พระวจนะว่าด้วยการรู้จักตนเอง
บทตัดตอน 42
กุญแจสำคัญในการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคือการรู้จักธรรมชาติของตนเอง และเรื่องนี้ก็ต้องทำตามที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเอาไว้ เฉพาะในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่คนคนหนึ่งจะสามารถรู้จักธรรมชาติอันน่าเกลียดของตน พิษต่างๆ ของซาตานที่อยู่ในธรรมชาติของตน ความโง่เขลาและความไม่รู้ของตน ตลอดจนองค์ประกอบที่เปราะบางและเป็นลบในธรรมชาติของตนได้ หลังจากที่เจ้ารู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างถ่องแท้และเกลียดตนเองได้จริง ขบถต่อเนื้อหนังได้ ยืนหยัดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ยืนหยัดไล่ตามเสาะหาความจริงขณะทำหน้าที่ของตนเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และกลายเป็นคนที่รักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะออกเดินไปบนเส้นทางของเปโตรแล้ว ถ้าไม่มีพระคุณของพระเจ้าหรือความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ยากที่จะเดินไปบนเส้นทางนี้ เพราะถ้าไม่มีความจริง ผู้คนก็จะไม่สามารถขบถต่อตนเอง การเดินไปบนเส้นทางแห่งการได้รับการทำให้เพียบพร้อมอย่างเปโตรนั้นต้องมีความแน่วแน่ มีความเชื่อ และต้องพึ่งพาพระเจ้าเป็นสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวบุคคลก็ต้องนบนอบพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าเป็นอันขาดไม่ว่าเรื่องใด นี่คือแง่มุมที่สำคัญยิ่งซึ่งจะละเมิดมิได้อย่างเด็ดขาด ขณะที่คนเรามีประสบการณ์อยู่นั้น ยากมากที่จะทำความรู้จักตนเอง และถ้าไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เกิดขึ้น การที่จะเดินบนเส้นทางของเปโตรนั้น คนเราต้องมุ่งทำความรู้จักตนเองและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน เส้นทางของเปาโลไม่ใช่เส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาชีวิตหรือมุ่งรู้จักตนเอง แต่เป็นเส้นทางที่มุ่งเน้นเรื่องการทำงาน เรื่องความยิ่งใหญ่และเกียรติของงานที่ทำเป็นพิเศษ เจตนาของเขาคือการนำงานและความทุกข์ของตนมาแลกเป็นพรและรางวัลจากพระเจ้า เจตนานี้ผิด เปาโลไม่ได้สนใจเรื่องของชีวิต และไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน เขามุ่งสนใจรางวัลเท่านั้น เป้าหมายที่เขาไล่ตามเสาะหานั้นผิด เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นธรรมดาที่เส้นทางที่เขาเดินจะพลอยผิดไปด้วย นี่เกิดจากธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเขา เห็นได้ชัดว่าเปาโลไม่มีความจริงแม้แต่น้อย และไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกอันใด ในการช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงผู้คน พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเป็นหลัก จุดประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้าคือการทำให้อุปนิสัยของผู้คนเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้คนสามารถรู้จักพระองค์และนบนอบพระองค์ และสามารถนมัสการพระองค์ได้อย่างเป็นปกติ นี่คือจุดประสงค์แห่งพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า วิธีการไล่ตามเสาะหาของเปาโลนั้นขัดแย้งและเป็นปฏิปักษ์กับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยตรง สวนทางกับเจตนารมณ์เหล่านั้นโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี วิธีการไล่ตามเสาะหาของเปโตรกลับสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการ เปโตรมุ่งเน้นชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้คนผ่านทางพระราชกิจของพระองค์นั่นเอง ดังนั้น เส้นทางของเปโตรจึงได้รับพรและความเห็นชอบจากพระเจ้า ขณะที่เส้นทางของเปาโลคือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชังและสาปแช่งโดยแท้เพราะสวนทางกับเจตนารมณ์ของพระองค์ การที่จะเดินไปบนเส้นทางของเปโตรนั้น คนเราต้องรู้จักเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าควรเดินตามเส้นทางใดก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผ่านทางพระวจนะของพระองค์ได้อย่างแท้จริงทุกประการ—ซึ่งหมายถึงการเข้าใจว่าพระเจ้าทรงต้องการสำเร็จลุล่วงสิ่งใดในตัวมนุษย์ และท้ายที่สุดแล้ว พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ผลเช่นใด ถ้าเจ้าไม่เข้าใจเส้นทางของเปโตรอย่างถ่องแท้และเพียงแต่อยากเดินตามนั้นเท่านั้น เจ้าก็จะไม่สามารถออกเดินไปบนเส้นทางนั้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าอาจจะรู้คำสอนมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริง ต่อให้เจ้ามีการเข้าสู่อย่างผิวเผินบ้าง เจ้าก็จะไม่สัมฤทธิ์ผลอันใดได้จริง
ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจตนเองอย่างผิวเผินมาก พวกเขาไม่รู้ชัดถึงสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติของตนเลย รู้จักแต่สภาวะที่เสื่อมทรามบางอย่างที่ตนเผยออกมา สิ่งที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ หรือข้อบกพร่องที่ตนมีเท่านั้น และนี่ก็ทำให้พวกเขานึกว่ารู้จักตนเองแล้ว ถ้าพวกเขาปฏิบัติตามกฎข้อบังคับบางอย่าง แน่ใจได้ว่าตนไม่ได้ทำบางสิ่งผิดพลาด และสามารถหลีกเลี่ยงการกระทำผิดบางอย่างได้ พวกเขาก็จะนึกว่าตนเองมีความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าและทึกทักเอาว่าพวกเขาจะได้รับความรอด นี่เป็นเพียงความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น ถ้าเจ้ายึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะเว้นจากการกระทำผิดได้จริงหรือ? เจ้าจะบรรลุการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้จริงหรือ? เจ้าจะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้จริงหรือ? เจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้จริงหรือ? ไม่ได้แน่ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน ผู้คนควรมีมาตรฐานที่สูงในการเชื่อในพระเจ้า ได้แก่ การได้มาซึ่งความจริง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง นี่ย่อมต้องให้ผู้คนพยายามทำความรู้จักตนเองเสียก่อน ถ้าคนเรารู้จักตนเองอย่างตื้นเขินเกินไป นี่ก็จะไม่แก้ปัญหาอันใดเลย และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เจ้าต้องรู้จักตนเองในระดับที่ลงลึก ซึ่งหมายถึงการรู้จักธรรมชาติของเจ้า และรู้ว่าธรรมชาติในตัว มีองค์ประกอบใดอยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากที่ใด และมาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสามารถเกลียดสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือไม่? เจ้ามองเห็นดวงจิตที่อัปลักษณ์และธรรมชาติอันเลวของตนเองหรือยัง? ถ้าเจ้ามองเห็นความจริงเกี่ยวกับตนเองอย่างแท้จริง เจ้าจะเกลียดตนเอง เมื่อเจ้าเกลียดตนเอง แล้วจากนั้นก็พยายามนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เจ้าจะสามารถขบถต่อเนื้อหนังและมีเรี่ยวแรงมาปฏิบัติความจริง และนั่นก็จะไม่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการดิ้นรนอีกต่อไป เหตุใดผู้คนมากมายจึงกระทำการตามความพอใจทางเนื้อหนังของตน? เพราะพวกเขามองว่าตนเองเป็นคนที่ค่อนข้างดี รู้สึกว่าการกระทำของตนนั้นเหมาะสมและชอบด้วยเหตุผลอย่างยิ่ง ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ และถึงกับถูกต้องโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงกระทำการด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อพวกเขารู้จริงว่าธรรมชาติของตนเป็นเช่นไรกันแน่—อัปลักษณ์ น่ารังเกียจ และน่าสมเพชเพียงใด—พวกเขาก็จะเลิกคิดว่าตนเองสูงส่งมาก เลิกโอหังเช่นนั้น และไม่รู้สึกกระหยิ่มใจขนาดนั้นอีกต่อไป พวกเขาจะคิดว่า “ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าบ้างโดยที่สองเท้ายังติดดินอย่างมั่นคง มิฉะนั้น ฉันจะเข้าไม่ถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และละอายใจที่จะมีชีวิตอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า” พวกเขาจะมองเห็นโดยแท้ว่าตนนั้นตัวเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างแท้จริง ถึงจุดนี้ การปฏิบัติความจริงย่อมจะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็จะดูเหมือนอย่างที่มนุษย์ควรเป็นอยู่บ้าง คนคนหนึ่งจะขบถต่อเนื้อหนังได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเกลียดตนเองอย่างแท้จริงเท่านั้น ถ้าไม่เกลียดตนเอง พวกเขาก็จะไม่สามารถขบถต่อเนื้อหนัง การเกลียดตนเองโดยแท้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะทำเช่นนั้น คนเราต้องมีหลายสิ่ง ประการแรก คนเราต้องรู้จักธรรมชาติของตน ประการที่สอง พวกเขาต้องมองเห็นว่าตนนั้นอ่อนด้อยและน่าสมเพช เป็นคนตัวเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างยิ่ง และต้องมองเห็นดวงจิตที่สกปรกและน่าสมเพชของตน เมื่อมองเห็นครบถ้วนว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นเช่นใด—เมื่อสัมฤทธิ์ผลดังนี้แล้ว—พวกเขาย่อมรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และกล่าวได้ว่าพวกเขารู้จักตนเองอย่างถูกต้องแม่นยำ ถึงจุดนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะเกลียดตนเองได้ ถึงขนาดสาปแช่งตนเอง รู้สึกอย่างแท้จริงว่าผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักจนไร้ซึ่งสภาพเสมือนมนุษย์ วันหนึ่ง หากพวกเขาเผชิญภัยคุกคามจากความตายอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะคิดว่า “นี่คือการลงโทษอันชอบธรรมจากพระเจ้า พระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้ ฉันสมควรตาย!” ถึงจุดนั้น พวกเขาจะไม่เปล่งเสียงแสดงความคับข้องใจ และยิ่งจะไม่พร่ำบ่นพระเจ้า—พวกเขาจะรู้สึกแต่เพียงว่าตนนั้นอ่อนด้อย น่าสมเพช สกปรก และเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง ควรถูกพระเจ้ากำจัดและทำลายเสีย และพวกเขาจะรู้สึกว่าดวงจิตเช่นของตนนั้นไม่เหมาะที่จะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ดังนั้น พวกเขาก็จะไม่พร่ำบ่นหรือต่อต้านพระเจ้า และยิ่งจะไม่ทรยศพระองค์ แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้จักตนเอง และยังคงนึกว่าตนนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างดี เช่นนั้นแล้วเมื่อการตายคุกคามเข้ามาใกล้ พวกเขาก็จะคิดว่า “ฉันทำไว้ดีมากแล้วในความเชื่อของฉัน ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างหนัก พลีอุทิศไปมากมาย และทนทุกข์มากนัก แต่สุดท้าย พระเจ้ากลับปล่อยให้ฉันตาย ฉันไม่รู้ว่าความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ไหน ทำไมพระองค์ถึงปล่อยให้ฉันตาย? ถ้าแม้กระทั่งคนอย่างฉันยังต้องตาย แล้วจะมีใครสามารถได้รับความรอด? เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่จบสิ้นกันหมดหรอกหรือ?” ประการแรก พวกเขาจะมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ประการที่สอง พวกเขาจะพร่ำบ่นพระองค์และไม่มีการนบนอบแต่อย่างใด แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเหมือนเปาโลที่ไม่รู้จักตนเองแม้ในยามที่เขากำลังจะตาย เมื่อการลงโทษของพระเจ้ามาถึงตัวพวกเขา นั่นย่อมจะสายเกินไปแล้ว
บทตัดตอน 43
แม้การชุมนุมมักจะสามัคคีธรรมความจริง ชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน พูดคุยเรื่องการรู้จักตนเอง และเสวนาถึงสภาวะและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้คน แต่ตอนนี้ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง บางคนเพียงแต่ยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พอเผยมันออกมา พวกเขากลับไม่รู้จัก บางคนมีความสามารถในการทำความเข้าใจ และเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง อย่างไรก็ดี เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ความเข้าใจของพวกเขากลับกลายเป็นผิวเผิน พวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าตนยังสบายดีอยู่ ตนยังเป็นคนดี และแม้พวกเขาจะเชื่อว่าตนเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่บ้าง พวกเขาก็ยังคงจัดให้ตนเองอยู่กลุ่มเดียวกับคนดี พวกเขาไม่รู้จักธรรมชาติของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนหรือรู้ว่าอุปนิสัยนั้นจะก่อให้เกิดผลอะไรตามมาบ้าง นี่ใช่การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่? หลังจากที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้ามาไม่กี่ปี ด้วยการอ่านพระวจนะของพระองค์ ฟังสามัคคีธรรมและคำเทศนา รวมทั้งได้รับการตัดแต่ง ในที่สุดพวกเขาส่วนใหญ่ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ของตนนั้นไม่ดี และตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่จริง อีกทั้งสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ละเมิดความจริงและต่อต้านพระเจ้าได้ อย่างไรก็ดี ผู้คนมากมายกลับไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้อย่างแท้จริง พวกเขาเพียงยอมรับทางวาจาว่าตนคือมาร เป็นซาตาน และควรถูกสาปแช่ง ความเข้าใจแบบนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่? เป็นสิ่งที่มาจากหัวใจหรือไม่? เป็นสิ่งที่กล่าวออกมาจากความเกลียดชังตนเองอย่างแท้จริงใช่ไหม? ตัวอย่างเช่น มีผู้นำหรือคนทำงานที่ถูกปลดเพราะไม่ทำงานจริง และเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขา “สำนึกผิด” พวกเขาจึงเขียนจดหมายกลับใจว่า “ฉันทำให้พระเจ้าผิดหวังและติดค้างพระองค์ ฉันไม่คู่ควรกับความรอดของพระองค์หรือโลหิตจากพระหทัยที่พระองค์ทรงสละเพื่อฉัน ฉันเป็นปีศาจ เป็นซาตาน ความเป็นมนุษย์ของฉันนั้นไม่ดี ข้าพระองค์ควรถูกสาปแช่ง ข้าพระองค์ควรลงนรกและพินาศไปเสีย!” ในจดหมายกลับใจนี้ พวกเขากล่าวโทษและปฏิเสธตนเองทุกประโยค เอ่ยวาจาที่ผู้ไม่มีความเชื่อจะไม่มีวันพูดออกมา แม้พวกเขายอมรับว่าตนนั้นคือปีศาจและซาตานตนหนึ่ง แต่ถ้อยคำเหล่านี้มีความสัตย์จริงบ้างหรือไม่? (ไม่มี พวกเขาไม่กล่าวว่าตนเองได้เผยความเสื่อมทรามอะไรออกมา ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีลงไป หรือนำความสูญเสียอันใดมาให้แก่งานของคริสตจักรบ้าง) ไม่มีสักประโยคเดียวที่อธิบายว่าสถานการณ์ตามจริงนั้นเป็นเช่นไรหรือมีอะไรอยู่ในหัวใจของพวกเขา ถ้อยความเหล่านั้นคือวาจาที่ว่างเปล่าทั้งสิ้น นี่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่? (ไม่ใช่) ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขายอมรับหรือไม่ว่าตนนั้นเสื่อมทราม? (ไม่) พวกเรามาอธิบายลักษณะนิสัยของพวกเขากันเถิด กล่าวคือ คนคนนี้ไม่ยอมรับความเสื่อมทรามของตนเอง พวกเขาเขียนจดหมายกลับใจ ดูผิวเผินก็เหมือนพวกเขารู้จักตนเองและยอมรับความเสื่อมทรามของตน นับจากนั้นเจ้าควรดูว่าพวกเขาประพฤติตนอย่างไรในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง พวกเราจะสามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมแบบใดว่าพวกเขายอมรับความเสื่อมทรามของตนเองอย่างถ่องแท้ และรู้จักตนเองโดยแท้จริง? (หลังจากที่คนคนหนึ่งเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ก็ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง) ถูกต้อง พระเจ้าทรงดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวคนคนหนึ่งหรือไม่ ถ้าใครสักคนเขียนจดหมายกลับใจ ถ้อยคำของพวกเขาดูจริงใจและพวกเขาก็ดูเหมือนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ นี่หมายความว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงแล้วกระนั้นหรือ? พิสูจน์ได้หรือไม่ว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงแล้ว? ไม่ได้ พวกเราต้องดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวพวกเขาหรือไม่—นี่คือแง่มุมที่สำคัญที่สุด แต่หลังจากถูกปลด พวกเขาก็มักจะปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง ซึ่งเท่ากับว่ายังไม่ยอมรับความเสื่อมทรามของตนและยังไม่เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง การต้านทาน การปกป้องตัวเอง และการสร้างความชอบธรรมให้ตนเองที่อยู่หลังฉากได้ยืนยันในเรื่องนี้ นอกจากนี้ เมื่อเบื้องบนชำแหละการกระทำของพวกเขาและกล่าวว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นผู้นำเทียมเท็จ และเป็นคนที่ไม่ทำงานจริง พวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการถูกเบื้องบนเปิดโปงบ้าง? พวกเขาโต้แย้ง แก้ตัว และสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง อธิบายเรื่องเหล่านี้ไปทั่ว ไม่ยอมรับรู้ว่าตนไม่ทำงานจริง ไร้ขีดความสามารถ ไม่เข้าใจความจริง และเป็นผู้นำเทียมเท็จ เบื้องหลังการไม่ยอมรับรู้และปกป้องตนเองนี้คืออุปนิสัยแบบใด? นี่คืออุปนิสัยดื้อแพ่งและโอหังอย่างหนึ่ง เป็นอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง ตอนที่พวกเขาเขียนจดหมายกลับใจ พวกเขากล่าวว่าพวกเขาต่างก็เป็นมารและซาตานตนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับพระเจ้า ติดค้างพระเจ้า และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่ดี แต่ทันทีที่ยอมรับเช่นนี้ พวกเขาก็หวนกลับไปสู่หนทางเดิม นี่เกิดอะไรขึ้น? (การยอมรับของพวกเขาไม่เป็นความจริง) แบบไหนคือด้านที่แท้จริงของพวกเขา? แบบไหนคือวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขา? (การปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง) การปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองที่อยู่เบื้องหลัง ชี้แจงเหตุผลเพื่อตัวเองไปทั่ว—นี่คือด้านที่แท้จริงของพวกเขา นี่ย่อมพิสูจน์มิใช่หรือว่าพวกเขาไม่ยอมรับว่าตนนั้นไม่สามารถทำงานจริงได้และตนไม่มีความเป็นจริงความจริง? พวกเขาไม่รับรู้แต่อย่างใด ถ้าแม้แต่เรื่องนี้พวกเขายังไม่ยอมรับรู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือ? ถ้าพวกเขาไม่รู้จักตนเอง เช่นนั้นแล้วการที่พวกเขาบรรยายลักษณะตัวเองว่าเป็นมารและซาตานตนหนึ่ง ย่อมกำลังชักพาให้ผู้คนหลงผิดอยู่มิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับการรู้จักตัวเองก็เป็นเรื่องโกหก ทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง พวกเขาไม่ยอมรับว่าตนนั้นไม่สามารถทำงานได้ และความเป็นมนุษย์ของตนก็ไม่ดี แล้วทำไมพวกเขาถึงยังคงพูดคำกล่าวโทษตัวเองพวกนั้น? นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ถ้าพวกเขาไม่รู้จักตนเอง ทำไมพวกเขาถึงยังคงเสแสร้งว่ารู้จัก? นี่คือการหลอกลวงผู้คน ข้อเท็จจริงเบื้องหน้าพวกเราพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเป็นคนที่หน้าซื่อใจคด ดังนั้น พวกเขาจะยอมรับหรือไม่ว่าตนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม? (ไม่ยอมรับ) พวกเขาไม่ยอมรับรู้เรื่องนี้ และถึงกับพยายามหาข้อแก้ตัวและเหตุผลต่างๆ มาพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนี้ไม่ผิด พวกเขาเชื่อว่าไม่ว่าตนทำอะไรก็เป็นเรื่องถูกต้อง และเบื้องบนไม่ควรกล่าวโทษหรือชำแหละเรื่องนั้นๆ พวกเขายอมรับการถูกปลดได้ แต่ไม่สามารถยอมรับการถูกปฏิบัติด้วยอย่างไม่เป็นธรรมเพราะเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าเหตุผลในการปลดพวกเขาจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็สามารถนบนอบและยอมรับได้ ที่พวกเขายอมรับหรือนบนอบไม่ได้ก็เพราะพวกเขาถูกปลดด้วยเรื่องจำเพาะที่พวกเขาทำลงไปนี้เท่านั้น นี่คือต้นเหตุของการที่พวกเขาปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองมิใช่หรือ? คนแบบนี้พูดจาเรื่องการเป็นมารและเป็นซาตาน บอกว่าตนควรถูกสาปแช่งและส่งตัวลงนรก ร้องตะโกนคำพูดชวนเชื่อเหล่านี้ซ้ำๆ กัน พลางโต้เถียงและอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมต่อไป—พวกเขารู้จักตนเองจริงหรือไม่? (ไม่) พวกเขาร้องบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกตนคือมารและซาตานตนหนึ่ง กระนั้นพวกเขากลับไม่ยอมรับรู้ความผิดที่ทำลงไปแต่อย่างใด พวกเขารับรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม? (ไม่) เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่รับรู้? พวกเขารับรู้ว่าตนคือมารและซาตานตนหนึ่ง ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม? ผลที่ตามมาของเรื่องใดร้ายแรงกว่ากัน—การรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือการรับรู้ว่าตนคือมารและซาตานตนหนึ่ง? อันที่จริงพวกเขาเข้าใจอยู่ในหัวใจของตนว่าการรับรู้ว่าพวกเขาคือซาตานและมารตนหนึ่งนั้นสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและอาจสัมฤทธิ์ผลดีได้ แล้วผู้คนก็จะไม่ทำอะไรตน อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขายอมรับความผิดที่ตนทำลงไป หรือยอมรับว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ ผู้คนก็จะหลบเลี่ยงและเกลียดชังพวกเขา เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกคำพูดชวนเชื่อแบบป้ายโฆษณามาชักพาให้ทุกคนหลงเชื่อและอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ตัวเองพ้นผิด ทำไมพวกเขาถึงร้องบอกวลีเด็ดและคำพูดชวนเชื่อดังกล่าว? มีจุดประสงค์อะไร? (ผู้คนจะได้มองเห็นว่าพวกเขารู้จักตัวเองมากเพียงใด) ในแง่หนึ่ง พวกเขากำลังอวดอ้างว่าพวกเขามีจิตวิญญาณ ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็คิดว่า “ทุกคนพูดว่าตนคือมารและซาตานตนหนึ่ง ถ้าฉันบอกว่าฉันคือมารและซาตานตนหนึ่ง ฉันก็จะไม่ต้องรับผลที่ตามมาและยังสามารถได้รับความเห็นชอบจากทุกคนด้วย ทำไมจะไม่ทำเล่า?” แนวคิดเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? การรู้จักตนเองแบบนี้ไม่ฉลาดแกมโกงไปหน่อยหรือ? (ใช่ แบบนี้ชักพาให้หลงผิด) โดยธรรมชาติแล้ว นี่คือการชักพาให้หลงผิดและหลอกลวง มีลักษณะของนักต้มตุ๋นทางศาสนา! พวกนักต้มตุ๋นทางศาสนาพูดว่าอย่างไร? “พวกเราล้วนเป็นคนบาป พวกเราทำบาปกันมาทั้งสิ้น!” พวกเขาไม่พูดว่าตนเลวอย่างไรหรือบอกรายละเอียดของเรื่องไม่ดีที่พวกเขาทำลงไป พวกเขากล่าวด้วยว่า “พวกเราทุกคนเป็นคนบาป และพวกเราต้องกลับใจ ดูสิว่าองค์พระเยซูเจ้าหลั่งพระโลหิตอันล้ำค่าเพื่อพวกเราไปมากเท่าใด!” พวกเขาต้องการบรรลุเป้าหมายอะไรด้วยวาจาเหล่านี้? ก็เพื่อที่จะทำให้ตนเองดูมีจิตวิญญาณ พวกเขากำลังอวดตัวและทำให้ผู้อื่นยกย่องตนเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของการชนะใจคนทั้งหลาย ผู้คนที่กล่าวอ้างว่ายอมรับว่าพวกตนคือพวกมารและเหล่าซาตานนั้นก็อยากสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ด้วยมิใช่หรือ? นี่คือจุดประสงค์ของพวกเขาเช่นกันมิใช่หรือ? มองปราดแรกก็ดูเหมือนว่าพวกเขารู้จักตนเอง และดูเป็นคนที่กลับใจอย่างแท้จริง ป่าวประกาศว่าพวกตนคือพวกมารและเหล่าซาตาน เป็นลูกหลานของนรก และสมควรตาย คำพูดของพวกเขาช่างจริงจังนัก! แต่ระหว่างที่พวกเขาพูดจาอย่างจริงจังยิ่ง สิ่งที่ทำจริงๆ อยู่หลังฉากนั้นพวกเขาเอาจริงเอาจังเหมือนกันหรือไม่? ไม่เลย พวกเขาใช้วิธีตีสองหน้า กล่าวคือ ทางหนึ่ง พวกเขารับรู้อย่างเปิดเผยว่าพวกตนคือพวกมารและเหล่าซาตาน แต่อีกทางหนึ่ง พวกเขากลับเที่ยวปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง อธิบายว่าตนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขากล่าวว่าพวกเขาถูกเบื้องบนปฏิบัติด้วยอย่างไม่เป็นธรรม เบื้องบนไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ที่แท้จริง และพวกเขาก็สู้ทนความทุกข์ยากและความคับข้องหมองใจไปมากมายจากการทำสิ่งเหล่านี้ จ่ายราคาไปมาก และไม่ควรได้รับการปฏิบัติด้วยแบบนี้ พวกเขากล่าวสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ได้รับความเห็นใจมากขึ้น ทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่าพวกเขารับรู้ว่าตนเองคือพวกมารและเหล่าซาตาน และพวกเขาก็รู้จักตนเองอย่างแท้จริง เบื้องบนต่างหากที่ไม่เป็นธรรมกับพวกเขา และพวกเขาก็ถูกปลดด้วยเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ พวกเขาทำให้ดูเหมือนว่าตนนั้นรู้จักตนเองและสมควรได้เป็นผู้นำ แท้จริงแล้วพวกเขาปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอย่างแข็งขัน ผู้คนที่เก่งในเรื่องอำพรางตัวและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เก่งเรื่องตะโกนคำขวัญชวนเชื่อฝ่ายวิญญาณนี้ สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่? (ไม่สามารถ) สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการรู้จักตนเองเป็นเพียงการทำไปตามขั้นตอน หลอกผู้อื่น และเสแสร้งทั้งหมดทำไปเพื่อทำให้ผู้อื่นประทับใจเท่านั้น แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกลับใจและยอมรับความผิดของตน พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าตัดแต่ง เปิดโปง บ่มวินัย หรือแม้กระทั่งปลดพวกตน พวกเขาไม่มีท่าทีแบบนั้นเลยจริงๆ
ทุกวันนี้ ประสบการณ์ของผู้คนส่วนใหญ่ยังตื้นเขินเกินไป การรู้จักตนเองของพวกเขาก็จำกัดเกินไป ผู้คนมากมายได้แต่ยอมรับความผิดพลาดในวิธีการของตนและข้อเสียของตน ในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนที่ยอมรับว่าตนมีขีดความสามารถต่ำ มีความเข้าใจที่บิดเบี้ยว ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และขาดความเป็นมนุษย์ ยิ่งมีน้อยคนนักที่ยังคงยอมรับว่าพระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้าคือข้อเท็จจริงทุกประการ ยอมรับว่าพระวจนะเหล่านี้เปิดโปงความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนเอง หรือพระวจนะของพระองค์ถูกต้องแม่นยำทั้งสิ้นและไม่มีข้อผิดพลาดเลย นี่คือข้อพิสูจน์ว่าผู้คนยังคงไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง การไม่ยอมรับว่าตนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนนั้น หมายความว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้จักตนเอง ไม่ว่าพวกเขาจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอันใดออกมา พวกเขาก็ไม่รับรู้ พวกเขาปกปิดและซุกซ่อนอุปนิสัยเหล่านั้นเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นความเสื่อมทรามของตน ผู้คนแบบนี้เก่งกาจในเรื่องอำพรางตนและเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่เอนเอียงเข้าหาความจริง และสภาวะของพวกเขาก็ปรับปรุงดีขึ้นมาบ้าง แต่พวกเขายังคงไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง ตลอดเวลาผู้คนมากมายมีปฏิกิริยาต่อการทำผิดพลาดด้วยการรับรู้ว่าตนทำผิดในเรื่องนั้นเท่านั้น ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า “แท้จริงแล้วคุณทำผิดตรงไหนในเรื่องนี้? คุณละเมิดหลักธรรมความจริงข้อใด? คุณเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแบบใดออกมา?” พวกเขาก็จะตอบว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เป็นเพียงความพลั้งเผลอชั่วขณะเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดให้รอบด้านและบุ่มบ่ามทำลงไป ฉันไม่ได้มีเจตนา” การกระทำและข้อผิดพลาดที่ไม่ได้เจตนากลายเป็นโล่กำบังและข้อแก้ตัวให้แก่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาได้เผยให้เห็น นี่ใช่การรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองโดยถ่องแท้หรือไม่? ไม่ใช่ ถ้าเจ้ามีข้อแก้ตัวหรือสรรหาเหตุผลให้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาอยู่เนืองๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถเผชิญหน้าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างแท้จริง และเจ้าก็จะไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจมันได้ ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีในช่วงเวลาหนึ่ง สภาวะของพวกเขามั่นคง สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำย่อมดำเนินไปอย่างราบรื่นและไม่มีเรื่องติดขัด พวกเขาสร้างผลลัพธ์บางอย่างที่เป็นบวกและได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น พวกเขารู้สึกว่าตนได้ทำคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ และพระเจ้าก็ควรประทานรางวัลแก่พวกเขา ผลก็คือพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่โอหังและคิดว่าตนถูก—พวกเขาเชื่อว่าตนนั้นดีกว่าผู้อื่น ไม่ยอมรับฟัง และไม่สามารถร่วมมือกับใครๆ อย่างสมัครสมานได้ ไม่นานพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างผิดพลาด พี่น้องชายหญิงจึงตัดแต่งและเปิดโปงพวกเขา บอกว่าพวกเขาโอหังเกินไป พวกเขายอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ยากและครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างไม่หยุดหย่อนว่า “ฉันนี่หรือโอหัง? ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอก ฉันไม่ได้คุยโวเรื่องอะไร ดังนั้นฉันจะกลายเป็นคนโอหังได้อย่างไร?” พวกเขาติดอยู่กับคำว่า “โอหัง” และไม่สามารถผ่านมันไปได้ การที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับคำคำนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีสำนึก ไม่รู้จักตัวเองแต่อย่างใด และไม่ยอมรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ถ้าใครบางคนวิจารณ์เจ้าหรือตัดแต่งเจ้า และกล่าวว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นละเมิดหลักธรรมความจริง แต่เจ้ากลับรับรู้ความผิดพลาดของตนในเรื่องนั้นๆ เท่านั้น ไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่านั่นคือผลสืบเนื่องจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยตัวออกมา และเต็มใจที่จะแก้ไขเฉพาะความผิดพลาดเท่านั้น โดยไม่เคยยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริง การรู้จักความผิดพลาดนั้นโดยตัวมันเองแล้วสามารถแสดงให้เห็นการรู้จักตนเองหรือไม่? การรู้จักตนเองหมายถึงการระบุต้นเหตุแห่งความผิดพลาดของตนและรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ถ้าเจ้ารู้ว่าเจ้าได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด และหลังจากนั้นพฤติกรรมของเจ้าก็เปลี่ยนไปเพื่อให้ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้ทำความผิดพลาดเช่นเดิมอีกแล้ว แต่เจ้าไม่ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และต้นเหตุของความผิดพลาดก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร? ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะยังคงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า จงอย่าทึกทักเอาว่าการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมไม่กี่อย่างจะทัดเทียมการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า การรู้จักตนเองเป็นเรื่องที่ไม่มีจุดจบ ถ้าคนเราไม่สามารถรู้จักต้นตอแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนหรือไม่อาจรู้ได้ว่ารากเหง้าของการต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้าของตนอยู่ตรงไหน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้ นี่คือสิ่งที่ยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา เหตุใดผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าจึงเปลี่ยนแปลงแต่พฤติกรรมของพวกเขาและไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน? ปัญหาอยู่ตรงนี้ ถ้าเจ้ารับรู้ว่าสิ่งที่เจ้าเผยออกมาคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามซึ่งทำให้เจ้ากระทำการตามใจชอบ ตัดสินใจตามอำเภอใจ ไม่ยอมร่วมมือกับผู้อื่นอย่างปรองดอง วางตนเหนือผู้อื่น และหลังจากที่รับรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าก็รับรู้อีกด้วยว่าเรื่องเหล่านี้เกิดจากอุปนิสัยที่โอหัง นี่จะนำประโยชน์อันใดมาให้เจ้า? เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริง และตระหนักรู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือต้นเหตุของการต่อต้านพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์อันหนักแน่นว่าซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม เจ้าจะตระหนักรู้ว่าถ้าคนเราไม่ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ไปเสีย พวกเขาย่อมไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์และไม่คู่ควรกับการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าได้แต่รับรู้ว่าเจ้าทำบางสิ่งผิดไป ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร? เจ้าจะเอาแต่มุ่งเน้นและทุ่มเทความพยายามให้กับวิธีการทำสิ่งต่างๆ และการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง ควรทำสิ่งต่างๆ อย่างไรเพื่อให้ดูภายนอกแล้วถูกควร และจะปกปิดการเผยอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าอย่างไร เจ้าจะยิ่งหลอกลวงมากขึ้นเรื่อยๆ และวิธีการที่เจ้าใช้หลอกผู้อื่นก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะคิดว่า “ครั้งนี้ฉันทำผิดพลาด และทุกคนก็มองเห็นเพราะฉันไม่ระวัง ครั้งหน้าฉันจะไม่เป็นอย่างนี้” ผลก็คือ ระหว่างที่วิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิวเผิน และผู้อื่นก็ไม่สามารถมองเห็นปัญหา เจ้ากลับซ่อนเร้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอาไว้ เจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว? เจ้ายิ่งหลอกลวงมากขึ้นและกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคด ถ้าคนเรามุ่งเน้นและทุ่มเทความพยายามให้กับวิธีการพูดจาและวิธีกระทำการเพื่อจะได้ไม่มีใครสามารถมองเห็นปัญหาหรือพบเจอข้อเสียของตนจากภายนอก และการกระทำของพวกเขาก็ดูไม่มีตำหนิ แต่พวกเขากลับไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนแม้แต่น้อย พวกเขากำลังกลายเป็นฟาริสีมิใช่หรือ? แม้การทำตัวหน้าซื่อใจคดอาจจะหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อ แต่ว่าการทำเช่นนี้หลอกให้พระเจ้าหลงเชื่อได้หรือไม่? แท้จริงแล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงอะไร? โดยมากหมายถึงการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเรา ถ้าคนเราไม่เคยรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา ในเวลาเดียวกันกับที่ยอมรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงด้วย ต้องคิดทบทวนว่าแท้จริงแล้วตนเองทำผิดตรงไหนและล้มเหลวตรงไหน จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตน วิธีนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และปฏิบัติความจริงในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และกระทำการตามหลักธรรมได้ เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง คนที่สามารถแสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริงได้เท่านั้นคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาคือคนที่สามารถทุ่มเทพยายามอย่างต่อเนื่องกับการปฏิบัติความจริงและการกระทำตามหลักธรรม สามารถสรุปประสบการณ์ของตนและเรียนรู้บทเรียนได้ เมื่อพวกเขาปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง มีหลักธรรมในการปฏิบัติตน และทำผิดพลาดน้อยลง พวกเขาก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนที่เหมาะสมจะให้พระเจ้าทรงใช้งาน ถ้าคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะหลงมัวเมาไปกับการพูดจาอันว่างเปล่าเรื่องการรู้จักตัวเองอย่างไร หรือบรรยายตนเองว่าเป็นมารและซาตานตนหนึ่งอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังไม่ปฏิบัติความจริงได้ ดังนั้น สองฝ่ายนี้แตกต่างกันอย่างไร? ฝ่ายหนึ่งยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แสวงหาหลักธรรมความจริง และปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความจริง—นี่คือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง อีกคนหนึ่งไม่ยอมรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง แต่กลับทุ่มเทความพยายามกับวิธีการทำสิ่งต่างๆ แทน อย่างไรก็ดี นี่เปลี่ยนแปลงแต่พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต ซึ่งทำให้พฤติกรรมของพวกเขายิ่งหลอกลวง สิ่งที่ผู้คนประเภทนี้ปฏิบัติตรงตามหลักธรรมความจริงหรือไม่? ห่างไกลจากหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิงและแม้แต่เปลือกก็เข้าไม่ถึง สิ่งที่พวกเขาทำคือการอำพรางตน เสแสร้ง และหลอกลวง เป้าหมายของพวกเขาคือการหลอกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง แต่ก็ยังอยากให้ทุกคนสรรเสริญพวกเขา ให้ความเห็นชอบและสนับสนุนพวกเขาอยู่ดี เพื่อให้พวกเขาสามารถมีสถานะในคริสตจักร นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงการอำพรางตนและหลอกลวงมิใช่หรือ? พวกเขาปิดบังอำพรางตน และมุ่งหาวิธีที่จะเป็นที่โปรดปรานของผู้อื่น มีหลักธรรมความจริงอยู่ในการทำเช่นนี้บ้างหรือไม่? ไม่เลย—เป็นการยึดตามความคิดฝันในจิตใจของมนุษย์ วิธีการของมนุษย์ ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์ทั้งสิ้น และยังคงเป็นการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน การปฏิบัติอย่างหน้าซื่อใจคดเช่นนี้เป็นเรื่องของความเป็นฝ่ายวิญญาณเทียมเท็จ เป็นการหลอกลวงผู้คน และไม่มีกระทั่งความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย
เหตุใดบางคนที่ดูแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนผู้อื่น จู่ๆ กลับพรวดพราดออกมาทำให้ผู้คนตกอกตกใจด้วยการทำความชั่วร้ายแรงในท้ายที่สุด? เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงวันสองวันเท่านั้นหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ น้ำแข็งหนาสามฟุตไม่สามารถแข็งตัวได้ภายในวันเดียว ภายนอกแล้วพวกเขาดูไร้เล่ห์มารยาและเรียบง่าย ไม่มีใครหาข้อบกพร่องในตัวพวกเขาได้ แต่ท้ายที่สุดสิ่งไม่ดีที่พวกเขาทำกลับยิ่งร้ายแรงและน่าประหลาดใจยิ่งกว่าสิ่งที่คนอื่นทำ ผู้คนที่ได้ชื่อว่าคนไร้เล่ห์มารยาเป็นคนทำสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คนประเภทนี้มีลักษณะทั่วไปอย่างไร? (พวกเขาดูมีพฤติกรรมที่ดีงามและปกติแล้วก็ดูไร้เล่ห์มารยามากทีเดียว) สิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีลักษณะเด่นชัดอยู่สองอย่าง—พวกเจ้าจับประเด็นสำคัญเหล่านี้ได้หรือไม่? (พวกเขาไม่รักความจริงหรือยอมรู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน เวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง พวกเขากำลังอำพรางตนและปฏิบัติตนอย่างหน้าซื่อใจคด) การปฏิบัติตนอย่างหน้าซื่อใจคดเป็นแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ แล้วเจ้าจะค้นพบและยืนยันได้อย่างไรว่าผู้คนเหล่านี้หน้าซื่อใจคด? เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าพฤติกรรมอันดีงามซึ่งพวกเขาใช้ดำเนินชีวิตเป็นเพียงการเสแสร้ง? (ภายนอกแล้วพวกเขาพูดจาดีมาก แต่เวลาลงมือทำจริง พวกเขากลับปกป้องผลประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า) นี่คือการสำแดงเฉพาะของการปฏิบัติตนอย่างหน้าซื่อใจคด แม้ผู้คนที่หน้าซื่อใจคดเหล่านี้จะพูดจาดี แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังหลอกลวงและชักพาให้ผู้คนหลงผิด นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังเปิดโปงความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้าของตน เอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขาอยากใช้ชีวิตอย่างหญิงแพศยา ขณะเดียวกันก็ยังคงคาดหวังให้มีอนุสรณ์สถานรำลึกถึงการถือพรหมจรรย์ของตน ทั้งหมดนี้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ เราเพิ่งกล่าวไปว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีลักษณะเด่นชัดอยู่สองอย่าง ลักษณะอย่างแรกก็คือ ผู้คนเยี่ยงนี้มักจะร้องตะโกนคำพูดชวนเชื่อและกล่าวคำสอนราวกับว่าตนนั้นเป็นฝ่ายวิญญาณอย่างลึกซึ้ง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่รักความจริงแม้แต่น้อย และไม่มีความรักให้กับความจริง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเจ้าเอ่ยถึงเมื่อครู่ว่าพวกเขาคำนึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองก็เป็นหนึ่งในการสำแดงเหล่านี้มิใช่หรือ? ทำไมพวกเขาจึงคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง? พวกเขารักความจริงหรือไม่? (พวกเขาไม่รักความจริง พวกเขาชอบแต่ผลประโยชน์) พวกเขาปกป้องแต่ผลประโยชน์ของตนเองและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงเลย นี่คือพฤติกรรมที่ไม่รักความจริงแม้แต่น้อยมิใช่หรือ? บางคนบอกว่า “ถ้าพวกเขาไม่รักความจริง แล้วทำไมพวกเขาจึงสามัคคีธรรมถึงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริงอยู่เสมอ?” พวกเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร? (พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อทำให้ผู้อื่นประทับใจ อำพรางตน และปรุงแต่งให้ตัวเองดูดี) นี่คือแง่มุมหนึ่ง แต่นอกจากนี้ แท้จริงแล้วพวกเขาสามัคคีธรรมความจริงหรือไม่? ไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด เป็นเพียงวาจาและคำสอนเท่านั้น ถ้าชัดเจนว่าเป็นเพียงวาจาและคำสอน เช่นนั้นแล้วจะเรียกว่าความจริงได้อย่างไร? มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะถือว่าวาจาและคำสอนคือความจริง พวกมารเชี่ยวชาญนักเรื่องกล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิด และพวกเขาก็อยากแสร้งทำตัวเป็นคนที่มีความจริงเพื่อหลอกผู้อื่นและพระเจ้าอีกด้วย ไม่ว่าวาจาและคำสอนที่ผู้คนกล่าวออกมาจะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี มีแต่พระวจนะที่พระเจ้าตรัสเท่านั้นที่เป็นความจริง วาจาและคำสอนที่มนุษย์เอ่ยออกมาจะนำมาเปรียบเทียบกับความจริงได้อย่างไร? ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกัน นี่คือแง่มุมแรก ซึ่งก็คือผู้คนเหล่านี้ไม่มีความรักให้กับความจริงอย่างแน่นอน แง่มุมนี้คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาใช่หรือไม่? (ใช่) เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่านี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและไม่ได้เป็นเพียงพฤติกรรมหรือสิ่งที่เผยออกมาชั่วคราว? เพราะเมื่อพวกเราดูทุกสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาและดูพฤติกรรมทุกอย่างแล้ว อาจสรุปได้ว่าแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็คือพวกเขาไม่รักความจริงแต่อย่างใด จากพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ย่อมสามารถบ่งชี้ได้ว่าพวกเขาคือคนที่ไม่รักความจริง นั่นคือลักษณะอย่างแรก ทีนี้ลักษณะที่สองเป็นเช่นไร? ก็คือผู้คนเหล่านี้ไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเลย ที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับรู้เลยหมายความว่าอย่างไร? ถ้าพูดว่าพวกเขาไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงพูดคุยเรื่องการทำความรู้จักตัวเองอยู่เสมอ? พวกเขาไม่เพียงพูดคุยเรื่องการทำความรู้จักตัวพวกเขาเองเท่านั้น แต่ยังช่วยผู้อื่นทำความรู้จักตนเองอย่างไม่มีความละอายอีกด้วย พวกเขามักจะพูดด้วยว่าตนยังทำไม่มากพอ ว่าตนติดค้างพระเจ้า ว่าพวกตนคือพวกมารและเหล่าซาตาน และสมควรที่จะถูกสาปแช่ง เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ว่าอย่างไร? (เวลาพวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง ย่อมไม่มีเนื้อหาหรือรายละเอียดที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น ไม่มีเนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าพวกเขาได้เผยความเสื่อมทรามอะไรออกมา เก็บงำเจตนาที่ผิดๆ อันใดเอาไว้ ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบไหนควบคุมอยู่ พวกเขามีการสำแดงลักษณะเฉพาะอะไรออกมา พวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติใด และอื่นๆ พวกเขาเอาแต่พูดอย่างคลุมเครือว่าพวกเขาคือพวกมารและเหล่าซาตานโดยไม่ได้แสดงความรู้สึกและความเข้าใจที่แท้จริงออกมา) (ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงก็คือสามารถเกลียดชังตัวเองได้อย่างแท้จริง ผู้คนจำพวกนี้ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนทางวาจา แต่ในหัวใจไม่ได้เกลียดชังตัวเองแต่อย่างใด และพวกเขาสรรหาเหตุผลสารพัดอย่างมาปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอีกด้วย บางครั้งพวกเขาก็ไม่ชี้แจงเหตุผลของตัวเอง แต่ในใจก็ไม่ได้ยอมรับและไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตน พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิงและไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย) พวกเขาไม่ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง—จะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรได้? (เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาถูกเผยออกมา พวกเขากลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งดังกล่าวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามประเภทนี้) ผู้คนจำพวกนี้พูดคุยเรื่องการรู้จักตัวเองอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วพวกเขารู้อะไรบ้าง? พวกเขารู้จักพฤติกรรมและสิ่งที่ตนสำแดงออกมา หรือรู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนหรือไม่? หรือรู้แต่สิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดลงไป? การรู้ทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันมาก การรู้บางอย่างคือการรู้อย่างแท้จริง ขณะที่บางอย่างกลับตื้นเขินและไร้แก่นสาร การรู้ของบางคนยิ่งตื้นเขินเข้าไปอีก และพวกเขารู้แค่ว่าตนทำอะไรผิดหรือแค่รับรู้สิ่งที่ตนทำลงไปนั้นขัดต่อศีลธรรมหรือกฎหมายเท่านั้น นี่ไม่ต่างจากผู้คนทางศาสนาที่ยอมรับความผิดของตนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่ได้พาให้กลับใจอย่างแท้จริง นอกจากนี้ก็มีบางคนที่พูดแต่คำสอนบางอย่างเวลาพูดคุยเรื่องการรู้จักตัวพวกเขาเอง หรือลอกคำพูดคนอื่นเรื่องการรู้จักตนเอง นี่ยิ่งเป็นการอำพรางและหลอกลวงในรูปแบบที่ร้ายแรงมากขึ้นไปอีก เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง? สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริง ดังนั้นการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาจึงยึดตามความชอบส่วนตน ปรัชญาของซาตาน ผลประโยชน์ ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองทั้งสิ้น ลึกลงไปในหัวใจ พวกเขามองไม่เห็นว่าความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนนั้นเสื่อมทราม สิ่งที่พวกเขาต้องการย่อมไม่เสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทำทุกสิ่งที่ตนชอบ เมื่อตัดสินเรื่องนี้จากจุดเริ่มต้นของการกระทำของพวกเขา พวกเขารู้จักความเสื่อมทรามของตนเองหรือไม่? (พวกเขาไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง) ผู้คนที่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนจะปฏิบัติตนเช่นไร? พวกเขาลงมือแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือเอาแต่อธิษฐาน จดจ่อ และทำสิ่งต่างๆ ตามที่พวกเขานึกคิดอยู่ในใจ? แบบไหนที่พวกเขาทำตาม? (พวกเขาแสวงหาหลักธรรมความจริง) ดังนั้นเมื่อมองการกระทำของผู้คนจำพวกที่กล่าวถึงข้างต้น ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการเสมอ พวกเขาเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้ามีไว้สำหรับผู้อื่น และพวกเขาถ่ายทอดคำสอนที่ตนเข้าใจให้แก่ผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าพวกเขาทำให้ผู้อื่นกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยแฝงความนัยว่า “พวกคุณทุกคนเผยความเสื่อมทรามออกมา แต่ฉันแสวงหาความจริงในทุกสิ่งที่ฉันทำ และแทบจะไม่เผยความเสื่อมทรามใดๆ ออกมาเลย” นี่ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือ? พวกเขาไม่กล้ารับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง นี่คือความจริงของเรื่องนี้ พวกเขาเชื่อว่าการจ่ายราคาและการพูดจาให้มากขึ้นอีกนิด สู้ทนความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย หรือแม้กระทั่งละทิ้งสิ่งต่างๆ และการสละตนของพวกเขาล้วนเพื่อสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเอง ซึ่งตรงตามความจริงและถูกต้องทั้งหมด ถ้าเจ้าไปถามพวกเขาว่า “ในเมื่อมนุษย์ทุกคนมีความเสื่อมทราม เวลาที่คุณคิดอย่างนั้น คุณไม่กลัวว่าตัวเองจะผิดหรอกหรือ?” พวกเขาก็จะตอบว่า “ไม่ นี่ก็ดีแล้ว ฉันไม่กลัวหรอก เจตนาของฉันถูกต้อง” จงดูเถิดว่าพวกเขามองว่าความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และเจตนาของตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นบวก ผู้คนแบบนี้ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองหรือ? (พวกเขาไม่ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง) จากมุมมองในแง่ข้อเท็จจริง พวกเขาไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองเลย คนที่ไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนจะกลับใจได้อย่างแท้จริงหรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาย่อมจะไม่กลับใจเป็นแน่ พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจ พวกเขามีการนบนอบอย่างแท้จริงหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาไม่มีการนบนอบเลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่รู้กระทั่งว่าความจริงคืออะไร ดังนั้นพวกเขาจะนบนอบได้อย่างไร? สิ่งที่พวกเขานบนอบมีแต่ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเองเท่านั้น พวกเขาใช้ชีวิตด้วยการทำทุกสิ่งตามความอยากได้อยากมีของตนเองโดยสิ้นเชิง พวกเขาพูด กระทำ และเลือกเส้นทางของตนโดยยึดตามเจตจำนงของตนเอง ไม่เคยแสวงหาความจริง บางคนกล่าวว่า “พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงฟังคำเทศนา?” การฟังคำเทศนาไม่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาสามารถแสวงหาความจริง นั่นเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของการเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ถ้าพวกเขาไม่ฟังคำเทศนาหรือเข้าร่วมชุมนุม เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่ถูกเผยออกมามิใช่หรือ? ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนนี้ แต่การฟังคำเทศนาไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง คนเราไม่อาจสรุปเช่นนี้ได้ การรับรู้ว่าตนมีความเสื่อมทรามไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับผู้คนที่ไม่รักความจริง
พวกเราเพิ่งกล่าวว่าผู้คนที่ไม่รู้จักตนเองมีลักษณะที่เด่นชัดอยู่สองประการ ประการหนึ่งคือพวกเขามีรากฐานที่ไม่รักความจริง และอีกประการหนึ่งคือพวกเขาไม่เคยรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเจ้าอยู่ห่างไกลจากการรู้จักตนเองเพียงใด? (ตอนนี้พวกเรายังคงไม่รู้จักตัวเอง และยังไม่ถึงขั้นเกลียดชังตัวเอง) พวกเจ้าอยู่ห่างไกลนัก การรู้จักตนเองหมายถึงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ความชอบส่วนตน ทัศนะและพฤติกรรมที่ผิดๆ ของตนเป็นสำคัญ นี่คือกุญแจสำคัญ ส่วนแง่มุมอื่นๆ ของการรู้จักตนเองนั้นเป็นเรื่องรอง เจ้าจะยอมรับความจริงได้อย่างแท้จริงและกลับใจได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเจ้ายอมรับว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มีแก่นแท้ธรรมชาติและการเผยความเสื่อมทรามทุกชนิดที่พระเจ้าทรงเปิดเผยในตัวผู้คน และเมื่อเจ้าสามารถแจกแจงสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างละเอียดและยอมรับว่าข้อเท็จจริง พฤติกรรม และการเผยสิ่งจำเพาะทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นไปตามความจริง ล้วนต่อต้านพระเจ้า และเป็นที่รังเกียจของพระองค์ทั้งสิ้น ทุกวันนี้เวลาผู้คนกล่าวอ้างว่ายอมรับความจริง พวกเขาก็เพียงยอมรับความจริงในแง่ของคำสอนและเปลี่ยนพฤติกรรมบางส่วนของตน แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานและดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย การที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของคนเรานั้น คนเราต้องรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง—นี่คือก้าวแรก คนที่ตระหนักรู้เพียงว่าการกระทำของตนเองมีปัญหา ตนไม่ใช่คนดี หรือเป็นมารและซาตานตนหนึ่งก็ยังคงห่างไกลจากการรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตนและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน
บทตัดตอน 44
ถ้าผู้คนจะทำความเข้าใจตนเอง พวกเขาต้องเข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนและทำความเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของตนให้ได้ การที่จะเข้าใจสภาวะของตนเองนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจความคิดอ่านและแนวคิดของตนเอง ในทุกช่วงเวลา ความคิดอ่านและแนวคิดของคนคนหนึ่ง ย่อมถูกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งกำกับเอาไว้ ถ้าเจ้าสามารถทำความเข้าใจความคิดอ่านและแนวคิดของเจ้าได้ เจ้าก็จะสามารถทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังความคิดอ่านและแนวคิดเหล่านั้น ไม่มีใครควบคุมความคิดอ่านและแนวคิดของตนได้ อย่างไรก็ดี เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าความคิดอ่านและแนวคิดเหล่านี้มาจากไหน มีแรงจูงใจอันใดอยู่เบื้องหลัง เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสิ่งใดคอยกำกับ และมีธรรมชาติเป็นเช่นใด หลังจากที่อุปนิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความคิดอ่าน แนวคิด ทัศนะ และเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาซึ่งเกิดจากส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวพวกเขานี้ย่อมจะแตกต่างไปอย่างมาก ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะเข้าใกล้ความจริงและสอดคล้องกับความจริง ส่วนสิ่งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงภายในตัวผู้คน ได้แก่ ความคิดอ่าน แนวคิด และทัศนะเก่าๆ ของพวกเขา ตลอดจนสิ่งที่พวกเขาชอบและไล่ตามไขว่คว้า ย่อมสกปรก โสมม และน่าขยะแขยงทั้งสิ้น หลังจากที่คนคนหนึ่งมาเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาย่อมมีวิจารณญาณในสิ่งเหล่านี้และมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น พวกเขาจึงขบถและละทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้คนเช่นนี้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างมาแล้วอย่างแท้จริง พวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงบางอย่างได้ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เสื่อมทรามหรือเป็นลบเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่อาจใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขบถต่อสิ่งเหล่านี้ แท้จริงแล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่างเช่นนี้? พวกเขาเป็นผู้เชื่อเหมือนกัน แต่เหตุใดบางคนกลับสามารถใช้วิจารณญาณดูสิ่งที่เป็นลบและโสมมและปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ ขณะที่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนหรือหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้? เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการที่ว่าคนคนหนึ่งรักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เมื่อคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนามาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาก็จะสามารถเข้าใจความจริงและมองเห็นบางสิ่งได้อย่างชัดเจน พวกเขาจะก้าวหน้าในชีวิตของตน ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าคนที่ไม่รักความจริงจะเข้าชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้า และฟังคำเทศนาเหมือนกันไม่มีผิด แต่พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจความจริงได้ และไม่ว่าจะเชื่อมากี่ปี พวกเขาก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ผู้คนเหล่านี้ล้มเหลวเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ไม่อาจเข้าใจความจริงได้ เมื่อพวกเขาเผชิญสถานการณ์หนึ่งๆ พวกเขาก็ไม่อาจมองสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน และแทบจะไม่ต่างจากผู้คนในศาสนาแต่อย่างใด พวกเขาไม่ได้อะไรจากความเชื่อที่มีมานานหลายปี ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจความจริงมากเพียงใดแล้ว? สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจนบ้าง? พวกเจ้าสามารถดูสิ่งที่เป็นลบและผู้คนที่เป็นลบออกหรือไม่? ถ้าเจ้าไม่ชัดเจนแม้กระทั่งว่าการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร หรือแท้จริงแล้วเจ้าเชื่อในตัวผู้ใด ถ้าเจ้าไม่สามารถแยกแยะแนวคิดและเจตนาที่เจ้ามีในชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน ถ้าเจ้าไม่ตระหนักรู้อย่างถ่องแท้ว่าเจ้าควรเดินไปตามเส้นทางใดในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และถ้าเจ้าไม่ชัดเจนว่าตนเองควรปฏิบัติความจริงอย่างไรเวลาทำสิ่งต่างๆ หรือปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตเลย ด้วยการเข้าใจความจริงโดยแท้และรู้ว่าควรปฏิบัติความจริงอย่างไรเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ มองเห็นเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ทำสิ่งทั้งหลายตามความจริง ทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้ และเข้าใกล้เจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการไล่ตามเสาะหาเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะได้ผลลัพธ์มา
บทตัดตอน 45
ภายในตัวมนุษย์มักมีสภาวะเชิงลบบางสภาวะอยู่เป็นนิจ ท่ามกลางสภาวะเหล่านั้น บางสภาวะสามารถมีอิทธิพลต่อผู้คนหรือจำกัดควบคุมพวกเขาได้ มีบางสภาวะที่สามารถแม้แต่ทำให้บางคนแยกตัวออกจากหนทางที่แท้จริงและมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิดได้ สิ่งที่ผู้คนไล่ตามเสาะหา สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ และเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับสภาวะภายในของพวกเขา ไม่ว่าผู้คนจะอ่อนแอหรือเข้มแข็งก็ยิ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับสภาวะภายในของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้ผู้คนจำนวนมากให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับวันแห่งพระเจ้า พวกเขาล้วนมีความอยากได้อยากมีนี้ พวกเขาโหยหาให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงโดยเร็วเพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ ความเจ็บป่วยเหล่านี้ การข่มเหงนี้ ตลอดจนความเจ็บปวดประเภทอื่น ผู้คนคิดว่าเมื่อวันแห่งพระเจ้ามาถึง พวกเขาจะได้รับการบรรเทาความเจ็บปวดที่พวกเขาทนทุกข์อยู่ในขณะนี้ พวกเขาจะไม่ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากอีกแล้ว และพวกเขาจะเปรมปรีดิ์ในพระพร หากใครบางคนแสวงหาเพื่อที่จะเข้าใจพระเจ้าหรือไล่ตามเสาะหาความจริงจากภายในสภาวะเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขาจะถูกจำกัดอย่างมาก เมื่อมีความพ่ายแพ้หรือมีสิ่งใดที่ไม่น่าพึงพอใจเกิดขึ้นกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วความอ่อนแอ ความคิดลบ และความเป็นกบฏภายในตัวพวกเขาย่อมจะเผยตัวออกมา ดังนั้นหากสภาวะของใครบางคนผิดปกติหรือไม่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาย่อมจะไม่ถูกต้องและย่อมจะไม่บริสุทธิ์อย่างแน่นอน บางคนไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่จากภายในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง แต่พวกเขากลับคิดว่าตนกำลังไล่ตามเสาะหาได้ดี พวกเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และกำลังปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับความจริง พวกเขาไม่เชื่อว่าตนได้ขัดพระประสงค์ของพระเจ้าหรือเบี่ยงเบนออกจากเจตนารมณ์ของพระองค์ไปแล้ว เจ้าอาจรู้สึกแบบนั้น แต่เมื่อมีเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าพึงพอใจบางประการทำให้เจ้ามีความทุกข์ สัมผัสจุดอ่อนของเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่เจ้ารักและไล่ตามเสาะหาลึกลงไปในหัวใจของเจ้า เจ้าจะเริ่มคิดลบ ความหวังและความใฝ่ฝันทั้งหลายของเจ้าจะสูญสลาย และเจ้าจะเริ่มอ่อนแอตามธรรมชาติ ดังนั้นสภาวะของเจ้าในเวลานั้นจะตัดสินใจว่าเจ้าเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าพวกเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง มีวุฒิภาวะเล็กน้อย และรู้สึกว่าพวกเขามีความเชื่อมากกว่าที่พวกเขาเคยมีมาก่อน พวกเขาคิดว่าตนได้เริ่มต้นบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีคนอื่นมาฉุดดึงหรือผลักดันพวกเขาไปตามร่องครรลองนั้น ในกรณีนี้ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นคนคิดลบหรืออ่อนแอเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมบางอย่างหรือเผชิญความลำบากยากเย็นทั้งหลาย? เช่นนั้นแล้วทำไมพวกเขาถึงพร่ำบ่นและลงเอยด้วยการละทิ้งความเชื่อของตน? นี่แสดงให้เห็นว่ามีสภาวะเชิงลบและผิดปกติภายในตัวทุกคน ความไม่บริสุทธิ์บางประการในตัวมนุษย์เป็นสิ่งที่ปล่อยไปไม่ได้ง่ายๆ ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ การปล่อยมือนี้ต้องกระทำตามที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงไว้ หลังจากคิดทบทวนและเข้าใจสภาวะของตนเอง ผู้คนต้องเปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้า และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เมื่อนั้นเท่านั้นที่สภาวะของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเริ่มรู้จักสภาวะของตน พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ทันที ตราบใดที่ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่เป็นนิจ เข้าใจสภาวะของตนเองอย่างชัดเจน และอธิษฐานถึงพระเจ้าและเพียรพยายามไปสู่ความจริง ตราบนั้นเมื่อพวกเขาเผยความเสื่อมทรามออกมาอีกครั้ง หรือเมื่อพวกเขาตกอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติในอนาคต พวกเขาย่อมจะสามารถตระหนักรู้ถึงสภาวะดังกล่าวได้ และพวกเขาจะสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า และใช้ความจริงในการแก้ไขปัญหา และสภาวะที่ไม่ถูกต้องของพวกเขาสามารถถูกพลิกกลับและสามารถเปลี่ยนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากความไม่บริสุทธิ์และสิ่งทั้งหลายที่สมควรถูกปล่อยมือซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนเก็บงำไว้ภายในตนเอง ผู้คนต้องมีประสบการณ์ในระดับหนึ่งก่อนที่จะสามารถสัมฤทธิ์ผลได้
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผู้คนจำนวนมากไล่ตามเสาะหาพระพรบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา และผลที่ตามมาก็คือพวกเขากลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอเมื่อพวกเขาเผชิญกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาเริ่มสงสัยพระเจ้าและแม้แต่เกิดมีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระองค์ หากไม่มีใครสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถตั้งมั่น และอาจจะทรยศต่อพระเจ้าได้ทุกเมื่อ เราขอยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง สมมุติว่าใครคนหนึ่งเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเสมอในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา คนคนนี้เชื่อว่าตราบเท่าที่เขาละทิ้งครอบครัวและทำหน้าที่ของตน พระเจ้าจะทรงคุ้มครองและอวยพร และดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้ครอบครัวของเขา และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าควรทรงทำ จากนั้นมีวันหนึ่งที่บางสิ่งซึ่งเขาไม่ปรารถนาเกิดขึ้นกับเขา—เขาล้มป่วยลง การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเจ้าภาพของเขาไม่สะดวกสบายเท่ากับการอยู่ในบ้านของเขาเอง และบางทีพวกเขาไม่ได้ดูแลเขาดีมากนัก เขารับไม่ได้ และกลายเป็นคนคิดลบและท้อแท้ใจเป็นเวลานาน นอกจากนี้เขายังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเขาไม่แม้แต่จะยอมรับความจริง นี่หมายความว่าผู้คนมีสภาวะบางอย่างภายในตัวของพวกเขา และหากพวกเขาไม่ตระหนัก สำเหนียก หรือรู้สึกว่าสภาวะเหล่านี้ผิด เช่นนั้นแล้วแม้ว่าพวกเขาอาจยังคงมีความหลงใหลและไล่ตามเสาะหามากอยู่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะเผชิญกับสถานการณ์ที่เปิดเผยสภาวะภายในที่แท้จริงของตน ซึ่งทำให้พวกเขาสะดุดและล้มเหลว นี่คือสิ่งที่มาจากการไม่สามารถคิดทบทวนหรือรู้จักตนเอง ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้นล้วนเป็นไปในหนทางนี้ เจ้าไม่มีวันรู้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะสะดุดและล้มเหลว เมื่อใดพวกเขาจะกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ หรือเมื่อใดพวกเขาจะสามารถทรยศต่อพระเจ้าได้ จงมองดูเถิดว่าผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้นต้องเผชิญอันตรายมากมายขนาดไหน! แต่การเข้าใจความจริงก็ไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย ต้องใช้เวลานานก่อนที่เจ้าจะสามารถได้รับความสว่างอันริบหรี่ มีความรู้ที่แท้จริงเล็กน้อย และเข้าใจความจริงเล็กน้อยในที่สุด หากเจตนารมณ์ภายในตัวเจ้าถูกปลอมปนอย่างร้ายแรงและไม่สามารถแก้ไขได้ เจตนารมณ์เหล่านั้นจะดับความสว่างเล็กๆ แห่งความเข้าใจของเจ้าอยู่ตลอดเวลา และแม้แต่กัดกร่อนความเชื่ออันน้อยนิดที่เจ้ามี และนี่อันตรายมากอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ปัญหาหลักคือการที่คนทุกคนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางประการเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา แต่ก่อนที่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านั้นจะถูกเผยออกมา พวกเขาก็ไม่รับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นซ่อนเร้นอยู่ภายใน และเจ้าไม่มีวันรู้ว่าเมื่อใดหรือภายใต้สถานการณ์ใดที่สิ่งเหล่านั้นจะออกมาและทำให้ผู้คนสะดุด แม้ว่าผู้คนทั้งหมดจะมีความปรารถนาที่ดี และต้องการเป็นผู้เชื่อที่ดีและได้รับความจริง เจตนารมณ์ของพวกเขาก็ถูกปลอมปนมากเกินไป และพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากเกินไปซึ่งขัดขวางพวกเขาอย่างยิ่งจากการไล่ตามเสาะหาความจริงและมีการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาต้องการทำสิ่งเหล่านี้แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับผู้คนที่จะนบนอบเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง เมื่อพวกเขาผ่านบททดสอบหรือถลุง พวกเขาต้องการใช้เหตุผลกับพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาล้มป่วยหรือเผชิญกับความวิบัติบางอย่าง พวกเขาก็พร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองพวกเขา ผู้คนเช่นนี้จะสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาเข้าไม่ถึงแม้แต่การมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานที่สุด แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับความจริงได้อย่างไร? ผู้คนบางคนกลายเป็นคนคิดลบเมื่อสิ่งที่เล็กที่สุดไม่เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาสะดุดเพราะการตัดสินของคนอื่น และทรยศต่อพระเจ้าเมื่อพวกเขาถูกจับกุม เป็นเรื่องจริงที่คนเราไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะมีความสุขหรือพังพินาศ ทุกคนมีบางสิ่งภายในตัวพวกเขาที่พวกเขาต้องการไล่ตามไขว่คว้าและได้มา พวกเขามีสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชื่นชอบ การไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบนั้นสามารถนำความโชคร้ายมาสู่พวกเขาได้ แต่พวกเขาไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ ยังคงเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและชื่นชอบนั้นถูกต้อง และไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเมื่อความโชคร้ายจู่โจม และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและชื่นชอบนั้นถูกพรากไปจากพวกเขา พวกเขาจะกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ และไม่สามารถฉุดตนเองให้ลุกขึ้นยืนได้ พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะพร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรม และหัวใจแห่งการทรยศพระเจ้าของพวกเขาก็จะออกมา หากผู้คนไม่รู้จักตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าจุดตายของตนอยู่ที่ใด และพวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าที่ใดง่ายสำหรับพวกเขาที่จะล้มลงหรือสะดุด นี่น่าเวทนาอย่างแท้จริง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงกล่าวว่าหากบุคคลไม่รู้จักตนเอง พวกเขาสามารถสะดุดหรือล้มเหลวเมื่อใดก็ได้ และนำจุดจบมาสู่ตนเอง
ผู้คนจำนวนมากได้กล่าวว่า “ฉันเข้าใจทุกองค์ประกอบของความจริง แต่ฉันแค่ไม่สามารถนำองค์ประกอบเหล่านั้นไปปฏิบัติ” นี่เปิดโปงให้เห็นรากเหง้าว่าทำไมผู้คนถึงไม่ปฏิบัติความจริง ผู้คนประเภทใดเข้าใจความจริงแต่ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้? แน่นอนว่ามีแต่ผู้คนที่รังเกียจและเกลียดความจริงเท่านั้นที่ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และนี่คือปัญหาในธรรมชาติของพวกเขา ต่อให้พวกเขาไม่เข้าใจความจริง ผู้คนที่รักความจริงก็จะปฏิบัติตนบนพื้นฐานของมโนธรรมของตน และพวกเขาจะไม่ทำสิ่งที่ชั่วช้า หากธรรมชาติของบุคคลหนึ่งรังเกียจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีทางปฏิบัติความจริงได้ ผู้คนที่รังเกียจความจริงเพียงแค่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้มาซึ่งพระพร ไม่ใช่เพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้มาซึ่งความรอด ต่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตน นั่นก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง แต่ล้วนเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งพระพร ตัวอย่างเช่น บางคนที่ถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านของพวกเขาได้คิดในหัวใจของพวกเขาว่า “ฉันถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะการเชื่อในพระเจ้าของฉัน วันหนึ่งพระเจ้าจะประทานบ้านที่ดีกว่าให้ฉัน พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้ฉันทนทุกข์โดยเปล่าประโยชน์” หรือ “ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใด พระเจ้าจะประทานอาหารให้ฉันกิน และพระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ฉันเดินไปบนถนนที่เป็นทางตัน หากพระองค์ทรงปล่อยให้ฉันเดินไปบนถนนที่เป็นทางตัน เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็จะไม่ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น” สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นมิได้มีอยู่ภายในตัวมนุษย์หรอกหรือ? ยังมีบางคนที่คิดว่า “ฉันได้ละทิ้งตัดขาดครอบครัวของฉันเพื่อสละตัวฉันเองเพื่อพระเจ้า และพระเจ้าไม่ควรทรงส่งฉันไปอยู่ในมือของผู้มีอำนาจ ฉันไล่ตามเสาะหาด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น พระเจ้าควรจะทรงคุ้มครองและอวยพรฉัน เราโหยหาอย่างแรงกล้าที่จะให้วันแห่งพระเจ้ามาถึง ดังนั้นวันแห่งพระเจ้าควรจะมาถึงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าควรจะทรงทำให้ความปรารถนาของมนุษย์ลุล่วง” ผู้คนจำนวนมากคิดตามหนทางนี้—นี่มิใช่ความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของมนุษย์หรอกหรือ? ผู้คนยื่นข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้าอยู่เสมอ พลางคิดอยู่เสมอว่า “พวกเราได้ละทิ้งครอบครัวของพวกเราไปแล้วเพื่อที่จะทำหน้าที่ของพวกเรา ดังนั้นพระเจ้าก็ควรจะทรงอวยพรพวกเรา พวกเราปฏิบัติตนสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ควรจะประทานรางวัลให้แก่พวกเรา” ผู้คนจำนวนมากเก็บงำสิ่งเช่นนี้ในหัวใจของตนขณะที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขามองเห็นคนอื่นเดินไปจากครอบครัวของพวกเขาและละทิ้งทุกสิ่งเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างไม่ต้องพยายาม และพวกเขาคิดว่า “พวกเขาละทิ้งครอบครัวของพวกเขามาเป็นเวลานานเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดถึงบ้านได้อย่างไร? พวกเขาเอาชนะความคิดถึงนี้ได้อย่างไร? ทำไมฉันถึงไม่สามารถเอาชนะความคิดถึงนี้ได้? ทำไมฉันถึงไม่สามารถปล่อยมือจากครอบครัวของฉัน สามี (หรือภรรยา) ของฉัน และลูกๆ ของฉันได้? เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงเมตตาต่อพวกเขาและไม่ทรงเมตตาต่อฉัน? ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงไม่ประทานพระคุณแก่ฉันหรือสถิตอยู่กับฉัน?” นี่คือสภาวะอะไร? ผู้คนช่างไร้ซึ่งเหตุผล พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง แล้วพวกเขาก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ ผู้คนควรจะเลือกเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขารังเกียจความจริง พวกเขากระหายความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง และพวกเขาแสวงหาเพื่อจะได้มาซึ่งพระพรและเปรมปรีดิ์ในพระคุณอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็พร่ำบ่นว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นมีมากเกินไป พวกเขาเอาแต่ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาต่อพวกเขาและประทานพระคุณแก่พวกเขาให้มากขึ้น และอนุญาตให้พวกเขารู้สึกถึงความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง—พวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่? พวกเขาคิดว่า “ฉันได้ละทิ้งครอบครัวของฉันเพื่อทำหน้าที่ของฉันและฉันทนทุกข์มามากแล้ว พระเจ้าควรจะทรงมีเมตตาต่อฉัน เพื่อที่ฉันจะไม่คิดถึงบ้านและเพื่อให้ฉันมีความแน่วแน่ที่จะละทิ้ง พระองค์ควรจะทรงประทานความเข้มแข็งแก่ฉัน เช่นนั้นแล้วฉันจะไม่กลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ คนอื่นเข้มแข็งมาก พระเจ้าควรจะทรงทำให้ฉันเข้มแข็งเช่นกัน” ถ้อยคำเหล่านี้ที่ผู้คนพูดนั้นขาดเหตุผลและความเชื่อโดยสิ้นเชิง ถ้อยคำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาเพราะข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อของผู้คนไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง ซึ่งทำให้พวกเขาไม่พึงพอใจพระเจ้า ถ้อยคำเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาเปิดเผยออกมาจากหัวใจ และถ้อยคำเหล่านี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติของผู้คนอย่างสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวผู้คน และหากไม่ถูกสลัดทิ้งไป สิ่งเหล่านี้ก็สามารถนำผู้คนไปสู่การเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าได้ในทุกเวลาหรือสถานที่ ผู้คนจะมีแนวโน้มที่จะหมิ่นประมาทพระเจ้า และพวกเขาอาจจะละทิ้งหนทางที่แท้จริงได้ในทุกขณะและทุกสถานที่ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นเรื่องนี้ชัดเจนหรือยัง? ผู้คนต้องรู้จักสิ่งทั้งหลายที่ธรรมชาติของพวกเขาเผยให้เห็น นี่เป็นเรื่องจริงจังมากที่จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่าผู้คนสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนได้หรือไม่ และเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่าพวกเขาสามารถได้มาซึ่งความรอดจากการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาหรือไม่ ส่วนผู้คนที่เข้าใจความจริงเล็กน้อย หากพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ และหากเมื่อพวกเขาค้นพบปัญหานี้ พวกเขาสามารถตรวจสอบและขุดปัญหานี้ออกมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ หากพวกเขาไม่ตระหนักว่าพวกเขากำลังเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีหนทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ และพวกเขาทำได้เพียงรอการเปิดโปงของพระเจ้าหรือการเปิดเผยของข้อเท็จจริงเท่านั้น ผู้คนที่ไม่รักความจริงนั้นไม่ให้คุณค่ากับการตรวจสอบตนเอง พวกเขาเชื่อเสมอว่าการคิดทบทวนตนเองเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ และจะปล่อยตัวปล่อยใจพลางคิดว่า “ทุกคนก็เป็นอย่างนี้—การพร่ำบ่นเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก พระเจ้าจะทรงยกโทษสำหรับเรื่องนี้และพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำเรื่องนี้หรอก” ผู้คนไม่รู้วิธีคิดทบทวนตนเองหรือวิธีแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้เลย พวกเขาล้วนมีความคิดที่สับสน และเกียจคร้านเป็นพิเศษ รวมทั้งมีนิสัยชอบพึ่งพาและโน้มเอียงไปสู่การหลงระเริงในความเพ้อฝัน พวกเขาปรารถนาว่า “วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างทั่วถึงในตัวพวกเรา แล้วพวกเราก็จะไม่เกียจคร้านอย่างนี้อีกต่อไป พวกเราจะได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ และพวกเราจะเคารพนับถือฤทธานุภาพของพระเจ้า” นี่เป็นสิ่งเพ้อฝันที่คิดฝันขึ้นมา และสิ่งนี้ไม่สมจริงเลย หากคนคนหนึ่งสามารถเอ่ยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเช่นนี้หลังจากได้ยินคำเทศนามามากมาย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และจนถึงทุกวันนี้พวกเขายังคงไม่เคยเห็นอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้ความอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมพระนิเวศของพระเจ้าถึงสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเองและการรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่เสมอ? นี่สำคัญยิ่งยวดสำหรับทุกคน หากเจ้าสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าควรจะมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเอง และเจ้าควรจะมีส่วนร่วมในการคิดทบทวนตนเองเป็นประจำ—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้ากำลังเปิดเผยความเสื่อมทราม เจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงได้หรือไม่? เจ้าจะสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและกบฏต่อเนื้อหนังได้หรือไม่? นี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการปฏิบัติความจริง และเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งยวด ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า และในทุกสิ่งที่เจ้าทำ หากเจ้าสามารถตระหนักรู้วิธีปฏิบัติในหนทางที่สอดคล้องกับความจริง จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้าที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ และเจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิต หากเจ้าไม่สามารถรู้จักตนเอง ชีวิตของเจ้าจะสามารถมีความก้าวหน้าได้อย่างไร? ไม่ว่าเจ้าคิดลบและอ่อนแอเพียงใด หากเจ้าไม่คิดทบทวนตนเองและเริ่มรู้จักตนเอง หรืออธิษฐานถึงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่เพียงพิสูจน์ว่าเจ้าไม่รักความจริง เจ้าไม่ใช่บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้มาซึ่งความจริง
ก่อนหน้านี้บางคนคิดว่า “พวกเราโหยหาการล่มสลายอย่างรวดเร็วของพญานาคใหญ่สีแดงและพวกเราหวังว่าวันแห่งพระเจ้าจะมาโดยเร็ว สิ่งเหล่านี้มิได้เป็นข้อเรียกร้องที่ถูกทำนองคลองธรรมหรอกหรือ? การโหยหาให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงในไม่ช้านั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับการโหยหาให้มีการนำพระสิริมาสู่พระเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรอกหรือ?” พวกเขาหาหนทางที่ฟังรื่นหูอย่างแอบๆ ซ่อนๆ ในการแสดงสิ่งนี้ออกมา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหวังสิ่งเหล่านี้เพื่อตนเองเท่านั้น พวกเขาจะโหยหาสิ่งใด หากพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง? ทั้งหมดที่ผู้คนโหยหาก็คือการได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมอันทุกข์ตรมและโลกอันเจ็บปวดนี้โดยเร็ว มีเฉพาะบางคนที่เห็นสิ่งที่ทรงสัญญาไว้กับบุตรหัวปีของพระเจ้ามาก่อนและพวกเขามีความกระหายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาอ่านถ้อยคำเหล่านั้น ก็เหมือนกับพวกเขากำลังดับความกระหายด้วยการดูภาพลวงตา ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวภายในตัวมนุษย์นั้นยังไม่ได้ถูกสละออกไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร เจ้าก็จะทำด้วยหัวใจเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ผู้คนจำนวนมากที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงปรารถนาที่จะให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงอยู่เสมอเพื่อที่พวกเขาจะสามารถบรรเทาความทุกข์และเปรมปรีดิ์ในพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เมื่อวันแห่งพระเจ้าไม่มาถึง พวกเขาก็ปวดแสบปวดร้อน และบางคนตะโกนออกมาว่า “เมื่อใดวันแห่งพระเจ้าจะมาถึง? ฉันยังไม่ได้แต่งงานเลย ฉันไม่สามารถรอคอยได้อีกต่อไปแล้ว! ฉันต้องแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของฉัน ฉันไม่สามารถรับได้อีกต่อไปแล้ว! ฉันยังคงจำเป็นต้องมีลูกเพื่อที่พวกเขาจะสามารถดูแลฉันในยามที่ฉันแก่ชราได้! วันแห่งพระเจ้าควรจะรีบมาถึงได้แล้ว! ขอให้เราทุกคนอธิษฐานเพื่อสิ่งนี้ด้วยกัน!” ผู้คนเหล่านั้นที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถติดตามมาตลอดทางจนถึงตอนนี้โดยไม่บ่นสักคำเดียวได้อย่างไร? พวกเขาไม่ได้รับการชี้แนะโดยพระวจนะของพระเจ้า และการเกื้อหนุนโดยพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ? มีความไม่บริสุทธิ์มากมายภายในตัวผู้คน การที่พวกเขาไม่ยอมรับกระบวนการถลุงจะใช้การได้หรือ? พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรหากปราศจากความทุกข์? ผู้คนต้องได้รับการถลุงถึงระดับหนึ่ง และเต็มใจยอมให้พระเจ้าจัดวางเรียบเรียงพวกเขา โดยไม่บ่นอีกแม้สักคำเดียว—นั่นคือตอนที่พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์
บทตัดตอน 46
แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนเหมือนกัน เว้นแต่คนที่เป็นปีศาจชั่วมาเกิดหรือคนที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำ บางคนชอบศึกษาอยู่เสมอว่าผู้คนประเภทต่างๆ มีวิญญาณอะไรอยู่ภายใน แต่เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง การมุ่งสนใจเรื่องนี้อาจนำไปสู่ความเบี่ยงเบนได้ง่าย บางคนรู้สึกอยู่เสมอว่าตนไม่ได้มีวิญญาณชนิดที่ถูกต้องเพราะเคยมีประสบการณ์กับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง ขณะที่บางคนคิดว่าวิญญาณของตนมีปัญหาเพราะพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้ อันที่จริง ไม่ว่าวิญญาณของคนเราจะมีปัญหาหรือไม่ ธรรมชาติของมนุษย์ก็เหมือนกันหมด—ต่อต้านและทรยศพระเจ้า ระดับความเสื่อมทรามของผู้คนก็แทบจะเหมือนกัน เช่นเดียวกับลักษณะร่วมที่พวกเขามีในธรรมชาติของตนอีกด้วย บางคนสงสัยอยู่เสมอว่าตนนั้นไม่ได้มีวิญญาณชนิดที่ถูกต้อง และแปลกใจว่า “ฉันทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้อย่างไร? ฉันไม่เคยนึกเลย! ฉันไม่ได้มีวิญญาณที่ถูกต้องหรอกหรือ?” พวกเขาถึงกับสงสัยว่าตนได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าหรือไม่ และผลก็คือพวกเขาคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างถ่องแท้ และไม่ว่าจะทำอะไรลงไป พวกเขาก็มุ่งสนใจแต่การแสวงหาความจริงและทบทวนตนเองตามพระวจนะของพระเจ้าว่า “ฉันทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ฉันเผยอุปนิสัยอะไรออกมา? ธรรมชาติที่ควบคุมอุปนิสัยนี้อยู่เป็นเช่นใด? ฉันจะปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริงได้อย่างไร?” ด้วยการทบทวนตนเองเช่นนี้ เจ้าย่อมจะสามารถเข้าใจความจริงและพบเส้นทางปฏิบัติได้ง่าย ทั้งยังสัมฤทธิ์ผลที่เป็นการรู้จักตนเองได้อีกด้วย วิธีการและเส้นทางในการตรวจสอบตนเองของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนจดจ่ออยู่กับการแสวงหาความจริงและทำความรู้จักตนเอง ขณะที่คนอื่นมุ่งสนใจเรื่องเพ้อฝันที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงอยู่เสมอ ซึ่งทำให้ก้าวหน้าได้ยากและติดอยู่ในความคิดลบได้ง่าย บัดนี้เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าไม่ว่าเจ้าจะมีวิญญาณแบบใด เจ้าก็ต้องไม่จดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ ไม่มีใครสามารถมองเห็นหรือสัมผัสสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับวิญญาณได้ หากเจ้าสนใจเรื่องนี้มากเกินไป ก็จะทำให้การเติบโตในชีวิตของเจ้าล่าช้า สิ่งสำคัญที่ควรมุ่งเน้นคือแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกแยะผู้คน ถ้าเจ้าสามารถแยกแยะแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนได้ เจ้าก็จะสามารถดูผู้คนออก การมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีสิ่งใดอยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของตนบ้าง แก่นแท้นั้นสามารถเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอันใดออกมาได้บ้าง และจำเป็นต้องใช้ความจริงในแง่มุมใดมาแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น—นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรมุ่งเน้นเวลาเชื่อในพระเจ้า ด้วยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริงและชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าให้บริสุทธิ์ได้ แล้วเจ้าจะทำความรู้จักตนเองได้อย่างไร? เจ้าจะมารู้จักธรรมชาติของตนได้อย่างไร? เจ้าสามารถมองเห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าเป็นเช่นใดตามอุปนิสัยที่เจ้าเผยออกมาทางการกระทำของเจ้าเท่านั้น ดังนั้น กุญแจสำคัญในการรู้จักตนเองจึงเป็นการทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของตนได้ และการมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของตนอย่างชัดเจนก็คือการเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ การรู้จักตนเองเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้ง และกุญแจสำคัญว่าใครจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่นั้นอยู่ตรงที่พวกเขาทำความรู้จักตนเองอย่างไร ต่อเมื่อคนเรารู้จักตนเองอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลับใจได้อย่างแท้จริง ยอมรับความจริงได้ง่าย และก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอดได้ ส่วนคนที่ไม่สามารถทำความรู้จักตนเองย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมรับความจริง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับใจอย่างแท้จริง ดังนั้น ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ผู้คนไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าสภาวะฝ่ายวิญญาณที่เทียมเท็จเป็นอันขาด บางคนจดจ่ออยู่กับการศึกษาเรื่องวิญญาณของผู้คนตลอดเวลา พูดคุยอยู่เสมอว่าผู้คนมีวิญญาณแบบใดบ้าง—ใครมีวิญญาณมนุษย์ ใครมีวิญญาณชั่ว และอื่นๆ ผู้คนไม่สามารถมองเข้าไปเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ และการมุ่งสนใจสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอก็มีแนวโน้มที่จะพาให้เกิดความเบี่ยงเบน เกิดการชักนำผู้คนให้หลงผิดและทำร้ายผู้คน ในการไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนควรมุ่งสนใจที่จะรู้จักตนเอง เข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของตนอย่างชัดเจน นี่จึงสอดคล้องกับความเป็นจริง และการทำเช่นนี้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน และการเข้าถึงความรอดจากพระเจ้า
โดยพื้นฐานแล้ว แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นเหมือนกัน มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นเพราะทุกคนมีบรรพบุรุษร่วมกัน อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน และมีประสบการณ์กับความเสื่อมทรามชนิดเดียวกัน พวกเขาทุกคนมีลักษณะร่วมที่เหมือนกัน กระนั้น บางคนก็สามารถทำสิ่งหนึ่งในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ ได้ และบางคนก็สามารถทำอีกสิ่งหนึ่งในสภาพแวดล้อมอีกอย่างหนึ่งได้ บางคนพอจะเล่าเรียนมาบ้าง ได้รับการศึกษามา ขณะที่คนอื่นไม่รู้หนังสือ ไม่เคยได้รับการศึกษา บางคนมีทัศนะแบบหนึ่งต่อสิ่งต่างๆ ขณะที่ผู้อื่นบ้างก็มีทัศนะอีกแบบหนึ่งต่อสิ่งต่างๆ บางคนดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมแบบหนึ่ง และบางคนก็ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมอีกแบบหนึ่ง พวกเขาต่างก็สืบทอดธรรมเนียมและนิสัยการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ของสิ่งที่เผยออกมาจากธรรมชาติของผู้คนล้วนเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องกังวลอยู่เสมอว่าตัวเจ้ามีวิญญาณประเภทใด หรือวิตกอยู่เสมอว่าเป็นวิญญาณชั่วหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึงได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ได้ และต่อให้มนุษย์รู้ได้ ก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ ไม่มีประโยชน์ที่จะอยากชำแหละหรือศึกษาวิญญาณของตนอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่คนไม่รู้ความและเลอะเลือนที่สุดเขาทำกัน อย่าสงสัยตนเองเวลาทำสิ่งใดผิดไปหรือกระทำผิดในทางใดทางหนึ่ง พลางกล่าวว่า “ฉันมีวิญญาณที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า? ในตัวฉันมีงานของวิญญาณชั่วหรือเปล่า? ฉันทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร?” ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดอยู่ เจ้าควรมองไปที่ธรรมชาติของเจ้าเพื่อหาต้นตอของปัญหา และแสวงหาความจริงที่ผู้คนควรเข้าสู่ ถ้าเจ้าตรวจสอบวิญญาณของตนเอง เจ้าย่อมจะคว้าน้ำเหลว—ต่อให้เจ้ารู้ว่าในตัวเจ้ามีวิญญาณประเภทใด เจ้าก็จะไม่สามารถรู้จักธรรมชาติของตนเอง และไม่สามารถแก้ปัญหาของตนได้อยู่ดี ดังนั้น เวลาที่บางคนพูดอยู่เสมอว่าตนมีวิญญาณประเภทใด ราวกับว่าพวกเขามีสภาวะฝ่ายวิญญาณที่ดีเลิศหรือเป็นมืออาชีพ ที่จริงแล้วพวกเขากลับยิ่งอ่อนหัดและโง่เขลาเข้าไปใหญ่ บางคนพูดจาให้ฟังดูมีสภาวะฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษ พลางนึกว่าคำพูดที่กล่าวไปนั้นลึกซึ้งมาก และผู้คนทั่วไปย่อมจะไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้น พวกเขาพูดว่า “การตรวจสอบว่าวิญญาณของพวกเราเป็นเช่นไรคือเรื่องสำคัญยิ่ง ถ้าไม่มีวิญญาณของมนุษย์ แม้พวกเราจะเชื่อในพระเจ้า แต่ก็จะไม่สามารถได้รับความรอด พวกเราต้องไม่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย” บางคนเมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็ถูกพิษและหลงผิด รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าถ้อยคำเหล่านี้สมเหตุสมผล ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มตรวจสอบเช่นกันว่าตนมีวิญญาณประเภทใด ด้วยเหตุที่พวกเขาให้ความสนใจในเรื่องวิญญาณของตนเป็นพิเศษขนาดนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นคนวิตกจริต คอยตรวจสอบวิญญาณของตนขณะทำสิ่งต่างๆ และในที่สุดพวกเขาก็พบปัญหาว่า “ทำไมทุกสิ่งที่ฉันทำถึงขัดกับความจริง? ทำไมฉันถึงไม่มีความเป็นมนุษย์หรือสำนึกแม้แต่น้อย? ฉันต้องเป็นวิญญาณชั่วแน่ๆ” อันที่จริง เมื่อมีธรรมชาติที่ไม่ดีและไม่มีความจริง ผู้คนจะทำสิ่งที่สอดคล้องกับความจริงได้อย่างไร? ไม่ว่าการกระทำของพวกเขาจะดีเพียงใด พวกเขาก็ไม่นำความจริงไปปฏิบัติอยู่ดี และยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ธรรมชาติของผู้คนนั้นไม่ดี ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและดัดแปลงไปแล้ว พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์อีกแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ และพวกเขาก็อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามาก ไม่สามารถทำสิ่งใดที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้เลย ธรรมชาติโดยกำเนิดของพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่เข้ากันได้กับพระเจ้า ทั้งหมดนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
บางคนอ่อนไหวเกินไปและให้ความสำคัญอย่างยิ่งว่าตนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ หรือมีวิญญาณประเภทใด ขณะเดียวกันก็ละเลยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจธรรมชาติของตน นี่ก็เหมือนการเก็บเมล็ดงาแล้วยอมเสียแตงโมทั้งลูก การคว้าสิ่งที่ลวงตาพลางละเลยสิ่งที่เป็นจริงย่อมโง่เขลามิใช่หรือ? ในช่วงหลายปีที่ศึกษามานี้ เจ้าเข้าใจสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับวิญญาณหรือเรื่องของดวงจิตอย่างถ่องแท้หรือยัง? เจ้ามองเห็นหรือยังว่าวิญญาณของเจ้าเป็นเช่นใด? เจ้าไม่ขุดหาสิ่งที่เป็นแก่นแท้ธรรมชาติซึ่งอยู่ลึกลงไปในดวงจิตของเจ้า กลับศึกษาตลอดเวลาว่าตัวเจ้ามีวิญญาณจำพวกใด แล้วการศึกษาของเจ้าจะให้ผลอันใดหรือไม่? นี่เหมือนคนตาบอดจุดเทียนเผาขี้ผึ้งทิ้งมิใช่หรือ? เจ้าละเลยปัญหาที่แท้จริงของตน ไม่พยายามหาทางแก้ไข มัวปฏิบัติเรื่องที่เลี้ยวลดและศึกษาอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเจ้ามีวิญญาณประเภทใด—นี่จะแก้ปัญหาอันใดได้หรือไม่? ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือใส่ใจงานที่ถูกควรของตน กลับศึกษาวิญญาณของตนอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนที่โง่เขลาที่สุด คนที่มีสติปัญญาโดยแท้ย่อมมีท่าทีดังนี้คือ “ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรหรือทำอย่างไรกับฉัน ไม่ว่าฉันจะเสื่อมทรามอย่างหนักเพียงใดหรือความเป็นมนุษย์ของฉันจะเป็นเช่นใด ฉันจะมุ่งสนใจแต่การไล่ตามเสาะหาความจริงและเสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้าโดยไม่หวั่นไหว!” ด้วยการรู้จักพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและลุล่วงหน้าที่ของตนเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ นี่คือทิศทางของชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเสาะแสวงที่จะทำให้สำเร็จ และเป็นเส้นทางแห่งความรอดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น บัดนี้ สิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริงคือการไล่ตามเสาะหาความจริง ทำความรู้จักธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนเอง เข้าใจความจริงเพื่อที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และลุล่วงหน้าที่ของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง—นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง สิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริงคือการรักพระเจ้า นบนอบพระเจ้า และเป็นคำพยานให้พระเจ้า นี่คือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องการ การค้นคว้าสิ่งที่สัมผัสไม่ได้หรือมองไม่เห็นย่อมไร้ประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง และไม่เกี่ยวข้องกับผลแห่งพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย ในเมื่อตอนนี้เจ้าดำรงอยู่ในกายเนื้อหนัง เจ้าก็ต้องเสาะแสวงที่จะเข้าใจความจริง ทำหน้าที่ของตนให้ดี เป็นคนที่ซื่อสัตย์ และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่สัมฤทธิ์ได้
บางคนมีงานของพวกวิญญาณชั่วอย่างเห็นได้ชัดและอาจจะถูกพวกมันสิงสู่ คนเช่นนี้จะได้รับความรอดด้วยการเชื่อในพระเจ้าได้หรือไม่? เรื่องนี้ตอบยาก และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากระทำการอย่างมีสำนึกและมีสภาวะทางจิตใจที่เป็นปกติหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำตามหลักเกณฑ์นี้ได้ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถได้รับความรอด ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีสำนึกที่เป็นปกติ พูดจาปกติ และไม่เคยมีประสบการณ์กับปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติหรือผิดปกติใดๆ แม้บางครั้งสภาวะของพวกเจ้าจะผิดปกติไปบ้างและวิธีทำสิ่งต่างๆ จะมีที่ผิดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นการเผยธรรมชาติของมนุษย์ออกมาทั้งสิ้น อันที่จริง คนอื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน—เพียงแต่ต่างกันตรงความเป็นมาและช่วงเวลาที่พวกเขาเผยสิ่งเหล่านั้นออกมา ดูเหมือนว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าในตอนนี้ยังน้อย พอฟังผู้อื่นพูดถึงเรื่องราวและถ้อยแถลงเกี่ยวกับวิญญาณ พวกเจ้าจึงเอาอย่างและทำตาม ราวกับว่าพวกเจ้าเข้าใจเรื่องวิญญาณดียิ่งและเป็นคนที่เก่งกาจนักหนา มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้และควบคุมเรื่องราวของโลกวิญญาณ และถ้าผู้คนสามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้แม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็ดีพอแล้ว จะมีคนที่สามารถเข้าใจโลกวิญญาณอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร? การครุ่นคิดเรื่องทำนองนี้อยู่เสมอย่อมทำให้ออกนอกลู่นอกทางโดยง่ายมิใช่หรือ? เวลานี้ผู้คนล้วนมีสภาวะเช่นนี้อยู่ภายใน แม้เจ้าจะไม่ได้คุยเรื่องเหล่านี้กันอย่างจริงจังอยู่เสมอ และไม่ได้อ่อนแอหรือล้มลงเพราะเรื่องเหล่านี้ แต่เจ้าก็สามารถได้รับผลกระทบชั่วคราวจากถ้อยคำเหล่านั้นของผู้อื่นอยู่ดี แม้เจ้าจะไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้มากนัก แต่ในหัวใจก็ยังหลงไปจดจ่ออยู่กับเรื่องของวิญญาณได้ง่ายอยู่ดี หากมีสักวันที่เจ้าทำอะไรผิดจริง ประสบเหตุขัดข้องและสะดุดล้ม ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะสงสัยตนเองพลางกล่าวว่า “วิญญาณของฉันไม่ถูกต้องด้วยหรือเปล่า?” ปกติแล้วเจ้าไม่เคยสงสัย และเวลาที่เห็นผู้อื่นจมอยู่กับความสงสัย เจ้าก็คิดว่าพวกเขาไร้สาระ แต่ถ้าถึงวันที่เจ้าถูกตัดแต่ง หรือใครอื่นบอกว่าเจ้าคือซาตาน หรือว่าเป็นวิญญาณชั่ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะพลอยเชื่อไปด้วย จมปลักอยู่กับความสงสัยเหมือนพวกเขา ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ อันที่จริง คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ มองว่าเรื่องของวิญญาณมีความสำคัญอย่างยิ่งและละเลยเรื่องต่างๆ อย่างการทำความเข้าใจธรรมชาติของตนเองหรือการเข้าสู่ชีวิต นี่ทำให้พวกเขาแยกตัวออกจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง และเรื่องนี้ก็เป็นความเบี่ยงเบนเชิงประสบการณ์
พวกเจ้าทุกคนควรสนใจทำความรู้จักธรรมชาติของตนเอง และสนใจดูว่ามีแง่มุมใดบ้างที่พวกเจ้าสามารถทำผิดหรือออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย และเมื่อทำตามนี้ พวกเจ้าก็ควรสรุปประสบการณ์และบทเรียนออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการรับใช้ ประสบการณ์ชีวิต และการรู้จักธรรมชาติของตนเอง พวกเจ้าควรทำความรู้จักโดยลงลึกไปเรื่อยๆ เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถจับสภาวะของตนได้และพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง ถ้าเจ้ามีความจริงในแง่มุมเหล่านี้ได้และสามารถทำให้เป็นชีวิตภายในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมั่นคงขึ้นมาก ไม่กล่าววาจาที่ไร้ความรับผิดชอบตามอำเภอใจเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจอีกต่อไป เวลาพูดก็มุ่งเน้นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เป็นจริง เมื่อผู้คนรู้จักธรรมชาติของตนในเชิงลึกมากขึ้นและเข้าใจความจริงมากขึ้น เมื่อนั้นพวกเขาก็จะพูดจาด้วยสำนึกถึงความควรไม่ควรมากขึ้นและไม่พูดจาอย่างหุนหันพลันแล่นอีกต่อไป คนที่ไม่มีความจริงย่อมเบาปัญญาเสมอ และกล้าพูดทุกอย่าง ถึงกับมีบางคนที่เวลาประกาศข่าวประเสริฐ เพื่อให้ได้ผู้คนเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามคน ก็ไม่ลังเลที่จะทำตามผู้คนในศาสนาและกล่าววาจาหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่าตนเป็นคนจำพวกใด ไม่เข้าใจธรรมชาติของตนเอง และไม่เกรงกลัวพระเจ้า บางคนเชื่อไปว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงหรือ? เมื่อถึงวันที่พวกเขาตระหนักรู้ความร้ายแรงของปัญหา พวกเขาย่อมจะหวาดกลัว นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่ง! พวกเขาไม่สามารถมองเข้าไปเห็นแก่นแท้ของเรื่องนี้ ซ้ำยังนึกว่าตนฉลาดมากและเข้าใจทุกอย่าง แต่กลับไม่รู้ตัวว่าล่วงเกินพระเจ้าไปแล้ว และไม่ตระหนักรู้ว่าตนจะตายอย่างไร ต่อให้เจ้าเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับนรกหรือโลกวิญญาณ ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีถ้าเจ้าไม่รู้จักธรรมชาติของตนเอง กุญแจสำคัญในตอนนี้คือการแก้ไขความยุ่งยากในการทำความรู้จักตนเองและรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตน เจ้าต้องทำความเข้าใจทุกสภาวะที่เผยออกมาจากธรรมชาติของเจ้า—ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ ความเข้าใจอื่นใดก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเจ้าจะชำแหละออกมามากเท่าใดว่าตัวเจ้ามีวิญญาณหรือดวงจิตประเภทใดก็ล้วนไม่มีประโยชน์ กุญแจสำคัญอยู่ที่การทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติของเจ้าซึ่งมีอยู่จริงในตัวเจ้าให้ได้ บัดนี้ ไม่ว่าวิญญาณในตัวเจ้าจะเป็นเช่นใด เจ้าก็คือมนุษย์ที่มีการคิดอ่านตามปกติ ดังนั้นเจ้าก็ควรไล่ตามเสาะหาการเข้าใจความจริงและยอมรับความจริง ถ้าเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรกระทำการตามความจริง—นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ การศึกษาเรื่องของวิญญาณนั้นไม่ทำประโยชน์อันใดให้เจ้าเลย ไร้ผล และไม่มีข้อดีแต่อย่างใด ทุกวันนี้ ผู้คนที่มีงานของพวกวิญญาณชั่วกำลังถูกเผยตัวออกมาตามคริสตจักรทั่วทุกแห่ง ผู้คนเหล่านี้ยังคงมีความหวังถ้าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้ แต่ถ้าไม่สามารถเข้าใจหรือยอมรับความจริง เช่นนั้นก็ได้แต่เอาตัวพวกเขาออกไปเท่านั้น ถ้าคนเราเข้าใจความจริงได้ ก็แสดงว่าพวกเขายังคงมีสำนึกที่เป็นปกติ และถ้าพวกเขาเข้าใจความจริงมากขึ้น ซาตานก็จะไม่สามารถชักพาให้พวกเขาหลงผิดหรือควบคุมเอาไว้ได้ และมีหวังที่พวกเขาจะสามารถได้รับความรอด ถ้าพวกเขาถูกพวกปีศาจครอบงำ และในเวลาส่วนใหญ่ สำนึกของพวกเขาก็ไม่ค่อยเป็นปกติเท่าใดนัก เช่นนั้นพวกเขาก็จบสิ้นทุกอย่างแล้วและต้องถูกเอาตัวออกไป จะได้ไม่สร้างปัญหา ส่วนคนที่มีสำนึกค่อนข้างปกติ ไม่ว่าพวกเขาจะมีวิญญาณแบบใดอยู่ภายใน ตราบใดที่พวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอยู่บ้าง สามารถเข้าใจและยอมรับความจริงได้ พวกเขาก็มีหวังที่จะได้รับความรอด แม้มนุษย์จะไม่มีความสามารถในการยอมรับความจริง แต่ถ้าคนเราฟังคำเทศนาได้อย่างมีประสิทธิผล สามารถเข้าใจและตระหนักรู้ความจริงเมื่อมีการสามัคคีธรรมความจริง ทั้งยังมีการคิดอ่านที่เป็นปกติและไม่ไร้สาระ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีหวังที่จะเข้าถึงความรอด ข้อกังวลที่แท้จริงอยู่ตรงที่จะมีผู้คนที่ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจภาษามนุษย์ รวมทั้งคนที่ไม่อาจเข้าใจได้ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงให้ฟังเช่นไรก็ตาม ผู้คนเหล่านี้ย่อมตกที่นั่งลำบากและไม่สามารถเป็นได้แม้แต่ผู้รับใช้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เชื่อในพระเจ้าควรมุ่งสนใจความจริงและการไล่ตามเสาะหาความจริงของตนเท่านั้น ไม่ควรเฝ้าสนใจที่จะพูดถึงการมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ หรือศึกษาหรือทำความเข้าใจเรื่องวิญญาณ การทำเช่นนี้ไร้สาระและน่าหัวร่อ กุญแจสำคัญในตอนนี้อยู่ที่ว่ามีคนที่สามารถยอมรับความจริง เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงได้หรือไม่ เรื่องนี้สำคัญยิ่ง แล้วเรื่องที่ว่าคนเราจะสามารถรู้จักตนเองและทบทวนตนเองได้หรือไม่ เข้าใจธรรมชาติของตนเองหรือไม่ ก็สำคัญอย่างยิ่งยวด! การศึกษาว่าตัวเจ้ามีวิญญาณอะไรนั้นไร้ความหมาย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไร้ค่า ถ้าเจ้าศึกษาเรื่องต่างๆ เช่น ประเภทของวิญญาณที่เจ้ามี ดวงจิตของเจ้าเป็นอย่างไร วิญญาณของเจ้าเป็นเช่นใด เป็นวิญญาณระดับสูงหรือระดับต่ำ เจ้าเป็นวิญญาณดวงใดมาเกิด เคยมาเกิดกี่ครั้งแล้ว จุดจบของเจ้าในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร หรืออนาคตมีสิ่งใดรออยู่—การศึกษาเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอจะถ่วงเรื่องสำคัญให้ล่าช้า ต่อให้เจ้าศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ แต่เมื่อถึงวันที่ผู้อื่นเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง เจ้าจะไม่มีอะไรเลย เจ้าย่อมจะดึงเรื่องสำคัญให้ล่าช้าและทำให้ตนเองย่อยยับไปแล้ว เจ้าย่อมจะเดินผิดทางและเชื่อในพระเจ้าอย่างสูญเปล่าไปแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะโทษใคร? ไม่ว่าจะโทษใครก็ไร้ประโยชน์ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ความเอง
บทตัดตอน 47
ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าควรติดตามพระเจ้าและเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร? แท้จริงแล้วการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร? เป็นเรื่องของการละทิ้งบางสิ่ง สามารถสละตนเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์เล็กน้อย และติดตามพระเจ้าไปจนสุดทางเท่านั้นหรือ? คนเราสามารถได้รับความจริงโดยการติดตามพระเจ้าในหนทางนี้กระนั้นหรือ? คนเราจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่? ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ชัดเจนหรือไม่? บางคนนึกว่าเมื่อคนคนหนึ่งมีประสบการณ์กับการถูกพิพากษา ตีสอน และตัดแต่ง หรือหลังจากที่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเผยตัวออกมา จุดจบของพวกเขาย่อมถูกกำหนด และพวกเขาก็ถูกลิขิตให้หมดหวังที่จะได้รับความรอด ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาลังเลอยู่ตรงทางแยก ไม่รู้ว่าจะเดินไปบนเส้นทางข้างหน้าอย่างไร นี่หมายความว่าพวกเขายังคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงมิใช่หรือ? ผู้ที่มีข้อกังขาในพระราชกิจของพระเจ้าและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้มนุษย์นั้นมีความเชื่อที่แท้จริงบ้างหรือไม่? ปกติแล้ว เมื่อบางคนยังไม่ได้รับการตัดแต่ง และยังไม่ได้ทนทุกข์กับเรื่องติดขัดอันใด พวกเขาย่อมรู้สึกว่าพวกเขาควรไล่ตามเสาะหาความจริงและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าในความเชื่อของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาพบเจอเรื่องเลวร้ายบ้างหรือมีความลำบากยากเย็นอันใดเกิดขึ้น ธรรมชาติอันทรยศของพวกเขาก็ถูกเผยออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดที่ได้เห็น หลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่าธรรมชาติเช่นนั้นน่ารังเกียจที่สุดเช่นกัน และในที่สุดก็ลงความเห็นเรื่องจุดจบของตนเองว่า “ทุกอย่างจบสิ้นแล้วสำหรับฉัน! หากฉันสามารถทำอะไรเช่นนั้นได้ นั่นย่อมหมายความว่าฉันจบสิ้นแล้วมิใช่หรือ? พระเจ้าจะไม่มีวันช่วยฉันให้รอด” ผู้คนมากมายอยู่ในสภาวะเช่นนี้ อาจพูดได้กระทั่งว่าทุกคนก็เป็นเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงวินิจฉัยเรื่องของตัวเองแบบนี้? นี่พิสูจน์ว่าพวกเขายังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด การถูกตัดแต่งเพียงครั้งเดียวสามารถพาให้เจ้าคิดลบอยู่นาน ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ จนถึงขนาดที่เจ้าอาจถึงกับเลิกล้มหน้าที่ของเจ้า ถึงขั้นที่แค่ฉากเหตุการณ์เล็กๆ ก็สามารถทำให้เจ้าตกใจกลัวจนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และติดอยู่กับที่ ราวกับว่าผู้คนมีใจกระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนไร้ข้อตำหนิและปราศจากมลทินเท่านั้น กระนั้นเมื่อพวกเขาพบว่าตนเสื่อมทรามมากเกินไป พวกเขาก็ไม่มีใจจะไล่ตามเสาะหาความจริงต่อไป ผู้คนมากมายได้กล่าวคำพูดที่ขุ่นข้องและคิดลบเช่น “มันจบเห่แล้วอย่างสิ้นเชิงสำหรับฉัน พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด ต่อให้พระเจ้าทรงยกโทษให้ฉัน ฉันก็ยกโทษให้ตัวเองไม่ได้ ฉันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้” ผู้คนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์ ในข้อเท็จจริงนั้น เป็นธรรมดาที่บางครั้งผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามบางอย่างออกมาตลอดประสบการณ์ของพวกเขา หรือปฏิบัติตนในลักษณะที่ปลอมปน หรือขาดความรับผิดชอบ หรือสุกเอาเผากินและปราศจากการอุทิศตน นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่เป็นกฎที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากไม่ใช่เพราะการเปิดเผยเหล่านี้ เหตุใดเล่าพวกเขาจึงจะถูกเรียกว่ามนุษย์ผู้เสื่อมทราม? หากมนุษย์ไม่เสื่อมทราม เช่นนั้นพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าก็ย่อมไร้ความหมาย ปัญหาตอนนี้ก็คือว่า เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริงหรือเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง และเพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสภาวะของตนเองได้อย่างชัดเจน พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะแห่งการเปิดโปงและการพิพากษาของพระองค์เพื่อให้มองเห็นความสว่าง หาไม่แล้วพวกเขาก็จะยังคงอยู่ในความด้านชาและปัญญาทึบ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจในหนทางนี้ ผู้คนก็คงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่สำคัญว่าเป็นความลำบากยากเย็นอะไรที่เกิดแก่พวกเจ้าในทุกระยะ เราจะสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริง จัดเตรียมความชัดเจนและการนำทาง และตราบที่พวกเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้น ผู้คนก็จะหันเหไปสุดขั้วเสมอ พวกเขาจะมุ่งลงไปตามเส้นทางตันเสมอ ขาดหนทางไปต่อ และพวกเขาก็วินิจฉัยตัดสินตนเองไปพลางขณะเดินไป ยามที่ผู้คนแค่กำลังเริ่มต้นรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขายังไม่เข้าใจตัวเอง และหลังจากล้มเหลวและถูกเปิดเผยหลายครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินชี้ขาดตนเอง พวกเขาพูดว่า “ฉันเป็นปีศาจ ฉันเป็นซาตาน! มันจบสิ้นแล้วสำหรับฉัน ฉันไม่มีโอกาสแล้วที่จะมีวันได้รับการช่วยให้รอด ฉันมันเกินกว่าจะช่วยให้รอด” ผู้คนเปราะบางเกินไปจริงๆ และค่อนข้างยากที่จะรับมือด้วย และพวกเขาจะหันเหไปสุดขั้วขณะเดินไป เมื่อผู้คนไม่อาจมองเห็นว่าความเสื่อมทรามของตนฝังรากลึก ว่าตนเองเป็นปีศาจ พวกเขาก็กลายเป็นโอหังและคิดว่าตนเองถูก พวกเขาเชื่อว่าตนเองสู้ทนความยากลำบากมานับไม่ถ้วน เป็นผู้คนที่รักพระเจ้า และมีคุณวุฒิที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนตระหนักว่าความเสื่อมทรามของตนฝังรากลึกแค่ไหน ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนมนุษย์ แต่เป็นปีศาจและซาตาน พวกเขาทิ้งให้ตัวเองอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวังและรู้สึกราวกับว่าพวกเขาเกินกว่าจะหวังเสียแล้ว ว่าพวกเขาต้องถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ ถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไปแล้วเป็นแน่ ผู้คนโอหังและคิดว่าตนเองถูกยามที่พวกเขาไม่เข้าใจตัวเอง แล้วพวกเขาก็ทิ้งให้ตัวเองจมอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวังยามที่พวกเขารู้จักตัวเอง นั่นคือการที่ผู้คนช่างลำบากยากเย็นและยุ่งยากเพียงใด หากพวกเขายอมรับความจริงได้ หากวันหนึ่งพวกเขามาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจะพูดว่า “ฉันเสื่อมทรามฝังรากลึกแบบนี้มาตลอด และสุดท้ายฉันก็ตระหนักถึงมัน โชคดีที่พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอด และตอนนี้ฉันสามารถมองเห็นชีวิตที่สดใส และสามารถเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไรดี” นั่นเหมือนการตื่นขึ้นมาจากความฝันและมองเห็นความสว่าง พวกเขาได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาไม่ควรสรรเสริญพระเจ้าหรอกหรือ? ผู้คนบางคนไม่เข้าใจตนเองแม้กระทั่งยามที่ความตายใกล้เข้ามา พวกเขายังคงโอหังและไม่อาจยอมรับการเปิดเผยของข้อเท็จจริงได้ พวกเขารู้สึกว่าตนเองดีพอสมควรทีเดียว “ฉันเป็นคนดี ฉันทำแบบนั้นไปได้ยังไง?” นั่นดูราวกับว่าพวกเขาถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม คนบางคนก้าวผ่านพระราชกิจของพระเจ้ามาหลายปี แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจธรรมชาติของตัวเอง พวกเขาคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนดี และทำความผิดไปในชั่วขณะที่สับสน และกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อพวกเขาถูกกำจัดออกไป พวกเขาก็ไม่นบนอบ บุคคลประเภทนี้โอหังและโง่เขลามากเกินไป และก็แค่ไม่ยอมรับความจริง พวกเขาจะไม่มีวันสามารถแปรเปลี่ยนและกลายเป็นมนุษย์ได้ จากการนี้ พวกเจ้าพบได้ว่า แม้ธรรมชาติของผู้คนมีการขัดขืนและทรยศต่อพระเจ้า แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ในธรรมชาติของพวกเขา การนี้พึงต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของผู้คน
ภายในธรรมชาติของผู้คน มีลักษณะนิสัยซึ่งเหมือนกันบางอย่างที่ต้องได้รับความเข้าใจ ผู้คนล้วนมีความสามารถในการทรยศพระเจ้า—นี่เป็นลักษณะนิสัยซึ่งเหมือนกัน—อย่างไรก็ตาม แต่ละปัจเจกบุคคลมีจุดอ่อนที่สำคัญยิ่งของตนเอง บางคนรักอำนาจ คนอื่นรักสถานะ บ้างก็บูชาเงินตรา ในขณะที่คนอื่นบูชาความยินดีทางวัตถุ เหล่านี้คือความแตกต่างในธรรมชาติของผู้คน คนบางคนสามารถตั้งมั่นทั้งที่ต้องสู้ทนความยากลำบากมากมายหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า ในขณะที่คนอื่นกลายเป็นคิดลบและไม่อาจตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับความยากลำบากเล็กน้อย แล้วเหตุใดจึงเป็นว่า ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่เชื่อในพระเจ้าและทั้งคู่ก็กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ปฏิกิริยาของพวกเขากลับต่างกันไปเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดแก่ตน? นี่แสดงให้เห็นตัวอย่างว่า แม้มนุษย์ผู้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งล้วนมีธรรมชาติของซาตาน แต่ลักษณะนิสัยของพวกเขาก็ต่างกันไป บางคนชิงชังและเกลียดความจริง ขณะที่คนอื่นๆ สามารถรักและยอมรับความจริงได้ การแสดงออกของอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนบางคนรุนแรงกว่า ในขณะที่ของคนอื่นเบากว่านั้น คนบางคนใจดีกว่าเล็กน้อย ขณะที่คนอื่นเลวร้ายมาก แม้วาจา พฤติกรรม และการสำแดงทั้งหลายของพวกเขาอาจต่างกัน แต่อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามนุษย์เสื่อมทรามที่เป็นของซาตาน นี่คือลักษณะนิสัยที่เหมือนกันระหว่างทั้งคู่ ธรรมชาติของบุคคลกำหนดว่าพวกเขาเป็นใคร ในขณะที่ระหว่างบุคคลมีคุณสมบัติที่มีร่วมกันในแง่ของธรรมชาติของพวกเขา แต่ละปัจเจกบุคคลก็ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างแตกต่างกันไปตามแก่นแท้ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ตัณหาชั่วเป็นลักษณะนิสัยที่มีร่วมกันในผู้คนทั้งมวล ทุกคนมีสิ่งเหล่านี้และไม่สามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม คนบางคนมีความโน้มเอียงที่รุนแรงเป็นพิเศษในเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเช่นนี้เผชิญหน้ากับการทดลองทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเพศตรงข้าม พวกเขาก็ยอมจำนนต่อการทดลองเหล่านั้น หัวใจของพวกเขาก็กลายเป็นถูกครอบงำและตกลงไปในการทดลอง พวกเขาพร้อมที่จะแล่นเตลิดไปกับอีกบุคคลหนึ่งได้ทุกเวลาและทรยศพระเจ้า ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ผู้คนเหล่านี้มีธรรมชาติที่ชั่ว เมื่อคนบางคนเผชิญสิ่งประเภทนี้ ต่อให้พวกเขาแสดงให้เห็นความอ่อนแอเล็กน้อย หรือเผยตัณหาชั่วออกมาบ้าง พวกเขาจะไม่ทำสิ่งใดออกนอกกรอบ พวกเขามีความสามารถที่จะหักห้ามและหลบหนีจากสถานการณ์ประเภทนี้ พวกเขาสามารถกบฏต่อเนื้อหนังและหลบเลี่ยงการทดลองได้ ดังนั้นจึงพูดไม่ได้ว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นชั่ว มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ดังนั้นพวกเขาจึงมีตัณหาชั่วทั้งหลาย แต่คนบางคนทำตามอำเภอใจและไม่ยั้งคิด พวกเขาปรนเปรอตัณหาของตัวเอง และถึงกับทำสิ่งทั้งหลายที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร ถึงอย่างนั้น คนบางคนก็ไม่เป็นแบบนี้ พวกเขามีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตนตามความจริง และพวกเขาสามารถกบฏต่อเนื้อหนัง แม้ผู้คนล้วนมีตัณหาของเนื้อหนัง แต่พวกเขาก็ไม่ประพฤติตนในหนทางเดียวกัน แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนต่างกันแบบนี้เอง คนบางคนโลภต่อเงินตรา เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นเงินหรือสิ่งของที่ดูดี พวกเขาก็ต้องการที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน พวกเขามีความอยากอันแรงกล้าเป็นพิเศษในการที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้คนเหล่านี้โลภมากโดยธรรมชาติ พวกเขาละโมบในสมบัติพัสถานทางวัตถุอันใดก็ตามที่พวกเขามองเห็น และพวกเขาถึงกับกล้าดีที่จะขโมยหรือใช้ของถวายของพระเจ้าไปในทางอันมิชอบ—พวกเขาถึงกับกล้าแตะต้องยอดเงินรวมหลายพันหรือหลายหมื่นหยวน ยิ่งมีเงินมากขึ้น พวกเขายิ่งกลายเป็นแก่นกล้ามากขึ้น พวกเขาขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง นี่คือธรรมชาติที่โลภมาก คนบางคนรู้สึกตะขิดตะขวงในมโนธรรมหลังจากที่ใช้จ่ายเงินของคริสตจักรไปไม่กี่หยวนหรือไม่กี่สิบหยวน พวกเขารีบคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานด้วยน้ำตาแห่งความสำนึกผิด ร้องขอพระเจ้าให้ทรงยกโทษ พวกเราไม่อาจพูดได้ว่า ผู้คนแบบนี้โลภในเงินตรา เพราะทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความอ่อนแอ และความสามารถที่จะกลับใจอย่างแท้จริงของผู้คนเหล่านี้ก็พิสูจน์ว่า การกระทำของพวกเขาเป็นแค่การเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเท่านั้นเอง คนบางคนชอบตัดสินผู้อื่น พวกเขาจะพูดว่า “เนื่องจากครั้งนี้คนผู้นี้ใช้จ่ายเงินของคริสตจักรไปไม่กี่หยวน คราวหน้าก็อาจเป็นหลายสิบหยวนได้ แน่นอนว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ขโมยของถวายและควรถูกเอาตัวออกไป” มีธรรมชาติเชิงชอบตัดสินอยู่เล็กน้อยในการกล่าวในลักษณะนี้ ผู้คนมีอุปนิสัยเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจะเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนออกมาและทำสิ่งที่ไม่ดีมากมายอย่างแน่นอน การนี้ปกติ แต่การที่บุคคลหนึ่งเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนออกมานั้นไม่เหมือนกับการที่ใครบางคนมีธรรมชาติของคนชั่ว แม้ผู้คนสองประเภทนี้อาจทำบางสิ่งที่เหมือนกัน พวกเขาก็มีธรรมชาติที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในขณะบุคคลหนึ่งเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและเสาะแสวงที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พวกเขาเผยคำโกหก ความหลอกลวงหรือเล่ห์เหลี่ยมออกมาเป็นระยะๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่การโกหกและความหลอกลวงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมาร และมันจะโกหกเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและทุกเวลา แม้ผู้คนทั้งสองประเภทอาจแสดงให้เห็นพฤติกรรมการโกหก แก่นแท้ของมารกับแก่นแท้ของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ต่างกันโดยพื้นฐาน เช่นนั้นแล้ว ควรที่จะตีตราผู้คนซึ่งเสาะแสวงที่จะมีความซื่อสัตย์ว่าเป็นมารหรือซาตาน แค่เพราะการเปิดเผยความเสื่อมทรามชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นหรือ? การที่ได้ก่อการกระทำผิดเรื่องการโกหกหรือการใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นมิใช่หมายความว่าพวกเขาเป็นพวกมารที่โกหกและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนไม่เหมือนกัน พวกเราไม่อาจเหมารวมพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ การเปรียบเทียบใครบางคนที่ได้ก่อการกระทำผิดชั่วครู่ชั่วยามกับมารนั้น เป็นรูปแบบหนึ่งของการกล่าวโทษและการตัดสินตามอำเภอใจ นี่เป็นสิ่งซึ่งทำอันตรายผู้คนมากที่สุด หากเจ้าขาดวิจารณญาณแยกแยะและไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ชัดเจน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องไม่พูดจาอย่างมืดบอดหรือนำกฎข้อบังคับทั้งหลายมาประยุกต์ใช้อย่างขาดการพิจารณา ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะทำอันตรายผู้อื่น ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและชอบยึดติดกับกฎข้อบังคับนั้นมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่น ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงพูดและกระทำโดยปราศจากหลักธรรม และผู้คนที่พูดจาอย่างไม่ระมัดระวัง อีกทั้งตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้เป้าหมายที่บุคคลหนึ่งต้องไปให้ถึงในการเชื่อในพระเจ้าของเขาเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ ผู้คนน้อยมากที่สามารถเชื่อในพระเจ้าอย่างบริบูรณ์โดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ มีปัญหามากเกินไปภายในตัวพวกเจ้า และบางทีพวกเจ้ายังไม่ตระหนักถึงปัญหาเหล่านั้น และยังไม่เข้าใจปัญหาเหล่านั้นชัดเจน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริง ว่าเจ้าไม่สามารถทบทวนตนเองได้ และว่าเจ้ายังไม่เปิดเผย อีกทั้งยังคงไม่สามารถชำแหละความคิดและแง่มุมสารพันของธรรมชาติที่เจ้ามีอยู่ในตัว สักวันหนึ่ง เมื่อพวกเจ้าได้ยินคำเทศนาไปมากมายแล้ว และมีประสบการณ์ พวกเจ้าก็จะเข้าใจความจริง ถึงตอนนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะมีความสามารถที่จะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง แม้พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าก็ยังไม่สลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้า และยังคงมีสิ่งผิวเผินมากมายภายในธรรมชาติของเจ้า เจ้ายังคงชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูดีและเพลิดเพลินกับสิ่งของที่ดูดี พอคนบางคนสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูดีหรือได้มีโทรศัพท์มือถือที่ดูดี น้ำเสียงของพวกเขาก็เปลี่ยน พอสตรีบางคนสวมรองเท้าส้นสูง ท่าเดินของพวกเธอก็เปลี่ยน และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครอีกต่อไป เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่ผู้คนเก็บงำไว้ในหัวใจของพวกเขา และสิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งทำให้พวกเขาเปิดเผยสิ่งต่างๆ ที่เลว อัปลักษณ์และผิวเผินเหล่านี้ออกมา ผู้คนก็จำเป็นต้องมารู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองและสิ่งทั้งหลายภายในธรรมชาติของพวกเขาเอง แม้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้นได้ พวกเขาทำได้เพียงพึ่งพาเจตจำนงของตนเองในการหักห้ามอุปนิสัยเหล่านั้นและยับยั้งไม่ให้อุปนิสัยเหล่านั้นถูกเปิดเผยออกมาภายนอก เมื่อประสบการณ์ของพวกเขาลึกซึ้งขึ้น เมื่อความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของตัวเองและทุกแง่มุมของความจริงลึกซึ้งขึ้น และเมื่อพวกเขาค่อยๆ เข้าใจและเข้าไปสู่ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแง่มุมทั้งหลายของธรรมชาติของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในตอนแรก ความรู้จักตนเองของพวกเขานั้นตื้นเขินอย่างมาก พวกเขาสามารถยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ แต่ไม่สามารถที่จะแสวงหาความจริงและมารู้จักแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนได้ เมื่อพวกเขาได้ความรู้มาเล็กน้อย พวกเขาก็ต้องการหักห้ามตนเองและกบฏต่อเนื้อหนังผ่านทางการพยายามอย่างหนักและสัมฤทธิ์ผล แต่ปรากฏว่าความพยายามของพวกเขากลายเป็นเปล่าประโยชน์ และพวกเขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันรากเหง้าของปัญหา เมื่อพวกเขามาเข้าใจความจริงในเวลาต่อมา และรู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็เริ่มเกลียดตัวเอง ณ เวลานั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องทุ่มความพยายามอันมหาศาลให้กับการกบฏต่อเนื้อหนัง พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและปฏิบัติไปตามหลักธรรมได้เองโดยอัตโนมัติ แม้บางครั้งพวกเขาไม่เข้าใจความจริงอย่างครบบริบูรณ์ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถกระทำไปบนพื้นฐานของมโนธรรมและเหตุผลของตน เมื่อตอนแรกที่ผู้คนเริ่มรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาล้วนเผชิญกับความลำบากยากเย็น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้จักนำหลักธรรมมาเป็นพื้นฐานของตน พวกเขาถามอยู่เสมอว่าจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นอย่างไร และเพียงสามารถถือปฏิบัติตามกฎข้อบังคับทั้งหลายได้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนก็ถูกก่อกวนโดยสภาวะที่เป็นลบเสมอและบางคราวก็ไม่มีหนทางที่จะไปข้างหน้า เมื่อพูดถึงสภาวะที่เป็นลบ ผู้คนควรอาศัยการสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขสภาวะเหล่านั้นที่สามารถแก้ไขผ่านทางการสามัคคีธรรมได้ สำหรับสภาวะที่ไม่สามารถแก้ไขผ่านทางการสามัคคีธรรมได้ เจ้าสามารถเพิกเฉยไปได้เลย เจ้าควรมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติและการเข้าสู่ไปตามปกติแทน และสามัคคีธรรมถึงความจริงให้มากขึ้น วันหนึ่งเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงชัดเจน และรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมาย สภาวะที่เป็นลบของเจ้าก็จะหายไปเอง ตอนนี้สภาวะที่เป็นลบเดิมๆ ของพวกเจ้าไม่ได้หายไปเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ? อย่างน้อยเจ้าก็ประสบกับสภาวะที่เป็นลบเหล่านั้นน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก จงแค่มุ่งเน้นการทำงานหนักตรงการไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเจ้าก็จะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของพวกเจ้าได้ เมื่อเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเจ้าเองได้ เจ้าก็จะได้ก้าวหน้าและจะได้เติบโตแล้ว เมื่อผู้คนรับประสบการณ์จนถึงวันที่ทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิตและความหมายกับพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาได้รับการปรับเปลี่ยนจนถึงแก่น และได้กลายเป็นใครอีกคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่น่าเหลือเชื่อหรอกหรือ? นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีเพียงเมื่อเจ้ากลายเป็นไม่สนใจในชื่อเสียง ผลตอบแทน สถานะ เงินตรา ความยินดี อำนาจและความรุ่งโรจน์ของโลกนี้ และสามารถปล่อยพวกมันไปได้อย่างง่ายดายเท่านั้น เจ้าจึงจะมีสภาพเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง บรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงทำให้ครบบริบูรณ์ในท้ายที่สุดก็คือกลุ่มที่เป็นดังนี้นี่เอง พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อความจริง มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยุติธรรม นี่คือสภาพเหมือนของมนุษย์จริงแท้
คนบางคนจะถามว่า “มนุษย์คืออะไรกันแน่?” ทุกวันนี้ไม่มีผู้คนใดเลยที่เป็นมนุษย์ หากพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสิ่งใดเล่า? เจ้าอาจพูดได้ว่าพวกเขาเป็นสัตว์ เดรัจฉาน ซาตาน หรือมาร ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาก็แค่ถูกคลุมไว้ด้วยผิวหนังมนุษย์ แต่ไม่อาจถูกเรียกว่ามนุษย์ เพราะพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การเรียกพวกเขาว่าสัตว์นั้นค่อยใกล้เคียงหน่อย แต่พวกเขามีภาษา มีจิตใจ และความคิด อีกทั้งผู้คนก็สามารถมีส่วนร่วมในวิทยาศาสตร์และกระบวนการผลิต ดังนั้นจึงจัดประเภทพวกเขาว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงได้เท่านั้น อย่างไรก็ดี ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกเกินไป พวกเขาสูญสิ้นมโนธรรมและเหตุผลของตนไปนานแล้ว และพวกเขาก็ไม่นบนอบหรือยำเกรงพระเจ้าเอาเสียเลย เป็นการเหมาะควรอย่างสมบูรณ์แล้วที่จะเรียกพวกเขาว่ามารและซาตาน เพราะธรรมชาติของพวกเขาเป็นของซาตาน และพวกเขาก็เผยให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อีกทั้งแสดงทัศนะเยี่ยงซาตานออกมา จึงยิ่งเหมาะเข้าไปใหญ่ที่จะเรียกพวกเขาว่ามารและซาตาน ผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามลึกเกินไปและพวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์มากนัก พวกเขาเหมือนเดรัจฉานและสัตว์ พวกเขาเป็นมาร ตอนนี้ผู้คนเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ พวกเขาไม่คล้ายคลึงทั้งมนุษย์และปีศาจ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง หลังประสบการณ์หลายปี ผู้เชื่อระยะยาวบางคนได้มีความสนิทสนมกับพระเจ้านิดหน่อย และสามารถเข้าใจพระเจ้าอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และกังวลไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกังวล อีกทั้งคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงคิดไม่มากก็น้อย—นี่หมายความว่า พวกเขามีรูปลักษณ์ของมนุษย์เล็กน้อยและเป็นแบบก้ำกึ่ง ผู้เชื่อใหม่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษา หรือการตัดแต่งมากนัก พวกเขายังไม่ได้ยินความจริงมากนักเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่มีประสบการณ์ที่แท้จริง ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก ความลึกซึ้งของประสบการณ์ของบุคคลกำหนดว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด ยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าน้อย เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจความจริงน้อย หากเจ้าไม่มีประสบการณ์เอาเสียเลย เช่นนั้นเจ้าก็คือซาตานซึ่งมีชีวิตโดยสมบูรณ์ และเจ้าก็เป็นมารอย่างแท้จริง เจ้าเชื่อเรื่องนี้ไหม? สักวันเจ้าจะเข้าใจคำพูดเหล่านั้น มีผู้คนที่ดีอยู่บ้างไหมในตอนนี้? หากผู้คนไม่มีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ พวกเราสามารถเรียกพวกเขาว่ามนุษย์ได้อย่างไรเล่า? การเรียกพวกเขาว่าคนดียิ่งเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขาแค่มีเปลือกนอกเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีแก่นแท้แบบมนุษย์ ไม่เกินไปหรอกที่จะเรียกพวกเขาว่าสัตว์ร้ายในเครื่องนุ่งห่มมนุษย์ หากใครบางคนต้องการกลายเป็นบุคคลที่มีสภาพเสมือนมนุษย์โดยผ่านทางการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องก้าวผ่านการเปิดโปง การตีสอน และการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า ถึงตอนนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด นี่คือเส้นทางนั้น หากพระเจ้าไม่ทรงทำการนี้ ผู้คนคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าต้องทรงกระทำในหนทางนี้ทีละน้อย ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน รวมทั้งการตัดแต่งอย่างต่อเนื่อง และหนทางทั้งหลายที่พวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามออกมาก็ต้องถูกเปิดโปง ผู้คนสามารถออกเดินบนเส้นทางที่ถูกได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถทบทวนตนเองและเข้าใจความจริงเท่านั้น หลังจากผ่านประสบการณ์มาระยะหนึ่งและเข้าใจความจริงบางอย่างแล้วเท่านั้น ผู้คนจึงมีความมั่นใจจะว่าจะสามารถตั้งมั่นขึ้นมาบ้าง เรามองเห็นว่าพวกเจ้าทั้งหมดยังคงมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป เจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ได้ตามมาตรฐาน แม้ดูเหมือนเจ้ากำลังมีธุระยุ่งอย่างแข็งขันมากในหน้าที่ของเจ้า แต่ว่ากันตามจริงแล้ว พวกเจ้าล้วนอยู่ตรงขอบเหวแห่งภยันตราย เราไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าพวกเจ้ามีความเป็นจริงความจริงอันใด และยากที่จะบอกว่าพวกเจ้าเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ นี่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เราได้กล่าวคำพูดแบบนี้ไปหลายหน แต่ผู้คนมากมายก็ไม่เข้าใจว่าคำพูดเหล่านี้หมายความว่าอะไร คนบางคนพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีใจกระตือรือร้นมากเหลือเกินในการเชื่อในพระเจ้าของฉัน ฉันจะไม่สะดุดล้มหรือหลงทาง พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันด้วยพระคุณเพียงนั้น ฉันไม่อยู่ในอันตรายใด” พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกตัวบุคคลด้วยพระคุณและทรงคุ้มครองพวกเขา แต่เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เจ้าจึงอยู่ในภยันตรายเป็นธรรมดา เมื่อเผชิญกับบททดสอบ เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะสามารถตั้งมั่นอยู่ได้? ไม่มีบุคคลใดที่กล้าให้การรับประกันประเภทนี้ ผู้คนมากมายก็แค่สามารถพูดเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนบางประการ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และนั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีวุฒิภาวะจริงอย่างแน่นอน และถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังคิดว่าพวกเขาเกือบจะทำได้แล้ว หากบุคคลหนึ่งสามารถกล่าวสิ่งเช่นนั้นได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ทุกตัวบุคคลที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงต่างกำลังดำรงชีวิตอยู่ตรงขอบเหวแห่งภยันตราย นี่จริงแท้ที่สุด
บทตัดตอน 48
ในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า บุคคลประเภทใดที่มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะได้รับการช่วยให้รอด และธรรมชาติประเภทใดมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะนำไปสู่การทำลายล้าง? พวกเจ้ามองเห็นการนี้ชัดเจนหรือไม่? ไม่ว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำหรือผู้ติดตาม อะไรหรือคือธรรมชาติที่เหมือนกันของมนุษย์? องค์ประกอบที่เหมือนกันภายในธรรมชาติมนุษย์ก็คือการทรยศพระเจ้า บุคคลทุกคนมีความสามารถในการทรยศพระเจ้า การทรยศพระเจ้าคืออะไร? อะไรคือการสำแดงทั้งหลายของการทรยศพระเจ้า? พวกที่หยุดเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นที่ทรยศพระเจ้าใช่หรือไม่? ผู้คนต้องเข้าใจว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร และจับความเข้าใจรากเหง้าของแก่นแท้นั้น การขาดการอบรมเลี้ยงดู นิสัยเสีย ข้อตำหนิ หรืออารมณ์เกรี้ยวกราดทั้งหลายของเจ้าล้วนเป็นแง่มุมที่ผิวเผิน หากเจ้าเกาะติดอยู่กับสิ่งหยุมหยิมเหล่านี้เสมอ ใช้ข้อบังคับอย่างไม่ระมัดระวัง และไม่ได้จับความเข้าใจสิ่งที่เป็นแก่นสาร ทิ้งให้สิ่งทั้งหลายที่ติดประจำอยู่ในธรรมชาติของเจ้าและอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าจะยังคงหลุดออกนอกลู่นอกทางไปและจบลงด้วยการขัดขืนพระเจ้าในท้ายที่สุด ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้า ณ เวลาใดและสถานที่ใดก็ได้—นี่เป็นปัญหาร้ายแรง บางทีชั่วขณะหนึ่ง เจ้าอาจจะมีหัวใจที่รักพระเจ้านิดหน่อย สละตัวเองด้วยใจกระตือรือร้น และปฏิบัติหน้าที่ด้วยการอุทิศตนบ้างเล็กน้อย หรือเจ้าอาจจะมีเหตุผลและมโนธรรมที่เป็นปกติอย่างครบบริบูรณ์ในระหว่างช่วงเวลานี้ แต่ผู้คนไม่มีความมั่นคงและโลเล สามารถขัดขืนและทรยศพระเจ้า ณ ชั่วขณะใดและสถานที่ใดก็ได้เนื่องมาจากเหตุการณ์เดียว ตัวอย่างเช่นบางคนสามารถมีสำนึกที่ปกติโดยแท้ได้ มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง มีภาระ และมีการอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่แล้วพอตอนที่ความเชื่อของพวกเขาแข็งแกร่งนั่นเอง พระนิเวศของพระเจ้าก็ขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเขาเคารพบูชา และพวกเขาก็เริ่มมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขากลายเป็นคิดลบในทันที สูญเสียความมีใจกระตือรือร้นในงานของพวกเขา ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุกเอาเผากิน ไม่ปรารถนาที่จะอธิษฐานอีกต่อไปและพร่ำบ่นว่า “อธิษฐานทำไมหรือ? ถ้าใครบางคนที่ดีขนาดนั้นสามารถถูกขับไล่ได้ ใครล่ะที่สามารถได้รับการช่วยให้รอด? พระเจ้าไม่ควรปฏิบัติกับผู้คนแบบนี้!” อะไรคือธรรมชาติของคำพูดของพวกเขา? แค่เหตุการณ์เดียวไม่ตรงกับความต้องการ พวกเขาก็ตัดสินพระเจ้า นี่ไม่ใช่การสำแดงของการทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? ผู้คนสามารถไถลห่างจากพระเจ้า ณ เวลาใดและสถานที่ใดก็ได้ ทันทีที่เผชิญกับบางสถานการณ์ พวกเขาอาจจะก่อเกิดมโนคติอันหลงผิด รวมทั้งตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้า—นี่ไม่ใช่การสำแดงของการทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? นี่เป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้เจ้าอาจจะคิดว่าเจ้าไม่มีมโนคติอันหลงผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้า และสามารถนบนอบต่อพระองค์ได้ แต่หากเจ้าทำบางสิ่งผิดไปและพบกับการถูกตัดแต่งอย่างเข้มงวดโดยพลัน เจ้าจะยังคงสามารถที่จะนบนอบหรือไม่? เจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงเพื่อเป็นหนทางแก้ไขหรือไม่? หากเจ้าไม่สามารถนบนอบหรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาการเป็นกบฏของเจ้า เช่นนั้นก็ยังคงมีโอกาสที่เจ้าอาจสามารถทรยศพระเจ้า เจ้าอาจไม่ได้พูดออกมาจริงๆ ว่า “ฉันไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว” แต่หัวใจเจ้าได้ทรยศพระองค์ไปแล้ว ณ ชั่วขณะนั้น เจ้าต้องมองให้เห็นชัดเจนว่าธรรมชาติมนุษย์คืออะไรกันแน่ แก่นแท้ของธรรมชาตินี้คือความทรยศใช่หรือไม่? น้อยคนมากที่จะสามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่า คนบางคนมีมโนธรรมเล็กน้อยและความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของใครบางคนนั้นดีหรือชั่ว หรือขีดความสามารถของพวกเขานั้นดีหรือแย่ ปัจจัยที่เหมือนกันก็คือว่าพวกเขาล้วนสามารถทรยศพระเจ้า ธรรมชาติของมนุษย์มีแก่นแท้ที่ทรยศพระเจ้า พวกเจ้าเคยคิดว่า “เพราะเหล่ามนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นทรยศพระเจ้าโดยธรรมชาติ ฉันทำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้นอกจากค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย” ตอนนี้พวกเจ้ายังคงคิดแบบนี้หรือไม่? เช่นนั้นจงบอกเราที ใครบางคนสามารถทรยศพระเจ้าโดยปราศจากการถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่? ผู้คนยังสามารถทรยศพระเจ้าโดยปราศจากการถูกทำให้เสื่อมทราม เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเหล่ามนุษย์ พระองค์ทรงมอบเจตจำนงเสรีให้แก่พวกเขา เหล่ามนุษย์นั้นเปราะบางเป็นพิเศษ พวกเขาไม่มีความพึงปรารถนาแต่กำเนิดที่จะขยับเข้าใกล้พระเจ้าและพูดว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้างของพวกเรา และพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง” ไม่มีมโนทัศน์ดังกล่าวอยู่ในผู้คน พวกเขาขาดพร่องความจริงโดยธรรมชาติ และภายในตัวพวกเขานั้นไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับการนมัสการพระเจ้า พระเจ้าทรงมอบเจตจำนงเสรีให้กับมนุษย์ เปิดโอกาสให้พวกเขาคิด แต่ผู้คนไม่ยอมรับความจริง ไม่รู้จักพระเจ้าแต่อย่างใด และไม่เข้าใจว่าจะนบนอบและนมัสการพระองค์อย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในเหล่ามนุษย์เลย ดังนั้นแม้ไม่มีการถูกทำให้เสื่อมทราม เจ้าก็ยังคงสามารถทรยศพระเจ้าได้อยู่ดี เหตุใดจึงกล่าวว่าเจ้าสามารถทรยศพระเจ้าได้? เมื่อซาตานมาทดลองเจ้า เจ้าก็ติดตามซาตานและทรยศพระเจ้า เจ้าถูกสร้างโดยพระเจ้าแต่ไม่ติดตามพระองค์ โดยติดตามซาตานแทน—นี่ไม่ทำให้เจ้าเป็นคนหักหลังหรอกหรือ? โดยคำนิยามนั้น คนหักหลังคือใครบางคนที่ทรยศ เจ้าเข้าใจแก่นสารของการนี้ครบถ้วนหรือไม่? เพราะฉะนั้น ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา ผู้คนจะไม่ทรยศพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้าและในความสว่างของพระองค์โดยครบบริบูรณ์ เมื่อสิ่งทั้งมวลซึ่งเป็นของซาตานถูกทำลายลง และเมื่อไม่มีสิ่งใดทดลองหรือล่อลวงพวกเขาให้ทำบาปเท่านั้น หากยังคงมีบางสิ่งที่ชักนำผู้คนให้ทำบาป เช่นนั้นพวกเขาก็จะยังคงสามารถทรยศพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้นเหล่ามนุษย์ก็คือสิ่งที่ไร้ค่า เจ้าอาจจะคิดว่า แค่เพราะเจ้าสามารถกล่าวบางคำพูดและคำสอนได้ เจ้าจึงเข้าใจความจริงบางประการและไม่สามารถทรยศพระเจ้าได้ คิดว่าอย่างน้อยเจ้าก็ควรได้รับการพิจารณา—หากไม่เป็นทองก็เงิน—เป็นทองแดงหรือเหล็ก มีมูลค่ากว่าเครื่องปั้นดินเผา แต่เจ้าประเมินตัวเองสูงไป เจ้ารู้หรือ จริงๆ แล้วเหล่ามนุษย์คืออะไร? ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา พวกเขาไม่มีค่าแม้สักสตางค์เลยด้วยซ้ำ ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เหล่ามนุษย์คือสัตว์ร้าย คนน่าสมเพชที่ไร้ค่า แต่ในหัวใจของผู้คน พวกเขาไม่คิดในหนทางนี้ พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่คิดว่า ฉันเป็นคนน่าสมเพชที่ไร้ค่า! ทำไมฉันถึงไม่รู้เท่าทันเรื่องนี้? เป็นไปได้ยังไงที่ฉันไม่ได้รับประสบการณ์กับเรื่องนี้? การเชื่อในพระเจ้าของฉันนั้นจริงใจ ฉันมีความเชื่อ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถทรยศพระเจ้าได้หรอก พระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริง แต่ฉันก็แค่ไม่เข้าใจวลี ‘ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา’ ฉันได้เห็นความรักของพระเจ้าแล้ว ฉันไม่มีวันสามารถทรยศพระองค์ได้ไม่ว่าเวลาใด” นี่คือสิ่งที่ผู้คนคิดจริงๆ ในหัวใจ แต่พระวจนะของพระเจ้าคือข้อเท็จจริง พระวจนะเหล่านั้นมิได้ถูกตรัสออกมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป ทุกเรื่องถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเจ้า โน้มน้าวพวกเจ้าให้เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเจ้าจะสามารถระลึกรู้ความเสื่อมทรามของเจ้า และแก้ไขปัญหาเรื่องการทรยศ จะไม่มีการทรยศในราชอาณาจักร เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าและไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน พวกเขาก็เป็นอิสระอย่างแท้จริง จากนั้นพวกเขาก็จะไม่มีความจำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับการทรยศพระเจ้า ความห่วงกังวลดังกล่าวย่อมมากเกินไปไม่มีความจำเป็น ในภายภาคหน้าย่อมสามารถประกาศแถลงได้ว่า พวกเจ้าไม่มีสิ่งใดภายในตัวพวกเจ้าที่จะทรยศพระเจ้าอีกต่อไป แต่สำหรับตอนนี้ ไม่ใช่กรณีนั้น เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าเวลาใดก็ได้ ไม่ใช่ว่าการปรากฏอยู่ของรูปการณ์แวดล้อมบางประการนำทางไปสู่การทรยศ และหากปราศจากรูปการณ์แวดล้อมบางประการหรือปราศจากการบังคับขู่เข็ญ เจ้าก็จะไม่ทรยศพระเจ้า—ถึงแม้ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ เจ้าก็ยังคงทรยศพระองค์ได้อยู่ดี นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ต่อให้เจ้าไม่ได้กำลังคิดหรือกำลังทำสิ่งใดอยู่ตอนนี้ ความเป็นจริงแห่งธรรมชาติของเจ้าก็มีอยู่จริงๆ และไม่สามารถถูกถอนรากถอนโคนได้โดยผู้ใด เนื่องจากเจ้ามีธรรมชาติแห่งการทรยศพระเจ้าอยู่ภายในตัวเจ้า พระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจเจ้า ในห้วงลึกของหัวใจเจ้า ไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้า และไม่มีการปรากฏอยู่ของความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็สามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา เหล่าทูตสวรรค์นั้นต่างไป ในขณะที่พวกเขาไม่มีอุปนิสัยหรือแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์เพราะพวกเขาถูกสร้างโดยพระองค์อย่างเฉพาะเจาะจงเพื่องานปรนนิบัติของพระองค์ เพื่อดำเนินการพระบัญชาของพระองค์ในทุกแห่งหน พวกเขาเป็นของพระเจ้าโดยทั้งหมดทั้งสิ้น ส่วนเหล่ามนุษย์นั้น พระเจ้าตั้งพระทัยให้พวกเขาดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลก ไม่ทรงเตรียมพวกเขาให้พร้อมสรรพไปด้วยความสามารถที่จะนมัสการพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่ามนุษย์ย่อมสามารถทรยศและขัดขืนพระเจ้าได้ นี่พิสูจน์ว่าเหล่ามนุษย์สามารถถูกใช้และถูกช่วงชิงโดยผู้ใดก็ได้ พวกเขาไม่มีอธิปไตยเป็นของตนเอง เหล่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นนั้นเอง ไร้ศักดิ์ศรีและไร้ค่าอย่างถึงที่สุด
พระเจ้าทรงเปิดโปงธรรมชาติที่ทรยศของมนุษย์ เพื่อให้ผู้คนสามารถมีความเข้าใจแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้และเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง ผู้คนสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลง และพยายามค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติจากแง่มุมนี้ เข้าใจว่าพวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าได้ในสิ่งใดบ้าง และอุปนิสัยเสื่อมทรามใดที่พวกเขามี ที่สามารถนำทางไปสู่การทรยศพระเจ้าได้ ครั้นเจ้าไปถึงจุดหนึ่งซึ่งเจ้าไม่กบฏต่อพระเจ้าในหลายแง่มุม และไม่ทรยศพระองค์ในแง่มุมส่วนใหญ่ เมื่อเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเดินทางของชีวิตเจ้า ถึงชั่วขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น เจ้าจะไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลอีกต่อไปเกี่ยวกับว่าเจ้าจะทรยศพระเจ้าในภายภาคหน้าหรือไม่ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ก่อนผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าได้เมื่อถูกซาตานชักนำ เมื่อซาตานถูกทำลาย ผู้คนจะไม่หยุดทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? เวลานั้นยังมาไม่ถึง ผู้คนยังคงมีอุปนิสัยเสื่อมทรามของซาตานอยู่ภายในพวกเขา สามารถที่จะทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา ครั้นเจ้าได้รับประสบการณ์กับชีวิตจนถึงช่วงระยะหนึ่งที่เจ้าได้สลัดทิ้งทัศนะที่ผิด มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันเหล่านั้นทั้งหมดเกี่ยวกับการขัดขืนและการทรยศพระเจ้า เจ้าย่อมได้เข้าใจความจริง ด้วยสิ่งที่เป็นบวกมากมายในหัวใจของเจ้า เจ้าสามารถควบคุมตัวเองและเป็นนายการกระทำของตัวเจ้าเอง และเจ้าก็ไม่ทรยศพระเจ้าในสถานการณ์ส่วนใหญ่อีกต่อไป จากนั้นเมื่อซาตานถูกทำลาย เจ้าก็จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยครบบริบูรณ์ ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจก็คือการแก้ปัญหาการทรยศและการเป็นกบฏของมนุษย์ มวลมนุษย์ในอนาคตจะไม่ทรยศพระเจ้าเพราะซาตานจะได้ถูกจัดการไปแล้ว จะไม่มีเรื่องที่ซาตานชักพาให้มวลมนุษย์หลงผิดและทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอีกต่อไป ถึงตอนนั้นเรื่องนี้จะไม่สัมพันธ์กับมวลมนุษย์ ตอนนี้ผู้คนถูกขอให้เข้าใจธรรมชาติที่ทรยศของมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาหนึ่งซึ่งมีนัยสำคัญที่สุด พวกเจ้าควรเริ่มจากตรงนี้นี่เอง อะไรหรือที่มีอยู่ในธรรมชาติของการทรยศพระเจ้า? สิ่งที่เผยให้เห็นการทรยศประกอบด้วยอะไรบ้าง? ผู้คนควรทบทวนและทำความเข้าใจอย่างไร? พวกเขาควรปฏิบัติและเข้าสู่อย่างไร? ทั้งหมดนี้ต้องถูกเข้าใจและมองเห็นอย่างชัดเจน ตราบที่ธรรมชาติแห่งการทรยศยังคงดำรงอยู่ภายในใครคนหนึ่ง พวกเขาก็สามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา ต่อให้พวกเขาไม่ปฏิเสธหรือหักหลังพระเจ้าอย่างเปิดเผย พวกเขาก็ยังคงสามารถทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ผู้คนคงจะไม่พิจารณาว่าเป็นการทรยศ แต่โดยแก่นแท้แล้วเป็น นี่หมายความว่าผู้คนไม่มีอำนาจควบคุมตนเอง ซาตานได้ครอบครองพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรก หากเจ้าสามารถทรยศพระเจ้าโดยปราศจากการถูกทำให้เสื่อมทราม แล้วบัดนี้ที่เจ้าเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้มากมายกว่าเพียงใดเล่า? ไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลายิ่งกว่าเดิมหรอกหรือ? กิจปัจจุบันคือการกำจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านั้น ลดสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เจ้าทรยศพระเจ้า ให้เจ้ามีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมและได้รับการยอมรับโดยพระเจ้าในการทรงสถิตของพระองค์ เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากขึ้นในหลากหลายเรื่อง เจ้าก็จะสามารถได้รับความจริงบางประการและได้รับการทำให้เพียบพร้อมในระดับหนึ่ง หากซาตานและพวกปีศาจยังคงมาทดลองเจ้า หรือวิญญาณชั่วมาชักพาให้เจ้าหลงผิดและก่อกวนเจ้า เจ้าก็จะสามารถทำการแยกแยะได้บางส่วน และด้วยเหตุนั้นจึงปฏิบัติตนในหนทางที่ทรยศพระเจ้าน้อยลง นี่คือบางสิ่งที่พัฒนาขึ้นในตัวผู้คนเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเหล่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นในตอนแรก พวกเขาไม่รู้จักการนมัสการหรือนบนอบพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่รู้การทรยศพระองค์คืออะไร เมื่อซาตานมาล่อลวงพวกเขา พวกเขาจึงทำตามมันและทรยศพระเจ้า กลายเป็นผู้หักหลัง เพราะพวกเขาไม่สามารถจำแนกความต่างระหว่างดีและชั่วได้ และไม่มีความสามารถที่จะนมัสการพระเจ้า—พวกเขายิ่งไม่มีความเข้าใจเลยว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างของมวลมนุษย์ และวิธีที่พวกเขาควรนมัสการพระองค์ บัดนี้พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดโดยการเติมความจริงทั้งหลายเกี่ยวกับการรู้จักพระองค์—รวมถึงแก่นแท้ อุปนิสัย ความทรงมหิทธิฤทธิ์ ความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ เป็นต้น—เข้าไปในตัวพวกเขา เพื่อให้ความจริงเหล่านั้นกลายเป็นชีวิตของพวกเขา อนุญาตให้พวกเขามีอำนาจควบคุมตนเอง และทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามความจริงได้ ยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งการพิพากษาและการตีสอนลึกซึ้งมากขึ้น เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเจ้าเองลึกซึ้งขึ้น และนี่จะทำให้เจ้ามีปณิธานที่จะนบนอบ รัก และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ยิ่งเจ้ารู้จักพระเจ้ามากขึ้น เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งสามารถทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าได้มากขึ้น และภายในตัวเจ้าจะมีไม่กี่อย่างที่ทรยศพระเจ้า และมีสิ่งที่เข้ากันได้กับพระองค์มากมายกว่า ด้วยเหตุนั้นจึงเอาชนะและมีชัยเหนือซาตานอย่างครบบริบูรณ์ ด้วยความจริง ผู้คนจึงได้รับเอกราชและไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดหรือตีกรอบเอาไว้อีกต่อไป ดำรงชีวิตตามแบบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริง คนบางคนถามว่า “ถ้ามนุษย์มีธรรมชาติที่เสื่อมทรามอยู่ภายในตัวเขา และสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา เช่นนั้นแล้วพระเจ้ายังคงสามารถตรัสได้เช่นไรว่าพระองค์ได้ทรงทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์แล้ว?” การได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์หมายถึง การที่ผู้คนมารู้จักพระเจ้าและธรรมชาติของพวกเขาเอง เข้าใจวิธีนมัสการและนบนอบพระเจ้าโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์ ระลึกรู้ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของพวกวิญญาณชั่ว และเข้าใจว่าซาตานกับพวกปีศาจขัดขืนพระเจ้าอย่างไร มวลมนุษย์ขัดขืนพระเจ้าอย่างไร สิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออะไร และใครคือพระผู้สร้าง ทั้งหมดนี้ถูกเติมเข้าไปในผู้คนโดยผ่านทางพระราชกิจของพระเจ้าหลังจากที่พวกเขาถูกสร้างขึ้น ดังนั้น เหล่ามนุษย์ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ขั้นสุดท้ายนั้นมีสาระและมีคุณค่ากว่าพวกที่ไม่ถูกทำให้เสื่อมทรามแต่แรกเริ่ม เมื่อพระเจ้าได้เติมบางสิ่งให้กับพวกเขา ทรงงานอย่างพิถีพิถันภายในพวกเขา นั่นจึงเป็นเหตุให้เหล่ามนุษย์ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ขั้นสุดท้ายมีเอกราชมากกว่าที่อาดัมกับเอวามี โดยมีความเข้าใจความจริงดีขึ้นเกี่ยวกับการนมัสการและนบนอบพระเจ้า และวิธีประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขา อาดัมกับเอวาไม่ได้รู้สิ่งเหล่านี้ เมื่อถูกงูทดลอง พวกเขาก็กินผลจากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว แล้วจากนั้นก็ตระหนักถึงความน่าละอายของตัวเอง ทว่าก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้าอยู่ดี จากนั้นเป็นต้นมา มวลมนุษย์ก็กลายเป็นเสื่อมทรามมากขึ้นทุกทีจนถึงปัจจุบัน นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลุ่มลึก ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ชัดเจน เนื่องจากสัญชาตญาณของเนื้อหนังมนุษย์ ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้า ณ เวลาใดก็ได้และในสถานที่ใดก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าก็จะทรงทำให้มนุษย์มีความครบบริบูรณ์ และนำพาเขาเข้าไปในยุคถัดไป นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนพบว่ายากลำบากที่จะเข้าใจ การนี้สามารถได้รับประสบการณ์ไปอย่างช้าๆ เท่านั้น ครั้นความจริงเป็นที่เข้าใจแล้ว การนี้ก็จะกลายเป็นชัดเจนไปเอง
เหตุใดผู้คนจึงพึงต้องมีการรู้จักพระเจ้า? นั่นเป็นเพราะหากปราศจากการรู้จักพระเจ้า ผู้คนก็จะขัดขืนต่อพระองค์ หากใครบางคนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็ง่ายต่อการถูกซาตานกับพวกวิญญาณชั่วชักพาให้หลงผิดและใช้งาน พวกเขาจะไม่สามารถหลบพ้นอิทธิพลของซาตานได้ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่อาจสัมฤทธิ์ความรอด แต่หากใครบางคนเข้าใจความจริง เช่นนั้นพวกเขาก็จะมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สามารถที่จะนบนอบต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง เป็นพยานยืนยันให้กับพระองค์ และได้รับการรับไว้โดยพระองค์ ซาตานจะไม่สามารถชักพาให้บุคคลเช่นนั้นหลงผิดหรือแสวงหาประโยชน์จากเขาได้ ต่อให้มันต้องการจะทำก็ตาม นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานแบบครบบริบูรณ์และการได้สัมฤทธิ์ความรอด และนี่ก็คือนัยสำคัญของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ให้ผู้คนรู้จักพระองค์ หากเจ้ารู้จักพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็สามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ หากปราศจากการรู้จักพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรอด หากใครบางคนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเอาเสียเลย แต่กลับดำรงชีวิตโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาแทน และไม่ปฏิบัติความจริงต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงอยู่บ้างก็ตาม โดยยังคงทำการฝ่าฝืนทั้งที่รู้ตัว เช่นนั้นแล้วก็หมดหนทางที่จะเยียวยาพวกเขาอย่างแท้จริง ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในสภาวะใด? ตราบที่ตอนนี้พวกเจ้ามีความหวังอันริบหรี่ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพระเจ้าทรงจำการฝ่าฝืนในอดีตของเจ้าได้หรือไม่ วิธีคิดแบบใดเล่าที่เจ้าควรดำรงเอาไว้? “ฉันต้องไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของฉัน ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ไม่มีวันที่จะถูกซาตานหลอกอีกเลย และไม่มีวันที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่จะนำความอดสูมาสู่พระนามของพระเจ้าอีกเลย” ตอนนี้ผู้คนเสื่อมทรามลึกล้นเหลือเกินและขาดพร่องคุณค่าใดๆ ด้านที่เป็นกุญแจสำคัญอันใดหรือที่กำหนดพิจารณาว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ และพวกเขามีความหวังอันใดหรือไม่? กุญแจสำคัญก็คือ หลังจากที่ฟังการเทศนาแล้ว เจ้าสามารถจับใจความความจริงได้หรือไม่ เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ และเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เหล่านี้คือด้านที่เป็นกุญแจสำคัญ หากเจ้าเพียงรู้สึกสำนึกผิดเท่านั้น และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำสิ่งทั้งหลาย เจ้าแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการในหนทางเดิมๆ โดยไม่เพียงแค่ไม่แสวงหาความจริงเท่านั้น แต่ยังคงเกาะติดทรรศนะ วิธีการและข้อบังคับเดิมๆ และไม่เพียงแค่ไม่ทบทวนหรือพยายามรู้จักตัวเองเท่านั้น แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับแย่ลงทุกที และยังคงยืนกรานที่จะเดินบนเส้นทางเดิมของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไร้ความหวัง และควรถูกกำจัดทิ้งไป ด้วยความรู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า และความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง เจ้าจะสามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้กระทำความชั่วและกระทำบาป ยิ่งความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับธรรมชาติของเจ้าทั่วถึงมากขึ้น เจ้าย่อมสามารถคุ้มครองตัวเองได้ดีขึ้น และหลังจากที่สรุปประสบการณ์และบทเรียนทั้งหลายแล้ว เจ้าก็จะไม่ล้มเหลวอีก ในข้อเท็จจริงตามจริง ทุกคนมีมลทินบางอย่าง เพียงแค่ว่าพระเจ้าไม่ทรงให้พวกเขารับผิดชอบต่อมลทินเหล่านี้ ทุกคนมีมลทินเหล่านี้ แค่ต่างกันในเรื่องของระดับเท่านั้นเอง บางอย่างพูดถึงได้ อย่างอื่นที่เหลือพูดไม่ได้ คนบางคนทำสิ่งที่ผู้อื่นรู้ ในขณะที่คนบางคนทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีใครอื่นรู้เลย ทุกคนมีการกระทำผิดและมลทินในตัวพวกเขา และพวกเขาล้วนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างออกมา เช่น ความโอหัง หรือความคิดว่าตนเองถูก พวกเขาล้วนมีการเบี่ยงเบนบางอย่างในงานของพวกเขา หรือเป็นกบฏอยู่ในบางโอกาส สิ่งเหล่านี้ล้วนเข้าใจได้ สิ่งเหล่านี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้เลยสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม แต่ทันทีที่ผู้คนเข้าใจความจริง พวกเขาควรสามารถหลีกเลี่ยงการนี้และไม่ฝ่าฝืนอีกต่อไป ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเดือดร้อนเพราะการฝ่าฝืนในอดีตอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ การที่ผู้คนกลับใจหรือไม่ พวกเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงหรือไม่ บรรดาผู้ที่กลับใจและเปลี่ยนแปลงก็คือคนที่ได้รับการช่วยให้รอด ในขณะที่พวกที่ยังคงไม่กลับใจและไม่เปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งสิ้นจะต้องถูกกำจัดออกไป หากว่า หลังจากที่เข้าใจความจริง ผู้คนยังคงฝ่าฝืนทั้งที่รู้ตัว หากพวกเขายืนกรานที่จะไม่กลับใจ ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าพวกเขาถูกตัดแต่งหรือตักเตือนอย่างไร เช่นนั้นแล้ว ผู้คนดังกล่าวก็พ้นวิสัยที่จะได้รับความรอด