29. ความพลิกผันในการเดินทางไปหาพระเจ้า

โดย ซุนยวี่ ประเทศจีน

ปี 2000 ฉันได้มาเป็นคริสเตียน ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้ จะเทศน์ให้เราฟังค่อนข้างบ่อย ในการปรนนิบัติครั้งหนึ่ง เขาอ่านพระคัมภีร์ให้ฟัง แล้วบอกให้เรา อดทนอดกลั้นกับทุกสิ่ง ไม่ใช่การฟังเทศน์ แต่จงนำมาปฏิบัติเพื่อนำสิริมาสู่พระเจ้า เราถึงเข้าราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ จากนั้นมา ฉันจึงเริ่มปฏิบัติต่อญาติมิตร ด้วยความรักและเมตตา หากใครล่วงเกินฉัน ฉันจะอธิษฐานให้องค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยฉันให้อภัยพวกเขา ครั้งสองครั้ง ย่อมไม่เป็นปัญหา แต่พอนานไป ฉันกลับคงไว้ไม่ได้ บางครั้งฉันก็โกรธ และสั่งสอนพวกเขาในเรื่องเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็จะรู้สึกผิด ฉันติดอยู่ในพันธนาการแห่งบาป เพราะทำบาปและสารภาพบาปเรื่อยมา แล้วเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ฉันจะถูกพาเข้าราชอาณาจักรหรือ?  ฉันไปถามศิษยาภิบาล ถึงวิธีแก้ไขปัญหาแห่งบาป เขาบอกให้ฉันสารภาพบาปและกลับใจ อธิษฐาน และอ่านพระคัมภีร์ให้มากขึ้น ให้อดทนและอดกลั้น ทุกครั้งที่เขาพูดโดยไม่เจาะจงทางให้ฉันแบบนี้ ฉันก็ผิดหวัง ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45)  และในฮีบรูก็กล่าวว่า “ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14)  ฉันรู้สึกว่า คนที่ทำบาปและสารภาพบาปอยู่เสมอ และปฏิบัติพระวจนะไม่ได้อย่างฉัน ไม่อาจเข้าสู่สวรรค์ได้ ฉันรู้สึกว่า ทุกข์ใจอยู่ทุกวัน ต่อมา ฉันสังเกตว่า คริสตจักรเปี่ยมด้วยความริษยา และการต่อสู้ แย่งชิงธรรมาสน์กัน ตอนปรนนิบัติ มีการโยนพระคัมภีร์ของผู้ประกาศที่อาวุโสกว่าลงพื้น และเบียดเขาออกไป บางคนถึงกับดำเนินธุรกิจในคริสตจักร ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’(มัทธิว 21:13)  คริสตจักรแบบนั้น จะมีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  นี่คือถ้ำของพวกโจรไม่ใช่หรือ?  ฉันไม่มีทาง ได้รับเสบียงอาหารจากการปรนนิบัติพวกนั้น อีกทั้งปัญหาการทำบาปของฉัน จะไม่มีวันแก้ได้ ฉันอยากหาคริสตจักร ที่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่สาวของฉัน พาฉันไปคริสตจักรอื่นอยู่บ้าง แต่ทุกที่ก็ล้วนอยู่ในสภาวะเดียวกัน เมื่อฉันถามพวกเขา ถึงวิธีหลีกหนีจากบาป ก็ไม่มีใครชี้ทางให้ฉันได้ พวกเขาบอกว่า องค์พระเยซูเจ้าอภัยบาปให้เราแล้ว เราแค่ต้องอธิษฐานและกลับใจ นั่นทำให้ ฉันรู้สึกว่างเปล่า ถึงกับไม่อยากเข้าปรนนิบัติแล้ว วันหนึ่ง ฉันพลันเกิดความคิดว่า พระเจ้าอาจไม่ได้ทรงงานอยู่ในคริสตจักรแถวนี้ ตอนที่ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้แวะมา พวกเขาดูเคร่ง เดินทางมาถึงจีนเพื่อเลี้ยงดูคริสตจักรทั้งหลาย พวกเขามีความเชื่อมาก พระเจ้าทรงงานอยู่ที่คริสตจักรเกาหลีงั้นหรือ?  ฉันจึงไปหาคริสตจักรที่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นั่น

ปี 2007 ฉันกับพี่สาว พาครอบครัวเราไปประเทศเกาหลี พี่แนะนำคริสตจักรแห่งหนึ่งให้ฉัน เป็นที่ที่มีชาวจีนมากมาย ไปร่วมปรนนิบัติ สมาชิกคริสตจักรช่วยชาวจีนหางาน ทำให้เราหาเลี้ยงตัวเองได้ ผู้คนที่นั่น เปี่ยมด้วยความรักจริงๆ ฉันจึงไปร่วมปรนนิบัติ เพราะพวกเขาอาจมีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตอนปรนนิบัติ ศิษยาภิบาลกล่าวว่า “ส่วนมากเวลาไปจีนช่วงนี้ ผมได้ยินว่าพระเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระองค์ทรงปรากฏและทรงงาน ทรงนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่จีนเป็นประเทศล้าหลัง คนที่นั่นก็ป่าเถื่อน พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ จะทรงปรากฏและทรงงานที่นั่นได้อย่างไร?  มีคนมากมายกำลังประกาศฟ้าแลบจากทิศตะวันออก จงอย่าฟัง คนที่วุฒิภาวะน้อย หลวมตัวเข้าไป จะไม่มีวันออกมาได้” ตอนได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง หลายคริสตจักรในจีน ไร้งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รัฐบาลที่นั่นกดขี่ผู้เชื่อ อีกทั้งชาวจีน ก็นมัสการรูปเคารพ พระเจ้าจะทรงปรากฏและทรงงานที่จีนได้อย่างไร?  เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้

ไม่ช้า ฉันก็พบว่าขณะศิษยาภิบาลประกาศด้วยสำบัดสำนวน แต่จากนั้นเขากลับทำอีกอย่าง คือไม่ปฏิบัติตามหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันเกิดถอดใจ เวลาฉันถามศิษยาภิบาล ถึงวิธีแก้ไขความเปี่ยมบาป เขาก็ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ทุกคนล้วนเสื่อมทราม การทำบาปนั้นปกติ สารภาพบาป คุณจะได้รับการอภัย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยให้บาปของคุณแล้ว เพราะคุณเต็มใจจะกลับใจนั่นเอง” ฉันรู้สึกรังเกียจ ในสิ่งที่เขาพูด ทำไมเขาพูดเหมือน ศิษยาภิบาลชาวจีนเลยล่ะ?  เราไม่อาจกำจัดบาปได้ในทันที อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงเลย เราจะสารภาพบาปไปทำไม?  นั่นทำให้เราเป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อไม่ใช่หรือ?  แล้วการเชื่อจะมีความหมายอะไร?  ฉันผิดหวัง ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันก็ไม่อยากล้มเลิก ฉันเชื่อว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ละทิ้งฉัน วันหนึ่ง ฉันคงเจอคริสตจักร ที่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้น ฉันก็มักครุ่นคิดถึงปัญหานี้ ขณะเดินอยู่บนถนน ฉันมองหาทางข้ามไปคริสตจักรคริสเตียน ถ้าได้ฟังสิ่งเชิงบวก จากการเทศน์ของศิษยาภิบาลบ้าง ฉันคงบุกน้ำลุยไฟ ยึดเกาะเศษเสี้ยวของความหวัง เพื่อไปฟัง หวังว่าข้อข้องใจ จะได้รับการแก้ไข ฉันแวะเวียนไปตามคริสตจักรในเกาหลีกว่าสี่สิบที่ โดยไม่พบที่ที่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย ไม่มีศิษยาภิบาลคนไหน ไขข้อข้องใจให้ฉันได้ หลายคืนที่นอนไม่หลับ ฉันพลิกตัวไปมาด้วยความสับสน พลางร่ำร้องในใจว่า “พระเจ้า พระองค์อยู่ที่ไหนกัน?  ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์แล้วหรือ?”  ช่วงหลายปีนั้น ฉันรู้สึกหนักอึ้งในใจ ช่างหดหู่ และเจ็บปวด

ขณะที่เจ็บปวด และสิ้นหวังอยู่นี้เอง เดือนมิถุนายน ปี 2015 พี่สาวก็มาที่บ้าน และบอกฉันอย่างเบิกบานว่า “ฉันมีข่าวดีมาบอก!  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมานานแล้ว พระองค์ปรากฏและทรงงานอยู่ที่จีน ทรงแสดงความจริงมากมาย ข่าวประเสริฐนั้น มาถึงเกาหลีแล้ว” ฉันคิดว่า “พระเจ้าทรงงานอยู่ในจีนหรือ?  เป็นไปได้อย่างไร?”  ฉันตะแบงตอบไปว่า “เมื่อปี 2009 ศิษยาภิบาลบอกเราว่า พระเจ้าจะไม่มีทางทรงงานในจีน เพราะเป็นประเทศล้าหลัง และคนที่นั่นก็ป่าเถื่อน พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และทรงเกียรติ พระองค์จะทรงงานในจีนทำไม?”  แล้วฉัน ก็ผละไปล้างจาน พี่หยิบหนังสือออกมา และพูดอย่างใจเย็นว่า “หนังสือ หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก มีพระวจนะที่พระเจ้าในยุคสุดท้ายตรัสไว้ พี่จะอ่านบางส่วนให้เธอฟัง”

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร  บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง  แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต

หากผู้คนยังคงติดอยู่ในยุคพระคุณแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และยิ่งไม่มีทางรู้จักพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้าเลย  หากผู้คนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณที่ล้นเหลือเสมอ แต่ไม่มีหนทางแห่งชีวิตที่เปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักกับพระเจ้าหรือทำให้พระองค์สมดังพระทัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันได้รับพระองค์อย่างแท้จริงในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา  การเชื่อประเภทนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง  เมื่อเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคแห่งราชอาณาจักร เจ้าจะรู้สึกว่าบรรดาความอยากได้อยากมีที่เจ้ามีมานานหลายปีได้กลายเป็นจริงในที่สุด  เจ้าจะรู้สึกว่าบัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้เห็นพระเจ้าแบบเผชิญหน้าอย่างแท้จริง  บัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้จ้องมองโฉมพระพักตร์ของพระองค์ ได้ยินถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระองค์ ได้ตระหนักถึงพระปรีชาญาณของพระราชกิจของพระองค์และได้สำนึกรับรู้อย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงเป็นจริงและทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไร  เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนในอดีตกาลไม่เคยได้เห็นหรือครอบครอง  ณ เวลานี้ เจ้าจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้าและอะไรคือการปฏิบัติให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  แน่นอนว่าหากเจ้าเกาะติดกับมุมมองของอดีตและบอกปัดหรือปฏิเสธข้อเท็จจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงมือว่างเปล่า ไม่ได้รับอะไรมาเลย และในท้ายที่สุด เจ้าจะถูกประกาศว่ามีความผิดในการต่อต้านพระเจ้า  บรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังความจริงและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการอ้างสิทธิ์ภายใต้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พวกเขาจะสามารถยอมรับการทรงนำส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้รับความจริงมากขึ้นและสูงส่งขึ้น ตลอดจนชีวิตที่เป็นจริง  พวกเขาจะได้เห็นนิมิตที่ไม่เคยมีผู้คนในอดีตเคยได้เห็นมาก่อน กล่าวคือ ‘แล้วข้าพเจ้าก็หันกลับมาดูตรงที่พระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้านั้น  และเมื่อหันกลับมาแล้วข้าพเจ้าก็เห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคัน ในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์ยาวคลุมพระบาท และทรงคาดแถบทองคำที่พระอุระ  พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย  พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า’ (วิวรณ์ 1:12-16)  นิมิตนี้เป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ยังเป็นการแสดงออกของพระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันของพระองค์ด้วยเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  พอฟังแล้ว ฉันก็ผงะไป นี่เผยถึงความล้ำลึกแห่งหนังสือวิวรณ์ ช่างเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีใครเอ่ยคำเหล่านั้นได้ ฉันนึกถึงสิทธิอำนาจที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสตอนมาทรงงาน และสงสัยว่า นี่คือถ้อยดำรัสของพระเจ้าจริงไหม จู่ๆ จิตวิญญาณของฉันก็พุ่งพล่าน ฉันเริ่มตั้งใจฟัง ยิ่งพี่อ่านคำเผยพระวจนะบางส่วนจากวิวรณ์ให้ฟัง ฉันก็คิดว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะตีความได้ วิวรณ์บอกเราว่า “นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิด ทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้(วิวรณ์ 5:5)  มีเพียงพระเจ้า ที่เผยความล้ำลึกเหล่านี้ได้ นี่คือพระวจนะหรือ?  เป็นไปได้หรือ ว่าพระองค์ทรงปรากฏและทรงงานอยู่ในจีน?  ฉันจะหาคำตอบเรื่องที่สับสนมาหลายปี ได้ในหนังสือนั้นหรือ?  ฉันเกิดความอยากรู้ในเรื่องนี้มาก แล้วพี่สาว ก็อ่านสิ่งนี้ให้ฟัง “พระวจนะเหล่านั้นยังเป็นการเติมเต็มพระวจนะเหล่านี้ในหนังสือวิวรณ์ ที่ว่า: ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ ด้วยเช่นกัน  พระวจนะเหล่านี้เป็นตัวแทนช่วงระยะเริ่มแรกของพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงเริ่มในยุคแห่งราชอาณาจักร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  ฉันสนใจมากกว่าเดิม นี่คือคำเผยพระวจนะในวิวรณ์ไม่ใช่หรือ?  คำเผยพระวจนะนั้นลุล่วงแล้วหรือ?  เหล่านี้คือพระวจนะหรือ?  ฉันอยากอ่านโดยละเอียด จึงขอให้พี่ทิ้งหนังสือไว้ ตอนเธอยื่นให้ ฉันเปี่ยมสุขมาก รอเปิดอ่านแทบไม่ไหว แต่ฉันก็กังวลว่า หนังสือเล่มนี้ สอดคล้องกับพระคัมภีร์จริงไหม?  ฉันวางพระคัมภีร์และหนังสือเล่มนี้คู่กันบนเตียง เปรียบเทียบทั้งสองเล่ม ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในหนังสือ “จนเมื่อเราผ่านเข้าไปในสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่แล้วเท่านั้น เราจึงจะใช้สง่าราศีอีกส่วนหนึ่งของเราและเปิดเผยมันเป็นครั้งแรกในแผ่นดินคานาอัน ทำให้แสงริบหรี่ฉายส่องออกไปในทั้งแผ่นดินโลกซึ่งจมอยู่ในความมืดมิดของค่ำคืน เพื่อที่ทั้งแผ่นดินโลกอาจได้มาสู่ความสว่าง  เพื่อที่มนุษย์ทั้งปวงทั่วแผ่นดินโลกอาจได้มารับความแข็งแกร่งจากพลังอำนาจแห่งความสว่าง เปิดโอกาสให้สง่าราศีของเราเพิ่มขึ้นและปรากฏขึ้นต่อทุกชนชาติอีกครั้ง  และเพื่อที่มนุษยชาติทั้งปวงอาจตระหนักว่าเราได้มายังโลกมนุษย์นานมาแล้วและได้นำสง่าราศีของเราจากอิสราเอลมายังทิศตะวันออกนานมาแล้ว ด้วยเหตุที่สง่าราศีของเราฉายส่องมาจากทิศตะวันออก และสง่าราศีนั้นได้ถูกนำพาจากยุคพระคุณมาจนถึงวันนี้  แต่เป็นอิสราเอลนั่นเองที่เราได้จากมาและจากที่นั่นเองที่เราได้มาถึงในทิศตะวันออก  จนเมื่อความสว่างแห่งทิศตะวันออกค่อยๆ แปรเป็นสีขาวแล้วเท่านั้น ความมืดทั่วทั้งแผ่นดินโลกจึงจะเริ่มแปรเป็นความสว่าง และเมื่อนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะค้นพบว่าเราได้ไปจากอิสราเอลนานมาแล้วและกำลังลุกขึ้นใหม่ในทิศตะวันออก  เมื่อได้เคลื่อนลงสู่อิสราเอลครั้งหนึ่งแล้วและต่อมาภายหลังได้จากอิสราเอลไป เราไม่สามารถถือกำเนิดในอิสราเอลได้อีกครั้งเพราะงานของเรานำทางทั้งหมดในจักรวาล และที่มากไปกว่านั้นคือ ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบตรงจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก  ด้วยเหตุผลนี้เราจึงได้ลงมาในทิศตะวันออกและได้นำพาคานาอันมาสู่ประชาชนแห่งทิศตะวันออก  เราจะนำพาผู้คนจากทั่วทั้งแผ่นดินโลกมาสู่แผ่นดินคานาอัน และดังนั้นเราจึงเปล่งถ้อยคำออกไปในแผ่นดินคานาอันต่อไปเพื่อควบคุมทั้งจักรวาล  ณ เวลานี้ ไม่มีความสว่างในแผ่นดินโลกทั้งหมดนอกเหนือไปจากคานาอัน และมนุษย์ทั้งปวงก็ตกอยู่ในอันตรายจากความหิวและความหนาวเย็น  เราได้มอบสง่าราศีของเราแก่อิสราเอลแล้วจากนั้นก็เอาสง่าราศีนั้นออกไป และหลังจากนั้นเราได้พาคนอิสราเอลไปยังทิศตะวันออก และนำพามนุษยชาติทั้งมวลไปยังทิศตะวันออก  เราได้นำพาพวกเขาทั้งหมดไปยังความสว่างเพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกับความสว่างอีกครั้ง และเชื่อมสัมพันธ์กับความสว่าง และไม่ต้องค้นคว้าหาความสว่างอีกต่อไป  เราจะปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดที่กำลังค้นคว้าได้เห็นความสว่างอีกครั้งและได้เห็นสง่าราศีที่เราได้มีในอิสราเอล เราจะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นว่าเราได้ลงมาบนเมฆขาวเข้าสู่ท่ามกลางมวลมนุษย์นานมาแล้ว จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นหมู่เมฆสีขาวนับไม่ถ้วนและผลไม้เป็นพวงอันอุดม และที่มากไปกว่านั้นคือ จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล  เราจะปล่อยให้พวกเขาเฝ้ามององค์เจ้านายแห่งชาวยิว พระเมสสิยาห์ซึ่งเป็นที่ถวิลหารอคอย และการปรากฏอันครบถ้วนของเราผู้ที่ได้ถูกพวกกษัตริย์ข่มเหงตลอดทั่วทั้งยุคต่างๆ  เราจะทำงานกับทั้งจักรวาลและเราจะปฏิบัติงานอันยิ่งใหญ่ เป็นการเปิดเผยสง่าราศีของเราทั้งหมดและกิจการของเราทั้งหมดต่อมนุษย์ในยุคสุดท้าย  เราจะแสดงโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเราในความครบถ้วนต่อบรรดาผู้ที่ได้รอคอยเรามานานหลายปีแล้ว ต่อบรรดาผู้ที่ได้ถวิลหาให้เราลงมาบนเมฆขาว ต่ออิสราเอลที่ได้ถวิลหาให้เราปรากฏอีกครั้งหนึ่ง และต่อมวลมนุษย์ทั้งปวงที่ข่มเหงเรา เพื่อที่ทั้งหมดจะได้รู้ว่าเราได้เอาสง่าราศีของเราไปและได้นำพาสง่าราศีนั้นมายังทิศตะวันออกเมื่อนานมาแล้ว และสง่าราศีนั้นไม่ได้อยู่ในแคว้นยูเดียอีกต่อไป  ด้วยเหตุที่ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)  แล้วฉันก็เทียบกับ คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)  ในหนังสือตรงกับที่องค์พระเยซูเจ้าตรัส สอดคล้องกับพระคัมภีร์โดยสมบูรณ์ นอกจากพระเจ้า ใครจะไขความล้ำลึกเหล่านี้ได้?  พระวจนะเหล่านี้ดึงดูดฉัน ยิ่งอ่าน ฉันก็ยิ่งอยากอ่านเพิ่ม ฉันรู้สึกเหมือนเจอคำตอบของสิ่งที่สับสน จากหนังสือเล่มนี้

จากนั้น ฉันก็อ่านอีกบทตอนหนึ่ง “เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น  ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่  ในการค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า ‘พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต’ และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงจึงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบรอยพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า  เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก!  การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ และพระเจ้ายิ่งไม่สามารถจะปรากฏโดยคำขอของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำการเลือกและทรงทำแผนการของพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ของพระองค์เองและวิธีการของพระองค์เอง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใด พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องหารือกับมนุษย์หรือหาคำแนะนำของเขา นับประสาอะไรที่จะต้องทรงแจ้งให้ทุกๆ คนรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นควรได้รับการยอมรับจากทุกคน  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเสียก่อน  เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่ได้ครอบครองความจริง เขาจึงควรแสวงหา ยอมรับ และเชื่อฟัง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่)  ฉันอ่านบทตอนนี้ถึงสองครั้งติด พลางคิดว่า เจอเสียงของพระเจ้าที่ไหน ที่นั่นย่อมเจอย่างพระบาทด้วย นั่นคือที่ที่พระเจ้าทรงปรากฏ หรือนั่นจะเป็นพระวจนะจริงๆ?  นอกจากพระเจ้า ก็ไม่มีใครพูดอะไรแบบนั้นได้ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาอ่าน ในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าอาจทรงงานอยู่ที่คริสตจักรนั้น ฉันตื่นเต้นมาก และอ่านต่อไป

ต่อมา ฉันเจอบทตอนหนึ่งที่ว่า “มาวันนี้ พระเจ้าทรงกลับมาสู่โลกเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  จุดแรกที่พระองค์ทรงเริ่มงานก็คือ แบบอย่างของกลุ่มผู้ปกครองจอมเผด็จการ นั่นคือ ประเทศจีน ป้อมปราการอันเด็ดเดี่ยวแข็งขันในความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าทรงได้ผู้คนมากลุ่มหนึ่งด้วยพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพของพระองค์  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระองค์ทรงถูกตามล่าโดยพรรครัฐบาลของจีนในทุกวิถีทาง และตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส โดยไม่มีสถานที่ให้พระศิระของพระองค์ทรงเอนพัก ไม่สามารถหาที่พำนักกำบังกาย  ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระเจ้ายังคงทรงพระราชกิจที่พระองค์ทรงเจตนาที่จะทำต่อไป พระองค์ดำรัสพระสุรเสียงของพระองค์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ไม่มีสักคนที่สามารถหยั่งลึกในพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง  ในประเทศจีน ประเทศหนึ่งซึ่งถือพระเจ้าเป็นศัตรู พระเจ้ากลับไม่เคยหยุดทรงพระราชกิจของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับมีประชาชนจำนวนมากขึ้นที่ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ อันเนื่องมาจากการที่พระเจ้าทรงช่วยสมาชิกของมวลมนุษย์ทุกคนให้รอดจนถึงขอบข่ายที่เป็นไปได้มากที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)  แต่พอฉันอ่านตรงนี้ “มาวันนี้ พระเจ้าทรงกลับมาสู่โลกเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  จุดแรกที่พระองค์ทรงเริ่มงานก็คือ แบบอย่างของกลุ่มผู้ปกครองจอมเผด็จการ นั่นคือ ประเทศจีน” ฉันก็ชะงักไปทันที พลางรู้สึกผิดหวัง ฉันได้แต่คิด พลางจ้องอยู่ที่สองประโยคนั้นว่า “พระเจ้าในจีนน่ะหรือ?  จะเป็นไปได้ยังไง?  หรือว่าฉันไม่ควรอ่าน ถ้าพลัดหลงขึ้นมาล่ะ?”  แต่ฉันก็คิดว่า คำเหล่านี้เหมือนเสียงของพระเจ้า ถ้าฉันไม่ตรวจสอบ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ ฉันจะไม่พลาดโอกาสหรือ?  ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ และหยุดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพระเจ้า ถึงทรงปรากฏและทรงงานในจีน?  ฉันเทียบสิ่งที่อ่านกับพระคัมภีร์ และอ่านที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)  “ตะวันออก” หมายถึงประเทศจีนหรือ?  แต่จีนล้าหลังมาก และพวกที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าก็ครองที่นี่ พระเจ้าจะทรงปรากฏ และทรงงานในจีนได้หรือ?  หนังสือนี้กล่าวชัดเจนมาก ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็ยังลังเล ว่าควรอ่านต่อไป หรือล้มเลิกไปเสีย?  แล้วฉันก็นึกถึง หลายปีที่ฉันดิ้นรนค้นหา ตราบใดที่มีเสี้ยวความหวัง ฉันก็ล้มเลิกไม่ได้ ฉันจึง ตัดสินใจไปสืบค้นที่คริสตจักรนั้น

วันรุ่งขึ้น ฉันไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พี่น้องชายคนหนึ่งกำลังเทศน์ วิธีเป็นอิสระจากบาป ที่ฉันสงสัยอยู่พอดี ตอนนั้น เขากำลังอ่านพระวจนะ “ในยุคพระคุณนั้น ปีศาจทั้งหลายได้ถูกขับไล่ออกจากมนุษย์ด้วยการวางมือและการอธิษฐาน แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายภายในมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่  มนุษย์ได้รับการรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาและได้รับการยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ  มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษโดยผ่านทางพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีบาปภายในตัวเขาอีกต่อไป  บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้  การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน  ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

เขาสามัคคีธรรมว่า “เราเห็นได้จากพระวจนะว่า ในยุคพระคุณ พระเจ้าเพียงทรงงานแห่งการไถ่ องค์พระเยซูเจ้า ทรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐ บอกให้คนสารภาพบาปและกลับใจ ทรงรักษาคนป่วย ขับผี และอภัยบาปของผู้คน อีกทั้งประทานพระคุณแก่มนุษย์อย่างไม่สิ้นสุด สุดท้าย พระองค์ก็ถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป เพื่อมนุษย์ทั้งปวง นับแต่นั้นมา การได้รับอภัยบาป เพลิดเพลินกับพระคุณและพระพร เราเพียงต้องอธิษฐาน และสารภาพบาป นี่คืองานขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณ แล้วการที่งานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าเสร็จสิ้น แปลว่างานแห่งความรอดของพระเจ้าถูกทำไปแล้วหรือ?  ไม่ใช่แน่นอน งานแห่งการไถ่ เพียงอภัยบาปให้เรา แต่รากธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเรา ยังไม่ถูกแก้ไข เรายังอดไม่ได้ที่จะทำบาปอยู่ตลอด เราโอหัง อวดตน เราโกหกและคดโกง บางครั้งเราก็รู้สึกอิจฉา และเกลียดชัง เราไม่อาจหลุดพ้นจากการทำบาปตอนกลางวัน และสารภาพบาปตอนกลางคืน ฮีบรูบทที่ 12 ข้อ 14 กล่าวว่า ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และชอบธรรม เราที่แสนโสมมและเสื่อมทราม จะควรค่าแก่การเข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร?  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เสด็จมาแสดงความจริง และทรงงานพิพากษา เพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเรา ให้เรากำจัดพันธนาการแห่งบาปได้โดยสมบูรณ์ ถูกชำระให้สะอาด และส่งเราเข้าสู่ราชอาณาจักร นี่ทำให้ คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)  ‘เราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดำรัสพระวจนะนับล้าน ทรงแสดงความจริงทั้งปวง ที่จำเป็นต่อการชำระ และช่วยมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์ ทรงพิพากษาและเปิดโปงอุปนิสัยเสื่อมทราม และธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา ทรงเผยรากเหง้าแห่งความเปี่ยมบาป และการต่อต้านพระเจ้าของเราอย่างครบถ้วน ทั้งยังชี้เส้นทางกำจัดบาป และได้รับความรอดของพระเจ้าให้เรา ทางเดียวที่จะเห็นความจริงของความเสื่อมทรามของเรา คือยอมรับการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะ เราถึงจะเสียใจ เกลียดตัวเอง และกลับใจต่อพระเจ้า พ้นจากความเสื่อมทราม และเป็นผู้สะอาดได้ งานพิพากษาในยุคสุดท้าย เป็นทางเดียวที่เราจะได้บริสุทธิ์ ถูกช่วยให้รอด และได้เข้าสู่สวรรค์”

พอฟังสามัคคีธรรมของเขา ฉันก็เกิดความรู้แจ้ง เหมือนยกภูเขาออกจากอก สรุปว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงงานแห่งการไถ่ และบาปของมนุษย์ก็ถูกอภัย ผ่านเครื่องบูชาลบล้างบาป แต่ธรรมชาติเปี่ยมบาปในตัวเรายังคงอยู่ การยอมรับการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย เป็นทางเดียวในการแก้ไขปัญหาเรื่องบาป ในการพ้นจากพันธนาการแห่งบาป ถูกชำระให้สะอาด และควรค่าจะเข้าสู่ราชอาณาจักร มีเพียงพระเจ้า ที่เผยความล้ำลึกของงานบริหารจัดการ รวมถึงชำระ และช่วยผู้คนให้รอดได้โดยสมบูรณ์ ฉันแน่ใจว่านี่คืองานของพระเจ้า ฉันตื่นเต้นมาก

วันรุ่งขึ้น พี่น้องหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้อ่านพระวจนะให้ฉันฟัง “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน  วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  เมื่ออ่านจบ เธอก็สามัคคีธรรมและเป็นคำพยาน ซึ่งทำให้ฉันกระจ่างมากขึ้น พระเจ้า ทรงแสดความจริงและทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของคน ถ้าเราไม่ยอมรับการพิพากษา และใช้ทั้งชีวิตให้ศาสนา เราจะหนีบาปไม่พ้น และไม่ถูกชำระให้สะอาด เป็นเพราะพระกรุณา และพระคุณ ที่ในที่สุดฉันก็พบเส้นทางถูกชำระให้สะอาดจากบาป ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันหวนนึกถึงแปดปี ที่ฉันไปตามคริสตจักรมานับไม่ถ้วน ทั้งเล็กและใหญ่ ตามหาเส้นทางกำจัดบาป และเข้าสู่สวรรค์ แต่ทุกครั้งที่เกิดมีหวังขึ้นมา ฉันก็กลับผิดหวัง พระคุณของพระเจ้า ทำให้ฉันได้ยินพระสุรเสียง และเห็นการทรงปรากฏ ฉันรู้สึกได้รับพรอย่างเหลือเชื่อ!  ฉันเหมือนเด็กหลงทางที่เตร็ดเตร่อยู่แปดปี สุดท้ายได้กลับไปหาแม่ ฉันรู้สึกสันติสุขและปีติเกินบรรยาย

แต่ฉัน ยังมีข้อข้องใจที่ไม่ได้รับการแก้ไข ฉันถามพี่น้องหญิงคนนี้ว่า “คนจีนป่าเถื่อนมาก แถมยังต่อต้านพระเจ้า ในยุคสุดท้าย ทำไมพระองค์ปรากฏและทรงงานที่นั่นล่ะ?”  เธออ่านพระวจนะให้ฉันฟังบทตอนหนึ่ง “พระราชกิจของพระยาห์เวห์คือการสร้างโลก นั่นคือการเริ่มต้น พระราชกิจช่วงระยะนี้คือปลายทางของพระราชกิจ และเป็นการสรุปปิดตัว  เริ่มแรกนั้นพระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปท่ามกลางผู้ที่ได้รับการเลือกสรรชาวอิสราเอล และเป็นรุ่งอรุณของยุคใหม่ในสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งหมด  พระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายดำเนินไปในประเทศที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาประเทศทั้งปวง เพื่อพิพากษาโลกและนำพายุคไปสู่กาลอวสาน  ในช่วงระยะแรกนั้น พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปในสถานที่ที่สดใสที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และช่วงระยะสุดท้ายก็ดำเนินไปในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และความมืดมนนี้จะถูกขับออกไป และความสว่างจะถูกนำมา และผู้คนทั้งหมดจะได้รับการพิชิต  เมื่อผู้คนจากสถานที่ที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดและมืดมิดที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงนี้ได้รับการพิชิต และประชากรทั้งหมดทั้งมวลยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และเมื่อทุกบุคคลเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงนี้จะถูกใช้ดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยไปทั่วทั้งจักรวาล  พระราชกิจช่วงระยะนี้มีความเป็นสัญลักษณ์ กล่าวคือ  ทันทีที่พระราชกิจของยุคนี้เสร็จสิ้นลง พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการหกพันปีก็จะมาถึงบทอวสานอันสมบูรณ์  ทันทีที่พวกที่อยู่ในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงได้รับการพิชิตแล้ว ก็ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าทั่วทุกหนแห่งจะเป็นเช่นนั้นด้วย  เมื่อเป็นดังนี้จึงมีเพียงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้สัญลักษณ์อย่างมีความหมาย  ประเทศจีนคือรูปจำแลงแห่งกำลังบังคับทั้งมวลของความมืด และผู้คนของประเทศจีนเป็นตัวแทนของทุกคนที่เป็นมนุษย์ เป็นของซาตาน และมีเลือดมีเนื้อหนัง  ผู้คนชาวจีนนี่เองที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำให้เสื่อมทรามที่สุด ต่อต้านพระเจ้าอย่างหนักหน่วงที่สุด มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำช้าและไม่บริสุทธิ์ที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงเป็นแม่แบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามทั้งหมด  นี่มิได้หมายความว่าประเทศอื่นไม่มีปัญหา มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ล้วนเหมือนกันทั้งหมด และถึงแม้ว่าผู้คนของประเทศเหล่านี้อาจมีขีดความสามารถดี แต่หากพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์…ความเสื่อมทราม ความไม่บริสุทธิ์ ความไม่ชอบธรรม การต่อต้าน และการเป็นกบฏได้ถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ที่สุด และถูกเปิดเผยอยู่ในรูปแบบสารพันภายในตัวผู้คนของประเทศจีนนั่นเอง  ในด้านหนึ่ง พวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย และในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตและชุดความคิดของพวกเขาล้าหลัง และนิสัยใจคอ สภาพแวดล้อมทางสังคม ครอบครัวที่ให้กำเนิดของพวกเขา—ทั้งหมดล้วนอ่อนด้อยและล้าหลังที่สุด  สถานะของพวกเขาก็ต่ำต้อยเช่นกัน พระราชกิจในที่แห่งนี้จึงมีความเป็นสัญลักษณ์ และหลังจากที่พระราชกิจแห่งการทดสอบนี้ดำเนินไปอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระราชกิจที่ตามมาของพระเจ้าจะง่ายกว่านี้มาก  หากพระราชกิจขั้นตอนนี้สามารถเสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจที่ตามมาก็ย่อมเป็นที่ชัดเจน  ทันทีที่พระราชกิจขั้นตอนนี้สำเร็จลุล่วงไป ก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างเต็มที่ และพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั่วทั้งจักรวาลก็ย่อมจะถึงกาลอวสานอย่างสมบูรณ์  แท้จริงแล้ว ทันทีที่พระราชกิจท่ามกลางพวกเจ้าประสบความสำเร็จ นี่ก็ย่อมจะเทียบเท่ากับความสำเร็จไปทั่วจักรวาล  นี่คือความสำคัญของการที่ว่าเหตุใดเราจึงให้พวกเจ้าทำหน้าที่เป็นแบบอย่างและตัวอย่าง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)) แล้วสามัคคีธรรมว่า “พระวจนะนั้นชัดเจนมาก สำหรับพระเจ้า การทรงปรากฏและทรงงานในจีน เปี่ยมความหมายที่สุด ตอนนี้ งานของพระเจ้าคือพิพากษา และชำระให้สะอาด พระองค์แสดงความจริงเพื่อเปิดโปงธรรมชาติที่ต่อต้านพระเจ้า และอุปนิสัยเสื่อมทรามต่างๆ ของเรา ทรงแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมบารมี และเปี่ยมพิโรธที่ไม่ทนการล่วงเกิน นั่นทำให้ พระองค์ต้องเลือกพวกที่เสื่อมทรามและต่อต้านพระเจ้าที่สุด มาเป็นตัวอย่าง การทรงงานท่ามกลางพวกเขา เป็นทางเดียวที่จะเผยความเสื่อมทรามในมนุษย์ได้ทุกรูปแบบ ทั้งยังแสดงความบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ได้ดีกว่า นั่นคือวิธีที่ทรงทำให้งานพิพากษา ได้ผลดีที่สุด และประเทศจีน เป็นรังของพญานาคใหญ่สีแดง ที่เป็นรูปจำแลงของซาตาน นี่คือกลุ่มคนที่ซาตานทำให้เสื่อมทรามที่สุด นั่นทำให้จีนเป็นแกนความชั่วของโลก และชาวจีนก็เสื่อมทรามลึกซึ้งที่สุด ปฏิเสธ และต่อต้านพระเจ้าที่สุด มีความเห็นมนุษย์แย่ที่สุด ชาวจีนเป็นตัวอย่างของมนุษย์ผู้เสื่อมทราม การทรงปราฏ ทรงงาน และแสดงความจริงในจีน การเปิดโปงทุกเสี้ยวความเสื่อมทราม และความเป็นกบฏของชาวจีน พิชิตมวลมนุษย์ได้ดีกว่า สิ่งนี้แสดงแก่นแท้และความจริง ว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามมากแค่ไหน ได้เห็นผลกว่า รวมถึง การทรงงานในประเทศที่โสมม เสื่อมทราม และต่อต้านพระเจ้ามากที่สุดนั้น การพิชิต ชำระให้บริสุทธิ์ และแปลงกายคนจีนที่เสื่อมทรามและป่าเถื่อนที่สุด ทำให้คนประเทศอื่น ถูกช่วยให้รอดได้ง่ายขึ้น พระเจ้าทรงงานเช่นนี้ เพื่อให้ทุกคนเห็นฤทธานุภาพ และเชื่อสุดใจ นี่เผยถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ รวมถึงพระปัญญา และพระมหิทฤทธิ์”

หลังจากนั้น เธอก็อ่านพระวจนะเพิ่มเติม “ผู้คนชาวจีนไม่เคยเชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่เคยรับใช้พระยาห์เวห์ และไม่เคยรับใช้พระเยซู  พวกเขาแค่คุกเข่าคำนับ จุดธูปบูชา เผากระดาษเงินกระดาษทอง และนมัสการพระพุทธเจ้า  พวกเขาแค่นมัสการรูปเคารพ—พวกเขาทั้งหมดต่างกบฏอย่างถึงที่สุด  ดังนั้นแล้ว ยิ่งฐานะของผู้คนต่ำต้อยเท่าใด มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงได้รับจากพวกเจ้าคือพระสิริยิ่งขึ้นไปอีก…ตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์แล้วนั้น เราจะต้องเกิดในประเทศดีๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามีสถานะที่สูงส่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงให้เห็นชื่อเสียงเกียรติยศ ความบริสุทธิ์ และความยิ่งใหญ่ของเรา  หากเราเกิดในสถานที่ที่ระลึกถึงเราได้ ในครอบครัวชั้นสูง และหากเรามีฐานะและสถานะที่สูงส่ง เช่นนั้นแล้วเราก็จะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีมาก  นั่นจะไม่เป็นประโยชน์ต่องานของเรา และเมื่อนั้นความรอดที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นจะยังคงสามารถได้รับการเปิดเผยได้หรือ?  บรรดาผู้คนทั้งหมดที่มองเห็นเราจะเชื่อฟังเรา และพวกเขาจะไม่เปรอะเปื้อนไปด้วยความสกปรกโสมม  เราน่าจะได้เกิดในสถานที่ประเภทนี้  นั่นคือสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อ  แต่จงคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ว่า พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อความชื่นชมยินดีหรือเพื่อพระราชกิจ?  หากเราทำงานในสถานที่ที่ง่ายดายและสะดวกสบายประเภทนั้น เราจะสามารถได้รับสง่าราศีที่เต็มเปี่ยมของเราหรือ?  เราจะสามารถพิชิตสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของเราได้หรือ?  เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นของโลก และพระองค์ไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชื่นชมโลก  สถานที่ที่การทรงพระราชกิจจะเผยพระอุปนิสัยของพระองค์และมีความหมายมากที่สุดคือสถานที่ที่พระองค์ประสูติ  ไม่ว่าแผ่นดินนั้นจะบริสุทธิ์หรือสกปรกโสมม และไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงพระราชกิจที่ใดก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงบริสุทธิ์  พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แม้ว่าทั้งหมดนั้นได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วก็ตาม  กระนั้น ทุกสรรพสิ่งยังคงเป็นของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  พระองค์เสด็จมาแผ่นดินที่สกปรกโสมมและทรงพระราชกิจที่นั่นเพื่อเผยความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงสู้ทนการเหยียดหยามที่ยิ่งใหญ่เพื่อทรงพระราชกิจดังกล่าวเพื่อที่จะช่วยผู้คนแห่งแผ่นดินที่สกปรกโสมมนี้ให้รอด  การนี้ได้กระทำไปเพื่อเป็นพยาน เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ทั้งหมด  สิ่งที่พระราชกิจดังกล่าวแสดงให้ผู้คนเห็นคือความชอบธรรมของพระเจ้า และสามารถแสดงถึงมไหศวรรย์ของพระเจ้าได้ดีขึ้น  ความยิ่งใหญ่และความซื่อตรงของพระองค์ได้รับการสำแดงในความรอดของกลุ่มคนต่ำต้อยที่ผู้อื่นดูถูก  การเกิดในแผ่นดินที่สกปรกโสมมไม่ได้พิสูจน์แต่อย่างใดเลยว่าพระองค์ทรงต่ำต้อย นั่นเพียงทำให้สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมดสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และความรักที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์เท่านั้น  ยิ่งพระองค์ทรงทำเช่นนั้นมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเผยความรักที่บริสุทธิ์ของพระองค์ ความรักที่ไร้จุดบกพร่องที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์ออกมามากยิ่งขึ้นเท่านั้น  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม  ถึงแม้ว่าพระองค์ประสูติในแผ่นดินที่สกปรกโสมม และถึงแม้ว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบรรดาผู้คนที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสมมเช่นเดียวกับพระเยซูที่ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับคนบาปในยุคพระคุณ แต่ทุกๆ เศษเสี้ยวของพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งหมดหรอกหรือ?  ทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ?  สองพันปีก่อน พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับคนบาปเป็นเวลาหลายปี  นั่นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไถ่  วันนี้ พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับกลุ่มคนที่สกปรกโสมมและต่ำต้อย  นี่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด  พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอกหรือ?  หากไม่ใช่เพื่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว เหตุใดพระองค์จึงได้ดำรงพระชนม์ชีพและทนทุกข์กับคนบาปเป็นเวลาหลายปีหลังจากที่ประสูติในรางหญ้าเล่า?  และหากไม่ใช่เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว เหตุใดพระองค์จึงเสด็จกลับมาหามนุษย์เป็นครั้งที่สอง ประสูติในแผ่นดินนี้ที่เหล่าปีศาจรวมตัวกัน และดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คนเหล่านี้ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง?  พระเจ้ามิได้ทรงสัตย์ซื่อหรอกหรือ?  ส่วนใดในพระราชกิจของพระองค์ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อมวลมนุษย์?  ส่วนใดไม่ได้เป็นไปเพื่อลิขิตชีวิตของพวกเจ้า?  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์—สิ่งนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้!  พระองค์ไม่ทรงเปรอะเปื้อนไปด้วยความสกปรกโสมม แม้ว่าพระองค์ได้เสด็จมายังแผ่นดินที่สกปรกโสมมก็ตาม ทั้งหมดนี้สามารถมีความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นไม่เห็นแก่พระองค์เองอย่างที่สุด และความทุกข์และการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พระองค์ทรงสู้ทนช่างยิ่งใหญ่อย่างที่สุด!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด)

เธอสามัคคีธรรมว่า “พระวจนะบอกเราว่า การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงปรากฏ และทรงงานในจีน มีนัยสำคัญมหาศาล ชาวจีนต่อต้าน และเกลียดพระเจ้าที่สุด พวกเขาขาดขีดความสามารถ และความเป็นมนุษย์ที่สุด แต่พระเจ้าก็ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ไปทรงงานที่จีน ทรงแสดงความจริง ด้วยความอดทนอดกลั้นอันเหลือเชื่อ พระเจ้าทรงสู้ทนการดูหมิ่นมากมาย เพื่อช่วยเหล่าผู้ที่โสมม และเสื่อมทรามที่สุดให้รอด นี่ยิ่งเผยว่า พระเจ้าทรงถ่อมพระทัย และซ่อนเร้นเพียงใด และทำให้เราเห็นความบริสุทธิ์และชอบธรรม ความเสียสละ และความรักแท้จริงที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น เราได้เห็นว่า พระเจ้าคือองค์พระผู้สร้าง พระองค์มีสิทธิอำนาจที่จะทรงงานในประเทศใดก็ได้ ท่ามกลางใครก็ได้ แต่ไม่ว่าจะทรงปรากฏ และทรงงานที่ประเทศใด ก็ล้วนทำเพื่อมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษยชาติทั้งหมดให้รอด ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและทรงงานที่จีน ทรงแสดงความจริง พระองค์ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นแล้ว ตอนนี้ข่าวประเสริฐของพระองค์ กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลก งานและพระวจนะของพระองค์ เหมือนดั่งความสว่างยิ่งใหญ่ ส่องสว่างจากตะวันออก ไปถึงตะวันตๆ มีคนได้ยินพระสุรเสียงมากขึ้น และรีบหันสู่พระองค์ ยอมรับการชำระให้สะอาด และความรอดของพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราทำตามมโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันของตัวเอง คิดว่าในเมื่อ งานสองระยะก่อนของพระเจ้าอยู่ในอิสราเอล พระองค์ย่อมเป็นพระเจ้าแห่งชาวอิสราเอล จะไม่ทรงปรากฏและทรงงานที่จีน แต่นั่นเป็นการตีกรอบพระองค์ไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าตรัสว่า ‘นามของเราก็ใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย(มาลาคี 1:11)  แล้วประโยคนั้น จะลุล่วงได้อย่างไร?  ยุคสุดท้าย การทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงงานในแดนที่ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าปกครอง ทำลายมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ราบคาบ เราจึงเห็นว่า ไม่ใช่แค่พระเจ้าแห่งอิสราเอล แต่ทรงเป็นพระเจ้าของประชาชาติ พระองค์คือพระเจ้าของมนุษย์ทั้งปวง ไม่ใช่เพียงประเทศหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่ง การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทรงปรากฏและทรงงานที่จีนนั้น เปี่ยมความหมายอย่างเหลือเชื่อ!”

หลังฟังสามัคคีธรรม ฉันก็รู้สึกอายจริงๆ ฉันไม่เข้าใจงานของพระเจ้า แต่กลับตีกรอบพระเจ้าตามศิษยาภิบาล ว่าพระเจ้าไม่มีทางทรงงานในจีน ฉันโอหังและไม่รู้ความเหลือเกิน!  แค่นึกถึงก็น่ากลัวแล้ว เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า ฉันถึงโชคดีได้ยินพระสุรเสียง และยอมรับงานแห่งยุคสุดท้าย ไม่อย่างนั้น ฉันคงยังใช้มโนคติอันหลงผิดตีกรอบพระเจ้า กล่าวโทษงาน และการทรงปรากฏ และฉันคงไม่มีหวังได้รับความรอด ขอบคุณความรอดของพระเจ้า จากก้นบึ้งของหัวใจ ฉันยังประสบเอง ถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัส “เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ และทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา(มัทธิว 7:8)  พระวจนะช่างจริง และพระเจ้าก็ทรงสัตย์ซื่อ ตราบที่เราแสวงหา พระเจ้าจะทรงนำ และให้ความรู้แจ้งแก่เรา ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 27. เหตุผลที่ฉันไม่ยอมรับการกำกับดูแล

ถัดไป: 31. การไม่ได้เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” อีกต่อไปแล้วช่างเป็นอิสระเหลือเกิน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger