโอกาสได้รับความรอดอีกต่อไป จงบอกเราที การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่สำคัญหรอกหรือ? (สำคัญ) ความจริงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ความจริงสามารถทำอะไรได้บ้าง? อย่างน้อยที่สุด ความจริงสามารถช่วยให้เจ้าเห็นแผนการของซาตานอย่างปรุโปร่งเมื่อเจ้าเผชิญกับการทดลอง ช่วยให้รู้ว่าเจ้าควรทำและไม่ควรทำอะไร และเจ้าควรเลือกอะไร อย่างน้อยก็จะทำให้เจ้าได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความจริงจะทำให้เจ้าสามารถตั้งมั่นในการทดลองได้ เจ้าจะสามารถตั้งมั่น แน่วแน่ และไม่สั่นคลอน ในขณะที่ยึดมั่นในหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้า มีความจงรักภักดีต่อหน้าที่นี้ และสามารถปฏิเสธซาตาน เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าท่ามกลางบททดสอบได้อย่างที่โยบทำ นี่คือสิ่งอย่างน้อยที่สุดที่ผู้คนควรได้รับ
บทตัดตอน 85
คำที่พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้ามีหลักธรรมหรือไม่? พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ใดบ้าง? คำอธิษฐานของพวกเจ้ามีใจความว่าอย่างไร? คนส่วนใหญ่อธิษฐานเมื่อพวกเขาทนทุกข์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” นี่เป็นประโยคแรกที่พวกเขาพูด การพร่ำบอกในเวลาอธิษฐานว่าเจ้ากำลังทุกข์ทรมานใช่เรื่องดีหรือไม่? (ไม่ดี) ทำไมถึงไม่ดี? แล้วถ้าไม่ดี เหตุใดจึงยังอธิษฐานเช่นนั้นอยู่อีก? นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่รู้วิธีอธิษฐาน หรือไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดควรแสวงหาเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเจ้ารู้จักแต่การอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่อเจ้ามีความทุกข์เล็กน้อยและรู้สึกเศร้าโศก โดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน! ข้าพระองค์ทุกข์ใจเหลือเกิน ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” นี่คือคำอธิษฐานของคนที่เพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า เป็นคำอธิษฐานของเด็กทารก หากคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเนิ่นนานหลายปีแล้วยังอธิษฐานเช่นนี้อยู่ ก็ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงเป็นเด็กทารกที่ยังไม่เติบโตในชีวิต ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์อย่างไร คือผู้ที่ยังไม่เติบโตในชีวิตและยังไม่เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า หากเป็นคนที่ช่างคิดพิจารณาอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขาต้องตรึกตรองว่าทำอย่างไรจึงจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า จะกินและดื่มพระวจนะของพระองค์อย่างไร รวมทั้งจะมีประสบการณ์กับพระวจนะและปฏิบัติตามพระวจนะอย่างไร ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไปยังที่ใด ประสบการณ์ของคนเราก็ควรไปถึงที่นั้นด้วย คนเราต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ในที่แห่งนั้น หากผู้ใดสามารถปฏิบัติตามพระวจนะและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าด้วยหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเผชิญปัญหามากมาย และก็เป็นปกติที่พวกเขาจะแสวงหาความจริงจากพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น หากผู้ใดอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของตนด้วยวิธีนี้อยู่เสมอ ผู้นั้นก็กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ความยากลำบากของพวกเขาจะค่อยๆ ลดน้อยลงจากการแก้ไขปัญหาของตนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะเริ่มเข้าใจความจริงทีละน้อยและได้รับความรู้ในพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจะรู้ว่าควรให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างไร รวมทั้งควรนบนอบพระราชกิจของพระองค์อย่างไร นี่คือการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไร คนเหล่านี้สับสนอยู่เสมอ—พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่ใคร่ครวญ พวกเขาฟังคำเทศนา แต่ไม่สามัคคีธรรม และเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงหรือวิธีทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรหรือควรให้ความร่วมมืออย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเป็นฆราวาสในเรื่องเหล่านี้ และไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าปัญหาอันใดบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ลึกๆ แล้วคนเหล่านี้ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้าหรือเทิดทูนพระองค์ พวกเขาเอาแต่พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน” พวกเขาพร่ำพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนฟังรู้สึกเอือมระอาและรังเกียจ พวกเจ้าส่วนใหญ่อธิษฐานกันแบบนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) จากคำอธิษฐานของผู้คน จะเห็นได้ว่าภาวะของพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก! เจ้ามองหาพระเจ้าก็ต่อเมื่อกำลังทุกข์ทนเท่านั้น ในยามที่ไม่ได้กำลังทนทุกข์หรือไม่ได้กำลังเผชิญกับปัญหาใด เจ้าก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า และไม่ต้องการพึ่งพาพระองค์ พวกเจ้าเพียงแค่ต้องการเป็นนายของตัวเอง นี่คือภาวะที่พวกเจ้าเป็นอยู่ไม่ใช่หรือ? (ใช่) ตอนที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาถูกตัดแต่งและการจัดการโดยพระวจนะเหล่านั้น แล้วจากนั้นก็ทบทวนตนเองและพยายามทำความรู้จักกับตัวเอง พวกเขาอธิษฐานอย่างไรหรือ? พวกเขาล้วนแต่พูดสิ่งเดียวกันว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทน ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทน” คำพูดเหล่านั้นไม่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงหรอกหรือ? (รู้สึก) ภายในของผู้คนนั้นแห้งเหี่ยวเหลือเกิน—ภาวะของพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก! ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขาพูดวลีเรียบง่ายเหมือนเดิมออกมา โดยไม่มีสักคำพูดที่ที่มาจากใจ พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหาของตน นั่นเป็นการอธิษฐานแบบไหนกัน? อะไรคือปัญหาที่กำลังมีบทบาทอยู่เมื่อคนเราไม่สามารถอธิษฐานด้วยคำพูดที่จริงใจได้ และไม่รู้ว่าตนเองมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องใดบ้าง? เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องให้พระองค์ทรงมอบความรู้แจ้งเกี่ยวกับสิ่งใดเลยอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง หรือมีพระเจ้าเป็นผู้ระวังหลังให้เลยหรือ? เจ้ายิ่งไม่จำเป็นเลยใช่ไหมที่ต้องมีพระเจ้าทรงมอบความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าให้เดินไปบนถนนข้างหน้า? เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเองเลยหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องมีการบ่มวินัยและการสั่งสอนของพระเจ้า หรือการทรงนำจากพระองค์เลยหรือ? สิ่งเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องได้จากพระเจ้าก็คือให้พระองค์ช่วยบรรเทาความทุกข์ของเจ้าใช่หรือไม่? ในใจของเจ้าไม่รู้สึกจริงๆ หรือว่าตัวเองมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องอยู่มากมาย? การไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานอย่างไรไม่ใช่ปัญหาเล็กเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่รู้วิธีที่จะรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้นำพาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตจริง และแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อันจริงแท้อันใดกับพระเจ้าเลยในชีวิตของเจ้าเลย เจ้าก็แค่ยังไม่ได้สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าในแบบที่ควรมีอยู่ระหว่างพระเจ้ากับผู้ติดตามของพระองค์ หรือระหว่างวัตถุแห่งการสร้างสรรค์กับพระผู้สร้างของตนเลย ยามที่เผชิญกับปัญหา เจ้าจะถูกนำทางโดยสมมติฐานที่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง มโนคติอันหลงผิดความคิด ความรู้ พรสวรรค์และความสามารถพิเศษ และอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย ดังนั้นเมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เจ้าจึงมักจะไม่มีอะไรจะพูด นี่คือสภาวะที่น่าเศร้าของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า! ช่างเป็นภาวะที่น่าเวทนายิ่งนัก! ผู้คนล้วนเหือดแห้งและด้านชาในจิตวิญญาณ พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณในชีวิต อีกทั้งไม่มีความเข้าใจอันใดในเรื่องเหล่านั้นด้วย และเมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด ไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญชะตาร้ายอะไร และไม่ว่าพวกเจ้าจะเผชิญความยากลำบากอะไรก็ตาม หากพวกเจ้าพูดไม่ออกเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นความเชื่อของพวกเจ้าในพระองค์ไม่ควรถูกตั้งคำถามหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ความน่าเวทนาของมนุษย์หรอกหรือ?
เหตุใดผู้คนจึงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า? การอธิษฐานถึงพระเจ้าเป็นเส้นทางเดียวของมนุษย์ในการเทิดทูนพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ หากไม่มีการอธิษฐาน ก็ไม่ต้องถามถึงสิ่งเหล่านี้เลย การพึ่งพาพระเจ้าและการเทิดทูนพระองค์สำเร็จได้โดยผ่านทางการอธิษฐาน คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่อธิษฐานถึงพระองค์สามารถบรรลุความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ? พวกเขาสามารถได้มาซึ่งพระราชกิจและการทรงนำจากพระเจ้าได้หรือไม่? หากพวกเจ้าไม่วางใจมอบความลำบากยากเย็นไว้กับพระเจ้า และไม่อธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริง แล้วพระองค์จะทรงแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร? พระองค์จะทรงนำพวกเจ้าให้ติดตามพระองค์ไปบนถนนข้างหน้าได้อย่างไร? พระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร? กล่าวได้ว่าการเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการอธิษฐานไม่ใช่ความเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง สัมพันธภาพปกติระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าต้องสร้างขึ้นจากการอธิษฐานและต้องธำรงไว้โดยผ่านทางการอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นเครื่องหมายแห่งการเชื่อของมนุษย์ในพระเจ้า ว่าการที่คนเราอธิษฐานอย่างแท้จริงนั้นเป็นเพียงเกณฑ์เดียวในการทดสอบว่าสัมพันธภาพของบุคคลนั้นกับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่ ตราบที่คนเรากล่าวคำพูดจากจากใจจริงในการอธิษฐาน และตราบที่เราสามารถแสวงหาความจริงในการอธิษฐาน พวกเขาก็สามารถได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า หากคนเราไม่ค่อยอธิษฐานและไม่สามารถกล่าวคำพูดจากใจจริงได้ หากพวกเขาระวังตัวกับพระเจ้าเสมอ นั่นแสดงว่าสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้าไม่เป็นปกติ และถ้าคนเราไม่อธิษฐานเลย ก็แสดงว่าพวกเขาไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า หากบุคคลใดอธิษฐานดีและอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถนบนอบต่อพระองค์ และเป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก บรรดาผู้ที่อธิษฐานอย่างจริงใจอยู่เป็นนิจล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีความรักที่เรียบง่ายแด่พระเจ้า ดังนั้น ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่อธิษฐานถึงพระองค์ ย่อมไม่มีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า พวกเขาล้วนอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า เป็นกบฏและขัดขืนต่อพระองค์ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่รักหรือผู้ที่แสวงหาความจริง และพวกที่ไม่รักหรือไม่แสวงหาความจริงต่างก็ไม่สามารถอธิษฐานอย่างจริงใจได้ ไม่ว่าพวกเขามีความลำบากยากเย็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่อธิษฐาน และเมื่อพวกเขาอธิษฐาน พวกเขาก็ปรารถนาเพียงใช้ประโยชน์จากพระเจ้าให้กำจัดความลำบากยากเย็นและความทุกข์ของตนเท่านั้น พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ตรวจค้นไปในความลำบากยากเย็นของตนเพื่อดูแง่มุมทั้งหลายของความจริงที่ควรเข้าใจและควรเข้าสู่ ผู้คนเช่นนี้ไม่ถวิลหาความจริงและไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า—ในแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง แม้ว่าเจ้าอาจไม่รู้สึกในทันทีหลังจากการอธิษฐานว่าจิตใจของพวกเจ้าแจ่มใสขึ้น หรือเจ้าได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติแล้ว จงรอคอยพระเจ้า และในขณะที่เจ้ารอคอย จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือฟังบทเทศน์และสามัคคีธรรม ให้มุ่งเน้นไปที่การนำปัญหาของเจ้ามาสู่การใคร่ครวญและแสวงหา หากเจ้าให้ความร่วมมือในทางปฏิบัติในหนทางเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าความรู้ความเข้าใจเบื้องลึกอาจมาสู่เจ้าในชั่วพริบตาขณะที่กำลังใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังบทเทศน์ และสามัคคีธรรม หรืออาจเป็นได้ว่าพวกเจ้าประสบกับประเด็นปัญหาบางอย่างจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ได้พบคำตอบที่ตรงพอดีกับคำถามซึ่งเจ้ากำลังพยายามแก้ไขอยู่ นี่ไม่ใช่การทรงนำของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์หรอกหรือ? ดังนั้น การอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างจริงใจย่อมสามารถเกิดประสิทธิผลได้ แต่ผลนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ทันทีหลังจากการอธิษฐาน การนี้ใช้เวลาและพึงต้องมีความร่วมมือและการปฏิบัติของคนเรา ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า เมื่อใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้คำตอบแก่เจ้า นี่คือกระบวนการแสวงหาความจริงและการทำความเข้าใจความจริง และเป็นเส้นทางที่มนุษย์เติบโตขึ้นในชีวิต หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเนิ่นนานหลายปี พวกเจ้ายังต้องเรียนรู้วิธีอธิษฐานทั้งหมดใหม่อีกครั้ง พวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา เจ้าได้แต่ตะโกนวลีติดปากออกมา และตั้งปณิธาน หรือคร่ำควรญกับพระเจ้า และเปล่งเสียงแสดงความคับข้องหมองใจของตน โดยพูดว่าเจ้ากำลังทุกข์ทนอย่างไร หรือไม่ก็หาเหตุผลเข้าข้างตนเองและหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ครองใจเจ้าอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเจ้าเข้าสู่ความจริงได้เนิ่นช้าเช่นนี้ เจ้ากำลังออกนอกลู่นอกทาง เจ้าไม่รู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริง จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า การเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้ จะเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะได้รับความรอดหรือไม่
บทตัดตอน 86
มีบรรทัดหนึ่งในบทเพลงสรรเสริญของคริสตจักรที่กล่าวไว้ว่า “ผู้คนที่รักความจริงล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง” คำกล่าวนี้ถูกต้อง บรรดาผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่เป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเท่านั้นเป็นพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง เจ้าคิดหรือว่าบรรดาผู้ที่มักจะเข้าร่วมการชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้าล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง? ไม่จำเป็นเลย ผู้คนแบบใดเล่าไม่ใช่พี่น้องชายหญิง? (บรรดาผู้ที่รังเกียจความจริง ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง) บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงและรังเกียจความจริงล้วนเป็นคนชั่ว พวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่ปราศจากมโนธรรมหรือเหตุผล ไม่มีผู้ใดในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด คนเหล่านี้ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่ใส่ใจงานที่ถูกควรของตน และพวกเขาวิ่งเพ่นพ่านทำสิ่งที่แย่ พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและใช้อุบายอันเจ้าเล่ห์ อีกทั้งใช้ ป้อยอ และเล่นไม่ซื่อกับผู้อื่น พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และพวกเขาได้แทรกซึมเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น เหตุใดพวกเราจึงเรียกพวกเขาว่าผู้ไม่เชื่อ? เพราะพวกเขารังเกียจความจริง และพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ทันทีที่มีการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็หมดความสนใจ พวกเขารังเกียจความจริง พวกเขาไม่อาจทนฟังเกี่ยวกับความจริงได้ พวกเขารู้สึกว่าความจริงนั้นน่าเบื่อและไม่สามารถนั่งอยู่ได้ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้าต้องไม่มองว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องการเข้าใกล้เจ้าเพื่อเสนอผลประโยชน์บางอย่าง พยายามสร้างสัมพันธภาพกับเจ้าโดยใช้ความเอื้อเฟื้อเล็กน้อย แต่ทว่า เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็เฉไฉไปคุยเรื่องสัพเพเหระ พูดคุยเรื่องทางเนื้อหนัง งาน กิจธุระทางโลก กระแสของผู้ไม่มีความเชื่อ ความรู้สึก เรื่องในครอบครัว สิ่งนอกดังเช่นสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง การเชื่อในพระเจ้า หรือการปฏิบัติความจริง คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริง และพวกเขาไม่เคยอธิษฐานหรือทำการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ คนเหล่านี้เป็นพี่น้องชายหญิงหรือไม่? ไม่เลย คนเหล่านี้ไม่ปฏิบัติความจริง และรังเกียจความจริง หลังจากที่พวกเขาแทรกซึมเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าการชุมนุมมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมถึงความจริง การพูดคุยถึงการรู้จักตนเอง การสามัคคีธรรมถึงปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมด้วยเสมอ ใจของพวกเขาก็เกิดความรังเกียจ พวกเขาไม่มีความเข้าใจหรือประสบการณ์ และไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาจึงเกิดความเหนื่อยหน่ายชีวิตคริสตจักร พวกเขานึกสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า “ทำไมถึงสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าตลอด? ทำไมถึงพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองตลอด? ทำไมถึงไม่มีความบันเทิงหรือความสนุกสนานในชีวิตคริสตจักรเลย? ชีวิตคริสตจักรแบบนี้จะจบลงเมื่อไหร่? เมื่อไหร่พวกเราจึงจะเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้รับพร?” พวกเขาเห็นว่าการสามัคคีธรรมถึงความจริงนั้นไม่น่าสนใจและไม่อยากฟังการสามัคคีธรรม พวกเจ้าจะพูดหรือไม่ว่า เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ พวกเขาแสวงหาความจริงหรือไม่? พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) หากพวกเขาไม่สนใจในความจริง พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างไร? เช่นนั้นพวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใดเล่า? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน พวกเขาทำตัวเต็มไปด้วยเล่ห์และฉลาดแกมโกงอยู่เสมอ พวกเขาไม่มีชีวิตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง แต่รับมือทุกอย่างโดยใช้เล่ห์เหลี่ยม กลวิธี และปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์—ซึ่งทำให้เกิดการดำรงอยู่ที่ที่น่าเหนื่อยล้าและเจ็บปวด พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงในรูปแบบเดียวกับที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาทำตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและโกหกและเล่นไม่ซื่อ พวกเขาชอบก่อการโต้เถียงและมีปากเสียงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มใด พวกเขาก็จะมองให้เห็นว่าใครเห็นพ้องกับใคร และใครเข้าทีมกับใครอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาจะเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง พวกเขาคอยระวังอยู่เสมอ พลางพยายามไม่ล่วงเกินใคร พวกเขาทำตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้อยู่เสมอเพื่อจัดการกับสรรพสิ่งรอบตัวและจัดการกับสัมพันธภาพของพวกเขากับคนอื่น นั่นคือสิ่งที่ทำให้การดำรงอยู่ของพวกเขาน่าเหนื่อยล้ายิ่งนัก แม้ว่าพวกเขาอาจดูแข็งขันในหมู่ท่ามกลางคนอื่น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเท่านั้นที่รู้ถึงการต่อสู้ดิ้นรนของตนเอง และหากเจ้ามองดูชีวิตของพวกเขาอย่างใกล้ชิด เจ้าจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเช่นนั้นน่าเหนื่อยล้า สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือหน้าตา พวกเขายืนกรานที่จะชี้ให้ชัดเจนว่าใครถูกหรือผิด ใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า และพวกเขาต้องโต้เถียงเพื่อพิสูจน์ประเด็นของตน คนอื่นไม่อยากได้ยินคำโต้เถียงนี้ ผู้คนพูดว่า “คุณช่วยพูดสิ่งที่คุณกำลังพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ไหม? คุณช่วยพูดให้ตรงไปตรงมาได้ไหม? ทำไมคุณต้องใส่ใจเรื่องหยุมหยิมมากนัก?” ความคิดของพวกเขาซับซ้อนและเวียนวนมาก และพวกเขาใช้ชีวิตที่น่าเหนื่อยล้าเช่นนั้นโดยไม่ตระหนักถึงปัญหาที่แฝงอยู่ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแสวงหาความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ได้? เพราะพวกเขารังเกียจความจริงและไม่อยากซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาพึ่งพาอะไรในชีวิต? (ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกและวิธีการของมนุษย์) การกระทำที่อาศัยวิธีการของมนุษย์มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คนเราลงเอยด้วยการถูกหัวเราะเยาะหรือไม่ก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนเอง และดังนั้นเมื่อตรวจสอบใกล้ชิดขึ้น การกระทำของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาใช้เวลาทำทั้งวัน—ล้วนเกี่ยวเนื่องกับหน้าตา ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความฟุ้งเฟ้อของตัวพวกเขาเอง การนี้ราวกับว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในใยแมงมุม พวกเขาต้องให้เหตุผลหรือหาข้ออ้างสำหรับทุกสิ่ง และพวกเขาพูดเพื่อประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ การคิดของพวกเขาสลับซับซ้อน พวกเขาพูดเรื่องเหลวไหลมากมาย ถ้อยคำของพวกเขายุ่งเหยิงมาก พวกเขาโต้เถียงอยู่เสมอว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น หากพวกเขาไม่พยายามให้ได้หน้า พวกเขาก็กำลังแข่งขันเพื่อกิตติศัพท์และสถานะ และไม่มีเวลาใดเลยที่พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้ แล้วในท้ายที่สุดผลที่ตามมาคืออะไร? พวกเขาอาจได้หน้า แต่ทุกคนก็เบื่อหน่ายและระอาพวกเขา ผู้คนมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งและตระหนักว่าพวกเขาไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริง ตระหนักว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ เมื่อบรรดาผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงคนอื่นใช้คำพูดสองสามคำเพื่อตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธอย่างดื้อดึงที่จะยอมรับ พวกเขายืนกรานที่จะพยายามให้เหตุผลหรือหาข้อแก้ตัว และพวกเขาพยายามที่จะโทษคนอื่น ระหว่างการชุมนุมพวกเขาปกป้องตนเอง เริ่มการโต้เถียง และสร้างความเดือดร้อนท่ามกลางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังคิดว่า “ไม่มีที่ไหนให้ฉันโต้เถียงเรื่องของฉันเลยหรือ?” คนเช่นนี้เป็นบุคคลประเภทใด? นี่คือคนที่รักความจริงหรือ? นี่คือคนที่เชื่อในพระเจ้าหรือ? เมื่อพวกเขาได้ยินใครพูดบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพวกเขา พวกเขาก็อยากจะโต้เถียงและร้องขอคำอธิบายเสมอ พวกเขาพัวพันกับเรื่องที่ว่าใครถูกใครผิด พวกเขาไม่แสวงหาความจริงและไม่ปฏิบัติต่อคำพูดนั้นตามหลักธรรมความจริง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเรียบง่ายขนาดไหน พวกเขาก็ต้องทำให้เรื่องดังกล่าวซับซ้อนมาก—พวกเขาแค่กำลังหาเรื่องใส่ตัว สมควรแล้วที่พวกเขาจะเหนื่อยล้ามาก! ปัญหาหลายประการที่ผู้คนเผชิญนั้นเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน พวกเขาหาเรื่องเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล หากจะกล่าวอย่างง่ายก็คือ พวกเขาไม่ใช้เวลาของตนกับสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือวิถีชีวิตของคนไร้เหตุผล ผู้คนที่เลอะเลือนบางคน แม้ว่าพวกเขาไม่พัวพันกับการชี้ถูกชี้ผิด ก็มีขีดความสามารถที่แย่มากจนไม่อาจเข้าใจสิ่งใดอย่างทะลุปรุโปร่งได้เลย พวกเขาใช้ชีวิตเยี่ยงสุกร อยู่ในความงุนงง คนสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ประเภทหนึ่งเอียงไปทางซ้ายและอีกประเภทหนึ่งเอียงไปทางขวา แต่ทั้งสองประเภทคือผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม หรือไม่ว่าพวกเขาเคยได้ฟังคำเทศนามามากมายเพียงใดก็ตาม ผู้คนเช่นนี้ย่อมไม่มีวันจะสามารถเข้าใจความจริง ไม่ต้องเอ่ยถึงการรู้ว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใด พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงแต่ใช้ชีวิตตามวิธีการของมนุษย์และปรัชญาของซาตาน ดำเนินชีวิตที่น่าเหนื่อยและน่าสมเพช พวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าจริงๆ บรรดาผู้ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยย่อมไม่สามารถถูกเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้ มีเพียงผู้ที่รักและสามารถยอมรับความจริงได้เท่านั้นที่เป็นพี่น้องชายหญิง ทีนี้ บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงคือใคร? พวกเขาล้วนคือผู้ไม่มีความเชื่อ บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงเลยนั้นรังเกียจและปฏิเสธความจริง พูดให้แม่นยำกว่านั้นคือ พวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ได้แทรกซึมเข้าสู่คริสตจักร หากพวกเขาสามารถทำความชั่วทุกประเภท อีกทั้งก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร พวกเขาก็เป็นสมุนของซาตาน พวกเขาควรถูกเอกตัวออกไปและกำจัดออกไป พวกเขาไม่สามารถได้รับการปฏิบัติด้วยในฐานะพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน ทุกคนที่แสดงความรักต่อพวกเขานั้นโง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่งยวด
บทตัดตอน 88
ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้น พระองค์ตั้งพระทัยจะมอบให้กับผู้ใดเพื่อให้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา? ความจริงที่ได้รับการสามัคคีธรรมนั้นมีเพื่อผู้ใด? (เพื่อผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้) ใครคือผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงไว้ในหัวใจของพวกเขาได้อย่างแท้จริง? หากเจ้าสามารถเข้าใจคำถามนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าจะรู้ว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด พวกเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ มีเหตุผล มีความรักในสิ่งที่เป็นบวก และมีการตระหนักรู้มโนธรรมของพวกเขา ผู้คนอื่นไม่ได้รักความจริง และหลังจากได้ฟังความจริง พวกเขาก็ไม่แยแสและยังคงนิ่งเฉย ไม่มีการตำหนิตนเองหรือมีความรู้สึกอันใดทั้งสิ้น—พวกเขาตายไปแล้วทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และถูกลิขิตให้ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ผู้คนบางคนจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าต้องทรงผ่านความลำบากตั้งมากมายเพื่อตรัสพระวจนะมากมายเหลือเกินในเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่รักความจริง หรือครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี หรือยอมรับความจริง และพวกเขาไม่ใช่วัตถุเป้าหมายแห่งความรอด และเป็นเพียงแค่คนปรนนิบัติเท่านั้น?” นี่ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง แม้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งยังคงเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกเขาก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง และนี่คือกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอด) ถูกต้องแล้ว พระวจนะของพระเจ้ามีเพื่อให้ผู้คนรับฟัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือปิศาจ ไม่ว่าหนึ่งในสามหรือหนึ่งในห้าของผู้คนภายในคริสตจักรสามารถยอมรับความจริงได้ก็ตาม ถึงอย่างไรผู้ที่จะคงเหลืออยู่ในตอนท้ายคือคนส่วนน้อย ดังนั้นพวกเราควรจะประเมินวัดอย่างไรว่าใครคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ และใครสามารถคงอยู่ต่อไปได้? พวกเราสามารถประเมินวัดได้หากบุคคลหนึ่งมีมโนธรรม ไม่ว่ามโนธรรมของพวกเขามีความตระหนักรู้ผ่านการรับฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงผ่านการรับฟังคำเทศนาและนำไปปฏิบัติทันทีที่พวกเขาเข้าใจหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่ บนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ พวกเราสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาคือผู้คนที่ยอมรับความจริงและคือแกะของพระเจ้าหรือไม่ แกะของพระเจ้าสามารถรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาตอบสนองและได้ตระหนักรู้หลังจากได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และพวกเขาเต็มใจที่จะติดตามพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ครองอะไรในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา? (ผู้คนเหล่านี้ชอบสิ่งที่เป็นบวก เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีมโนธรรมอยู่บางส่วน) ทำไมพวกเขาจึงเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง? สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาประกอบด้วยความรักในความจริง มโนธรรมและเหตุผล พวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและปรับใช้พระวจนะเหล่านั้นตามสภาวะทั้งหลายของตนเอง จากนั้นก็เปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมาย หลักธรรมและพื้นฐานพฤติกรรมของพวกเขา และเป็นหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนด้วย นั่นคือ พระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นความเป็นจริงของชีวิตพวกเขา และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า มีผู้คนบางคนที่ภายนอกดูไม่เลวและค่อนข้างไร้เล่ห์มายา แต่พวกเขาไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติหลังจากที่ได้รับฟังพระวจนะเหล่านั้น ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่แกะของพระเจ้า มีผู้คนแบบนั้นมากมายท่ามกลางเหล่าคนปรนนิบัติที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะฟังพระวจนะด้วยวิธีการใดก็ตาม ทั้งยังสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้น้อยลงอีกด้วย พวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไม่มีการได้รับชีวิต เพราะฉะนั้นผู้คนควรเข้าใจว่าใครสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีมากมายเท่าใด แม้มีคนเพียงหนึ่งคนที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ก็จะยังคงทรงพระราชกิจที่สมควรทำ ตามที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า มีคนเพียงแปดคนที่ถูกช่วยให้รอดเมื่อครั้งที่โนอาห์สร้างเรือใหญ่ขึ้นมา จากช่วงเวลาแห่งพันธสัญญาเดิมจนถึงปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกช่วยให้รอด ในยุคธรรมบัญญัติ เมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งความรอดอย่างเป็นทางการและไม่ทรงจัดเตรียมความจริงให้กับมวลมนุษย์ มีมนุษย์สักกี่คนที่พระเจ้าทรงยอมรับ? มีมากมายเช่นนั้นหรือ? มีผู้คนจำนวนน้อยมากที่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ระหว่างช่วงเวลานั้น แล้วพระราชกิจในยุคสุดท้ายเล่า? แม้จำนวนของผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงผ่านการพิพากษา การตีสอน การทดสอบและกระบวนการถลุงมีเป็นส่วนน้อย แต่จำนวนนี้ก็ยังมากกว่าผู้ที่ได้รับจากพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณเสียอีก ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนค่อนข้างมากพอสมควรที่สามารถให้คำพยานเชิงประสบการณ์และมีบางส่วนที่เปลี่ยนอุปนิสัยของตนเองได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพระทัยของพระเจ้าจะไม่ได้รับความชูใจจากเรื่องนี้บ้างได้อย่างไร?
เมื่อพวกเจ้าเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่เปลี่ยนแปลงอันใดเลย และยังเป็นเสมือนผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย พวกเจ้าก็จะคิดลบใช่หรือไม่? (บางครั้งฉันก็คิดลบเล็กน้อย แต่ฉันเห็นว่าไม่สำคัญว่าใครบางคนเป็นกบฏแค่ไหนหรือขีดความสามารถของพวกเขาจะต่ำแค่ไหน ตราบใดที่หัวใจของพวกเขานั้นถูกต้องและพวกเขาเต็มใจเพียรพยายามในการไล่ตามเสาะหาความจริง ตราบนั้นพระเจ้าก็จะทรงพระราชกิจเพื่อพวกเขาต่อไปด้วยความอดทนสูงสุด ด้วยการแยกย่อยความจริงออกเป็นส่วนเล็กๆ แล้วสามัคคีธรรมกับพวกเขาในรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าพระเจ้าทรงจ่ายมากขนาดไหนเพื่อทำให้มวลมนุษย์สมบูรณ์แบบโดยไม่ทรงยอมแพ้จนกว่าพระองค์จะทรงประสบความสำเร็จ ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าขีดความสามารถของฉันจะต่ำเพียงใด ฉันต้องพยายามทำให้ดีขึ้น ขยันในการไล่ตามเสาะหาของฉัน และไม่หมดกำลังใจ) เป็นข้อเท็จจริงที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้คนบางส่วนมีขีดความสามารถต่ำหรือเป็นกบฏ แต่พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าเจ้าจะไม่ได้รับความรอดด้วยเหตุนี้ หากพระองค์จะไม่ทรงช่วยให้เจ้ารอด เช่นนั้นแล้วเหตุใดต้องตรัสพระวจนะเหล่านี้ต่อเจ้า หรือต้องทรงยอมลำบากขนาดนั้นด้วยเล่า? ในการทรงทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการบอกกล่าวอย่างชัดเจนต่อมวลมนุษย์และเปิดเผยให้ทราบอย่างชัดแจ้ง นี่ไม่ใช่ความลับแต่เป็นที่ทราบกันดี และใครก็ตามที่มีหัวใจและมีวิญญาณย่อมสามารถเข้าใจได้ พวกคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้นที่สามารถคิดลบ และพวกที่ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่จะรู้สึกผิดหวังและท้อใจด้วยความเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับความรอด สิ่งที่สำคัญมากที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าคือเจ้าต้องเชื่อพระวจนะและความจริงทั้งหมดที่พระองค์ตรัส ตราบใดที่เจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่และสามารถนำความจริงมาปฏิบัติได้ ตราบนั้นพระวจนะและความจริงทั้งหมดก็สามารถกลายเป็นชีวิตของเจ้า ไม่สำคัญว่าชีวิตของเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่เพียงใดในท้ายที่สุด ตราบใดที่เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในเชิงบวกและในเชิงรุกโดยไม่จงใจละเมิดพระวจนะหรือความจริง ปฏิบัติให้มากเท่าที่เจ้าเข้าใจและเพียรพยายามเพื่อความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและความเข้มแข็งทั้งหมดของเจ้า ตราบนั้นก็คือการได้ตามมาตรฐาน ข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ไม่ได้สูงเลย ความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมนั้นครอบคลุมแล้ว และพระวจนะของพระองค์มีรายละเอียดและมีความจำเพาะเป็นพิเศษ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้? นี่เป็นการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวหรือแค่ผู้คนสองสามประเภท ในความจริงทั้งหมดที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้มวลมนุษย์ มีขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่เจ้าสามารถปฏิบัติและบรรลุได้ เหตุใดเราถึงกล่าวว่ามีขีดจำกัด? เพราะขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจของคนทุกคนนั้นแตกต่างกัน เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการไว้ให้พวกเขาและหน้าที่ทั้งหลายที่พวกเขาปฏิบัติ “ความแตกต่าง” เหล่านี้นำทางแต่ละบุคคลให้สามารถปฏิบัติและเข้าสู่เพียงบางส่วนของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์หรือนำไปปฏิบัตินั้นมีขีดจำกัด ยกตัวอย่างเช่น เหมาะสมหรือไม่หากใครบางคนมีประสบการณ์กับบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วย โดยตระหนักรู้ว่าบททดสอบนั้นมาจากพระเจ้า แต่แล้วเขากลับคิดว่าพระเจ้าควรทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์จากบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน? (ไม่เหมาะสม) เรื่องนี่มาจากเจตจำนงของมนุษย์ทั้งสิ้น พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อคนทุกคนแตกต่างกัน และบททดสอบนี้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อพวกเขาเพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์กับบททดสอบความเจ็บป่วย ผู้คนทั้งหมดได้รับอะไรหลังจากพระเจ้าทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งได้รับประสบการณ์เรื่องบททดสอบความเจ็บป่วย? กล่าวคือ ระหว่างการทดสอบ ผู้คนควรเรียนรู้วิธีการเชื่อฟังพระเจ้า รู้จักความเป็นกบฏของตนเอง แก้ไขสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระผู้สร้าง แก้ไขสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์และพระเจ้าให้ถูกต้อง สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้า สัมฤทธิ์การเชื่อฟังพระองค์ และไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น จงอย่าเข้าใจพระเจ้าผิดแต่จงเชื่อฟังเพียงอย่างเดียว แง่มุมนี้ของความจริงคือสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ หากเจ้าได้รับความจริงแง่มุมนี้จากประสบการณ์ของคนอื่น เช่นนั้นเจ้าต้องมีประสบการณ์จากบททดสอบนี้ด้วยหรือไม่? ไม่จำเป็น พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้คนที่แตกต่างกัน—บางทีเป็นคนที่เหมาะสมหรือเป็นคนพิเศษบางคน—เพื่อมีประสบการณ์จากบททดสอบนี้และเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษย์และเป็นสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ ผู้คนบางคนได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดของการสูญเสียคนอันเป็นที่รัก และจากการสูญเสียนี้มีประสบการณ์และคำพยาน มีการเชื่อฟังพระเจ้า มีการไว้วางใจและการเชื่อที่แท้จริง จากพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำต่อกลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ทุกคนสามารถเข้าใจว่าคำพยานที่ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและสิ่งที่ผู้คนควรเลือกคือการเชื่อฟัง ไม่วิเคราะห์ ไม่ค้นคว้า หรือไม่ใช้เหตุผลกับพระองค์ ให้พระองค์อธิบายอย่างชัดเจนและถี่ถ้วน พวกเขาควรเชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่มีการพร่ำบ่นใดๆ นอกจากนี้ ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจความหมายและคุณค่าของพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ จากหนทางแห่งพระราชกิจของพระเจ้าเหล่านี้ และจากพระวจนะของพระองค์ทุกแง่มุม สิ่งที่แต่ละคนมีประสบการณ์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ในส่วนเล็กๆ นี้ สิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์จากพระวจนะของพระเจ้าขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของเจ้า สภาพแวดล้อมของครอบครัวเจ้า และหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ คือหนึ่งในหนึ่งหมื่นของพระวจนะทั้งหมดหรือเจ้าสามารถพูดได้เพียงหนึ่งในหนึ่งหมื่นเท่านั้น หากเจ้าเข้าสู่หนึ่งในหนึ่งหมื่นนี้และสัมฤทธิ์การเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร้เงื่อนไขและโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง วางตัวเจ้าเองในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้บรรลุในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจและคือหนทางที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่
สิ่งสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าคือพวกเจ้าจงรักภักดี อะไรคือความจงรักภักดี? ความจงรักภักดีหมายถึงจริงจังและรับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของพวกเจ้าอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการสุกเอาเผากินแม้แต่น้อย หากเจ้าสุกเอาเผากิน เช่นนั้นแล้ว เมื่อบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดขึ้นมา ย่อมจะเป็นเครื่องหมายของความน่าละอาย และนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ในเรื่องงานในพระนิเวศของพระเจ้าที่มอบหมายให้พวกเจ้า ทุกคนควรสามัคคีธรรรมร่วมกันให้มากขึ้น แสวงหาหลักธรรมความจริงให้มากขึ้น และค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้อง เมื่อปัญหาทั้งหลายถูกค้นพบ ก็ควรถูกแก้ไขโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็ต้องรีบรายงานปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ให้กับผู้บังคับบัญชาในทันที เพียรพยายามให้แน่ใจว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรค ช่องโหว่หรือการล่าช้า จงทำงานของพวกเจ้าให้ดี ส่งเสริมงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และจงปล่อยให้น้ำพระทัยของพระเจ้าดำเนินไปบนแผ่นดินโลกโดยทั่วถึง หน้าที่ของพวกเจ้าจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีด้วยหนทางนี้ ที่จริงแล้ว ภายในขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของใครบางคน สิ่งเหล่านี้คือแง่มุมบางประการของความจริงที่พวกเขาสามารถปฏิบัติ สัมฤทธิ์ และสัมผัสถึง และการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้คือการสัมฤทธิ์มาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่พระเจ้าพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ ความเชื่อของผู้คนบางคนอ่อนแอ บางคนเป็นคนขี้ขลาด คนอื่นก็มีขีดความสามารถต่ำหรือมีความเข้าใจที่บิดเบือน หรือมีการคิดอ่านที่โง่เขลา สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นที่เป็นในเชิงลบและนิ่งเฉยในทุกแง่มุมจะส่งผลต่อความสามารถของผู้คนในการนำความจริงไปปฏิบัติและทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างมีประสิทธิผล พระเจ้าทรงสร้างข้อกำหนดของพระองค์ให้กับผู้คนตามขีดความสามารถ บุคลิกลักษณะและระดับการเข้าใจความจริงของพวกเขา มาตรฐานของข้อกำหนดนี้คืออะไร? พระเจ้าทรงดูว่าคนบางคนมีความจริงใจในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ ทั้งสองสิ่งนี้คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสองประการ ผู้คนบางคนนั้นโง่โดยธรรมชาติ มีความบิดเบือนในการเข้าใจสิ่งต่างๆ ของพวกเขา ขาดพร่องความเข้าใจในเชิงลึก เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดก็ตามที่คนอื่นพูด และจำเป็นต้องให้จับมือสอน—ผู้คนเหล่านี้คือพวกที่มีขีดความสามารถต่ำ และจะไม่มีวันเปลี่ยน คนอื่นๆ อาจมีความมั่งคั่งทางความรู้ หรือเต็มไปด้วยความรู้ที่ลึกซึ้ง ภายนอกดูเฉลียวฉลาดมาก แต่มีแนวโน้มที่จะมีความบิดเบือนในการเข้าใจเรื่องที่สัมพันธ์กับความจริง ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงก็ตาม แต่พวกเขายังคงไม่สามารถยอมรับ และนี่คือข้อบกพร่องอย่างร้ายแรงของพวกเขา คนประเภทนี้ได้รับอิทธิพลจากความรู้และคำสอนขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยง่าย และพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะกระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือเปลี่ยนทัศนะของตนเองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ดังนั้นพวกเขาควรทำอย่างไรหากพวกเขาต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง? สิ่งสำคัญคือการได้เห็นว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงหรือไม่ หากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วปัญหาก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย แต่หากพวกเขาดื้อดึงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จบกัน ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี แต่เราเกรงว่าจะไม่มีหนทางรอดสำหรับพวกเขาด้วย การบรรลุผลทางการศึกษาของคนเราและความรู้ความสามารถที่พวกเขามีนั้นไม่สำคัญ—สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสามารถยอมรับความจริงและรักพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพิจารณาคือเมื่อได้รับความรู้แจ้งเพื่อให้เข้าใจความจริงในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดแจงเตรียมการให้แล้วเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้มากเพียงใด พระองค์ทรงดูว่าเจ้าทุ่มเทตนเองให้กับภารกิจที่พระองค์ทรงกำหนดให้มากเพียงใด เจ้ามอบความเข้มแข็งของเจ้าให้กับกิจเหล่านั้นมากขนาดไหน เจ้าใช้ความพยายามไปมากมายเพียงใด ยกตัวอย่างเช่น เจ้ามีขีดความสามารถปานกลาง ไม่ได้รับการศึกษาดีมาก ความสามารถในการเข้าใจของเจ้าต่ำและบิดเบือนเล็กน้อย สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรม กระนั้นเมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นและพระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าเห็นจุดบกพร่องทั้งหลายในสิ่งนั้น ให้เจ้าเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นและเป็นความรับผิดชอบของผู้ใด เมื่อนั้นเรื่องนี้ก็จะเผยให้เห็นว่าเจ้าสามารถยึดถือหลักธรรมและเป็นผู้ปฏิบัติความจริงหรือไม่ หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดีและจริงใจต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำเช่นไรกับสิ่งนั้น? เจ้าควรทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับความจริง เพื่อทำสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด? ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงดูที่คุณภาพของขีดความสามารถของเจ้าหรือเจ้าได้รับการศึกษาแค่ไหน หรือเจ้าเชื่อในพระองค์มาแล้วกี่ปี พระองค์ทรงดูที่ทัศนคติและท่าทีของเจ้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเจ้าจริงใจหรือไม่ และเจ้านำมโนธรรมของเจ้ามาปฏิบัติในเวลานั้นหรือไม่ หากเจ้าจริงใจต่อพระเจ้า เจ้าจะมีสำนึกแห่งความรับผิดชอบ และเจ้าจะคิดว่า “สิ่งนี้อาจไม่ได้ตกอยู่กับฉัน แต่เกี่ยวพันกับงานของคริสตจักร ฉันต้องสอบถามข้อมูลและรับฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น” และเมื่อเจ้าทำการสอบถามข้อมูลแล้ว เจ้าอาจเรียนรู้ว่าหัวหน้างานผู้นั้นเกียจคร้านและขาดความรับผิดชอบ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญและทำให้เรื่องนี้ล่าช้า จากนั้นเจ้าจะไปหาหัวหน้างานและสามัคคีธรรมกับพวกเขา เพื่อแก้ไขประเด็นปัญหานั้นในทันที เจ้าไม่จำเป็นต้องแสวงหาจากเบื้องบน เจ้าจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง เจ้ามีขีดความสามารถปรกติและมีความบกพร่องและความผิดพลาดบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือส่งผลต่อความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่ส่งผล ผู้คนบางคนกล่าวว่าพวกเขาโง่เขลาและความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือน บ้างก็กล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และคนอื่นก็กล่าวว่า พวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่ได้รับการศึกษา หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ปฏิบัติความจริงเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ? พระเจ้าไม่ทรงมองที่คุณภาพขีดความสามารถของผู้คนหรือระดับการศึกษาของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงเท่าใดนัก ความขาดแคลนและความบกพร่องเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้า หรือต่อความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้า หรือต่อความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า พระเจ้าทรงดูว่าเจ้าจริงใจหรือไม่—นี่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดและเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ได้ พระเจ้าทรงใช้วิธีการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดเพื่อทำการประเมินวัดบุคคลแต่ละคน ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ ฉันไม่รู้ความ ฉันมีความรู้มากเกินไป นั่นมีอิทธิพลต่อฉันในการนำความจริงไปปฏิบัติ” เหล่านี้ล้วนเป็นข้อแก้ตัวทั้งสิ้นและข้อแก้ตัวเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น แต่เป็นเพราะเหตุใด? เพราะนั่นไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าประเมินวัดผู้คน นั่นเป็นมาตรฐานของตัวเจ้าเอง ไม่ใช่มาตรฐานของพระเจ้า อะไรคือมาตรฐานของพระเจ้าเมื่อประเมินวัดใครบางคน? พระเจ้าทรงพิจารณาว่าใครบางคนจงรักภักดีต่อพระองค์หรือไม่ และพวกเขาจริงใจหรือไม่ หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่สำคัญว่าความเข้าใจของเจ้าจะบิดเบือนหรือไร้สาระสักเล็กน้อยหรือไม่ ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ” แล้วเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่? หากเจ้าจงรักภักดี เช่นนั้นแล้วย่อมจะไม่ส่งผลต่อการนำความจริงไปปฏิบัติของเจ้า นี่ชัดเจนเพียงพอหรือไม่? หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจริงใจ เจ้าจะยังคงคิดลบและอ่อนแอเมื่อถูกตัดแต่งหรือไม่? เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นใดหากเจ้าคิดลบและอ่อนแอจริงๆ? (พวกเราควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า พยายามคิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ คิดทบทวนในสิ่งที่พวกเราขาดพร่อง สิ่งผิดพลาดที่พวกเราได้ทำลงไป ในบริเวณที่เราได้ร่วงหล่น นั่นเป็นจุดที่พวกเราควรไต่กลับขึ้นมาอีกครั้ง) ถูกต้อง การคิดลบและความอ่อนแอไม่ใช่ปัญหาใหญ่ พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวโทษพวกเขา ตราบเท่าที่ใครบางคนสามารถไต่กลับขึ้นมายังจุดพวกเขาได้ตกลงไป และเรียนรู้บทเรียนของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้เป็นปรกติ ก็แค่เพียงเท่านั้นเอง ไม่มีใครจะตำหนิเจ้า ดังนั้นจงอย่าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเจ้าละทิ้งหน้าที่ของเจ้าและหลบหนีจากหน้าที่นั้น เจ้าก็จะทำลายตัวเองให้ย่อยยับโดยสิ้นเชิง ทุกคนคิดลบและอ่อนแอได้เป็นบางครั้ง—เพียงแค่ค้นหาความจริง ความคิดลบและความอ่อนแอย่อมจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย สภาวะของผู้คนบางคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทหรือร้องเพลงนมัสการเพียงสองสามเพลง พวกเขาสามารถเปิดหัวใจของพวกเขาในการอธิษฐานถึงพระเจ้า และพวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์ เช่นนั้นแล้วปัญหาของพวกเขาจะไม่ได้รับการแก้ไขหรือ? ที่จริงแล้ว การถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง ถึงแม้พระวจนะที่ตัดแต่งเจ้าจะกร้าวกระด้าง จะกัดกร่อนไปบ้าง นั่นเพราะเจ้ากระทำการโดยไม่ใคร่มีเหตุผล และเจ้าได้ละเมิดหลักธรรมโดยไม่มีแม้แต่การตระหนักรู้—เจ้าจะไม่ถูกตัดแต่งในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้นได้อย่างไร? การตัดแต่งเจ้าด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยเหลือเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือความรักสำหรับเจ้า เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้และไม่พร่ำบ่น ดังนั้น หากการตัดแต่งก่อให้เกิดความคิดลบและการพร่ำบ่น นั่นคือความโง่เขลาและการไม่รู้ความอันเป็นพฤติกรรมของใครบางคนที่ไม่มีเหตุผล
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมุ่งเน้นเมื่อเชื่อในพระเจ้าคืออะไร? ไม่ว่าขีดความสามารถของใครบางคนจะสูงหรือต่ำก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาเข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณหรือไม่ หรือการตัดแต่งและการจัดการที่พวกเขาเผชิญอยู่จะเป็นแบบไหนก็ตาม—สิ่งหล่านี้ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญในทุกวันนี้คืออะไร? คือหนทางที่พวกเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ในการทำเช่นนั้น อะไรคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดที่ใครบางคนควรจะมี? พวกเขาต้องมีหัวใจที่จริงใจ จริงใจหมายถึงอะไร? หมายถึงการไม่ปลิ้นปล้อนเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับพวกเจ้า ไม่พิจารณาผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่วางแผนร้ายและวางอุบายต่อผู้อื่น และไม่เล่นเกมที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกับพระเจ้า หากเจ้าสามารถคดโกงพระเจ้าและขาดพร่องความจริงใจต่อพระองค์ เช่นนั้นชีวิตเจ้าก็จบสิ้นลงโดยสิ้นเชิงและพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด ดังนั้นอะไรคือประเด็นของการเข้าใจความจริง? เจ้าอาจเข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถที่ดี มีคารมคมคาย และสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีการคาดคะเนตามหลักเหตุผล และเข้าใจทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส แต่หากเจ้าเล่นเกมที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกับพระเจ้าเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานและเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ขีดความสามารถของเจ้าไม่มีประโยชน์ไม่ว่าจะดีเพียงใดก็ตาม และพระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์เจ้า พระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าพูดได้ดี มีขีดความสามารถที่ดี มีไหวพริบ และเข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ แต่มีปัญหาเพียงเรื่องเดียว—เจ้าไม่รักความจริง” ผู้ที่ไม่รักความจริงเหล่านั้นเป็นปัญหา และพระเจ้าไม่ต้องประสงค์พวกเขา บุคคลที่ไม่มีจิตใจที่ดีจะถูกกำจัดออกไป เปรียบเสมือนรถยนต์ที่เหมือนดูแลดีจากสภาพภายนอกแต่เครื่องยนต์ที่ไม่ดีจะถูกโละทิ้งทั้งหมด ผู้คนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ไม่สำคัญว่าขีดความสามารถของเจ้าจะดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าฉลาด มีคารมคมคาย หรือมีความสามารถเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้ารับมือกับปัญหาได้ดีเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ และนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ดังนั้นอะไรคือเรื่องสำคัญ? เป็นเรื่องของหัวใจใครบางคนว่ารักความจริงหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับการฟังว่าพวกเขาพูดอย่างไร แต่อยู่ที่พวกเขากระทำอย่างไร พระเจ้าไม่ทรงดูสิ่งที่เจ้าพูดหรือสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงดูว่าสิ่งที่เจ้าทำมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ อีกอย่างพระเจ้าไม่สนพระทัยว่าการกระทำของเจ้าสูงส่ง ลุ่มลึก หรือทรงพลังเพียงใด และต่อให้เจ้าทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงใดก็ตาม หากพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความจริงใจในทุกการเคลื่อนไหวของเจ้า พระองค์จะตรัสว่า “บุคคลผู้นี้เชื่อในตัวเราอย่างจริงใจ พวกเขาไม่เคยโอ้อวด พวกเขาประพฤติปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตน แม้พวกเขาอาจไม่ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขายังคงแน่วแน่และมีความจริงใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ” “ความจริงใจ” ที่ว่านี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ความจริงใจที่ว่าประกอบด้วยความยำเกรงและการเชื่อฟังพระเจ้า รวมไปถึงความเชื่อและความรักที่แท้จริง ประกอบด้วยทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะเห็น ผู้คนเช่นนี้อาจดูไม่พิเศษในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอาจเป็นคนทำอาหารหรือทำความสะอาด เป็นใครบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ธรรมดา ผู้คนเช่นนี้ไม่โดดเด่นสำหรับผู้อื่น ไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่น่ายกย่อง น่าชื่นชมหรือน่าอิจฉา—พวกเขาเป็นเพียงผู้คนธรรมดา แต่ทุกสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์พบได้ในหมู่พวกเขาและมีชีวิตในหมู่พวกเขา และพวกเขาทุ่มเทให้กับพระเจ้า จงบอกเราว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดมากไปกว่านี้อีก? พระองค์พอพระทัยพวกเขา เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งหมดกำลังใจและคิดลบเพียงเพราะวุฒิภาวะของเจ้าน้อยเกินไปและเพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง หรือเพราะเจ้าเห็นผู้อื่นเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการถูกทำให้เพียบพร้อมหลังจากเผชิญหน้าความทุกข์ลำบากและกำลังมีประสบการณ์จากบททดสอบและกระบวนการถลุง และจงอย่าคิดวว่าพระเจ้าไม่ทรงรักเจ้าหรือไม่ทรงเต็มใจทำให้เจ้าเพียบพร้อม อะไรคือความเร่งรีบของเจ้า? สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับบุคคลแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และเมื่อเจ้าประเมินวัดตัวเอง ประการแรก จงประเมินวัดสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเจ้าและสิ่งที่เป็นเงื่อนไขทั้งหลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นล้วนเป็นสิ่งดี ใครบางคนอาจกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันยังคงดีอยู่หรือไม่?” ใช่ เป็นสิ่งดี คนบางคนอาจกล่าวว่า “ฉันโง่มาก สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันยังคงดีอยู่หรือไม่?” ใช่ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งดี ทำไมถึงดีทั้งหมด? หากเจ้าไม่โง่ เจ้าก็อาจจะโอหังและลืมที่ทางของเจ้า ดังนั้น นี่จึงคุ้มครองเจ้าและเป็นสิ่งที่ดี หากพวกเจ้าทุกคนมีความสามารถและทักษะที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในปัจจุบัน ใครจะสามารถรักษาความประพฤติดีและความเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า? ไม่ใช่ว่ามีผู้คนบางส่วนที่เป็นเช่นนี้ แต่มีไม่มากหรอกหรือ? (ใช่) ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีและถูกต้อง เพียงแต่ผู้คนไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน ผู้คนมักต้องการจากพระเจ้ามากขึ้นอยู่เป็นนิจ ราวกับว่า ยิ่งพระองค์ประทานให้ใครบางคนมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสามารถนำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าอย่างเพียงพอแล้ว พระองค์ประทานให้เจ้าทุกอย่างและประทานชีวิตของพระองค์ให้กับเจ้า แล้วเจ้ายังต้องการอันใดอีก? พระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำมีมากมายและเพียงพอสำหรับมวลมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดที่ผู้คนสามารถเรียกร้องต่อพระเจ้าและพวกเขาไม่ควรพร่ำบ่นต่อพระองค์พร้อมกล่าวว่า “ฉันจะทำสิ่งใดได้ด้วยขีดความสามารถหรือพรสวรรค์อันน้อยนิดที่พระเจ้าประทานให้กับฉัน?” เจ้าสามารถทำได้มากมายเหลือเกิน สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดฝัน—พระองค์ต้องประสงค์ให้เจ้านำความจริงไปปฏิบัติ ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม และปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายที่เจ้าควรปฏิบัติให้ดี เจ้าไม่ทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ แต่ทำในสิ่งที่เจ้าไม่สมควรทำอย่างมืดบอด นี่เรียกว่าการละเลยการงานของเจ้า เจ้าไม่ได้วางจุดมุ่งหมายสูงเกินไปสักหน่อยหรือ? (สูงเกินไป) ผู้คนต้องการทำอะไร? ต้องการสร้างเกียรติยศท่ามกลางผู้อื่น ต้องการให้คำพูดและการกระทำของพวกเขาน่าเลื่อมใสและได้รับการยกย่องอย่างสูง และมีชื่อเสียงในวงกว้าง พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ให้เจ้ากลายเป็นบุคคลประเภทนั้น ดังนั้นพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งเหล่านั้นให้กับเจ้า หากเจ้ามีโอกาสได้เป็นบุคคลประเภทนั้น เจ้าจะเต็มใจปฏิเสธหรือไม่? เจ้าสามารถปล่อยมือไปง่ายๆ หรือไม่? ผลที่ตามมาเป็นอันตราย เจ้าสันนิษฐานว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของดีใช่หรือไม่? เหตุใดผู้คนบางคนจึงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์? ไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาพอมีทักษะอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วพวกเขาก็เลยโอหังอย่างยิ่งหรอกหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงสามารถเดินบนเส้นทางนั้นได้? พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่ว่า ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องเดินบนเส้นทางนั้น และพระเจ้าไม่ทรงมีแผนการในการตรัสความจริงกับพวกเขาหรือช่วยพวกเขาให้รอด ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เจ้าย่อมแตกต่างจากสิ่งที่พระองค์ประทานให้คนอื่นอย่างแน่นอน หากเจ้าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอ และต้องการมีเหมือนกับสิ่งที่พวกเขามีอยู่เป็นนิจ นี่คือความเข้าใจอันถ่องแท้หรือไม่? เจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า! เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าตระหนักรู้ว่าขีดความสามารถของเจ้าต่ำ เจ้าไม่เข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณและมีความเข้าใจที่บิดเบือน เจ้าอ่อนแออยู่เป็นนิจ หรือคิดว่าเจ้ามีปัญหาและข้อบกพร่องมากมายเกินไป ก่อนอื่นเจ้าต้องไตร่ตรองว่าเหตุใดพระเจ้าไม่ประทานพรสวรรค์พิเศษให้กับเจ้า น้ำพระทัยดีของพระองค์อยู่ในนี้ ลองดูอีกครั้งว่าเส้นทางใดที่คนที่มีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษเหล่านั้นส่วนใหญ่เลือกเดิน และท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขาคืออะไร อะไรคือประโยคที่เจ้าจะต้องการพูดมากที่สุดทันทีที่เจ้าเข้าใจในเรื่องนี้? (ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการคุ้มครองของพระองค์) ถูกต้อง เจ้าควรขอบคุณพระเจ้าและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงดีกับข้าพระองค์เหลือเกิน พระองค์ไม่ได้ประทานพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษและทำให้ข้าพระองค์เป็นเหมือนคนเขลา คนโง่ นี่คือพรของข้าพระองค์! ข้าพระองค์ไม่คิดลบหรือเศร้าเสียใจ สิ่งที่ข้าพระองค์ขาดพร่องในเวลานี้คือความจริงใจและการอุทิศตนเพื่อพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้ฉลาดหลักแหลมและมีคารมคมคาย หรือขอพรสวรรค์และความสามารถพิเศษ ข้าพระองค์เพียงต้องการมอบถวายความจริงใจของข้าพระองค์ต่อพระองค์ พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษและความรู้รวมทั้งสถานะและชื่อเสียงในหมู่ผู้คนไม่ใช่สิ่งดี และข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น” นี่ไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ? (แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง) ดังนั้นเจ้าสามารถยังคงอยู่ในความเจ็บปวดและร่ำไห้เพราะเจ้ายังขาดพร่องอีกมากมายเหลือเกินหรือไม่? เจ้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกและเจ้าก็จะไม่รู้สึกผิดว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มิฉะนั้น เมื่อผู้อื่นจัดการเจ้าและเจ้าคิดว่า “ฉันโง่ ทุกคนบนโลกดูถูกฉัน และฉันจะไม่มีวันได้รับการส่งเสริมหรือครอบครองตำแหน่งที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าได้เลย” ความหมายโดยนัยก็คือ “พระเจ้าประทานให้ฉันน้อยนิดเหลือเกิน แล้วพระองค์ประทานให้ผู้อื่นมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?” เจ้ามักพร่ำบ่นในหัวใจของเจ้าและรู้สึกอยู่เป็นนิจ อันที่จริง พรอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงเจ้าและเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต มุมมองของเจ้าจะแตกต่างออกไปใช่หรือไม่? (ใช่ แตกต่างออกไป) ผู้คนจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อมุมมองของพวกเขาแตกต่างจากเดิม? (พวกเขาจะไม่มีจุดมุ่งหมายที่สูงลิบและไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่สูงส่งเช่นนั้น และจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยหัวใจที่สำนึกในบุญคุณและอยู่กับความเป็นจริง) พวกเขาสามารถมีเหตุผลที่หนักแน่น มีชีวิตที่แท้จริงและตามความเป็นจริง และไล่ตามเสาะหาเป้าหมายที่แตกต่างกัน จงบอกเราว่า เป็นการดีกว่าหรือไม่ที่พระเจ้าทำให้เจ้าเป็นคนเขลาและเป็นคนโง่ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในแบบที่มีเหตุผลเพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด หรือให้พระองค์ประทานขีดความสามารถสูงๆ การศึกษาระดับสูง หน้าตาดีและมีคารมคมคาย รวมทั้งมีความสามารถในการทำงานและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เพื่อที่ว่าไม่ว่าเจ้าไปที่ใด ผู้คนจะยอมรับนับถือเจ้า และเจ้าคือยักษ์ท่ามกลางคนแคระ จากนั้นเจ้าก็จะเดินบนเส้นทางของศัตรูพระคริสต์? เจ้าจะเลือกแบบไหนดี? (การเป็นคนเขลาและคนโง่ย่อมดีกว่า) ตอนนี้เจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้ แต่หากใครบางคนเรียกเจ้าว่าคนเขลาและคนโง่จริงๆ ก็จะทำให้เจ้าเสียใจ เจ้าต้องคิดเช่นนี้ว่า “แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำและฉันไม่รู้ความ ฉันก็ยังดีกว่าพวกที่ทำชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายเพราะฉันยังมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอยู่” เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะชูใจตนเอง (ฉันจำได้ว่ามีคนอื่นอีกสองสามคนที่เชื่อในพระเจ้าร่วมกับฉัน พวกเขาทุกคนล้วนมีขีดความสามารถสูงและฉลาดมาก แต่เพราะพวกเขามักต่อสู้เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ และก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่เสมอ พวกเขาถูกคัดออกและถูกขับออกไป ฉันรู้สึกเหมือนฉันสามารถมาถึงจุดที่ฉันเป็นอยู่ในวันนี้ได้เพราะฉันมีขีดความสามารถต่ำ ฉันโง่ และฉันสามารถประพฤติตัวดี—นี่คือการคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน) เหตุใดพระเจ้าจึงทรงคุ้มครองเจ้า? เพราะเจ้าโง่ใช่หรือไม่? หรือพระองค์ทรงเห็นใจผู้อ่อนแอ? ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่เหมือนที่บรรดาผู้ไม่เชื่อกล่าวว่า เด็กที่ร้องไห้ย่อมได้รับลูกกวาด ไม่ใช่เช่นนั้นเลย วิธีที่จะมองเรื่องนี้ให้ชัดเจนคืออะไร? วิธีพิจารณาแบบไหนที่สอดคล้องกับความจริง (เพราะผู้คนเชื่อด้วยความจริงใจและความรักในความจริงเล็กน้อยในหัวใจ และเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง—พระเจ้าช่วยผู้คนที่มีหัวใจเช่นนี้ให้รอด และด้วยเหตุนี้ จึงทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมหลากหลายเพื่อคุ้มครองพวกเขา) ถูกต้อง การคุ้มครองของพระเจ้าต่อเจ้าแลกเปลี่ยนกับความจริงใจของเจ้าที่มีต่อพระองค์ ดังนั้นอะไรคือสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด? ความจริงใจของมนุษย์ล้ำค่ามากที่สุด เจ้ามีความรักเล็กน้อยให้กับสิ่งที่เป็นบวกและมีความจริงใจต่อพระเจ้า และเจ้าแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้กับการคุ้มครองและพระคุณของพระเจ้า—เจ้าได้รับมามากมาย ใครบางคนอาจกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ และแม้ฉันได้รับมาอย่างมากมาย แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย” เจ้าไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือไม่? ความสามารถของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าในวันนี้สัมพันธ์กับความเข้าใจในความจริงของเจ้า คนอื่นอาจกล่าวว่า “ฉันเข้าใจอะไรบ้าง? ฉันไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน” เจ้าอาจจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าสามารถยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้าเข้าใจมากมาย ไม่ว่าความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ของเจ้าจะล้ำลึกหรือตื้นเขินเพียงใด สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์และใกล้เคียงกับความจริงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าได้รับการเกื้อหนุนจนถึงตอนนี้และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ? (ใช่แล้ว) การคิดว่าเจ้าเป็นคนเขลาหรือเป็นคนโง่ไม่ใช่สิ่งไม่ดี เมื่อพิจารณาเรื่องนี้ในตอนนี้ “เขลา” และ “โง่เง่า” เป็นฉายาที่ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามหรือความหมายในทางดูแคลน การถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่ เมื่อเปรียบเทียบกับการถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์ แบบไหนดีกว่ากัน? (การถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่ย่อมดีกว่า) หากวันหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “มาตรงนี้เถิดคนเขลา มาตรงนี้เถิดคนโง่” เจ้าอาจจะไม่ยินดี แต่หากเจ้าไตร่ตรองโดยคิดว่า “พระองค์ทรงเรียกฉันว่าคนโง่ ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นฉันจะเข้าไปหา” แล้วเจ้าก็ไปอย่างมีความสุข จากนั้นเมื่อใครบางคนถามว่า “ทำไมคุณถึงมีความสุขนักที่ถูกเรียกว่าคนโง่” และเจ้าตอบว่า “พระองค์ทรงเรียกฉันว่าคนโง่และไม่ได้ตรัสว่าฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ หรือตรัสว่าฉันไม่สามารถได้รับความรอด นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมีความสุข” การที่ทรงเรียกเจ้าว่าคนโง่ไม่ใช่การปฏิบัติต่อเจ้าเช่นคนนอก แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นใครบางคนที่คุ้นเคย ก็เหมือนที่ผู้คนเรียกลูกหลานของพวกเขาว่า “ปิศาจน้อย” มันอาจจะฟังดูหยาบไปสักนิด แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นความจริงและเป็นเพียงการแสดงความรัก หากเจ้าถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์จะเป็นอย่างไร? เช่นนั้นแล้วเจ้าจะต้องเดือดร้อน เพราะการเปลี่ยนชื่อเรียกหมายถึงนิสัยที่แตกต่างออกไป และจุดจบของเจ้าก็จะแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน พวกเจ้าจะเลือกแบบไหน? (ฉันเลือกที่จะถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่) ไม่ใช่เรื่องดีที่เป็นคนเขลาและคนโง่อยู่เสมอ ต้องปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าให้ดีขึ้นสักนิดด้วย ขีดความสามารถของเจ้าได้รับการปรับปรุงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่? (มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มากเกินไปนัก) ในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต หากเจ้าทำงานหนักและเพียรพยายามอย่างแท้จริงต่อไป เจ้าย่อมจะดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยส่วนใหญ่ในพริบตา นี่เป็นกระบวนการการเติบโตอย่างช้าๆ แต่ตราบใดที่เจ้ามีการเข้าสู่ ตราบนั้นเจ้าจะไม่ถดถอย และตราบใดที่เจ้ายังไล่ตามเสาะหา ตราบนั้นการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจะเติบโตอย่างช้าๆ ทีละน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพระเจ้าที่จะทรงพระราชกิจความจริงสู่ผู้คน การนี้ไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วเท่ากับความเร็วของการงอกของเมล็ดพันธุ์เมื่อถูกปลูกลงบนแผ่นดินโลก—การนี้แตกต่างกันมาก ความรอดของพระเจ้าต่อมนุษย์นั้นคือการชำระล้างอย่างสมบูรณ์และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเขา และด้วยการอนุญาตให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้เจ้าฟังคำเทศนา อ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานและมีประสบการณ์ในทุกๆ วัน ความก้าวหน้าของเจ้าจะถูกจำกัด และการเติบโตของชีวิตเจ้าจะเชื่องช้า คนบางคนจำเป็นต้องมีกระบวนการมากมายเพื่อการเข้าใจความจริง ผู้คนจำเป็นต้องมีประสบการณ์ซ้ำๆ กันหลายครั้ง และพวกเขาจำเป็นต้องพากเพียรและอุตสาหะในการพยายามเข้าใจความจริงต่อไป—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความจริงได้ พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ผู้คนได้รับจะยิ่งถูกจำกัดมากขึ้นไปอีก ผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้ามานานยี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดคำพยานเชิงประสบการณ์ของพวกเขาได้ นี่เพราะพวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทุ่มเทความพยายามด้วยความตั้งใจเพื่อการเข้าใจความจริง ส่งผลให้ไม่ได้รับอะไรเลยแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายทศวรรษแล้วก็ตาม ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจความจริง มีประสบการณ์และทำความเข้าใจความจริง และพวกเขาจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ การรวมแง่มุมที่แตกต่างกันเหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจและมีการเข้าสู่เล็กน้อย ทันทีที่สิ่งนี้เกิดขึ้นภายในตัวเจ้า สิ่งนี้จะให้ความรู้ ความรู้สึกและความคิดที่แตกต่างกันแก่เจ้า ส่งผลให้จิตสำนึกและความคิดของเจ้าก้าวหน้าและเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งต่อมาจะทำให้ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยและเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อความจริงของเจ้าและเส้นทางชีวิตของเจ้าเองเล็กน้อยด้วย ทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิต และต่อความคิดและทัศนะของเจ้า และต่อท่าทีของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายและที่มีต่อพระเจ้า นี่คือพลังแห่งพระวจนะของพระเจ้า—ความจริง
บทตัดตอน 90
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงประสงค์ให้ผู้คนรู้จักพระองค์? เหตุใดพระองค์จึงทรงประสงค์ให้ผู้คนรู้จักตัวเอง? อะไรคือจุดประสงค์ของการรู้จักตัวเอง? อะไรคือผลลัพธ์ที่ต้องการ? และอะไรคือจุดประสงค์ของการรู้จักพระเจ้า? การทำให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าจะสัมฤทธิ์ผลใดต่อพวกเขา? พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามเหล่านี้หรือไม่? พระเจ้าทรงใช้วิถีทางนานัปการเพื่อทำให้ผู้คนรู้จักตัวเอง พระองค์ได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบเพื่อให้ผู้คนเปิดโปงความเสื่อมทรามของตน และให้พวกเขาค่อยๆ รู้จักตนเองผ่านประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระวจนะของพระเจ้า หรือการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ พวกเจ้าเข้าใจจุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในทรงพระราชกิจนี้หรือไม่? จุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยหนทางนี้คือ ทรงอนุญาตให้คนทุกคนที่มีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระองค์รู้ว่ามนุษย์คืออะไร และ “การรู้ว่ามนุษย์คืออะไร” เกี่ยวข้องกับอะไร? การนี้เกี่ยวข้องกับการให้มนุษย์รู้จักตัวตนและสถานะของตนเอง รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบของตน นั่นหมายถึงการให้เจ้ารู้จักความหมายของการเป็นมนุษย์ การให้เจ้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นใคร นี่คือเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในการทำให้ผู้คนรู้จักตนเอง แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ผู้คนรู้จักพระองค์? นี่คือพระคุณพิเศษที่พระองค์ทรงประทานให้แก่มวลมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงทั้งหลายและสามารถมองทะลุความล้ำลึกมากมายได้ด้วยการรู้จักพระเจ้า ผู้คนได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากการรู้จักพระเจ้า เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้า พวกเขาย่อมเรียนรู้วิธีการดำเนินชิวิตในหนทางที่มีความหมายมากที่สุด ดังนั้นการให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า เป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ และพระเจ้าทรงมีหนทางมากมายเพื่อให้ผู้คนรู้จักพระองค์ ซึ่งหนทางที่สำคัญที่สุดคือการพิพากษาและการตีสอน การทรงนำ และการจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์ แน่นอนว่าพระองค์ทรงทำให้ผู้คนรู้จักอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการพิพากษาและการตีสอนด้วยเช่นกัน—นี่เป็นทางลัดในการรู้จักพระเจ้า อะไรคือผลลัพธ์สูงสุดที่สัมฤทธิ์ได้โดยผู้คนที่เห็นและรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า? ผลลัพธ์สูงสุดคือการทำให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าคือใคร แก่นแท้ของพระองค์คืออะไร พระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์คืออะไร สิ่งทรงครองของพระองค์และความเป็นองค์พระเจ้าคืออะไร และพระอุปนิสัยของพระองค์เป็นอย่างไร นั่นทำให้คนทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นพระผู้สร้าง และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรนบนอบต่อพระผู้สร้างอย่างไร เส้นทางในชีวิตของมนุษย์ย่อมกระจ่างแจ้งโดยสมบูรณ์จากการรู้จักทั้งหมดนี้ เมื่อผู้คนรู้จักตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาจะไม่สามารถค่อยๆ ปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและจากเจตนาที่ไม่เป็นธรรมนานาประการเชียวหรือ? (สามารถ) แล้วจากนั้นพวกเขาจะไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถปล่อยมือได้โดยสมบูรณ์หรือไม่? เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล คนคนหนึ่งสามารถปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและข้อเรียกร้องอันหลากหลายต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและได้รับความรู้และคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับแก่นแท้ พระอัตลักษณ์ และสถานะของพระองค์ผ่านพระราชกิจของพระองค์ มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความปรารถนาและความอยากได้อยากมีอย่างจริงใจที่จะรักพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขา และน้อมนำความรักของพระเจ้าไปปฏิบัติ เฉกเช่น เปโตร ด้วยเหตุนี้การรู้จักพระเจ้าและการรู้จักตนเอง-ไม่สามารถละเว้นได้ทั้งสองประการ เจ้ากล่าวว่าเจ้าต้องการที่จะรักพระเจ้า แต่เจ้าสามารถรู้จักวิธีรักพระองค์ได้หรือหากเจ้าไม่เข้าใจพระองค์? ส่วนใดของพระองค์ควรค่าที่จะรัก? แง่มุมใดของพระองค์ควรค่าที่จะรักมากที่สุด? หากเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าก็ไม่สามารถรักพระองค์ได้ เจ้าจะไม่สามารถรักพระองค์ต่อให้เจ้าต้องการที่จะรักก็ตาม และเจ้าอาจพบแม้แต่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และความเป็นกบฏที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่ความคิดลบ บุคคลประเภทนี้จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาจะไม่ได้รับความเห็นชอบ เมื่อใครบางคนไม่รู้จักพระเจ้าแต่กลับพูดว่าพวกเขารักพระองค์ คำว่า “รัก” ที่ว่านี้ล้วนเป็นเพียงทฤษฎีอันว่างเปล่าที่เกิดจากตรรกะและการใช้เหตุผลของมนุษย์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและไม่ยกชูพระเจ้าเลย ตอนนี้พวกเจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่าเรากำลังพูดอะไรเกี่ยวกับสองเรื่องนี้? (เห็นแล้ว) เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถกล่าวถึงในตอนนี้เล่า? นี่พิสูจน์ว่าการรู้จักตนเองของพวกเจ้าจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้นสับสนเลอะเลือน และพวกเจ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเจ้ารู้ไหมว่าประเด็นปัญหาในที่นี้คืออะไร? (พวกเรายังไม่ได้พบเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง พวกเราไม่สามารถเข้าจากแง่มุมของการรู้จักพระเจ้าและการรู้จักตัวเองพร้อมกันทั้งสองแง่มุม พวกเรามุ่งเน้นเพียงการเข้าจากแง่มุมเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นการจำกัดการเติบโตของชีวิตพวกเรา) เมื่อนี่คือสภาวะของพวกเจ้าในเวลานี้ แล้ววุฒิภาวะของพวกเจ้าเป็นอย่างไร? ไม่เป็นผู้ใหญ่ใช่หรือไม่? พวกเจ้าอยู่ไม่ห่างไกลจากข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระเจ้าในแง่ของการรู้จักตนเองมากนักมิใช่หรือ? อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีและเจตนารมณ์ส่วนตน ความนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเจ้าสามารถสอดคล้องกับความจริงได้หรือไม่? เจ้าสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงมีสถานะใดในหัวใจของเจ้า? มีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงมีคำถามแม้กระทั่งในเวลานี้ว่าการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้านั้นคือมนุษย์หรือพระเจ้า พวกเขาเหยียบเรือสองแคม ชั่วขณะหนึ่งเชื่อในพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ชั่วขณะต่อมาก็เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือบนท้องฟ้า และมีใครบางคนที่ตั้งคำถามแม้กระทั่งแก่นแท้ของพระเจ้า โดยกล่าวว่า “พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และพระเจ้าบนท้องฟ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไปได้อย่างไร? หากพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงแสดงปาฏิหาริย์และหมายสำคัญทั้งหลายเล่า?” นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ายังคงขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรง นั่นคือวุฒิภาวะของพวกเจ้าที่แม้พระเจ้าจะตรัสอะไรมากมายแต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจ ตอนนี้พวกเจ้ารับรู้แต่เพียงว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกเจ้ารับรู้เพียงความจริงที่แสดงโดยพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่พวกเจ้าไม่มีความรู้ใดๆ มากนักเมื่อเป็นเรื่องของแก่นแท้ พระอัตลักษณ์ และสถานะของพระเจ้า พวกเจ้าอาจกล่าวได้ว่าความรู้เรื่องนี้ในหัวใจของเจ้าเป็นศูนย์ หรือไม่ใช่? (เป็นศูนย์) และนี่สามารถพิสูจน์ได้ในข้อเท็จจริง ก่อนเราสามัคคีธรรมในแง่มุมเหล่านั้นของความจริง เช่น แก่นแท้ของพระเจ้าหรือน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าคิดว่าความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้านั้นลุ่มลึก และเจ้าคิดว่าความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแน่วแน่และไม่โลเล แต่เมื่อเราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเหล่านั้น เช่น พระเจ้าพระองค์เอง พระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า คำพูดและเนื้อหาเหล่านี้ได้ยั่วยุปฏิกิริยารุนแรงในหัวใจของพวกเจ้า ปฏิกิริยานี้แรงกล้าและทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเจ้าที่จะยอมรับ ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวงกับพระเจ้าที่พวกเจ้าคิดฝันในหัวใจของพวกเจ้า นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งหรอกหรือ? (เป็นข้อเท็จจริง) ดังนั้นเมื่อเราพูดบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเจ้าพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับในตอนแรก ราวกับว่าเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดถึง นี่พิสูจน์ว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป น้อยจนพวกเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจหรือดีพอสำหรับพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าจำเป็นจะต้องมีประสบการณ์อีกหลายปีก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้
บทตัดตอน 91
พันธสัญญาเดิมได้บันทึกการประเมินที่พระเจ้ามีต่อโยบไว้ดังนี้ “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย” (โยบ 1:8) ในยุคสุดท้าย พระเจ้าไม่เพียงเป็นพยานให้กับข้อเท็จจริงที่ว่าเปโตรรักพระองค์อย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโยบคือผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอีกด้วย และพระเจ้าทรงกำหนดว่าประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรต้องมีความเชื่อเช่นโยบเป็นอย่างน้อยหากจะติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทาง ในความคิดฝันของพวกเจ้าและในขอบเขตของข้อความอันจำกัดที่พวกเจ้าเข้าใจ โยบเป็นคนเช่นใด? เขาเป็นคนดีหรือไม่? (เป็น) เรื่องนี้สำแดงให้เห็นในลักษณะใดมากที่สุด? อย่างแรก เขาเป็นมนุษย์ที่ยำเกรงพระเจ้า และไม่เคยทำความชั่ว นี่คือเครื่องหมายและลักษณะที่สำคัญของคนดี ยิ่งไปกว่านั้น เขายังประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรม และปฏิบัติต่อลูกๆ และครอบครัวตามหลักธรรม เขาไม่ได้พยายามปิดบังข้อเสียของลูกๆ ของตน ทั้งเขายังอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจฝากลูกของตนไว้กับพระองค์ ซึ่งแสดงให้ผู้คนเห็นว่าท่าทีที่เขามีต่อลูกๆ นั้นถูกต้องสมบูรณ์และสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเจ้าคิดว่าในฐานะลูก การมีพ่อเช่นนี้จะเป็นอย่างไร? นี่จะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกเป็นสุขหรอกหรือ? ว่าแต่เพื่อนๆ ของโยบเป็นเช่นไร? เมื่อโยบเผชิญบททดสอบและความทุกข์ร้อน เพื่อนๆ ของโยบปฏิบัติกับเขาอย่างไร? ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสามารถเข้าใจโยบ ทั้งยังตัดสินเขาเสียอีกว่า “ท่านล่วงเกินพระเจ้า และพระองค์ก็ได้สาปแช่งท่าน ดูเถิดว่าการที่ท่านเชื่อในพระเจ้าให้อะไรแก่ท่านบ้าง ช่างน่าเวทนานัก!” กระทั่งภรรยาของโยบยังกล่าวว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ? จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9) ในช่วงที่ทุกข์ทนอย่างแสนสาหัสนี้ เพื่อนๆ และภรรยาของโยบปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ซึ่งทำให้เขาเจ็บช้ำและเจ็บปวดมากมายนัก แต่มีน้อยคนนักที่เข้าใจโยบ—ข้อนี้จริง บัดนี้ที่พวกเราได้อ่านเรื่องราวของโยบ พวกเราย่อมรู้สึกว่าที่จริงแล้ว ผู้คนอย่างโยบนั้นไว้ใจได้และเชื่อถือได้มากที่สุด และคนเช่นนี้เองที่เป็นคนดีอย่างแท้จริง พวกเขาจะไม่มีวันหลอกลวงหรือทำร้ายเจ้า และจะปฏิบัติต่อเจ้าโดยยึดหลักธรรมเสมอ หากเจ้าเป็นคนที่ประพฤติตัวถูกต้อง พวกเขาย่อมจะไม่กล่าวโทษหรือว่าร้ายเจ้าเพียงเพราะเจ้าทำเรื่องแย่อย่างหนึ่งหรือเพราะคนอื่นพูดให้เจ้าเสียหาย พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับข้อเท็จจริงและพูดบิดเบือนใส่ความใครต่อใครอย่างผิดๆ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความชอบพอหรือความถูกใจมาชี้นำถ้อยคำของตน เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะมองเห็นว่า “นี่เองคือคนดี เมื่อใดก็ตามที่พวกเราพบเจอความยากลำบากเล็กน้อย พวกเราก็เอาแต่ทิ้งหน้าที่ของตัวเอง แต่พวกเขาไม่เคยละทิ้งพระนามของพระเจ้าไม่ว่าบททดสอบและความทุกข์ร้อนที่พวกเขาเผชิญจะสาหัสเพียงใด ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าพอพระทัยคนเช่นนี้ หากฉันมีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ไม่ว่าความป่วยไข้หรือความทุกข์ร้อนอะไรจะเกิดขึ้นกับฉัน พวกเขาก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือ จุนเจือ เอาใจใส่ดูแล และยอมผ่อนปรนให้ฉันต่อไปเหมือนที่เป็นมา คนเช่นนี้ยอดเยี่ยมนัก ต่อให้มีบางครั้งที่พวกเขาทำฉันหงุดหงิดหรือต่อให้พวกเราไม่ได้เห็นตรงกันทุกครั้งไป ฉันก็ขอมีพวกเขาอยู่เคียงข้างดีกว่ามีพวกซาตานและมารเหล่านั้นสักตนหนึ่งมากนัก!” โดยมากแล้ว เหล่าซาตานและพวกมารจะพูดให้ได้ยินว่า “เธอยอดมาก ฉันรักและห่วงใยเธอนัก” แต่ทันทีที่เจ้าเผชิญเรื่องยุ่งยากบางอย่าง พวกเขาก็จะเมินเจ้า ตอนนี้เองที่เจ้าจะตระหนักว่าคนดีเป็นอย่างไร และคนที่พึ่งพาได้เป็นเช่นใด มีเพียงคนที่ไว้วางใจได้ ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นที่เป็นคนดีอย่างแท้จริง และคนดีก็ล้ำค่านัก หากเจ้ามีคนเช่นโยบสักสิบกว่าคนอยู่เคียงข้างก็จะวิเศษมาก—แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีสักคน! ถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะรู้สึกแล้วว่าคนดีหายากเพียงใด ทุกคนล้วนต้องการคนดีเช่นนี้ ทุกคนชอบคนที่ชอบธรรมและอาทร คนที่ใจดีมีเมตตาและกระทำการตามหลักธรรม มีสำนึกเรื่องความยุติธรรม ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว รวมทั้งคู่ควรแก่ความไว้วางใจ
ยามเจ้าถูกความทุกข์ร้อนและความป่วยไข้รุมเร้า ยามที่หัวใจของเจ้าทุกข์ทรมานที่สุด เจ้าต้องการให้คนแบบใดอยู่เคียงข้าง? เจ้าต้องการคนที่พูดคำเท็จอาบน้ำผึ้งกระนั้นหรือ? เจ้าต้องการคนที่ตัดสิน กล่าวโทษ และวิจารณ์เจ้ากระนั้นหรือ? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว คนที่เจ้าต้องการที่สุดเป็นคนแบบไหน? เจ้าต้องการคนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจที่เจ้าพบเจอความยากลำบากต่างๆ และปลอบใจเจ้าได้ คนที่ฟังเจ้าพูดถึงความเจ็บปวดในใจ แล้วจากนั้นก็ช่วยให้เจ้าพ้นจากความคิดลบ ความอ่อนแอ และความทุกข์ได้ คนแบบนี้ช่วยเจ้าได้—พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรือซ้ำเติมยามเจ้าหดหู่ และพวกเขาจะไม่ทำเป็นไม่เห็นความลำบากของเจ้า กล่าวคือ หากเจ้าต้องการให้พวกเขาชูใจเจ้า และเจ้าพบเจอความยากลำบาก มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ และปัญหาส่วนตัว เจ้าก็บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังได้ และพวกเขาก็จะไม่เอาไปเล่าต่อลับหลังเจ้า ล้อเลียนเจ้า เยาะหยันเจ้า หรือทำให้เรื่องส่วนตัวของเจ้ายุ่งเหยิง พวกเขาสามารถพิจารณาความยากลำบาก ความอ่อนแอ ความคิดลบ และจุดอ่อนในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้อย่างถูกต้อง การพิจารณาเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องก็ตรงตามหลักธรรมมิใช่หรือ? ทั้งหมดนี้คือลักษณะของคนดีมิใช่หรือ? คนแบบนี้เข้าใจเจ้าได้ ยอมผ่อนปรนให้เจ้า และดูแลเจ้าได้ พวกเขาเกื้อหนุนเจ้าได้ ให้สิ่งที่เจ้าต้องการ และช่วยให้เจ้าพาตัวเองพ้นจากความเจ็บปวดและความอ่อนแอของตัวเองได้ พวกเขาให้ความช่วยเหลือเจ้าได้มากขนาดนั้น คนเช่นนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง นี่เองคือคนดี! สมมุติว่าบางคนเมินเจ้า ถึงกับเยาะหยันและล้อเลียนเจ้าเมื่อเขาเห็นว่าเจ้ามีปัญหา เจ้าอยากเล่าความในใจบางอย่างให้เขาฟัง แต่แล้วเจ้าก็คิดในใจว่า “ฉันจะบอกเขาไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้น อาจมีเรื่องร้ายตามมาก็เป็นได้ เขาอาจเที่ยวไปเล่าเรื่องส่วนตัวของฉันลับหลังฉัน และแล้วทุกคนก็จะหัวเราะเยาะฉัน แล้วใครจะรู้ว่าเขาจะปั้นแต่งเรื่องอะไรมาป้ายสีฉัน” เจ้าจะกล้าคุยกับคนแบบนี้หรือไม่? แท้จริงแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง ไม่เพียงเขาอาจไม่ช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนเจ้าเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เรื่องส่วนตัวของเจ้ายุ่งเหยิงได้ หลอกลวงและทำร้ายเจ้าได้ เจ้าจะกล้าเล่าความในใจให้เขาฟังหรือ? ถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะตระหนักว่าคนดีนั้นสำคัญ มีคุณค่า และล้ำค่าเพียงใด และการเป็นคนดีก็มีค่ามากกว่าการเป็นคนแบบอื่น กระทั่งพ่อแม่ของเจ้าก็อาจไม่เข้าใจความยากลำบากและความต้องการของเจ้าอย่างแท้จริงในยามที่เจ้าทนทุกข์และอยู่ในความเจ็บปวด พ่อแม่ของเจ้าจึงไม่อาจปลอบใจเจ้าได้ มีลูกบางคนทำงานหนักและออกไปทำงานนอกบ้าน—โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนต้องประจบประแจงเจ้านาย หรือแม้แต่ขายเรือนกายแลกเงินอันน้อยนิด—และพ่อแม่ก็ไม่เคยถามว่าการที่ลูกๆ ทำงานนอกบ้านนั้นยากเย็นขนาดไหน หรือยากเพียงใดกว่าจะหาเงินมาได้ พวกเขาบ่นด้วยซ้ำไปหากลูกๆ ไม่หาเงินเข้าบ้านมากๆ แล้วก็เอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่น นี่ย่อมทำให้ลูกรู้สึกอย่างไร? (เศร้า ท้อใจ) หัวใจของพวกเขาย่อมดำดิ่ง พวกเขารู้สึกว่าโลกช่างมืดมน กระทั่งพ่อแม่ของตัวเองก็เป็นเช่นนี้ และสงสัยว่าตัวพวกเขาเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร นี่คือสาเหตุที่เจ้าต้องเป็นคนดี ทุกคนต้องการคนดีสักคน แล้วคนดีเกิดขึ้นมาอย่างไร? พวกเขาแค่หล่นลงมาจากฟ้าอย่างนั้นหรือ? พวกเขางอกขึ้นจากดินหรือไร? พวกเขาวิวัฒน์มาจากสัตว์บางชนิดหรือไม่? พวกเขาเป็นผลิตผลของการศึกษาในโรงเรียนอันดับสูงๆ หรือเปล่า? หรือเป็นผลิตผลของการอบรมบ่มเพาะทางศาสนาแบบนักพรต? ไม่ใช่ คำอธิบายที่กล่าวมานี้ไม่มีข้อใดถูกต้อง แน่นอนที่สุดว่าทั้งหมดนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ คนเราจะกลายเป็นคนดีได้ก็ด้วยการติดตามพระเจ้า ปฏิบัติความจริง และยอมรับความรอดจากพระเจ้าเท่านั้น คนดีไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในทันใดของมนุษย์ที่เสื่อมทราม—ผู้คนต้องเชื่อในพระเจ้าและน้อมรับความรอดจากพระองค์ พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกทำให้เพียบพร้อมเพื่อที่จะกลายเป็นคนดี ทุกคนต้องการคนดีสักคนเคียงข้างตนในฐานะมิตรและคนรู้ใจ จงบอกเราเถิดว่าพระเจ้าต้องการคนเช่นนี้ด้วยหรือไม่? (ต้องการ) พระเจ้าต้องการคนดี และผู้คนก็ต้องการคนดีเช่นกัน การเข้าใจเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเจ้า? เจ้าต้องมีปณิธานข้อนี้และมีความปรารถนาข้อนี้ว่าจะพากเพียรเป็นคนดี หากเจ้ากล่าวว่า “การเป็นคนดีนั้นยากและเหนื่อย แต่ฉันต้องมีปณิธานที่จะพากเพียรเป็นคนดีให้ได้ ผู้คนต้องการคนดีกันอย่างมาก และฉันเองก็ต้องการคนดี ดังนั้นก่อนอื่นตัวฉันเองจะเป็นคนดี คอยช่วยและเกื้อหนุนผู้อื่น พยายามช่วยให้พระเจ้าได้คนดีไว้มากขึ้น” เช่นนั้นแล้วนี่ก็ถูกต้อง หากทุกคนพากเพียรที่จะเป็นคนดี เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติย่อมจะมีความหวัง เจ้าอาจกล่าวว่า “มนุษยชาติแสนจะเสื่อมทรามและชั่ว ถ้ามีผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงไม่กี่คนที่เป็นคนดี นั่นก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาจะถูกรังแกอยู่ดีเพราะคนเลวมีมากเกินไป” การกล่าวเช่นนี้เป็นเรื่องเขลา เจ้าเชื่อในพระเจ้าเพื่อบรรลุความรอด หากเจ้ากลายเป็นคนดีและชอบธรรม พระเจ้าย่อมจะทรงอวยพรเจ้า ไม่ว่ามนุษย์จะชั่วและเสื่อมทรามเพียงใด พระเจ้าก็มีวิธีจัดการพวกเขา ผู้คนไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้ เจ้าเพียงต้องจดจ่อกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อโนอาห์ต่อเรือใหญ่ สุดท้ายแล้วก็มีคนถูกช่วยให้รอดเพียงแปดคนเท่านั้น ทุกคนที่ไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ล้วนถูกอุทกภัยของพระเจ้าทำลายล้างในตอนจบ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถยอมรับมหิทธานุภาพของพระเจ้า? เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม? เมื่อพระเจ้าสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะมีผู้ที่ได้รับความรอดกี่คน ยุคนี้ก็ต้องสิ้นสุด มหาวิบัติย่อมต้องอุบัติ และพระเจ้าจะคลี่คลายปัญหาทั้งหมดนี้ เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และกลายเป็นคนชอบธรรมก็เพื่อตัวเจ้าเอง—นี่เป็นประโยชน์กับเจ้า และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น บางคนกล่าวว่า “คนดีไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาสมควรได้” แต่คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง ท้ายที่สุดแล้วคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะมีที่ทางของตนในราชอาณาจักรสวรรค์ และไม่ว่าคนเลวจะรุ่งเรืองขนาดไหนบนแผ่นดินโลก ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็จะถูกทำลายและถูกโยนลงนรกทั้งสิ้น ดังนั้น ทั้งคนดีและคนชั่วย่อมได้รับสิ่งที่ตนสมควรได้แล้วมิใช่หรือ? พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าอย่างไร? “เราจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน” (วิวรณ์ 22:12)
สิ่งที่โยบทำ ซึ่งมีการบันทึกไว้ในพระธรรมโยบนั้น ที่จริงแล้วกินเนื้อที่เพียงน้อยนิด สิ่งเหล่านี้แสนเรียบง่าย และไม่ได้มีจำนวนมากมาย แต่เจ้าก็ควรค้นหาเบาะแสจากการกระทำของโยบได้ และพบเจอหลักธรรมและเส้นทางที่โยบใช้ปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นคนดี ประการแรก หลักธรรมที่โยบใช้ปฏิบัติต่อลูกๆ และผู้คนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดคืออะไร? คือการไม่อิงความรักใคร่เอ็นดูของตน แต่กลับยึดมั่นในหลักธรรม เขาจะไม่ทำบาปต่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือหลักเกณฑ์ข้อแรกแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วของเขา—โดยเริ่มจากวิธีที่เขาปฏิบัติกับสมาชิกในครอบครัวของตัวเอง ประการที่สองคือวิธีที่เขาปฏิบัติกับสินทรัพย์ของตัวเอง โยบรู้ว่าแม้สินทรัพย์ของเขาจะเป็นเพียงสมบัติทางโลก แต่ก็มาจากพระเจ้าและเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เขา และพระเจ้าทรงอวยพรเขาด้วยสิ่งเหล่านี้ ผู้คนควรบริหารจัดการและดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างดีด้วยความเอาใจใส่ การดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างดีไม่ได้หมายถึงการครอบครองหรือสุขสำราญไปกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความโลภ และมิได้หมายถึงการมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้ แต่หมายถึงการขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งเหล่านี้ มองเห็นการจัดวางเรียบเรียงแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์ที่อยู่ในสิ่งเหล่านี้ และรู้จักพระเจ้าผ่านทางสิ่งเหล่านี้ เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมเชื่อฟังอธิปไตยของพระองค์ได้ และตามจริงแล้ว นี่คือหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของการเป็นคนดี หากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมได้เวลาจัดการผู้อื่น แต่เจ้าไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าเป็นคนดีจริงหรือไม่? ไม่ เจ้าไม่ใช่คนดี ยิ่งไปกว่านั้น ในการปฏิบัติต่ออธิปไตยและการจัดแจงของพระเจ้า โยบสามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดแจงของพระเจ้าได้ทั้งหมด การจัดแจงของพระเจ้าหมายรวมถึงการปฏิเสธของพระองค์และบททดสอบของพระองค์ บางครั้งพระเจ้าทรงปฏิเสธ บางครั้งพระองค์ทรงทดสอบ บททดสอบของพระองค์มีเรื่องใดบ้าง? บางครั้งพระองค์อาจทำให้เจ้าป่วย หรือสร้างสภาวการณ์อันเป็นโทษให้เกิดขึ้นในครอบครัวของเจ้า หรือพระองค์อาจทำให้เจ้าประสบความยากลำบากบางอย่าง ถูกตัดแต่งและจัดการ และถูกพระองค์สั่งสอน บ่มวินัย พิพากษา และตีสอนระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการจัดแจงของพระเจ้า—และเจ้าควรทำตัวเช่นไรต่อการจัดแจงเหล่านี้? หากเจ้ามิอาจนบนอบต่อสิ่งเหล่านี้ได้ และเจ้าอยากจะหนีจากสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า นอกจากนั้น ผู้คนยังต้องมีท่าทีที่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาเอง ความจงรักภักดีในที่นี้หมายถึงอะไร? หมายถึงการมอบถวายทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้และทุกสิ่งที่ตนครอบครอง นี่คือความจงรักภักดี! นี่คือมาตรฐานแห่งการเป็นคนดี หากในหมู่พวกเจ้าตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่เป็นเช่นโยบ—แค่คนเดียว ไม่ต้องมากไปกว่านี้—เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าย่อมจะมีเสาหลักในหมู่พวกเจ้า หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเจ้า คนเช่นนี้ย่อมจะเป็นบุคคลต้นแบบให้พวกเจ้าได้ตลอดเวลา พวกเจ้าเพียงต้องทำอย่างที่เขาทำ และผ่านไประยะหนึ่งพวกเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง พวกเจ้าจะปรับปรุงตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่ความคิดของพวกเจ้าไปจนถึงการกระทำของพวกเจ้า จากการแสวงหาความจริงไปสู่การปฏิบัติความจริง สภาวะของพวกเจ้าจะดีขึ้นทันที เคลื่อนไปในทิศทางที่เป็นบวก ช่วยให้เจ้าเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า หลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ได้หลายปี พวกเจ้าเองก็จะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้เหมือนโยบ และกลายเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม
บทตัดตอน 92
พวกเจ้ากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย ชีวิตครอบครัวของพวกเจ้าส่วนใหญ่มั่งคั่งขึ้นกว่าเดิม และเจ้าก็มีความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุในทุกด้านของชีวิต พวกเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร? นี่เป็นเพียงความสุขเล็กน้อยทางเนื้อหนังเท่านั้น แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างความสุขแบบนี้กับความสุขในหัวใจ? พวกเจ้าทุกคนมีประสบการณ์และมองเห็นบางสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งมาแล้ว การไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พวกเจ้ารู้สึกได้ว่าการไล่ตามเสาะหาความยินดีทางเนื้อหนังนั้นว่างเปล่า และพวกเจ้าทุกคนก็เต็มใจที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง—พวกเจ้ามีประสบการณ์แบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า? ความสุขทางเนื้อหนังที่ผู้คนได้จากวัตถุประเภทต่างๆ สามารถนำความชูใจทางฝ่ายวิญญาณมาให้พวกเขาหรือไม่? ความรู้สึกว่าตนมีชีวิตที่เหนือกว่าและชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุนำอะไรมาให้ผู้คนบ้าง? ชีวิตเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ผู้คนต่ำทรามและหลงทางได้เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนย่อมจะสูญเสียสำนึกกันโดยง่าย กลายเป็นคนที่ไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว กลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล และจะค่อยๆ สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนไป พวกเขาจะใฝ่หาความสุขสบายมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ฐานะของตนในจักรวาลมากขึ้นเรื่อยๆ และย่อมจะมีบางคนที่ถึงกับสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเอง พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอย่างเป็นเอกเทศได้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถหาเลี้ยงชีวิตตนเองได้ และกลายเป็นคนที่พึ่งพาพ่อแม่ พวกเขาจะไม่รู้จักพอและไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ สรุปได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ที่เหนือกว่าและชีวิตที่มั่งคั่งไปด้วยวัตถุพาแต่ความต่ำทรามมาให้ผู้คนเท่านั้น ทำให้พวกเขารักความเกียจคร้านและดูถูกการทำงาน ทำให้พวกเขากลายเป็นคนโลภที่ไม่รู้จักพอ และทำให้พวกเขาไร้สำนึกของความละอาย แน่นอนว่าพวกเขาไม่ทำประโยชน์ให้ใคร ในส่วนของเนื้อหนังนั้น ยิ่งเจ้าเอนเข้าหามันมากเท่าใด เนื้อหนังก็จะยิ่งละโมบมากขึ้นเท่านั้น การสู้ทนความทุกข์เล็กน้อยจึงเป็นเรื่องที่สมควร ผู้คนที่สู้ทนความทุกข์บ้างย่อมจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและลงมือทำงานที่เหมาะสม ถ้าเนื้อหนังไม่สู้ทนความทุกข์ ใฝ่หาแต่ความสบาย และเติบโตอยู่ในรังนอนที่สุขสบาย เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สัมฤทธิ์สิ่งใด และเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถได้มาซึ่งความจริง หากผู้คนเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติและความวิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ พวกเขาย่อมจะสิ้นสำนึกและกลายเป็นคนไร้เหตุผล เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็มีแต่จะต่ำทรามลงเรื่อยๆ มีตัวอย่างแบบนี้อยู่มากมิใช่หรือ? เจ้าจะเห็นได้ว่าในบรรดาผู้ไม่เชื่อ มีนักร้องและดาราภาพยนตร์มากมายที่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะสู้ทนความยากลำบากและทุ่มเทให้กับงานของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เมื่อนักร้องและดาราเหล่านั้นมีชื่อเสียงและเริ่มทำเงินได้มหาศาล พวกเขากลับไม่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง บางคนเสพยา บางคนฆ่าตัวตาย และชีวิตของพวกเขาก็ถูกบั่นให้สั้นลง นี่เกิดจากอะไร? พวกเขามีความสุขสำราญทางวัตถุมากเกินไป พวกเขาสุขสบายเกินไป และไม่รู้ว่าจะทำให้ตนเองได้รับความสุขสำราญหรือความตื่นเต้นมากขึ้นได้อย่างไร บางคนจึงหันไปหายาเสพติดเพื่อค้นหาความตื่นเต้นและความหรรษามากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่สามารถเลิกมันได้ บางคนเสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด ส่วนคนอื่นเมื่อไม่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองเป็นอิสระจากยาเสพติดได้อย่างไร ก็ฆ่าตัวตายในที่สุด มีตัวอย่างแบบนี้อยู่มากนัก ไม่ว่าเจ้าจะกินดีขนาดไหน แต่งตัวดีขนาดไหน ใช้ชีวิตดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะสนุกสนานเพียงใด หรือชีวิตของเจ้าจะสุขสบายขนาดไหน และไม่ว่าความปรารถนาของเจ้าจะได้รับการตอบสนองครบถ้วนอย่างไร ในท้ายที่สุดมันก็คือความว่างเปล่าที่ทบลงไปบนความว่างเปล่า และผลที่ได้ย่อมเป็นการทำลายล้าง ความสุขที่ผู้ที่ไม่เชื่อแสวงหานั้นเป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่? อันที่จริงนั่นไม่ใช่ความสุข นั่นเป็นการจินตนาการของมนุษย์ เป็นความต่ำทรามรูปแบบหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นคนต่ำทราม สิ่งที่เรียกกันว่าความสุขที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้านั้นเทียมเท็จ แท้จริงแล้วนั่นคือความทุกข์ ความสุขเช่นนั้นไม่ใช่เป้าหมายที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าในการดำรงชีวิต หนทางและวิธีการบางอย่างที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้น กำลังทำให้พวกเขาแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความพึงพอใจในเนื้อหนังและความลุ่มหลงในตัณหา ด้วยวิธีนี้ซาตานจึงทำให้ผู้คนด้านชา ล่อใจผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ทำให้พวกเขารู้สึกว่านั่นคือความสุข และนำพวกเขาให้ไล่ตามเป้าหมายนั้น ผู้คนเชื่อว่าการได้สิ่งเหล่านั้นมาคือการได้มาซึ่งความสุข ดังนั้นผู้คนจึงทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้เพื่อมุ่งหน้าไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายนั้น จากนั้นหลังจากที่พวกเขาบรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเขารู้สึกกลับไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความว่างเปล่าและความเจ็บปวด นี่พิสูจน์ให้เห็นว่านั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง เป็นทางไปสู่ความตาย เหตุใดผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจึงไม่เดินบนเส้นทางสายนี้เหมือนผู้ไม่เชื่อ? ความสุขที่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ารู้สึกอยู่นั้นเป็นอย่างไร? ความสุขนั้นแตกต่างจากความสุขที่ผู้ไม่เชื่อไล่ตามไขว่คว้าอย่างไร? หลังเชื่อในพระเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมไม่ไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่งมากนัก พวกเขาไม่ไล่ตามไขว่คว้าความรุ่งเรืองบนโลก ความสำเร็จในอาชีพการงาน หรือการกลายเป็นคนดัง แต่พวกเขากลับลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และไม่เรียกร้องคุณภาพชีวิตกันมากนัก บางคนรู้สึกพอใจกับการมีเพียงอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวมใส่ด้วยซ้ำ ในโลกที่มืดมนและชั่วร้ายเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาจึงยังเลือกเส้นทางแบบนี้กันได้? เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าไม่มีความสามารถที่จะหาเงินก้อนใหญ่? พูดไม่ได้แน่นอน เพราะหลังจากที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะมากหรือน้อย พวกเขาก็รู้สึกลึกๆ อยู่ในหัวใจว่าการติดตามพระเจ้าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และความสุขนี้ไม่สามารถแทนที่ด้วยวัตถุใดๆ ในโลก บางคนถึงกับเคยพยายามมาแล้ว พวกเขาก้าวผ่านความยากลำบากบนโลกมานานหลายปีและพบว่ามันเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก แม้พวกเขาจะหาเงินได้บ้างและได้สัมผัสความสุขทางเนื้อหนัง แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี และชีวิตของพวกเขาก็ว่างเปล่าและขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขารู้สึกว่าตายเสียดีกว่าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น ผู้คนเหล่านี้มองทะลุเรื่องเหล่านี้แล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริงว่าการติดตามพระเจ้าและการเดินตามเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตลอดจนการสละและอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้พระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ให้ความชูใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดแก่หัวใจของพวกเขาและเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา การเข้าถึงพระเจ้าและได้รับความจริงเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของผู้คนสงบสุข เบิกบาน และแน่วแน่เป็นที่สุด พวกเขารู้สึกถึงความสุขนี้แล้ว นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่จินตนาการขึ้นมา อาจกล่าวได้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนมีประสบการณ์กับความทุกข์ร้อนและบททดสอบมาบ้างแล้ว จึงเข้าใจความจริงและรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขายืนยันว่าการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงคือเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่มีเส้นทางอื่นใดให้เดินได้อีกแล้วในโลกนี้ และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง—และพวกเขาก็ได้ตั้งมั่นบนเส้นทางนี้แล้ว คนแบบนี้มีความเชื่อที่แท้จริง และความทุกข์ทนตลอดหลายปีมานี้ย่อมจะไม่สูญเปล่า ไม่ว่าคำพยานจากประสบการณ์ที่พวกเขากล่าวจะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือหากเจ้าพยายามขัดขวางไม่ให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำให้พวกเขากลับสู่ทางโลก ไม่ว่าในกรณีใดพวกเขาก็จะไม่มีวันไปทางนั้น ต่อให้โลกมีภูเขาทองคำที่ดึงดูดใจและอาจทดลองใจพวกเขาในเวลานั้น พวกเขาก็จะคิดใคร่ครวญว่า “การได้ภูเขาทองคำหรือภูเขาเงินย่อมจะไม่ทำให้ฉันมีความสุขเท่ากับการสละตนเองเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง ถ้าฉันได้โชคลาภเป็นทองคำและเงิน ฉันย่อมจะมีความสุขมากในขณะนั้น แต่ก็จะทุกข์ทรมานและเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ ดังนั้นฉันจะเดินทางนั้นไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม การหาพระเจ้าพบไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าฉันย้อนกลับไปอีก ฉันจะไปหาพระเจ้าพบที่ไหน? โอกาสที่จะติดตามพระเจ้านั้นหายากมาก! มีเวลาไม่มากนัก และเวลาเองก็ผ่านไปเร็ว—นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ!” พวกเขามองเห็นการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว และการยึดมั่นในพระเจ้าก็เหมือนกับการคว้าเครื่องช่วยชีวิตเอาไว้ จงบอกเราเถิดว่าคนที่กำลังจมน้ำรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาคว้าเครื่องชูชีพได้? (พวกเขารู้สึกเหมือนมีความหวังที่จะอยู่รอด ดังนั้นพวกเขาจึงกอดมันไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยมือ) พวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อพวกเขากำลังคว้าเครื่องชูชีพ พวกเขาจะคิดอย่างไร? “ฉันไม่ต้องตายแล้ว ในที่สุดก็มีหวังที่จะรอดตายแล้ว! เมื่อความตายเข้ามาใกล้ ตราบใดที่ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่สักนิด ต่อให้ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี ฉันก็จะปล่อยมือไม่ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากหรือเจ็บปวดขนาดไหน ฉันก็จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ ต่อให้เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ฉันก็จำเป็นต้องยึดห่วงชูชีพนี้ไว้” เมื่อบางคนรู้สึกว่าตนมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขาย่อมรู้สึกมีความสุขไม่ใช่หรือ? ทีนี้เมื่อพวกเจ้าคิดเงียบๆ ไตร่ตรอง อธิษฐาน หรืออุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้รับไปมากเพียงใดจากการติดตามพระเจ้า ความรู้สึกเป็นสุขนี้ย่อมเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าไม่ใช่หรือ? จงบอกความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเจ้ามาเถิด (ถ้าพวกเราไม่ติดตามพระคริสต์ ก็คงตกอยู่ในความวิบัติไปแล้ว และผลที่ตามมาย่อมจะไม่สามารถจินตนาการได้ ตอนนี้ ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนเองให้ลุล่วง พวกเราจึงมาเข้าใจความจริงหลายประการ มีความเชื่อที่แท้จริง และสามารถยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนเองได้อีกด้วย พวกเราจึงได้เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พวกเราได้รับมามากเหลือเกินและสำนึกรู้คุณในการนำทางของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง) ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าได้รับไปมากมายนักจากการติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงนำมาให้มนุษย์ พวกเจ้าควรสำนึกขอบคุณพระเจ้าให้ถูกต้องเหมาะสมและสรรเสริญพระองค์
เมื่อผู้คนที่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเกิดปัญหาต่างๆ พวกเขาสามารถแสวงหาความจริง และหลังจากผ่านประสบการณ์บางอย่างแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถได้รับความจริงบางอย่าง ความสุขที่ความจริงเหล่านี้นำมาให้นั้นเพียงพอที่จะแทนที่ความสำราญที่เกิดจากวัตถุและความสบาย ในส่วนของสิ่งเหล่านั้น ยิ่งเจ้าได้สิ่งเหล่านั้นมา เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกพอใจน้อยลง และจะยิ่งแยกแยะดีชั่วได้น้อยลง แต่ยิ่งผู้คนเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้และยิ่งพวกเขาได้รับความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งรู้ว่าควรขอบคุณพระเจ้าและสำนึกในพระคุณ หัวใจของพวกเขายิ่งปรารถนาที่จะรักพระเจ้า และพวกเขาก็ยิ่งเชื่อฟังพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้าได้ นี่คือความสุขที่แท้จริง การไล่ตามไขว่คว้าความสุขทางวัตถุนำอะไรมาให้ผู้คน? ความว่างเปล่าและความต่ำทราม ซึ่งมีแต่จะทำให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและปรารถนาวัตถุสิ่งของต่างๆ มากขึ้น เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะโยนสถานะ ชื่อเสียง และความมั่งคั่งร่ำรวยที่มาทดลองใจทิ้งไป ดังนั้น ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจะละทิ้งความสุขทางวัตถุเหล่านี้ได้อย่างไร? ด้วยการอธิษฐานทุกวันและใช้ความยับยั้งชั่งใจใช่หรือไม่? (ไม่ใช่ ทำได้ด้วยการรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้) คนเราจะรู้ทันสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? (ด้านหนึ่งด้วยการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า อีกด้านหนึ่งก็ด้วยประสบการณ์และการตระหนักรู้ของตนเอง และค่อยๆ เกิดความเข้าใจในความจริงบางอย่างจนคนเรารู้ทันสิ่งเหล่านี้ได้) เจ้าเข้าใจความจริงจึงสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้ายอมรับความจริงแล้ว ในส่วนลึกแล้วเจ้ายอมรับพระวจนะของพระเจ้า—สิ่งที่พระองค์ตรัสกับมนุษย์และสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากมนุษย์—และนั่นก็กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าไปแล้ว ความเป็นจริงนี้ใช่ชีวิตของเจ้าหรือไม่? ความเป็นจริงนี้ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว ในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าได้รับความจริงมาเป็นชีวิตของเจ้าแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว เป็นไปได้ว่าเจ้ายังไม่มีความรู้สึกใดๆ ในเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองดูมีวุฒิภาวะน้อยมากและมีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ—แต่เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าชีวิตของพระเจ้าได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในตัวเจ้าแล้ว การเติบโตในชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารู้สึกในทางใดทางหนึ่ง ต่อให้เจ้าไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนได้ ในความเป็นจริงเจ้าย่อมมีความก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะฉะนั้น พร้อมไปกับการยอมรับความจริงชีวิตของพระเจ้า หัวใจของเจ้าได้เข้าใกล้พระเจ้าแล้วโดยไม่รู้ตัว และตลอดเวลาดังกล่าว พระเจ้าก็ทรงตรวจสอบเจ้าและพินิจหัวใจของเจ้า คราวนี้จงคิดให้ดี—นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ออกจะมีความสุขหรอกหรือ? นี่มีความสุขอย่างยิ่ง! พวกเจ้าโชคดีมากที่มีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย มีสิทธิพิเศษที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง พระวจนะของพระเจ้าถูกหลอมรวมอยู่ในตัวพวกเจ้าโดยตรงซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้ความจริงมาเป็นชีวิตของตน เมื่อมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตจริง และมีความจริงเป็นชีวิตจริง การดำรงอยู่ของมนุษย์ย่อมมีคุณค่าโดยแท้มิใช่หรือ? การดำรงอยู่ของมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่สูงส่งโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ? การมีชีวิตอยู่ค่อยๆ เริ่มมีศักดิ์ศรีมากขึ้นใช่หรือไม่? ถึงตอนนี้เท่านั้นที่ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับไปมากมายจากการเชื่อในพระเจ้า การเข้าใจความจริงบางอย่างสามารถนำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาสู่ผู้คนได้ ก่อนหน้านี้พวกเขามองเรื่องนี้ไม่ออก แต่ตอนนี้พวกเขามองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน กลับกลายเป็นว่าความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตภายในตัวพวกเขาไปแล้ว ความจริงได้หยั่งรากลงไปในหัวใจและผลิดอกออกผล—นั่นคือชีวิต เป็นดอกผลที่เกิดจากการเข้าใจความจริงและไม่มีอะไรสามารถแทนที่ได้ ในภายหลังเมื่อพวกเจ้ามีประสบการณ์กับการบ่มวินัย การสั่งสอน การพิพากษา และการตีสอนบางอย่าง สามารถยอมรับและเชื่อฟังทั้งหมดนั้นได้ เมื่อนั้นหลังจากเข้าใจความจริงไปหลายประการแล้ว เจ้าย่อมจะรู้จักพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และชีวิตของเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ นั่นไม่ใช่การเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรอกหรือ? พวกเจ้าตั้งตารอวันนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ? (ใช่) เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องพากเพียรเพื่อความจริง
บทตัดตอน 93
ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงพึ่งพาอะไรเวลาที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ? พวกเขาพึ่งพาวิธีการของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ และความเฉลียวฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของมนุษย์ เมื่อสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นและครบบริบูรณ์โดยการใช้สิ่งเหล่านี้ ผู้คนก็จะเริ่มโอหัง พวกเขารู้สึกว่าตนมีต้นทุน อีกทั้งสามารถคุยโวและโอ้อวดความอาวุโสของตนได้ นี่เรียกว่าการขาดเหตุผล ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนได้ทำลงไปนั้น แท้จริงแล้วสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาขาดความเข้าใจเชิงลึก ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างบังเกิดขึ้นกับพวกเขา คนเช่นนี้ก็มีแนวโน้มที่จะจุกจิกในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เมื่อพวกเขาทำผิดพลาดในการทำหน้าที่ของตนและถูกตัดแต่ง พวกเขาก็มองหาเหตุผลภายนอก โดยกล่าวโทษสิ่งนี้สิ่งนั้น พวกเขากล่าวโทษรูปการณ์แวดล้อมที่ย่ำแย่ พวกเขากล่าวโทษตนเองที่ไม่คิดเรื่องต่างๆ ให้รอบคอบในเวลานั้น พวกเขาแค่มองหาเหตุผลภายนอก โดยไม่ยอมรับว่าตนไม่เข้าใจความจริง หรือไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงอย่างถ่องแท้ หัวใจของพวกเขาคิดลบ และเต็มไปด้วยความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงเผยพวกเขา เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ในการทำหน้าที่ของตนนั้น พวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาทำสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่มีหลักธรรมและไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับความจริงเลย พวกเขาช่างน่าเวทนา ผู้คนเช่นนี้ทำหน้าที่ของตนโดยไม่มีการนบนอบ พวกเขาไม่สามารถพูดได้ว่าตนมีความจงรักภักดีหรือการอุทิศตน และการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาพึ่งพาวิธีการของมนุษย์ในการทำสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกระทำการและใช้ความพยายามเพียงภายนอกเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจความจริง มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของผู้คนเหล่านี้หรือไม่? สัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่? มีการปรับปรุงใดๆ ในเรื่องการนบนอบและความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าหรือไม่? (ไม่มี) ไม่มีการปรับปรุงในชีวิตของพวกเขาเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขารังแต่จะฉลาดแกมโกงมากขึ้นและไม่ซื่อตรงยิ่งขึ้น ใช้วิธีการหลอกลวงยิ่งขึ้นและโอหังมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญกับสิ่งใด พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน โดยสรุปประสบการณ์ของตนและบทเรียนที่เรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง สังเกตว่าตนได้ล้มเหลวและผิดพลาดตรงไหน และบทเรียนใดที่ตนควรเรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ล้มเหลวและผิดพลาดอีกครั้ง พวกเขาสรุปประสบการณ์และบทเรียนของตนเช่นนี้เสมอ โดยไม่แสวงหาความจริงเลย คนเราสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนขณะดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตานได้หรือไม่? หากไม่สามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ พวกเขายังจะได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่? การไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นอันตราย เพราะไม่มีหนทางที่จะเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า หลังจากเชื่อในพระเจ้าในแบบเลอะเลือนเช่นนี้มานานหลายปี พวกเขาสามารถได้มาซึ่งความจริงหรือไม่? มโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาสามารถกลับมาเป็นปกติยิ่งขึ้นได้หรือไม่? พวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้หรือไม่? (ไม่ได้) การสรุปประสบการณ์และบทเรียนเช่นนี้ รวมทั้งการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเราอาจลดความผิดพลาดได้ แต่นับเป็นการปฏิบัติความจริงหรือไม่? (ไม่นับ) คนคนนี้สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) คนเช่นนี้มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของตนหรือไม่? (ไม่มี) ผู้ที่กระทำการโดยไม่คำนึงถึงความจริงหรือพระเจ้าคือผู้ไม่เชื่อที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้า! พวกเจ้าสามารถแยกแยะผู้คนเช่นนี้ได้หรือไม่?
เมื่อใครบางคนทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนหรือดูแลเรื่องส่วนตัว จงใส่ใจว่าพวกเขามุ่งความสนใจไปที่ใด หากพวกเขากำลังมุ่งเน้นไปที่ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักหรือไล่ตามเสาะหาความจริง หากคนคนหนึ่งเพียรพยายามไปสู่ความจริงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาก็ตาม หากพวกเขาเข้าถึงความจริงในการไตร่ตรองของตนเสมอ โดยคิดว่า “การทำเช่นนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? ข้อกำหนดของพระเจ้าคืออะไร? การทำเช่นนี้เป็นการทำบาปต่อพระเจ้าหรือไม่? จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์หรือไม่? จะทำร้ายพระเจ้าหรือไม่? พระเจ้าจะทรงรังเกียจหรือไม่? การทำเช่นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่? จะก่อกวนหรือขัดขวางงานของคริสตจักรหรือไม่? จะทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายหรือไม่? จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อพระนามของพระเจ้าหรือไม่? นี่คือการปฏิบัติความจริงหรือไม่? คือการทำชั่วหรือไม่? พระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?” หากพวกเขาครุ่นคิดถึงคำถามเหล่านี้อยู่เสมอ ย่อมเป็นสัญญาณของการใด? (เป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริง) ถูกต้อง เป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังแสวงหาความจริง และพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา ผู้ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างไร? (พวกเขากระทำการตามสติปัญญาและพรสวรรค์ของตนเอง โดยไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำของพวกเขาก็ผสมปนเปกับเจตนาของตนเอง) พวกเขาไม่เพียงผสมปนเปกับเจตนาของตนเองเท่านั้น แต่เวลาที่พวกเขากระทำตามเจตนาของตนเอง พวกเขากลับไม่ตรวจสอบหรือทบทวนตนเองเลย พวกเขาไม่ยอมอ่อนข้อ โดยยึดติดกับหนทางของตนเองอย่างดื้อดึง พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ตามที่พวกเขาต้องการ ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่แสวงหาความจริง พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย เป็นการง่ายที่ผู้คนเช่นนี้จะทำผิดและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามิใช่หรือ? นี่ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งมิใช่หรือ? ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นแสดงให้เห็นคุณลักษณะใดในชีวิตประจำวันของตน ทั้งในแง่ของวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนและอุปนิสัยที่พวกเขาเผยให้เห็น? (พวกเขากระทำตัวบุ่มบ่ามและไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ดูถูกผู้อื่น อีกทั้งโอหังและทำตัวเหลวไหลเป็นพิเศษ รวมถึงทำการตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียว) หลักๆ แล้วก็คือสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ พวกเขาโอหัง ทะนงตน หุนหันพลันแล่นอย่างบุ่มบ่าม ทำตัวเหลวไหล และไม่ยับยั้งชั่งใจ พวกเขากระทำการโดยปราศจากเหตุผล ทำสิ่งต่างๆ ตามความพอใจของตน อีกทั้งป่าเถื่อนและพาลเกเรอยู่เสมอ เมื่อไม่ได้รับการตัดแต่ง พวกเขาก็แยกเขี้ยวข่มขู่ เมื่อเผชิญการถูกตัดแต่ง พวกเขาก็คิดลบ เป็นปฏิปักษ์ แข็งขืน และเป็นกบฏ และธรรมชาติเยี่ยงปีศาจของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงออกมาอย่างสิ้นเชิง เมื่อคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านี้ไม่ได้ทำหรือพูดอะไร พวกเขาก็ดูเหมือนคนทั่วไป แต่ทันทีที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ปรากฏออกมาและอุปนิสัยนั้นก็ป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม ในพระวจนะของพระเจ้าบรรยายถึงคนเช่นนี้ไว้ว่าอย่างไร? (“สิ่งที่ถูกเปิดเผยในพวกเจ้านั้นหาใช่ความประพฤติผิดของเด็กๆ ที่ได้หลงผิดไปจากพ่อแม่ไม่ แต่เป็นความเดียรัจฉานที่ระเบิดออกมาจากสัตว์ที่แส้ของนายมันเฆี่ยนไม่ถึง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?)) อุปนิสัยที่คนเช่นนี้เผยออกมานั้นสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเยี่ยงสัตว์ และพวกเขาขาดพร่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หากมีคนเช่นนี้อยู่ในฝูงชน พวกเจ้าจะสามารถแยกแยะพวกเขาออกมาได้หรือไม่? (ได้เล็กน้อย) บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและบรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งในวิธีประพฤติตนและสิ่งที่พวกเขาเผยออกมา สิ่งที่บรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงสำแดงออกมาอย่างชัดเจนคือการขาดซึ่งเหตุผล ขาดซึ่งมโนธรรม และกระทำตนโดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมความจริง พวกเขากระทำการอย่างบุ่มบ่ามและมุทะลุ และอาจหาญจนสุดโต่ง บรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นทั้งน่าสมเพชและน่าชิงชัง พวกเขาทำให้ตัวเองดูโง่ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อผู้อื่น หากพวกเขาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดต่อผู้อื่น เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่เกลียดชังพวกเขาหรือ? (เกลียดชัง) พวกเขาเองมีการตระหนักรู้ในเรื่องนี้บ้างหรือไม่ (ไม่มี) เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาน่าสมเพชกระนั้นหรือ? นี่เป็นเพราะพวกเขาเป็นเช่นนี้แต่พวกเขาเองกลับไม่แม้แต่จะตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลย พวกเขาขาดความคล้ายคลึงของสภาพเสมือนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังคิดว่าตนปรกติดี และยังกล้ากระทำตนด้วยความมุทะลุหุนหันพลันแล่น นั่นน่าสมเพชเสียจริงไม่ใช่หรือ? ในการแยกแยะผู้คน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการแยกแยะว่าพวกเขาปฏิบัติความจริง แสวงหาความจริง และยอมรับความจริงหรือไม่ นี่คือวิธีที่เจ้าแยกแยะพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ และเห็นผู้คนทุกหมวดหมู่อย่างชัดเจน
พวกเจ้าคือบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? (พวกเราไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเรากำลังพากเพียรเพื่อความจริง) ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยามที่พวกเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเจ้าได้แสดงพฤติกรรมทั้งหลายที่เราเพิ่งเอ่ยถึงบ้างหรือไม่? (พวกเราแสดง) เมื่อพวกเจ้าแสดงพฤติกรรมเหล่านั้น การใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ทำให้หัวใจของพวกเจ้าเจ็บปวดหรอกหรือ? (ใช่ พวกเรากำลังทนทุกข์ แต่พวกเราไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้) การไม่ตระหนักในเรื่องนี้ช่างน่าเวทนานัก! เมื่อคนเราไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริงความจริง ก็น่าเวทนาและน่าโทมนัสที่สุด การยึดมั่นในความจริงเหล่านี้ ฟังคำเทศนาอยู่เป็นนิตย์ แต่กลับไม่ได้รับอะไรเลยและยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในบ่วงมัดของซาตาน กระทำการและเอ่ยวาจาโดยไม่มีเหตุผล ขาดพร่องความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจน—ช่างน่าเวทนานัก! ด้วยเหตุนี้การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด! ตอนนี้พวกเจ้าตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่? (ใช่ พวกเราตระหนักแล้ว) การที่พวกเจ้าตระหนักถึงเรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งดี สิ่งที่น่าวิตกคือยามที่ผู้คนเฉื่อยชาและโง่ทึ่ม และไม่สามารถตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ หากคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ตระหนักในเรื่องนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือการที่คนเราตระหนักถึงเรื่องนี้แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่กลับใจแต่อย่างใด นี่เป็นการจงใจกระทำผิด บรรดาผู้ที่กระทำผิดโดยรู้ตัวและปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงอย่างสิ้นเชิงนั้นมีหัวใจที่ดื้อแพ่งและมุ่งร้าย และรังเกียจความจริง ผู้คนที่ดื้อแพ่งเหล่านั้นสามารถยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? หากพวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาจะสามารถบรรลุความเข้ากันได้กับพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ได้) บรรดาผู้ที่มีหัวใจอันดื้อแพ่งนั้นมีท่าทีเช่นใดต่อพระเจ้า? พวกเขาต้านทาน เป็นกบฏ และไม่กลับใจ และพวกเขาไม่รับรู้เลยว่าพระเจ้าคือความจริง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงและต่อต้านพระเจ้าจนถึงปลายทาง! ปลายทางของคนเช่นนี้เป็นอย่างไร? (พวกเขาจะถูกพระเจ้าลงโทษและถูกทำลาย) พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเหล่านั้นให้รอด พวกผู้นำ 250 คนที่ถูกเอ่ยถึงในพระคัมภีร์นั้นเป็นคนดื้อแพ่งและเป็นกบฏหรือไม่? สุดท้ายแล้วพวกเขาเป็นเช่นไร? (แผ่นดินโลกกลืนพวกเขาลงไป) นั่นคือจุดจบ ไม่สำคัญว่าใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามานานแค่ไหน หากพวกเขาไม่รู้ถึงความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาไม่เข้าใจถึงความชิงชังและผลสืบเนื่องของการรังเกียจความจริง เช่นนั้นแล้วจุดจบของพวกเขาจะเป็นเช่นไร? พวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน ผู้เชื่อใหม่นั้นโง่เขลาและไม่รู้ความ ยังไม่รู้จักวิธีประกอบกิจอันถูกควรหรือเส้นทางเดินที่ถูกต้อง นั่นคือแง่มุมที่น่าเวทนาของผู้คน หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและสามารถทำหน้าที่ของตน แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นก็เป็นเพียงการลงแรง หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี ลงแรงด้วยความเต็มใจ ไม่ทำชั่ว และไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวนใดๆ เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้ายังไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าก็จะยังไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะว่าเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี แต่หากคนเราเข้าใจความจริงบางประการ และตระหนักถึงความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ยังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วความรอดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา อย่างดีที่สุด พวกเขาอาจยังคงอยู่ในฐานะคนลงแรงที่จงรักภักดีได้ แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่เต็มใจจะลงแรง แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ และก่อกวนชีวิตและงานของคริสตจักร ปลายทางของพวกเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาได้ร่วงลงสู่ความวิบัติแล้วและกำลังรอคอยความตาย พวกเขาควรเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง!
บทตัดตอน 94
มีบางคนที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้าซึ่งมักคิดลบและอ่อนแอ นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงพวกเขาด้อยวุฒิภาวะเกินไป และพวกเขาขาดพร่องความเข้าใจในความจริงทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตนเองมีขีดความสามารถต่ำ ไม่สามารถตามให้ทัน มีความลำบากยากเย็นมากมาย—ซึ่งก่อให้เกิดความคิดลบ และถึงกับทำให้พวกเขายอมแพ้ กล่าวคือ พวกเขาตัดสินใจล้มเลิก ตัดสินใจหยุดไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาขับตนเองออกไป สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ “ไม่ว่าในกรณีใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงยกย่องฉันสำหรับการที่ฉันเชื่อในพระองค์ ทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงโปรดฉัน และฉันก็ไม่มีเวลามากนักที่จะไปร่วมการชุมนุม ชีวิตครอบครัวของฉันลำบากยากเย็นและฉันจำเป็นต้องหาเงิน” เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเหตุผลทั้งหลายที่พวกเขาไม่สามารถไปร่วมการชุมนุมได้ หากเจ้าไม่รีบหาให้พบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะเหมารวมว่าพวกเขาไม่รักความจริง และไม่ใช่ใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือไม่เจ้าก็จะเหมารวมว่าพวกเขาละโมบในความสุขสบายทางเนื้อหนัง ไล่ตามไขว่คว้าโลก และไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ทางโลกได้—และด้วยเหตุนี้ เจ้าก็จะทอดทิ้งพวกเขา นี่ตรงตามหลักธรรมกระนั้นหรือ? เหตุผลเหล่านี้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ? ในข้อเท็จจริงนั้น ที่พวกเขากลายเป็นคิดลบก็เป็นเพราะความลำบากยากเย็นและความพัวพันของพวกเขา หากเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะไม่คิดลบมากเช่นนั้น และจะสามารถติดตามพระเจ้าได้ เมื่อพวกเขาอ่อนแอและคิดลบ พวกเขาก็จำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากผู้คน หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถกลับลุกขึ้นยืนได้ แต่หากเจ้าเพิกเฉยต่อพวกเขา พวกเขาย่อมจะยอมแพ้เนื่องจากความคิดลบอย่างง่ายดาย การนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนที่ทำงานของคริสตจักรมีความรักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแบกรับภาระนี้หรือไม่ การที่ผู้คนบางคนมาร่วมชุมนุมไม่บ่อยนัก มิใช่หมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่เทียบไม่ได้กับการไม่ชอบความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาละโมบในความยินดีทั้งหลายของเนื้อหนัง และไม่สามารถละวางครอบครัวและงานของพวกเขาได้—นับประสาอะไรที่พวกเขาควรถูกตัดสินว่าเจ้าอารมณ์หรือลุ่มหลงในเงินทองมากเกินไป เพียงแต่ว่าในเรื่องเหล่านี้ วุฒิภาวะและความทะเยอทะยานของผู้คนนั้นแตกต่างกัน ผู้คนบางคนรักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ พวกเขาเต็มใจที่จะทนทุกข์ ละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ผู้คนบางคนมีความเชื่อเล็กน้อย และเมื่อเผชิญหน้าความลำบากยากเย็นจริง พวกเขาก็ไร้พลังและไม่สามารถเอาชนะได้ หากไม่มีผู้ใดช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนพวกเขา พวกเขาก็จะโยนผ้ายอมแพ้ และถอดใจไม่ไปต่อ ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุน การดูแลห่วงใย และการให้ความช่วยเหลือจากผู้คน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ และปราศจากความรักสำหรับความจริง และเป็นคนไม่ดี—ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาก็สามารถถูกเพิกเฉยได้ หากพวกเขาคือใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ได้เข้าชุมนุมบ่อยครั้งเนื่องจากมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริงบางอย่าง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก หากพวกเขาเป็นคนดีและสามารถเข้าใจ อีกทั้งมีขีดความสามารถที่ดี เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยิ่งสมควรได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุน
บทตัดตอน 95
เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง การทำงานหนักอย่างเดียวไม่พอ เจ้าต้องทุ่มเทจิตใจลงไปด้วย วิธีเดียวที่นับได้ว่าเจ้าพยายามอย่างเต็มกำลังคือเมื่อลงมือทำด้วยหัวใจทั้งหมด หากเจ้าไม่ใส่ใจลงไป เจ้าก็ไม่ได้พยายามอย่างเต็มกำลัง หากเจ้าแค่ลงแรงทั้งหมดที่มีแต่ไม่ได้ให้ใจทั้งหมด เช่นนั่นเจ้าก็เพียงแค่ทำงานหนักโดยไม่ได้ทุ่มเทจิตใจลงไป พระเจ้าไม่ทรงยอมรับวิธีการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ เจ้าควรทำอย่างเต็มที่เพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยแรงใจ แรงกาย และสติปัญญาทั้งหมดที่มีตลอดเวลา หากเจ้าลงแรงแค่เพียงครึ่ง และเก็บแรงอีกครึ่งไว้ด้วยความคิดว่า “ฉันไม่อยากเหน็ดเหนื่อย ใครจะจัดหาให้ฉันเมื่อฉันเหนื่อยล้าหมดแรง” ท่าทีเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่) หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยแนวคิดเช่นนี้ เจ้าจะประสบความสูญเสียหรือไม่ (ใช่) การสูญเสียแบบใดเล่า (พระเจ้าจะทรงเกลียดชังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปทีละน้อย) การไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการสูญเสีย หากผู้คนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความสูญเสียของพวกเขานั้นจะใหญ่หลวงมากจนทำให้พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย ราวกับว่าพวกเขามีความเชื่อมาโดยสูญเปล่า มีหลายคนที่ไม่ได้เสาะหาความจริง และถูกขับออกไปภายในไม่กี่ปีหลังจากการเชื่อ นั่นก็คือไม่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามมากเพียงใดเมื่อปฏิบัติหน้าที่ หากเจ้าไม่ใส่ใจกับมัน เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริง สิ่งนี้คือการสูญเสียหรือไม่ พวกเจ้าตระหนักหรือไม่ว่านี่คือการสูญเสีย หากเจ้าเป็นคนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะเห็นว่าความสูญเสียนี้ช่างใหญ่หลวงเหลือเกิน ในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้ามานานห้าปีหรือสิบปี บางคนก็ได้รับความเป็นจริงความจริง ในขณะที่คนอื่นยังคงพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน ข้อนี้มีความแตกต่างสำคัญหรือไม่ (มี) ผู้ที่เข้าถึงความเป็นจริงความจริงสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างไร นั่นก็เพราะประสบการณ์และการปฏิบัติ สิ่งนี้พระเจ้าเป็นผู้ทรงประทานให้พวกเขาหรือไม่ (ใช่) แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ไม่เข้าถึงความเป็นจริงความจริง และยังคงพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ยังคงไม่ได้รับความจริง เนื่องจากพวกเขาไม่เสาะหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยแรงกายอย่างเดียวแต่ไม่ใช้หัวใจ การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ได้รับความจริงถือเป็นพรหรือคำสาป (เป็นคำสาป) ทำไมจึงเป็นคำสาป เจ้ามองออกหรือไม่ การที่เจ้าเข้าไม่ถึงความจริงถือเป็นปัญหาใหญ่หรือปัญหาเล็ก (ปัญหาใหญ่) ปัญหาใหญ่นี้เกี่ยวข้องกับอะไร เกี่ยวข้องกับความรอดหรือไม่ (ใช่) การที่พวกเจ้าพร่ำประกาศคำพูดและคำสอนตลอดทั้งวันมีความหมายว่าอย่างไร นี่ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อการได้รับการช่วยให้รอด และเป็นเรื่องยากที่จะสัมฤทธิ์ผล บางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นสิบปีแต่ยังคงประกาศคำพูดและคำสอน คนอื่นๆ ก็เชื่อมายี่สิบปีแต่ยังคงไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง และยังไม่รู้ว่าความเป็นจริงความจริงหมายถึงอะไร คนเหล่านี้ตกอยู่ในอันตรายหรือไม่? การที่พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้นไม่ชัดเจนหรือ? (ใช่) บอกเราหน่อยว่าในบรรดาผู้ที่เชื่อมาเป็นจำนวนปีเท่ากัน คนประเภทใดมีโอกาสใหญ่กว่าและความหวังมากกว่าที่จะได้รับความรอด? คือคนที่ประกาศคำพูดและคำสอนหรือผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง? (ผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง) เรื่องนี้ชัดเจน เช่นนั้นพวกเจ้าอยากเป็นคนแบบใดเล่า? (คนที่มีความเป็นจริงความจริง) คนเราจะเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงได้อย่างไร? (ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ) (ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยแรงใจ แรงกาย และสติปัญญาทั้งหมดที่มีตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และไม่ลดละความอุตสาหะที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย) ถูกต้องแล้ว หากเจ้าทำอะไรก็ตามที่พระเจ้าทรงรับสั่งให้เจ้าทำ เจ้าก็จะได้รับความจริง เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไร? เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับจุดจบและบั้นปลายของคนเรา บางคนโง่เขลาและหยิ่งผยอง และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนได้สูญเสียไปมากแค่ไหน หรือพวกเขาประสบความเสียหายอะไรบ้าง พวกเขาเอาแต่นั่งพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน และยังคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในจุดเสี่ยงอันตราย! จุดจบของผู้ที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเป็นอย่างไร? ลำดับแรก พวกเขาจะถูกพระเจ้าขับออก และมองดูการณ์ข้างหน้า จุดจบของพวกเขาเป็นอย่างไร? (ความพินาศและการทำลายล้าง) นี่คือจุดจบของพวกเขา คือบั้นปลายของพวกเขา หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าและลงเอยเช่นนี้ นี่คือเจตนาเดิมของพวกเขาในการเชื่อในพระองค์หรือไม่ (ไม่) ไม่มีใครต้องการลงเอยเช่นนี้ หากเจ้าไม่ต้องการจุดจบเช่นนี้ ก็จงอย่าดำเนินตามเส้นทางนั้น เจ้าควรเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอด
หากผู้คนไม่สามารถได้รับพระราชกิจในยุคสุดท้าย พวกเขาจะจบสิ้นไปโดยสมบูรณ์และจะไม่ได้รับโอกาสอีก นี่ไม่เหมือนพระราชกิจในยุคพระคุณ ที่หากผู้คนที่ไม่ได้รับพระราชกิจ ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดในประเทศใด ก็ยังสามารถรอคอยโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระเจ้าในยุดสุดท้าย จุดจบของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเท่ากับจุดจบของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ แล้วจุดจบนั้นหมายถึงอะไร? หมายถึงว่าพระเจ้าจะทรงกำหนดจุดจบของแต่ละคน และจุดจบของทุกสรรพสิ่งและของมนุษยชาติใกล้จะมาถึง พระราชกิจของพระเจ้าได้ดำเนินมาถึงระยะนี้แล้ว และหากผู้คนไม่ได้มีนิมิตนี้ในหัวใจของพวกเขา หากพวกเขาสับสนอยู่เสมอ และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่ใส่ใจหรือแบบขอไปที หากพวกเขาไม่อาจจริงจังกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเชื่อ พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นพวกเขาก็จะพลาดโอกาสสุดท้ายของตนในการได้รับความรอด วันหนึ่งเมื่อมหาวิบัติทั้งหลายมาถึง และพระราชกิจก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจในการให้น้ำและมอบความจริงให้แก่ผู้คนอีกต่อไป พระเจ้าจะสบพระพักตร์กับมนุษยชาติด้วยพระอุปนิสัยแบบใดในเวลานั้น เจ้ารู้หรือไม่? พระพิโรธของพระองค์จะยิ่งใหญ่และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยแก่มวลมนุษย์ทุกคนในแบบที่ไม่เคยทรงทำมาก่อน นี่จะเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงครั้งสุดท้ายสำหรับมวลมนุษย์ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอด พระองค์ทรงอดทนอดกลั้นและรอคอย รอคอยอะไรหรือ? รอคอยคนที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้แล้ว ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ให้ผู้ที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอดมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ให้คนเหล่านั้นยอมรับการพิพากษา และการตีสอนของพระองค์ และยอมรับความรอดจากพระองค์ เมื่อผู้คนเหล่านี้ได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้ว พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็จะเสร็จสิ้น และพระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอีกต่อไป นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของโนอาห์ อีกทั้งไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างของเมืองโสโดม หรือช่วงเวลาแห่งการสร้างโลก แต่คือช่วงเวลาแห่งจุดจบของโลก บางคนยังคงฝันอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้ามาถึงระยะใดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่รีบเร่ง พวกเขายังคงสับสนและไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อพระราชกิจระยะนี้สิ้นสุดลง จุดจบของแต่ละคนจะเป็นไปตามนั้น และจะไม่เปลี่ยนแปลง มนุษย์โง่เขลาและยังคิดว่า “ไม่เป็นไร พระเจ้าจะทรงให้โอกาสพวกเราอีก!” มีการให้โอกาสในช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว เมื่อยุคนี้จบลงจะมีโอกาสอีกครั้งได้อย่างไร? นั่นเป็นเพียงความฝันไม่ใช่หรือ?