สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ตลอดหลายปีที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและฟังคำเทศนามา บางคนเกิดความเข้าใจบางอย่างในตัวเอง บางคนสามารถพูดถึงประสบการณ์จริงบางอย่าง และสามัคคีธรรมถึงสภาวะที่แท้จริงของตน การเข้าสู่และความคืบหน้าในส่วนของตน ข้อเสีย รวมถึงแผนในการเข้าสู่ของตนได้  แต่ก็มีบางคนที่ขาดความเข้าใจในตัวเอง และมีบางคนที่พูดถึงประสบการณ์จริงของตนไม่ได้เลย  พวกเขาทำได้เพียงพูดถึงเรื่องภายนอก เช่น คำสอน งานภายนอก สถานการณ์ปัจจุบัน และความคืบหน้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตหรือประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นรูปธรรมเลย  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังไม่อยู่ในครรลองที่ถูกต้องของการเข้าสู่ชีวิต  การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม อีกทั้งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เสแสร้งจากภายนอกหรือการปรับเปลี่ยนชั่วคราวที่ทำขึ้นเพราะความกระตือรือร้น  ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะดีเพียงใด ก็ไม่สามารถแทนที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงภายนอกเหล่านี้สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยความพยายามของมนุษย์ แต่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยความพยายามของคนเราแต่เพียงอย่างเดียว  พึงต้องมีการผ่านประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงของพระเจ้า รวมทั้งการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงจะสัมฤทธิ์การนี้  แม้ว่าผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจะแสดงพฤติกรรมที่ดีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีพวกเขาแม้สักคนเดียวที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง รักพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เป็นเพราะว่านี่พึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต และการเปลี่ยนแปลงเพียงพฤติกรรมย่อมไม่เพียงพอ  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหมายความว่าเจ้ามีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับความจริง และความจริงได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า ว่าความจริงสามารถชี้นำและมีอำนาจครอบครองชีวิตของเจ้าและทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเจ้า  นี่คือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า  เฉพาะผู้คนที่มีความจริงเสมือนเป็นชีวิตเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนไปแล้ว  ในอดีตอาจมีความจริงบางอย่างที่เจ้าไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้เวลาที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านั้น แต่บัดนี้เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจโดยปราศจากอุปสรรคหรือความลำบากยากเย็น  เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง เจ้าย่อมพบว่าตนเองเปี่ยมด้วยสันติและความสุข แต่หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดและมโนธรรมของเจ้าก็จะถูกรบกวน  เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงในทุกสิ่ง ดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และมีรากฐานของการใช้ชีวิต  นี่หมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  บัดนี้เจ้าสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า ความชอบและการไล่ตามไขว่คว้าทางด้านเนื้อหนังของเจ้า และสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้มาก่อน  เจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นประเสริฐโดยแท้ และการปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดที่ควรจะทำ  นี่หมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยฟังดูง่ายมาก แต่อันที่จริงเป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันกับประสบการณ์มากมาย  ในช่วงนี้ผู้คนจำเป็นต้องทุกข์ทนกับความยากลำบากมากมาย พวกเขาจำเป็นต้องสยบร่างกายของตนเองและละทิ้งเนื้อหนังของตน พวกเขาจำเป็นต้องทุกข์ทนกับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง การจัดการ บททดสอบ และกระบวนการถลุงอีกด้วย และพวกเขายังจำเป็นต้องผ่านประสบการณ์กับความล้มเหลว การล้ม การดิ้นรนต่อสู้ภายใน และความทรมานมากมายในหัวใจของพวกเขาด้วย  หลังจากมีประสบการณ์เหล่านี้แล้วเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของตนเองได้บ้าง แต่การมีความเข้าใจอยู่บ้างนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ในทันที พวกเขาต้องก้าวผ่านประสบการณ์อันยาวนานก่อนที่พวกเขาจะสามารถกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปได้ทีละเล็กทีละน้อยในที่สุด  นี่คือสาเหตุที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเผยให้เห็นความเสื่อมทรามในเรื่องหนึ่ง เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ในทันทีที่เจ้าตระหนักถึงความเสื่อมทรามนั้นหรือ?  เจ้าไม่สามารถ  เมื่อความเข้าใจดำเนินมาถึงระยะนี้ ผู้อื่นจะตัดแต่งเจ้าและจัดการเจ้า และแล้วสภาพแวดล้อมของเจ้าก็จะเคี่ยวเข็ญและบีบบังคับเจ้าให้กระทำการตามหลักธรรมของความจริง  บางครั้งเจ้ายังทำใจให้ทำเช่นนั้นไม่ได้ และเจ้าพูดกับตนเองว่า “ฉันต้องทำเช่นนี้หรือ?  ทำไมฉันถึงทำในแบบที่ฉันต้องการไม่ได้?  ทำไมจึงขอให้ฉันปฏิบัติความจริงอยู่เสมอ?  ฉันไม่อยากทำแบบนี้ ฉันเบื่อแล้ว!”  การผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าพึงต้องก้าวผ่านกระบวนการดังต่อไปนี้คือ จากการลังเลที่จะปฏิบัติความจริงไปสู่การปฏิบัติความจริงด้วยความเต็มใจ จากการคิดลบและความอ่อนแอไปสู่ความเข้มแข็งและความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนัง  เมื่อผู้คนมีประสบการณ์ไปถึงจุดหนึ่ง แล้วก้าวผ่านบททดสอบและกระบวนการถลุงบางอย่าง และเกิดความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าและความจริงบางอย่างในท้ายที่สุด เมื่อนั้นพวกเขาก็ค่อนข้างจะมีความสุขและเต็มใจที่จะกระทำการตามหลักธรรมของความจริง  ณ จุดเริ่มต้น ผู้คนลังเลที่จะปฏิบัติความจริง  ขอให้ดูการอุทิศตนทำหน้าที่ของคนเราให้ลุล่วงเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ เจ้ามีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงและการอุทิศตนเพื่อพระเจ้า และเจ้ามีความเข้าใจในความจริงอยู่บ้างอีกด้วย แต่เมื่อใดเล่าที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะอุทิศตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ได้?  เมื่อใดเจ้าจะมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงได้ทั้งในนามและการกระทำ?  การนี้พึงจะต้องมีกระบวนการหนึ่ง  ในระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าอาจทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย  ผู้คนบางคนอาจจัดการกับเจ้า และผู้อื่นอาจวิพากษ์วิจารณ์เจ้า  ดวงตาของทุกคนจะจ้องมองเจ้า พินิจพิเคราะห์เจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะเริ่มต้นตระหนักว่าเจ้าเป็นคนผิดและว่าเจ้าเป็นผู้ที่ยังทำได้ไม่ดีพอ ว่าการขาดพร่องการเฝ้าเดี่ยวในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และว่าเจ้าต้องไม่ขาดความเอาใจใส่หรือทำอย่างขอไปที!  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าจากภายใน และตำหนิเจ้าเมื่อเจ้าทำความผิดพลาด  ในระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าจะเกิดความเข้าใจในบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง และจะรู้ว่าเจ้ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์มากเกินไป เจ้าเก็บงำสิ่งจูงใจส่วนตัวมากเกินไป และมีความอยากอันเลยเถิดมากเกินไปเมื่อกำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง  ทันทีที่เจ้าได้เข้าใจแก่นแท้ของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเจ้าจะสามารถมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมีสำนึกกลับใจที่แท้จริง เจ้าก็ย่อมจะสามารถได้รับการชำระให้สะอาดจากสิ่งที่เสื่อมทรามเหล่านั้น  หากเจ้าแสวงหาความจริงในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้งเพื่อแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าเอง เจ้าจะค่อยๆ ย่างเท้าลงบนเส้นทางแห่งความเชื่อที่ถูกต้อง เจ้าจะเริ่มมีประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะเริ่มได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป  ยิ่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มากขึ้นเท่าใด อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าบัดนี้จะมีผู้คนมากมายกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ แต่โดยพื้นฐานแล้ว มีกี่คนที่กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน?  มีกี่คนที่สามารถยอมรับความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมของความจริง?  มีกี่คนที่ทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหลังจากที่อุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว?  ด้วยการตรวจสอบสิ่งเหล่านี้มากขึ้น เจ้าจะสามารถรู้ได้ว่าเจ้าทำได้ถึงมาตรฐานของการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าจริงหรือไม่ และเจ้าจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่  การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย นั่นไม่ได้หมายถึงแค่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมไม่กี่อย่าง การได้รับความรู้เกี่ยวกับความจริงบ้าง การมีความสามารถที่จะพูดคุยเล็กน้อยเกี่ยวกับประสบการณ์ของคนเรากับทุกแง่มุมของความจริง หรือมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง หรือหันมาเชื่อฟังบ้างเล็กน้อยหลังจากถูกบ่มวินัย  สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ประกอบกันขึ้นเป็นการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยชีวิตของคนเรา  เหตุใดเราจึงกล่าวการนี้?  แม้ว่าเจ้าอาจได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่เจ้ายังคงไม่นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ  บางทีเนื่องจากเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพียงชั่วคราว และสถานการณ์ก็เปิดทางให้ หรือรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันของเจ้าได้บังคับเจ้า เจ้าจึงได้ประพฤติตนในหนทางนี้  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าอารมณ์ดี เมื่อสภาวะของเจ้าเป็นปกติ และเมื่อเจ้ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติความจริง  แต่สมมุติว่าเจ้าอยู่ท่ามกลางบททดสอบ เมื่อเจ้ากำลังทนทุกข์เหมือนโยบท่ามกลางบททดสอบของเจ้า หรือเจ้ากำลังเผชิญหน้าบททดสอบแห่งความตาย  เมื่อสิ่งนี้มาถึง เจ้าจะยังคงสามารถปฏิบัติความจริงและตั้งมั่นในคำพยานได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถกล่าวบางสิ่งคล้ายที่เปโตรกล่าวไว้ได้หรือไม่ว่า “ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากที่ได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ตายอย่างเปรมปรีดิ์และมีความสุขได้อย่างไร?”  เปโตรให้ค่ากับสิ่งใด?  สิ่งที่เปโตรให้ค่าคือการเชื่อฟัง และเขาถือว่าการรู้จักพระเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงสามารถเชื่อฟังได้จนวันตาย  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ต้องใช้ประสบการณ์ชั่วชีวิตจึงจะสัมฤทธิ์  การเข้าใจความจริงนั้นง่ายกว่าเล็กน้อย แต่การสามารถปฏิบัติความจริงในบริบทต่างๆ กลับยาก  เหตุใดผู้คนจึงมีปัญหาอยู่เสมอกับการนำความจริงไปปฏิบัติ?  ในข้อเท็จจริงแล้ว ความลำบากยากเย็นเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน และล้วนเป็นอุปสรรคขัดขวางที่มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องทนทุกข์อย่างมากและยอมลำบากเพื่อที่จะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  หากเจ้าไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าย่อมจะไม่ต้องทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อที่จะปฏิบัติความจริง  นี่คือข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดมิใช่หรือ?  บางครั้งมันอาจดูราวกับว่าเจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติของการกระทำของเจ้าไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังทำเช่นนั้นอยู่  เมื่อติดตามพระเจ้า ผู้คนมากมายสามารถตัดครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาทิ้งและทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยสามารถให้คำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์  เกิดอะไรขึ้นตรงจุดนี้กันแน่?  เมื่อประเมินพวกเขาตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พวกเขาดูเหมือนกำลังปฏิบัติความจริง  กระนั้นพระเจ้าก็หาได้ทรงยอมรับไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่คือการปฏิบัติความจริง  หากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำมีสิ่งจูงใจส่วนตัวอยู่เบื้องหลังและมีการปลอมปน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นเหม่ที่จะเบี่ยงเบนจากหลักธรรม และไม่สามารถพูดได้ว่ากำลังปฏิบัติความจริง นี่เป็นเพียงการประพฤติปฏิบัติอย่างหนึ่งเท่านั้น  พูดให้ถูกต้องก็คือการประพฤติปฏิบัติเยี่ยงนี้ของเจ้าน่าจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษ พระองค์จะไม่ทรงสรรเสริญหรือระลึกถึงการประพฤติปฏิบัติเช่นนี้  เมื่อชำแหละเรื่องนี้ต่อไปจนถึงแก่นแท้และรากเหง้าของมันแล้ว เจ้าก็คือคนทำชั่ว และพฤติกรรมภายนอกของเจ้าก็กอปรกันขึ้นเป็นการต่อต้านพระเจ้า  จากภายนอก เจ้าไม่ได้กำลังขัดจังหวะหรือรบกวนสิ่งใด และเจ้าก็ยังไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายที่แท้จริง  มันดูเหมือนจะมีเหตุผลและเข้าใจได้ แต่ภายในมีสิ่งปนเปื้อนจากมนุษย์ มีเจตนาเยี่ยงมนุษย์ และแก่นแท้ของการกระทำของเจ้าก็คือแก่นแท้ของการทำชั่วและต้านทานพระเจ้า  ดังนั้นเจ้าควรที่จะกำหนดว่ามีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าแล้วหรือยัง และเจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่ โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าและมองดูสิ่งจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเจ้าเอง  นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าการกระทำของเจ้าคล้อยตามความคิดฝันแบบมนุษย์และความคิดอ่านของมนุษย์หรือไม่ หรือว่าการกระทำเหล่านั้นเหมาะสมกับรสนิยมของเจ้าหรือไม่ สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นไม่สำคัญเลย  ตรงกันข้าม มันขึ้นอยู่กับการตรัสของพระเจ้าว่าเจ้ากำลังคล้อยตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ ว่าการกระทำของเจ้ามีความเป็นจริงของความจริงหรือไม่ และว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นไปตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระองค์หรือไม่  การประเมินวัดตัวเจ้าเองกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำ  การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยและการนำความจริงมาปฏิบัติไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายและง่ายดายอย่างที่ผู้คนจินตนาการ  เจ้าเข้าใจถึงการนี้ในตอนนี้หรือไม่?  เจ้ามีประสบการณ์ใดๆ กับการนี้หรือไม่?  เมื่อพูดถึงแก่นแท้ของปัญหา พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจมัน การเข้าสู่ของพวกเจ้าได้เป็นไปโดยผิวเผินอย่างเกินควร  พวกเจ้าวิ่งวุ่นดำเนินงานทั้งวัน จากรุ่งอรุณจนถึงพลบค่ำ ตื่นแต่เช้าตรู่และเข้านอนดึก ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า และพวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในทางอุปนิสัยคืออะไร  นี่หมายถึงการเข้าสู่ของเจ้านั้นตื้นเขินเกินไป ใช่หรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะได้เชื่อพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเจ้าอาจไม่สำนึกรับรู้ถึงแก่นแท้และสิ่งทั้งหลายที่ลึกซึ้งที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  อาจกล่าวได้หรือไม่ว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงแล้ว?  เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงสรรเสริญเจ้าหรือไม่?  อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะรู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษหรือเป็นธรรมดาเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และเจ้าจะรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทรงพระราชกิจในตัวเจ้า ขณะที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ขณะที่เจ้ากำลังทำงานใดๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือทำงานทั่วไป  การประพฤติของเจ้าจะเข้ากันได้อย่างกลมเกลียวกับพระวจนะของพระเจ้า และทันทีที่เจ้าได้รับประสบการณ์ในระดับใดระดับหนึ่งแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าวิธีที่เจ้ากระทำการในอดีตนั้นค่อนข้างจะเหมาะสม  อย่างไรก็ตาม หากหลังจากที่ได้รับประสบการณ์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เจ้ารู้สึกว่าบางสิ่งที่เจ้าเคยทำในอดีตนั้นไม่เหมาะสม และเจ้าไม่พอใจในสิ่งเหล่านั้น และรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วนี่พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำไปนั้นเป็นไปเพื่อต้านทานพระเจ้า  เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการปรนนิบัติของเจ้าเต็มไปด้วยการเป็นกบฏ การต้านทานและหนทางลงมือกระทำการของมนุษย์ ว่าเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้อย่างสิ้นเชิง  ด้วยสามัคคีธรรมนี้ ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนหรือยังว่าพวกเจ้าควรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างไร?  โดยปกติแล้วพวกเจ้าอาจไม่หารือกันถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า และแทบไม่สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนตัว  อย่างดีที่สุดเจ้าก็สามัคคีธรรมว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ฉันทำตัวนิ่งเฉย  จากนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันในข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าผู้เชื่อต้องถูกทดสอบ  ฉันไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง และคิดได้ว่ามันย่อมเป็นเช่นนั้น  ฉันยังมีแง่มุมที่ไร้ซึ่งความภักดีขณะปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย ดังนั้น ฉันจึงได้แต่ยอมรับ  ผ่านไปสักระยะ แรงจูงใจของฉันก็กลับมา และฉันก็ไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป”  หลังจากสามัคคีธรรม คนอื่นๆ ก็พูดด้วยว่า “สภาวะของพวกเราเหมือนกันมากเลยทีเดียว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราก็ด้วย”  หากเจ้าสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ นั่นย่อมจะเป็นปัญหา—เจ้าจะไม่เข้าใจแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ หรือมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อมากี่ปี อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

โดยหลักแล้ว การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของบุคคล  สิ่งทั้งหลายในธรรมชาติของบุคคลหนึ่งนั้นไม่สามารถรับรู้ได้จากพฤติกรรมภายนอก  สิ่งเหล่านั้นสัมพันธ์โดยตรงกับคุณค่าและนัยสำคัญของการดำรงอยู่ของพวกเขา ทัศนะที่พวกเขามีต่อชีวิตและค่านิยมทั้งหลายของพวกเขา รวมทั้งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในห้วงลึกของดวงจิตของพวกเขา และแก่นแท้ของพวกเขา  หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถยอมรับความจริงได้ พวกเขาย่อมจะไม่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในแง่มุมเหล่านี้  เฉพาะโดยการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า การเข้าสู่ความจริงอย่างเต็มที่ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนเราและทัศนะของคนเราที่มีต่อการดำรงอยู่และชีวิต การปรับมุมมองที่คนเรามีต่อสิ่งต่างๆ ให้ตรงกับพระวจนะของพระเจ้า และการกลับกลายมามีความสามารถที่จะนบนอบและอุทิศแด่พระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น จึงจะพูดได้ว่าอุปนิสัยของคนเราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ในเวลานี้เจ้าอาจดูเหมือนใช้ความพยายามอยู่บ้าง และมีความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญความยากลำบากในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เจ้าอาจมีความสามารถที่จะดำเนินการจัดการเตรียมการเกี่ยวกับพระราชกิจจากเบื้องบนจนเสร็จสิ้นได้ หรือเจ้าอาจมีความสามารถที่จะไปแห่งหนใดก็ตามที่ถูกบอกให้ไป ภายนอกแล้วอาจดูเหมือนเจ้าเชื่อฟังอยู่บ้าง แต่เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเกิดขึ้น ความเป็นกบฏของเจ้าก็แสดงตัวออกมา  ตัวอย่างเช่น เจ้าไม่นบนอบต่อการถูกตัดแต่งและจัดการ และถึงกับนบนอบน้อยลงเมื่อเผชิญความวิบัติ เจ้ากล้าตำหนิพระเจ้าด้วยซ้ำ  ดังนั้น การเชื่อฟังและความเปลี่ยนแปลงภายนอกเพียงเล็กน้อยจึงเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ทางด้านพฤติกรรม  มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่นี่ก็ไม่มากพอที่จะนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า  เจ้าอาจมีความสามารถที่จะล่องไปตามเส้นทางสารพัน ทนทุกข์กับความยากลำบากสารพัด และสู้ทนการเหยียดหยามอันใหญ่หลวง เจ้าอาจรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามาก และพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจทรงพระราชกิจบางอย่างกับเจ้า  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำบางสิ่งที่ไม่คล้อยตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็ยังคงอาจจะไม่นบนอบ แต่เจ้าอาจจะมองหาข้อแก้ตัว ต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า และในกรณีที่เลวร้ายก็ถึงกับย้อนถามและสู้ตอบพระองค์  นี่จะเป็นปัญหาที่รุนแรง!  นี่จะแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงมีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้าอยู่ ว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเลย  หลังจากพวกเขาถูกปลดหรือถูกให้ออกไปแล้ว บางคนยังคงกล้าตัดสินพระเจ้าและกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม  พวกเขาถึงกับโต้แย้งพระเจ้าและสู้กลับ เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและความขุ่นเคืองที่พวกเขามีต่อพระเจ้าในทุกที่ที่ไป  ผู้คนเช่นนี้คือมารที่ต้านทานพระเจ้า  คนที่มีธรรมชาติอันชั่วร้ายจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและควรถูกละทิ้ง  มีเพียงผู้ที่สามารถแสวงหาและยอมรับความจริงในทุกสถานการณ์ รวมถึงนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้เท่านั้นที่มีหวังในการได้รับความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  ในประสบการณ์ของเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะสภาวะทั้งหลายที่ภายนอกดูปกติ  เจ้าอาจสะอื้นไห้ระหว่างอธิษฐาน หรือรู้สึกว่าหัวใจของเจ้ารักพระเจ้ายิ่งนักและอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเหลือเกิน ทว่าสภาวะเหล่านี้เป็นเพียงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ได้บ่งชี้ว่าเจ้าคือผู้ที่รักพระเจ้า  หากเจ้ายังสามารถรักและเชื่อฟังพระเจ้าได้แม้ในยามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงงาน และในยามที่พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นผู้ที่รักพระเจ้าโดยแท้จริง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนไปแล้ว  มีเพียงบุคคลเช่นนี้ที่มีความเป็นจริงทั้งหลายของความจริง

เจ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าจากจุดใด?  เรื่องนี้เริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติของตัวเจ้าเอง  นี่คือกุญแจสำคัญ  แล้วเจ้าจะเข้าใจธรรมชาติของตัวเองได้อย่างไร?  ด้วยการแยกแยะว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดบ้าง  ทันทีที่แยกแยะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าจะเข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ของตัวเอง  บางคนถามว่า “ฉันจะเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองได้อย่างไร?”  แน่นอนว่าเจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้โดยยึดตามพระวจนะของพระเจ้า และแยกแยะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าโดยสอดคล้องกับความจริง  แล้วเจ้าจะปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร?  โดยนำอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าแสดงออกมาไปเทียบกับพระวจนะที่พระเจ้าทรงเปิดเผยไว้  เจ้าเทียบเคียงได้มากเท่าใด ก็ควรทำความเข้าใจให้ได้มากเท่านั้น  หากเจ้าเทียบเคียงได้มากและเข้าใจได้มาก เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองได้  คนที่เชื่อมานานและปฏิบัติในหนทางนี้มาหลายปีแล้วในหมู่พวกเจ้านั้นเข้าใจธรรมชาติของตัวเองหรือยัง?  อาจจะยังไกลจากคำว่าเข้าใจนัก!  การเทียบเคียงของเจ้าต้องมีแนวทาง คนเราไม่อาจพูดสิ่งต่างๆ โดยไม่มีพื้นฐานได้  เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่าด้วยการทรงเปิดเผยแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษย์ให้มากขึ้น  เจ้าต้องค้นหาพระวจนะเหล่านี้ออกมาให้หมด จากนั้นก็อ่านให้บ่อย และทบทวนตัวเองอยู่เนืองๆ เปรียบเทียบสภาวะของเจ้ากับพระวจนะ  เมื่อเจ้าเทียบเคียงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ครบถ้วน และรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของเจ้าอย่างแม่นยำ ด้วยความถูกต้องอย่างยิ่ง และไม่มีตรงไหนที่ผิดเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมั่นใจมิใช่หรือ?  บางคนพูดว่า “เมื่อเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง คุณย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาตินั้นได้”  นี่เป็นสิ่งที่ใครก็พูดได้อย่างง่ายดาย  ทว่าเจ้าเข้าใจคำพูดนี้ว่าอย่างไร?  มันต้องมีเส้นทาง  หากมีเส้นทาง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์  หากไร้เส้นทาง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ทำได้เพียงกู่ร้องคำพูดเตือนใจว่า “พวกเราทุกคนต้องเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง  ธรรมชาติของพวกเรานั้นไม่มีอะไรดีและเป็นของซาตาน เมื่อพวกเราเข้าใจแก่นแท้และธรรมชาติของตัวเองแล้ว เมื่อนั้นพวกเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเราได้”  ทว่าหลังจากที่เจ้ากู่ร้องเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม และไม่มีใครเข้าใจอะไรทั้งสิ้น  นี่คือการกล่าวคำสอนอย่างไม่มีเส้นทาง  การทำงานในลักษณะนี้ก่อให้เกิดปัญหาไม่ใช่หรือ?  ผลลัพธ์ของการทำงานแบบนี้จะเป็นเช่นไร?  โดยปกติพวกเจ้าต่างกู่ร้องคำพูดเตือนใจกันว่า “พวกเราต้องเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง!  พวกเราทุกคนต้องรักพระเจ้า!  พวกเราทุกคนต้องนบนอบพระเจ้า!  พวกเราทุกคนต้องก้มกราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า!  พวกเราทุกคนต้องนมัสการพระเจ้า!  ผู้ใดก็ตามที่ไม่รักพระเจ้าย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ!”  การพูดถึงคำสอนเหล่านี้ไร้ซึ่งประโยชน์และไม่ได้แก้ปัญหา  เจ้าจะเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างไร?  อันที่จริงแล้วการเข้าใจธรรมชาติของเจ้าเองหมายถึงการชำแหละสิ่งทั้งหลายที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงจิตของเจ้า—สิ่งทั้งหลายในชีวิตของเจ้า รวมทั้งตรรกะและปรัชญาทั้งหมดของซาตานที่เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า—ซึ่งก็คือชีวิตของซาตานที่เจ้าใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต  มีเพียงการขุดคุ้ยสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในดวงจิตของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของเจ้า  จะพลิกแผ่นดินหาสิ่งเหล่านี้เจอได้อย่างไรหรือ?  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกชำแหละและพลิกแผ่นดินหาจนเจอด้วยเรื่องราวเพียงหนึ่งหรือสองเรื่องได้  หลายครั้งหลายคราวหลังจากที่เจ้าทำบางสิ่งบางอย่างแล้วเสร็จ เจ้าก็ยังคงไม่ได้มาถึงความเข้าใจหนึ่งเลย  อาจสามารถใช้เวลาสามถึงห้าปีกว่าที่เจ้าจะมีความตระหนักหรือความเข้าใจแม้เสี้ยวเล็กๆ สักเสี้ยวหนึ่ง  ดังนั้นในหลายสถานการณ์ เจ้าต้องทบทวนตัวเองและมารู้จักตัวเอง  เจ้าต้องขุดลึกลงไปและชำแหละตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อจะได้เห็นผลลัพธ์ขึ้นมาบ้าง  ขณะที่ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเติบโตลุ่มลึกมากขึ้นทุกที เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตัวเจ้าเองโดยผ่านทางการทบทวนตัวเองและความรู้จักตัวเอง

การที่จะรู้จักธรรมชาติของเจ้านั้น เจ้าต้องมีความเข้าใจในธรรมชาติของตนด้วยการทำสิ่งต่างๆ สักสองสามอย่าง  สิ่งแรกก็คือ เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าชอบ  นี่มิใช่อ้างอิงถึงสิ่งที่เจ้าชอบกินหรือชอบสวมใส่ แต่ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงสิ่งประเภททั้งหลายที่เจ้าชื่นชม สิ่งทั้งหลายที่เจ้าริษยา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าแสวงหา และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าให้ความสนใจในหัวใจของเจ้า ชนิดของผู้คนที่เจ้าชื่นชมในการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย และชนิดของผู้คนที่เจ้าเลื่อมใสและหลงใหลได้ปลื้มอยู่ในหัวใจ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบผู้คนที่มีจุดยืนยิ่งใหญ่ ผู้คนซึ่งมีความงามสง่าอยู่ในกิริยาท่าทางและวาทะของพวกเขา หรือชอบพวกที่พูดคำยกยอแบบมีวาทศิลป์ หรือพวกที่แสร้งสวมบทบาท  ที่พาดพิงถึงไปก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนใดที่พวกเขาชอบมีปฏิกิริยาด้วย  สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชมนั้น สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการเต็มใจทำสิ่งเฉพาะบางอย่างที่ทำได้ง่ายดาย การชื่นชมในสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นคิดว่าดี และที่คงจะเป็นเหตุให้ผู้คนขับร้องคำสรรเสริญและให้คำชม  ในธรรมชาติทั้งหลายของผู้คนนั้นมีคุณลักษณะเฉพาะธรรมดาทั่วไปของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบอยู่  นั่นก็คือ พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นรู้สึกอิจฉาโดยเนื่องมาจากรูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ดูสวยงามและหรูหรายิ่ง และพวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา  สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ผู้คนชื่นชอบนั้นยิ่งใหญ่ ละลานตา งามหรู และโอฬาร  ผู้คนล้วนเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้  สามารถเห็นได้ว่า ผู้คนไม่ครองความจริงอันใดเลย ทั้งพวกเขายังไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์แท้อีกด้วย  ไม่มีนัยสำคัญแม้ระดับน้อยนิดที่สุดอยู่ในการเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ ทว่าผู้คนก็ยังชอบสิ่งเหล่านั้น  สิ่งเหล่านี้ที่ผู้คนชอบดูเหมือนว่าดีเป็นพิเศษสำหรับพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ผู้คนเต็มใจที่จะไล่ตามไขว่คว้าเป็นพิเศษ  ยกตัวอย่างง่ายๆ ในบรรดาผู้ไม่เชื่อมีคนอยู่หลายกลุ่ม  พวกเขาไล่ตามนักแสดงหรือนักร้อง ให้คนเหล่านั้นเซ็นชื่อและเขียนข้อความให้ หรือจับมือและกอดพวกเขา  สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของเหล่าผู้เชื่อหรือไม่?  บางครั้งบางคราวเจ้าก็ขับร้องบทเพลงของเหล่าคนดังที่เจ้าเทิดทูนใช่หรือไม่?  หรือบางโอกาสเจ้าก็เอาอย่างพวกเขา และแต่งตัวในลักษณะเดียวกับพวกเขาซึ่งเป็นรูปแบบที่เจ้าปรารถนาใช่หรือไม่?  เจ้าทำให้คนที่มีชื่อเสียงและคนดังพวกนี้เป็นผู้ที่เจ้าบูชาและเป็นแบบอย่างที่เจ้าเทิดทูน  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทั่วไปที่ผู้คนชื่นชอบ  ผู้เชื่อไม่บูชาสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อบูชาจริงหรือ?  ลึกๆ แล้ว คนส่วนมากยังคงมีหัวใจที่บูชาสิ่งเหล่านี้  เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดูเหมือนจะชัดเจนว่าเจ้าไม่ได้ไล่ตามสิ่งเหล่านี้แล้ว  อย่างไรก็ตาม เจ้ายังคงอยากได้อยากมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจ และเจ้ายังคงชื่นชอบสิ่งเหล่านี้  บางโอกาสเจ้าก็คิดว่า “ฉันยังอยากฟังเพลงของพวกเขา และฉันยังอยากดูละครโทรทัศน์ที่พวกเขาแสดง  พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร?  ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?  หากฉันได้เจอและได้จับมือพวกเขา แบบนั้นก็คงจะเยี่ยมไปเลย และต่อให้ฉันต้องตาย นั่นก็ยังคุ้มค่า”  ไม่ว่าผู้ที่พวกเขาบูชาคือใคร ทุกคนต่างก็ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้  บางทีเจ้าอาจไม่มีโอกาสหรือไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะได้พูดคุยสื่อสารกับคน สิ่งของ หรือวัตถุเหล่านี้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในหัวใจของเจ้า  สิ่งที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าและโหยหานั้นเป็นของกระแสนิยมทางโลก สิ่งเหล่านี้เป็นของซาตานและพวกมาร พระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็ไร้ซึ่งความจริงใดๆ  สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนโน้มเอียงที่จะโหยหานี้เปิดโอกาสให้ค้นพบธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา  ความเลือกชอบของผู้คนมองเห็นได้ในหนทางที่พวกเขาแต่งกาย  ผู้คนบางคนเต็มใจที่จะสวมเสื้อผ้าที่ดึงดูดความสนใจหลากสีสัน หรือชุดที่แปลกประหลาด  พวกเขาพร้อมที่จะสวมใส่เครื่องประดับที่ไม่มีใครอื่นสวมใส่มาก่อน และพวกเขารักสิ่งทั้งหลายที่สามารถดึงดูดเพศตรงข้าม  การที่พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความเลือกชอบที่พวกเขามีให้กับสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของพวกเขาและลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขา  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบไม่ได้มีเกียรติหรือว่าดี  ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลปกติควรไล่ตามเสาะหา  ในความเสน่หาที่พวกเขามีต่อสิ่งเหล่านี้มีความไม่ชอบธรรมอยู่  ทัศนะของพวกเขาเหมือนกับทัศนะของผู้คนทางโลกโดยแท้  คนเราไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีส่วนใดของการนี้ที่เชื่อมโยงกับความจริง  เพราะฉะนั้น สิ่งที่เจ้าชอบ สิ่งที่เจ้ามุ่งเน้น สิ่งที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งที่เจ้าอิจฉา และสิ่งที่เจ้าคิดในหัวใจของเจ้าทุกวันล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนธรรมชาติของเจ้า  ความชอบที่เจ้ามีต่อสิ่งที่เป็นของทางโลกเหล่านี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าธรรมชาติของเจ้าชื่นชอบความไม่ชอบธรรม และในสถานการณ์ที่รุนแรง ธรรมชาติของเจ้านั้นชั่วและไม่สามารถเยียวยารักษาได้  เจ้าควรชำแหละธรรมชาติของเจ้าในหนทางนี้คือ จงตรวจสอบว่าเจ้าชื่นชอบสิ่งใดและเจ้าละทิ้งสิ่งใดในชีวิตของเจ้า  เจ้าอาจจะดีต่อใครบางคนเป็นครั้งคราว แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าชื่นชอบพวกเขา  แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าชื่นชอบอย่างแท้จริงก็คือสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติของเจ้า ต่อให้กระดูกของเจ้าหัก เจ้าก็คงจะยังคงชื่นชมมันและไม่มีวันจะสามารถละทิ้งมันได้  นี่ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง  จงดูการหาคู่เป็นตัวอย่าง ผู้คนแสวงหาผู้คนจำพวกเดียวกับตน  หากผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรักกับใครบางคนจริงๆ  เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเธอได้  ต่อให้ขาทั้งสองของเธอถูกหัก เธอก็คงจะยังคงต้องการอยู่กับเขา เธอก็คงจะต้องการสมรสกับเขาต่อให้นั่นหมายถึงการที่เธอต้องตาย  นี่สามารถเป็นไปได้อย่างไรกัน?  นี่เป็นเพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในกระดูกของผู้คน ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา  ต่อให้บุคคลหนึ่งตายไป ดวงจิตของพวกเขาก็จะยังคงชอบสิ่งเดิมๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนแก่นแท้ของบุคคล  สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบบรรจุไปด้วยความไม่ชอบธรรมอยู่บ้าง  บางคนก็ชัดเจนในความชื่นชอบของพวกเขาที่มีต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ในขณะที่บางคนไม่ชัดเจน บางคนมีความชอบอย่างแรงกล้าต่อสิ่งเหล่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มี ผู้คนบางคนมีการควบคุมตัวเอง ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมตัวพวกเขาเองได้  ผู้คนบางคนมีแนวโน้มที่จะจมจ่อมอยู่ในสิ่งทั้งหลายที่มืดมิดและชั่ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ครองชีวิต  ผู้คนบางคนสามารถเอาชนะการทดลองของเนื้อหนังและไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นยึดครองหรือบีบคั้น ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขามีวุฒิภาวะอยู่บ้างและอุปนิสัยของพวกเขาก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว  ผู้คนบางคนเข้าใจความจริงบางอย่างและรู้สึกว่าพวกเขามีชีวิตและรู้สึกว่าพวกเขารักพระเจ้า แต่แท้จริงแล้ว การนั้นยังคงเร็วเกินไป และการก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย  ธรรมชาติและแก่นแท้ของบุคคลผู้หนึ่งเข้าใจได้ง่ายหรือไม่?  ต่อให้ใครบางคนพอจะเข้าใจอยู่บ้าง พวกเขาก็ต้องก้าวผ่านเหตุการณ์พลิกผันมากมายเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจนั้น และถึงจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ง่าย  เหล่านี้ล้วนเป็นความลำบากยากเย็นที่ผู้คนต้องเผชิญ และผู้คนก็ไม่สามารถรู้จักตนเองได้หากปราศจากเจตจำนงที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่ว่าผู้คน เรื่องราว หรือสิ่งของทั้งหลายรอบตัวเจ้าอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และไม่ว่าโลกอาจพลิกกลับหัวอย่างไร หากความจริงกำลังนำทางเจ้าจากภายใน หากสิ่งนั้นได้ฝังรากอยู่ภายในตัวเจ้าแล้ว และพระวจนะของพระเจ้านำทางชีวิตของเจ้า สิ่งที่เจ้าเลือกชอบ ประสบการณ์ และการดำรงอยู่ของเจ้า ณ จุดนั้นเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริง  ปัจจุบันนี้สิ่งที่ผู้คนเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการให้ความร่วมมือเล็กน้อย ฝืนใจยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการได้ ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน และพอจะมีความกระตือรือร้นและความเชื่ออยู่บ้างเท่านั้น แต่นี่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และไม่ได้พิสูจน์ว่าผู้คนมีชีวิต  นี่เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนเลือกชอบและความโน้มเอียงของผู้คน—ไม่มีสิ่งใดมากกว่านั้น

เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติทั้งหลาย นอกเหนือจากการค้นหาสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบในธรรมชาติของพวกเขาแล้ว อีกหลายแง่มุมที่สำคัญที่สุดและเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของพวกเขาก็จำเป็นต้องถูกขุดหาขึ้นมาเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ทัศนคติของผู้คนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย วิธีการและเป้าหมายในชีวิตของผู้คน คุณค่าชีวิตและทัศนะที่ผู้คนมีต่อชีวิต ตลอดจนมุมมองและแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงที่สัมพันธ์กับความจริง  เหล่านี้คือสรรพสิ่งทั้งมวลลึกลงไปภายในดวงจิตของผู้คน และสิ่งเหล่านี้มีสัมพันธภาพโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัย  เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีทัศนะเช่นไรต่อชีวิต?  สามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม”  ผู้คนทั้งปวงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง พูดตามตรงก็คือพวกเขากำลังดำรงชีวิตเพื่อเนื้อหนัง  พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพียงเพื่อใส่อาหารเข้าในปากของพวกเขาเท่านั้น  การดำรงอยู่แบบนี้แตกต่างจากการดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายอย่างไร?  ไม่มีคุณค่าอันใดเลยในการดำรงชีวิตเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงความหมายอันใด  ทัศนะที่คนเรามีต่อชีวิตเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าพึ่งพาเพื่อการดำรงชีวิตในโลก สิ่งที่เจ้าดำรงชีวิตเพื่อมัน และวิธีที่เจ้าดำรงชีวิต—และเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของธรรมชาติแบบมนุษย์  โดยผ่านทางการชำแหละธรรมชาติของผู้คนนั้น เจ้าจะมองเห็นว่าผู้คนล้วนต้านทานพระเจ้าทั้งสิ้น  พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามาร และไม่มีบุคคลที่ดีอย่างจริงแท้เลย  มีเพียงโดยการชำแหละธรรมชาติของผู้คนเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้ของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใด ผู้คนขาดพร่องสิ่งใดอย่างแท้จริง พวกเขาควรมีสิ่งใดไว้ติดตัว และพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนของมนุษย์อย่างไร  การชำแหละธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถทำได้โดยปราศจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าหรือการมีประสบการณ์ที่แท้จริง

ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1999

ก่อนหน้า: วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร

ถัดไป: วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger