72. เส้นทางสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์

โดย หม่าซ่าลี่เทิด, ฟิลิปปินส์

เรื่องการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หลายคนอาจคิดว่า เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้วบาปของเราได้รับการอภัย ตอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์ก็จะทรงรับเราตรงขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ คนอื่นๆ เชื่อกันว่ามีเพียงผู้บริสุทธิ์ที่มองเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยคิดว่า “เราอดไม่ได้ที่จะทำบาปอยู่ตลอด แถมยังละทิ้งโซ่ตรวนแห่งบาปไม่ได้ แล้วเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้จริงเหรอ” คำถามนี้ บางคนอาจบอก ว่าถึงเราจะเปี่ยมบาป แต่องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเราตลอดไป ดังนั้น ตราบใดที่เราสารภาพบาป พระองค์จะทรงอภัยให้เรา และทรงไม่มองว่าเราเปี่ยมบาปอีก เราจึงจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ แต่ฉันคิดว่า ถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงอภัยให้บาปของเราแล้ว ในองค์พระคัมภีร์ก็กล่าวว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย(ฮีบรู 10:26) ข้อนี้พิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงอภัยให้บาปของเราโดยไม่มีเงื่อนไขตลอดไป แล้วเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ยังไง ฉันไม่เคยหาคำตอบได้เลย จนกระทั่งได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพบเส้นทางแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า

ฉันเกิดในครอบครัวคริสเตียน และไปคริสตจักรกับพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉันมีส่วนร่วมกิจกรรมของทางคริสตจักรอย่างต่อเนื่องอีกด้วย พอโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็กระตือรือร้นอุทิศตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งกว่าเดิม บางครั้ง ฉันถึงกับไปจัดงานชุมนุมอธิษฐานกับศิษยาภิบาลที่เมืองอื่น แต่ถึงจะกระตือรือร้นแค่ไหน ฉันก็ไม่ได้รับความพึงใจทางจิตวิญญาณที่แท้จริงอยู่ดี การเทศนาของศิษยาภิบาลมีแต่เรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่หรือให้ความรู้แจ้ง และส่วนตัว ฉันก็ไม่สามารถใช้ชีวิตตามคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ฉันมักจะตกอยู่ในวังวนแห่งการทำบาปและสารภาพบาป อย่างเช่น เวลาที่เห็นแม่ให้ของขวัญหรือให้เงินกับพี่น้องของฉัน แต่แทบไม่ให้อะไรฉันเลย ฉันก็จะอิจฉา โกรธ และบ่นเรื่องแม่ ในการทำงานปรนนิบัติเพื่อคริสตจักร เมื่อไหร่ที่ศิษยาภิบาลมอบหมายงานมาให้ ฉันก็จะคิดว่าเขาต้องชอบฉันแน่ ฉันจะเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ และถึงกับดูถูกเพื่อนร่วมงานคนอื่น องค์พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14) แต่ฉันยังมีความคิดขี้อิจฉา เกลียดชัง และถือตัวอยู่ ฉันเข้ากับคนที่บ้านไม่ค่อยได้ เรื่องรักคนอื่นให้เหมือนตัวเองและสามัคคีกับทุกคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันยังไม่บรรลุความบริสุทธิ์ค่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยกย่อง และพาฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง ฉันสับสนมาก เลยไปแสวงหาความช่วยเหลือจากศิษยาภิบาลและมิตรสหายที่คริสตจักร แต่ศิษยาภิบาลก็พูดแค่ว่า “ในฐานะผู้เชื่อ บาปของเราได้รับการอภัยแล้ว เครื่องบูชาลบล้างบาปขององค์พระเยซูเจ้ามีประสิทธิภาพอยู่ตลอดกาล ดังนั้น บาปทั้งปวงที่เรากระทำทั้งในอดีตและอนาคต ตราบใดที่เราอธิษฐานและสารภาพบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงอภัยให้เราอย่างไม่มีเงื่อนไข จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงมองว่าเราไร้ซึ่งบาป และทรงอนุญาตเราให้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ เราต้องมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” แต่คำพูดของศิษยาภิบาลก็ไม่ได้คลายความสับสนให้ฉันอยู่ดี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยให้บาปของเรา แต่ทำไมพระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย(ฮีบรู 10:26)  ข้อนี้พิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงอภัยให้บาปของเราอย่างไร้เงื่อนไขตลอดไป ฉันไม่ได้รับความชัดเจนอะไรเลย จึงได้แต่ปลอบตัวเองด้วยการคิดว่า ความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไร้ขอบเขตและไม่มีสิ้นสุด ดังนั้น ศิษยาภิบาลอาจจะพูดถูกก็ได้ ตราบใดที่ฉันอธิษฐานและสารภาพบาป พระองค์ก็จะทรงไม่ถือโทษบาปนั้นกับฉัน และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงรับฉันขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หลังจากนั้น ฉันก็เอาแต่อ่านพระคัมภีร์และเข้าร่วมงานปรนนิบัติ หวังจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา

ต่อมา ฉันได้พบกับซิสเตอร์หวังและซิสเตอร์ลี่ทางอินเทอร์เน็ต พวกเราพิมพ์คุยกันเยอะมาก ให้กำลังใจและกระตุ้นกันในการเชื่อ รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดกัน วันหนึ่ง ซิสเตอร์หวังถามฉันว่า “ความหวังสูงสุดในฐานะผู้เชื่อของคุณคืออะไรคะ” ฉันตอบไปโดยไม่ลังเลเลยว่า “ก็ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าไงคะ!” แล้วเธอก็ถามว่า “แล้วคุณรู้ไหมคะ ว่าคนประเภทไหนที่เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้”

พอเธอพูดแบบนั้น ฉันก็คิดกับตัวเองว่า “นี่แหละ สิ่งที่ฉันสับสนมาตลอด ศิษยาภิบาลและเพื่อนๆ ที่คริสตจักรต่างบอกว่า เมื่อได้รับบัพติศมาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า บาปของเราย่อมได้รับการอภัย และเราก็เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ ถามแบบนี้แปลว่าเธอมีความเห็นอื่นเหรอ” แล้วเธอก็พูดว่า “ฉันเคยคิดว่า ในการเชื่อ ตราบใดที่เรายอมรับพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า อธิษฐานและสารภาพบาปในนามของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอภัยบาปของเรา และเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงรับเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ต่อมาฉันก็ตระหนักได้ ว่าถึงบาปของเราจะได้รับการอภัยด้วยการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ยังมีแนวโน้มที่จะทำบาปและต้านทานพระองค์อยู่ดี ตัวอย่างเช่น องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์ให้เรารักผู้อื่นอย่างที่รักตัวเอง ปฏิบัติความข่มใจ เป็นเกลือและแสงสว่างในการสดุดีพระองค์ แต่เรากลับเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราต่างตำหนิองค์และทรยศพระองค์ เมื่อเผชิญกับบททดสอบ เราแค่ทำงานและอุทิศตนเพื่อให้ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร นี่คือการทำธุรกรรม การใช้ชีวิตทางนี้ ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าสักนิด องค์พระคัมภีร์ระบุไว้ชัดเจนว่า ‘เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45)เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34-35) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม และราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็อยู่ภายใต้การทรงปกครอง ที่นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้ความโสมมมาแปดเปื้อนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ คนที่ทำบาปและต้านทานองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ ก็ยังเป็นทาสของบาป และไม่มีทางเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ พระเจ้าทรงบอกเราอย่างชัดเจนมากว่า ในการเชื่อ เราต้องปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระจากความโสมม และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”

ฉันตื้นตันใจมาก จากการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์หวัง ฉันนึกย้อนไปถึงตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อสารภาพบาปมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ฉันก็ยังติดอยู่ในวังวนของการทำบาปและสารภาพบาป ฉันเถียงกับพ่อแม่ในเรื่องเล็กๆ หลายครั้ง แถมยังอิจฉาพี่น้องของตัวเอง ในคริสตจักร ฉันดูแคลนและวางท่าใส่สมาชิกคริสตจักรคนอื่น ขนาดเชื่อมาหลายปี ฉันก็ยังปฏิบัติความข่มใจเบื้องต้นไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรแห่งสวรรค์แน่นอน!

ฉันจึงพูดกับซิสเตอร์หวังว่า “คุณพูดถูก ในการเชื่อ เราโกหกและทำบาปอยู่บ่อยๆ แถมไม่สามารถปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากบาปได้ ฉันเองก็เป็นแบบนั้น ฉันสับสนเรื่องนี้มากเสมอ ถ้าเราทำบาปอยู่ตลอด เราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้จริงเหรอ ฉันเคยแสวงหาคำแนะนำจากศิษยาภิบาลและสมาชิกคนอื่นในคริสตจักร แต่ไม่เคยได้คำตอบที่น่าพอใจ ในที่สุดฉันก็เข้าใจขึ้นบ้าง ผ่านการสามัคคีธรรมของเรา ผู้เชื่อที่ทำบาปอยู่เสมอและยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จะไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมเรายังทำบาปอยู่ตลอด ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยให้บาปของเราในฐานะผู้เชื่อไปแล้ว”

เพื่อตอบคำถามของฉัน ซิสเตอร์หวังได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฟัง 2-3 บทตอน “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่…ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้  เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป(“ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)

จากนั้น เธอได้แบ่งปันสามัคคีธรรมว่า “ระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เราต่างรู้ว่า ในช่วงท้ายยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนเสี่ยงจะถูกประหารชีวิตเพราะไม่ทำตามธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงไม่อาจทนเห็นผู้คนถูกฆ่าเพราะเหตุนี้ได้ พระองค์จึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป ทรงไถ่มนุษย์จากบาปของพวกเขา เมื่อได้รับความรอดขององค์พระเยซูเจ้า ได้สารภาพบาปและกลับใจ บาปของมนุษย์ก็ได้รับการอภัย และพวกเขาก็จะไม่ต้องโทษประหารชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป พวกเขายังได้เพลิดเพลินกับพระคุณ สันติสุข และความสุขเหลือคณาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้อีกด้วย การให้อภัยในบาปนี้ หมายถึงการเป็นอิสระจากการถูกกล่าวโทษ และถูกประหารชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์เป็นอิสระจากบาป หรือจะไม่มีวันทำบาปอีก บาปของเราได้รับการอภัยผ่านการเชื่อ แต่ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปยังคงฝังรากลึกอยู่ในตัว เราเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่โอหัง หลอกลวง ชั่ว ร้ายกาจ และอื่นๆ เราถึงกับทำสิ่งที่ขัดต่อมโนธรรม โกหกและคดโกงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าคนไม่ทำอย่างที่ต้องการ เราก็จะโกรธและประณามพวกเขา เราแข่งขันเพื่อสถานะและแสวงหาประโยชน์ เราอิจฉาและบาดหมางกัน แถมยังไล่ตามกระแสชั่วในทางโลก ลิ้มรสความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง และอื่นๆ เรารู้ว่า การทำบาปไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเราก็มาเฉพาะพระพักตร์บ่อยๆ เพื่อกลับใจและสารภาพบาป แต่แล้วเราก็ทำบาปอยู่ดี ทั้งหมดนี้คือผลแห่งธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุพื้นฐานแห่งธรรมชาติที่เปี่ยมบาป บาปของเราก็จะเป็นเหมือนวัชพืชที่โดนตัดโคน แต่ก็งอกใหม่ออกมาจากรากได้อยู่ดี การจะแก้ไขรากเหง้าแห่งความเปี่ยมบาปของเราให้ถ้วนทั่ว เราต้องการการพิพากษาและการทำให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย นั่นเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาป และทำให้เราคู่ควรกับราชอาณาจักรสวรรค์”

หลังได้ฟังการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์หวัง ฉันก็เข้าใจว่า การอภัยบาป หมายถึงแค่องค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยให้บาปของเรา ไม่ใช่ว่าเราไม่เปี่ยมบาป และไม่ได้แปลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอภัยให้บาปของเราตลอดไปอย่างที่ศิษยาภิบาลกล่าวอ้าง การสามัคคีธรรมของเธอสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก แถมยังสอดคล้องกับพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน ที่ว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย(ฮีบรู 10:26) สิ่งที่ศิษยาภิบาลพูดเคยทำให้ฉันสับสนมาก องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นบริสุทธิ์ พระองค์จะทรงพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักรจริงเหรอ ถ้าเราทำบาปอยู่ตลอด ฉันคิดไม่ออกและมองไม่เห็นเส้นทางอื่น ฉันเลยเชื่อที่ศิษยาภิบาลพูด เอาแต่ศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐานและสารภาพบาป หวังว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะไม่ทรงมองที่บาป แต่พาฉันตรงเข้าสู่ราชอาณาจักร พอคิดย้อนไป นั่นเป็นมโนคติอันหลงผิดที่ไกลจากความจริงไปมาก ซิสเตอร์หวังเคยบอกว่า เมื่อทรงกลับมา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ ฉันถามเธอไปอย่างรีบร้อน ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้ยังไง

เธอตอบอย่างใจเย็นว่า “ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างเช่น ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17)  ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้แสดงให้เห็น ว่าพระเจ้าจะทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย ปลดแอกพวกเขาจากบาปโดยสมบูรณ์ เปลี่ยนแปลงและชำระอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาให้บริสุทธิ์ แบบนี้เท่านั้น ที่มนุษย์จะคู่ควรได้เข้าสู่ราชอาณาจักร องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์แห่งยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริง และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ เพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาป และอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของมนุษย์ และช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นจากอิทธิพลของซาตานในที่สุด”

ซิสเตอร์หวังเอาวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันดูสองเรื่อง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน  วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(“พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดหรือได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง(“ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)

ซิสเตอร์หวังได้สามัคคีธรรมว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด รวมถึงเปิดเผยความล้ำลึกแห่งพระราชกิจการบริหารจัดการ เช่น พระราชกิจทั้งสามระยะของพระเจ้า ความล้ำลึกแห่งพระนามทั้งหลายของพระเจ้า ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และวิธีทรงพระราชกิจการพิพากษา พระองค์ยังทรงทำให้เห็นชัดเจน ถึงความจริงที่เราควรปฏิบัติในการเชื่อ อย่างเช่น วิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ปกติกับพระเจ้า วิธีใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ วิธีรักและนบนอบต่อพระเจ้า วิธีเชื่อและรับใช้พระเจ้าให้สอดคล้องกับน้ำพระทัย และอื่นๆ พระเจ้ายังทรงพิพากษาและตีแผ่ ความเปี่ยมบาปของมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้า และอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ผ่านการพิพากษาแห่งพระวจนะ เราได้เห็นว่าตัวเองถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกซึ้งแค่ไหน เราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อย่างเช่น โอหัง เปี่ยมเล่ห์ลวง และชั่วมากแค่ไหน เราไม่ได้ใช้ชีวิตในสภาวะความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังดูเหมือนซาตาน และไม่คู่ควรจะได้ใช้ชีวิตเบื้องพระพักตร์พระเจ้า นอกจากนี้เรายังรู้ถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและมิอาจล่วงเกินได้ของพระเจ้า เริ่มเกลียดและดูหมิ่นตัวเอง และเริ่มกลับใจต่อพระเจ้า เมื่อนั้น อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราก็จะค่อยๆ ถูกชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง เราจึงกลัวและนบนอบต่อพระเจ้าขึ้นมาบ้าง” หลังจากนั้น ซิสเตอร์หวังได้แบ่งปันประสบการณ์การยอมรับการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะของเธอค่ะ ในการเชื่อของเธอเมื่อก่อน เธอคิดว่า ในเมื่อเธออุทิศตน ยอมทิ้งหลายสิ่ง ได้ประสบกับความยากลำบากและยอมเสียสละเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เธอย่อมรักองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า และดีกว่าคนอื่นๆ เธอจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และดูถูกคนอื่น คิดว่าตัวเองรักองค์พระผู้เป็นเจ้าที่สุด และเหมาะจะได้รับมงกุฎและการปูนบำเหน็จที่สุด หลังจากรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เธอได้อ่านพระวจนะที่ทรงพิพากษาและเปิดโปงมวลมนุษย์ เธอได้เห็นบทตอนที่ว่า “จะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะมอบอุทิศความพยายามมากขึ้นให้กับความจริงของการรู้จักตนเอง  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า?  เหตุใดอุปนิสัยของเจ้าจึงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์?  เหตุใดวาทะของเจ้าปลุกเร้าความเกลียดของพระองค์?  ทันทีที่เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีสักเล็กน้อย เจ้าก็ขับร้องสรรเสริญตนเอง และเจ้าเรียกร้องบำเหน็จรางวัลสำหรับการมีส่วนร่วมสนับสนุนเพียงน้อยนิดของเจ้า เจ้าดูถูกผู้อื่นเมื่อเจ้าแสดงความเชื่อฟังเพียงเล็กน้อยและกลายเป็นเหยียดหยามพระเจ้าเมื่อได้สำเร็จลุล่วงในภารกิจยิบย่อยบางอย่าง…ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าพวกเจ้าปราศจากคุณความดีอย่างสิ้นเชิง เจ้าก็ยังยืนกรานที่จะอวดตัวอยู่ดี  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าเสื่อมลงจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่มีการควบคุมตนเองอีกต่อไปแล้ว?(“พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  หลังอ่านบทตอนนี้จบ เธอก็เจ็บปวดและละอายใจ แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่า เธอมักยกยอตัวเองและวางตัวข่มคนอื่นเสมอ ถึงกับคิดว่าตัวเองเหมาะที่จะได้รับมงกุฎ เพราะเธอถูกธรรมชาติที่โอหังเยี่ยงซาตานควบคุมอยู่ เธอตระหนักได้ว่า การที่เธออุทิศตนคือการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้รับพระพร ไม่ได้มาจากความรักพระเจ้าหรือทำให้พระองค์พอพระทัย เธอได้เข้าใจความโอหัง ความเห็นแก่ตัว และความน่ารังเกียจของตัวเอง รวมถึงความไม่บริสุทธิ์ในการเชื่อ เธอได้เห็นว่าตัวเองเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แถมยังคาดหวังจะได้พระพรและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรอย่างหน้าไม่อายและไร้เหตุผล เธอกลายเป็นเกลียดและดูหมิ่นตัวเอง และไม่คิดว่าตัวเองดีกว่าใครอีก เธอไม่กล้าโอ้อวดความรักที่มีต่อพระเจ้า หรือความต้องการในมงกุฏอีก กลับกัน เธอยอมรับการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะอย่างบริสุทธิ์ใจ แสวงหาที่จะละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และตั้งใจเต็มที่เพื่อให้หน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างลุล่วง

หลังได้ฟังการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์หวัง ฉันก็เข้าใจวิธีปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้น ฉันคิดว่า ประสบการณ์และคำพยานของเธอสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเป็นประโยชน์กับฉันมากค่ะ หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ซิสเตอร์หวังถึงได้เข้าใจอุปนิสัยที่โอหังของตัวเอง และได้ตระหนักว่าอุปนิสัยนี้ ทำให้เธอทะนงตนและชอบข่ม ฉันเองก็เหมือนกัน ศิษยาภิบาลชื่นชอบฉัน และเรียกฉันไปช่วยงาน ฉันเลยคิดว่าตัวเองดีกว่าพี่น้องคนอื่น และดูถูกพวกเขา กับครอบครัว ฉันคิดอยู่เสมอว่าชีวิตของทุกคนควรหมุนรอบตัวฉัน นั่นก็คือความโอหังเช่นกัน ฉันคิดว่าฉันก็ถูกชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง ผ่านการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้เช่นกัน คืนนั้นเราคุยกันจนดึกเลยค่ะ ฉันได้รับการบำรุงเลี้ยงและความพอใจทางจิตวิญญาณเยอะมาก

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติมเยอะมาก และพบว่า พระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงเปิดเผยความจริงเบื้องหลังความล้ำลึกแห่งพระราชกิจเท่านั้น ยังเปิดเผยถึงรายละเอียดในการละทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทราม วิธีใช้ชีวิตที่มีความหมาย และความจริงในอีกหลายแง่มุมด้วย ฉันตระหนักได้ว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉันแน่ใจที่สุด ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างจริงจัง ฉันมองย้อนไปถึงหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาป ไร้กำลังที่จะดึงตัวเองออกมาจากเงื้อมมือของมัน ฉันสับสนเรื่องการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์แค่ไหน แต่ตอนนี้ฉันพบเส้นทางของการชำระให้บริสุทธิ์ และเส้นทางแห่งราชอาณาจักรแล้วค่ะ! ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 67. วิธีเผชิญความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ถัดไป: 79. การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger