พระวจนะว่าด้วยการรู้จักตนเอง

บทตัดตอน 42

กุญแจสู่การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคือการรู้จักธรรมชาติของคนเราเอง และการนี้ต้องเกิดขึ้นโดยสอดคล้องกับการเปิดโปงจากพระเจ้า  มีเพียงในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่คนเราสามารถรู้จักธรรมชาติอันน่าขยะแขยงของตนเองได้ ระลึกได้ถึงพิษอันหลากหลายของซาตานในธรรมชาติของตนเอง ตระหนักว่าตนนั้นโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน และระลึกได้ถึงองค์ประกอบที่อ่อนแอและเป็นด้านลบในธรรมชาติของตน  หลังจากที่สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างครบถ้วนแล้ว และเจ้าสามารถเกลียดชังตัวเจ้าเองและขัดขืนเนื้อหนังได้อย่างแท้จริง ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เป็นนิตย์พลางปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า และกลายเป็นผู้ที่รักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางของเปโตรแล้ว  เมื่อปราศจากพระคุณของพระเจ้า และปราศจากความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คงจะเป็นการยากที่จะเดินบนเส้นทางนี้ เนื่องเพราะผู้คนไม่ครองความจริงและไร้ความสามารถที่จะขัดขืนตนเองได้  โดยหลักแล้วการเดินบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมของเปโตรอยู่บนพื้นฐานของการมีความตั้งใจแน่วแน่ การมีความเชื่อ และการพึ่งพาพระเจ้า  ที่มากยิ่งกว่าคือ คนเราต้องนบนอบต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทุกสรรพสิ่ง คนเราไม่สามารถทำโดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้าได้  เหล่านี้คือแง่มุมสำคัญ ซึ่งไม่มีแง่มุมใดที่สามารถถูกล่วงละเมิดได้  ในระหว่างประสบการณ์นั้น การทำความรู้จักตนเองเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นมาก เมื่อปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การนี้ก็ย่อมเปล่าประโยชน์  การเดินบนเส้นทางของเปโตร คนเราต้องจดจ่ออยู่กับการรู้จักตนเองและจดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของคนเรา  เส้นทางของเปาโลไม่ใช่เส้นทางของการแสวงหาชีวิตหรือการมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเอง เขามุ่งเน้นที่การทำงานและอิทธิพลกับแรงผลักดันของงานโดยเฉพาะ  แรงจูงใจของเขาคือการได้รับพระพรของพระเจ้าในการแลกเปลี่ยนกับงานและความทุกข์ของเขา และการได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า  แรงจูงใจนี้ผิด  เปาโลไม่ได้มุ่งเน้นที่ชีวิต อีกทั้งเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เขามุ่งเน้นที่บำเหน็จรางวัลเท่านั้น  เนื่องจากเขามีเป้าหมายที่ผิด แน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเดินไปก็ผิดด้วยเช่นกัน  ธรรมชาติอันโอหังและทะนงตนของเขาก่อให้เกิดการนี้  เห็นได้ชัดเจนว่าเปาโลไม่ได้ครองความจริงใดๆ เลย อีกทั้งเขาไม่ได้มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ  ในการช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงผู้คน พระเจ้าทรงปรับเปลี่ยนอุปนิสัยของพวกเขาเป็นหลัก  จุดประสงค์ของพระวจนะของพระองค์เพื่อสัมฤทธิ์บทอวสานแห่งการครองอุปนิสัยที่ได้รับการเปลี่ยนสภาพและความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้า ที่จะนบนอบต่อพระองค์และนมัสการพระองค์ในตัวผู้คนด้วยหนทางปกติ  นี่คือจุดประสงค์ของพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  หนทางแห่งการแสวงหาของเปาโลเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยตรงและเป็นการขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และต่อต้านเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  อย่างไรก็ตาม หนทางการแสวงหาของเปโตรสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ กล่าวคือ เขามุ่งเน้นไปที่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ซึ่งแน่นอนว่าคือบทอวสานที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์ทั้งหลายด้วยพระราชกิจของพระองค์  ดังนั้น เส้นทางของเปโตรจึงได้รับการอวยพรและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เนื่องเพราะเส้นทางของเปาโลนั้นขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงเกลียดและสาปแช่งเส้นทางของเปาโล  การเดินบนเส้นทางของเปโตร คนเราต้องรู้จักเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากคนเรามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างครบถ้วนโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์—ซึ่งหมายถึงการเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำจากมนุษย์ และในท้ายที่สุดเข้าใจว่าบทอวสานใดที่พระองค์ทรงพึงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ผล—เมื่อนั้นเท่านั้นคนเราจึงจะมีความสามารถที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำว่าเส้นทางใดที่ควรติดตาม  หากเจ้าไม่เข้าใจเส้นทางของเปโตรอย่างครบถ้วน และเพียงมีความพึงปรารถนาที่จะติดตามเส้นทางของเปโตร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะเริ่มต้นก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้ได้  อีกนัยหนึ่ง เจ้าอาจรู้คำสอนมากมาย แต่ในท้ายที่สุดก็จะไม่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงได้  แม้ว่าเจ้าอาจทำการเข้าสู่อย่างผิวเผิน เจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์อันใดที่แท้จริงได้

ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจอันผิวเผินมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  พวกเขายังไม่ได้มารู้จักอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนของธรรมชาติของพวกเขาเลยทั้งสิ้น  พวกเขามีเพียงความรู้เกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามไม่กี่อย่างที่พวกเขาเผยออกมา เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ หรือข้อบกพร่องไม่กี่อย่างของพวกเขาเท่านั้นเอง และนี่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขารู้จักตัวเอง  ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขายึดปฏิบัติตามข้อบังคับไม่กี่อย่าง มั่นใจว่าพวกเขาไม่ทำผิดพลาดในด้านเฉพาะใดๆ และหลีกเลี่ยงการกระทำการล่วงละเมิดเฉพาะอย่างได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็พิจารณาว่าตัวพวกเขานั้นครองความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และทึกทักไปว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด  นี่เป็นจินตนาการแบบมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์  หากเจ้ายึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะกลายเป็นมีความสามารถที่จะงดเว้นจากการกระทำการล่วงละเมิดอันใดจริงหรือ?  เจ้าจะได้บรรลุการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในอุปนิสัยแล้วกระนั้นหรือ?  เจ้าจะกำลังใช้ชีวิตในสภาพเสมือนของมนุษย์คนหนึ่งจริงหรือ?  เจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างจริงแท้แบบนั้นได้หรือ?  แน่นอนเลยว่าไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง  การเชื่อในพระเจ้าได้ผลเพียงเมื่อคนเรามีมาตรฐานสูง และได้บรรลุความจริงและการแปลงสภาพบางอย่างในอุปนิสัยของชีวิตคนเราแล้วเท่านั้น  ก่อนอื่นการนี้พึงต้องอาศัยความทุ่มเทในการรู้จักตนเอง  หากความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองนั้นตื้นเขินเกินไป พวกเขาก็จะพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ปัญหาทั้งหลาย และอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาก็ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา  จึงจำเป็นที่ต้องรู้จักตัวคนเราเองในระดับที่ลุ่มลึก ซึ่งหมายถึงการรู้จักธรรมชาติของคนเราเองว่า องค์ประกอบใดที่รวมอยู่ในธรรมชาตินั้น สิ่งเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างไร และสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด  ที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้ามีความสามารถที่จะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือไม่?  เจ้าได้เห็นดวงจิตอันอัปลักษณ์ของเจ้าเองกับธรรมชาติอันเลวร้ายของเจ้าแล้วหรือไม่?  หากเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะเกลียดชังตัวเอง  เมื่อเจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเอง แล้วจากนั้นก็นำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าก็จะสามารถขัดขืนเนื้อหนังและมีความแข็งแกร่งที่จะดำเนินการตามความจริงโดยไม่เชื่อว่าต้องบากบั่นพยายาม  เหตุใดเล่าผู้คนมากมายจึงทำตามความเลือกชอบทางเนื้อหนังของพวกเขา?  ก็เพราะพวกเขาพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองช่างดีงามนัก พลางรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกต้องและเป็นธรรม รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความผิดเลย และรู้สึกกระทั่งว่า พวกเขาถูกต้องอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ข้างพวกเขา  เมื่อคนเราระลึกได้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของคนเราเป็น—อัปลักษณ์อย่างไร น่าดูหมิ่นอย่างไร และน่าเวทนาอย่างไร—เมื่อนั้นคนเราก็จะไม่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างเกินขนาด ไม่โอหังอย่างลำพองเหลือเกิน และไม่ยินดีกับตัวเองเหลือเกินดังก่อนหน้านี้  บุคคลเช่นนั้นรู้สึกว่า “ฉันต้องจริงจังตั้งใจและติดดินในการปฏิบัติตามพระวจนะบางประการของพระเจ้า  หาไม่แล้ว ฉันย่อมจะไม่ดีพอที่จะไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และจะอดสูที่จะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”  เช่นนั้นแล้ว คนเราจึงมองเห็นตัวเองอย่างแท้จริงว่าไม่มีความสลักสำคัญ ไร้นัยสำคัญอย่างแท้จริง  ณ เวลานี้ ย่อมกลับกลายเป็นง่ายที่คนเราจะดำเนินความจริงให้เสร็จสิ้น และคนเราจะปรากฏเป็นเหมือนที่มนุษย์ควรเป็นอยู่บ้าง  มีเพียงเมื่อผู้คนเกลียดชังตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะขัดขืนเนื้อหนัง  หากพวกเขาไม่เกลียดชังตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขัดขืนเนื้อหนังได้ การที่คนเราเกลียดชังตัวเองอย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป  มีหลายสิ่งที่ต้องค้นหาให้พบในตัวพวกเขา กล่าวคือ สิ่งแรก การรู้จักธรรมชาติของตัวคนเราเอง และสิ่งที่สอง การมองเห็นตัวคนเราเองอัตคัดขัดสนและน่าเวทนา การมองเห็นตัวคนเราเองเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างสุดขั้ว และการมองเห็นดวงจิตอันสกปรกและน่าเวทนาของคนเราเอง  เมื่อคนเราเห็นสิ่งที่คนเราเป็นอย่างแท้จริงโดยครบถ้วน และได้สัมฤทธิ์บทอวสานนี้แล้ว ถึงตอนนั้น คนเราจึงจะสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวคนเราเองอย่างแท้จริง และสามารถพูดได้ว่า คนเราได้มารู้จักตัวคนเราเองอย่างครบถ้วนแล้ว  เมื่อนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตัวคนเราเองได้อย่างแท้จริง โดยไปไกลถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง และรู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกจนถึงขนาดที่คนเราไม่สามารถแม้กระทั่งมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์คนหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่ง เมื่อการคุกคามแห่งความตายปรากฏขึ้น บุคคลเช่นนั้นย่อมจะคิดว่า “นี่คือการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้ ฉันควรตายจริง!”  ณ จุดนี้ เขาจะไม่ยื่นเรื่องร้องทุกข์ นับประสาอะไรที่จะติเตียนพระเจ้า ด้วยรู้สึกเพียงว่า เขาช่างขัดสนและน่าเวทนายิ่งนัก ช่างโสมมและเสื่อมทรามจนเขาควรถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไปและทำลายเสีย และดวงจิตเช่นของเขานั้นไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก  ดังนั้น บุคคลผู้นี้ก็จะไม่พร่ำบ่นหรือต้านทานพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะทรยศพระเจ้า  หากใครคนหนึ่งไม่รู้จักตัวเอง และยังคงพิจารณาตัวเองว่าดีมาก เช่นนั้นแล้วเมื่อความตายมาเคาะประตู บุคคลนี้จะคิดว่า “ฉันได้ทำดีเหลือเกินในความเชื่อของฉัน  ฉันได้แสวงหาหนักเพียงใด!  ฉันได้ให้มากมายเหลือเกิน ฉันได้ทนทุกข์มากมายเหลือเกิน กระนั้นในที่สุดแล้ว ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงขอให้ฉันตาย  ฉันไม่รู้ว่าความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ใด  เหตุใดพระองค์จึงกำลังทรงขอให้ฉันตาย?  หากฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้วใครเล่าจะได้รับการช่วยให้รอด?  เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มาถึงบทอวสานหรอกหรือ?”  อย่างแรก บุคคลนี้มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  ประการที่สอง บุคคลนี้กำลังพร่ำบ่น และไม่ได้กำลังแสดงให้เห็นการนบนอบใดๆ แต่อย่างใดเลย  นี่เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล กล่าวคือ  เมื่อเขากำลังจะตาย เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และเมื่อถึงเวลาที่การลงโทษของพระเจ้าใกล้มาถึง ทั้งหมดก็ล้วนสายเกินไป

บทตัดตอน 43

แม้การชุมนุมมักจะสามัคคีธรรมความจริง ชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน พูดคุยเรื่องการรู้จักตนเอง และเสวนาถึงสภาวะและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้คน แต่ตอนนี้ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  บางคนเพียงแต่รับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พอเผยมันออกมา พวกเขากลับไม่รู้จัก  บางคนมีความสามารถในการทำความเข้าใจ และเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็รับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง  อย่างไรก็ดี เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ความเข้าใจของพวกเขากลับกลายเป็นตื้นเขิน  พวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าตนยังสบายดีอยู่ ตนยังเป็นคนดี และแม้พวกเขาจะเชื่อว่าตนเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่บ้าง พวกเขาก็ยังคงจัดให้ตนเองอยู่กลุ่มเดียวกับคนดี  พวกเขาไม่รู้จักธรรมชาติของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนหรือรู้ว่าอุปนิสัยนั้นจะก่อให้เกิดผลอะไรตามมาบ้าง  นี่ใช่การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่?  หลังจากที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้ามานานสองถึงสามปี ด้วยการอ่านพระวจนะของพระองค์ ฟังสามัคคีธรรมและคำเทศนา รวมทั้งได้รับการตัดแต่ง ในที่สุดพวกเขาส่วนใหญ่ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ของตนนั้นไม่ดี และตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่จริง อีกทั้งสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ละเมิดความจริงและต่อต้านพระเจ้าได้  อย่างไรก็ดี ผู้คนมากมายกลับไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้อย่างแท้จริง พวกเขาเพียงรับรู้ทางวาจาว่าตนคือมาร เป็นซาตาน และควรถูกสาปแช่ง  ความเข้าใจแบบนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  เป็นสิ่งที่มาจากหัวใจหรือไม่?  เป็นสิ่งที่กล่าวออกมาจากความเกลียดชังตนเองอย่างแท้จริงใช่ไหม?  ตัวอย่างเช่น มีผู้นำหรือคนทำงานที่ถูกปลดเพราะไม่ทำงานจริง และเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขา “สำนึกผิด” พวกเขาจึงเขียนจดหมายกลับใจว่า “ฉันทำให้พระเจ้าผิดหวังและติดค้างพระองค์  ฉันไม่คู่ควรกับความรอดหรือการพากเพียรใส่พระทัยดูแลและความพยายามของพระองค์  ฉันเป็นปีศาจ เป็นซาตาน ความเป็นมนุษย์ของฉันนั้นไม่ดี  ฉันควรถูกสาปแช่ง ฉันควรลงนรกและพินาศไปเสีย!”  ในจดหมายกลับใจนี้ พวกเขากล่าวโทษและปฏิเสธตนเองทุกประโยค เอ่ยวาจาที่ผู้ไม่มีความเชื่อจะไม่มีวันพูดออกมา  แม้พวกเขารับรู้ว่าตนนั้นคือปีศาจและซาตานตนหนึ่ง แต่ถ้อยคำเหล่านี้มีความสัตย์จริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี  พวกเขาไม่กล่าวว่าตนเองได้เผยความเสื่อมทรามอะไรออกมา ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีลงไป หรือนำความสูญเสียอันใดมาให้แก่งานของคริสตจักรบ้าง)  ไม่มีสักประโยคเดียวที่อธิบายว่าสถานการณ์ตามจริงนั้นเป็นเช่นไรหรือมีอะไรอยู่ในหัวใจของพวกเขา ถ้อยความเหล่านั้นคือวาจาที่กลวงเปล่าทั้งสิ้น  นี่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขารับรู้หรือไม่ว่าตนนั้นเสื่อมทราม?  (ไม่)  พวกเรามานิยามความเข้าใจที่แท้จริงให้พวกเขาฟังกันเถิด กล่าวคือ คนคนนี้ไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง  พวกเขาเขียนจดหมายกลับใจ ดูผิวเผินก็เหมือนพวกเขารู้จักตนเองและรับรู้ความเสื่อมทรามของตน  นับจากนั้นเจ้าควรดูว่าพวกเขาประพฤติตนอย่างไรในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง  พวกเราจะสามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมแบบใดว่าพวกเขารับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองอย่างถ่องแท้ และรู้จักตนเองโดยแท้จริง?  (หลังจากที่คนคนหนึ่งเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ก็ย่อมจะมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง)  ถูกต้อง  พระเจ้าทรงดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวคนคนหนึ่งหรือไม่  ถ้าใครสักคนเขียนจดหมายกลับใจ ถ้อยคำของพวกเขาดูจริงใจและพวกเขาก็ดูเหมือนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ นี่หมายความว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงแล้วกระนั้นหรือ?  พิสูจน์ได้หรือไม่ว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงแล้ว?  ไม่ได้ พวกเราต้องดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในตัวพวกเขาหรือไม่—นี่คือแง่มุมที่สำคัญที่สุด  แต่หลังจากถูกปลด พวกเขาก็มักจะปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง ซึ่งเท่ากับว่ายังไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนและยังไม่เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง  การต้านทาน การปกป้องตัวเอง และการสร้างความชอบธรรมให้ตนเองที่อยู่หลังฉากได้ยืนยันในเรื่องนี้  นอกจากนี้ เมื่อเบื้องบนชำแหละการกระทำของพวกเขาและกล่าวว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นผู้นำเทียมเท็จ และเป็นคนที่ไม่ทำงานจริง พวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการถูกเบื้องบนเปิดโปงบ้าง?  พวกเขาให้เหตุผล ปกป้อง และสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง อธิบายเรื่องเหล่านี้ไปทั่ว ไม่ยอมรับรู้ว่าตนไม่ทำงานจริง ไร้ขีดความสามารถ ไม่เข้าใจความจริง และเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เบื้องหลังการไม่ยอมรับรู้และปกป้องตนเองนี้คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยดื้อแพ่งและโอหังอย่างหนึ่ง เป็นอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  ตอนที่พวกเขาเขียนจดหมายกลับใจ พวกเขากล่าวว่าพวกเขาต่างก็เป็นมารและซาตานตนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับพระเจ้า ติดค้างพระเจ้า และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่ดี แต่ทันทีที่ยอมรับเช่นนี้ พวกเขาก็หวนกลับไปสู่หนทางเดิม  นี่เกิดอะไรขึ้น?  (การรับรู้ของพวกเขาไม่เป็นความจริง)  อย่างไหนคือด้านที่แท้จริงของพวกเขา?  อย่างไหนคือวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขา?  (การปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง)  การปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองที่อยู่เบื้องหลัง ชี้แจงเหตุผลเพื่อตัวเองไปทั่ว—นี่คือด้านที่แท้จริงของพวกเขา  นี่ย่อมพิสูจน์มิใช่หรือว่าพวกเขาไม่ยอมรับว่าตนนั้นไม่สามารถทำงานจริงได้และตนไม่มีความเป็นจริงความจริง?  พวกเขาไม่รับรู้แต่อย่างใด  ถ้าแม้แต่เรื่องนี้พวกเขายังไม่ยอมรับรู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือ?  ถ้าพวกเขาไม่รู้จักตนเอง เช่นนั้นแล้วการที่พวกเขาบรรยายลักษณะตัวเองว่าเป็นมารและซาตานตนหนึ่ง ย่อมกำลังชักพาให้ผู้คนหลงผิดอยู่มิใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับการรู้จักตัวเองก็เป็นเรื่องโกหก ทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง  พวกเขาไม่รับรู้ว่าตนนั้นไม่สามารถทำงานได้ และความเป็นมนุษย์ของตนก็ไม่ดี แล้วทำไมพวกเขาถึงยังคงพูดคำล่าวโทษตัวเองพวกนั้น?  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจเข้าใจได้  ถ้าพวกเขาไม่รู้จักตนเอง ทำไมพวกเขาถึงยังคงเสแสร้งว่ารู้จัก?  นี่คือการหลอกลวงผู้คน  ข้อเท็จจริงเบื้องหน้าพวกเราพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเป็นคนที่หน้าซื่อใจคด  ดังนั้น พวกเขาจะยอมรับหรือไม่ว่าตนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม?  (ไม่ยอมรับ)  พวกเขาไม่ยอมรับรู้เรื่องนี้ และถึงกับพยายามหาข้ออ้างและเหตุผลต่างๆ มาพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนี้ไม่ผิด  พวกเขาเชื่อว่าไม่ว่าตนทำอะไรก็เป็นเรื่องถูกต้อง และเบื้องบนไม่ควรกล่าวโทษหรือชำแหละเรื่องนั้นๆ  พวกเขายอมรับการถูกปลดได้ แต่ไม่สามารถยอมรับการถูกปฏิบัติด้วยอย่างไม่เป็นธรรมเพราะเรื่องเหล่านี้  ไม่ว่าเหตุผลในการปลดพวกเขาจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็สามารถนบนอบและยอมรับได้ ที่พวกเขายอมรับหรือนบนอบไม่ได้ก็เพราะพวกเขาถูกปลดด้วยเรื่องจำเพาะที่พวกเขาทำลงไปนี้เท่านั้น  นี่คือต้นเหตุของการที่พวกเขาปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองมิใช่หรือ?  คนแบบนี้พูดจาเรื่องการเป็นมารและเป็นซาตาน บอกว่าตนควรถูกสาปแช่งและส่งตัวลงนรก ร้องตะโกนคำพูดชวนเชื่อเหล่านี้ซ้ำๆ กัน พลางโต้เถียงและอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมต่อไป—พวกเขารู้จักตนเองจริงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาร้องบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกตนคือหมู่มารและเหล่าซาตาน กระนั้นพวกเขากลับไม่ยอมรับรู้ความผิดที่ทำลงไปแต่อย่างใด  พวกเขารับรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  (ไม่)  เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่รับรู้?  พวกเขาล้วนรับรู้ว่าพวกตนคือหมู่มารและเหล่าซาตาน ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  ผลที่ตามมาของเรื่องใดร้ายแรงกว่ากัน—การรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือการรับรู้ว่าตนคือมารและซาตานตนหนึ่ง?  อันที่จริงพวกเขาเข้าใจอยู่ในหัวใจของตนว่าการรับรู้ว่าพวกเขาคือเหล่าซาตานและหมู่มารนั้นสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและอาจสัมฤทธิ์ผลดีได้ แล้วผู้คนก็จะไม่ทำอะไรตน  อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขายอมรับความผิดที่ตนทำลงไป หรือยอมรับว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ ผู้คนก็จะหลบเลี่ยงและเกลียดชังพวกเขา  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกคำพูดชวนเชื่อแบบป้ายโฆษณามาชักพาให้ทุกคนหลงเชื่อและอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ตัวเองพ้นผิด  ทำไมพวกเขาถึงร้องบอกวลีเด็ดและคำพูดชวนเชื่อดังกล่าว?  มีจุดประสงค์อะไร?  (ผู้คนจะได้มองเห็นว่าพวกเขารู้จักตัวเองมากเพียงใด)  ในแง่หนึ่ง พวกเขากำลังอวดอ้างความเป็นฝ่ายวิญญาณของตน  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็คิดว่า “ทุกคนพูดว่าตนคือหมู่มารและเหล่าซาตาน  ถ้าฉันบอกว่าฉันคือมารและซาตานตนหนึ่ง ฉันก็จะไม่ต้องรับผลที่ตามมาและยังสามารถได้รับความเห็นชอบจากทุกคนด้วย  ทำไมจะไม่ทำเล่า?”  แนวคิดเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  การรู้จักตนเองแบบนี้ไม่ฉลาดแกมโกงไปหน่อยหรือ?  (ใช่ แบบนี้ชักพาให้หลงผิด)  โดยธรรมชาติแล้ว นี่คือการชักพาให้หลงผิดและหลอกลวง มีลักษณะของนักต้มตุ๋นทางศาสนา!  พวกนักต้มตุ๋นทางศาสนาพูดว่าอย่างไร?  “พวกเราล้วนเป็นคนบาป พวกเราทำบาปกันมาทั้งสิ้น!”  พวกเขาไม่พูดว่าตนเลวอย่างไรหรือบอกรายละเอียดของเรื่องไม่ดีที่พวกเขาทำลงไป  พวกเขากล่าวด้วยว่า “พวกเราทุกคนเป็นคนบาป และพวกเราต้องกลับใจ  ดูสิว่าองค์พระเยซูเจ้าหลั่งพระโลหิตอันล้ำค่าเพื่อพวกเราไปมากเท่าใด!”  พวกเขาต้องการบรรลุเป้าหมายอะไรด้วยวาจาเหล่านี้?  เป้าหมายที่จะทำให้ตนเองดูเป็นฝ่ายวิญญาณ  พวกเขากำลังอวดตัวและทำให้ผู้อื่นยกย่องตนเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของการชนะจิตชนะใจคนทั้งหลาย  ผู้คนที่กล่าวอ้างว่ารับรู้ว่าพวกตนคือหมู่มารและเหล่าซาตานนั้นก็อยากสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ด้วยมิใช่หรือ?  นี่คือจุดประสงค์ของพวกเขาเช่นกันมิใช่หรือ?  มองปราดแรกก็ดูเหมือนว่าพวกเขารู้จักตนเอง และดูเป็นคนที่กลับใจอย่างแท้จริง ป่าวประกาศว่าพวกตนคือหมู่มารและเหล่าซาตาน เป็นลูกหลานของนรก และสมควรตาย  คำพูดของพวกเขาช่างจริงจังนัก!  แต่ระหว่างที่พวกเขาพูดจาอย่างจริงจังยิ่ง สิ่งที่ทำจริงๆ อยู่หลังฉากนั้นพวกเขาเอาจริงเอาจังเหมือนกันหรือไม่?  ไม่เลย  พวกเขาใช้วิธีตีสองหน้า กล่าวคือ ทางหนึ่ง พวกเขารับรู้อย่างเปิดเผยว่าพวกตนคือหมู่มารและเหล่าซาตาน แต่อีกทางหนึ่ง พวกเขากลับเที่ยวปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง อธิบายว่าตนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด  พวกเขากล่าวว่าพวกเขาถูกเบื้องบนปฏิบัติด้วยอย่างไม่เป็นธรรม เบื้องบนไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ที่แท้จริง และพวกเขาก็สู้ทนความทุกข์ยากและความคับข้องหมองใจไปมากมายจากการทำสิ่งเหล่านี้ จ่ายราคาไปมาก และไม่ควรได้รับการปฏิบัติด้วยแบบนี้  พวกเขากล่าวสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ได้รับความเห็นใจมากขึ้น ทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่าพวกเขารับรู้ว่าตนเองคือหมู่มารและเหล่าซาตาน และพวกเขาก็รู้จักตนเองอย่างแท้จริง เบื้องบนต่างหากที่ไม่เป็นธรรมกับพวกเขา และพวกเขาก็ถูกปลดด้วยเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ  พวกเขาทำให้ดูเหมือนว่าตนนั้นรู้จักตนเองและสมควรได้เป็นผู้นำ  แท้จริงแล้วพวกเขาปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอย่างแข็งขัน  ผู้คนที่เก่งในเรื่องอำพรางตัวและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เก่งเรื่องร้องบอกคำพูดชวนเชื่อฝ่ายวิญญาณนี้ สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการรู้จักตนเองเป็นเพียงการทำไปตามขั้นตอน หลอกผู้อื่น และเสแสร้งทั้งหมดเพื่อทำให้ผู้อื่นประทับใจเท่านั้น  แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกลับใจและยอมรับความผิดของตน พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าตัดแต่ง เปิดโปง บ่มวินัย หรือแม้กระทั่งปลดพวกตน  พวกเขาไม่มีท่าทีเช่นนั้นเลยจริงๆ

ทุกวันนี้ ประสบการณ์ของผู้คนส่วนใหญ่ยังตื้นเขินเกินไป การทำความรู้จักตนเองของพวกเขาก็จำกัดเกินไป  ผู้คนมากมายได้แต่ยอมรับความผิดพลาดในวิธีการของตนและข้อเสียของตน แต่มีน้อยคนที่ยอมรับว่าตนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย มีความเข้าใจที่บิดเบี้ยว ไร้ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และไม่มีความเป็นมนุษย์  ยิ่งมีน้อยคนนักทียังคงยอมรับว่าพระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้าคือข้อเท็จจริงทุกประการ ยอมรับว่าพระวจนะเหล่านี้เปิดโปงความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนเอง หรือพระวจนะของพระองค์ถูกต้องแม่นยำทั้งสิ้นและไม่มีข้อผิดพลาดเลย  นี่คือข้อพิสูจน์ว่าผู้คนยังคงไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง  การไม่ยอมรับว่าตนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนนั้น หมายความว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้จักตนเอง  ไม่ว่าพวกเขาจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอันใดออกมา พวกเขาก็ไม่ยอมรับรู้  พวกเขาปกปิดและซุกซ่อนอุปนิสัยเหล่านั้นเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นความเสื่อมทรามของตน  ผู้คนแบบนี้เก่งกาจในเรื่องอำพรางตนและเป็นพวกหน้าซื่อใจคด  ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่เอนเอียงเข้าหาความจริง และสภาวะของพวกเขาก็ปรับปรุงดีขึ้นมาบ้าง แต่พวกเขายังคงไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ตลอดเวลาผู้คนมากมายมีปฏิกิริยาต่อการทำผิดพลาดด้วยการรับรู้ว่าตนทำผิดในเรื่องนั้นเท่านั้น  ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า “แท้จริงแล้วคุณทำผิดตรงไหนในเรื่องนี้?  คุณละเมิดหลักธรรมความจริงข้อใด?  คุณเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแบบใดออกมา?” พวกเขาก็จะตอบว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เป็นเพียงความพลั้งเผลอชั่วขณะเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดให้รอบด้านและบุ่มบ่ามทำลงไป  ฉันไม่ได้มีเจตนา”  การกระทำและข้อผิดพลาดที่ไม่ได้เจตนากลายเป็นโล่กำบังและข้ออ้างให้แก่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาได้เผยให้เห็น  นี่ใช่การรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองโดยถ่องแท้หรือไม่?  ไม่ใช่  ถ้าเจ้ามีข้ออ้างหรือสรรหาเหตุผลให้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาอยู่เนืองๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถเผชิญหน้าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างแท้จริง และเจ้าก็จะไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจมันได้  ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีในช่วงเวลาหนึ่ง สภาวะของพวกเขามั่นคง สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำย่อมดำเนินไปอย่างราบรื่นและไม่มีเรื่องติดขัด พวกเขาสร้างผลลัพธ์บางอย่างที่เป็นบวกและได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น  พวกเขารู้สึกว่าตนได้ทำคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ และพระเจ้าก็ควรประทานรางวัลแก่พวกเขา  ผลก็คือพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่โอหังและคิดว่าตนถูก—พวกเขาเชื่อว่าตนนั้นดีกว่าผู้อื่น ไม่ยอมรับฟัง และไม่สามารถร่วมมือกับใครๆ อย่างสมัครสมานได้  ไม่นานพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างผิดพลาด พี่น้องชายหญิงจึงตัดแต่งและเปิดโปงพวกเขา บอกว่าพวกเขาโอหังเกินไป  พวกเขายอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ยากและครุ่นคิดเรื่องนี้ไม่อย่างหยุดหย่อนว่า “ฉันนี่หรือโอหัง?  ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอก  ฉันไม่ได้คุยโวเรื่องอะไร ดังนั้นฉันจะกลายเป็นคนโอหังได้อย่างไร?”  พวกเขาติดอยู่กับคำว่า “โอหัง” และไม่สามารถผ่านมันไปได้  การที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับคำคำนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีเหตุผล ไม่รู้จักตัวเองแต่อย่างใด และไม่ยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ถ้าใครบางคนวิจารณ์เจ้าหรือตัดแต่งเจ้า และกล่าวว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นละเมิดหลักธรรมความจริง แต่เจ้ากลับรับรู้ความผิดพลาดของตนในเรื่องนั้นๆ เท่านั้น ไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่านั่นคือผลสืบเนื่องจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยตัวออกมา และเต็มใจที่จะแก้ไขเฉพาะความผิดพลาดเท่านั้น โดยไม่เคยยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริง  การรับรู้ความผิดพลาดนั้นโดยตัวมันเองแล้วสามารถแสดงให้เห็นการรู้จักตนเองหรือไม่?  การรู้จักตนเองหมายถึงการระบุต้นเหตุแห่งความผิดพลาดของตนและรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ถ้าเจ้ารับรู้ว่าเจ้าได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด และหลังจากนั้นพฤติกรรมของเจ้าก็เปลี่ยนไปเพื่อให้ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้ทำความผิดพลาดเช่นเดิมอีกแล้ว แต่เจ้าไม่ได้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และต้นเหตุของความผิดพลาดก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะยังคงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า  จงอย่าทึกทักเอาว่าความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมไม่กี่อย่างจะทัดเทียมความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า  การรู้จักตนเองเป็นเรื่องที่ไม่มีจุดจบ ถ้าคนเราไม่สามารถรู้จักต้นเหตุแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนหรือไม่อาจรู้ได้ว่ารากเหง้าของการต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้าของตนอยู่ตรงไหน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้  นี่คือสิ่งที่ยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา  เหตุใดผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าจึงเปลี่ยนแปลงแต่พฤติกรรมของพวกเขาและไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน?  ปัญหาอยู่ตรงนี้  ถ้าเจ้ารับรู้ว่าสิ่งที่เจ้าเผยออกมาคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามซึ่งทำให้เจ้ากระทำการตามใจชอบ ตัดสินใจตามอำเภอใจ ไม่ยอมร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสมัครสมาน วางตนเหนือผู้อื่น และหลังจากที่รับรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าก็รับรู้อีกด้วยว่าเรื่องเหล่านี้เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่จะนำประโยชน์อันใดมาให้เจ้า?  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริง และตระหนักรู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือต้นเหตุของการต่อต้านพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์อันหนักแน่นว่าซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  เจ้าจะตระหนักรู้ว่าถ้าคนเราไม่ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ไปเสีย พวกเขาย่อมไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์และไม่คู่ควรกับการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าได้แต่รับรู้ว่าเจ้าทำบางสิ่งผิดไป ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  เจ้าจะเอาแต่มุ่งเน้นและทุ่มเทความพยายามให้กับวิธีการทำสิ่งต่างๆ และการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง ควรทำสิ่งต่างๆ อย่างไรเพื่อให้ดูภายนอกแล้วถูกควร และจะปกปิดการเผยอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าอย่างไร  เจ้าจะยิ่งหลอกลวงมากขึ้นเรื่อยๆ และวิธีการที่เจ้าใช้หลอกผู้อื่นก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าจะคิดว่า “ครั้งนี้ฉันทำผิดพลาด และทุกคนก็มองเห็นเพราะฉันไม่ระวัง  ครั้งหน้าฉันจะไม่เป็นอย่างนี้”  ผลก็คือ ระหว่างที่วิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิวเผิน และผู้อื่นก็ไม่สามารถมองเห็นปัญหา เจ้ากลับซ่อนเร้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอาไว้  เจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว?  เจ้ายิ่งหลอกลวงมากขึ้นและกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคด  ถ้าคนเรามุ่งเน้นและทุ่มเทความพยายามให้กับวิธีการพูดจาและวิธีกระทำการเพื่อจะได้ไม่มีใครสามารถมองเห็นปัญหาหรือพบเจอข้อเสียของตนจากภายนอก และการกระทำของพวกเขาก็ดูไม่มีตำหนิ แต่พวกเขากลับไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนแม้แต่น้อย พวกเขากำลังกลายเป็นฟาริสีมิใช่หรือ?  แม้การทำตัวหน้าซื่อใจคดอาจจะลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ แต่ว่าการทำเช่นนี้ลวงให้พระเจ้าหลงเชื่อได้หรือไม่?  แท้จริงแล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงอะไร?  โดยมากหมายถึงการไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเรา ถ้าคนเราไม่เคยรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา  ในเวลาเดียวกันกับที่ยอมรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงด้วย ต้องคิดทบทวนว่าแท้จริงแล้วตนเองทำผิดตรงไหนและล้มเหลวตรงไหน จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตน  วิธีนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน ปฏิบัติความจริงในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และกระทำการตามหลักธรรมได้  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  คนที่สามารถแสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริงได้เท่านั้นคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาคือคนที่สามารถทุ่มเทพยายามอย่างต่อเนื่องกับการปฏิบัติความจริงและการกระทำตามหลักธรรม สามารถสรุปประสบการณ์ของตนและถอดบทเรียนได้  เมื่อพวกเขาปฏิบัติความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง มีหลักธรรมในการกระทำของตน และทำผิดพลาดน้อยลง พวกเขาก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนที่เหมาะจะให้พระเจ้าใช้งาน  ถ้าคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะหลงมัวเมาไปกับการพูดจาอันว่างเปล่าเรื่องการรู้จักตัวเองอย่างไร หรือบรรยายตนเองว่าเป็นมารและซาตานตนหนึ่งอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังไม่ปฏิบัติความจริงอยู่ดี  ดังนั้น สองฝ่ายนี้แตกต่างกันอย่างไร?  ฝ่ายหนึ่งยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แสวงหาหลักธรรมความจริง และปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความจริง—นี่คือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง แต่กลับทุ่มเทความพยายามกับวิธีการทำสิ่งต่างๆ แทน  อย่างไรก็ดี นี่เปลี่ยนแปลงแต่พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาได้เท่านั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต ซึ่งทำให้พฤติกรรมของพวกเขายิ่งหลอกลวง  สิ่งที่ผู้คนประเภทนี้ปฏิบัติตรงตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  ห่างไกลจากหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิงและแม้แต่เปลือกก็เข้าไม่ถึง  สิ่งที่พวกเขาทำคือการอำพรางตน เสแสร้ง และหลอกลวง เป้าหมายของพวกเขาคือการหลอกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง แต่ก็ยังอยากให้ทุกคนสรรเสริญพวกเขา ให้ความเห็นชอบและสนับสนุนพวกเขาอยู่ดี เพื่อให้พวกเขาสามารถมีสถานะในคริสตจักร  นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงการอำพรางตนและหลอกลวงมิใช่หรือ?  พวกเขาปิดบังอำพรางตน และมุ่งหาวิธีที่จะเป็นที่โปรดปรานของผู้อื่น  มีหลักธรรมความจริงอยู่ในการทำเช่นนี้บ้างหรือไม่?  ไม่เลย—เป็นการยึดตามความคิดฝันในจิตใจของมนุษย์ วิธีการของมนุษย์ ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์ทั้งสิ้น และยังคงเป็นการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  การปฏิบัติอย่างหน้าซื่อใจคดเช่นนี้เป็นเรื่องของความเป็นฝ่ายวิญญาณเทียมเท็จ เป็นการหลอกลวงผู้คน และไม่มีกระทั่งความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย

เหตุใดบางคนที่ดูแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนผู้อื่น จู่ๆ กลับพรวดพราดออกมาทำให้ผู้คนตกอกตกใจด้วยการทำความชั่วร้ายแรงในท้ายที่สุด?  เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงวันสองวันเท่านั้นหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  น้ำแข็งหนาสามฟุตไม่อาจก่อตัวชั่ววันเดียวได้  ภายนอกแล้วพวกเขาดูประพฤติตัวดีและเรียบง่าย ไม่มีใครหาข้อบกพร่องในตัวพวกเขาได้ แต่ท้ายที่สุดสิ่งไม่ดีที่พวกเขาทำกลับยิ่งร้ายแรงและน่าประหลาดใจยิ่งกว่าสิ่งที่คนอื่นทำ  ผู้คนที่ได้ชื่อว่า “ประพฤติตัวดี” เป็นคนทำสิ่งเหล่านี้  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คนประเภทนี้มีลักษณะทั่วไปอย่างไร?  (พวกเขาดูมีพฤติกรรมที่ดีงามและปกติแล้วก็ดูมีมารยาทดีทีเดียว)  สิ่งที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีลักษณะเด่นชัดอยู่สองอย่าง—พวกเจ้าจับประเด็นสำคัญเหล่านี้ได้หรือไม่?  (พวกเขาไม่รักความจริงหรือยอมรับรู้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  เวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง พวกเขากำลังอำพรางตนและปฏิบัติตนอย่างหน้าซื่อใจคด)  การปฏิบัติตนอย่างหน้าซื่อใจคดเป็นแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ แล้วเจ้าจะค้นพบและยืนยันได้อย่างไรว่าผู้คนเหล่านี้หน้าซื่อใจคด?  เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าพฤติกรรมอันดีงามซึ่งพวกเขาใช้ดำเนินชีวิตเป็นเพียงการเสแสร้ง?  (ภายนอกแล้วพวกเขาพูดจาดีมาก แต่เวลาลงมือทำจริง พวกเขากลับปกป้องผลประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า)  นี่การสำแดงเฉพาะของการปฏิบัติตนอย่างหน้าซื่อใจคด  แม้ผู้คนที่หน้าซื่อใจคดเหล่านี้จะพูดจาดี แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังหลอกลวงและชักพาให้ผู้คนหลงผิด  นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังเปิดโปงความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้าของตน เอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขาอยากใช้ชีวิตอย่างหญิงแพศยา ขณะเดียวกันก็ยังคงคาดหวังให้มีอนุสรณ์สถานรำลึกถึงการถือพรหมจรรย์ของตน  ทั้งหมดนี้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์  เราเพิ่งกล่าวไปว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีลักษณะเด่นชัดอยู่สองอย่าง  ลักษณะอย่างแรกก็คือ ผู้คนเยี่ยงนี้มักจะร้องตะโกนคำพูดชวนเชื่อและกล่าวคำสอนราวกับว่าตนนั้นเป็นฝ่ายวิญญาณอย่างลึกซึ้ง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่รักความจริงแม้แต่น้อย และไม่มีความรักให้กับความจริง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง  เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเจ้าเอ่ยถึงเมื่อครู่ว่าพวกเขาคำนึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองก็เป็นหนึ่งในการสำแดงเหล่านี้มิใช่หรือ?  ทำไมพวกเขาจึงคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง?  พวกเขารักความจริงหรือไม่?  (พวกเขาไม่รักความจริง พวกเขาชอบแต่ผลประโยชน์)  พวกเขาปกป้องแต่ผลประโยชน์ของตนเองและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงเลย  นี่คือพฤติกรรมที่ไม่รักความจริงแม้แต่น้อยมิใช่หรือ?  บางคนบอกว่า “ถ้าพวกเขาไม่รักความจริง แล้วทำไมพวกเขาจึงสามัคคีธรรมถึงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริงอยู่เสมอ?”  พวกเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  (พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อทำให้ผู้อื่นประทับใจ อำพรางตน และปรุงแต่งให้ตัวเองดูดี)  นี่คือแง่มุมหนึ่ง แต่นอกจากนี้ แท้จริงแล้วพวกเขาสามัคคีธรรมความจริงหรือไม่?  ไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด เป็นเพียงวาจาและคำสอนเท่านั้น  ถ้าชัดเจนว่าเป็นเพียงวาจาและคำสอน เช่นนั้นแล้วจะเรียกว่าความจริงได้อย่างไร?  มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะถือว่าวาจาและคำสอนคือความจริง  พวกมารเชี่ยวชาญนักเรื่องกล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิด และพวกเขาก็อยากแสร้งทำตัวเป็นคนที่มีความจริงเพื่อหลอกผู้อื่นและพระเจ้าอีกด้วย  ไม่ว่าวาจาและคำสอนที่ผู้คนกล่าวออกมาจะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี มีแต่พระวจนะที่พระเจ้าตรัสเท่านั้นที่เป็นความจริง  วาจาและคำสอนที่มนุษย์เอ่ยออกมาจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร?  ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกัน  นี่คือแง่มุมแรก ซึ่งก็คือผู้คนเหล่านี้ไม่มีความรักให้กับความจริงอย่างแน่นอน  แง่มุมนี้คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่านี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและไม่ได้เป็นเพียงพฤติกรรมหรือสิ่งที่เผยออกมาชั่วคราว?  เพราะเมื่อพวกเราดูทุกสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาและดูพฤติกรรมทุกอย่างแล้ว อาจสรุปได้ว่าแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็คือพวกเขาไม่รักความจริงแต่อย่างใด  จากพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ย่อมสามารถบ่งชี้ได้ว่าพวกเขาคือคนที่ไม่รักความจริง  นั่นคือลักษณะอย่างแรก  ทีนี้ลักษณะที่สองเป็นเช่นไร?  ก็คือผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเลย  ที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับรู้เลยหมายความว่าอย่างไร?  ถ้าพูดว่าพวกเขาไม่ยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงพูดคุยเรื่องการทำความรู้จักตัวเองอยู่เสมอ?  พวกเขาไม่เพียงพูดคุยเรื่องการทำความรู้จักตัวพวกเขาเองเท่านั้น แต่ยังช่วยผู้อื่นทำความรู้จักตนเองอย่างไม่มีความละอายอีกด้วย  พวกเขามักจะพูดด้วยว่าตนยังทำไม่มากพอ ว่าตนติดค้างพระเจ้า ว่าพวกตนคือหมู่มารและเหล่าซาตาน และสมควรที่จะถูกสาปแช่ง  เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ว่าอย่างไร?  (เวลาพวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง ย่อมไม่มีเนื้อหาหรือรายละเอียดที่แท้จริง  ตัวอย่างเช่น ไม่มีเนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าพวกเขาได้เผยความเสื่อมทรามอะไรออกมา เก็บงำเจตนาที่ผิดๆ อันใดเอาไว้ ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบไหนควบคุมอยู่ พวกเขามีการสำแดงลักษณะเฉพาะอะไรออกมา พวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติใด และอื่นๆ  พวกเขาเอาแต่พูดอย่างคลุมเครือว่าพวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานโดยไม่ได้แสดงความรู้สึกและความเข้าใจที่แท้จริงออกมา)  (ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงก็คือสามารถเกลียดชังตัวเองได้อย่างแท้จริง  ผู้คนจำพวกนี้ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนทางวาจา แต่ในหัวใจไม่ได้เกลียดชังตัวเองแต่อย่างใด และพวกเขาสรรหาเหตุผลสารพัดอย่างมาปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองอีกด้วย  บางครั้งพวกเขาก็ไม่ชี้แจงเหตุผลของตัวเอง แต่ในใจก็ไม่ได้ยอมรับและไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตน  พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิงและไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย)  พวกเขาไม่ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง—จะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรได้?  (เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาถูกเผยออกมา พวกเขากลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งดังกล่าวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามประเภทนี้)  ผู้คนจำพวกนี้พูดคุยเรื่องการทำความรู้จักตัวเองอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วพวกเขารู้อะไรบ้าง?  พวกเขารู้จักพฤติกรรมและสิ่งที่ตนสำแดงออกมา หรือรู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนหรือไม่?  หรือรู้แต่สิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดลงไป?  การรู้ทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันมาก  การรู้บางอย่างคือการรู้อย่างแท้จริง ขณะที่บางอย่างกลับตื้นเขินและไร้แก่นสาร  การรู้ของบางคนยิ่งตื้นเขินเข้าไปอีก และพวกเขารู้แค่ว่าตนทำอะไรผิดหรือแค่รับรู้สิ่งที่ตนทำลงไปนั้นขัดต่อศีลธรรมหรือกฎหมายเท่านั้น  นี่ไม่ต่างจากผู้คนทางศาสนาที่ยอมรับความผิดของตนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่ได้พาให้กลับใจอย่างแท้จริง  นอกจากนี้ก็มีบางคนที่พูดแต่คำสอนบางอย่างเวลาพูดคุยเรื่องการรู้จักตัวพวกเขาเอง หรือลอกคำพูดคนอื่นเรื่องการรู้จักตนเอง  นี่ยิ่งเป็นการอำพรางและหลอกลวงในรูปแบบที่ร้ายแรงมากขึ้นไปอีก  เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง?  สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริง ดังนั้นการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาจึงยึดตามความชอบส่วนตน ปรัชญาของซาตาน ผลประโยชน์ ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองทั้งสิ้น  ลึกลงไปในหัวใจ พวกเขามองไม่เห็นว่าความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนนั้นเสื่อมทราม สิ่งที่พวกเขาต้องการย่อมไม่เสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทำทุกสิ่งที่ตนชอบ  เมื่อตัดสินเรื่องนี้จากจุดเริ่มต้นของการกระทำของพวกเขา พวกเขารับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองหรือไม่?  (พวกเขาไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง)  ผู้คนที่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนจะปฏิบัติตนเช่นไร?  พวกเขาลงมือแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือเอาแต่อธิษฐาน จดจ่อ และทำสิ่งต่างๆ ตามที่พวกเขานึกคิดอยู่ในใจ?  อย่างไหนที่พวกเขาทำตาม?  (พวกเขาแสวงหาหลักธรรมความจริง)  ดังนั้นเมื่อมองการกระทำของผู้คนจำพวกที่กล่าวถึงข้างต้น ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการเสมอ  พวกเขาเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้ามีไว้สำหรับผู้อื่น และพวกเขาถ่ายทอดคำสอนที่ตนเข้าใจให้แก่ผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าพวกเขาทำให้ผู้อื่นกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า โดยแฝงความนัยว่า “พวกคุณทุกคนเผยความเสื่อมทรามออกมา แต่ฉันแสวงหาความจริงในทุกสิ่งที่ฉันทำ และแทบจะไม่เผยความเสื่อมทรามใดๆ ออกมาเลย”  นี่ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือ?  พวกเขาไม่กล้ารับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง นี่คือความจริงของเรื่องนี้  พวกเขาเชื่อว่าการจ่ายราคาและการพูดจาให้มากขึ้นอีกนิด สู้ทนความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย หรือแม้กระทั่งละทิ้งสิ่งต่างๆ และการสละตนของพวกเขาล้วนเพื่อสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเอง ซึ่งตรงตามความจริงและถูกต้องทั้งหมด  ถ้าเจ้าไปถามพวกเขาว่า “ในเมื่อมนุษย์ทุกคนมีความเสื่อมทราม เวลาที่คุณคิดอย่างนั้น คุณไม่กลัวว่าตัวเองจะผิดหรอกหรือ?” พวกเขาก็จะตอบว่า “ไม่ นี่ก็ดีแล้ว ฉันไม่กลัวหรอก  เจตนาของฉันถูกต้อง”  จงดูเถิดว่าพวกเขามองว่าความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และเจตนาของตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นบวก  ผู้คนแบบนี้ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองหรือ?  (พวกเขาไม่ยอมรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง)  จากมุมมองในแง่ข้อเท็จจริง พวกเขาไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนเองเลย  คนที่ไม่รับรู้ความเสื่อมทรามของตนจะกลับใจได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาย่อมจะไม่กลับใจเป็นแน่ พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจ  พวกเขามีการนบนอบอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไม่มีการนบนอบเลยด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่รู้กระทั่งว่าความจริงคืออะไร ดังนั้นพวกเขาจะนบนอบได้อย่างไร?  สิ่งที่พวกเขานบนอบมีแต่ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเองเท่านั้น  พวกเขาใช้ชีวิตด้วยการทำทุกสิ่งตามความอยากได้อยากมีของตนเองโดยสิ้นเชิง พวกเขาพูด กระทำ และเลือกเส้นทางของตนโดยยึดตามเจตจำนงของตนเอง ไม่เคยแสวงหาความจริง  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงฟังคำเทศนา?”  การฟังคำเทศนาไม่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาสามารถแสวงหาความจริง นั่นเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของการเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่ฟังคำเทศนาหรือเข้าร่วมชุมนุม เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่ถูกเผยออกมามิใช่หรือ?  ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนนี้ แต่การฟังคำเทศนาไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือรับรู้ความเสื่อมทรามของตนเอง คนเราไม่อาจสรุปเช่นนี้ได้  การรับรู้ว่าตนมีความเสื่อมทรามไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับผู้คนที่ไม่รักความจริง

พวกเราเพิ่งกล่าวผู้คนที่ไม่รู้จักตนเองว่ามีลักษณะที่เด่นชัดอยู่สองประการ ประการหนึ่งคือพวกเขามีรากฐานที่ไม่รักความจริง และอีกประการหนึ่งคือพวกเขาไม่เคยรับรู้ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ดังนั้นพวกเจ้าอยู่ห่างไกลจากการรู้จักตนเองเพียงใด?  (ตอนนี้พวกเรายังคงไม่รู้จักตัวเอง และยังไม่ถึงขั้นเกลียดชังตัวเอง)  พวกเจ้าอยู่ห่างไกลนัก  การรู้จักตนเองหมายถึงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ความชอบส่วนตน ทัศนะและพฤติกรรมที่ผิดๆ ของตนเป็นสำคัญ  นี่คือกุญแจสำคัญ ส่วนแง่มุมอื่นๆ ของการรู้จักตนเองนั้นเป็นเรื่องรอง  เจ้าจะยอมรับความจริงได้อย่างแท้จริงและกลับใจได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเจ้ารับรู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มีแก่นแท้ธรรมชาติและการเผยความเสื่อมทรามทุกชนิดที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนมาโดยตลอด และเมื่อเจ้าสามารถแจกแจงสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างละเอียดและรับรู้ว่าข้อเท็จจริง พฤติกรรม และการแผยสิ่งจำเพาะทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นไปตามความจริง ล้วนต่อต้านพระเจ้า และเป็นที่รังเกียจของพระองค์ทั้งสิ้น  ทุกวันนี้เวลาผู้คนกล่าวอ้างว่ายอมรับความจริง พวกเขาก็เพียงรับรู้ความจริงในแง่ของคำสอนและเปลี่ยนพฤติกรรมบางส่วนของตน  แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานและดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน  พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมไม่ได้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  การที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของคนเรานั้น คนเราต้องรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง—นี่คือก้าวแรก  คนที่ตระหนักรู้เพียงว่าการกระทำของตนเองมีปัญหา ตนไม่ใช่คนดี หรือเป็นมารและซาตานตนหนึ่งก็ยังคงห่างไกลจากการรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตนและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน

บทตัดตอน 44

หากผู้คนจะต้องเข้าใจตนเอง พวกเขาก็ต้องเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และมีการจับความเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของตนด้วย  แง่มุมสำคัญที่สุดของการเข้าใจสภาวะของตนเองของคนเรานั้นก็คือ การมีการจับความเข้าใจในความคิดและแนวคิดทั้งหลายของตนเองของคนเรา  ในทุกช่วงเวลา ความคิดและแนวคิดของผู้คนได้ถูกควบคุมโดยสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง  หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจความคิดและแนวคิดทั้งหลายของเจ้า เจ้าย่อมสามารถจับความเข้าใจสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังความคิดเหล่านั้น  ผู้คนไม่สามารถควบคุมความคิดและแนวคิดทั้งหลายของเขาได้  อย่างไรก็ตาม เจ้าจำเป็นต้องรู้จริงๆ ว่า ความคิดและแนวคิดเหล่านี้มาจากไหน สิ่งใดที่เป็นสิ่งจูงใจเบื้องหลังพวกมัน ความคิดและแนวคิดเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นอย่างไร สิ่งใดควบคุมพวกมัน และธรรมชาติของพวกมันคืออะไร หลังจากอุปนิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ความคิด แนวคิด ทัศนะ และเป้าหมายที่คนคนนั้นเพียรพยายามจะไปให้ถึง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ย่อมจะแตกต่างจากเดิมมาก—โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะเข้าใกล้ความจริงและสอดคล้องกับความจริง  สิ่งทั้งหลายภายในตัวผู้คนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ความคิดเดิม แนวคิดเดิม และทัศนะเดิมของพวกเขา รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบและไล่ตามเสาะหา ล้วนเป็นสิ่งสกปรก โสโครก และน่าขยะแขยงที่สุด  หลังจากคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาจะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ และมองเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถละทิ้งและหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้  ผู้คนเช่นนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในหนทางใดหนทางหนึ่ง  พวกเขาสามารถยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงบางประการ  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เสื่อมทรามหรือสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถละทิ้งสิ่งเหล่านี้ นับประสาอะไรกับการหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้  อะไรทำให้เกิดความแตกต่างนี้?  พวกเขาเป็นผู้เชื่อทั้งหมด ทว่าทำไมบางคนในหมู่พวกเขาสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและสิ่งที่เป็นมลทินทั้งหลาย และละทิ้งสิ่งเหล่านั้นได้ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้?  ความสามารถในการแยกแยะและละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับการที่บุคคลคนนั้นรักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  เมื่อผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามาสักระยะหนึ่ง และฟังคำเทศนามาสักระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถเข้าใจความจริงและมองเห็นบางสิ่งได้อย่างชัดเจน พวกเขามีความก้าวหน้าในชีวิตของตน  ในทางตรงกันข้าม แม้ผู้ผู้ที่ไม่รักความจริงจะเข้าร่วมการชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้า และฟังคำเทศนาเหมือนกัน พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริง และไม่ว่าพวกเขาเชื่อมานานกี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ผู้คนเหล่านี้ล้มเหลวเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านี้ย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริง  เมื่อพวกเขาเผชิญสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์นั้นได้อย่างชัดเจน จนเกือบเสมือนพวกเขาเป็นคนเคร่งศาสนา พวกเขาไม่ได้รับอะไรจากเวลาหลายปีแห่งความเชื่อของพวกเขาเลย  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจความจริงมากเพียงใด?  สิ่งใดบ้างที่พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน?  พวกเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นลบและผู้คนที่คิดลบได้หรือไม่?  เจ้าไม่ค่อยเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร และจริงๆ แล้วเจ้าเชื่อในผู้ใดกันแน่  เจ้าไม่สามารถแยกแยะแนวคิดและเจตนารมณ์ที่เจ้ามีในชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน เจ้าไม่ตระหนักรู้อย่างเต็มที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติตามเส้นทางใดในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และเจ้าไม่เข้าใจนักว่าเจ้าควรจะปฏิบัติความจริงอย่างไรเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลายหรือปฏิบัติหน้าที่ของตน  เหล่านี้คือผู้คนที่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแต่อย่างใด  ด้วยการเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและด้วยการรู้วิธีปฏิบัติความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแยกแยะประเภทของผู้คนที่แตกต่างกัน มองเห็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน ทำสิ่งทั้งหลายให้สอดคล้องกับความจริง สามารถทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และเข้าใกล้น้ำพระทัยของพระเจ้ายิ่งขึ้นได้  เจ้าจะได้รับผลลัพธ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาในหนทางนี้เท่านั้น

บทตัดตอน 45

ภายในตัวมนุษย์มักมีสภาวะเชิงลบบางสภาวะอยู่เป็นนิจ  ท่ามกลางสภาวะเหล่านั้น บางสภาวะสามารถมีอิทธิพลต่อผู้คนหรือจำกัดควบคุมพวกเขาได้  มีบางสภาวะที่สามารถแม้แต่ทำให้บางคนแยกตัวออกจากหนทางที่แท้จริงและมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิดได้  สิ่งที่ผู้คนไล่ตามเสาะหา สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ และเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับสภาวะภายในของพวกเขา  ไม่ว่าผู้คนจะอ่อนแอหรือเข้มแข็งก็ยิ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับสภาวะภายในของพวกเขา  ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้ผู้คนจำนวนมากให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับวันแห่งพระเจ้า  พวกเขาล้วนมีความอยากได้อยากมีนี้ พวกเขาโหยหาให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงโดยเร็วเพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ ความเจ็บป่วยเหล่านี้ การข่มเหงนี้ ตลอดจนความเจ็บปวดประเภทอื่น  ผู้คนคิดว่าเมื่อวันแห่งพระเจ้ามาถึง พวกเขาจะได้รับการบรรเทาความเจ็บปวดที่พวกเขาทนทุกข์อยู่ในขณะนี้ พวกเขาจะไม่ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากอีกแล้ว และพวกเขาจะเปรมปรีดิ์ในพระพร  หากใครบางคนแสวงหาเพื่อที่จะเข้าใจพระเจ้าหรือไล่ตามเสาะหาความจริงจากภายในสภาวะเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขาจะถูกจำกัดอย่างมาก  เมื่อมีความพ่ายแพ้หรือมีสิ่งใดที่ไม่น่าพึงพอใจเกิดขึ้นกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วความอ่อนแอ ความคิดลบ และความเป็นกบฏภายในตัวพวกเขาย่อมจะเผยตัวออกมา  ดังนั้นหากสภาวะของใครบางคนผิดปกติหรือไม่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็ย่อมจะไม่ถูกต้องและย่อมจะไม่บริสุทธิ์อย่างแน่นอน  ผู้คนบางคนเพียรพยายามเพื่อการเข้าจากภายในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง แต่พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังทำการไล่ตามเสาะหาของตนด้วยดี พวกเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และกำลังปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับความจริง  พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกเขาขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเบี่ยงเบนจากน้ำพระทัยของพระองค์  เจ้าอาจรู้สึกแบบนั้น แต่เมื่อมีเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าพึงพอใจบางประการทำให้เจ้ามีความทุกข์ สัมผัสจุดอ่อนของเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่เจ้ารักและไล่ตามเสาะหาลึกลงไปในหัวใจของเจ้า เจ้าจะเริ่มคิดลบ ความหวังและความฝันทั้งหลายของเจ้าจะคว้าน้ำเหลว และเจ้าจะเริ่มอ่อนแอตามธรรมชาติ  ดังนั้นสภาวะของเจ้าในเวลานั้นจะตัดสินใจว่าเจ้าเข้มแข็งหรืออ่อนแอ  ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าพวกเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง มีวุฒิภาวะเล็กน้อย และรู้สึกว่าพวกเขามีความเชื่อมากกว่าที่พวกเขาเคยมีมาก่อน  พวกเขาคิดว่าตนได้เริ่มต้นบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีคนอื่นมาฉุดดึงหรือผลักดันพวกเขาไปตามร่องครรลองนั้น  ในกรณีนี้ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นคนคิดลบหรืออ่อนแอเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมบางอย่างหรือเผชิญความลำบากยากเย็นทั้งหลาย?  เช่นนั้นแล้วทำไมพวกเขาถึงพร่ำบ่นและลงเอยด้วยการละทิ้งความเชื่อของตน?  นี่แสดงให้เห็นว่ามีสภาวะเชิงลบและผิดปกติภายในตัวทุกคน  ความไม่บริสุทธิ์บางประการในตัวมนุษย์เป็นสิ่งที่ปล่อยไปไม่ได้ง่ายๆ  ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์  การปล่อยมือนี้ต้องกระทำบนพื้นฐานของการเปิดเผยพระวจนะของพระเจ้า  หลังจากคิดทบทวนและเข้าใจสภาวะของตนเอง ผู้คนต้องเปรียบเทียบตนเองกับพระวจนะของพระเจ้า และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่สภาวะของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเริ่มรู้จักสภาวะของตน พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ทันที  ตราบเท่าที่ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่เป็นนิจ เข้าใจสภาวะของตนเองอย่างชัดเจน และอธิษฐานถึงพระเจ้าและเพียรพยายามไปสู่ความจริง เช่นนั้นแล้วเมื่อความเสื่อมทรามพรั่งพรูออกมาจากพวกเขา หรือเมื่อพวกเขาตกอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติในอนาคต พวกเขาย่อมจะสามารถตระหนักรู้ถึงสภาวะดังกล่าวได้ และพวกเขาจะสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า และใช้ความจริงในการแก้ไขปัญหา และสภาวะที่ไม่ถูกต้องของพวกเขาสามารถถูกพลิกกลับและสามารถเปลี่ยนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากความไม่บริสุทธิ์และสิ่งทั้งหลายที่สมควรถูกปล่อยมือซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนเก็บงำไว้ภายในตนเอง  ผู้คนต้องมีประสบการณ์ในระดับหนึ่งก่อนที่จะสามารถสัมฤทธิ์ผลได้

ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผู้คนจำนวนมากไล่ตามเสาะหาพระพรบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา และผลที่ตามมาก็คือพวกเขากลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอเมื่อพวกเขาเผชิญกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของตน  พวกเขาเริ่มสงสัยพระเจ้าและแม้แต่เกิดมีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระองค์  หากไม่มีใครสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถตั้งมั่น และอาจจะทรยศต่อพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  เราขอยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง  สมมุติว่าใครคนหนึ่งเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเสมอในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  คนคนนี้เชื่อว่าตราบเท่าที่เขาตัดขาดกับครอบครัวและลุล่วงหน้าที่ของตน พระเจ้าจะทรงคุ้มครองและอวยพร และดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้ครอบครัวของเขา และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าควรทรงทำ  จากนั้นมีวันหนึ่งที่บางสิ่งซึ่งเขาไม่ปรารถนาเกิดขึ้นกับเขา—เขาล้มป่วยลง  การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ของเขาไม่สะดวกสบายเท่ากับการอยู่ในบ้านของเขาเอง และบางทีพวกเขาไม่ได้ดูแลเขาดีมากนัก  เขารับไม่ได้ และกลายเป็นคนคิดลบและท้อแท้ใจเป็นเวลานาน  นอกจากนี้เขายังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเขาไม่แม้แต่จะยอมรับความจริง  นี่หมายความว่าผู้คนมีสภาวะบางอย่างภายในตัวของพวกเขา และหากพวกเขาไม่ตระหนัก สำเหนียก หรือรู้สึกว่าสภาวะเหล่านี้ผิด เช่นนั้นแล้วแม้ว่าพวกเขาอาจยังคงมีความหลงใหลและไล่ตามเสาะหามากอยู่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะเผชิญกับสถานการณ์ที่เปิดเผยสภาวะภายในที่แท้จริงของตน ซึ่งทำให้พวกเขาสะดุดและล้มลง  นี่คือสิ่งที่มาจากการไม่สามารถคิดทบทวนหรือรู้จักตัวเจ้าเอง  ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้นล้วนเป็นไปในหนทางนี้ เจ้าไม่มีวันรู้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะสะดุดล้มลง เมื่อใดพวกเขาจะกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ หรือเมื่อใดพวกเขาจะสามารถทรยศต่อพระเจ้าได้  จงมองดูเถิดว่าผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้นต้องเผชิญอันตรายมากมายขนาดไหน!  แต่การเข้าใจความจริงก็ไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย  ต้องใช้เวลานานก่อนที่เจ้าจะสามารถได้รับความสว่างอันริบหรี่ มีความรู้ที่แท้จริงเล็กน้อย และเข้าใจความจริงเล็กน้อยในที่สุด  หากเจตนารมณ์ภายในตัวเจ้าถูกปลอมปนอย่างร้ายแรงและไม่สามารถแก้ไขได้ เจตนารมณ์เหล่านั้นจะดับความสว่างเล็กๆ แห่งความเข้าใจของเจ้าอยู่ตลอดเวลา และแม้แต่กัดกร่อนความเชื่ออันน้อยนิดที่เจ้ามี และนี่อันตรายมากอย่างไม่ต้องสงสัย  ตอนนี้ปัญหาหลักคือการที่คนทุกคนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางประการเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา แต่ก่อนที่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านั้นจะถูกเปิดโปง พวกเขาก็ไม่รับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นซ่อนเร้นอยู่ภายใน และเจ้าไม่มีวันรู้ว่าเมื่อใดหรือภายใต้สถานการณ์ใดที่สิ่งเหล่านั้นจะออกมาและทำให้ผู้คนสะดุด  แม้ว่าผู้คนทุกคนจะมีความมุ่งมาดปรารถนาที่ดี และต้องการเป็นผู้เชื่อที่ดีและได้รับความจริง เจตนารมณ์ของพวกเขาก็ถูกปลอมปนมากเกินไป และพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากเกินไปซึ่งขัดขวางพวกเขาอย่างยิ่งจากการไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ชีวิต  พวกเขาต้องการทำสิ่งเหล่านี้แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้  ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับผู้คนที่จะนบนอบเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่งและจัดการ เมื่อพวกเขาถูกทดสอบหรือถลุง พวกเขาต้องการโต้เถียงกับพระเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาล้มป่วยหรือเผชิญกับภัยพิบัติบางอย่าง พวกเขาก็ตำหนิพระเจ้าที่ไม่ทรงคุ้มครองพวกเขา  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาไม่มีแม้แต่หัวใจพื้นฐานของความเชื่อฟังพระเจ้า แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนบางคนกลายเป็นคนคิดลบเมื่อสิ่งที่เล็กที่สุดไม่เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาสะดุดเพราะการพิพากษาของคนอื่น และทรยศต่อพระเจ้าเมื่อพวกเขาถูกจับกุม  เป็นเรื่องจริงที่คนเราไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะมีความสุขหรือพังพินาศ  ทุกคนมีบางสิ่งภายในตัวพวกเขาที่พวกเขาต้องการไล่ตามไขว่คว้าและได้มา พวกเขามีสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชื่นชอบ  การไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบนั้นสามารถนำความโชคร้ายมาสู่พวกเขาได้ แต่พวกเขาไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ ยังคงเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเพียรพยายามให้ได้มาและชื่นชอบนั้นถูกต้อง และไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเมื่อความโชคร้ายจู่โจม และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและชื่นชอบนั้นถูกพรากไปจากพวกเขา พวกเขาจะกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ และไม่สามารถฉุดตนเองให้ลุกขึ้นยืนได้  พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะตำหนิพระเจ้าที่ทรงไม่ยุติธรรม และหัวใจแห่งการทรยศต่อพระเจ้าของพวกเขาก็จะออกมา  หากผู้คนไม่รู้จักตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าจุดตายของตนอยู่ที่ใด และพวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าที่ใดเป็นที่ที่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะล้มลงหรือสะดุด  นี่น่าเวทนาอย่างแท้จริง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงกล่าวว่าหากบุคคลไม่รู้จักตนเอง พวกเขาสามารถสะดุดหรือล้มลงเมื่อใดก็ได้ และนำจุดจบมาสู่ตนเอง

ผู้คนจำนวนมากได้กล่าวว่า  “ฉันเข้าใจทุกองค์ประกอบของความจริง แต่ฉันแค่ไม่สามารถนำองค์ประกอบเหล่านั้นไปปฏิบัติ”  นี่เปิดโปงให้เห็นรากเหง้าว่าทำไมผู้คนถึงไม่ปฏิบัติความจริง  ผู้คนประเภทใดเข้าใจความจริงแต่ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้?  แน่นอนว่ามีแต่ผู้คนที่รังเกียจและเกลียดความจริงเท่านั้นที่ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และนี่คือปัญหาในธรรมชาติของพวกเขา  ต่อให้พวกเขาไม่เข้าใจความจริง ผู้คนที่รักความจริงก็จะปฏิบัติตนบนพื้นฐานของมโนธรรมของตน และพวกเขาจะไม่ทำสิ่งที่ชั่วช้า  หากธรรมชาติของบุคคลหนึ่งรังเกียจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีทางปฏิบัติความจริงได้  ผู้คนที่รังเกียจความจริงเพียงแค่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้มาซึ่งพระพร ไม่ใช่เพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้มาซึ่งความรอด  ต่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตน นั่นก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง แต่ล้วนเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งพระพร  ตัวอย่างเช่น บางคนที่ถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านของพวกเขาได้คิดในหัวใจของพวกเขาว่า “ฉันถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะการเชื่อในพระเจ้าของฉัน  วันหนึ่งพระเจ้าจะประทานบ้านที่ดีกว่าให้ฉัน พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้ฉันทนทุกข์โดยเปล่าประโยชน์” หรือ “ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใด พระเจ้าจะประทานอาหารให้ฉันกิน และพระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ฉันเดินไปบนถนนที่เป็นทางตัน  หากพระองค์ทรงปล่อยให้ฉันเดินไปบนถนนที่เป็นทางตัน เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็จะไม่ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น”  สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นมิได้มีอยู่ภายในตัวมนุษย์หรอกหรือ?  ยังมีบางคนที่คิดว่า “ฉันตัดขาดครอบครัวของฉันไปแล้วเพื่อที่จะสละตัวฉันเองเพื่อพระเจ้า และพระเจ้าไม่ควรทรงส่งฉันไปอยู่ในมือของผู้มีอำนาจ ฉันไล่ตามเสาะหาด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น พระเจ้าควรจะทรงคุ้มครองและอวยพรฉัน  เราโหยหาอย่างแรงกล้าที่จะให้วันแห่งพระเจ้ามาถึง ดังนั้นวันแห่งพระเจ้าควรจะมาถึงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  พระเจ้าควรจะทรงทำให้ความปรารถนาของมนุษย์ลุล่วง”  ผู้คนจำนวนมากคิดตามหนทางนี้—นี่มิใช่ความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของมนุษย์หรอกหรือ?  ผู้คนยื่นข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้าอยู่เสมอ พลางคิดอยู่เสมอว่า “เราตัดขาดครอบครัวของเราไปแล้วเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเรา ดังนั้นพระเจ้าก็ควรจะทรงอวยพรเรา  เราปฏิบัติตนสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ควรจะประทานรางวัลให้แก่เรา”  ผู้คนจำนวนมากเก็บงำสิ่งเช่นนี้ในหัวใจของตนขณะที่เชื่อในพระเจ้า  พวกเขามองเห็นคนอื่นเดินไปจากครอบครัวของพวกเขาและตัดขาดทุกสิ่งเพื่อที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างไม่ต้องพยายาม และพวกเขาคิดว่า “พวกเขาละทิ้งครอบครัวของพวกเขามาเป็นเวลานานเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดถึงบ้านได้อย่างไร?  พวกเขาเอาชนะความคิดถึงนี้ได้อย่างไร?  ทำไมฉันถึงไม่สามารถเอาชนะความคิดถึงนี้ได้?  ทำไมฉันถึงไม่สามารถปล่อยมือจากครอบครัวของฉัน สามี (หรือภรรยา) ของฉัน และลูกๆ ของฉันได้?  เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงเมตตาต่อพวกเขาและไม่ทรงเมตตาต่อฉัน?  ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงไม่ประทานพระคุณแก่ฉันหรือสถิตอยู่กับฉัน?”  นี่คือสภาวะอะไร?  ผู้คนช่างไร้ซึ่งเหตุผล พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง แล้วพวกเขาก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ  ผู้คนควรจะเลือกเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขารังเกียจความจริง พวกเขากระหายความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง และพวกเขาแสวงหาเพื่อจะได้มาซึ่งพระพรและเปรมปรีดิ์ในพระคุณอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็พร่ำบ่นว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นมีมากเกินไป  พวกเขาเอาแต่ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาต่อพวกเขาและประทานพระคุณแก่พวกเขาให้มากขึ้น และอนุญาตให้พวกเขารู้สึกถึงความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง—พวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  พวกเขาคิดว่า “ฉันตัดขาดครอบครัวของฉันไปแล้วเพื่อที่จะทำหน้าที่ของฉันและฉันทนทุกข์มามากแล้ว  พระเจ้าควรจะทรงมีเมตตาต่อฉัน เพื่อที่ฉันจะไม่คิดถึงบ้านและเพื่อที่ฉันจะมีความแน่วแน่ที่จะตัดขาด  พระองค์ควรจะทรงประทานความเข้มแข็งแก่ฉัน เช่นนั้นแล้วฉันจะไม่กลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ  คนอื่นเข้มแข็งมาก พระเจ้าควรจะทรงทำให้ฉันเข้มแข็งเช่นกัน”  ถ้อยคำเหล่านี้ที่ผู้คนพูดนั้นขาดเหตุผลและความเชื่อโดยสิ้นเชิง  ถ้อยคำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาเพราะข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อของผู้คนไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง ซึ่งทำให้พวกเขาไม่พึงพอใจพระเจ้า  ถ้อยคำเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาเปิดเผยออกมาจากหัวใจ และถ้อยคำเหล่านี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติของผู้คนอย่างสมบูรณ์  สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวผู้คน และหากไม่ถูกสลัดทิ้งไป สิ่งเหล่านี้ก็สามารถนำผู้คนไปสู่การเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าได้ในทุกเวลาหรือสถานที่  ผู้คนจะมีแนวโน้มที่จะหมิ่นประมาทพระเจ้า และพวกเขาอาจจะละทิ้งหนทางที่แท้จริงได้ในทุกขณะและทุกสถานที่  นี่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง  ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นเรื่องนี้ชัดเจนหรือยัง?  ผู้คนต้องรู้จักสิ่งทั้งหลายที่ธรรมชาติของพวกเขาเผยให้เห็น  นี่เป็นเรื่องจริงจังมากที่จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่าผู้คนสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนได้หรือไม่ และเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่าพวกเขาสามารถได้มาซึ่งความรอดจากการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาหรือไม่  ส่วนผู้คนที่เข้าใจความจริงเล็กน้อย หากพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ และหากเมื่อพวกเขาค้นพบปัญหานี้ พวกเขาสามารถตรวจสอบและขุดปัญหานี้ออกมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้  หากพวกเขาไม่ตระหนักว่าพวกเขากำลังเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีหนทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ และพวกเขาทำได้เพียงรอการเปิดโปงของพระเจ้าหรือการเปิดเผยของข้อเท็จจริงเท่านั้น  ผู้คนที่ไม่รักความจริงนั้นไม่ให้คุณค่ากับการตรวจสอบตนเอง  พวกเขาเชื่อเสมอว่าการคิดทบทวนตนเองเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ และจะปล่อยตัวปล่อยใจพลางคิดว่า “ทุกคนก็เป็นอย่างนี้—การพร่ำบ่นเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก  พระเจ้าจะทรงยกโทษสำหรับเรื่องนี้และพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำเรื่องนี้หรอก”  ผู้คนไม่รู้วิธีคิดทบทวนตนเองหรือวิธีแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้เลย  พวกเขาล้วนมีความคิดที่สับสน และเกียจคร้านเป็นพิเศษ รวมทั้งพึ่งพาและโน้มเอียงไปสู่การหลงระเริงในความเพ้อฝัน  พวกเขาปรารถนาว่า “วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างทั่วถึงในตัวพวกเรา แล้วพวกเราก็จะไม่เกียจคร้านอย่างนี้อีกต่อไป พวกเราจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ และพวกเราจะยำเกรงฤทธานุภาพของพระเจ้า”  นี่เป็นสิ่งเพ้อฝันที่คิดฝันขึ้นมา และสิ่งนี้ไม่สมจริงเลย  หากคนคนหนึ่งสามารถเอ่ยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเช่นนี้หลังจากได้ยินคำเทศนามามากมาย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และจนถึงทุกวันนี้พวกเขายังคงไม่เคยเห็นอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร  ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้ความอย่างไม่น่าเชื่อ  ทำไมพระนิเวศของพระเจ้าถึงสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเองและการรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่เสมอ?  นี่สำคัญยิ่งยวดสำหรับทุกคน  หากเจ้าสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าควรจะมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเอง และเจ้าควรจะมีส่วนร่วมในการคิดทบทวนตนเองเป็นประจำ—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง  เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้ากำลังเปิดเผยความเสื่อมทราม เจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและกบฏต่อเนื้อหนังได้หรือไม่?  นี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการปฏิบัติความจริง และเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งยวด  ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า และในทุกสิ่งที่เจ้าทำ หากเจ้าสามารถตระหนักรู้วิธีปฏิบัติในหนทางที่สอดคล้องกับความจริง จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้าที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ และเจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิต  หากเจ้าไม่สามารถรู้จักตนเอง ชีวิตของเจ้าจะสามารถมีความก้าวหน้าได้อย่างไร?  ไม่ว่าเจ้าคิดลบและอ่อนแอเพียงใด หากเจ้าไม่คิดทบทวนตนเองและเริ่มรู้จักตนเอง หรืออธิษฐานถึงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่เพียงพิสูจน์ว่าเจ้าไม่รักความจริง เจ้าไม่ใช่บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้มาซึ่งความจริง

ก่อนหน้านี้บางคนคิดว่า “พวกเราโหยหาการล่มสลายอย่างรวดเร็วของพญานาคใหญ่สีแดงและพวกเราหวังว่าวันแห่งพระเจ้าจะมาโดยเร็ว  สิ่งเหล่านี้มิได้เป็นข้อเรียกร้องที่ถูกทำนองคลองธรรมหรอกหรือ?  การโหยหาให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงในไม่ช้านั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับการโหยหาให้มีการนำพระสิริมาสู่พระเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรอกหรือ?”  พวกเขาหาหนทางที่ฟังรื่นหูอย่างแอบๆ ซ่อนๆ ในการแสดงสิ่งนี้ออกมา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหวังสิ่งเหล่านี้เพื่อตนเองเท่านั้น  พวกเขาจะโหยหาสิ่งใด หากพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง?  ทั้งหมดที่ผู้คนโหยหาก็คือการได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมอันทุกข์ตรมและโลกอันเจ็บปวดนี้โดยเร็ว  มีเฉพาะบางคนที่เห็นสิ่งที่ทรงสัญญาไว้กับบุตรหัวปีของพระเจ้ามาก่อนและพวกเขามีความกระหายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเรื่องนี้  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาอ่านถ้อยคำเหล่านั้น ก็เหมือนกับพวกเขากำลังดับความกระหายด้วยการดูภาพลวงตา  ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวภายในตัวมนุษย์นั้นยังไม่ได้ถูกสละออกไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร เจ้าก็จะทำด้วยหัวใจเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น  ผู้คนจำนวนมากที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงปรารถนาที่จะให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงอยู่เสมอเพื่อที่พวกเขาจะสามารถบรรเทาความทุกข์และเปรมปรีดิ์ในพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  เมื่อวันแห่งพระเจ้าไม่มาถึง พวกเขาก็ปวดแสบปวดร้อน และบางคนตะโกนออกมาว่า “เมื่อใดวันแห่งพระเจ้าจะมาถึง?  ฉันยังไม่ได้แต่งงานเลย ฉันไม่สามารถรอคอยได้อีกต่อไปแล้ว!  ฉันต้องแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของฉัน ฉันไม่สามารถรับได้อีกต่อไปแล้ว!  ฉันยังคงจำเป็นต้องมีลูกเพื่อที่พวกเขาจะสามารถดูแลฉันในยามที่ฉันแก่ชราได้!  วันแห่งพระเจ้าควรจะรีบมาถึงได้แล้ว!  ขอให้เราทุกคนอธิษฐานเพื่อสิ่งนี้ด้วยกัน!”  ผู้คนเหล่านั้นที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถติดตามมาตลอดทางจนถึงตอนนี้โดยไม่บ่นสักคำเดียวได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ได้รับการชี้แนะโดยพระวจนะของพระเจ้า และการเกื้อหนุนโดยพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ?  มีความไม่บริสุทธิ์มากมายภายในตัวผู้คน การที่พวกเขาไม่ยอมรับกระบวนการถลุงจะใช้การได้หรือ?  พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรหากปราศจากความทุกข์?  ผู้คนต้องได้รับการถลุงถึงระดับหนึ่ง และเต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า โดยไม่บ่นอีกแม้สักคำเดียว—นั่นคือตอนที่พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์

บทตัดตอน 46

ในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนนั้นเหมือนกัน นอกเหนือจากพวกปีศาจที่ปรากฏใหม่ในรูปมนุษย์หรือพวกที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าครอง  บางคนชอบศึกษาอยู่ตลอดเวลาว่าผู้คนต่างประเภทกันมีจิตวิญญาณอะไรอยู่ภายในตัวพวกเขา แต่นี่ไม่อยู่กับความเป็นจริง การมุ่งเน้นไปที่สิ่งนี้สามารถนำทางไปสู่การเบี่ยงเบนได้โดยง่าย  บางคนรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติกับจิตวิญญาณของพวกเขาเพราะพวกเขาได้รับประสบการณ์กับบางเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าจิตวิญญาณของพวกเขามีปัญหา เพราะพวกเขาไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ว่าจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งมีปัญหาหรือไม่ ธรรมชาติมนุษย์ก็เหมือนกัน—คือขัดขืนและทรยศพระเจ้า  ขอบข่ายความเสื่อมทรามของผู้คนก็เหมือนกันอย่างมากมายด้วยทีเดียว เช่นเดียวกับความเหมือนกันในธรรมชาติของพวกเขา  บางคนตั้งข้อสงสัยว่ามีบางสิ่งผิดปกติไปในจิตวิญญาณของพวกเขาและประหลาดใจว่า “ฉันทำสิ่งแบบนั้นไปได้ยังไง?  ฉันไม่มีวันจะคิดไปได้เลย?  บางสิ่งผิดปกติกับจิตวิญญาณฉันหรือนี่?”  พวกเขาถึงกับสงสัยว่าพวกเขาได้รับการเลือกสรรโดยพระเจ้าหรือเปล่า และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบมากขึ้นอีก  คนบางคนจับใจความสิ่งทั้งหลายอย่างผ่องแผ้ว และไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใดไป พวกเขาก็เพียงมุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงและการทบทวนตัวเองโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าว่า “ฉันทำสิ่งนี้ไปได้อย่างไร?  ฉันเปิดเผยอุปนิสัยอะไรออกมาหรือนี่?  ธรรมชาติใดควบคุมการนี้?  ฉันสามารถปฏิบัติตนในแนวเดียวกับความจริงได้อย่างไร?”  โดยการทบทวนตนเองแบบนี้ก็ย่อมที่จะเข้าใจความจริงและพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ รวมทั้งสัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง  วิธีการและเส้นทางของทุกคนในการตรวจสอบตนเองนั้นแตกต่างกัน บ้างก็มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงและการรู้จักตนเอง ในขณะที่คนอื่นมุ่งเน้นที่สิ่งทั้งหลายซึ่งคลุมเครือและไม่อยู่กับความเป็นจริง ซึ่งทำให้ลำบากยากเย็นที่จะก้าวหน้าและง่ายแก่การติดอยู่ในความคิดลบ  ถึงตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่า ไม่สำคัญว่าจิตวิญญาณของเจ้าเป็นอะไร ไม่มีใครสามารถมองเห็นหรือสัมผัสสิ่งทั้งหลายของจิตวิญญาณ ดังนั้นการให้ความสนใจกับการนี้มากเกินไปมีแต่จะไปขวางทางสิ่งทั้งหลาย  สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะต้องมุ่งเน้นก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์ซึ่งสัมพันธ์กับการมีวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คน และถ้าเจ้าสามารถมีวิจารณญาณเกี่ยวกับแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถมีวิจารณญาณเกี่ยวกับตัวผู้คนเหล่านั้นเอง  การมองเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งใดมีอยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของคนเรา อุปนิสัยเสื่อมทรามใดที่สามารถถูกเปิดเผยออกมา และแง่มุมใดของความจริงที่จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะหาทางแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านั้น—นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมุ่งเน้นเมื่อเชื่อในพระเจ้า  โดยการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้เท่านั้น คนเราจึงสามารถได้รับความจริงและชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาออกไปได้  ว่าแต่จะรู้จักตัวเองได้อย่างไรหรือ?  จะรู้จักธรรมชาติของตัวคนคนหนึ่งเองอย่างไรหรือ?  คนเราสามารถมองเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาตามอุปนิสัยที่พวกเขาเปิดเผยผ่านการกระทำของพวกเขา ดังนั้นกุญแจสำคัญสู่การรู้จักตัวเองก็คือการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง  โดยผ่านทางการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองเท่านั้น ที่คนเราจะสามารถเข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาได้ และการมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างชัดเจนก็คือการที่เข้าใจตัวเองอย่างถ้วนทั่ว  การรู้จักตนเองเป็นกิจที่ลุ่มลึก และกุญแจสำคัญสู่การที่ใครบางคนสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้น อยู่ที่ว่าพวกเขารู้จักตนเองแค่ไหน  เมื่อใครบางคนรู้จักตัวเองจริงๆ เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง ยอมรับความจริงได้อย่างง่ายดาย และก้าวไปบนเส้นทางสู่ความรอด  เป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านั้นซึ่งไม่รู้จักตนเองจะยอมรับความจริง นับประสาอะไรที่จะกลับใจอย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้นประเด็นปัญหาที่เป็นหัวใจสำคัญเลยก็คือการเข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวคนเราเอง  จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าความมีจิตวิญญาณที่เทียมเท็จโดยเด็ดขาด การมุ่งเน้นอยู่เสมอว่าจิตวิญญาณใครคนหนึ่งคืออะไรนั้นทำให้เกิดการเบี่ยงเบนได้โดยง่าย และทำอันตรายหรือทำให้ผู้คนหลงผิด  การที่ผู้คนมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเอง การเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และการมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์อย่างชัดเจนนั้นเป็นการอยู่กับความเป็นจริง และทั้งหมดนี้จะเป็นข้อได้เปรียบต่อการหาทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และต่อผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและการบรรลุความรอดของพระเจ้า

ภายหลังการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน โดยทั่วไปแล้ว แก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์ก็เป็นเหมือนกันโดยมีความแตกต่างเล็กน้อยเท่านั้น  นี่เป็นเพราะทุกคนมีบรรพบุรุษเดียวกัน ดำรงชีวิตอยู่ในโลกเดียวกัน และได้รับประสบการณ์กับการทำให้เสื่อมทรามเหมือนกัน  พวกเขาล้วนมีสิ่งที่เหมือนกันโดยทั่วไป  กระนั้นคนบางคนก็มีความสามารถในการทำสิ่งประเภทหนึ่งในสภาพแวดล้อมหนึ่ง และคนบางคนก็มีความสามารถในการทำสิ่งอีกประเภทในอีกสภาพแวดล้อม คนบางคนมีวัฒนธรรม ได้รับการศึกษาอยู่บ้าง และคนบางคนก็ไม่มีวัฒนธรรม ไม่ได้รับการศึกษา คนบางคนมีทัศนะประเภทหนึ่งต่อสิ่งทั้งหลาย คนอื่นๆ มีทัศนะอีกประเภทต่อสิ่งทั้งหลาย บางคนดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมประเภทหนึ่ง และบางคนดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมอีกประเภท และพวกเขาก็มีขนบธรรมเนียมที่ตกทอดมาและนิสัยการใช้ชีวิตที่ต่างกัน  อย่างไรก็ดีแก่นแท้ของสิ่งทั้งหลายที่ถูกเปิดเผยในธรรมชาติของมนุษย์ล้วนเหมือนกัน  ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับเจ้าที่ต้องวุ่นวายกังวลอยู่เสมอว่าเจ้ามีจิตวิญญาณประเภทใด และวิตกอยู่เสมอว่านั่นเป็นวิญญาณชั่ว  นี่เป็นบางสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึง พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ได้ และก็คงจะไม่มีประโยชน์สำหรับมนุษย์ที่จะรู้ต่อให้พวกเขาสามารถทำได้  ไม่มีประโยชน์ในการที่ต้องการเสมอที่จะชำแหละหรือพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับจิตวิญญาณของคนเรา  นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนซึ่งหัวทึบและไม่รู้ความที่สุดทำกัน  จงอย่าสงสัยในตัวเองเมื่อเจ้าทำบางสิ่งผิดไปหรือฝ่าฝืนในบางหนทาง โดยพูดว่า “มีอะไรผิดปกติกับจิตวิญญาณของฉันหรือนี่?  นี่เป็นการทำงานของวิญญาณชั่วหรือเปล่า?  ฉันทำสิ่งไร้สาระน่าขันแบบนั้นไปได้ยังไง?”  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำอะไร เจ้าควรมองที่ธรรมชาติของเจ้าเพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหา และแสวงหาความจริงทั้งหลายที่ผู้คนควรเข้าสู่  หากเจ้าตรวจสอบจิตวิญญาณของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะมีอันคว้าน้ำเหลว—ต่อให้เจ้าเริ่มรู้ว่าเจ้ามีจิตวิญญาณประเภทใดในตัวเจ้า เจ้าก็ยังจะไม่สามารถรู้จักธรรมชาติของตัวเจ้าเองและไม่สามารถที่จะหาทางแก้ปัญหาของเจ้า  เพราะฉะนั้น คนบางคนพูดอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่พวกเขามี ราวกับว่าพวกเขาเป็นฝ่ายวิญญาณหรือเป็นมืออาชีพเป็นพิเศษ ในเมื่อโดยข้อเท็จจริงแล้วพวกเขาโง่และเป็นมือสมัครเล่นเสียมากกว่า  คนบางคนพูดจาไปในฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษ โดยคิดว่าคำพูดที่เขาพูดนั้นลุ่มลึกยิ่งนัก และผู้คนธรรมดาจะไม่เข้าใจพวกเขา  พวกเขาพูดว่า “เป็นการสำคัญยิ่งที่พวกเราตรวจสอบว่าจิตวิญญาณของพวกเราเป็นอะไร  ถ้าพวกเราไม่มีจิตวิญญาณแบบมนุษย์ เช่นนั้นแล้วแม้ว่าพวกเราอาจเชื่อในพระเจ้า พวกเราก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  จงอย่าปล่อยให้พระเจ้าเกิดความเหนื่อยหน่ายในตัวพวกเราขึ้นมา”  คนบางคนกลายเป็นถูกวางยาและถูกหลอกลวงเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ โดยรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าคำพูดเหล่านี้มีเหตุผล และเริ่มตรวจสอบว่าพวกเขามีจิตวิญญาณประเภทใด  เหตุเพราะพวกเขาให้ความใส่ใจเป็นพิเศษเช่นนั้นต่อจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาเริ่มเป็นโรคประสาท ตรวจสอบจิตวิญญาณของพวกเขาในยามที่ทำสิ่งใดก็ตาม และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ค้นพบปัญหา “ทำไมฉันถึงขัดกับความจริงในทุกสิ่งที่ฉันทำ?  ทำไมฉันจึงไม่มีแม้แต่ความเป็นมนุษย์หรือสำนึกแม้สักเสี้ยว?  ฉันต้องเป็นวิญญาณชั่วแน่เลย?”  ในข้อเท็จจริงนั้น ด้วยธรรมชาติที่ไม่ดีและปราศจากความจริง มนุษย์สามารถทำสิ่งใดที่ตรงกับความจริงได้หรือไม่?  ไม่สำคัญว่าการกระทำของพวกเขาดีแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงไม่ได้กำลังนำความจริงมาปฏิบัติ และยังคงเป็นอริต่อพระเจ้า  ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและดำเนินการ พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์ พวกเขากบฏต่อพระเจ้าและขัดขืนพระองค์อย่างถึงที่สุด และอยู่ห่างไกลพระเจ้ามากเสียจนเป็นไปได้ที่พวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ตามที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดเลยในธรรมชาติโดยกำเนิดของมนุษย์ที่เข้ากันได้กับพระเจ้า  ทั้งหมดนี้ล้วนเห็นได้ชัด

คนบางคนอ่อนไหวเกินไปเสมอและเน้นความสำคัญของการที่ว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ หรือพวกเขามีจิตวิญญาณชนิดใด โดยที่ตลอดเวลาก็ไม่คำนึงถึงเรื่องของการทำความเข้าใจธรรมชาติของพวกเขา  นี่ก็เหมือนการสนใจรายละเอียดหยุมหยิมจนเสียสิ่งที่สำคัญกว่าไป  นั่นไม่โง่หรอกหรือกับการที่ฉวยคว้าสิ่งลวงตาในขณะที่ละเลยสิ่งซึ่งเป็นจริง?  ในหลายปีของการศึกษาเหล่านี้ เจ้าได้เข้าใจสิ่งทั้งหลายของจิตวิญญาณ หรือเรื่องทั้งหลายของดวงจิตอย่างถ้วนทั่วหรือไม่?  เจ้าได้เห็นหรือไม่ว่าจิตวิญญาณของเจ้าเหมือนสิ่งใด?  หากเจ้าไม่ขุดคุ้ยเข้าไปในเนื้อในของแก่นแท้ธรรมชาติซึ่งอยู่ลึกลงไปในดวงจิตของเจ้า และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับศึกษาจิตวิญญาณของเจ้าอยู่เสมอ การศึกษาของเจ้าจะสร้างผลลัพธ์ใดออกมาหรือไม่?  นี่ไม่เหมือนกับคนตาบอดกำลังจุดเทียนและสิ้นเปลืองขี้ผึ้งไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?  เจ้าไม่พิจารณาไตร่ตรองถึงความลำบากยากเย็นจริงของเจ้า และเจ้าก็ไม่คิดเกี่ยวกับวิธีที่จะแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้นได้ เจ้านำเอาวิธีการที่คดโกงมาใช้เสมอ และครุ่นคิดพิจารณาเสมอเกี่ยวกับประเภทของจิตวิญญาณที่เจ้ามี ว่าแต่นี่แก้ปัญหาใดได้หรือ?  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่เคยทำงานที่ซื่อสัตย์ แต่กลับศึกษาจิตวิญญาณของเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลที่โง่ที่สุด  ผู้คนที่มีเชาว์ปัญญาอย่างแท้จริงมีท่าทีดังต่อไปนี้ “ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำอะไร หรือพระองค์ทรงปฏิบัติกับฉันยังไง ไม่สำคัญว่าฉันเสื่อมทรามลึกล้ำเพียงใด หรือภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันนั้นเหมือนอะไร ฉันก็จะไม่หันเหในความมุ่งมั่นของฉันที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้า”  คนเราสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาและลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในการสนองน้ำพระทัยพระเจ้าได้ก็โดยการรู้จักพระเจ้าเท่านั้น นี่คือทิศทางสำหรับชีวิตมนุษย์ นี่คือสิ่งที่พวกมนุษย์ควรจะเสาะแสวงที่จะสัมฤทธิ์ และนี่คือเส้นทางหนึ่งเดียวที่ไปสู่ความรอด  ตอนนี้ความเป็นจริงก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง การรู้จักธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง การเข้าใจความจริงเพื่อจะเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และการมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจนถึงความพึงพอพระทัยของพระเจ้า  การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของบุคคลที่จริงแท้—นี่คือความเป็นจริง  ความเป็นจริงก็คือการรักพระเจ้า การนบนอบต่อพระเจ้าและการเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  เหล่านี้คือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์  ไม่มีประโยชน์ที่จะค้นคว้าวิจัยสิ่งทั้งหลายที่ไม่สามารถสัมผัสและมองเห็นได้  สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นจริง และไม่เกี่ยวอะไรกับผลของพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  เนื่องจากตอนนี้เจ้าดำรงอยู่ในร่างฝ่ายกายภาพ เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความเข้าใจความจริง การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า  เหล่านี้คือสรรพสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่สามารถสัมฤทธิ์ได้

คนบางคนมีงานของพวกวิญญาณชั่วอย่างเห็นได้ชัดและอาจจะถูกวิญญาณชั่วเหล่านั้นเข้าครอบงำ  ใครบางคนที่เป็นแบบนี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  การนี้พูดยาก และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาปฏิบัติตนแบบมีเหตุผลหรือมีสภาวะจิตใจที่ปกติหรือไม่  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่  หากพวกเขาไม่สามารถบรรจบกับเกณฑ์นี้ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางที่พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดเลย  บัดนี้พวกเจ้าล้วนมีเหตุผลที่เป็นปกติ พูดจาปกติ และยังไม่ได้รับประสบการณ์กับปรากฏการณ์ใดที่ผิดปกติหรือเหนือธรรมชาติ  ในขณะที่บางคราวสภาวะของเจ้านั้นผิดปกติเล็กน้อย และบางหนทางของเจ้าในการทำสิ่งทั้งหลายนั้นผิด เหล่านี้ล้วนเป็นการเปิดเผยของธรรมชาติมนุษย์  ในข้อเท็จจริงนั้น นี่ก็เป็นเหมือนกันสำหรับผู้คนอื่น—ก็แค่ต่างกันที่ภูมิหลังและช่วงเวลาของการเปิดเผยของพวกเขา  ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเจ้ามีวุฒิภาวะเล็กน้อย และหลังจากได้ยินคนอื่นพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายและถ้อยแถลงทั้งหลายเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เจ้าก็เลียนแบบและทำตามไป ราวกับว่าตัวเจ้าเองเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณเป็นอย่างดีและเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งทีเดียว  พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้และทรงควบคุมเรื่องทั้งหลายของโลกวิญญาณ และหากผู้คนสามารถเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยจากพระวจนะของพระองค์ นั่นก็ดีพอแล้ว ดังนั้นใครเล่าจะสามารถเข้าใจโลกวิญญาณได้อย่างทั่วถึง?  ไม่ง่ายหรอกหรือที่จะหลงออกนอกลู่นอกทางด้วยการที่ตริตรองสิ่งต่างๆ ดังกล่าวอยู่เสมอ?  ทุกวันนี้ผู้คนล้วนมีสภาวะนี้อยู่ในตัวพวกเขา  แม้เจ้าอาจไม่ได้กำลังหารือเรื่องเหล่านี้กันอย่างจริงจังอยู่เสมอ และเจ้าอาจไม่กลายเป็นอ่อนแอและตกต่ำลงไปเพราะเรื่องเหล่านี้ แต่คำพูดเหล่านั้นของผู้อื่นก็ยังคงสามารถส่งผลต่อเจ้าชั่วคราวได้อยู่ดี  แม้ว่าเจ้าอาจไม่ใส่ใจมากนักต่อเรื่องประเภทนี้ เจ้าก็ยังคงอ่อนไหวที่จะเอนไปสู่การมุ่งเน้นสิ่งทั้งหลายเกี่ยวกับจิตวิญญาณในหัวใจเจ้า และหากมาถึงวันที่เจ้าทำบางสิ่งผิดไปจริง ทุกข์ทนกับความพลาดพลั้งและสะดุดล้ม เช่นนั้นเจ้าก็ควรกังขาในตนเองโดยพูดว่า “จิตวิญญาณของฉันผิดปกติด้วยเหมือนกันหรือนี่?”  โดยปกติเจ้าไม่เคยกังขา และคิดว่าผู้อื่นไร้เหตุผลเมื่อเจ้าเห็นพวกเขาจมปลักอยู่ในความกังขา  แต่หากมาถึงวันที่เจ้าถูกจัดการ หรือใครอื่นบางคนพูดว่าเจ้าเป็นซาตาน หรือว่าเจ้าเป็นวิญญาณชั่ว เช่นนั้นเจ้าก็จะเชื่อคำพูดนั้น และเจ้าก็จะกลายเป็นจมปลักอยู่ในความกังขา ไม่สามารถแกะตัวเองออกมาได้เหมือนพวกเขาไม่มีผิด  ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้คนส่วนใหญ่อ่อนไหวที่จะถูกกระทบจากปัญหานี้ โดยมองเรื่องทั้งหลายของจิตวิญญาณว่าสำคัญอย่างเหลือเชื่อ และละเลยต่อเรื่องอย่างการทำความเข้าใจธรรมชาติหรือการเข้าสู่ชีวิตของตัวพวกเขาเอง  นี่ทำให้พวกเขาแยกห่างไปจากความเป็นจริงอย่างถึงที่สุด และนี่คือการเบี่ยงเบนทางประสบการณ์

พวกเจ้าทุกคนควรใส่ใจที่จะรู้จักธรรมชาติของเจ้าเอง และรู้ว่าแง่มุมใดของธรรมชาติของเจ้าที่สามารถเป็นเหตุให้เจ้าทำสิ่งที่ผิดหรือออกนอกลู่นอกทางได้โดยง่าย และเจ้าก็ควรสรุปประสบการณ์และบทเรียนไปบนพื้นฐานนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการทำงานรับใช้ ประสบการณ์ชีวิต และการรู้จักธรรมชาติของเจ้าเองนั้น เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจสภาวะของเจ้าเองและเติบโตในทิศทางที่ถูกต้องได้ก็โดยการค่อยๆ พัฒนาความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าสามารถมีแง่มุมเหล่านี้ของความจริง และทำให้แง่มุมเหล่านี้เป็นชีวิตภายในของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะมั่นคงขึ้นมากมาย ไม่ให้ข้อคิดแบบตามอำเภอใจและไร้ความรับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เข้าใจอีกต่อไป มุ่งเน้นความเป็นจริงของคำพูดเจ้า และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง  เมื่อผู้คนได้รับความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเอง และความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นพวกเขาก็จะพูดด้วยสำนึกแห่งความถูกควร และจะไม่พูดไปตามอำเภอใจอีกต่อไป  พวกที่ปราศจากความจริงนั้นมักสับสนมึนงงอยู่เสมอ และพวกเขากล้าดีที่จะพูดอะไรก็ได้ มีกระทั่งคนบางคนที่ไม่ลังเลที่จะติดตามผู้คนเคร่งศาสนาและพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการได้รับผู้คนมากขึ้นเล็กน้อยขณะที่พวกเขากำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเขาไม่มีแนวคิดเลยว่าพวกเขาเป็นอะไร และไม่มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับธรรมชาติของตัวพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า  คนบางคนเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ว่าแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงหรือ?  เมื่อถึงวันหนึ่งที่พวกเขาระลึกได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานั้น พวกเขาก็จะเกิดกลัวขึ้นมา  ช่างเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักที่ทำไปแบบนี้!  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของเรื่องนี้ และพวกเขาถึงกับคิดว่าตัวเองช่างมีปัญญายิ่งนัก และคิดว่าพวกเขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่าพวกเขาล่วงเกินพระเจ้า รวมทั้งไม่ตระหนักรู้ว่าพวกเขาจะถูกทำให้พินาศอย่างไร  ไม่มีผลที่เป็นสาระอันใดเลยสำหรับเจ้าที่จะเข้าใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนรกหรือโลกวิญญาณหากเจ้าไม่รู้จักธรรมชาติของตัวเอง  กุญแจสำคัญตอนนี้คือต้องแก้ไขความลำบากยากเย็นของการรู้จักตนเอง และการรู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตัวเอง  เจ้าต้องจับความเข้าใจทุกๆ สภาวะที่แก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าเปิดเผยออกมา—หากเจ้าไม่สามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วความเข้าใจอื่นก็ไร้ประโยชน์ ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ ไม่สำคัญว่าเจ้าชำแหละตัวเองมากเท่าไรเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ามีจิตวิญญาณและดวงจิตประเภทใด  กุญแจสำคัญที่จะจับความเข้าใจสิ่งนานาสารพันในธรรมชาติของเจ้าซึ่งดำรงอยู่ในตัวเจ้าตามจริง  ตอนนี้ไม่สำคัญว่าจิตวิญญาณใดอยู่ภายในตัวเจ้า บัดนี้เจ้าเป็นบุคคลที่มีการคิดที่เป็นปกติ ดังนั้นเจ้าควรไล่ตามเสาะหาความเข้าใจและการยอมรับความจริง  หากเจ้าสามารถเข้าใจความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติตนไปตามความจริง—นี่คือหน้าที่ของมนุษย์  การพิจารณาไตร่ตรองเรื่องของจิตวิญญาณนั้นก็แค่ไม่มีประโยชน์เลยสำหรับเจ้าเท่านั้นเอง รวมทั้งไม่มีผลที่เป็นสาระอันใดรวมทั้งไม่มีผลประโยชน์พลอยได้  ทุกวันนี้ผู้คนที่มีงานของวิญญาณชั่วกำลังถูกเปิดเผยที่คริสตจักรทั่วไปหมด  ผู้คนเหล่านี้ยังคงมีหวังหากพวกเขาสามารถจับใจความความจริงได้ แต่หากพวกเขาไม่สามารถจับใจความหรือยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถถูกชำระออกไป  หากคนคนหนึ่งสามารถจับใจความความจริงได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงมีเหตุผลที่เป็นปกติ และหากพวกเขาเข้าใจความจริงมากขึ้น เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะไม่สามารถหลอกลวงหรือควบคุมพวกเขาได้ และมีความหวังที่พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด  หากพวกเขาถูกพวกปีศาจเข้าครอง และในเวลาส่วนมาก เหตุผลของพวกเขานั้นไม่เป็นปกติมากนัก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จบเห่โดยบริบูรณ์และต้องถูกชำระออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการนำมาซึ่งความเดือดร้อน  สำหรับใครก็ตามที่มีเหตุผลที่ค่อนข้างเป็นปกติ ไม่สำคัญว่าพวกเขามีจิตวิญญาณใดอยู่ภายใน ตราบที่พวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเล็กน้อย และพวกเขาสามารถเข้าใจและยอมรับความจริงได้ พวกเขาก็มีความหวังสำหรับความรอด  ถึงแม้มนุษย์อาจจะไม่มีปฏิภาณที่จะยอมรับความจริง แต่หากคนเราฟังคำเทศนาอย่างมีประสิทธิผล สามารถเข้าใจและจับใจความเมื่อสามัคคีธรรมถึงความจริง และมีการคิดที่เป็นปกติและไม่ไร้เหตุผล เช่นนั้นพวกเขาก็มีความหวังของการสัมฤทธิ์ความรอด  แต่เรากลัวว่าจะมีผู้คนที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หรือไม่เข้าใจคำพูดมนุษย์ และผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจไม่ว่าผู้อื่นจะสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขาอย่างไร ผู้คนเหล่านี้ก็สร้างความเดือดร้อนและไม่สามารถทำงานเป็นคนปรนนิบัติได้ด้วยซ้ำ  ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรมุ่งเน้นที่ความจริงและการไล่ตามเสาะหาความจริงของตัวเอง  พวกเขาไม่ควรยังคงมุ่งเน้นที่การพูดถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณ  นี่ไร้เหตุผลและไร้สาระน่าขัน  กุญแจสำคัญตอนนี้อยู่ที่ว่า ใครบางคนสามารถยอมรับความจริง เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงทั้งหลายได้หรือไม่  นี่คือกุญแจสำคัญ แต่การที่คนเราสามารถรู้จักตัวเองและทบทวนตัวเองได้หรือไม่ และการที่พวกเขาเป็นใครบางคนที่เข้าใจธรรมชาติของตัวเองหรือไม่นั้นสำคัญขั้นวิกฤติที่สุด!  ไม่มีความหมายและไม่คุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะศึกษาว่าจิตวิญญาณของเจ้าเองเป็นอะไร  หากตลอดเวลาเจ้าเอาแต่ศึกษาสิ่งต่างๆ อย่างเช่น จิตวิญญาณของตัวเจ้าเองคืออะไร กำลังเกิดอะไรขึ้นกับดวงจิตของเจ้า จิตวิญญาณของเจ้ามีอะไร จิตวิญญาณของเจ้าเป็นระดับสูงหรือระดับต่ำ เจ้ากลับมาปรากฏในรูปมนุษย์ใหม่จากจิตวิญญาณใด เจ้าได้มาแล้วกี่ครั้งก่อนหน้านี้ จุดจบในท้ายที่สุดของเจ้าจะเป็นอะไร หรืออนาคตจะเป็นอย่างไร—การศึกษาสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอจะแทรกแซงเรื่องสำคัญทั้งหลาย  ต่อให้เจ้าศึกษาสิ่งเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน เมื่อถึงวันหนึ่งที่ผู้อื่นเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงทั้งหลาย เจ้าจะไม่มีอะไรเลย  เจ้าจะได้แทรกแซงเรื่องสำคัญทั้งหลายและหาเรื่องใส่ตัวเอง  เจ้าจะได้ใช้เส้นทางผิดและเชื่อในพระเจ้าอย่างสูญเปล่า  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะติเตียนใครเล่า?  ไม่มีประโยชน์ที่จะติเตียนใคร ทั้งหมดมีเหตุมาจากความไม่รู้ความของตัวเจ้าเอง

บทตัดตอน 47

ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าควรติดตามพระเจ้าและเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  แท้จริงแล้วการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้าล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร?  เป็นเรื่องของการประกาศตัดขาดบางสิ่ง สามารถสละตนเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์เล็กน้อย และติดตามพระเจ้าไปจนสุดทางเท่านั้นหรือ?  คนเราสามารถได้รับความจริงโดยการติดตามพระเจ้าในหนทางนี้กระนั้นหรือ?  คนเราจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่?  ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ชัดเจนหรือไม่?  บางคนนึกว่าเมื่อคนคนหนึ่งมีประสบการณ์กับการถูกพิพากษา ตีสอน และตัดแต่ง หรือหลังจากที่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเผยตัวออกมา จุดจบของพวกเขาย่อมถูกกำหนด และพวกเขาก็ถูกลิขิตให้หมดหวังที่จะได้รับความรอด  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาลังเลอยู่ตรงทางแยก ไม่รู้ว่าจะเดินไปบนเส้นทางข้างหน้าอย่างไร  นี่หมายความว่าพวกเขายังคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?  ผู้ที่มีข้อกังขาในพระราชกิจของพระเจ้าและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้มนุษย์นั้นมีความเชื่อที่แท้จริงบ้างหรือไม่?  ปกติแล้ว เมื่อบางคนยังไม่ได้รับการตัดแต่ง และยังไม่ได้ทนทุกข์กับเรื่องติดขัดอันใด พวกเขาย่อมรู้สึกว่าพวกเขาควรไล่ตามเสาะหาความจริงและทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าในความเชื่อของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาพบเจอเรื่องเลวร้ายบ้างหรือมีความลำบากยากเย็นอันใดเกิดขึ้น ธรรมชาติอันทรยศของพวกเขาซึ่งไม่น่ามองก็เผยตัวออกมา  หลังจากนั้นพวกเขาก็รู้สึกเช่นกันว่าธรรมชาตินั้นน่าเกลียด และในที่สุดก็ลงความเห็นเรื่องจุดจบของตนเองว่า “ทุกอย่างจบสิ้นแล้วสำหรับฉัน!  หากฉันสามารถทำอะไรเช่นนั้นได้ นั่นย่อมหมายความว่าฉันจบสิ้นแล้วมิใช่หรือ?  พระเจ้าจะไม่มีวันช่วยฉันให้รอด”  ผู้คนมากมายอยู่ในสภาวะเช่นนี้  อาจพูดได้กระทั่งว่าทุกคนก็เป็นเช่นนี้  เหตุใดผู้คนจึงวินิจฉัยเรื่องของตัวเองแบบนี้?  นี่พิสูจน์ว่าพวกเขายังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  การถูกตัดแต่งเพียงครั้งเดียวสามารถพาให้เจ้าคิดลบอยู่นาน ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ จนถึงขอบข่ายที่เจ้าอาจถึงกับเลิกล้มหน้าที่ของเจ้า ถึงขั้นที่แค่ฉากเหตุการณ์เล็กๆ ก็สามารถทำให้เจ้าตกใจกลัวจนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และติดอยู่กับที่  ราวกับว่าผู้คนมีใจกระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนไร้ข้อตำหนิและปราศจากมลทินเท่านั้น กระนั้นเมื่อพวกเขาพบว่าตนเสื่อมทรามมากเกินไป พวกเขาก็ไม่มีใจจะไล่ตามเสาะหาความจริงต่อไป  ผู้คนมากมายได้กล่าวคำพูดที่ขุ่นข้องและคิดลบเช่น “มันจบเห่แล้วอย่างสิ้นเชิงสำหรับฉัน พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด  ต่อให้พระเจ้าทรงยกโทษให้ฉัน ฉันก็ยกโทษให้ตัวเองไม่ได้ ฉันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้”  ผู้คนไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์  ในข้อเท็จจริงนั้น เป็นธรรมดาที่บางครั้งผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามบางอย่างออกมาตลอดประสบการณ์ของพวกเขา หรือปฏิบัติตนในลักษณะที่ปลอมปน หรือขาดความรับผิดชอบ หรือสุกเอาเผากินและปราศจากความจงรักภักดี  นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่เป็นกฎที่ไม่มีการผ่อนผัน  หากไม่ใช่เพราะการเปิดเผยเหล่านี้ เหตุใดเล่าพวกเขาจึงจะถูกเรียกว่ามนุษย์ผู้เสื่อมทราม?  หากมนุษย์ไม่เสื่อมทราม เช่นนั้นพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าก็ย่อมไร้ความหมาย  ปัญหาตอนนี้ก็คือว่า เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริงหรือเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง และเพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสภาวะของตนเองได้อย่างชัดเจน พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะแห่งการเปิดโปงและการพิพากษาของพระองค์เพื่อให้มองเห็นความสว่าง  หาไม่แล้วพวกเขาก็จะยังคงอยู่ในความด้านชาและปัญญาทึบ  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจในหนทางนี้ ผู้คนก็คงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ไม่สำคัญว่าเป็นความลำบากยากเย็นอะไรที่เกิดแก่พวกเจ้าในทุกระยะ เราจะสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริง จัดเตรียมความชัดเจนและการนำทาง และตราบที่พวกเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว  ไม่เช่นนั้น ผู้คนก็จะหันเหไปสุดขั้วเสมอ  พวกเขาจะมุ่งลงไปตามเส้นทางตันเสมอ ขาดหนทางไปต่อ และพวกเขาก็วินิจฉัยตัดสินตนเองไปพลางขณะเดินไป  ยามที่ผู้คนแค่กำลังเริ่มต้นรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขายังไม่เข้าใจตัวเอง  และหลังจากล้มเหลวและถูกเปิดเผยหลายครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินชี้ขาดตนเอง  พวกเขาพูดว่า “ฉันเป็นปีศาจ ฉันเป็นซาตาน!  มันจบสิ้นแล้วสำหรับฉัน  ฉันไม่มีโอกาสแล้วที่จะมีวันได้รับการช่วยให้รอด  ฉันมันเกินกว่าจะช่วยให้รอด”  ผู้คนเปราะปรางเกินไปจริงๆ และค่อนข้างยากที่จะรับมือด้วย และพวกเขาจะหันเหไปสุดขั้วขณะเดินไป  เมื่อผู้คนไม่อาจมองเห็นว่าความเสื่อมทรามของตนดิ่ง ว่าตนเองเป็นปีศาจ พวกเขาก็กลายเป็นโอหังและคิดว่าตนเองถูก พวกเขาเชื่อว่าตนเองสู้ทนความยากลำบากมานับไม่ถ้วน เป็นผู้คนที่รักพระเจ้า และมีคุณวุฒิที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนตระหนักถึงห้วงลึกของความเสื่อมทรามของตน ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนมนุษย์ แต่เป็นปีศาจและซาตาน พวกเขาทิ้งให้ตัวเองอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวังและรู้สึกราวกับว่าพวกเขาเกินกว่าจะหวังเสียแล้ว ว่าพวกเขาต้องถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ เปิดเผยและขับออกแล้ว  ผู้คนโอหังและคิดว่าตนเองถูกยามที่พวกเขาไม่เข้าใจตัวเอง แล้วพวกเขาก็ทิ้งให้ตัวเองอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวังยามที่พวกเขาเป็นเช่นนั้น  นั่นคือการที่ผู้คนช่างลำบากยากเย็นและเดือดร้อนเพียงใด  หากพวกเขายอมรับความจริงได้ หากวันหนึ่งพวกเขาเริ่มเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจะพูดว่า “ฉันเสื่อมทรามลึกแบบนี้มาตลอด และสุดท้ายฉันก็ได้ระลึกรู้ถึงมัน  โชคดีที่พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอด และตอนนี้ฉันสามารถมองเห็นชีวิตที่สดใส และสามารถเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต  ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไรดี”  นั่นเหมือนการตื่นขึ้นมาจากความฝันและมองเห็นความสว่าง  พวกเขาได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ควรสรรเสริญพระเจ้าหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนไม่เข้าใจตนเองแม้กระทั่งยามที่ความตายใกล้เข้ามา  พวกเขายังคงโอหังและไม่อาจยอมรับการเปิดเผยของข้อเท็จจริงได้  พวกเขารู้สึกว่าตนเองดีพอสมควรทีเดียว “ฉันเป็นคนดี ฉันทำแบบนั้นไปได้ยังไง?”  นั่นดูราวกับว่าพวกเขาถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม  คนบางคนก้าวผ่านพระราชกิจของพระเจ้ามาหลายปี แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจธรรมชาติของตัวเอง  พวกเขาคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนดี และทำความผิดไปในชั่วขณะที่สับสน และกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อพวกเขาถูกขับออก พวกเขาก็ไม่นบนอบ  บุคคลประเภทนี้โอหังและไม่รู้ความมากเกินไป และก็แค่ไม่ยอมรับความจริง  พวกเขาจะไม่มีวันสามารถแปรเปลี่ยนและกลายเป็นมนุษย์ได้  จากการนี้ พวกเจ้าพบได้ว่า แม้ธรรมชาติของผู้คนมีการขัดขืนและทรยศต่อพระเจ้า แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ในธรรมชาติของพวกเขา  การนี้พึงต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของผู้คน

ภายในธรรมชาติของผู้คน มีลักษณะนิสัยซึ่งเหมือนกันบางอย่างที่ต้องได้รับความเข้าใจ  ผู้คนล้วนมีความสามารถในการทรยศพระเจ้า—นี่เป็นลักษณะนิสัยซึ่งเหมือนกัน—อย่างไรก็ตาม แต่ละปัจเจกบุคคลมีความอ่อนแอที่ทำให้ถึงตายได้เป็นของตนเอง  บางคนรักอำนาจ คนอื่นรักสถานะ บ้างก็บูชาเงินตรา ในขณะที่คนอื่นบูชาความยินดีทางวัตถุ  เหล่านี้คือความแตกต่างในธรรมชาติของผู้คน  คนบางคนสามารถตั้งมั่นทั้งที่ต้องสู้ทนความยากลำบากมากมายหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า ในขณะที่คนอื่นกลายเป็นคิดลบและไม่อาจตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับความยากลำบากเล็กน้อย  แล้วเหตุใดจึงเป็นว่า ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่เชื่อในพระเจ้าและทั้งคู่ก็กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ปฏิกิริยาของพวกเขากลับต่างกันไปเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดแก่ตน?  นี่แสดงให้เห็นตัวอย่างว่า แม้มนุษย์ผู้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งล้วนมีธรรมชาติของซาตาน แต่คุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ต่างกันออกไป  บางคนชิงชังและเกลียดความจริง ขณะที่คนอื่นๆ สามารถรักและยอมรับความจริงได้  การแสดงออกของอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนบางคนรุนแรงกว่า ในขณะที่ของคนอื่นเบากว่านั้น  คนบางคนใจดีกว่าเล็กน้อย ขณะที่คนอื่นเลวร้ายมาก  แม้วาจา พฤติกรรม และการสำแดงทั้งหลายของพวกเขาอาจต่างกัน แต่อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามนุษย์เสื่อมทรามที่เป็นของซาตาน  นี่คือลักษณะนิสัยที่เหมือนกันระหว่างทั้งคู่  ธรรมชาติของบุคคลกำหนดว่าพวกเขาเป็นใคร  ในขณะที่ระหว่างบุคคลมีคุณสมบัติที่มีร่วมกันในแง่ของธรรมชาติของพวกเขา แต่ละปัจเจกบุคคลก็ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างแตกต่างกันไปตามแก่นแท้ของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ตัณหาชั่วเป็นลักษณะนิสัยที่มีร่วมกันในผู้คนทั้งมวล  ทุกคนมีสิ่งเหล่านี้และไม่สามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย  อย่างไรก็ตาม คนบางคนมีความโน้มเอียงที่รุนแรงเป็นพิเศษในเรื่องนี้  เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเช่นนี้เผชิญหน้ากับการทดลองทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเพศตรงข้าม พวกเขาก็ยอมจำนนต่อการทดลองเหล่านั้น  หัวใจของพวกเขาก็กลายเป็นถูกครอบงำและตกลงไปในการทดลอง พวกเขาพร้อมที่จะแล่นเตลิดไปกับอีกบุคคลหนึ่งได้ทุกเวลาและทรยศพระเจ้า  ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ผู้คนเหล่านี้มีธรรมชาติชั่ว  เมื่อคนบางคนเผชิญสิ่งประเภทนี้ ต่อให้พวกเขาแสดงให้เห็นความอ่อนแอเล็กน้อย หรือเผยตัณหาชั่วออกมาบ้าง พวกเขาจะไม่ทำสิ่งใดออกนอกกรอบ  พวกเขามีความสามารถที่จะหักห้ามและหลบลี้จากสถานการณ์ประเภทนี้ พวกเขาสามารถกบฏต่อเนื้อหนังและหลบเลี่ยงการทดลองได้  ดังนั้นจึงพูดไม่ได้ว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นชั่ว  มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ดังนั้นพวกเขาจึงมีตัณหาชั่วทั้งหลาย แต่คนบางคนทำตามอำเภอใจและไม่ยั้งคิด พวกเขาปรนเปรอตัณหาของตัวเอง และถึงกับทำสิ่งทั้งหลายที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร  ถึงอย่างนั้น คนบางคนก็ไม่เป็นแบบนี้  พวกเขามีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตนตามความจริง และพวกเขาสามารถกบฏต่อเนื้อหนัง  แม้ผู้คนล้วนมีตัณหาต่อเนื้อหนัง แต่พวกเขาก็ไม่ประพฤติตนในหนทางเดียวกัน  แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนต่างกันแบบนี้เอง  คนบางคนโลภต่อเงินตรา  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นเงินหรือสิ่งของที่ดูดี พวกเขาก็ต้องการที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน  พวกเขามีความอยากอันแรงกล้าเป็นพิเศษในการที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้  ผู้คนเหล่านี้โลภมากโดยธรรมชาติ  พวกเขาละโมบในสมบัติพัสถานทางวัตถุอันใดก็ตามที่พวกเขามองเห็น และพวกเขาถึงกับกล้าดีที่จะขโมยหรือใช้ของถวายของพระเจ้าไปในทางอันมิชอบ—พวกเขาถึงกับกล้าแตะต้องยอดเงินรวมหลายพันหรือหลายหมื่นหยวน  ยิ่งมีเงินมากขึ้น พวกเขายิ่งกลายเป็นแก่นกล้ามากขึ้น  พวกเขาขาดหัวใจที่กลัวพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง  นี่คือธรรมชาติที่โลภมาก  คนบางคนรู้สึกตะขิดตะขวงในมโนธรรมหลังจากที่ใช้จ่ายเงินของคริสตจักรไปไม่กี่หยวนหรือไม่กี่สิบหยวน  พวกเขารีบคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานด้วยน้ำตาแห่งความสำนึกผิด ร้องขอพระเจ้าให้ทรงยกโทษ  พวกเราไม่อาจพูดได้ว่า ผู้คนแบบนี้โลภในเงินตรา เพราะทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความอ่อนแอ และความสามารถที่จะกลับใจอย่างแท้จริงของผู้คนเหล่านี้ก็พิสูจน์ว่า การกระทำของพวกเขาเป็นแค่การเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเท่านั้นเอง  คนบางคนชอบตัดสินผู้อื่น  พวกเขาจะพูดว่า “เนื่องจากครั้งนี้คนผู้นี้ใช้จ่ายเงินของคริสตจักรไปไม่กี่หยวน คราวหน้าก็อาจเป็นหลายสิบหยวนได้  แน่นอนว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ขโมยของถวายและควรถูกเอาตัวออกไป”  มีธรรมชาติเชิงชอบตัดสินอยู่เล็กน้อยในการกล่าวในลักษณะนี้  ผู้คนมีอุปนิสัยเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจะเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนออกมาและทำสิ่งที่ไม่ดีมากมายอย่างแน่นอน  การนี้ปกติ แต่การที่บุคคลหนึ่งเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนออกมานั้นไม่เหมือนกับการที่ใครบางคนมีธรรมชาติของคนชั่ว  แม้ผู้คนสองประเภทนี้อาจทำบางสิ่งที่เหมือนกัน พวกเขาก็มีธรรมชาติที่ต่างกัน  ตัวอย่างเช่น ในขณะบุคคลหนึ่งเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและเสาะแสวงที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พวกเขาเผยคำโกหก ความหลอกลวงหรือเล่ห์เหลี่ยมออกมาเป็นระยะๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่การโกหกและความหลอกลวงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมาร และมันจะโกหกเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและทุกเวลา  แม้ผู้คนทั้งสองประเภทอาจแสดงให้เห็นพฤติกรรมการโกหก แก่นแท้ของมารกับแก่นแท้ของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ต่างกันโดยพื้นฐาน  เช่นนั้นแล้ว ควรที่จะตีตราผู้คนซึ่งเสาะแสวงที่จะมีความซื่อสัตย์ว่าเป็นมารหรือซาตาน แค่เพราะการเปิดเผยความเสื่อมทรามชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นหรือ?  การที่ได้ก่อการกระทำผิดเรื่องการโกหกหรือการใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นมิใช่หมายความว่าพวกเขาเป็นพวกมารที่โกหกและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นอยู่เสมอ  เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนไม่เหมือนกัน พวกเราไม่อาจเหมารวมพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกันได้  การเปรียบเทียบใครบางคนที่ได้ก่อการกระทำผิดชั่วครู่ชั่วยามกับมารนั้น เป็นรูปแบบหนึ่งของการกล่าวโทษและการตัดสินตามอำเภอใจ  นี่เป็นสิ่งซึ่งทำอันตรายผู้คนมากที่สุด  หากเจ้าขาดวิจารณญาณและไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ชัดเจน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องไม่พูดจาอย่างมืดบอดหรือนำกฎข้อบังคับทั้งหลายมาประยุกต์ใช้อย่างขาดการพิจารณา ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะทำอันตรายผู้อื่น  ผู้คนที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและชอบยึดติดกับกฎข้อบังคับนั้นมีแววมากที่สุดที่จะตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่น  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงพูดและกระทำโดยปราศจากหลักธรรม และผู้คนที่พูดจาอย่างไม่ระมัดระวัง อีกทั้งตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้เป้าหมายที่บุคคลหนึ่งต้องไปให้ถึงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเพื่อให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  ผู้คนน้อยมากที่สามารถเชื่อในพระเจ้าอย่างบริบูรณ์โดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์  มีปัญหามากเกินไปภายในตัวพวกเจ้า และบางทีพวกเจ้ายังไม่ตระหนักถึงปัญหาเหล่านั้น และยังไม่เข้าใจปัญหาเหล่านั้นชัดเจน  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริง ว่าเจ้าไม่สามารถทบทวนตนเองได้ และว่าเจ้ายังไม่ถูกเปิดโปง อีกทั้งยังคงไม่สามารถชำแหละความคิดและแง่มุมสารพันของธรรมชาติที่เจ้ามีอยู่ในตัว  สักวันหนึ่ง เมื่อพวกเจ้าได้ยินคำเทศนาไปมากมายแล้ว และมีประสบการณ์ พวกเจ้าก็จะเข้าใจความจริง  ถึงตอนนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะมีความสามารถที่จะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  แม้พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าก็ยังไม่สลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้า และยังคงมีสิ่งผิวเผินมากมายภายในธรรมชาติของเจ้า เจ้ายังคงชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูดีและชื่นชมสิ่งของที่ดูดี  พอคนบางคนสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูดีหรือได้มีโทรศัพท์มือถือที่ดูดี น้ำเสียงของพวกเขาก็เปลี่ยน พอสตรีบางคนสวมรองเท้าส้นสูง ท่าเดินของพวกเธอก็เปลี่ยน และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครอีกต่อไป  เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่ผู้คนเก็บงำไว้ในหัวใจของพวกเขา และสิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งทำให้พวกเขาเปิดเผยสิ่งต่างๆ ที่เลว อัปลักษณ์และผิวเผินเหล่านี้ออกมา ผู้คนก็จำเป็นต้องมารู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองและสิ่งทั้งหลายภายในธรรมชาติของพวกเขาเอง  แม้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้นได้ พวกเขาทำได้เพียงพึ่งพาเจตจำนงของตนเองในการหักห้ามอุปนิสัยเหล่านั้นและยับยั้งไม่ให้อุปนิสัยเหล่านั้นถูกเปิดเผยออกมาภายนอก  เมื่อประสบการณ์ของพวกเขาลึกซึ้งขึ้น เมื่อความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของตัวเองและทุกแง่มุมของความจริงลึกซึ้งขึ้น และเมื่อพวกเขาค่อยๆ เข้าใจและเข้าไปสู่ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแง่มุมทั้งหลายของธรรมชาติของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ  ในตอนแรก ความรู้จักตนเองของพวกเขานั้นตื้นเขินอย่างมาก  พวกเขาสามารถยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ แต่ไม่สามารถที่จะแสวงหาความจริงและมารู้จักแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนได้  เมื่อพวกเขาได้ความรู้มาเล็กน้อย พวกเขาก็ต้องการหักห้ามตนเองและกบฏต่อเนื้อหนังผ่านทางการทำงานหนักและสัมฤทธิ์ผล แต่ปรากฏว่าความพยายามของพวกเขากลายเป็นเปล่าประโยชน์ และพวกเขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันรากเหง้าของปัญหา  เมื่อพวกเขามาเข้าใจความจริงในเวลาต่อมา และรู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็เริ่มเกลียดตัวเอง  ณ เวลานั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องทุ่มความพยายามอันมหาศาลให้กับการกบฏต่อเนื้อหนัง พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและปฏิบัติไปตามหลักธรรมอย่างเป็นเชิงรุกได้  แม้บางครั้งพวกเขาไม่เข้าใจความจริงอย่างครบบริบูรณ์ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถกระทำไปบนพื้นฐานของมโนธรรมและเหตุผลของตน  เมื่อตอนแรกที่ผู้คนเริ่มรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาล้วนเผชิญกับความลำบากยากเย็น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้จักนำหลักธรรมมาเป็นพื้นฐานของตน พวกเขาถามอยู่เสมอว่าจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นอย่างไร และเพียงสามารถถือปฏิบัติตามกฎข้อบังคับทั้งหลายได้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนก็ถูกก่อกวนโดยสภาวะที่เป็นลบเสมอและบางคราวก็ไม่มีหนทางที่จะไปข้างหน้า  เมื่อพูดถึงสภาวะที่เป็นลบ ผู้คนควรอาศัยการสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขสภาวะเหล่านั้นที่สามารถแก้ไขผ่านทางการสามัคคีธรรมได้  สำหรับสภาวะที่ไม่สามารถแก้ไขผ่านทางการสามัคคีธรรมได้ เจ้าสามารถเพิกเฉยไปได้เลย  เจ้าควรมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติและการเข้าสู่ไปตามปกติแทน และสามัคคีธรรมถึงความจริงให้มากขึ้น  วันหนึ่งเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงชัดเจน และรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมาย สภาวะที่เป็นลบของเจ้าก็จะหายไปเอง  ตอนนี้สภาวะที่เป็นลบเดิมๆ ของพวกเจ้าไม่ได้หายไปเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ?  อย่างน้อยเจ้าก็ประสบกับสภาวะที่เป็นลบเหล่านั้นน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก  จงแค่มุ่งเน้นการทำงานหนักตรงการไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเจ้าก็จะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของพวกเจ้าได้  เมื่อเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเจ้าเองได้ เจ้าก็จะได้ก้าวหน้าและจะได้เติบโตแล้ว  เมื่อผู้คนรับประสบการณ์จนถึงวันที่ทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิตและความหมายกับพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาได้รับการปรับเปลี่ยนจนถึงกระดูกดำของพวกเขาแล้ว และได้กลายเป็นใครอีกคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่น่าเหลือเชื่อหรอกหรือ?  นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงแบบทลายโลก  มีเพียงเมื่อเจ้ากลายเป็นไม่สนใจในชื่อเสียง ผลตอบแทน สถานะ เงินตรา ความยินดี อำนาจและความรุ่งโรจน์ของโลกนี้ และสามารถปล่อยพวกมันไปได้อย่างง่ายดายเท่านั้น เจ้าจึงจะมีสภาพเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง  บรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงทำให้ครบบริบูรณ์ในท้ายที่สุดก็คือกลุ่มที่เป็นดังนี้นี่เอง พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อความจริง มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยุติธรรม  นี่คือสภาพเหมือนของมนุษย์จริงแท้

คนบางคนจะถามว่า “มนุษย์คืออะไรกันแน่?”  ทุกวันนี้ไม่มีผู้คนใดเลยที่เป็นมนุษย์  หากพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสิ่งใดเล่า?  เจ้าอาจพูดได้ว่าพวกเขาเป็นสัตว์ เดรัจฉาน ซาตาน หรือมาร ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาก็แค่ถูกคลุมไว้ด้วยผิวหนังมนุษย์ แต่ไม่อาจถูกเรียกว่ามนุษย์ เพราะพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การเรียกพวกเขาว่าสัตว์นั้นค่อยใกล้เคียงหน่อย แต่พวกเขามีภาษา มีจิตใจ และความคิด อีกทั้งผู้คนก็สามารถมีส่วนร่วมในวิทยาศาสตร์และกระบวนการผลิต ดังนั้นจึงลงรายชื่อพวกเขาว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงได้เท่านั้น  อย่างไรก็ดี ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกเกินไป พวกเขาสูญสิ้นมโนธรรมและเหตุผลของตนไปนานแล้ว และพวกเขาก็ไม่ยำเกรงหรือนบนอบต่อพระเจ้าเอาเสียเลย  เป็นการเหมาะควรอย่างสมบูรณ์แล้วที่จะเรียกพวกเขาว่ามารและซาตาน  เพราะธรรมชาติของพวกเขาเป็นของซาตาน และพวกเขาก็เผยให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อีกทั้งแสดงทัศนะเยี่ยงซาตานออกมา จึงยิ่งเหมาะเข้าไปใหญ่ที่จะเรียกพวกเขาว่ามารและซาตาน  ผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามลึกเกินไปและพวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์มากนัก  พวกเขาเหมือนเดรัจฉานและสัตว์ พวกเขาเป็นมาร  ตอนนี้ผู้คนไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย พวกเขาไม่คล้ายคลึงทั้งมนุษย์และปีศาจ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง  หลังประสบการณ์หลายปี ผู้เชื่อระยะยาวบางคนได้มีความสนิทสนมกับพระเจ้านิดหน่อย และสามารถเข้าใจพระเจ้าอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และกังวลไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกังวล อีกทั้งคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงคิดไม่มากก็น้อย—นี่หมายความว่า พวกเขามีรูปลักษณ์ของมนุษย์นิดหน่อยและเป็นแบบก้ำกึ่ง  ผู้เชื่อใหม่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษา หรือการตัดแต่งมากนัก พวกเขายังไม่ได้ยินความจริงมากนักเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่มีประสบการณ์ที่แท้จริง  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก  ความลึกซึ้งของประสบการณ์ของบุคคลกำหนดว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด  ยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าน้อย เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจความจริงน้อย  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์เอาเสียเลย เช่นนั้นเจ้าก็คือซาตานซึ่งมีชีวิตครบถ้วน และเจ้าก็เป็นมาร ไม่ผิดเลยสักนิด  เจ้าเชื่อเรื่องนี้ไหม?  สักวันเจ้าจะเข้าใจคำพูดเหล่านั้น  มีผู้คนที่ดีอยู่บ้างไหมในตอนนี้?  หากผู้คนไม่มีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ พวกเราสามารถเรียกพวกเขาว่ามนุษย์ได้อย่างไรเล่า?  ยิ่งไม่ต้องถามถึงการเรียกพวกเขาว่าคนดี  พวกเขาแค่มีเปลือกนอกเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีแก่นแท้แบบมนุษย์ ไม่เกินไปหรอกที่จะเรียกพวกเขาว่าสัตว์ร้ายในเครื่องนุ่งห่มมนุษย์  หากใครบางคนต้องการกลายเป็นบุคคลที่มีสภาพเสมือนมนุษย์โดยผ่านทางการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องก้าวผ่านการเปิดโปง การตีสอน และการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า ถึงตอนนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด  นี่คือเส้นทางนั้น หากพระเจ้าไม่ทรงทำการนี้ ผู้คนคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พระเจ้าต้องทรงกระทำในหนทางนี้ทีละน้อย  ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน รวมทั้งการตัดแต่งอย่างต่อเนื่อง และหนทางทั้งหลายที่พวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามออกมาก็ต้องถูกเปิดโปง  ผู้คนสามารถออกเดินบนเส้นทางที่ถูกได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถทบทวนตนเองและเข้าใจความจริงเท่านั้น  เป็นเพียงหลังช่วงเวลาหนึ่งของประสบการณ์และการเริ่มเข้าใจความจริงบางประการเท่านั้น ผู้คนจึงมีความแน่นอนของการที่จะสามารถตั้งมั่นได้ขึ้นมาบ้าง  เรามองเห็นว่าพวกเจ้าทั้งหมดยังคงมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป เจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมเพียงพอ  แม้ดูเหมือนเจ้ากำลังมีธุระยุ่งอย่างแข็งขันมากในหน้าที่ของเจ้า แต่ว่ากันตามจริงแล้ว พวกเจ้าล้วนอยู่ตรงขอบเหวแห่งภยันตราย  เราไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าพวกเจ้ามีความเป็นจริงความจริงอันใด และยากที่จะบอกว่าพวกเจ้าเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  นี่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง  เราได้กล่าวคำพูดแบบนี้ไปหลายหน แต่ผู้คนมากมายก็ไม่เข้าใจว่าคำพูดเหล่านี้หมายความว่าอะไร  คนบางคนพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีใจกระตือรือร้นมากเหลือเกินในการเชื่อในพระเจ้าของฉัน ฉันจะไม่สะดุดล้มหรือหลงทาง  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันด้วยพระคุณเพียงนั้น ฉันไม่อยู่ในอันตรายใด”  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกตัวบุคคลด้วยพระคุณและทรงคุ้มครองพวกเขา แต่เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เจ้าจึงอยู่ในภยันตรายเป็นธรรมดา  เมื่อเผชิญกับบททดสอบ เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะตั้งมั่น?  ไม่มีบุคคลใดที่กล้าให้การรับประกันประเภทนี้  ผู้คนมากมายก็แค่สามารถพูดเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนบางประการ  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และนั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีวุฒิภาวะจริงอย่างแน่นอน และถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังคิดว่าพวกเขาเกือบจะทำได้แล้ว  หากบุคคลหนึ่งสามารถกล่าวสิ่งเช่นนั้นได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก  ทุกตัวบุคคลที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงต่างกำลังดำรงชีวิตอยู่ตรงขอบเหวแห่งภยันตราย  นี่จริงแท้ที่สุด

บทตัดตอน 48

ในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า บุคคลประเภทใดที่มีแววน้อยที่สุดที่จะได้รับการช่วยให้รอด และธรรมชาติประเภทใดมีแววมากที่สุดที่จะนำไปสู่การทำลายล้าง?  พวกเจ้ามองเห็นการนี้ชัดเจนหรือไม่?  ไม่ว่าคนคนหนึ่งเป็นผู้นำหรือผู้ติดตาม อะไรหรือคือธรรมชาติที่เหมือนกันของมนุษย์?  องค์ประกอบที่เหมือนกันภายในธรรมชาติมนุษย์ก็คือการทรยศพระเจ้า บุคคลทุกคนมีความสามารถในการทรยศพระเจ้า  การทรยศพระเจ้าคืออะไร?  อะไรคือการสำแดงทั้งหลายของการทรยศพระเจ้า?  พวกที่หยุดเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นที่ทรยศพระเจ้าใช่หรือไม่?  ผู้คนต้องเข้าใจว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร และจับความเข้าใจรากเหง้าของแก่นแท้นั้น  การขาดการอบรมเลี้ยงดู นิสัยเสีย ข้อตำหนิ หรืออารมณ์เกรี้ยวกราดทั้งหลายของเจ้าล้วนเป็นแง่มุมที่ผิวเผิน  หากเจ้าเกาะติดอยู่กับสิ่งหยุมหยิมเหล่านี้เสมอ นำกฎเกณฑ์มาใช้อย่างบุ่มบ่าม และไม่ได้จับความเข้าใจสิ่งที่เป็นแก่นสาร ทิ้งให้สิ่งทั้งหลายที่ติดประจำอยู่ในธรรมชาติของเจ้าและอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไข  เจ้าจะยังคงหลุดออกนอกลู่นอกทางไปและจบลงด้วยการขัดขืนพระเจ้าในท้ายที่สุด  ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้า ณ เวลาใดและสถานที่ใดก็ได้—นี่เป็นปัญหาร้ายแรง  บางทีชั่วขณะหนึ่ง เจ้าอาจจะมีหัวใจที่รักพระเจ้านิดหน่อย สละตัวเองด้วยใจกระตือรือร้น และปฏิบัติหน้าที่ด้วยการอุทิศตนเล็กน้อย หรือเจ้าอาจจะมีมโนธรรมและสำนึกที่เป็นปกติอย่างครบบริบูรณ์ในระหว่างช่วงเวลานี้ แต่ผู้คนไม่มีความมั่นคงและโลเล สามารถที่ขัดขืนและทรยศพระเจ้า ณ ชั่วขณะใดและสถานที่ใดก็ได้เนื่องมาจากเหตุการณ์เดียว  ตัวอย่างเช่นบางคนอาจสามารถมีสำนึกที่เป็นปกติอย่างครบบริบูรณ์ มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับความจริง มีภาระ และมีการอุทิศในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่แล้วพอตอนที่ความเชื่อของพวกเขาแข็งแกร่งนั่นเอง  พระนิเวศของพระเจ้าก็ขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเขาเคารพบูชา และพวกเขาก็เริ่มมีมโนคติอันหลงผิด  พวกเขากลายเป็นคิดลบในทันที สูญเสียความมีใจกระตือรือร้นในงานของพวกเขา ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสะเพร่าและขอไปที ไม่ปรารถนาที่จะอธิษฐานอีกต่อไปและพร่ำบ่นว่า “อธิษฐานทำไมหรือ?  ถ้าใครบางคนที่ดีขนาดนั้นสามารถถูกขับไล่ได้ ใครล่ะที่สามารถได้รับการช่วยให้รอด?  พระเจ้าไม่ควรปฏิบัติกับผู้คนแบบนี้!”  อะไรคือธรรมชาติของคำพูดของพวกเขา?  แค่เหตุการณ์เดียวที่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับความอยากได้อยากมีของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ทำการตัดสินพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การสำแดงของการทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  ผู้คนสามารถไถลห่างจากพระเจ้า ณ เวลาใดและสถานที่ใดก็ได้ ทันทีที่เผชิญกับบางสถานการณ์ พวกเขาอาจจะก่อเกิดมโนคติอันหลงผิด รวมทั้งตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้า—นี่ไม่ใช่การสำแดงของการทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่เป็นเรื่องใหญ่  ตอนนี้เจ้าอาจจะคิดว่าเจ้าไม่มีมโนคติอันหลงผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้า และสามารถนบนอบต่อพระองค์ได้ แต่หากเจ้าทำบางสิ่งผิดไปและเผชิญกับการถูกตัดแต่งและจัดการอย่างดุดันโดยฉับพลัน เจ้าจะยังคงสามารถที่จะนบนอบหรือไม่?  เจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงเพื่อเป็นหนทางแก้ไขหรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถนบนอบหรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาการเป็นกบฏของเจ้า เช่นนั้นก็ยังคงมีโอกาสที่เจ้าอาจสามารถทรยศพระเจ้า  เจ้าอาจไม่ได้พูดออกมาจริงๆ ว่า “ฉันไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว” แต่หัวใจเจ้าได้ทรยศพระองค์ไปแล้ว ณ ชั่วขณะนั้น  เจ้าต้องมองให้เห็นชัดเจนว่าธรรมชาติมนุษย์คืออะไรกันแน่  แก่นแท้ของธรรมชาตินี้คือความทรยศใช่หรือไม่?  น้อยคนมากที่จะสามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน  แน่นอนว่า คนบางคนมีมโนธรรมเล็กน้อยและความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของใครบางคนนั้นดีหรือชั่ว หรือขีดความสามารถของพวกเขานั้นดีหรือแย่ ปัจจัยที่เหมือนกันก็คือว่าพวกเขาล้วนสามารถทรยศพระเจ้า  ธรรมชาติมนุษย์เป็นธรรมชาติที่มีการทรยศพระเจ้าโดยแก่นแท้  พวกเจ้าเคยคิดว่า “เพราะเหล่ามนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นทรยศพระเจ้าโดยธรรมชาติ ฉันทำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้นอกจากค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย”  ตอนนี้พวกเจ้ายังคงคิดแบบนี้หรือไม่?  เช่นนั้นจงบอกเราที ใครบางคนสามารถทรยศพระเจ้าโดยปราศจากการถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่?  ผู้คนยังสามารถทรยศพระเจ้าโดยปราศจากการถูทำให้เสื่อมทราม  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเหล่ามนุษย์ พระองค์ทรงมอบเจตจำนงเสรีให้แก่พวกเขา  เหล่ามนุษย์นั้นเปราะบางเป็นพิเศษ พวกเขาไม่มีความพึงปรารถนาแต่กำเนิดที่จะขยับเข้าใกล้พระเจ้าและพูดว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้างของพวกเรา และพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง”  ไม่มีมโนทัศน์ดังกล่าวอยู่ในผู้คน  พวกเขาขาดพร่องความจริงโดยธรรมชาติ และภายในตัวพวกเขานั้นไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับการนมัสการพระเจ้า  พระเจ้าทรงมอบเจตจำนงเสรีให้กับมนุษย์ เปิดโอกาสให้พวกเขาคิด แต่ผู้คนไม่ยอมรับความจริง ไม่รู้จักพระเจ้าแต่อย่างใดเลย และไม่เข้าใจว่าจะเชื่อฟังและนมัสการพระองค์อย่างไร  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในเหล่ามนุษย์เลย ดังนั้นแม้ไม่มีการถูกทำให้เสื่อมทราม เจ้าก็ยังคงสามารถทรยศพระเจ้าได้อยู่ดี  เหตุใดจึงกล่าวว่าเจ้าสามารถทรยศพระเจ้าได้?  เมื่อซาตานมาทดลองเจ้า เจ้าก็ติดตามซาตานและทรยศพระเจ้า  เจ้าถูกสร้างโดยพระเจ้าแต่ไม่ติดตามพระองค์ โดยติดตามซาตานแทน—นี่ไม่ทำให้เจ้าเป็นคนหักหลังหรอกหรือ?  โดยคำนิยามนั้น คนหักหลังคือใครบางคนที่ทรยศ  เจ้าเข้าใจแก่นสารของการนี้ครบถ้วนหรือไม่?  เพราะฉะนั้น ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา  ผู้คนจะไม่ทรยศพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้าและในความสว่างของพระองค์โดยครบบริบูรณ์ เมื่อสิ่งทั้งมวลซึ่งเป็นของซาตานถูกทำลายลง และเมื่อไม่มีสิ่งใดทดลองหรือชักนำพวกเขาให้ทำบาปเท่านั้น  หากยังคงมีบางสิ่งที่ชักนำผู้คนให้ทำบาป เช่นนั้นพวกเขาก็จะยังคงสามารถทรยศพระเจ้าได้  เพราะฉะนั้นเหล่ามนุษย์ก็คือสิ่งที่ไร้ค่า  เจ้าอาจจะคิดว่า แค่เพราะเจ้าสามารถพล่ามบางคำพูดและคำสอนได้ เจ้าจึงเข้าใจความจริงบางประการและไม่สามารถทรยศพระเจ้าได้ คิดว่าอย่างน้อยเจ้าก็ควรได้รับการพิจารณา—หากไม่เป็นทองก็เงิน—เป็นทองแดงหรือเหล็ก มีมูลค่ากว่าเครื่องปั้นดินเผา แต่เจ้าประเมินตัวเองสูงไป  เจ้ารู้หรือ จริงๆ แล้วเหล่ามนุษย์คืออะไร?  ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา พวกเขาไม่มีค่าแม้สักสตางค์เลยด้วยซ้ำ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ไม่มีผิดว่า เหล่ามนุษย์คือสัตว์ร้าย คนน่าสมเพชที่ไร้ค่า  แต่ในหัวใจของผู้คน พวกเขาไม่คิดในหนทางนี้  พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่คิดว่า ฉันเป็นคนน่าสมเพชที่ไร้ค่า!  ทำไมฉันถึงไม่รู้เท่าทันเรื่องนี้?  เป็นไปได้ยังไงที่ฉันไม่ได้รับประสบการณ์กับเรื่องนี้?  การเชื่อในพระเจ้าของฉันนั้นจริงใจ ฉันมีความเชื่อ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถทรยศพระเจ้าได้หรอก  พระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริง แต่ฉันก็แค่ไม่เข้าใจวลี ‘ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา’  ฉันได้เห็นความรักของพระเจ้าแล้ว ฉันไม่มีวันสามารถทรยศพระองค์ได้ไม่ว่าเวลาใด”  นี่คือสิ่งที่ผู้คนคิดจริงๆ ในหัวใจ แต่พระวจนะของพระเจ้าคือข้อเท็จจริง พระวจนะเหล่านั้นมิได้ถูกตรัสออกมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป  ทุกเรื่องถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเจ้า โน้มน้าวพวกเจ้าให้เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเจ้าจะสามารถระลึกรู้ความเสื่อมทรามของเจ้า และแก้ไขปัญหาเรื่องการทรยศ  จะไม่มีการทรยศในราชอาณาจักร เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าและไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน พวกเขาก็เป็นอิสระอย่างแท้จริง  จากนั้นพวกเขาก็จะไม่มีความจำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับการทรยศพระเจ้า ความห่วงกังวลดังกล่าวย่อมเพ้อพกไม่มีความจำเป็น  ในภายภาคหน้าย่อมสามารถประกาศแถลงได้ว่า พวกเจ้าไม่มีสิ่งใดภายในตัวพวกเจ้าที่จะทรยศพระเจ้าอีกต่อไป แต่สำหรับตอนนี้ ไม่ใช่กรณีนั้น  เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าเวลาใดก็ได้  ไม่ใช่ว่าการปรากฏอยู่ของรูปการณ์แวดล้อมบางประการนำทางไปสู่การทรยศ และหากปราศจากรูปการณ์แวดล้อมบางประการหรือปราศจากการบังคับขู่เข็ญ เจ้าก็จะไม่ทรยศพระเจ้า—ถึงแม้ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ เจ้าก็ยังคงทรยศพระองค์ได้อยู่ดี  นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์  ต่อให้เจ้าไม่ได้กำลังคิดหรือกำลังทำสิ่งใดอยู่ตอนนี้ ความเป็นจริงแห่งธรรมชาติของเจ้าก็มีอยู่จริงๆ และไม่สามารถถูกถอนรากถอนโคนได้โดยผู้ใด  เนื่องจากเจ้ามีธรรมชาติแห่งการทรยศพระเจ้าอยู่ภายในตัวเจ้า พระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจเจ้า ในห้วงลึกของของหัวใจเจ้า ไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้า และไม่มีการปรากฏอยู่ของความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็สามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา  เหล่าทูตสวรรค์นั้นต่างไป ในขณะที่พวกเขาไม่มีอุปนิสัยหรือแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเขาสามารถเชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์เพราะพวกเขาถูกสร้างโดยพระองค์อย่างเฉพาะเจาะจงเพื่องานปรนนิบัติของพระองค์ เพื่อดำเนินการพระบัญชาของพระองค์ในทุกแห่งหน  พวกเขาเป็นของพระเจ้าโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  ส่วนเหล่ามนุษย์นั้น พระเจ้าตั้งพระทัยให้พวกเขาดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลก ไม่ทรงเตรียมพวกเขาให้พร้อมสรรพไปด้วยปฏิภาณที่จะนมัสการพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่ามนุษย์ย่อมสามารถทรยศและขัดขืนพระเจ้าได้  นี่พิสูจน์ว่าเหล่ามนุษย์สามารถถูกใช้และถูกท้าประลองโดยผู้ใดก็ได้ พวกเขาไม่มีอธิปไตยเป็นของตนเอง  เหล่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นนั้นเอง ไร้ศักดิ์ศรีและไร้ค่าอย่างถึงที่สุด

พระเจ้าทรงเปิดเผยธรรมชาติที่ทรยศของมนุษย์ เพื่อให้ผู้คนสามารถมีความเข้าใจแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้และเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  ผู้คนสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลง และพยายามค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติจากแง่มุมนี้ เข้าใจว่าพวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าได้ในสิ่งใดบ้าง และอุปนิสัยเสื่อมทรามใดที่พวกเขามี ที่สามารถนำทางไปสู่การทรยศพระเจ้าได้  ครั้นเจ้าไปถึงจุดหนึ่งซึ่งเจ้าไม่กบฏต่อพระเจ้าในหลายแง่มุม และไม่ทรยศพระองค์ในแง่มุมส่วนใหญ่ เมื่อเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเดินทางของชีวิตเจ้า ถึงชั่วขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น เจ้าจะไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลอีกต่อไปเกี่ยวกับว่าเจ้าจะทรยศพระเจ้าในภายภาคหน้าหรือไม่  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  ก่อนผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าได้เมื่อถูกซาตานชักนำ  เมื่อซาตานถูกทำลาย ผู้คนจะไม่หยุดทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  เวลานั้นยังมาไม่ถึง  ผู้คนยังคงมีอุปนิสัยเสื่อมทรามของซาตานอยู่ภายในพวกเขา สามารถที่จะทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา  ครั้นเจ้าได้รับประสบการณ์กับชีวิตจนถึงช่วงระยะหนึ่งที่เจ้าได้สลัดทิ้งทัศนะที่ผิด มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันเหล่านั้นทั้งหมดเกี่ยวกับการขัดขืนและการทรยศพระเจ้า เจ้าย่อมได้เข้าใจความจริง ด้วยสิ่งที่เป็นบวกมากมายในหัวใจของเจ้า เจ้าสามารถควบคุมตัวเองและเป็นนายการกระทำของตัวเจ้าเอง และเจ้าก็ไม่ทรยศพระเจ้าในสถานการณ์ส่วนใหญ่อีกต่อไป จากนั้นเมื่อซาตานถูกทำลาย เจ้าก็จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยครบบริบูรณ์  ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจก็คือการแก้ปัญหาการทรยศและการเป็นกบฏของมนุษย์  มวลมนุษย์ในอนาคตจะไม่ทรยศพระเจ้าเพราะซาตานจะได้ถูกจัดการไปแล้ว  จะไม่มีเรื่องของการที่ซาตานหลอกลวงและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีกต่อไป ถึงตอนนั้นเรื่องนี้จะไม่สัมพันธ์กับมวลมนุษย์  ตอนนี้ผู้คนถูกขอให้เข้าใจธรรมชาติที่ทรยศของมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาหนึ่งซึ่งมีนัยสำคัญที่สุด  พวกเจ้าควรเริ่มจากตรงนี้นี่เอง  อะไรหรือที่มีอยู่ในธรรมชาติของการทรยศพระเจ้า?  การสำแดงแห่งการทรยศประกอบด้วยอะไรบ้าง?  ผู้คนควรทบทวนและทำความเข้าใจอย่างไร?  พวกเขาควรปฏิบัติและเข้าสู่อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ต้องถูกเข้าใจและมองเห็นอย่างชัดเจน  ตราบที่ธรรมชาติแห่งการทรยศยังคงดำรงอยู่ภายในใครคนหนึ่ง พวกเขาก็สามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา  ต่อให้พวกเขาไม่ปฏิเสธหรือหักหลังพระเจ้าอย่างเปิดเผย พวกเขาก็ยังคงสามารถทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ผู้คนคงจะไม่พิจารณาว่าเป็นการทรยศ แต่โดยแก่นแท้แล้วเป็น  นี่หมายความว่าผู้คนไม่มีเอกราช ซาตานได้ครอบครองพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรก  หากเจ้าเคยทรยศพระเจ้าโดยปราศจากการถูกทำให้เสื่อมทราม แล้วบัดนี้ที่เจ้าเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้มากมายกว่าเพียงใดเล่า?  ไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลายิ่งกว่าเดิมหรอกหรือ?  กิจปัจจุบันคือการกำจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านั้น ลดสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เจ้าทรยศพระเจ้า ให้เจ้ามีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมและได้รับการยอมรับโดยพระเจ้าในการทรงสถิตของพระองค์  เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากขึ้นในหลากหลายเรื่อง เจ้าก็จะสามารถได้รับความจริงบางประการและได้รับการทำให้เพียบพร้อมในระดับหนึ่ง  หากซาตานและพวกปีศาจยังคงมาทดลองเจ้า หรือวิญญาณชั่วมาหลอกลวงหรือก่อกวนเจ้า เจ้าก็จะสามารถนำวิจารณญาณบางอย่างมาใช้ได้ และด้วยเหตุนั้นจึงปฏิบัติตนในหนทางที่ทรยศพระเจ้าน้อยลง  นี่คือบางสิ่งที่พัฒนาขึ้นในตัวผู้คนเมื่อเวลาผ่านไป  เมื่อเหล่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นในตอนแรก พวกเขาไม่รู้จักการนมัสการหรือเชื่อฟังพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่รู้การทรยศพระองค์คืออะไร  เมื่อซาตานมาทดลองพวกเขา พวกเขาจึงทำตามมันและทรยศพระเจ้า กลายเป็นผู้หักหลัง เพราะพวกเขาไม่สามารถจำแนกความต่างระหว่างดีและชั่วได้ และไม่มีปฏิภาณที่จะนมัสการพระเจ้า—พวกเขายิ่งไม่มีความเข้าใจเลยว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างของมวลมนุษย์ และวิธีที่พวกเขาควรนมัสการพระองค์  บัดนี้พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดโดยการพยายามเติมความจริงทั้งหลายเกี่ยวกับการรู้จักพระองค์—รวมถึงแก่นแท้ อุปนิสัย ความทรงมหิทธิฤทธิ์ ความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ เป็นต้น—เข้าไปในตัวพวกเขา เพื่อให้ความจริงเหล่านั้นกลายเป็นชีวิตของพวกเขา อนุญาตให้พวกเขามีเอกราช และทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามความจริงได้  ยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งการพิพากษาและการตีสอนลึกซึ้งมากขึ้น เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเจ้าเองลึกซึ้งขึ้น และนี่จะให้ความแน่วแน่แก่เจ้าในการที่จะเชื่อฟัง รัก และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ยิ่งเจ้ารู้จักพระเจ้ามากขึ้น เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้าได้มากขึ้น และภายในตัวเจ้าจะมีไม่กี่อย่างที่ทรยศพระเจ้า และมีสิ่งที่เข้ากันได้กับพระองค์มากมายกว่า ด้วยเหตุนั้นจึงเอาชนะและมีชัยเหนือซาตานอย่างครบบริบูรณ์  ด้วยความจริง ผู้คนจึงได้รับเอกราชและไม่ถูกหลอกลวงหรือจำกัดควบคุมโดยซาตาน ดำรงชีวิตตามแบบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริง  คนบางคนถามว่า “ถ้ามนุษย์มีธรรมชาติที่เสื่อมทรามอยู่ภายในตัวพวกเขา และสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา เช่นนั้นแล้วพระเจ้ายังคงสามารถตรัสได้เช่นไรว่าพระองค์ได้ทรงทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์แล้ว?”  การได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์หมายถึง การที่ผู้คนมารู้จักพระเจ้าและธรรมชาติของพวกเขาเอง เข้าใจวิธีนมัสการพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์ ระลึกรู้ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของพวกวิญญาณชั่ว และเข้าใจว่าซาตานกับพวกปีศาจขัดขืนพระเจ้าอย่างไร มวลมนุษย์ขัดขืนพระเจ้าอย่างไร สิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออะไร และใครคือพระผู้สร้าง  ทั้งหมดนี้ถูกเติมเข้าไปในผู้คนโดยผ่านทางพระราชกิจของพระเจ้าหลังจากที่พวกเขาถูกสร้างขึ้น  ดังนั้น เหล่ามนุษย์ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ขั้นสุดท้ายนั้นมีสาระและมีคุณค่ากว่าพวกที่ไม่ถูกทำให้เสื่อมทรามแต่แรกเริ่ม เมื่อพระเจ้าได้เติมบางสิ่งให้กับพวกเขา ทรงงานอย่างพิถีพิถันภายในพวกเขา  นั่นจึงเป็นเหตุให้เหล่ามนุษย์ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ขั้นสุดท้ายมีเอกราชมากกว่าที่อาดัมกับเอวามี โดยมีความเข้าใจความจริงดีขึ้นเกี่ยวกับการนมัสการและการเชื่อฟังพระเจ้า และวิธีประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขา  อาดัมกับเอวาไม่ได้รู้สิ่งเหล่านี้  เมื่อถูกงูทดลอง พวกเขาก็กินผลจากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว แล้วจากนั้นก็ตระหนักถึงความน่าละอายของตัวเอง ทว่าก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้าอยู่ดี  จากนั้นเป็นต้นมา มวลมนุษย์ก็กลายเป็นเสื่อมทรามมากขึ้นทุกทีจนถึงปัจจุบัน  นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลุ่มลึก ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ชัดเจน  เนื่องจากสัญชาตญาณของเนื้อหนังมนุษย์ ผู้คนสามารถทรยศพระเจ้า ณ เวลาใดก็ได้และในสถานที่ใดก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าก็จะทรงทำให้มนุษย์มีความครบบริบูรณ์ และนำพาพวกเขาเข้าไปในยุคถัดไป  นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนพบว่ายากลำบากที่จะเข้าใจ การนี้สามารถได้รับประสบการณ์ไปอย่างช้าๆ เท่านั้น  ครั้นความจริงเป็นที่เข้าใจแล้ว การนี้ก็จะกลายเป็นชัดเจนไปเอง

เหตุใดผู้คนจึงพึงต้องมีการรู้จักพระเจ้า?  นั่นเป็นเพราะหากปราศจากการรู้จักพระเจ้า ผู้คนก็จะขัดขืนต่อพระองค์  หากใครบางคนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็หมิ่นเหม่ที่จะถูกซาตานกับพวกวิญญาณชั่วใช้และหลอกลวง  พวกเขาจะไม่สามารถหลบพ้นอิทธิพลของซาตานได้ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่อาจสัมฤทธิ์ความรอด  แต่หากใครบางคนเข้าใจความจริง เช่นนั้นพวกเขาก็จะมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สามารถที่จะนบนอบต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง เป็นพยานยืนยันให้กับพระองค์ และได้รับการรับไว้โดยพระองค์  ซาตานจะไม่สามารถหลอกลวงหรือแสวงประโยชน์กับบุคคลเช่นนั้นได้ ต่อให้มันต้องการจะทำก็ตาม นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานแบบครบบริบูรณ์และการได้สัมฤทธิ์ความรอด และนี่ก็คือนัยสำคัญของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ให้ผู้คนรู้จักพระองค์  หากเจ้ารู้จักพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็สามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ หากปราศจากการรู้จักพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรอด  หากใครบางคนไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเอาเสียเลย แต่กลับดำรงชีวิตโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาแทน และไม่ปฏิบัติความจริงต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงอยู่บ้างก็ตาม โดยยังคงทำการฝ่าฝืนทั้งที่รู้ตัว เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มิอาจได้รับการไถ่ได้โดยแท้จริง  ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในสภาวะใด?  ตราบที่ตอนนี้พวกเจ้ามีความหวังอยู่กระผีกหนึ่ง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพระเจ้าทรงจำการฝ่าฝืนในอดีตของเจ้าได้หรือไม่ วิธีคิดแบบใดเล่าที่เจ้าควรดำรงเอาไว้?  “ฉันต้องไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของฉัน ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ไม่มีวันที่จะถูกซาตานหลอกอีกเลย และไม่มีวันที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่จะนำความอดสูมาสู่พระนามของพระเจ้าอีกเลย”  ตอนนี้ผู้คนเสื่อมทรามลึกล้นเหลือเกินและขาดพร่องคุณค่าใดๆ  ด้านที่เป็นกุญแจสำคัญอันใดหรือที่กำหนดพิจารณาว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ และพวกเขามีความหวังอันใดหรือไม่?  กุญแจสำคัญก็คือ หลังจากที่ฟังการเทศนาแล้ว เจ้าสามารถจับใจความความจริงได้หรือไม่ เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ และเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่  เหล่านี้คือด้านที่เป็นกุญแจสำคัญ  หากเจ้าเพียงรู้สึกสำนึกผิดเท่านั้น และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำสิ่งทั้งหลาย เจ้าแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการในหนทางเดิมๆ โดยไม่เพียงแค่ไม่แสวงหาความจริงเท่านั้น แต่ยังคงเกาะติดทรรศนะ วิธีการและกฎเกณฑ์เดิมๆ และไม่เพียงแค่ไม่ทบทวนหรือพยายามรู้จักตัวเองเท่านั้น แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับแย่ลงทุกที และยังคงยืนกรานที่จะเดินบนเส้นทางเดิมของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไร้ความหวัง และควรถูกตัดออกไป  ด้วยความรู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า และความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง เจ้าจะสามารถห้ามตัวเองไม่ให้กระทำความชั่วและกระทำบาป  ยิ่งความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับธรรมชาติของเจ้าทั่วถึงมากขึ้น เจ้าย่อมสามารถคุ้มครองตัวเองได้ดีขึ้น และหลังจากที่สรุปประสบการณ์และบทเรียนทั้งหลายแล้ว เจ้าก็จะไม่ล้มเหลวอีก  ในข้อเท็จจริงตามจริง ทุกคนมีมลทินบางอย่าง เพียงแค่ว่าพระเจ้าไม่ทรงให้พวกเขารับผิดชอบต่อมลทินเหล่านี้  ทุกคนมีมลทินเหล่านี้ แค่ต่างกันในเรื่องของระดับเท่านั้นเอง บางอย่างพูดถึงได้ อย่างอื่นที่เหลือพูดไม่ได้  คนบางคนทำสิ่งที่ผู้อื่นรู้ ในขณะที่คนบางคนทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีใครอื่นรู้เลย  ทุกคนมีมลทินและการฝ่าฝืนในตัวพวกเขา และพวกเขาล้วนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างออกมา เช่น ความโอหัง หรือความคิดว่าตนเองถูก พวกเขาล้วนมีการเบี่ยงเบนบางอย่างในงานของพวกเขา หรือเป็นกบฏอยู่ในบางโอกาส  สิ่งเหล่านี้ล้วนเข้าใจได้ สิ่งเหล่านี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้เลยสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  แต่ทันทีที่ผู้คนเข้าใจความจริง พวกเขาควรสามารถหลีกเลี่ยงการนี้และไม่ฝ่าฝืนอีกต่อไป ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเดือดร้อนเพราะการฝ่าฝืนในอดีตอีกต่อไปแล้ว  สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ การที่ผู้คนกลับใจหรือไม่ พวกเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงหรือไม่  บรรดาผู้ที่กลับใจและเปลี่ยนแปลงก็คือคนที่ได้รับการช่วยให้รอด ในขณะที่พวกที่ยังคงไม่กลับใจและไม่เปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งสิ้นจะต้องถูกขับออก  หากว่า หลังจากที่เข้าใจความจริง ผู้คนยังคงฝ่าฝืนทั้งที่รู้ตัว หากพวกเขาไม่กลับใจโดยหัวเด็ดตีนขาด ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าพวกเขาถูกตัดแต่ง จัดการ หรือตักเตือนอย่างไร เช่นนั้นแล้ว ผู้คนดังกล่าวก็จะอยู่เกินความรอด

ก่อนหน้า: พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทราม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger