84. การค้นหาที่ทางของเราเป็นกุญแจสำคัญ

โดยโจวอวี่ฉี ประเทศจีน

ฉันทำงานธุรการทั่วไปในคริสตจักร อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างการพูดคุย ฉันได้ยินผู้นำคริสตจักรพูดว่า “พี่น้องหญิงเจินซินมีขีดความสามารถที่ดีนะ มีความเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างบริสุทธิ์ แถมยังสามัคคีธรรมความจริงได้สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันตั้งใจจะบ่มเพาะเธอเพื่อทำงานให้น้ำล่ะ” ไม่นานนัก เจินซินก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ หลังจากได้ยินข่าวนี้ ฉันก็อดรู้สึกห่อเหี่ยวใจไม่ได้ ที่ผ่านมา ฉันกับเจินซินต่างก็ทำงานธุรการทั่วไปเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอได้เป็นผู้นำแล้ว ในขณะที่ฉันยังคงทำงานธุรการทั่วไปอยู่ ทำไมฉันถึงอ่อนด้อยขนาดนี้? ฉันรู้สึกท้อแท้มากตลอดทั้งเช้านั้นจนไม่สามารถจดจ่อกับงานได้เลย ต่อมา ผู้นำมาถามฉันว่าอยากรับช่วงต่องานธุรการทั่วไปจากเจินซินไหม ฉันรู้สึกเสียใจนิดหน่อย ถึงฉันจะได้รับตำแหน่งผู้ดูแล แต่นั่นก็ยังเป็นแค่งานธุรการทั่วไป ไม่ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครรู้ ต่างจากการเป็นผู้นำ คนที่คริสตจักรหมายมั่นปั้นมือจะบ่มเพาะ และพี่น้องชายหญิงทุกคนต่างยกย่องและเกื้อหนุน ฉันรู้สึกว่างานธุรการทั่วไปเป็นงานที่ต่ำต้อย จึงไม่อยากรับงานนั้นเท่าไรนัก ฉันกังวลว่าพี่น้องชายหญิงจะคิดกับฉันยังไงหากฉันรับงานนี้มา พวกเขาจะคิดไหมว่า ฉันทำงานธุรการทั่วไปมาตลอด เพราะตลอดหลายปีแห่งความเชื่อ ฉันไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือมีความก้าวหน้าเลย? นั่นคงจะน่าอับอายมาก! แต่พอมาคิดดูอีกที หน้าที่นั้นมาถึงมือฉันด้วยพระอนุญาตจากพระเจ้า ต่อให้งานนี้จะไม่ตรงตามที่ฉันอยากได้ ฉันก็ต้องนบนอบและไม่กระทำตามความชอบส่วนตัว ดังนั้น ฉันจึงฝืนใจตอบผู้นำไปว่าฉันยินดีจะรับหน้าที่นั้น

ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้ยินผู้นำพูดว่า “พี่น้องซั่งจินมีขีดความสามารถที่ดี และถ้าเขาทุ่มเทกับการเข้าสู่ชีวิตอีกนิด เขาก็จะสามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ ทุ่มเทบ่มเพาะเขาให้มากขึ้นหน่อยแล้วกันนะ” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก ฉันดูแลงานของซั่งจิน และแม้แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ผู้นำอยากบ่มเพาะ ทำไมไม่มีใครเอ่ยชื่อฉันบ้างเลย? ฉันดูแลงานของเขา แต่กลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันยังคงอยู่กับที่ แล้วคนอื่นจะมองฉันยังไง? ฉันบกพร่องมากขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? ฉันพอมีความสามารถอยู่บ้างในการจัดการงาน ค้นหาและแก้ปัญหา บางครั้ง เวลาผู้นำหารือเรื่องต่างๆ ฉันก็สามารถแสดงความคิดเห็นและให้คำแนะนำบางอย่างได้ ทำไมผู้นำถึงมองไม่เห็นจุดแข็งของฉันบ้างเลย? ถ้าผู้นำแค่เอ่ยชื่อฉัน บอกว่าฉันสามารถได้รับการบ่มเพาะได้ แต่ฉันจำเป็นต้องดูแลงานธุรการทั่วไปอยู่ นั่นคงพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น และฉันคงจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง ฉันรู้สึกเสียใจมากทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้อยู่หลายวัน ฉันรู้สึกไร้ชีวิตชีวาเป็นที่สุด ไม่อยากพูดคุยกับพี่น้องชายหญิง และไม่แบกรับภาระหน้าที่ของตัวเอง เวลาคนอื่นมารายงานปัญหาให้ฟัง ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเหมือนแต่ก่อน

วันหนึ่ง ผู้นำขอให้ฉันส่งของบางอย่างไปให้การชุมนุมกลุ่มของเจินซินครั้งหนึ่ง ฉันไม่อยากไปเลยจริงๆ เพราะกลัวว่าเจินซินจะคิดยังไงกับฉัน พวกเราเคยทำหน้าที่เดียวกันมาก่อน แต่ตอนนี้ เธอกลายเป็นผู้นำไปแล้ว ขณะที่ฉันยังคงทำงานธุรการทั่วไปอยู่เลย เธอจะดูถูกฉันและคิดว่าฉันไร้ประโยชน์ไหม? แต่ฉันก็กังวลว่าถ้าฉันไม่ไป งานจะล่าช้า ดังนั้นฉันจึงต้องกัดฟันยอมไป พอไปถึง เพื่อไม่ให้เจินซินจำได้ ฉันเลยนั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น และก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์นานกว่าครึ่งชั่วโมง พี่น้องชายหญิงบางคนเข้ามาคุยกับฉัน แต่ฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เพราะกลัวว่าเจินซินจะจำฉันได้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ที่สุดเลย แล้วก็เจ็บปวดจนอยากร้องไห้ ฉันทนไม่ไหวจึงวิ่งไปอีกห้องหนึ่ง และร้องไห้เงียบๆ ขณะมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ฉันคิดถึงเรื่องที่ตัวเองไม่ดีพอที่จะได้รับการบ่มเพาะ ในขณะที่คนอื่นได้เป็นผู้นำ แต่ฉันกลับติดแหง็กอยู่กับงานธุรการทั่วไป การใช้ชีวิตแบบนี้จะไปมีความหมายอะไร? ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดแบบนี้ ฉันมีความคิดแบบนี้ได้ยังไงกัน? ในตอนนั้น ฉันจำพระวจนะของพระเจ้าได้คลับคล้ายคลับคลาว่า “สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะและความมีหน้ามีตาจึงเป็นชีวิตของพวกเขา… เจ้าอาจนำพวกเขาไปไว้ในป่าดงดิบลึกเข้าไปในเทือกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ละมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ”  ฉันรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้อธิบายสภาวะของฉัน ดังนั้นฉันจึงค้นหาบทตอนนี้มาอ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะและความมีหน้ามีตาจึงเป็นชีวิตของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ทำงานอะไร ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด ไม่ว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดย่อมโคจรอยู่รอบๆ การเป็นที่นับหน้าถือตาและสถานะอันสูงส่ง  และจุดมุ่งหมายนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้  นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของศัตรูพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา  เจ้าอาจนำพวกเขาไปไว้ในป่าดงดิบลึกเข้าไปในเทือกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ละมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ  เจ้าสามารถนำพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มใดก็ได้ และพวกเขาก็จะยังคงคิดออกแต่เรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น  แม้ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเชื่อในพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาก็มองว่าการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะเทียบได้กับความเชื่อในพระเจ้า และวางสองสิ่งนี้ไว้ในระดับเดียวกัน  ซึ่งหมายความว่าขณะที่พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองไปด้วย  อาจกล่าวได้ว่าในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ การไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ และการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะก็เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน การได้มาซึ่งความมีหน้ามีตาและสถานะก็คือการได้มาซึ่งความจริงและชีวิต  ถ้าพวกเขารู้สึกว่าตนนั้นไม่มีชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือสถานะ รู้สึกว่าไม่มีผู้ใดยกย่อง ยอมรับนับถือ หรือติดตามพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมผิดหวังอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่มีคุณค่าในการเชื่อเช่นนั้น และพวกเขากล่าวกับตนเองว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นเป็นความล้มเหลวหรือไม่?  ฉันสิ้นหวังแล้วไม่ใช่หรือ?’  พวกเขามักจะคิดคำนวณเรื่องเช่นนี้อยู่ในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาคิดคำนวณวิธีที่พวกเขาจะสามารถสร้างพื้นที่ให้ตนเองในพระนิเวศของพระเจ้า วิธีที่พวกเขาจะสามารถมีหน้ามีตาสูงส่งอยู่ในคริสตจักร วิธีที่พวกเขาจะสามารถทำให้ผู้คนรับฟังเมื่อพวกเขาพูด และสนับสนุนเมื่อพวกเขาลงมือทำ วิธีที่พวกเขาจะสามารถทำให้ผู้คนติดตามพวกเขาไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน และวิธีที่พวกเขาจะสามารถมีเสียงที่มีอิทธิพลในคริสตจักร มีชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—หัวใจของพวกเขาสนใจแต่สิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง  เหล่านี้คือสิ่งที่คนพวกนี้ไล่ตามเสาะหา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ศัตรูของพระคริสต์ทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงเกียรติยศและสถานะของตัวเองก่อน พวกเขาไม่เคยล้มเลิกการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ และสำหรับพวกเขา สถานะนั้นสำคัญพอๆ กับชีวิตของตัวเอง ฉันทบทวนตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงไม่เคยอยากทำงานธุรการทั่วไปเลยล่ะ? ทำไมฉันถึงสนใจเรื่องการเป็นผู้นำมากขนาดนี้?” ฉันตระหนักได้ว่าเหตุผลหลักๆ เลยก็คือ ฉันรู้สึกว่าผู้นำมีสถานะ ไม่เพียงแต่พี่น้องชายหญิงจะชื่นชมพวกเขา แต่ผู้นำระดับสูงก็ยังเห็นคุณค่า และคริสตจักรก็ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะพวกเขา ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีที่ได้เป็นผู้นำ ได้แสดงตัวให้ผู้คนพบเห็น และการเป็นผู้นำเท่านั้นที่สื่อว่าฉันมีอนาคตสดใส ฉันยังรู้สึกอีกด้วยว่างานธุรการทั่วไปเป็นแค่งานจัดการกิจธุระภายนอก มีแต่พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้ และไม่มีใครยกย่องพวกเขา ด้วยแนวคิดที่ผิดพลาดเหล่านี้ เวลาฉันเห็นคนรอบข้างได้เลื่อนตำแหน่งและได้รับการบ่มเพาะ และบางคนถึงขั้นได้รับเลือกเป็นผู้นำ ฉันช็อกมาก และอยากให้ผู้นำเอ่ยชื่อฉันอยู่เสมอ แต่พอผู้นำบ่มเพาะคนอื่นแทนที่จะเป็นฉัน ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดใจ จนไม่อยากเจอหน้าใคร และไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป การใช้ชีวิตทุกวันโดยถูกทรมานด้วยเกียรติยศและสถานะนั้นเลวร้ายมาก ถึงขั้นที่ฉันรู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะมีชีวิต การไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศและสถานะอย่างนี้เป็นการเดินในเส้นทางเดียวกับศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่เหรอ? พอตระหนักได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อกลับใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ความอยากได้อยากมีในเกียรติยศและสถานะของข้าพระองค์นั้นแรงกล้าเกินไป ข้าพระองค์ไม่อยากใช้ชีวิตในสภาวะเป็นกบฏนี้แล้ว ได้โปรดทรงชี้แนะข้าพระองค์ให้หลุดพ้นจากพันธนาการของชื่อเสียงและสถานะด้วยเถิด”

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจมุมมองที่ผิดพลาดของฉันเบื้องหลังการไล่ตามเสาะหาของฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกเจ้าต้องการที่จะสยายปีกและโผบินอยู่เสมอ พวกเจ้าปรารถนาที่จะบินเดี่ยว อยากเป็นอินทรีมากกว่าเป็นนกตัวน้อยอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่?  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่ใช่หลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตนหรือไม่?  การประพฤติปฏิบัติตนของเจ้าควรอ้างอิงตามพระวจนะของพระเจ้า มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง  พวกเจ้าถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งเกินไป ทั้งยังถือว่าวัฒนธรรมดั้งเดิม—ซึ่งเป็นคำพูดของซาตาน—เป็นความจริง เป็นเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าอยู่เสมอ ซึ่งทำให้เจ้าเลือกเส้นทางที่ผิด ทำให้เจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการต้านทานพระเจ้าโดยง่าย  ความคิดและทัศนะของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้านั้นตรงข้ามกับข้อพึงปรารถนาของพระเจ้า ความจริง กฎแห่งการมีอธิปไตยของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่ง การจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งของพระองค์ และการควบคุมชะตากรรมของมวลมนุษย์ของพระองค์  ดังนั้นไม่ว่าการไล่ตามเสาะหาแบบนี้จะถูกต้องเหมาะสมและมีเหตุผลเพียงใดตามความคิดและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แต่จากมุมมองของพระเจ้า ความคิดและมโนคติของมนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์  เนื่องจากเจ้าต่อต้านข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชะตาชีวิตของมวลมนุษย์ และเนื่องจากเจ้าปรารถนาที่จะฉายเดี่ยว กุมชะตากรรมของเจ้าเอาไว้ในมือของตน เจ้าจึงพุ่งชนกำแพงอย่างแรงจนหัวแตกอยู่เสมอ และไม่มีสิ่งใดได้ผลสำหรับเจ้า  เหตุใดจึงไม่มีสิ่งใดได้ผลสำหรับเจ้า?  เพราะกฎที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่ง และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดละเมิดได้  ผู้คนให้ค่าความสามารถของตนมากเกินไป  สิ่งใดทำให้ผู้คนอยากเป็นอิสระจากอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เสมอ อยากกุมชะตากรรมของตนเอาไว้และวางแผนอนาคตของพวกเขาเองตลอดเวลา รวมถึงอยากควบคุมโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต ทิศทาง และเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา?  จุดเริ่มต้นนี้มาจากไหน? (มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน)  เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดหรือที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนำพามาสู่ผู้คน? (การต่อต้านพระเจ้า)  ผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าย่อมได้ผลเป็นสิ่งใด? (ความเจ็บปวด)  ความเจ็บปวดยังไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่พวกเขาได้รับ—เป็นความย่อยยับต่างหาก!  สิ่งที่เจ้าเห็นต่อหน้าต่อตาเจ้าคือความเจ็บปวด ความเป็นลบ และความอ่อนแอ และมันคือความต้านทานและความไม่พอใจ—จุดจบใดเล่าที่สิ่งเหล่านี้จะนำพามา?  การทำลายล้าง!  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย และมันก็ไม่ใช่เกม  ผู้คนที่ไร้หัวใจอันยำเกรงพระเจ้าย่อมไม่สามารถมองเห็นการนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อุปนิสัยอันเสื่อมทรามสามารถแก้ไขได้โดยการยอมรับความจริงเท่านั้น)  ฉันเป็นเหมือนกับสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็น ฉันอยากเป็นเหมือนนกอินทรี ไม่ใช่นกตัวเล็กๆ และคิดว่างานธุรการทั่วไปทำให้ฉันเหมือนนกตัวเล็กๆ เป็นคนที่ไม่ควรค่าแก่การบ่มเพาะหรือได้รับการยกย่อง สำหรับฉัน ผู้นำก็เหมือนกับนกอินทรี พวกเขามีศักยภาพ และได้รับการเห็นคุณค่าและการยกย่องจากคนอื่น ฉันใช้ชีวิตตาม “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นที่สูงน้ำไหลลงที่ต่ำ” “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” “ผู้คนควรเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศ” และพิษของซาตานแบบอื่นๆ ฉันคิดว่าในชีวิต คนเราต้องดิ้นรนไม่หยุดยั้ง ยิ่งมีสถานะสูงส่งเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นคนไม่มีค่า ภายใต้การควบคุมของแนวคิดที่ผิดพลาดเหล่านี้ ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามความจริงที่เป็น แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าการเป็นผู้นำเพื่อให้ได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นอยู่ตลอด เมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงรอบตัวฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ไม่ยอมรับ และไม่อาจทำใจยอมรับได้ ฉันคิดว่า “ฉันไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ทำไมคนอื่นถึงได้เป็นผู้นำ แต่ฉันกลับต้องติดอยู่กับการทำงานธุรการทั่วไปล่ะ?” ฉันคิดว่างานธุรการทั่วไปมีไว้สำหรับพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันก็เลยใช้ชีวิตอยู่ในความคิดลบ แล้วก็เริ่มทำแบบสุกเอาเผากินและย่อหย่อนในหน้าที่ ความอยากได้อยากมีสถานะของฉันนั้นแรงกล้าเกินไป! ฉันรู้ว่าขีดความสามารถของแต่ละคนและหน้าที่ที่พวกเขาสามารถทำได้นั้น ล้วนถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว หน้าที่ที่ฉันทำในตอนนี้ก็อยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเหมือนกัน ฉันจึงควรยอมรับและนบนอบ ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่มีใครเห็นคุณค่าที่ฉันทำงานธุรการทั่วไป แล้วฉันก็เริ่มเจ็บปวดใจ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉันมีทัศนะผิดๆ เบื้องหลังการไล่ตามเสาะหา และฉันเป็นกบฏ ฉันไม่สามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ แถมฉันคิดลบและพร่ำบ่น โดยแก่นแท้แล้ว ฉันกำลังต่อต้าน ไม่ยอมรับ และกบฏต่อพระเจ้า ถ้าฉันเป็นแบบนี้ต่อไป ก็คงจะลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนว่า “หากเจ้ามีสำนึกในภาระต่องานของคริสตจักร และปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมในงานนั้น นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าต้องทบทวนว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ สามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่ และสามารถดำเนินงานของคริสตจักรอย่างถูกควรตามการจัดเตรียมงานได้หรือไม่  หากเจ้าตรงตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ เจ้าก็อาจลงสมัครเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้  สิ่งที่เราหมายถึงโดยการกล่าวเช่นนี้ก็คือ อย่างน้อยที่สุด ผู้คนต้องมีความตระหนักรู้ในตนเอง  ก่อนอื่นจงดูว่าเจ้าสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะในตัวผู้คนได้หรือไม่ สามารถเข้าใจความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่  หากเจ้าตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ เจ้าก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  หากเจ้าไม่สามารถประเมินตนเองได้ เจ้าสามารถถามคนรอบข้างที่คุ้นเคยกับเจ้าหรือใกล้ชิดกับเจ้าได้  หากพวกเขาทุกคนบอกว่าเจ้ามีขีดความสามารถไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้นำ และเพียงแค่ทำงานปัจจุบันของเจ้าให้ดีก็ยอดเยี่ยมแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรรีบมารู้จักตนเอง  ในเมื่อเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ ก็อย่ามัวแต่อยากเป็นผู้นำ—เพียงแค่ทำสิ่งที่ตนทำได้ ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควรโดยที่เท้ายังติดดิน เพื่อที่เจ้าจะสามารถมีจิตใจที่สงบสุขได้ นี่ก็ดีเช่นกัน  และหากเจ้าสามารถเป็นผู้นำได้ หากเจ้ามีขีดความสามารถและความสามารถพิเศษเช่นนั้นอย่างแท้จริง หากเจ้ามีความสามารถในการทำงาน และมีสำนึกในภาระหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนประเภทที่มีความสามารถพิเศษที่พระนิเวศของพระเจ้าขาดแคลนอย่างแท้จริง และเจ้าจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอย่างแน่นอน แต่ทุกสิ่งย่อมมีเวลาของพระเจ้า  ความปรารถนานี้—ความปรารถนาที่จะได้รับการส่งเสริม—ไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่เจ้าต้องมีขีดความสามารถ และตรงตามหลักเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ  หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำแต่ยังคงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอยากเป็นผู้นำ หรืออยากรับงานที่สำคัญบางอย่าง หรืออยากรับผิดชอบงานโดยรวม หรืออยากทำบางสิ่งที่ทำให้เจ้าโดดเด่น เช่นนั้นแล้วเราขอบอกเจ้าว่า นี่คือความทะเยอทะยาน  ความทะเยอทะยานสามารถนำมาซึ่งหายนะได้ ดังนั้นเจ้าควรระวังมัน  ผู้คนทุกคนมีความปรารถนาที่จะก้าวหน้าและทุกคนเต็มใจที่จะพยายามมุ่งไปสู่ความจริง ซึ่งไม่ใช่ปัญหา  บางคนมีขีดความสามารถ ตรงตามหลักเกณฑ์สำหรับการเป็นผู้นำ และสามารถพยายามมุ่งไปสู่ความจริงได้ และนี่เป็นสิ่งที่ดี  คนอื่นไม่มีขีดความสามารถ ดังนั้นพวกเขาควรยึดมั่นในหน้าที่ของตนเอง ปฏิบัติหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างถูกควร และทำตามหลักธรรม และตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นดีกว่า ปลอดภัยกว่า และเป็นจริงมากกว่า(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  “ผู้คนต้องมีความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้องต่อการส่งเสริมและบ่มเพาะ ในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาต้องแสวงหาความจริง และไม่ทำตามเจตจำนงของตนเอง หรือมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี  หากเจ้าคิดว่าเจ้ามีขีดความสามารถที่ดีแต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยส่งเสริมเจ้า และไม่มีแผนที่จะบ่มเพาะเจ้า เช่นนั้นแล้วก็อย่าท้อแท้หรือเริ่มพร่ำบ่น เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงและพยายามก้าวไปข้างหน้า  เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะอยู่บ้างและสามารถทำงานจริงได้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะเลือกเจ้าให้เป็นผู้นำโดยธรรมดา  และหากเจ้าคิดว่าเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ และเจ้าไม่มีโอกาสที่จะได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะ และเป็นไปไม่ได้ที่ความทะเยอทะยานของเจ้าจะสำเร็จ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ?  นี่จะคุ้มครองเจ้า!  ในเมื่อเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากเจ้าพบเจอกลุ่มคนเลอะเลือนที่มืดบอดซึ่งเลือกเจ้าให้เป็นผู้นำของพวกเขา นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าถูกจับไปย่างบนกองไฟหรอกหรือ?  เจ้าไม่สามารถทำงานใดๆ ได้ และตาและใจของเจ้าก็มืดบอด  ทุกสิ่งที่เจ้าทำคือการขัดขวาง ทุกย่างก้าวของเจ้าคือการทำชั่ว  สู้ทำหน้าที่ปัจจุบันของเจ้าให้ดีเสียยังดีกว่า อย่างน้อยเจ้าก็จะไม่ต้องอับอายขายหน้า และมันก็ดีกว่าการเป็นผู้นำเทียมเท็จแล้วถูกคนนินทาว่าร้ายลับหลัง  ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าต้องรู้จักประมาณตน มีความตระหนักรู้ในตนเองอยู่บ้าง หากเจ้าทำได้ เจ้าก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการเดินบนเส้นทางที่ผิดและทำผิดพลาดร้ายแรงได้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  ฉันสะเทือนใจเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองดีกว่าพี่น้องชายหญิงรอบตัว และอยากเป็นผู้นำ แต่ฉันเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นจริงหรือ? ฉันมีขีดความสามารถพอที่จะเป็นผู้นำจริงรึเปล่า? ผู้นำต้องไล่ตามเสาะหาความจริง และมีความสามารถในการทำงานและความเป็นมนุษย์ที่ดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นผู้นำได้ ถ้าเราไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำและไม่สามารถทำงานจริงได้ ต่อให้เราได้เป็นผู้นำ เราก็จะอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ไม่นาน บางคนถึงกับกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จไปเลยก็มี ที่จริงแล้ว ฉันเคยรับผิดชอบงานของคริสตจักรมาก่อน แต่เนื่องจากขีดความสามารถฉันต่ำและมีความสามารถในการทำงานที่แย่ ฉันจึงทำงานจริงไม่ได้ หรือแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่นได้ สุดท้ายฉันก็ถูกย้ายหน้าที่ เมื่อพูดถึงเรื่องขีดความสามารถและความสามารถในการทำงาน ฉันก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำจริงๆ นั่นแหละ ในทางกลับกัน ฉันมีทักษะพอสมควรในงานธุรการทั่วไป และสามารถทำงานจริงในด้านนั้นได้บ้าง คริสตจักรจัดแจงงานตามขีดความสามารถและจุดแข็งของแต่ละคน แบบนี้ผู้คนจะสามารถแสดงบทบาทของตัวเองได้อย่างถูกควร และเป็นประโยชน์ต่อการงานของคริสตจักร แต่ฉันกลับไม่รู้จักประมาณตัวเอง ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าฉันไม่มีขีดความสามารถและขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ แต่ก็ยังคงคิดว่าตัวเองมีความสามารถและเหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ และอยากได้รับการเลื่อนตำแหน่งอยู่ตลอด เมื่อฉันเห็นผู้นำบ่มเพาะคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน ฉันก็บ่นว่าผู้นำไม่เห็นคุณค่าฉัน แล้วก็เริ่มทำหน้าที่แบบสุกเอาเผากิน คิดลบและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ฉันช่างโอหังและขาดความเข้าใจในตัวเองเสียจริงๆ! เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกผิดมาก แล้วก็เริ่มปฏิบัติต่อหน้าที่ของตัวเองได้อย่างถูกต้อง เต็มใจที่จะยืนในที่ทางของตัวเองและทำหน้าที่ตามความจริงที่เป็น

ต่อมา ฉันได้ยินเพลงนมัสการจากพระวจนะของพระเจ้า “ข้าพระองค์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างขนาดเล็ก” ที่ร้องว่า

1  โอ พระเจ้า!  ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว  หากสถานะของข้าพระองค์สูง นั่นก็เป็นเพราะการยกชูของพระองค์ และหากมันต่ำต้อย นั่นก็เป็นเพราะการลิขิตของพระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่มีทั้งตัวเลือกใดๆ และการพร่ำบ่นใดๆ  พระองค์ได้ทรงลิขิตว่าข้าพระองค์จะถือกำเนิดในประเทศนี้และท่ามกลางชนชาตินี้ และว่าทั้งหมดที่ข้าพระองค์ควรทำก็คือนบนอบอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทุกประการ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิต

2  ข้าพระองค์ไม่ได้นึกถึงสถานะ จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น  หากพระองค์ทรงวางข้าพระองค์ในบาดาลลึก ในบึงไฟและกำมะถัน ข้าพระองค์ก็เป็นแต่เพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์ก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากพระองค์ไม่ทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์เพราะข้าพระองค์เป็นแต่เพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น

3  ข้าพระองค์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเล็กๆ ของพระผู้สร้าง ก็แค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างท่ามกลางมนุษย์ทรงสร้างทั้งมวล  เป็นพระองค์นั่นเองที่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้น และตอนนี้พระองค์ได้ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะทำเช่นใดกับข้าพระองค์ก็ได้ตามที่พระองค์จะทรงทำ  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์และตัวประกอบเสริมความเด่นของพระองค์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้  ทุกสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?

ขณะที่ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของฉันก็เบิกบานขึ้น สถานะของฉัน ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ ก็ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าฉันจะมีสถานะหรือไม่ ฉันก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ต่ำต้อย หากฉันมีสถานะสูง ฉันก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และหากฉันมีสถานะต่ำ ฉันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่ดี แก่นแท้ของฉันจะไม่เปลี่ยนแปลง คริสตจักรได้จัดแจงให้ฉันทำงานธุรการทั่วไป ดังนั้นฉันก็ควรทำหน้าที่ของตัวเอง ใช้จุดแข็งของฉันให้เต็มที่ และทำงานนั้นให้ดีที่สุด นี่คือภาระผูกพันของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การตระหนักอย่างนี้ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ และฉันได้อธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่อยากเป็นคนคิดลบและต่อต้านพระองค์อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมีสถานะหรือไม่ ข้าพระองค์ก็จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และลุล่วงหน้าที่ของตน” หลังจากนั้น ฉันก็เลิกต่อต้านสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ ฉันใคร่ครวญถึงวิธีการทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดี และทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ฉันรู้สึกสบายใจมากจริงๆ เมื่อนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติ

ต่อมา ฉันคิดทบทวนและตระหนักได้ว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันดูถูกงานธุรการทั่วไป นั่นคือ ฉันยึดมั่นในทัศนะไร้สาระ คิดว่าคนที่ทำงานธุรการทั่วไปไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง คิดว่าพวกเขาต่ำต้อย และไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด และคิดว่ามีเพียงผู้ที่ได้รับการบ่มเพาะและมีบทบาทสำคัญๆ เท่านั้นที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอด ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวถึงทัศนะที่คลาดเคลื่อนนี้เพิ่มเติม พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า มีการเอ่ยอยู่เสมอถึงการน้อมรับพระบัญชาจากพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  หน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  หากจะพูดกว้างๆ แล้ว มันเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษยชาติ พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ขณะที่พระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าดำเนินไปท่ามกลางมวลมนุษย์ งานต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นซึ่งกำหนดให้ผู้คนทำในส่วนของตนและทำงานเหล่านั้นให้เสร็จสิ้น  การนี้ทำให้เกิดความรับผิดชอบและภารกิจที่ผู้คนจะต้องทำให้ลุล่วง และความรับผิดชอบกับภารกิจเหล่านี้ก็คือหน้าที่ทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น ภารกิจต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้คนทำในส่วนของตนคือหน้าที่ที่พวกเขาควรปฏิบัติ  ดังนั้น มีความแตกต่างระหว่างหน้าที่ทั้งหลายในแง่ที่ว่าดีกว่ากับแย่กว่า สูงส่งกว่ากับต่ำต้อยกว่า หรือยิ่งใหญ่กับเล็กน้อยหรือไม่?  ความแตกต่างเช่นนั้นไม่มีอยู่จริง ตราบใดที่มีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับงานในพระนิเวศของพระองค์ และเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ตราบนั้นนั่นก็คือหน้าที่ของบุคคลหนึ่ง  นี่คือที่มาและเป็นคำจำกัดความของหน้าที่… ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่อันใด นั่นก็คือภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  บางครั้งอาจต้องให้เจ้าดูแลหรือพิทักษ์สิ่งของที่สำคัญ  เมื่อเทียบกันแล้ว นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญและพูดได้เพียงว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้า  แต่ก็เป็นกิจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เจ้าน้อมรับกิจนั้นมาจากพระองค์  เจ้ารับกิจนั้นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และนี่ก็คือหน้าที่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน?)  “ไม่ใช่ว่าคนคนหนึ่งจะกลายเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงทันทีที่เขาเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตน  การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นเพียงวิธีการหนึ่งและเป็นเส้นทางหนึ่งเท่านั้น  ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนนี่เองที่คนคนหนึ่งจะได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าผ่านการไล่ตามเสาะหาความจริง ค่อยๆ เข้าใจและยอมรับความจริง แล้วจึงนำความจริงไปปฏิบัติ  จากนั้นก็ไปถึงสภาวะที่เขาจะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กำจัดพันธนาการและการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน และกลายเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงและมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ต่อเมื่อเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการกระทำของเจ้าจึงจะเป็นการเจริญใจผู้คนและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  และเมื่อผู้คนได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถเป็นไปตามมาตรฐานในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)  พระวจนะของพระเจ้าได้พลิกทัศนะที่คลาดเคลื่อนของฉันเกี่ยวกับหน้าที่ไปเลย ฉันได้เรียนรู้ว่าหน้าที่ต่างๆ เกิดขึ้นจากพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่มีการแบ่งแยกว่าหน้าที่ใดสูงหรือต่ำ ใหญ่หรือเล็ก ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ใด ต่างก็เป็นภาระผูกพันและความรับผิดชอบของผู้คน และพวกเราต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง งานของคริสตจักรต้องการความร่วมมือจากคนที่ทำหน้าที่ทุกหน้าที่ หน้าที่ไหนก็ขาดไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เข้าใจความจริง ฉันทำตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง คิดว่างานธุรการทั่วไปเป็นงานที่ต่ำต้อย และฉันไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าล้วนๆ ในความเป็นจริง ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะได้รับความรอดหรือไม่นั้น ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะหรือหน้าที่ของพวกเขา การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด ถ้าฉันได้เป็นผู้นำแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือกระทำตามหลักธรรม ฉันก็จะลงเอยด้วยการถูกปลดและกำจัดออกไป ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จที่ถูกเผย คริสตจักรบ่มเพาะพวกเขาเพื่อทำหน้าที่สำคัญๆ แต่พวกเขากลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศและสถานะ ทำกิจการส่วนตัว ต่อต้านพระนิเวศของพระเจ้า และในที่สุด พวกเขาก็ถูกเผยและกำจัดออกไป พระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์ไม่ทรงกำหนดจุดจบของผู้คนโดยอิงจากการที่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะหรือได้รับการเห็นคุณค่าหรือไม่ หรือพวกเขามีสถานะสูงหรือเปล่า แต่ทรงกำหนดโดยอิงจากการที่พวกเขาได้รับความจริงและได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตหรือไม่ นี่คือมาตรฐานของพระเจ้าสำหรับการกำหนดว่าคนคนหนึ่งจะได้รับความรอดหรือเปล่า

ประสบการณ์ของฉันในช่วงเวลานั้น แสดงให้ฉันเห็นธรรมชาติของการไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศและสถานะได้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่เป็นการไม่ยอมรับพระเจ้า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง นอกจากนี้ ประสบการณ์นี้ยังช่วยให้ฉันตระหนักรู้ตนเองมากขึ้นเล็กน้อย ได้มีทัศนะที่ถูกต้องต่อตัวเอง และความอยากจะเป็นผู้นำของฉันก็ไม่ได้แรงกล้ามากอีกต่อไปแล้ว เวลาที่ฉันได้ยินว่าพี่น้องชายหญิงบางคนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ แม้นั่นจะยังแทงใจฉันอยู่บ้าง แต่ฉันก็สามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม ฉันไม่รู้สึกถูกจำกัดมากอีกต่อไปแล้ว และสามารถร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงในหน้าที่ของฉันได้ตามปกติ ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 82. ตัวเลือกที่ถูกต้อง

ถัดไป: 85. หญิงพรหมจารีมีปัญญาเท่านั้นที่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger