8. บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการแบ่งคริสตจักร

ต้นปีที่แล้ว ด้วยความที่คริสตจักรของผู้มาใหม่ของเราเติบโตอย่างมาก ผู้นำเลยตัดสินใจ แบ่งความรับผิดชอบของฉัน กับเพื่อนร่วมงานใหม่ ทีแรก ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอได้รู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมากขึ้น ฉันก็เห็นว่า ที่ที่ฉันจะต้องรับผิดชอบนั้น มีปัญหามากกว่า สมาชิกส่วนใหญ่ ยังตั้งหลักในความเชื่อได้ไม่ดี แถมยังไม่ได้เลือกผู้นำกับมัคนายกครบถ้วน แต่คริตจักรที่พี่หลิวรับผิดชอบ เป็นไปได้ดีกว่าฉันมาก ผู้เชื่อใหม่ที่นั่นมีพื้นฐาน และขีดความสามารถที่ดี ผู้นำและมัคนายกของพวกเขา ก็มีความรับผิดชอบมาก ฉันอดไม่ได้ ที่จะเริ่มอิจฉาเธอ สงสัยว่า ทำไมเธอถึง ได้ดูแลคริสตจักรที่ดีกว่า ขณะที่ของฉันมีปัญหามากมายไปหมด ฉันจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเลยนะ! ถ้าฉันจัดการอะไรไม่ได้ ผู้นำจะคิดกับฉันยังไง? เธอจะบอกว่าฉันขาดความสามารถ และทำงานได้ไม่สำเร็จหรือเปล่า? เธออาจจะไม่ชื่นชมฉันก็ได้ พอคิดแบบนั้น ฉันก็ไม่พอใจจริงๆ ต่อมา เวลาไปชุมนุมที่คริสตจักรเหล่านั้น ก็มักจะมีปัญหามากมายให้แก้ไข ซึ่งใช้เวลาเยอะ ไม่ว่าจะคริสตจักรไหน ก็ล้วนมีปัญหาเหล่านี้ ฉันไม่ค่อยได้นอน และลำบากมากจริงๆ ฉันคิดว่า สิ่งที่พี่หลิวใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวในการทำให้เสร็จ ฉันกลับใช้ตั้งสองหรือสามชั่วโมง ขีดความสามารถ และทักษะของฉันก็มีจำกัด แต่คริสตจักรมีปัญหามากมาย ถึงจะใช้ทั้งเวลาและความพยายาม ฉันก็ไม่คืบหน้าจนเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้น เวลาผู้นำเปรียบเทียบผลลัพธ์ของฉันกับพี่หลิว เธอคงรู้สึกว่าฉันอยู่กลางๆ ไม่ได้ทำได้ดี และเทียบกับพี่หลิวไม่ได้แน่ ในช่วงนั้น ฉันอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างแย่ เวลาเจอปัญหา ฉันก็หัวเสีย และรู้สึกว่ามันไม่ถูก ฉันเหนื่อยล้า ทั้งร่างกายและจิตใจ เลยมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานและแสวงหา บอกว่า “พระเจ้า ข้าฯ รู้ว่าทรงอนุญาตการแบ่งงานนี้ และข้าฯ ควรนบนอบต่อการทรงจัดเตรียม แต่ข้าฯ ก็ยังไม่เต็มใจ โปรดให้ความรู้แจ้ง ให้ข้าฯ เข้าใจน้ำพระทัย และความเสื่อมทรามของตัวเองด้วย”

แล้วฉันก็อ่านพระวจนะ และบางบทตอน ก็ตรงกับสภาวะของฉันในตอนนั้นเลยค่ะ พระเจ้าตรัสว่า “การเพิ่มภาระให้แก่เจ้าไม่ใช่การทำให้สิ่งทั้งหลายยากสำหรับเจ้า แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริง กล่าวคือ นี่คือหน้าที่ของเจ้า ดังนั้นจงอย่าพยายามเลือกเฟ้น หรือพูดว่าไม่ หรือหลบเลี่ยงหน้าที่  เหตุใดเจ้าจึงคิดว่านี่ลำบากยากเย็น?  อันที่จริง หากเจ้าพยายามมากขึ้นอีกเล็กน้อย เจ้าก็จะสามารถทำให้การนี้สำเร็จลุล่วงได้หมด  การที่เจ้ารู้สึกว่ามันลำบากยากเย็น และรู้สึกราวกับว่าเจ้ากำลังได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ราวกับว่ามีผู้จงใจทำให้เจ้าลำบาก คือการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา นี่คือการปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ของเจ้า และไม่ใช่การรับจากพระเจ้า นี่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เมื่อเจ้าเลือกเฟ้นหน้าที่ของเจ้า ทำหน้าที่ที่สบายและง่าย หน้าที่ที่ทำให้เจ้าดูดี เมื่อนั้นนี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน  หากเจ้าไม่สามารถยอมรับและนบนอบได้ นี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังคงเป็นกบฏต่อพระเจ้า ว่าเจ้ากำลังสู้กลับ บอกปัด หลีกเลี่ยง—ซึ่งเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ดังนั้นเจ้าควรทำสิ่งใดเมื่อเจ้ารู้ว่านี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าผู้อื่นใช้เวลาเพียงสองคืนก็ทำกิจที่จัดสรรให้พวกเขาเสร็จ ส่วนกิจที่มอบให้เจ้านั้นอาจใช้เวลาสามวันสามคืน และพึงต้องใช้ความคิดและความพยายามอย่างมาก และเจ้ายังจะต้องทำการค้นคว้าวิจัยมากมาย นี่ก็ทำให้เจ้าเป็นทุกข์  แล้วถูกต้องหรือที่เจ้ารู้สึกเป็นทุกข์?  (ไม่)  ไม่อย่างแน่นอน  ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไรเมื่อเจ้าสำนึกว่าการนี้ผิด?  หากเจ้าไม่เห็นด้วยในหัวใจของเจ้า และคิดว่า ‘นี่เป็นเพราะฉันใจดีและถูกเอาเปรียบง่าย  กิจง่ายๆ ที่ทำให้ผู้คนดูดีจึงถูกมอบให้ผู้อื่นเสมอ  ฉันเป็นคนเดียวที่ได้กิจที่ลำบากยากเย็น น่าเหน็ดเหนื่อย และเปรอะเปื้อน  ฉันไม่ทำกิจเหล่านี้ไม่ได้หรือ?  ไม่ใช่คราวของคนอื่นหรอกหรือ?  นี่ไม่ยุติธรรม!  พระเจ้าทรงชอบธรรมมิใช่หรือ?  เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงชอบธรรมในเรื่องเหล่านี้?  เหตุใดฉันจึงเป็นคนที่ถูกเลือกเสมอ?  นี่ไม่ใช่การหาเรื่องคนที่มีนิสัยดีหรอกหรือ?’  หากนี่คือสิ่งที่เจ้าคิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่มีเจตนาที่จะทำหน้าที่นี้ เจ้ากำลังพยายามหลบเลี่ยงหน้าที่นี้ ดังนั้นเจ้าจะไม่พบแรงบันดาลใจว่าควรทำหน้าที่อย่างไร และจะไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้  ปัญหาอยู่ตรงที่ใด?  แรกสุดเลย ท่าทีของเจ้านั้นผิด  ท่าทีที่ผิดนี้อ้างอิงถึงสิ่งใด?  อ้างอิงถึงการที่เจ้ามีท่าทีที่ผิดต่อหน้าที่ของเจ้า นี่ไม่ใช่ท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของเจ้า  เจ้าจะช่างเลือกไปเพื่อสิ่งใด?  เจ้าควรเชื่อฟังและยอมรับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรต้องทำ โดยไม่เลือกหรือพร่ำบ่น(“วิธีได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในหน้าที่ของคนเรา” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พออ่านพระวจนะ ฉันก็ไตร่ตรองถึงสิ่งที่แสดงออกในสองสามวันนั้น การเห็นสมาชิกคริสตจักรที่ดูแล มีรากฐานไม่แข็งแรง และมีไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ได้ ฉันก็รู้สึกฝืนใจจริงๆ ผู้นำและมัคนายกไม่ได้ถูกคัดเลือกทั้งหมด และหลายโครงการก็ยากจะบริหาร ไม่ใช่แค่ต้องใช้เวลาและแรงกายในการรับมือสิ่งต่างๆ แต่ผลอาจจะออกมาไม่ดี แล้วฉันก็จะดูไม่ดีไปด้วย ฉันแค่อยากบริหารคริสตจักรที่ไปได้ดีอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องต่างๆ และทำผลงานได้ง่ายขึ้น คนอื่นจะได้ชื่นชมฉัน ฉันเอาแต่คิดว่า การแบ่งงานแบบนั้น ไม่ยุติธรรมกับฉันเลย คิดว่าพี่หลิวได้งานง่ายๆ ที่จะทำให้เธอดูดี แต่ฉันกลับได้งานที่เหนื่อยยาก ฉันคงจะไม่ได้โดดเด่น ฉันเลยต่อต้านอย่างมาก และไม่อยาก ยอมรับการแบ่งงานนี้ แต่ผ่านพระวจนะ ฉันได้เห็นว่า การคิดแบบนั้นคือการปฏิเสธหน้าที่ เป็นการจุกจิก และไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ทำให้ฉันมีเกียรติ ฉันไม่เชื่อฟังแม้แต่นิดเดียว ฉันมักจะคิดว่า ฉันมีมโนธรรมและรับผิดชอบหน้าที่จริงๆ และไม่เคยคิดเลย ว่าจะถูกเปิดโปงแบบนั้น ฉันได้เห็นว่า แรงจูงใจและมุมมองต่อหน้าที่ของฉันมันผิด แทนที่จะพยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันกลับอยากได้การชื่นชมสรรเสริญจากคนอื่น แล้วฉันจะได้รับการทรงเห็นชอบจากการซ่อนเร้น เจตนาพวกนั้นในหน้าที่ได้ยังไง?

มันมี พระวจนะบทตอนหนึ่งค่ะ พระวจนะกล่าวว่า “หากเจ้าปรารถนาจะอุทิศตนในทุกสิ่งที่ทำเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถที่จะทำแค่ปฏิบัติหน้าที่หนึ่งอย่างเท่านั้น เจ้าต้องยอมรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสอดคล้องกับรสนิยมของเจ้าและตกอยู่ภายในผลประโยชน์ของเจ้าหรือไม่ก็ตาม หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่ชื่นชมหรือไม่เคยทำมาก่อน หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ลำบากยากเย็น เจ้าควรจะยอมรับและนบนอบสิ่งนั้น  ไม่เพียงแค่เจ้าต้องยอมรับสิ่งนั้นเท่านั้น แต่เจ้าต้องร่วมมืออย่างมั่นใจ และเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นและบรรลุถึงการเข้าสู่  ต่อให้เจ้าทนทุกข์ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และไม่เคยโดดเด่น เจ้าก็ยังคงต้องกระทำการเฝ้าเดี่ยวของเจ้า  เจ้าต้องถือว่านั่นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ลุล่วงของเจ้า ไม่ใช่เป็นกิจธุระส่วนตัว แต่เป็นหน้าที่ของเจ้า  ผู้คนควรเข้าใจหน้าที่ของพวกเขาอย่างไร?  เมื่อพระผู้สร้าง—พระเจ้า—ทรงมอบภารกิจให้ใครบางคนทำ และ ณ จุดนั้นนั่นเอง ที่หน้าที่ของบุคคลจะเกิดขึ้น  ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า พระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า—เหล่านี้คือหน้าที่ทั้งหลายของเจ้า  เมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาหน้าที่เหล่านั้นเสมือนเป็นเป้าหมายของเจ้า และเจ้ามีหัวใจที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้ายังคงสามารถทำการปฏิเสธได้หรือ?  (ไม่ได้)  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเจ้าสามารถปฏิเสธหรือไม่—เจ้าไม่ควรปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น  เจ้าควรยอมรับสิ่งเหล่านั้น  อะไรหรือคือเส้นทางแห่งการปฏิบัติ?  (การอุทิศตนอย่างถึงที่สุดในทุกสรรพสิ่ง)  จงอุทิศตนในทุกสรรพสิ่งเพื่อมาบรรจบกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  จุดมุ่งเน้นวางอยู่ในที่แห่งใดหรือ?  ที่แห่งนั้นก็คือ ‘ในทุกสรรพสิ่ง’  ‘ทุกสรรพสิ่ง’ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชอบหรือเก่ง นับประสาอะไรกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคุ้นเคย  บางครั้งเจ้าไม่เก่งในบางสิ่ง บางคราเจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ บางครั้งเจ้าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็น และบางคราเจ้าต้องทนทุกข์  อย่างไรก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นกิจใด แต่ตราบเท่าที่กิจนั้นได้ทรงมีพระบัญชาโดยพระเจ้า เจ้าก็ต้องยอมรับกิจนั้นจากพระองค์ คำนึงถึงกิจนั้นในฐานะหน้าที่ของเจ้า อุทิศตนให้กับการทำให้กิจนั้นลุล่วง และมาบรรจบกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติ  ไม่สำคัญว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงอยู่เสมอ และทันทีที่เจ้าแน่ใจว่าการปฏิบัติจำพวกใดอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็ควรปฏิบัติการนั้น  มีเพียงการกระทำตัวในหนทางนี้เท่านั้นคือการปฏิบัติความจริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง(“ผู้คนสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้ เพียงโดยการมีความซื่อสัตย์เท่านั้น” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พอได้อ่านดูแล้ว ฉันก็รู้ว่า มันจริง หน้าที่มาจากพระเจ้า เป็นพระบัญชาที่มีแก่พวกเรา และเป็นความรับผิดชอบของเรา ไม่ว่ามันจะยาก หรือได้รับเกียรติเล็กน้อยเพียงไหน มันก็เป็นภาระผูกพันที่เราต้องยอมรับ เป็นท่าทีที่เราจำเป็นต้องมี และเป็นเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ควรยึดถือเฉพาะพระพักตร์ คริสตจักรที่ฉันบริหารจัดการ ไม่เป็นอย่างที่ฉันต้องการ และคง ไม่ตอบสนองความอยากมีสถานะของฉัน แต่มันคือพระบัญชาจากพระเจ้าสำหรับฉัน ฉันก็ต้องยอมรับ และหยุดเข้าหาหน้าที่จากมุมมองที่ผิด ฉันมา อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ อยากนบนอบต่อการทรงจัดเตรียม อยากทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ในหน้าที่ ให้น้ำผู้เชื่อใหม่อย่างเหมาะสม และช่วยให้พวกเขาตั้งมั่นบนทางที่แท้จริงโดยเร็ว พออธิษฐาน ท่าทีต่อหน้าที่ของฉันก็ดีขึ้นเล็กน้อย แถมฉันยังเลิกหัวเสียด้วย

ผ่านไปสักพัก ก็มีคริสตจักรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้นำเลยแบ่งความรับผิดชอบของเราอีกครั้ง จากหลายคริสตจักรที่ฉันดูแล มีที่เดียวที่ดีขึ้นเล็กน้อย และพี่สาวที่ทำหน้าที่ให้น้ำได้ดี ก็ถูกมอบหมายให้คนอื่นบริหารจัดการ ฉันรู้สึกหัวเสีย และไม่พอใจมาก ฉันรู้สึก เหมือนพวกเขาเข้าใจสถานการณ์ของฉันดี รู้ว่าฉันดูแลคริสตจักรที่มีปัญหามากที่สุด และฉันก็ทำงานอย่างหนักมากแล้ว การหาคนให้น้ำที่ทำงานได้ดีนั้นไม่ง่ายเลย แถมเธอยังถูกเอาตัวไปอีก แล้วฉันจะทำงานให้เสร็จได้ยังไง? ถ้าฉันทำผลงานให้ดีไม่ได้อยู่อย่างนี้ แล้วคนอื่นจะคิดกับฉันยังไง? พวกเขาจะคิดว่าฉันไม่ได้เรื่อง และทำงานไม่เสร็จหรือเปล่า แบบนั้นคงน่าอายมาก! แล้วหลังจากนั้น ฉันจะโผล่ไปเจอเพื่อนร่วมงานที่การนัดพบได้ยังไง? พอเกิดความคิดนี้ในใจ ฉันก็ร้องไห้ออกมา ฉันตระหนักได้ด้วยว่า ฉันไม่พอใจและไม่เชื่อฟังอีกแล้ว ฉันคุกเข่าลงอธิษฐานทันที และเริ่มไต่ตรองตัวเอง จากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ไม่ว่าพวกเขาจะเข้ารับภาระหน้าที่ตามงานใดก็ตาม บุคคลประเภทที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ไม่คิดอะไรถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย  พวกเขาพิจารณาเพียงแค่ว่าผลประโยชน์ของตัวเองจะได้รับผลพลอยได้หรือไม่ คิดถึงเพียงแค่กิจทั้งหลายซึ่งจ่ออยู่ตรงปลายจมูกพวกเขาเท่านั้น  งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรเป็นแค่บางสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาว่าง และพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องถูกกระตุ้นเตือนให้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง  การอารักขาผลประโยชน์ของตัวเองคืออาชีพทางจิตวิญญาณจริงของพวกเขา คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบในการทำกิจธุระจริง  ในสายตาของพวกเขา สิ่งใดก็ตามที่จัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือมีความสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่มีความสำคัญอันใด…ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ ทั้งหมดที่พวกเขาคิดอยู่นั้นก็คือว่า หน้าที่นั้นจะอุ้มชูภาพโครงสร้างภายนอกของพวกเขาหรือไม่ ตราบที่หน้าที่นั้นจะชูความมีหน้ามีตาของพวกเขา พวกเขาย่อมบีบเค้นสมองของพวกเขาเพื่อฉุกคิดได้ขึ้นมาถึงหนทางที่จะเรียนรู้วิธีทำหน้าที่นั้น ที่จะดำเนินหน้าที่นั้น ทั้งนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาใส่ใจก็คือว่า หน้าที่นั้นจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นแตกต่างออกไปหรือไม่  ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำหรือคิดอะไร พวกเขากำลังคิดเพื่อตัวเองเท่านั้น  ในกลุ่มๆ หนึ่ง ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ พวกเขาก็มีแต่แข่งขันกันในเรื่องที่ว่าใครสูงส่งกว่าหรือต่ำต้อยกว่า ใครชนะและใครแพ้ ใครมีความมีหน้ามีตามากกว่ากันเท่านั้นเอง  พวกเขาก็มีแต่ใส่ใจเกี่ยวกับว่ามีผู้คนกี่คนชื่นชมยกย่องพวกเขา มีผู้คนกี่คนเชื่อฟังพวกเขา และพวกเขามีผู้ติดตามกี่คนเท่านั้นเอง  พวกเขาไม่สามัคคีธรรมกับความจริงหรือแก้ไขปัญหาจริงเลย พวกเขาไม่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องวิธีทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมในยามที่ปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเลย ว่าพวกเขาได้สัตย์ซื่อเรื่อยมา ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาแล้ว ได้เบี่ยงเบนไปแล้วหรือไม่  พวกเขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยต่อสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าเอ่ยขอ และว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาก้มหน้าก้มตาทำสิ่งทั้งหลายเพื่อสถานะและเกียรติยศเท่านั้น เพื่อสนองความทะเยอทะยานและความต้องการของพวกเขาเอง  นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ?  นี่เปิดโปงให้เห็นว่าหัวใจของพวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยาน ความต้องการ และข้อเรียกร้องอันไร้สำนึกของพวกเขาเองเพียงใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำถูกความทะเยอทะยานและความต้องการในหัวใจของพวกเขาเองกำกับ ไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใด แรงจูงใจและจุดเริ่มต้นก็คือความทะเยอทะยาน ความต้องการ และข้อเรียกร้องอันไร้สำนึกของตัวเอง  นี่คือการสำแดงตามแบบฉบับของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์(“บทความเสริม สี่: การสรุปบุคลิกลักษณะของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นแท้ของอุปนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  พระวจนะพูดถึงว่า ศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและชั่วช้าแค่ไหน พวกเขามีความทะเยอทะยานและความปรารถนาส่วนตัวในหน้าที่ มักปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน ในการเข้าหาสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร พวกเขาก็ ไม่เคยคิดถึงน้ำพระทัย ไม่คิดว่าจะทำหน้าที่ให้ดียังไง หรือทำให้แน่ใจว่างานของพระนิเวศไม่เสียหาย พวกเขาคิดถึงแต่ชื่อและสถานะ ไม่นึกถึงคริสตจักรเลย ส่วนพฤติกรรมของฉันนั้น พอเห็นคริสตจักรที่อยู่ในความดูแล มีปัญหามากมาย สิ่งแรกที่คิดขึ้นมา ไม่ใช่การพึ่งพิงพระเจ้า เพื่อสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเต็มที่ แต่คือความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี และถูกคนอื่นดูถูก ซึ่งคงเป็นเรื่องที่น่าอาย ฉันต่อต้านและไม่พอใจการแบ่งงานนี้ ถึงกับละเลยในหน้าที่ พอรู้ว่าพี่สาวที่ค่อนข้างมีความสามารถและทำงานให้ฉัน กำลังจะถูกย้ายไปที่อื่น ปฏิกิริยาแรกของฉัน คือฉันกำลังเสียคนงานเก่งๆ ความสำเร็จในงานของฉันก็คงหลุดลอยไป แล้วผู้นำก็คงคิดว่าฉันไม่ได้เรื่อง และไม่เข้าใจงานของคริสตจักร ฉันตระหนักได้ว่าในหน้าที่นั้น ฉันนึกถึงแต่ความมีหน้ามีตา และผลประโยชน์ส่วนตัว คิดว่าจะทำผลงานโดยไม่ต้องพยายามเกินไป แล้วยังมีภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นที่ชื่นชมได้ยังไง ฉันไม่ได้มองที่ภาพใหญ่ของงานของคริสตจักร ฉันมันเห็นแก่ตัว และนั่นคืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ พอคิดดูจริงๆ ฉันก็รู้ว่า การให้ฉันรับผิดชอบคริสตจักรที่ยากกว่า คือน้ำพระทัย เหล่าผู้มาใหม่ ยังไม่ตั้งมั่น ฉันเลยต้องพึ่งพิงพระเจ้า และแสวงหาความจริงให้มากขึ้น เพื่อแก้ไขทุกความยากลำบาก อีกทั้งยอมลำบากมากขึ้น เพื่อสนับสนุนพวกเขา พวกเขาจะได้เรียนรู้ความจริงตามงานของพระเจ้า และมีรากฐานบนทางที่แท้จริง เป็นการฝึกที่ดีสำหรับฉัน ยิ่งสิ่งต่างๆ ยากขึ้น มันก็ยิ่งบีบให้ฉันมาเฉพาะพระพักตร์ เพื่อแสวงหาความจริงและหาทางแก้ไข สุดท้ายฉันจะได้เรียนรู้ความจริงมากมายจากทางนั้น มันดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันค่ะ แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า หน้าที่นั้น ไม่ได้มีใครพยายามทำให้ฉันลำบาก แต่มันคือความรักและพระพรของพระเจ้า ฉันต้องยอมรับ นบนอบ และทุ่มหัวใจให้มัน การตระหนักนี้ ช่วยให้ฉันเปลี่ยนแปลงท่าที และฉันก็ไม่รู้สึกแย่อีกต่อไป

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอน ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจปัญหาได้ดีขึ้นค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากใครบางคนพูดว่าพวกเขารักความจริงและว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง แต่โดยแก่นแท้แล้ว เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาคือการทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นแตกต่าง การอวดโอ้ การทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง การสัมฤทธิ์ผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตัวเอง และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นไม่ใช่เป็นการเชื่อฟังหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นการสัมฤทธิ์ความมีหน้ามีตา ผลตอบแทน และสถานะ เช่นนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาย่อมไม่ถูกทำนองคลองธรรม  ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น เมื่อมาถึงเรื่องของพระราชกิจของพระเจ้า งานของคริสตจักร และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็คืออุปสรรคกีดขวางอย่างหนึ่ง หรือว่า พวกเขาช่วยขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้าเล่า?  พวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางอย่างชัดเจน ทั้งนี้พวกเขาไม่ขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้า  ทุกคนที่สนับสนุนการทำงานของคริสตจักร แต่กระนั้นกลับไล่ตามเสาะหาโชคลาภ เกียรติยศ และสถานะส่วนบุคคลของตัวเอง ดำเนินงานของตัวเอง สร้างกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง ราชอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง—ผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่?  งานทั้งหมดที่พวกเขาทำนั้นโดยแก่นสารแล้วขัดจังหวะ ทำให้หยุดชะงัก และลดคุณค่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  และดังนั้นสิ่งใดคือผลสืบเนื่องของการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศ เมื่อพิจารณาจากแก่นแท้ของผลสืบเนื่องนั้น?  ก่อนอื่น นี่ส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่ได้รับการเลือกสรร ส่งผลต่อวิธีที่ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า วิธีที่พวกเขาเข้าใจความจริงและปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา การนี้หยุดยั้งพวกเขาจากการเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า และนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด—ซึ่งทำร้ายผู้ที่ได้รับการเลือกสรร และพาพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ  และในท้ายที่สุด การนี้ทำสิ่งใดกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  ย่อมเป็นการรื้อทำลาย ขัดจังหวะ และทำให้เสียการ  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ นี่จะนิยามได้หรือไม่ว่าเป็นการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์?  เมื่อพระเจ้าตรัสขอให้ผู้คนละวางสถานะและเกียรติยศ นั่นไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังทรงลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกของพวกเขา ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขณะที่ไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเองอยู่นั้น ผู้คนทำร้ายงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาขัดจังหวะการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง และถึงขั้นมีอิทธิพลต่อผู้อื่นในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและการเข้าใจความจริง และดังนั้นจึงมีอิทธิพลต่อการสัมฤทธิ์การได้รับความรอดจากพระเจ้าของพวกเขา  สิ่งที่ร้ายแรงมากขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อผู้คนไล่ตามเสาะหาเกียรติยศและสถานะของตนเอง พฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวสามารถเรียกได้ว่าเป็นการให้ความร่วมมือกับซาตานในการทำอันตรายและเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าตามปกติแห่งพระราชกิจของพระเจ้าจนถึงระดับสูงสุด และเป็นการหยุดยั้งน้ำพระทัยของพระเจ้าไม่ให้ดำเนินไปในท่ามกลางผู้คนอย่างปกติ  พวกเขาจงใจต่อต้านและเอาชนะคะคานพระเจ้า  นี่คือธรรมชาติของการไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศของเหล่าผู้นำและคนทำงาน  ปัญหาของการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองนั้นก็คือว่า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นคือเป้าหมายของซาตาน—เป้าหมายเหล่านั้นเป็นเป้าหมายที่เลวและไม่ยุติธรรม  เมื่อผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์เหล่านี้ พวกเขากลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นช่องทางสำหรับซาตาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงหนึ่งของซาตาน  ในพระนิเวศของพระเจ้า และในคริสตจักร พวกเขาแสดงบทบาทเชิงลบ ทั้งนี้ ผลที่พวกเขามีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และต่อชีวิตคริสตจักรปกติและการไล่ตามเสาะหาปกติของเหล่าพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรนั้นก็คือ การก่อความไม่สงบและลดคุณค่า ทั้งนี้พวกเขามีผลเชิงลบ  เมื่อใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขามีความสามารถที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และใส่ใจในพระภาระของพระเจ้า  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกด้าน  พวกเขาย่อมมีความสามารถที่จะยกย่องพระเจ้าและให้การเป็นพยานต่อพระเจ้าได้ พวกเขาย่อมนำพาประโยชน์มาสู่เหล่าพี่น้องชายหญิง และสนับสนุนพวกเขา และจัดเตรียมให้พวกเขา และพระเจ้าย่อมได้รับพระสิริและคำพยาน ซึ่งนำความละอายมาสู่ซาตาน  ผลลัพธ์ของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็คือ พระเจ้าทรงได้รับสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างแท้จริง ซึ่งมีความสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้  ผลลัพธ์ของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็คือ หนทางแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการดำเนินการ และพระราชกิจของพระเจ้าก็มีความสามารถที่จะก้าวหน้าได้เช่นกัน  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาดังกล่าวนั้นเป็นบวก นั่นเที่ยงธรรม และนั่นเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักร(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  พระวจนะ ทำให้ฉันเข้าใจการไล่ตามประโยชน์ส่วนตนของฉันมากขึ้น ฉันตระหนักได้ว่าคนที่ทำแบบนั้น กำลังทำตัวในนามของซาตาน กลายเป็นเครื่องมือในการทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงัก เมื่อก่อนฉันคิดว่า มีแค่การทำชั่วอย่างโจ่งแจ้ง ขัดขวางงานของพระนิเวศ และชีวิตคริสตจักรแบบชัดเจน ที่เป็นการทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน แต่แล้วฉันก็เห็นว่า ถ้าเราเอาแต่ไล่ตามผลประโยชน์อันเห็นแก่ตัว ไม่สนใจประโยชน์ของพระนิเวศ เราก็จะส่งผลกระทบทางลบต่องานของคริสตจักร และเป็นคนทำให้หยุดชะงัก ฉันคิดถึงสิ่งที่ฉันแสดงออกในหน้าที่ และถึงจะดูเหมือนฉันไม่เคยอยู่ว่าง เหมือนฉันรับมืองานยากๆ ได้บ้าง อยู่จนดึกดื่น และไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้หยุดชะงักอย่างชัดเจน ฉันก็ไม่ได้มีแรงจูงใจที่ถูกต้องในหน้าที่ มันไม่ใช่เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่เป็นความพยายามจะโดดเด่น และมีคนมาชื่นชม เพราะฉันไม่ชอบการแบ่งงานแบบนี้ ฉันจึงไม่พอใจมาก และไม่อยากทำ ฉันไม่อาจนบนอบ และคิดหาวิธีทำหน้าที่ให้ดี หรือหาทางสนับสนุนพี่น้องชายหญิงในทันทีได้ ถ้าไม่ตระหนักได้ ฉันคงขัดขวางงานให้น้ำของเราไปแล้ว ที่จริง ฉันมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนร่วมงาน พี่น้องหญิงบางคนยังใหม่กับงาน และไม่คุ้นเคยกับงานของคริสตจักร การยกผู้ให้น้ำและคริสตจักรที่ดีกว่าให้ จึงดีต่องานโดยรวมของพวกเรา แต่ฉันเห็นแก่ตัว อยากเก็บคริสตจักร และผู้ให้น้ำที่ดีกว่าไว้ในการดูแล แต่ถ้าสิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างที่ฉันต้องการ และเพื่อนร่วมงานมือใหม่ ไปดูแลคริสตจักรที่มีปัญหามากกว่า งานก็คงจะเสียหาย และคงไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะไม่ดีต่อพระนิเวศ คริสตจักรของฉันมีปัญหาในนั้นมากกว่า แต่ที่จริงมันก็ เป็นการฝึกฝนที่ดีสำหรับฉัน ฉันแค่ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกหน่อย และทำให้สิ่งเหล่านั้นเสร็จสิ้นได้ และประสิทธิผลโดยรวมของเราก็จะดีขึ้น นั่นเป็นการจัดเตรียมที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ? แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า หน้าที่นี้ทำให้ฉันได้เห็น ว่าความคิดของฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้เหตุผลแค่ไหน แล้วก็เห็นว่า ถ้าฉันมีผลประโยชน์เพื่อตัวเอง มันคงได้แต่สร้างความเสียหายให้งานของพระนิเวศ ในอดีตนั้น ฉันเอาแต่ไล่ตามชื่อ สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตัวในหน้าที่ และได้กระทำการฝ่าฝืน ถ้าคราวนี้ฉันไม่เปลี่ยนแปลง เอาแต่ปกป้องประโยชน์ส่วนตนแบบหัวชนฝา ฉันรู้ว่า คงทำให้งานของพระนิเวศเสียหาย ล่วงเกินพระอุปนิสัย และถูกขับออกอีกครั้ง สำหรับฉันแล้ว ความคิดนี้มันน่ากลัวมาก ฉันมาเฉพาะพระพักตร์ เพื่ออธิษฐานและกลับใจ บอกว่า “พระเจ้า ข้าฯ เอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนในหน้าที่ ไม่คิดถึงงานของคริสตจักร หรือน้ำพระทัยเลย ด้วยความเป็นมนุษย์นี้ ข้าฯ ไม่ควรค่าที่จะทำหน้าที่นี้ พระเจ้า ข้าฯ อยากกลับใจจริงๆ”

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะที่มอบทางแห่งการเข้าสู่มาให้ “สำหรับทุกคนที่ลุล่วงหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินอย่างไร ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความจริง หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติซึ่งใช้ในการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนบุคคล เหตุจูงใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะ  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—นี่คือน้อยที่สุดแล้วที่คนเราควรทำ  หากบุคคลหนึ่งซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาไม่สามารถทำได้มากแม้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นแล้ว เขาสามารถถูกพูดถึงได้เช่นไรว่า กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาอยู่?  นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ก่อนอื่นเจ้าควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระเจ้าเอง และคำนึงถึงพระราชกิจของพระองค์ และวางความคำนึงถึงเหล่านี้ไว้เป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้า หรือวิธีที่ผู้อื่นมองเจ้าได้  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่า มันง่ายขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นขั้นตอนเหล่านี้ และทำการประนีประนอมบ้าง?  หากเจ้าทำการนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยนั้นไม่ลำบากยากเย็น  นอกจากนี้ เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต  มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน  ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การอ่านพระวจนะ สอนฉันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระนิเวศต้องมาก่อน ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว ความมีหน้ามีตาและสถานะเป็นสิ่งชั่วคราว และการไล่ตามมันนั้นไร้ความหมาย การไม่ใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทราม ปฏิบัติความจริง และทำตามน้ำพระทัย เป็นทางเดียวที่จะได้รับการทรงเห็นชอบ การเข้าใจสิ่งนี้ ให้ความรู้แจ้งกับฉัน ไม่ว่าจะแบ่งงานยังไง ฉันก็ไม่อาจเอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว หน้าตาและสถานะได้ ฉันต้องยอมทำตาม และทำหน้าที่ให้ดี ถึงผลลัพธ์จะไม่ดีมากนัก ฉันก็ต้องมุ่งเน้นการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์ และยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับฉัน การใส่หัวใจในหน้าที่ และเป็นคนมีความรับผิดชอบ ก็เป็นทางเดียว ที่จะทำตามน้ำพระทัย

สองสามวันต่อจากนั้น ฉันก็ทุ่มเทให้หน้าที่ ไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว การทำแบบนั้น ทำให้รู้สึกเหมือนว่า ฉันไม่ได้ถูกความเสื่อมทรามควบคุม ไม่กี่วันต่อมา ในการหารือเรื่องงานกับพี่สาว เธอบอกว่า เธอพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก และอยากได้ล่าม เวลาไปตรวจคริสตจักรของผู้มาใหม่ เธอกำลังลำบาก และไม่ค่อยมีผลลัพธ์ในหน้าที่นัก ตอนเธอพูดอย่างนั้น ฉันคิดว่า ภาษาของฉันก็พอใช้ได้ บางทีฉันอาจสลับกับเธอ และตามงานของคริสตจักรนั้นต่อได้ แต่แล้วฉันก็คิดว่า คริสตจักรนั้นมีปัญหามากมาย การรับผิดชอบที่นั่น คงจะใช้ความพยายามมาก และอาจไม่มีอะไรคืบหน้ามากมายนัก ฉันกังวลว่า มันอาจกระทบความเห็นที่คนอื่นมีต่อฉัน ก็เลย ไม่อยากสลับกับเธอ แต่ด้วยความคิดนั้นเอง ฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวอีกแล้ว คิดแต่จะปกป้องหน้าตาและสถานะ ฉันจึงรีบมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐาน ขอพระองค์ทรงนำให้ฉันได้ละทิ้งตัวเอง หลังอธิษฐาน ฉันก็ตระหนักได้ว่า ในสถานการณ์นี้ พระเจ้ากำลังทดสอบฉัน และทรงมอบโอกาส ให้ฉันได้ปฏิบัติความจริง ฉันไม่อาจใช้ชีวิตในความเสื่อมทราม ปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวเหมือนก่อนได้อีกต่อไป ถ้าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศ ฉันก็ต้องทำ ฉันเลย นั่งคิดถึงความรับผิดชอบของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ และรู้สึกเหมือน สำหรับฉันมันดีที่สุดแล้วที่จะสลับกับพี่คนนี้ ฉันแบ่งปันความคิดของฉันให้ผู้นำฟัง ทั้งเธอและเพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็เห็นด้วย พอเปลี่ยนแปลงแล้ว ฉันก็โล่งใจจริงๆ และรู้สึกซาบซึ้ง อย่างอธิบายไม่ได้ มันเหมือนกับ ในที่สุดฉันก็ปฏิบัติความจริงและเป็นคนจริง เหมือนที่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต  มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน  ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

หลังจากนั้น ฉันก็เลิกคิดลบเรื่องของคริสตจักร ที่ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบ แต่กลับทำเต็มที่ เพื่อดูแลงานของทุกคริสตจักร เวลามีคนในทีมให้น้ำ บ่นถึงความลำบากของเขา ฉันก็จะสามัคคีธรรมตามพระวจนะ เพื่อแก้ไขมุมมองที่ผิดของพวกเขาให้ถูก พึ่งพาพระเจ้า และแสวงหาความจริงกับพวกเขาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น เวลาเห็น ผู้มาใหม่บางคน มีปัญหามากมายและไม่เข้าร่วมการชุมนุม ฉันก็เลิกตำหนิพวกเขาที่ยุ่งยาก แต่กลับพูดคุยกับพวกเขาอย่างจริงจัง เพื่อให้เข้าใจความติดขัดของพวกเขา และสามัคคีธรรมกับพวกเขาตามพระวจนะ ส่วนเรื่องที่มีผู้นำและมัคนายกไม่เพียงพอ ฉันก็ฝึกคนที่มีความสามารถให้มากขึ้น ฉันสามัคคีธรรมกับคนที่ มีขีดความสามารถดีกว่า และเหมาะกับตำแหน่งเหล่านั้นมากกว่า ตามนัยยะสำคัญและหลักธรรมของการทำหน้าที่ และใช้เวลาทำงาน เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา ตอนที่สังเกตเห็น ว่าในคริสตจักรมีงานที่ค่อนข้างซับซ้อน และไม่มีใครไปตรวจสอบดู ฉันก็พยายามเอามาทำ ในตอนแรก ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม แต่ฉันไม่สงสัยเลย ว่าฉันไม่อาจ เอาแต่หนีห่างจากปัญหา ฉันไม่อาจเห็นแก่ตัว คำนึงถึงแค่ขอบเขตการทำงานเล็กๆ ของตัวเองได้ แต่ต้องคำนึงถึงน้ำพระทัย และค้ำจุนงานโดยรวมของคริสตจักร ผ่านไปสักพัก งานของฉันก็คืบหน้า คริสตจักรที่ฉันบริหาร เลือกผู้นำและมัคนายกได้ครบ บางคริสตจักร มีคนทำหน้าที่มากถึงสองเท่า แถมผู้มาใหม่บางคนก็ทำงานได้ด้วยตัวเอง จากที่ที่เมื่อก่อนไม่ค่อยจะดี งานในทุกภาคส่วนก็ดีขึ้น ฉันเห็นถึงกิจการของพระเจ้าในนั้นจริงๆ ฉันยังได้ประสบอย่างแท้จริงด้วยว่า พระเจ้าทรงต้องการหัวใจ และการเชื่อฟังของผู้คน ดังนั้นถ้าเราคำนึงถึงน้ำพระทัย และคิดถึงแต่งานของพระนิเวศ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตนได้ เราก็จะได้รับการทรงนำและพระพร การเข้าใจสิ่งนี้ ทำให้ความเชื่อในพระเจ้าของฉันแข็งแกร่งขึ้น ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 5. จงเปิดใจในการสามัคคีธรรม

ถัดไป: 9. ในศาสนาแล้ว ไม่อาจได้รับความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger