32. ฉันกล้าที่จะต่อสู้กับกองกำลังชั่วแห่งศัตรูของพระคริสต์
หลังจากที่ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าหนึ่งปี ฉันก็ได้รับใช้เป็นหัวหน้ากลุ่มในคริสตจักร เย่ปิงเป็นผู้นำคริสตจักรของเราในเวลานั้น ฉันเห็นว่าเธอมีขีดความสามารถสูง กระตือรือร้นในการทำหน้าที่ และจัดแจงงานอย่างเป็นระเบียบชัดเจน เวลาใครประสบปัญหา เธอก็สามารถหาพระวจนะที่เหมาะสมมาสามัคคีธรรมกับพวกเขาและให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วอยู่เสมอ ทุกคนชื่นชมเธอและคิดว่าเธอเข้าใจความจริง เย่ปิงมักจะพูดในระหว่างการชุมนุมว่า “ตอนนี้งานในคริสตจักรยุ่งมาก และฉันต้องใส่ใจทั้งงานประกาศข่าวประเสริฐและงานให้น้ำ คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นฉันจึงต้องใส่ใจการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา” พี่น้องชายหญิงล้วนคิดว่าเธอมีภาระ และเมื่อพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็น ก็จะรอการสามัคคีธรรมของเย่ปิง ฉันก็ชื่นชมเธอและคิดว่าเธอเป็นผู้นำที่ดีของคริสตจักรเรา ในเวลานั้น ทุกคนในคริสตจักรยกย่องเย่ปิงอย่างสูง และพูดบ่อยๆ ว่าเธอรู้วิธีสามัคคีธรรมและเป็นคนทำงานที่มีความสามารถ เวลาเย่ปิงได้ยินเข้า เธอก็จะเผยสีหน้าพอใจและพูดอย่างภูมิใจว่า “ฉันช่วยดูแลงานทุกอย่างภายในคริสตจักรอย่างเต็มที่ และฉันจำสภาพการณ์ของพี่น้องแต่ละคนได้” ตอนนั้นฉันคิดว่าเธอโอหังที่พูดแบบนั้น แต่ก็คิดว่าในเมื่อคนที่มีขีดความสามารถสูงและคนที่มีพรสวรรค์ล้วนค่อนข้างโอหัง แค่เธอทำงานของคริสตจักรได้ดีก็เพียงพอแล้ว ฉันจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
หลังจากนั้น ฉันพบว่าเย่ปิงเป็นผู้รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ แต่กลับไม่เคยสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการประกาศข่าวประเสริฐหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย เธอไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริง อีกทั้งเพียงแค่ชี้นิ้วสั่งผู้คนและทำงานฉาบฉวย มีครั้งหนึ่ง เย่ปิงจัดแจงให้ฉันไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ระหว่างที่เราคุยกัน ผู้รับข่าวประเสริฐลวนลามฉันอยู่หลายครั้ง ฉันเห็นว่าธรรมชาติของคนคนนี้เลวร้ายมาก และเขาไม่ได้กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอย่างจริงใจเลย ฉันรายงานเรื่องนี้ให้เย่ปิงทราบทันที แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเธอสอนฉันอย่างหงุดหงิดว่า “คุณไปแค่สองสามครั้งก็ยอมแพ้แล้วหรือ? คุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรบ้าง?” พอพูดจบเธอก็ผละไป ตอนนั้น ฉันสับสนว่าทำไมจู่ๆ เธอก็ตำหนิฉัน และรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม “ฉันโดนลวนลามนะ แต่นอกจากคุณจะไม่ปลอบใจฉันหรือแก้ปัญหาแล้ว คุณยังว่ากล่าวฉันอีกด้วย ทำแบบนั้นแล้วคุณมีความเห็นอกเห็นใจและสำนึกรับผิดชอบตรงไหน?” หลังจากนั้น ฉันก็แสวงหาต่อไป และยืนยันได้ว่าธรรมชาติของคนคนนี้เลวร้าย เขาไม่รักความจริง และไม่คู่ควรที่จะรับข่าวประเสริฐ ฉันจึงไม่ยุ่งกับเขาอีก แต่หลังจากนั้น เย่ปิงก็คอยจับผิดฉันอย่างไร้เหตุผลอยู่ตลอด เช่นว่า เธอจะจงใจถามคำถามฉัน แล้วพอฉันตอบไม่ได้ เธอก็จะว่าฉันเลอะเลือน เธอยังให้ฉันไปช่วยเหลือคนที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อยด้วย พอฉันช่วยพวกเขาไม่ได้ เธอก็ใช้โอกาสนั้นสอนสั่งฉัน ฉันไม่กล้ารายงานปัญหานี้ให้ผู้นำระดับสูงทราบ เพราะฉันคิดว่า ยังไงเสียเธอก็เป็นผู้นำ อีกทั้งพี่น้องหลายๆ คนก็ยกย่องเธอ ในขณะที่ฉันเป็นแค่หัวหน้ากลุ่ม และควรระวังที่จะไม่ไปล่วงเกินเธอ แต่สิ่งที่ฉันไม่ได้คาดคิดก็คือ เย่ปิงยุติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มของฉันอย่างไม่มีเหตุผล และจัดแจงให้ฉันไปชุมนุมกับคนสองคนที่ไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงเลย ระหว่างการชุมนุม คนหนึ่งเอาแต่ผล็อยหลับ ส่วนอีกคนก็คอยกวนใจฉันด้วยเรื่องซุบซิบ ผ่านไปสองเดือน การชุมนุมเหล่านี้ก็ไม่ได้ให้อะไรเลย ส่วนฉันก็อยู่ในสภาวะสับสน ฉันนึกถึงการชุมนุมก่อนหน้านั้น ที่ทุกคนเปิดใจและสามัคคีธรรมถึงความรู้จากประสบการณ์ของตนอย่างไร ซึ่งฉันชื่นชมยินดีมาก แต่ตอนนี้ ฉันแสนจะเจ็บปวด อีกทั้งคิดลบและอ่อนแอมากด้วย ฉันคิดว่าการเข้าชุมนุมที่นี่ ทำให้ชีวิตฉันเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง หากเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะได้รับความจริงและบรรลุความรอดได้หรือ? ฉันเพิ่งมารู้หลังจากนั้น ว่าที่จริงแล้วเย่ปิงกันฉันให้โดดเดี่ยว ด้วยการให้ฉันไปชุมนุมกับคนสองคนที่กำลังจะถูกเอาตัวออกไป พอรู้ความจริง ฉันก็หัวเสียและเดือดดาลมาก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเธอมีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจและมุ่งร้ายขนาดนี้ การทรมานฉันแบบนี้เพราะฉันไม่ฟังเธอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนชั่วทำหรอกหรือ? ตอนนั้น ฉันอยากรายงานสถานการณ์ของเย่ปิงให้เหล่าผู้นำและคนทำงานรู้ และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อแยกแยะเธอจริงๆ แต่ในเมื่อเย่ปิงเป็นผู้นำในคริสตจักรเรามาตลอด และพี่น้องชายหญิงหลายๆ คนก็ยกย่องเธอ หากฉันสามัคคีธรรมกับบรรดาพี่น้องและแยกแยะเธอ ทุกคนจะเชื่อฉันไหม? ถ้าเย่ปิงได้ยินเรื่องนี้เข้า เธอย่อมจะแก้แค้นและทรมานฉันต่อไปอย่างแน่นอน ถ้าเธอกล่าวหาฉันอย่างเปิดเผยและเอาฉันออกไป แบบนี้เส้นทางการเชื่อในพระเจ้าของฉันจะไม่จบสิ้นหรอกหรือ? พอคิดได้แบบนี้ ฉันก็กล้ำกลืนความคับข้องใจลงไป ต่อมาไม่นาน เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย เย่ปิงจึงไม่สามารถเข้าดูแลงานของคริสตจักรได้ และมีพี่น้องหญิงคนหนึ่งถูกจัดแจงให้มารับผิดชอบแทนชั่วคราว พอพี่น้องหญิงคนนี้ชุมนุมกับเรา เธอก็เห็นว่าในสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของฉันมีความรู้แจ้งและความสว่างอยู่บ้าง และฉันพร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นหลังจากเข้าใจสถานการณ์ของฉัน เธอจึงให้ฉันกลับมาทำหน้าที่
หลังจากนั้น ฉันได้ยินว่าพี่น้องหญิงอีกสองคนก็ถูกโดดเดี่ยวอย่างต่อเนื่องด้วย โดยที่ยังไม่รู้เหตุผล หลังจากล่วงรู้รายละเอียด ฉันก็พบว่า พี่น้องหญิงสองคนนี้ถูกเย่ปิงแยกตัวออกไปเพราะช่วยปกป้องพี่น้องชายคนหนึ่ง เพราะพี่น้องชายคนนี้ทำให้งานข่าวประเสริฐล่าช้า เย่ปิงจึงตัดแต่งเขาไม่ว่างเว้น พี่น้องหญิงทั้งสองคนเตือนเธอว่า “เขารู้แล้วว่าตัวเองผิด คุณไม่ควรแค่ตัดแต่งเขานะ คุณควรสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาด้วย” พอได้ยินแบบนี้ เย่ปิงก็เคืองใจมาก และแยกพวกเธอออกไปทันที ถ้าพี่น้องคนไหนไม่เชื่อฟังเธอหรือยั่วโมโหเธอ เธอก็จะใช้การกระทำผิดและข้อบกพร่องของพวกเขามาทรมานพวกเขา นี่เป็นการทำชั่ว! ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันสามัคคีธรรมและแยกแยะเธอ พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดขัดฉันว่า “คุณกำลังขอให้เราแยกแยะเย่ปิง เพราะคุณอยากแก้แค้นเธอที่แยกคุณออกไปก่อนหน้านี้เหรอ? ถ้าใช่ คุณต้องทบทวนตัวเองแล้วนะ” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็ฉุกคิดได้ว่าพี่น้องส่วนใหญ่ถูกเย่ปิงชักพาให้หลงผิดและยกย่องเธอมาก ตอนนั้นฉันเป็นแค่หัวหน้ากลุ่ม แล้วพวกเขาจะเชื่อคำพูดฉันและแยกแยะคนที่เป็นผู้นำมาหลายปีแล้วได้ยังไง? จังหวะนั้น ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที ฉันคิดในใจว่า “ความเข้าใจความจริงของฉันตื้นเขิน และฉันชำแหละปัญหาของเย่ปิงให้ครบรวดเดียวจบไม่ได้ ถ้าฉันพูดต่อไป พวกเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าฉันกำลังแก้แค้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าเย่ปิงรู้เรื่องนี้เข้า เธอก็อาจจะประกาศว่าฉันมีความผิดโทษฐานแก้แค้นผู้นำและขับไล่ฉัน แบบนั้นแม้แต่โอกาสที่จะเชื่อในพระเจ้าของฉันจะไม่หมดไปหรือ? ช่างมันเถอะ ฉันยอมๆ ไปไม่ให้มีปัญหาและหลีกเลี่ยงการนำหายนะมาสู่ตัวเองดีกว่า” ต่อมา คริสตจักรเลือกเหล่าผู้นำและคนทำงานใหม่ และฉันได้รับเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำ ซินหยากับหลี่รู่ได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร และเย่ปิงได้รับมอบหมายให้ทำงานข้อเขียน เย่ปิงมีความแค้นเคืองกรุ่นอยู่ในหัวใจเพราะเธอไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ผ่านไปไม่นาน เธอก็แอบดึงน้องสาวของเธอกับหวังจิงเข้ามา กลับถูกให้เป็นผิดและกระจายข่าวลือต่อหน้าพี่น้องชายหญิง เธอพูดว่าเหล่าผู้นำที่ได้รับเลือกในครั้งนี้ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว ดังนี้จึงชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงเชื่อและดึงพวกเขาให้หนุนเธอในการกลับผลการคัดเลือก โชคดีที่เหล่าผู้นำได้สามัคคีธรรมกับทุกคนเรื่องหลักธรรมในการคัดเลือกไว้ก่อนแล้ว เหล่าพี่น้องจึงรู้นอกรู้ในของเรื่องนี้และไม่ถูกหลอก พอได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็โกรธและเป็นกังวล และฉันก็พูดกับเหล่าผู้นำว่า “การที่เย่ปิงทรมานผู้คนก่อนหน้านี้ก็เรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอกำลังชักจูงและชักพาพี่น้องให้หลงผิด และก่อกวนงานของคริสตจักร ธรรมชาติของเรื่องนี้แย่เหลือเกิน! ต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้นำระดับสูงขึ้นไปทราบทันที!” เหล่าผู้นำเห็นพ้องกับฉันและรายงานสถานการณ์นี้ให้หลิวรั่วผู้นำระดับสูงขึ้นไปทราบ หลิวรั่วเปิดโปงการทำชั่วของเย่ปิง น้องสาวของเธอ และหวังจิง แต่หลังจากที่หลิวรั่วกลับไป เย่ปิงก็กระจายคำพูดของเธอในคริสตจักรต่อไปโดยไม่ยั้งไว้สักนิด “พวกผู้นำและคนทำงานทำงานจริงไม่ได้ และไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมดเป็นผู้นำเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จทำงานของคริสตจักรไม่ได้ และไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา ทำได้ก็แต่ทำร้ายผู้คนเท่านั้น” เย่ปิงกับคนอื่นๆ ยังพูดกับบรรดาคนที่ถูกโดดเดี่ยวด้วย “พวกคุณทำงานด้วยความจงรักภักดี แต่เป็นผู้นำเทียมเท็จพวกนั้นที่กดข่มและแยกพวกคุณออกไป” แล้วพวกเธอก็พูดกับพี่น้องหญิงที่ทำหน้าที่เจ้าบ้านว่า “คุณทำหน้าที่อย่างจงรักภักดีไปก็เปล่าประโยชน์ คนนั้นคนนี้ก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านเหมือนคุณเลย แต่ตอนนี้พวกเขาถูกโดดเดี่ยวไปแล้ว คุณเองก็จะโดนเหมือนกัน” หลังจากนั้นคนที่ขาดปัญญาแยกแยะบางคนก็ถูกปลุกปั่นและถูกเย่ปิงกับพรรคพวกชักพาให้หลงผิด พวกเขาเกิดความคิดด่วนตัดสินเกี่ยวกับบรรดาผู้นำ และไม่สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าระหว่างการชุมนุม คอยแต่พิจารณาความผิดของเหล่าผู้นำ อีกทั้งโจมตีและตัดสินบรรดาผู้นำว่าไม่มีความสามารถในการทำงานจริง พวกเขายังยกย่องเย่ปิงอย่างสูงด้วย โดยพูดว่าเธอรู้วิธีสามัคคีธรรม รู้วิธีทำงานของคริสตจักร และเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ อีกทั้งพวกเขาชักพาพี่น้องบางคนให้หลงผิด ให้พวกเขารายงานเหล่าผู้นำปัจจุบัน เย่ปิงทำให้ชีวิตคริสตจักรวุ่นวายอย่างที่สุด จนสับสนอลหม่าน และงานก็ไม่อาจคืบหน้า การเห็นคริสตจักรกลายเป็นแบบนี้ ทำให้หัวใจของฉันเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ เพื่อจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ เย่ปิงทำชั่วอย่างใหญ่หลวง เธอชั่วจนถึงแก่นและตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า!
หลังจากนั้น ฉันรายงานสถานการณ์ของเย่ปิงแก่ผู้ประกาศ ผู้ประกาศรีบรุดไปสามัคคีธรรมกับเย่ปิงและคนอื่นๆ เธอเพิ่งสามัคคีธรรมได้ไม่กี่คำก่อนที่เย่ปิงและพรรคพวกจะโจมตีเธอ พูดว่าเธอเข้าข้างผู้นำเทียมเท็จและไม่พิทักษ์งานของคริสตจักร การพูดจาโจมตีอย่างรุนแรงนี้ทำให้ผู้ประกาศร้องไห้ และหลังจากนั้น เพื่อที่จะระงับความโกลาหลลงโดยเร็ว เธอปลดผู้นำคริสตจักรสองคนนั้นและมัคนายกข่าวประเสริฐอีกหนึ่งคนโดยไร้เหตุผล เมื่อเห็นการจัดแจงเช่นนั้น หัวใจฉันเหมือนถูกถาโถมและฉันคิดว่า “นี่มันกลับตาลปัตรไปหมดเลยไม่ใช่หรือ? เธอไม่ได้จัดการกับคนที่ทำชั่ว แต่กลับปลดคนที่สามารถทำงานจริงได้ออกแทน แบบนี้มันไร้หลักธรรมอย่างที่สุด! นี่เธอก็ทำชั่วตามเย่ปิงไปอีกคนไม่ใช่หรือ?” ฉันถามผู้ประกาศคนนั้นว่า “ตามพฤติกรรมอันไหนและตามหลักธรรมข้อไหนที่คุณใช้ตัดสินใจปลดคนเหล่านี้ออก?” เธอพูดว่าผู้นำเหล่านี้และมัคนายกข่าวประเสริฐคนนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิงได้ พวกเขาไม่พูดถึงความเสื่อมทรามของตัวเองในการชุมนุมและไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นเธอก็มอบหมายให้ฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักรชั่วคราว พอได้ฟังว่าเหตุผลของผู้ประกาศคนนี้ กับการโจมตีเหล่าผู้นำของเย่ปิงและพรรคพวกคล้ายคลึงกันแค่ไหน ฉันก็โกรธมาก ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันยอมรับไม่ได้ ตอนนี้ แม้แต่ผู้ประกาศก็เข้าข้างเย่ปิง ผู้นำคริสตจักรถูกปลดหมดแล้ว ส่วนฉันก็เป็นแค่มัคนายกให้น้ำ ฉันขาดหลักธรรมเพื่อแยกแยะ และฉันสามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจนไม่ได้ ถ้าฉันไม่ทำงานของตัวเองให้ดี เย่ปิงจะไม่ใช้เรื่องนี้มาเป็นอำนาจงัดเพื่อกล่าวโทษและรายงานฉันหรอกหรือ? ยิ่งกว่านั้น เย่ปิงกับคนอื่นๆ เป็นคนพูดเก่ง จนพี่น้องชายหญิงถูกพวกเธอชักพาให้หลงเชื่อไปแล้ว แล้วใครจะเข้าข้างฉันล่ะ? พอคิดแบบนี้ ฉันก็หมดความกล้าและรู้สึกอ่อนแอในใจมาก พอฉันคิดว่าฉันต้องรับผิดชอบงานของคริสตจักร ฉันก็ขลาดกลัวขึ้นมา เย่ปิงหมายตำแหน่งผู้นำไว้ และถ้าฉันเข้ารับผิดชอบงานของคริสตจักร เธอก็จะคิดแน่ๆ ว่าฉันครองตำแหน่งของเธออยู่และพุ่งเป้ามาที่ฉัน ด้วยความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้ายเช่นนั้น เธอจะปล่อยฉันไปหรือ? เธอจะใช้วิธีที่มุ่งร้ายยิ่งกว่าเดิมเพื่อทรมานฉันหรือเปล่า? ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งวิตกและไม่สบายใจ และฉันก็วางแผนให้พี่น้องหญิงหลี่รู่จัดการงานของคริสตจักรแทนฉัน แบบนี้ เย่ปิงกับพรรคพวกก็จะไม่มุ่งการโจมตีมาที่ฉัน หลังจากนั้น เวลาเราดำเนินงานในกลุ่มเล็กๆ ฉันก็ให้หลี่รู่ไปที่กลุ่มซึ่งเย่ปิงอยู่ ผลก็คือหลี่รู่ถูกพวกนั้นโจมตี งานไม่อาจสำเร็จลงได้ และสภาวะของหลี่รู่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ฉันโทษตัวเองและเกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัวแบบนั้น แต่ถ้าฉันต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองจริงๆ ฉันก็ไม่มีความเชื่อที่จะทำเช่นนั้นได้ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า มีคนชั่วกำลังก่อกวนคริสตจักร และข้าพระองค์ก็ควรลุกขึ้นพิทักษ์งานของคริสตจักร แต่ข้าพระองค์เกรงว่าเย่ปิงกับพรรคพวกจะใช้เรื่องนี้เป็นอำนาจงัดเพื่อกดข่มและทรมานข้าพระองค์ ยังผลให้ข้าพระองค์สูญเสียหน้าที่ ข้าพระองค์หลบอยู่เบื้องหลังอย่างคนขลาด และข้าพระองค์ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน พระเจ้า ขอพระองค์ประทานความกล้าหาญและความเชื่อให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็อ่านเจอพระวจนะที่ทำให้ฉันรู้สึกอับอายมาก พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น ‘คนที่มีคุณภาพปานกลาง’ พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) พระเจ้าตรัสไว้ว่าพวกที่ไม่สามารถทำทุกอย่างที่ตนมีศักยภาพได้นั้น เป็น “คนที่มีคุณภาพปานกลาง” และ “ขยะที่ไร้ประโยชน์” ฉันเป็นคนแบบนั้นเลย ฉันเห็นว่าเย่ปิงเป็นห่วงหน้าตาและสถานะของเธอเป็นพิเศษ อีกทั้งโจมตีและแก้แค้นใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังเธอ โดยใช้กลอุบายสกปรกเพื่อทรมานพวกเขา เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ เธอถึงกับวางแผนเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและยุยงให้พวกเขากลับผลการคัดเลือกกับเธอ เธอกับพรรคพวกหว่านความแตกแยกในหมู่พี่น้องชายหญิงและบรรดาผู้นำ ฉันเห็นพฤติกรรมมุ่งร้ายของเธออย่างกระจ่างแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัย แต่พอฉันสามัคคีธรรมและแยกแยะเย่ปิง พี่น้องชายหญิงกลับสงสัยว่าฉันกำลังแก้แค้นเธอ ฉันเกรงว่าถ้าฉันทำการแยกแยะเธอต่อไป ก็จะมีคนลุกขึ้นต่อต้านฉันมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อปกป้องตัวเองและเลี่ยงไม่ให้เย่ปิงกับพรรคพวกทำร้ายและโจมตีฉัน ฉันถึงกับสูญเสียความกล้าหาญเพียงน้อยนิดที่ฉันมีในการจะแยกแยะเธอ ตอนที่ฉันถูกมอบหมายให้ทำงานของคริสตจักรหลังจากที่ผู้นำสองคนกับมัคนายกถูกปลด สิ่งแรกที่ฉันคิดก็คือเหตุการณ์ที่เย่ปิงกับพรรคพวกโจมตีเหล่าผู้นำ และฉันเกรงว่าถ้าฉันเป็นผู้ดูแลงานของคริสตจักร เย่ปิงก็จะเชื่อว่าฉันยึดครองตำแหน่งของเธอและใช้เรื่องนั้นมาเป็นอำนาจงัดเพื่อแก้แค้นฉัน ฉันอยากหลบเลี่ยงหน้าที่รับผิดชอบนี้อยู่ตลอด และไม่กล้าเข้ากำกับดูแลงานของคริสตจักร ฉันรู้ดีที่สุดว่าเย่ปิงกับพรรคพวกนั้นชั่วร้ายเหลือประมาณ หลี่รู่เองก็โดนพวกเธอโจมตีมาหลายครั้ง ฉันเพียงแต่ต้องการปกป้องตัวเอง ดังนั้นตอนที่ฉันมอบหมายงาน ฉันจึงจงใจให้หลี่รู่ไปเผชิญหน้าพวกเธอ ฉันใช้หลี่รู่เป็นหนังหน้าไฟ ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจขนาดนั้นได้ยังไงนะ? ในการเผชิญหน้ากับกองกำลังชั่วแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่กำลังก่อกวนคริสตจักร ฉันไม่ได้ยึดตามหลักธรรมและไม่อาจยืนอยู่ข้างความยุติธรรมได้ ฉันยังมองว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อยู่หรือ? ฉันไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง ฉันทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังอย่างยิ่งยวด! ยิ่งฉันพยายามไตร่ตรองพระวจนะ ฉันก็ยิ่งตำหนิตัวเองและรู้สึกสำนึกเสียใจ ฉันไม่อาจทำร้ายพระทัยพระเจ้าได้มากไปกว่านี้ และไม่สามารถเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดปานนี้ คำนึงถึงแต่ตัวเองได้อีกต่อไป ฉันต้องนบนอบสภาพการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ และพยายามทำงานของคริสตจักรให้ดีที่สุดเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก หลังจากนั้น ฉันก็มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเย่ปิงและพรรคพวกของเธอ แม้ว่าฉันจะยังถูกเย่ปิงกับคนอื่นๆ โจมตีตอนที่ฉันไปดำเนินงาน แต่ไม่ว่าพวกเธอจะไร้เหตุผลแค่ไหน ฉันก็ไม่หลบเลี่ยงพวกเธออีกต่อไป ฉันใส่ใจแต่การสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริง ไม่หวั่นไหวไปกับพวกเธอ
หลังจากนั้น ฉันก็ทบทวนตัวเองโดยคิดว่า “ทำไมฉันถึงกลัวพวกเธอนัก แล้วทำไมฉันถึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเธอ?” ในระหว่างการแสวงหานี้เอง ฉันก็อ่านเจอพระวจนะสองบทตอนที่สะเทือนใจฉันมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อความยุติธรรมปะทะกับความชั่วร้าย ความโกรธของมนุษย์จะไม่ปะทุขึ้นเพื่อปกป้องการมีอยู่ของความยุติธรรมหรือสนับสนุนความยุติธรรม ในทางตรงกันข้าม เมื่อกำลังบังคับแห่งความยุติธรรมถูกคุกคาม ถูกข่มเหง และถูกโจมตี ท่าทีที่มนุษย์มีคือท่าทีที่เมินเฉย หลบเลี่ยง หรือถอยหนี อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากำลังบังคับแห่งความเลว ท่าทีที่มนุษย์มีคือท่าทีของการโอนอ่อนผ่อนตาม” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) “พระเจ้าตรัสว่า ‘หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา’ เจ้าสามารถเชื่อในพระวจนะเหล่านี้ได้ในระดับใด? การต่อสู้กับศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเผยให้เห็นขนาดความเชื่อของเจ้า หากเจ้ามีการเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมมีความเชื่อที่แท้จริง หากเจ้ามีการเชื่อในพระเจ้าเพียงเล็กน้อย และการเชื่อนั้นคลุมเครือและกลวงเปล่า เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีความเชื่อที่แท้จริง หากเจ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทั้งหมดนี้และซาตานอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า และเจ้ายังคงเกรงกลัวศัตรูของพระคริสต์และคนชั่ว สามารถทนยอมรับให้พวกเขากระทำชั่วในคริสตจักร ทนยอมรับให้พวกเขาก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักร และสามารถโอนอ่อนผ่อนปรนให้กับซาตานหรือวิงวอนขอความกรุณาจากมันเพื่อปกป้องตัวเจ้าเอง ไม่อาจหาญที่จะลุกขึ้นสู้พวกเขา และเจ้าได้กลายเป็นผู้ตีจาก ผู้ที่ชอบเอาใจผู้คน และผู้สังเกตการณ์ไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมขาดพร่องการเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า การเชื่อในพระเจ้าของเจ้ากลายเป็นเครื่องหมายคำถาม ซึ่งทำให้การเชื่อของเจ้าน่าเวทนาอย่างยิ่ง!” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) ราวกับพระวจนะมาพิพากษาฉันตรงหน้า ซึ่งทำให้ฉันหวั่นวิตกสุดใจ ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกของหัวใจมนุษย์อย่างแท้จริง และพระองค์ทรงเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจฉันอย่างชัดเจน เมื่อใคร่ครวญโดยละเอียด ฉันก็ตระหนักว่า ไม่ว่ากองกำลังชั่วของซาตานจะแกร่งแค่ไหน พวกมันก็ข้ามพ้นขีดจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้พวกมันไม่ได้ และพวกมันก็ไม่สามารถ และไม่กล้าทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตอย่างแน่นอน สาเหตุที่ฉันกลัวเย่ปิงกับพรรคพวกก็เพราะฉันไม่ได้เชื่อในพระอธิปไตยของพระเจ้าว่าอยู่เหนือสรรพสิ่ง ฉันคิดว่าฉันไม่มีสถานะในคริสตจักรและคำพูดของฉันก็ไม่มีน้ำหนัก ในขณะที่เย่ปิงเป็นผู้นำมาตลอด และเป็นคนมีคารมคมคายซึ่งได้ชักพาให้พี่น้องบางคนหลงเชื่อไปแล้ว ถึงกับทำให้ผู้ประกาศหันมาเข้าข้างเธอได้ ฉันอ่อนแอและเปราะบาง คำพูดของฉันก็แทบไม่มีน้ำหนัก ฉันสู้เธอไม่ได้เลย ดังนั้นแม้แต่ตอนที่ฉันถูกเธอโดดเดี่ยวและทรมาน และแม้แต่ตอนที่ฉันเห็นเธอกดข่มพี่น้องชายหญิงพร้อมทั้งทำชั่วและก่อก่วนงานของคริสตจักรด้วย ฉันก็ยังไม่กล้าพอที่จะรายงานเรื่องเธอ ฉันคิดว่าฉันจะถูกปลดและเอาตัวออกไป และสูญเสียโอกาสบรรลุความรอดด้วยเหตุนั้น ฉันเลือกมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมายดีกว่า ไม่ไปวุ่นวายในขณะที่เธอทำชั่วต่อไปและไม่เปิดโปงการทำชั่วของเธอ ฉันรู้เห็นเป็นใจในความชั่วของเธอ และเหมือนสมยอมให้ซาตานสร้างความเสียหายแก่งานของคริสตจักรอยู่กลายๆ เมื่อคิดย้อนถึงประสบการณ์สารพัดของฉันในขณะที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็เห็นว่าพระเจ้าทรงกำลังนำทางและกำกับฉันบนหนทางทุกย่างก้าว ฉันเผชิญกับการกดข่มและทรมานของเย่ปิง และฉันคิดว่าฉันจะถูกโดดเดี่ยวตลอดไป แต่แล้วเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย เย่ปิงจึงไม่สามารถทำงานของคริสตจักร และพี่น้องหญิงคนใหม่ที่เข้ามาดูแลงานก็คืนหน้าที่ให้ฉันหลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ทุกสิ่งที่ฉันได้รับประสบการณ์โดยตรงล้วนมีพระเจ้าเป็นผู้กำหนด พระองค์ไม่ได้เป็นผู้ทรงชี้ขาดโอกาสในอนาคตและชะตากรรมของฉันด้วยหรอกหรือ? ฉันมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมทั้งหมดเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ และได้รับการจัดเตรียมความจริงมากมายนัก แต่ทำไมฉันจึงไม่มีความเชื่อใดๆ ในพระเจ้าจนกระทั่งถึงตอนนี้? ตอนที่สิ่งต่างๆ บังเกิดแก่ฉัน ฉันไม่อธิษฐานและร้องหาพระเจ้าหรือปฏิบัติความจริง แต่ฉันกลับเกรงกลัวสถานะและอำนาจของซาตาน ฉันเห็นว่ากองกำลังชั่วของซาตานเหล่านี้สูงส่งกว่าแม้แต่พระเจ้าพระองค์เอง ฉันไม่ได้กำลังศิโรราบให้แก่ซาตานหรอกหรือ? ฉันมีที่ตรงไหนในหัวใจเหลือให้แด่พระเจ้าบ้าง? ฉันเห็นว่าฉันเชื่อในทฤษฎีที่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและพระองค์ทรงชอบธรรม แต่เมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่ฉัน ฉันกลับออมชอมกับซาตานและกลายเป็นผู้ละทิ้ง ความเชื่อในพระเจ้าของฉันช่างน้อยนิดนัก! จังหวะนั้น ในที่สุดฉันก็เข้าใจ ว่าถึงแม้กองกำลังชั่วแห่งศัตรูของพระคริสต์อาจจะเกะกะระรานอยู่ช่วงหนึ่ง กดข่มพี่น้องชายหญิงและชักพาคนที่เลอะเลือนไม่รู้จักแยกแยะบางคนให้หลงเชื่อ พระเจ้าก็ใช้พวกมันรับใช้พระองค์เพื่อช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะ ไม่ช้าก็เร็ว พวกศัตรูของพระคริสต์ก็จะถูกเผยตัวตนและถูกกำจัดออกไป เหมือนกับก่อนหน้านั้นไม่มีผิด ตอนที่คริสตจักรของเรามีศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งที่ทำชั่วมากมายสารพัดในขณะที่ทำหน้าที่ของเธอ สุดท้าย การทำชั่วของเธอทั้งหมดก็เผยออกมา และเธอก็ถูกพี่น้องชายหญิงทอดทิ้งและถูกขับไล่จากคริสตจักร ฉันเห็นว่าคริสตจักรคือสถานที่ที่ความชอบธรรมของพระเจ้าปกครอง หากคนเราไม่มีประสบการณ์กับความชอบธรรมนั้นด้วยตัวเอง พวกเขาจะรู้ซึ้งถึงกิจการของพระเจ้าได้ยังไง? ฉันเห็นเพียงสิ่งที่อยู่บนฉากหน้า และเมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่ฉัน ฉันก็ยอมอ่อนข้อให้กองกำลังของซาตาน หัวใจของฉันไม่มีที่ให้พระเจ้าเลย ฉันคือผู้ไม่เชื่ออย่างถึงแก่น! ฉันไม่เข้าใจความจริง ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสมเพชนัก! เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉันก็เกิดความละอายใจต่อความขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวของตัวเอง ฉันพร้อมจะปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพึ่งพาพระเจ้าในการเปิดโปงและทอดทิ้งพวกศัตรูของพระคริสต์ ฉันรีบรุดไปพบกับเพื่อนคนทำงานและหารือว่าเราควรจะจัดการกับเย่ปิงและพรรคพวกยังไง
หลังจากพบกัน พวกเรากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “หากคริสตจักรหนึ่งไม่มีผู้ใดสักคนที่เต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่มีผู้ใดสักคนที่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนให้แก่พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะต้องถูกแยกไปอย่างบริบูรณ์ และการติดต่อกับคริสตจักรอื่นๆ ต้องถูกตัดขาด สิ่งนี้เรียกว่า‘การฝังความตาย’ นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเดียดฉันท์ซาตาน หากคริสตจักรหนึ่งมีอันธพาลประจำถิ่นหลายคน และพวกเขาถูกติดตามโดย ‘แมลงวันเล็กๆ’ ที่ขาดพร่องการหยั่งรู้โดยสิ้นเชิง และหากผู้คนในคริสตจักรเช่นนั้น แม้ว่าหลังจากได้เห็นความจริงแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถปฏิเสธการผูกมัดและการบงการของอันธพาลเหล่านี้ได้—เช่นนั้นแล้ว คนโง่ทั้งหมดนั้นย่อมจะถูกกำจัดออกไปในที่สุด แมลงวันเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ากลัว แต่พวกเขาตลบตะแลงเสียยิ่งกว่า ลื่นไหลและหลบเลี่ยงเก่งเสียยิ่งกว่า และทุกคนที่เป็นเช่นนี้ย่อมจะถูกกำจัดออกไป จะต้องไม่หลงเหลือสักคนเดียว!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็รู้สึกว่าพระองค์กำลังปลดปล่อยพระพิโรธมาที่ฉัน “การฝังความตาย” และ “จะต้องไม่หลงเหลือสักคนเดียว” พระวจนะเหล่านี้เหมือนดาบแทงเข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจฉัน ฉันรู้สึกว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและไม่ผ่อนปรนต่อการก้าวล่วง ฉันตัวสั่นด้วยความกลัว เย่ปิงกับศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วคนอื่นๆ รบกวนคริสตจักรมาเกือบปีเพียงเพื่อแก่งแย่งอำนาจและสถานะ และทำชั่วมากมายเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่าฉันแยกแยะพวกเธอได้บ้าง และได้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของคนชั่วเหล่านี้แล้ว แต่ฉันกลับปล่อยการเปิดโปงและรายงานพวกเธอให้เนิ่นช้า เปิดโอกาสให้พวกเธอทำชั่ว ฉันได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าไปแล้ว เมื่อฉันได้เห็นพระเจ้าตรัสว่าคนเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล้อนล้วนต้องถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด ฉันก็นึกถึงก่อนหน้านั้น เพื่อที่จะพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวเอง ฉันได้เห็นการทำชั่วของเย่ปิงแต่ก็ไม่เปิดโปงหรือรายงานเรื่องเธอ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันรู้สึกตำหนิตัวเองอย่างหนัก ระหว่างที่ฉันทบทวนตัวเองอยู่นั้น ฉันตระหนักว่าด้วยการถูกควบคุมโดยพิษของซาตานที่รู้จักกันดีว่า “นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง” ฉันได้ทำสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่ปลิ้นปล้อนและหลอกลวง หลังจากที่เย่ปิงทรมานฉัน มีอยู่หลายครั้งที่ฉันอยากรายงานข้อเท็จจริงเรื่องการทำชั่วของเธอ แต่ทันทีที่ฉันคิดว่าเย่ปิงอาจจะกดข่มและทรมานฉันอีก เป็นภัยต่อโอกาสในอนาคตและบั้นปลายของฉัน ฉันก็หดหัวด้วยความกลัว หลังจากเข้ารับช่วงงานของคริสตจักร ฉันก็ส่งหลี่รู่ไปเป็นหนังหน้าไฟ ในขณะที่ฉันหลบอยู่ข้างหลัง ไม่ล่วงเกินผู้ใด ฉันเห็นว่าฉันกำลังใช้ชีวิตตามพิษของซาตานและฉันได้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจไปแล้ว เมื่อฉันเผชิญวิกฤติ ฉันก็หลบอยู่ในกระดองเหมือนหอยทาก ฉันไม่มีความกล้าจะเผชิญวิกฤตินั้นแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับสำนึกยุติธรรม! ที่จริงแล้ว ยิ่งฉันยอมอ่อนข้อเพื่อเลี่ยงปัญหามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วก่อกวนคริสตจักรมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเป็นการหยิบยื่นพี่น้องชายหญิงไปสู่ความโหดร้ายของซาตานและพวกมารมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ ฉันเป็นผู้ดูแลงานของคริสตจักร และเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็คือให้ฉันปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่อคุ้มครองบรรดาพี่น้องชายหญิง และไม่ปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์สร้างความเสียหายให้งานของคริสตจักร ฉันจำเป็นต้องลุล่วงภาระหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ก่อนหน้านั้น ฉันเฝ้าปกป้องตัวเองในทุกด้าน และฉันไม่สามารถปฏิบัติความจริงและสนองพระทัยพระเจ้าได้ แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงยับยั้งฉันจากการทำหน้าที่ แต่ในทางกลับกัน พระองค์ทรงใช้พระวจนะมาพิพากษาและเตือนฉัน นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า! ครั้งนี้ ฉันต้องรายงานเรื่องเย่ปิงและต่อสู้กับกองกำลังชั่วแห่งศัตรูของพระคริสต์จนจบเรื่องให้ได้ ฉันต้องเป็นคนจริงสักที! หลังจากนั้น พวกเราก็รายงานข้อเท็จจริงเรื่องการทำชั่วของเย่ปิงกับพรรคพวก รวมถึงการสำแดงของผู้ประกาศในการทำชั่วไปกับพวกเธอ ให้กับเหล่าผู้นำระดับสูงขึ้นไปทราบ หลังจากบรรดาผู้นำมีความเข้าใจในการสำแดงของเย่ปิงแล้ว พวกเขาก็ให้พวกเราสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงและแยกแยะเธอเป็นลำดับแรก และให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำชั่วของเย่ปิงและพรรคพวกโดยเร็วที่สุด ผ่านทางการสามัคคีธรรมช่วงเวลาหนึ่ง พี่น้องชายหญิงก็เริ่มแยกแยะเย่ปิงออก และพวกเขาต่างเต็มใจที่จะให้หลักฐานการทำชั่วของเย่ปิงกับพรรคพวกเขา ต่อมา หลังจากเหล่าผู้นำพิสูจน์แล้วว่าการสำแดงของพวกเธอที่พวกเราเสนอขึ้นไปนั้นเป็นความจริง พวกเขาเห็นว่าหลักฐานเหล่านั้นชัดเจนและเพียงพอ เย่ปิงกับคนอื่นๆ จึงถูกเอาออกไปจากคริสตจักร
ต่อมา พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และสามัคคีธรรมกันว่าเหตุใดพระเจ้าในยุคสุดท้ายจึงทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วทำเรื่องเลวทรามและก่อความไม่สงบในคริสตจักร ในที่นี้พระเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร และพวกเราควรได้เรียนรู้บทเรียนอะไร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วปรากฏตัวในคริสตจักรบางแห่งและกระทำการก่อกวน และในการทำเช่นนั้น พวกเขาก็ชักพาให้บางคนพลอยหลงผิด—นี่คือสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? นี่เป็นความรักของพระเจ้า หรือว่าพระเจ้าทรงเล่นกับผู้คนและทำให้พวกเขาเผยตัวตนออกมา? เจ้าไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงนำเอาสรรพสิ่งทั้งหลายมาใช้ในการปรนนิบัติของพระองค์เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม และท้ายที่สุดสิ่งที่บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริงโดยแท้จะได้รับก็คือความจริง อย่างไรก็ตาม บางคนที่ไม่แสวงหาความจริงกลับพร่ำบ่นโดยกล่าวว่า ‘การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้ไม่ถูกต้อง การนี้ทำให้ฉันทนทุกข์อย่างมาก! ฉันเกือบตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ หากนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการจริง แล้วพระองค์ทรงอนุญาตให้ผู้คนตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างไร?’ เกิดอะไรขึ้นที่นี่? การที่เจ้าไม่ติดตามศัตรูของพระคริสต์นั้นพิสูจน์ว่าเจ้ามีการคุ้มครองของพระเจ้า หากเจ้าตกไปเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นการทรยศต่อพระเจ้าและพระเจ้าไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป ดังนั้นแล้ว การที่ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้ก่อกวนคริสตจักรเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี? ดูภายนอกแล้วเหมือนนี่เป็นเรื่องไม่ดี แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้เผยตัวออกมา วิจารณญาณของเจ้าย่อมเติบโต พวกเขาจะถูกชำระออกไป และวุฒิภาวะของเจ้าย่อมเติบโต ในอนาคตเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับผู้คนเช่นนั้นอีกครั้ง เจ้าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของตนออกมาด้วยซ้ำ และเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา เรื่องนี้ทำให้เจ้าได้เรียนรู้บทเรียนและได้ประโยชน์ เจ้าจะรู้วิธีแยกแยะศัตรูของพระคริสต์และจะไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป ดังนั้นจงบอกเราเถิดว่า การให้ศัตรูของพระคริสต์มาก่อกวนและชักพาให้ผู้คนหลงผิดย่อมเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ? เมื่อผู้คนได้มีประสบการณ์มาถึงระยะนี้เท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา และพระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงกระทำการก่อกวนอย่างบ้าคลั่งและทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลงผิดเพื่อที่พระองค์จะได้ให้ซาตานรับใช้พระองค์ในการทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรนั้นเพียบพร้อม และตอนนั้นเท่านั้นผู้คนจึงเข้าใจเจตนารมณ์อันบากบั่นของพระเจ้า บางคนพูดว่า ‘ฉันถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดสองครั้งแล้วและฉันก็ยังไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้ หากศัตรูของพระคริสต์ที่ฉลาดแกมโกงมากกว่านี้อีกผ่านเข้ามา ฉันก็แค่จะถูกชักพาให้หลงผิดอีก’ เช่นนั้นก็จงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกเพื่อที่เจ้าจะได้สามารถรับประสบการณ์กับเรื่องนี้และเรียนรู้บทเรียน—พระเจ้าต้องทรงทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (1)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกว่าพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงมีปัญญาอย่างยิ่งในพระราชกิจของพระองค์! การที่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักร ดูผิวเผินแล้วไม่ใช่สิ่งดี และไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ซึ่งมีพระปัญญาของพระองค์อยู่ในนั้น พระเจ้าทรงใช้การกระทำของซาตานและพวกมารในคริสตจักร เพื่อเผยและกำจัดพวกมัน และยังช่วยพวกเราให้เรียนรู้ที่จะแยกแยะด้วย พระเจ้าทรงรู้ว่าวุฒิภาวะของเราน้อยเกินไป และเป็นเรื่องง่ายที่พวกเราจะถูกศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วชักพาให้หลงผิด ดังนั้นผ่านทางการทำชั่วในคริสตจักรของพวกมัน พระองค์ทรงทำให้วิจารณญาณแยกแยะของพวกเราเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเผยพวกคนที่เลอะเลือนและไร้วิจารณญาณ อีกทั้งหลับหูหลับตาติดตามคนอื่นอีกด้วย ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า) ในหัวใจของฉันมองเห็นชัดเจนขึ้น ว่ามีคนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ และในตอนแรก ข้าวลาลีและข้าวละมานต่างก็ถูกมัดรวมกัน จนคนเรามองไม่ออกว่าส่วนไหนดีส่วนไหนไม่ดี แต่ทว่า เมื่อพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคืบหน้าไป พวกคนที่ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงได้ ก็สามารถยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าและกำจัดความเสื่อมทรามของตัวเองออกไปได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และศัตรูของพระคริสต์ก็ถูกเผยตัวตนอย่างที่เป็น และถูกเอาตัวออกไปโดยถ้วนทั่ว และคริสตจักรก็สะอาดขึ้นเรื่อยๆ นี่คือผลลัพธ์ที่จะต้องมาถึงในการสำเร็จเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า
ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ประกาศเรื่องการขับไล่เย่ปิงกับพรรคพวกถูกส่งมาที่คริสตจักร เหล่าพี่น้องชายหญิงต่างยินดี และสรรเสริญความชอบธรรมของพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ ในที่สุดความโกลาหลในคริสตจักรก็คลายลง และพี่น้องชายหญิงก็กลับไปใช้ชีวิตคริสตจักรตามปกติ ฉันขอบคุณการทรงนำทางของพระเจ้าจากส่วนลึกของหัวใจ!