ง) เหตุที่พระเจ้าจะทรงทำลายล้างคนชั่วที่ต้านทานพระองค์

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และได้จัดวางพวกเขาบนแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงนำทางพวกเขามานับตั้งแต่นั้น  จากนั้นพระองค์จึงได้ทรงช่วยพวกเขาให้รอดและทรงรับหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้มนุษยชาติ  ในท้ายที่สุด พระองค์ยังคงต้องทรงพิชิตมนุษยชาติ ช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยถ้วนทั่ว และฟื้นพวกเขาให้กลับสู่สภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขา  นี่คือพระราชกิจที่พระองค์ทรงดำเนินการมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น—เป็นการฟื้นมนุษยชาติให้กลับสู่ภาพลักษณ์และสภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขา พระเจ้าจะทรงสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์และฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมของมวลมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะทรงฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลกและท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง  มนุษยชาติได้สูญเสียหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า รวมทั้งหน้าที่ที่เป็นภาระแก่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็นศัตรูที่เป็นกบฏต่อพระเจ้า  มนุษยชาติจึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานและปฏิบัติตามคำสั่งของซาตาน ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงมีหนทางใดที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ได้ และกลายเป็นยิ่งไม่สามารถที่จะได้รับความยำเกรง  พวกมนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และควรจะนมัสการพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหันหลังให้พระองค์และนมัสการซาตานแทน  ซาตานได้กลายเป็นรูปเคารพในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้น พระเจ้าจึงสูญเสียที่ประทับของพระองค์ในหัวใจของพวกเขา ซึ่งกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงสูญเสียความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์  เพราะฉะนั้น เพื่อฟื้นคืนความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ พระองค์จึงต้องทรงฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาและทำให้มนุษยชาติสลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาไป  เพื่อเรียกคืนพวกมนุษย์จากซาตาน พระองค์จึงต้องทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป  เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะสามารถฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมและหน้าที่ของพวกเขาทีละน้อย และฟื้นคืนราชอาณาจักรของพระองค์ได้ในที่สุด  การทำลายล้างขั้นสุดขีดของบรรดาบุตรแห่งการกบฏจะต้องถูกดำเนินการด้วยเช่นกันเพื่อเปิดโอกาสให้พวกมนุษย์ได้นมัสการพระเจ้าดียิ่งขึ้นและดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกได้ดียิ่งขึ้น  เพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกมนุษย์ พระองค์จึงจะทรงทำให้พวกเขานมัสการพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ พระองค์จึงจะทรงฟื้นคืนมันโดยครบบริบูรณ์และโดยไม่มีการเจือปนใดๆ  การฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์หมายถึงการทำให้พวกมนุษย์นมัสการพระองค์และนบนอบต่อพระองค์ ซึ่งหมายความว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พวกมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่เนื่องจากพระองค์และจะทรงทำให้บรรดาศัตรูของพระองค์พินาศย่อยยับไปอันเป็นผลแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์คงทนอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์โดยไม่มีการต้านทานจากผู้ใดเลย  ราชอาณาจักรที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสถาปนาขึ้นคือราชอาณาจักรของพระองค์เอง  มนุษยชาติที่พระองค์ทรงปรารถนาคือมนุษยชาติที่จะนมัสการพระองค์ มนุษยชาติที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยครบบริบูรณ์และสำแดงพระสิริของพระองค์  หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยมนุษย์ชาติที่เสื่อมทรามให้รอด เช่นนั้นแล้วความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ก็จะสูญหายไป พระองค์จะไม่ทรงมีสิทธิอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์อีกเลย และราชอาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกได้อีกต่อไป  หากพระเจ้าไม่ทรงทำลายศัตรูเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นกบฏต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงไร้ความสามารถที่จะได้มาซึ่งพระสิริที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้  เหล่านี้จะเป็นเครื่องหมายของความครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระองค์และเครื่องหมายของความสำเร็จลุล่วงที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ นั่นก็คือ การทำลายล้างพวกที่เป็นกบฏต่อพระองค์ในหมู่มนุษยชาติโดยสิ้นเชิง และการนำบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์เข้าสู่การหยุดพัก  เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ฟื้นคืนสู่สภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาแล้ว และเมื่อพวกเขาสามารถทำหน้าที่แต่ละอย่างของพวกเขาให้ลุล่วง คงอยู่กับที่ตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขาเอง และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งบนแผ่นดินโลกผู้ซึ่งนมัสการพระองค์  และพระองค์จะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งขึ้นบนแผ่นดินโลกที่นมัสการพระองค์อีกด้วย  พระองค์จะทรงมีชัยชนะอันเป็นนิรันดร์บนแผ่นดินโลก และพวกเหล่านั้นทั้งหมดผู้ซึ่งต่อต้านพระองค์จะพินาศย่อยยับไปตลอดกาล  นี่จะฟื้นคืนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์ในการทรงสร้างมนุษยชาติ ซึ่งจะฟื้นคืนเจตนารมณ์ของพระองค์ในการทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และยังจะฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลก ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และท่ามกลางศัตรูของพระองค์อีกด้วย  เหล่านี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะทั้งหมดของพระองค์  นับตั้งแต่นั้นมา มนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพักและเริ่มต้นชีวิตที่อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง  พระเจ้าจะทรงเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์กับมนุษยชาติด้วยเช่นกัน และเริ่มต้นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งทั้งพระองค์เองและพวกมนุษย์ต่างก็มีร่วมกัน  ความโสมมและความเป็นกบฏบนแผ่นดินโลกจะปลาสนาการไปแล้ว และเสียงคร่ำครวญทั้งหมดจะได้เหือดหายไปแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ต่อต้านพระเจ้าจะได้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว  มีเพียงพระเจ้าและบรรดาผู้คนซึ่งพระองค์ได้ทรงนำความรอดมาให้เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่ เฉพาะสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

เหล่ามนุษย์ชั่วที่เสื่อมทราม!  เราจะกลืนเจ้าหายไปเมื่อไรดี?  เราจะฝังเจ้าไว้ในบึงไฟและกำมะถันเมื่อไรดี?  หลายครั้งเหลือเกินที่เราถูกผลักดันออกไปจากกลุ่มของพวกเจ้า หลายคราเหลือเกินที่ผู้คนดูถูกดูแคลน เยาะเย้ยถากถาง และทำลายชื่อเสียงของเรา และหลายครั้งเหลือเกินที่ผู้คนพิพากษาและเยาะเย้ยท้าทายเราอย่างเปิดเผย  เหล่ามนุษย์มืดบอด!  เจ้าไม่รู้หรือไรว่าพวกเจ้าเป็นเพียงโคลนกำหนึ่งในฝ่ามือของเราเท่านั้น?  เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าเป็นเพียงวัตถุแห่งการสร้างโลกของเราเท่านั้น?  ความโกรธขึ้งของเรากำลังถูกปลดปล่อยในบัดนี้ และจะไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันสิ่งนั้นได้  ผู้คนสามารถเพียงวอนขอความปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า  อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่งานของเราได้ก้าวหน้ามาจนถึงขอบเขตนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนั้นได้  พวกที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วจะต้องกลับสู่โคลน  ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบธรรม แต่ว่าพวกเจ้านั้นเสื่อมทรามและเกะกะระรานมากเกินไป และเป็นเพราะพวกเจ้าได้ถูกซาตานฉวยเอาตัวไปและกลายเป็นเครื่องมือของมันไปแล้ว  เราคือพระเจ้าผู้พิสุทธิ์พระองค์เอง เราไม่สามารถถูกทำให้แปดเปื้อน อีกทั้งเราไม่สามารถมีวิหารที่มีมลทินได้  นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ความโกรธเกรี้ยวอันเดือดดาลของเรา (ซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าความโกรธของเรา) จะเริ่มหลั่งไหลลงมาบนชนชาติและกลุ่มชนทั้งปวง และตีสอนเศษมนุษย์ทั้งหมดที่มาจากเราแต่ไม่รู้จักเรา  เราเกลียดชังเหล่ามนุษย์อย่างสุดขั้ว และเราจะไม่มีความปรานีเกินกว่านี้ ตรงกันข้าม เราจะกระหน่ำพรมคำสาปแช่งทั้งหมดของเราลงมา  จะไม่มีความเมตตาสงสารและความรักอีกต่อไปเป็นอันขาด ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเผาผลาญจนไม่เหลือสิ่งใดเลย และมีเพียงราชอาณาจักรของเราเท่านั้นที่จะคงอยู่ เพื่อที่ประชากรของเราจะสรรเสริญเราในบ้านของเรา ถวายเกียรติแก่เรา และเปล่งเสียงยินดีเพื่อเราตลอดกาล (นี่คือการทำหน้าที่ของประชากรของเรา)  มือของเราจะเริ่มตีสอนคนเหล่านั้นอย่างเป็นทางการทั้งภายในและภายนอกบ้านของเรา  ไม่มีพวกทำชั่วคนใดจะมีความสามารถที่จะหลีกหนีการคว้าจับและการพิพากษาของเราได้ ทุกคนต้องก้าวผ่านความทุกข์ยากสาหัสนี้และนมัสการเรา  นี่คือบารมีของเรา และที่มากกว่านั้น นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารประการหนึ่งที่เรากล่าวประกาศต่อพวกคนทำชั่ว  ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยผู้ใดอื่นให้รอด  ผู้คนทำได้เพียงดูแลตัวเองด้วยตัวพวกเขาเองเท่านั้น แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะหลีกหนีมือแห่งการตีสอนของเราได้  เหตุผลที่มีการกล่าวไว้ว่า ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรานั้นเกรี้ยวกราด ได้ถูกเผยไว้ในที่นี้ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนทั้งปวงสามารถเห็นได้ด้วยดวงตาของพวกเขาเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 109

มนุษย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากศัตรูของเรา  มนุษย์คือพวกคนทำชั่วที่ต่อต้านและไม่เชื่อฟังเรา  มนุษย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากลูกหลานของมารร้ายที่ถูกเราสาปแช่ง  มนุษย์เป็นเพียงพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ที่ทรยศเรา  มนุษย์เป็นเพียงสิ่งที่มารทิ้งเอาไว้ มารที่ถูกเราผลักไสเมื่อนานมาแล้วและเป็นศัตรูที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ของเรานับแต่นั้นมา  เพราะท้องฟ้าเหนือมวลมนุษย์ทั้งมวลนั้นขุ่นมัวและมืด ปราศจากร่องรอยของความชัดเจนแม้แต่เพียงเล็กน้อย และโลกมนุษย์ก็ถลำเข้าสู่ความมืดมิด จนผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นั้นไม่สามารถเห็นแม้กระทั่งมือของเขาที่ยืดจนสุดต่อหน้าของเขาหรือเห็นดวงอาทิตย์เมื่อเขาผงกหัวขึ้น  ถนนใต้ฝ่าเท้าของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยโคลนและมีหลุมอยู่ทุกที่ คดเคี้ยวไปมา ทั้งแผ่นดินเกลื่อนไปด้วยซากศพ  มุมมืดทั้งหลายเต็มไปด้วยซากคนตาย และในมุมที่เยือกเย็นและอยู่ใต้เงาทั้งหลาย ปีศาจหลายฝูงได้เข้าไปอยู่อาศัยแล้ว  และทุกแห่งในโลกของพวกมนุษย์บรรดาปีศาจมาแล้วก็ไปเป็นโขยง  ลูกหลานของเหล่าสัตว์เดียรัจฉานทุกรูปแบบ ซึ่งปกคลุมไปด้วยความโสโครก ติดพันอยู่ในการสู้รบที่ดุเดือด ซึ่งเสียงของมันนั้นก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อหัวใจ  ในช่วงเวลาเช่นนั้น ในโลกเช่นนั้น “สวรรค์ของโลกมนุษย์” เช่นนั้น คนเราไปที่ไหนเพื่อค้นหาความสุขทั้งหลายของชีวิต?  คนเราสามารถไปที่ไหนได้เพื่อค้นหาบั้นปลายของชีวิตของเขา?  มวลมนุษย์ ซึ่งนานมาแล้วได้ถูกเหยียบย่ำภายใต้ฝ่าเท้าของซาตาน ตั้งแต่แรกได้เป็นผู้แสดงที่สวมใส่รูปลักษณ์ของซาตาน—ยิ่งไปกว่านั้น มวลมนุษย์คือร่างทรงของซาตาน และทำหน้าที่เป็นหลักฐานซึ่งเป็นพยานให้แก่ซาตานอย่างกึกก้องและชัดเจน  เผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นนั้น กลุ่มคนชั้นต่ำเสื่อมโทรมเช่นนั้น เชื้อสายเช่นนั้นของตระกูลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้ สามารถเป็นพยานต่อพระเจ้าได้อย่างไร?  สง่าราศีของเรามาจากที่ใดเล่า?  คนเราสามารถเริ่มพูดถึงคำพยานของเราได้ที่ใดเล่า?  เพราะศัตรูซึ่งต่อต้านเราหลังจากได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามแล้ว ได้ครอบครองมวลมนุษย์แล้ว—มวลมนุษย์ซึ่งเราได้สร้างขึ้นนานมาแล้วและซึ่งถูกเติมด้วยสง่าราศีของเราและการใช้ชีวิตของเรา—และได้ทำให้พวกเขาแปดเปื้อน  มันได้ฉกฉวยสง่าราศีของเราไป และทั้งหมดที่มันได้รดใส่มนุษย์ก็คือพิษที่เจือปนอย่างมากมายด้วยความน่าเกลียดของซาตาน และน้ำผลไม้จากผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว  ในปฐมกาล เราได้สร้างมวลมนุษย์ นั่นคือ เราได้สร้างบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ คืออาดัม  เขาได้รับมอบทั้งรูปสัณฐานและรูปลักษณ์ ปริ่มด้วยเรี่ยวแรง ปริ่มด้วยพลังชีวิต และยิ่งไปกว่านั้น ได้อยู่ด้วยกันกับสง่าราศีของเรา  นั่นเป็นวันอันรุ่งโรจน์เมื่อเราได้สร้างมนุษย์  หลังจากนั้น เอวาก็ได้ถูกสร้างขึ้นจากร่างกายของอาดัม และเธอก็เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เช่นกัน และดังนั้นผู้คนที่เราได้สร้างขึ้นจึงถูกเติมด้วยลมหายใจของเราและปริ่มด้วยสง่าราศีของเรา  แต่เดิมนั้น อาดัมถือกำเนิดมาจากมือของเราและเป็นตัวแทนของฉายาของเรา  ด้วยเหตุนี้ ความหมายดั้งเดิมของ “อาดัม” ก็คือสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่เราสร้าง ชุ่มฉ่ำไปด้วยพลังชีวิตของเรา ชุ่มฉ่ำไปด้วยสง่าราศีของเรา มีรูปสัณฐานและภาพลักษณ์ มีวิญญาณและลมหายใจ  เขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างขึ้นเพียงสิ่งเดียว ซึ่งมีจิตวิญญาณ ที่มีความสามารถในการเป็นตัวแทนเรา ในการแบกรับฉายาของเรา และได้รับลมหายใจของเรา  ในปฐมกาล เอวาเป็นมนุษย์คนที่สองที่ได้รับมอบลมหายใจผู้ซึ่งเราได้กำหนดการสร้างไว้ ดังนั้นความหมายดั้งเดิมของ “เอวา” ก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ที่จะดำเนินสง่าราศีของเราต่อไป ถูกเติมด้วยพลังชีวิตของเราและยิ่งไปกว่านั้นคือได้รับมอบสง่าราศีของเรา เอวามาจากอาดัม ดังนั้นเธอจึงมีฉายาของเราด้วยเช่นกัน เพราะเธอเป็นมนุษย์คนที่สองที่ถูกสร้างขึ้นในฉายาของเรา  ความหมายดั้งเดิมของ “เอวา” ก็คือมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ มีจิตวิญญาณ เนื้อหนัง และกระดูก คำพยานที่สองของเรา รวมทั้งฉายาที่สองของเราท่ามกลางมวลมนุษย์  พวกเขาคือบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ เป็นสมบัติอันบริสุทธิ์และล้ำค่าของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตที่ได้รับมอบจิตวิญญาณตั้งแต่แรก อย่างไรก็ดี มารร้ายได้เหยียบย่ำและได้จับลูกหลานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์เป็นเชลย ผลักโลกมนุษย์จมดิ่งสู่ความมืดมิด และทำให้มันเป็นไปเพื่อที่ว่าลูกหลานจะไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของเราอีกต่อไป  ที่น่าสะอิดสะเอียนมากยิ่งกว่าก็คือว่า แม้ในขณะที่มารร้ายทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและเหยียบย่ำพวกเขา มันกำลังกระชากสง่าราศีของเรา คำพยานของเรา พลังชีวิตที่เราได้มอบให้พวกเขา ลมหายใจและชีวิตที่เราได้เป่าเข้าไปในพวกเขา สง่าราศีทั้งหมดของเราในโลกมนุษย์ และโลหิตของหัวใจทั้งหมดที่เราได้ใช้กับมวลมนุษย์อย่างโหดร้าย  มนุษยชาติไม่ได้อยู่ในความสว่างอีกต่อไป ผู้คนได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มอบให้พวกเขา และพวกเขาได้ละทิ้งสง่าราศีที่เราได้ให้ไว้  พวกเขาสามารถรับรู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างทั้งมวลได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถเชื่อต่อไปในการดำรงอยู่ของเราในสวรรค์ได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถค้นพบการสำแดงต่างๆ ของสง่าราศีของเราบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  บรรดาหลานชายและหลานสาวเหล่านี้สามารถรับพระเจ้าซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาเองเคยยำเกรงในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสร้างพวกเขาได้อย่างไร?  บรรดาหลานชายและหลานสาวที่น่าสงสารเหล่านี้ได้ “มอบ” สง่าราศี ฉายา และคำพยานซึ่งเราได้ให้แก่อาดัมและเอวา รวมทั้งชีวิตซึ่งเราได้ให้แก่มวลมนุษย์และซึ่งพวกเขาพึ่งพาเพื่อที่จะดำรงอยู่ ให้กับมารร้ายอย่างมีน้ำใจ และพวกเขาไม่ใส่ใจในการปรากฏของมารร้ายอย่างที่สุด และมอบสง่าราศีของเราทั้งหมดให้กับมัน  นี่ไม่ใช่แหล่งที่มาที่แท้จริงของชื่อ “คนชั้นต่ำ” หรอกหรือ?  มวลมนุษย์เช่นนั้น บรรดาปีศาจชั่วร้ายเช่นนั้น บรรดาซากศพเดินได้เช่นนั้น บรรดาร่างจำแลงของซาตานเช่นนั้น เหล่าศัตรูเช่นนั้นของเราจะสามารถครองสง่าราศีของเราได้อย่างไร?  เราจะกลับเข้าครองสง่าราศีของเรา กลับเข้าครองคำพยานของเราซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ และทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเราและซึ่งเราได้มอบให้มวลมนุษย์นานมาแล้ว—เราจะพิชิตมวลมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ดี เจ้าควรรู้ว่าพวกมนุษย์ที่เราได้สร้างนั้นเป็นพวกคนบริสุทธิ์ซึ่งได้รับฉายาของเราและสง่าราศีของเรา  พวกเขาไม่ได้เป็นของซาตาน และพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การเหยียบย่ำของมัน แต่เป็นเพียงการสำแดงอย่างหนึ่งของเรา ซึ่งปราศจากร่องรอยของพิษของซาตานแม้แต่เพียงเล็กน้อย  และดังนั้น เราแจ้งต่อมนุษยชาติว่าเราต้องการเพียงสิ่งซึ่งถูกสร้างด้วยมือของเรา บรรดาคนบริสุทธิ์ที่เรารักและซึ่งไม่ได้เป็นของแก่นแท้อื่นใด  ยิ่งไปกว่านั้น เราจะมีความพอใจในตัวพวกเขาและพิจารณาพวกเขาว่าเป็นสง่าราศีของเรา  อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่มวลมนุษย์ซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว ซึ่งเป็นของซาตานในวันนี้ และซึ่งไม่ใช่สรรพสิ่งดั้งเดิมที่เราสร้างอีกต่อไป  เพราะเราเจตนาที่จะกลับเข้าครองสง่าราศีของเราซึ่งมีอยู่ในโลกมนุษย์ เราจะพิชิตบรรดาผู้รอดชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงสง่าราศีของเราในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้  เราถือว่าคำพยานของเราเท่านั้นเป็นการตกผลึกของตัวเราเอง เป็นวัตถุแห่งความชื่นชมยินดีของเรา  นี่คือเจตจำนงของเรา

ต้องใช้เวลาหลายหมื่นปีในประวัติศาสตร์เพื่อให้มวลมนุษย์มาถึงที่ที่ดำรงอยู่ในวันนี้ กระนั้นมวลมนุษย์ที่เราสร้างขึ้นในปฐมกาลก็จมดิ่งอยู่กับความเสื่อมถอยมานานแล้ว  มนุษยชาติไม่ใช่มนุษยชาติที่เราพึงปรารถนาอีกต่อไป และด้วยเหตุนี้ ในสายตาของเรา ผู้คนจึงไม่สมควรได้ชื่อว่ามวลมนุษย์อีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเป็นเศษสวะของมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานจับเป็นเชลย เป็นซากศพเดินได้ที่เน่าเปื่อยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของซาตาน และเป็นสิ่งที่ซาตานใช้สวมใส่  ผู้คนไม่ไว้ใจการดำรงอยู่ของเรา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ต้อนรับการมาของเรา  มวลมนุษย์เพียงแค่ตอบสนองต่อคำร้องขอต่างๆ ของเราอย่างไม่เต็มใจ ยอมตามคำขอเหล่านั้นอย่างเป็นการชั่วคราว และไม่แบ่งปันความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าต่างๆ ของชีวิตกับเราอย่างจริงใจ  เนื่องจากผู้คนเห็นว่าเรานั้นไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ พวกเขาจึงมอบรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจให้เรา ท่าทีของพวกเขาเป็นแบบที่พยายามเริ่มมีสัมพันธภาพกับผู้ที่มีอำนาจ เพราะผู้คนไม่มีความรู้เรื่องงานของเรา และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจตจำนงของเรา ณ ปัจจุบัน  เราจะซื่อสัตย์กับพวกเจ้า กล่าวคือ เมื่อวันนั้นมาถึง ความทุกข์ของใครก็ตามที่นมัสการเราจะแบกรับง่ายกว่าของพวกเจ้า  อันที่จริงแล้ว ระดับของความเชื่อในเราของเจ้าไม่เกินระดับของความเชื่อของโยบ—แม้แต่ความเชื่อของพวกฟาริสีชาวยิวยังเหนือกว่าความเชื่อของพวกเจ้า—และดังนั้น หากวันแห่งไฟลงมา ความทุกข์ของพวกเจ้าจะรุนแรงกว่าความทุกข์ของพวกฟาริสีเมื่อถูกพระเยซูทรงว่ากล่าว รุนแรงกว่าความทุกข์ของผู้นำ 250 คนที่ได้ต่อต้านโมเสส และรุนแรงกว่าความทุกข์ของโสโดมภายใต้เปลวไฟที่แผดเผาของการทำลายล้างของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร

มนุษยชาตินี้ได้กลายเป็นเสื่อมทรามอย่างสุดขีด  ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใด หรือตัวพวกเขาเองได้มาจากที่ใด  หากเจ้ากล่าวถึงพระเจ้ากับพวกเขา พวกเขาจะโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี และหมิ่นประมาท  แม้กระทั่งเมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มาเพื่อเผยแพร่คำเตือนของพระองค์ ผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่แสดงสัญญาณของการกลับใจและไม่เลิกการประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาได้ทำร้ายผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างไม่เกรงกลัว  สิ่งที่พวกเขาแสดงออกและเผยออกมาคือแก่นแท้ธรรมชาติแห่งความเป็นปรปักษ์สุดขีดต่อพระเจ้าของพวกเขา  พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าการต้านทานพระเจ้าของผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้เป็นมากกว่าการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา เช่นเดียวกับการที่มันเป็นมากกว่าเหตุการณ์ใส่ร้ายป้ายสีหรือเย้ยหยันซึ่งมาจากการขาดพร่องความเข้าใจความจริงแค่นั้น  การประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาไม่ได้มีสาเหตุมาจากทั้งความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พวกเขาได้กระทำในหนทางนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ถูกหลอก และแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ถูกทำให้หลงเข้าใจผิด  การประพฤติของพวกเขาได้มาถึงระดับของการเป็นปรปักษ์ การต่อต้าน และการแสดงความคิดเห็นต่อต้านพระเจ้าโดยไม่เกรงกลัวอย่างโจ่งแจ้งแล้ว  พฤติกรรมของมนุษย์ประเภทนี้จะทำให้พระเจ้าทรงเดือดดาลอย่างไม่มีข้อสงสัย และมันจะทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เดือดดาล—พระอุปนิสัยที่ต้องไม่ได้รับการทำให้ขุ่นเคือง  ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์และพระบารมีของพระองค์ออกมาโดยตรงอย่างเปิดเผย นี่คือการเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างแท้จริง  เมื่อเผชิญหน้ากับเมืองที่ท่วมท้นไปด้วยบาป พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำลายมันในลักษณะที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กำจัดผู้คนภายในเมืองนั้นและทั้งหมดทั้งปวงของบาปของพวกเขาในวิธีที่ครบบริบูรณ์มากที่สุด ทำให้ผู้คนในเมืองนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป และหยุดบาปภายในสถานที่นี้ไม่ให้ทวีคูณขึ้น  วิธีที่รวดเร็วที่สุดและครบบริบูรณ์มากที่สุดในการดำเนินการดังกล่าวคือการเผามันให้มอดไหม้ด้วยไฟ  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองโสโดมไม่ใช่ท่าทีของการทิ้งขว้างหรือความเฉยเมย  แต่พระองค์ทรงใช้พระพิโรธ พระบารมี และสิทธิอำนาจของพระองค์ในการลงโทษ บดขยี้ และทำลายผู้คนเหล่านี้ให้สิ้นซาก  ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาไม่ใช่ท่าทีของการทำลายล้างทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายล้างดวงจิตซึ่งเป็นการกำจัดชั่วนิรันดร์ด้วยเช่นกัน  นี่คือความหมายโดยนัยที่แท้จริงของสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงจากคำว่า “ไม่มีอยู่อีกต่อไป”

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

การปฏิบัติของพระเจ้าต่อมนุษยชาติทั้งหมดที่เบาปัญญาและไม่รู้เท่าทันอย่างที่มนุษยชาติเป็นนั้น โดยหลักแล้วมีพื้นฐานอยู่บนความปรานีและการทนยอมรับ  ในทางตรงกันข้าม พระพิโรธของพระองค์ได้รับการปกปิดไว้เป็นส่วนใหญ่ในสถานการณ์ส่วนมาก และไม่เป็นที่รับรู้ของมนุษย์  ดังนั้น จึงเป็นการยากที่มนุษย์จะได้เห็นพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการยากด้วยเช่นกันที่จะเข้าใจพระพิโรธของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จึงเห็นพระพิโรธของพระเจ้าเป็นของเล่น  เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับพระราชกิจและขั้นตอนสุดท้ายในการทนยอมรับและการอภัยโทษให้มนุษย์ของพระเจ้า—นั่นคือ เมื่อความปรานีครั้งสุดท้ายของพระเจ้าและคำเตือนสุดท้ายของพระองค์มาถึงมวลมนุษย์—หากผู้คนยังคงใช้วิธีการเดียวกันในการต่อต้านพระเจ้าและไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ ในการกลับใจ ในการทำให้วิธีของพวกเขาถูกต้อง และยอมรับความปรานีของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ประทานการทนยอมรับและความอดทนของพระองค์ให้แก่พวกเขาอีกต่อไป  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าจะทรงถอนความปรานีของพระองค์ในครั้งนี้กลับ  หลังจากนี้ พระเจ้าจะเพียงทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไปเท่านั้น  พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ในหนทางต่างๆ หลายหนทาง เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถใช้วิธีการต่างๆ เพื่อลงโทษและทำลายผู้คน

การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองโสโดมคือวิธีการที่รวดเร็วที่สุดของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษยชาติหรือสิ่งอื่นใดให้สิ้นซาก  การเผาผู้คนเมืองโสโดมได้ทำลายมากกว่าร่างกายทางกายภาพของพวกเขา มันได้ทำลายทั้งหมดทั้งปวงของจิตวิญญาณของพวกเขา ดวงจิตของพวกเขา และร่างกายของพวกเขา ซึ่งทำให้แน่ใจว่าผู้คนภายในเมืองจะไม่มีอยู่อีกต่อไปทั้งในโลกวัตถุและโลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์  นี่คือหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเผยและแสดงถึงพระพิโรธของพระองค์  ลักษณะการเผยและการแสดงออกนี้คือแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่ยังเป็นการเผยเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าตามธรรมชาติด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป พระองค์ทรงหยุดเผยความปรานีหรือความเมตตาใดๆ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงแสดงการทนยอมรับหรือความอดทนใดๆ ของพระองค์อีก ไม่มีบุคคล สิ่งของ หรือเหตุผลใดที่สามารถโน้มน้าวพระองค์ให้ทรงอดทนต่อไป ให้ประทานความปรานีของพระองค์อีกครั้ง ให้ประทานการทนยอมรับของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง  พระเจ้าส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มาแทนที่สิ่งเหล่านี้โดยปราศจากความลังเลสักชั่วขณะหนึ่ง และทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา  พระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่รวดเร็วและหมดจดตามความปรารถนาของพระองค์เอง  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มา ซึ่งมนุษย์ต้องไม่ล่วงเกิน และยังเป็นการแสดงออกถึงแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ด้วยเช่นกัน  เมื่อผู้คนเป็นประจักษ์พยานในการที่พระเจ้าทรงแสดงความกังวลและความรักต่อมนุษย์ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะสังเกตพบพระพิโรธของพระองค์ มองเห็นพระบารมีของพระองค์ หรือรู้สึกถึงความไม่ยอมผ่อนปรนที่พระองค์ทรงมีต่อการถูกล่วงเกิน  สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเป็นอุปนิสัยแห่งความปรานี การทนยอมรับ และความรักอย่างเดียวเท่านั้นมาโดยตลอด  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนเห็นพระเจ้าทรงทำลายเมืองหรือทรงรังเกียจมนุษยชาติ ความเดือดดาลของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษย์และพระบารมีของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง  นี่คือความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้า  พระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินใดๆ นั้นเกินกว่าจินตนาการของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ และท่ามกลางสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกแซงสิ่งนี้หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งนี้ได้ นับประสาอะไรที่สิ่งนี้จะสามารถถูกปลอมแฝงหรือเอาอย่างได้  ด้วยเหตุนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมนี้คือแง่มุมที่มนุษยชาติควรรู้เป็นที่สุด  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีพระอุปนิสัยประเภทนี้ และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ครอบครองพระอุปนิสัยประเภทนี้  พระเจ้าทรงครอบครองพระอุปนิสัยอันชอบธรรมประเภทนี้เพราะพระองค์ทรงรังเกียจความชั่วร้าย ความมืด ความเป็นกบฏ และการกระทำอันเลวของซาตาน—ซึ่งก็คือการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและกลืนกินมวลมนุษย์—เพราะพระองค์ทรงรังเกียจการทำบาปทั้งปวงซึ่งต่อต้านพระองค์ และเพราะแก่นแท้ของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และปราศจากความมัวหมอง  เป็นเพราะการนี้นั่นเองพระองค์จึงจะไม่ทรงทนทุกข์กับการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ต่อต้านหรือแข่งขันกับพระองค์อย่างเปิดเผย  แม้แต่ผู้ที่พระองค์เคยทรงแสดงความปรานีให้หนึ่งครั้งหรือผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ หากแค่พวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์และฝ่าฝืนหลักธรรมแห่งความอดทนและการทนยอมรับของพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดปล่อยและเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน โดยไม่มีความปรานีหรือการลังเลโดยแม้แต่น้อย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

ในสายพระเนตรของพระเจ้ามีขีดจำกัดในความอดทนของพระองค์ต่อความเสื่อมทรามของมนุษย์ ต่อความโสโครก ความโหดร้าย และความเป็นกบฏของมนุษย์ทั้งหมด  อะไรคือขีดจำกัดของพระองค์?  ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทราม เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน”  วลีที่ว่า “เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน” หมายความว่าอะไร?  มันหมายความว่าสิ่งมีชีวิตอันใด รวมถึงพวกที่ได้ติดตามพระเจ้า พวกที่ได้ร้องเรียกพระนามของพระเจ้า พวกที่ครั้งหนึ่งได้เคยทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระเจ้า พวกที่ได้ยอมรับรู้พระเจ้าด้วยวาจา และถึงกับสรรเสริญพระเจ้า—ทันทีที่พฤติกรรมของพวกเขาเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม และไปถึงพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ก็จะต้องทำลายพวกเขา  นั่นคือขีดจำกัดของพระเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจะยังคงทรงอดทนต่อมนุษย์และความเสื่อมทรามของมนุษย์ทั้งหมดถึงระดับใด?  ถึงระดับที่ผู้คนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตามของพระเจ้าหรือผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ได้กำลังเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง  ถึงระดับที่มนุษย์ไม่ได้เพียงเสื่อมทรามทางศีลธรรม และเต็มไปด้วยความชั่ว แต่ในที่ที่ไม่มีใครสักคนได้เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีผู้ใดที่ได้เชื่อว่าโลกถูกปกครองโดยพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าสามารถนำความสว่างและเส้นทางที่ถูกต้องมาให้มนุษย์ได้  ถึงระดับที่มนุษย์ได้ดูหมิ่นการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และไม่อนุญาตให้พระเจ้าทรงดำรงอยู่  ทันทีที่ความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้ไปถึงจุดนี้ พระเจ้าก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป  อะไรจะมาแทนที่เล่า?  การมาถึงของพระพิโรธและการลงโทษของพระเจ้านั่นเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

พระเจ้าปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์เพราะสิ่งที่อยุติธรรม เป็นลบ และเลว คอยขัดขวาง รบกวน หรือทำลายกิจกรรมและพัฒนาการที่ปกติของสิ่งทั้งหลายที่ยุติธรรมและเป็นบวก  เป้าหมายของโทสะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อพิทักษ์สภาวะและพระอัตลักษณ์ของพระองค์เอง แต่เพื่อพิทักษ์การดำรงอยู่ของสิ่งที่ยุติธรรม เป็นบวก สวยงาม และดี เพื่อพิทักษ์ธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่รอดโดยปกติของมนุษยชาติ  นี่คือสาเหตุที่เป็นรากเหง้าของพระพิโรธของพระเจ้า  ความเดือดดาลของพระเจ้าคือการเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรมชาติ และแท้จริงอย่างยิ่ง  ในความเดือดดาลของพระองค์ไม่มีแรงจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหลอกลวงหรือการคิดแผนการ นับประสาอะไรที่จะมีความอยากได้อยากมี ความมีเล่ห์เหลี่ยม ความมุ่งร้าย ความรุนแรง ความเลว หรือลักษณะอื่นใดที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามมีร่วมกัน  ก่อนที่พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยความเดือดดาลของพระองค์ออกไป พระองค์ได้ทรงล่วงรู้แก่นแท้ของทุกเรื่องอย่างชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งแล้ว และพระองค์ได้ทรงกำหนดคำจำกัดความและข้อสรุปที่ถูกต้องแม่นยำและชัดเจนแล้ว  ดังนั้น วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่นเดียวกับท่าทีของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ทรงสับสนปนเป หูหนวกตาบอด หุนหันพลันแล่น หรือไม่ระมัดระวัง และพระองค์ไม่ได้ทรงขาดหลักการอย่างแน่นอน  นี่คือแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้า และมวลมนุษย์ได้บรรลุการดำรงอยู่ที่ปกติก็เพราะแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้านี้นั่นเอง  หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า มนุษยชาติคงจะลงมาสู่สภาวะการใช้ชีวิตที่ผิดปกติ และทุกสรรพสิ่งที่ยุติธรรม สวยงาม และดีงามจะถูกทำลายและไม่มีอยู่อีกต่อไป  หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า ธรรมบัญญัติและกฎการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะถูกทำลาย หรือแม้กระทั่งถูกล้มล้างอย่างสมบูรณ์  นับตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่องเพื่อพิทักษ์และค้ำชูการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ  เพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์กอปรด้วยพระพิโรธและพระบารมี ผู้คน สิ่งของ และวัตถุทั้งหมดที่เลว และทุกสรรพสิ่งที่รบกวนและทำความเสียหายต่อการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษย์จึงถูกลงโทษ ควบคุม และทำลายเนื่องจากพระพิโรธของพระองค์  ในช่วงระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อบดขยี้และทำลายบรรดาวิญญาณชั่วและมีมลทินทุกประเภทที่ต่อต้านพระเจ้าและกระทำการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตานในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้า  ดังนั้น พระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รุดหน้าไปตามแผนของพระองค์อยู่เสมอ  นี่จึงกล่าวได้ว่า เนื่องจากการมีอยู่ของพระพิโรธของพระเจ้า ความถูกต้องชอบธรรมที่สุดในหมู่มวลมนุษย์จึงไม่เคยถูกทำลาย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

งานของเราใช้เวลานานแค่หกพันปี และเราได้สัญญาว่าการควบคุมมวลมนุษย์ทั้งปวงของมารร้ายก็จะใช้เวลาไม่เกินหกพันปีเช่นกัน  ดังนั้น บัดนี้หมดเวลาแล้ว  เราจะไม่ดำเนินการต่อหรือหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป นั่นคือ ในระหว่างยุคสุดท้าย เราจะพิชิตซาตาน เราจะเอาสง่าราศีของเราทั้งหมดคืนมา และเราจะเรียกคืนวิญญาณทั้งหมดที่เป็นของเราบนแผ่นดินโลก เพื่อที่วิญญาณที่ทุกข์ยากเหล่านี้อาจหนีพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้ และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการสรุปปิดตัวงานทั้งหมดของเราบนแผ่นดินโลก  นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่มีวันบังเกิดเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกอีก และวิญญาณแห่งการควบคุมทั้งหมดของเราจะไม่มีวันทำงานบนแผ่นดินโลกอีก  เราจะทำเพียงสิ่งเดียวบนแผ่นดินโลก นั่นคือ เราจะสร้างมวลมนุษย์ขึ้นใหม่ เป็นมวลมนุษย์ที่บริสุทธิ์และเป็นเมืองที่สัตย์ซื่อของเราบนแผ่นดินโลก  แต่จงรู้ไว้ว่าเราจะไม่ทำลายล้างโลกทั้งหมด อีกทั้งเราจะไม่ทำลายล้างมวลมนุษย์ทั้งปวง เราจะเก็บหนึ่งในสามที่เหลืออยู่นั้นเอาไว้—หนึ่งในสามที่รักเราและได้ถูกเราพิชิตอย่างถ้วนทั่วแล้ว และเราจะทำให้หนึ่งในสามนี้เกิดผลและทวีคูณบนแผ่นดินโลกเช่นเดียวกับที่คนอิสราเอลได้ทำภายใต้ธรรมบัญญัติ โดยบำรุงเลี้ยงพวกเขาด้วยแกะและฝูงปศุสัตว์ใช้งานมากมาย และความมั่งคั่งทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก  มวลมนุษย์นี้จะคงอยู่กับเราตลอดไป แต่จะไม่ใช่มวลมนุษย์ที่โสมมอย่างน่าเสียดายของวันนี้ แต่เป็นมวลมนุษย์ที่เป็นชุมนุมชนของบรรดาผู้ที่เราได้รับไว้แล้วทั้งหมด  มวลมนุษย์เช่นนี้จะไม่ถูกซาตานทำให้เสียหาย รบกวน หรือล้อมกรอบ และจะเป็นมวลมนุษย์หนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกหลังจากที่เราได้ชัยชนะเหนือซาตานแล้ว  เป็นมวลมนุษย์ที่เราได้พิชิตในวันนี้ และได้รับคำสัญญาของเราแล้ว  และดังนั้น มวลมนุษย์ที่ได้รับการพิชิตแล้วในระหว่างยุคสุดท้ายก็คือมวลมนุษย์ที่จะได้รับการละเว้นและจะได้รับพรนิรันดร์กาลของเราอีกด้วย  มวลมนุษย์จะเป็นหลักฐานเดียวแห่งชัยชนะของเราเหนือซาตาน และเป็นของที่ริบมาหนึ่งเดียวจากการสู้รบของเรากับซาตาน  ของที่ริบมาจากสงครามเหล่านี้ได้รับการช่วยให้รอดจากอำนาจของซาตานโดยเรา และเป็นการตกผลึกและผลหนึ่งเดียวของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของเรา  พวกเขามาจากทุกชาติและทุกนิกาย จากทุกสถานที่และทุกประเทศทั่วทั้งจักรวาล  พวกเขามีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน มีภาษา ขนบธรรมเนียม และสีผิวที่แตกต่างกัน และพวกเขาก็กระจายอยู่ทั่วทุกชาติและทุกนิกายของโลก และแม้กระทั่งทุกมุมของโลก  ในที่สุดพวกเขาก็จะมารวมตัวกันเพื่อสร้างมวลมนุษย์ที่ครบบริบูรณ์ เป็นชุมนุมชนของมนุษย์ที่กำลังบังคับของซาตานไม่สามารถเข้าถึงได้  พวกที่อยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ไม่ได้รับการช่วยให้รอดและการพิชิตโดยเรา จะจมเงียบไปในความลึกแห่งทะเล และจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟที่เผาผลาญของเราไปตลอดชั่วกัลปาวสาน  เราจะทำลายล้างมวลมนุษย์เก่าๆ ที่โสมมอย่างยิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่เราได้ทำลายล้างบรรดาบุตรหัวปีและฝูงปศุสัตว์ของประเทศอียิปต์ โดยให้เหลืออยู่เพียงคนอิสราเอลเท่านั้น ผู้ซึ่งกินเนื้อลูกแกะ ดื่มเลือดลูกแกะ และป้ายขื่อประตูด้วยเลือดลูกแกะ  ผู้คนที่ได้ถูกเราพิชิตแล้วและอยู่ในครอบครัวของเราไม่ได้เป็นผู้คนที่กินเนื้อพระเมษโปดกซึ่งก็คือเรา และดื่มพระโลหิตของพระเมษโปดกซึ่งก็คือเรา และได้รับการไถ่บาปโดยเราและนมัสการเราด้วยหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้มาพร้อมกับสง่าราศีของเราตลอดหรอกหรือ?  บรรดาพวกที่อยู่โดยปราศจากเนื้อพระเมษโปดกซึ่งก็คือ เรานั้น ไม่ได้จมลงอย่างเงียบเชียบไปในความลึกแห่งท้องทะเลแล้วหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ไม่มีใครที่มีเนื้อหนังสามารถหลีกหนีวันแห่งพระพิโรธได้

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าจะทรงฟื้นฟูความหมายของการทรงสร้างมนุษย์ของพระองค์

สัญลักษณ์แห่งชัยชนะของพระเจ้า

มวลมนุษย์ได้ยุติการเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์

พระเจ้าทรงธำรงรักษาการดำรงอยู่ของมนุษย์ด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์

ก่อนหน้า: ค) วิธีที่พระเจ้าทรงนำบทอวสานมาสู่ยุคมืดภายใต้การปกครองของซาตานในยุคสุดท้าย

ถัดไป: ก) สิ่งที่เป็นพื้นฐานของการที่พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของบุคคล

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger