55. ความเป็นจริง เบื้องหลังคนขี้เกรงใจ

โดย ซู่เจี๋ย, ประเทศจีน

เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา คริสตจักรมอบหมายให้ฉันดูแลทีมออกแบบกราฟิก โดยร่วมกับหวางหลี่ ซึ่งเป็นคนที่ฉันเคยทำงานด้วยมาก่อน เธอหมกมุ่นอยู่กับภาพลักษณ์ของเธอ และจะก่อปัญหากับใครก็ตามที่ทำให้เธอขุ่นเคือง แต่เราก็เข้ากันได้ดีพอ ไม่มีข้อขัดแย้งอะไรใหญ่ๆ มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอ ครั้งนี้เราได้มาทำหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง ฉันก็อยากให้ความร่วมมือของเราเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากนั้น เธอก็สรุปข้อมูลสมาชิกในทีมให้ฉันฟัง พอไปถึงน้องซิน เธอก็พูดด้วยความโกรธเคืองว่า “เธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และโอหังมาก ไม่ใช่แค่ปฏิเสธที่จะยอมรับคำแนะนำ แต่ยังพูดถึงปัญหาของฉันอยู่ตลอด ไม่รับบทเชิงรุกในทีม ฉันเขียนรายงานเรื่องเธอถึงผู้นำไปแล้ว และรวบรวมการประเมินของคนอื่นๆ ไว้ด้วย เธอจะต้องถูกปลด” ฉันอ่านการประเมินดูแล้ว และส่วนมากก็บอกว่าน้องซินมีจุดแข็งในหน้าที่และมีขีดความสามารถที่ดี แต่โอหังไปเล็กน้อย บางครั้งก็จะยึดติดกับความคิดเห็นของตัวเอง แต่เธอก็ยอมรับอะไรๆ ได้ถ้าได้สามัคคีธรรมดีๆ โดยรวมแล้ว เธอคู่ควรแก่การบ่มเพาะค่ะ ฉันคิดว่า การประเมินน้องซินของหวางหลี่ไม่เที่ยงธรรมหรือเป็นธรรม ว่าเธอไม่ควรถูกปลดง่ายๆ แบบนี้ น้องซินเคยให้คำติชมอะไรกับหวางหลี่ที่ทำให้เธอดูแย่ หวางหลี่ก็เลยอคติกับเธอและอยากให้เธอพ้นจากหน้าที่หรือเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้น หวางหลี่ก็ควรไตร่ตรองตนเอง ฉันอยากชี้ให้เธอเห็นถึงปัญญานี้ค่ะ แต่แล้วก็คิดว่า เธอสนใจเรื่องการรักษาหน้ามาก แล้วจะไม่ชอบฉันทีหลังไหม? เราจะเข้ากันได้ยังไงถ้ามันทำให้อะไรๆ น่าอึดอัด ฉันจึงพูดกับเธอด้วยไหวพริบไปว่า “น้องซินยังใหม่กับความเชื่อ และหัวแข็งนิดหน่อย แต่ปัญหาของเธอไม่ได้ร้ายแรงพอถึงขนาดต้องปลด มาช่วยเธอผ่านการสามัคคีธรรมกัน” ความประพฤติโดยรวมของเธอเปลี่ยนไปเลยค่ะ และพูดอย่างรำคาญว่า “ไม่ใช่ว่าเธอหัวแข็งหรอก แต่เธอมีอุปนิสัยที่ไม่ดี ฉันก็เคยคิดเหมือนกันกับคุณ แต่ตอนนี้ฉันได้รับการหยั่งรู้แล้ว จากพระวจนะพระเจ้า เธอควรถูกกำจัดทิ้งค่ะ ถ้าคุณอยากช่วยก็ช่วยไป คุณรับงานของเธอมาดูแลก็ได้” ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง ฉันเพิ่งเข้าร่วมทีม และยังไม่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ แต่เธอผลักความรับผิดชอบของเธอมาให้ฉัน เรื่องนี้อาจหน่วงงานของเราก็ได้ การทำแบบนั้นค่อนข้างไม่รับผิดชอบ ฉันอยากแบ่งปันความคิดเพิ่มเติมกับเธอ แต่พอเห็นว่าเธอเย็นชาแค่ไหน ฉันก็กลัวว่าข้อขัดแย้งจะทำให้ความปรองดองเราหยุดชะงัด เลยปิดปากเงียบ

ผ่านมาสองสามวัน เรากำลังเตรียมพร้อมจะเปลี่ยนสถานที่ เนื่องด้วยความจำเป็นในงานของเรา แล้วหวางหลี่ก็พูดกับฉันไม่มีปี่มีขลุ่ย “เราอย่าพาน้องซินไปเลย เธอควรอยู่ที่นี่และไตร่ตรอง” ฉันคิดว่ามันแปลก การให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวไม่ใช่การแยกเธอออกไปเหรอ? แล้วมันต่างจากการไล่เธอออกตรงไหน? น้องซินมีบทบาทที่สำคัญ การทำแบบนั้นมันหน่วงงานของเรา และไม่เป็นธรรมกับเธอ ฉันก็เลยเป็นกังวล ฉันเห็นว่าหวางหลี่ประพฤติตัวด้วยความเสื่อมทราม และฉันอยากเปิดโปงเธอที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดและคว่ำบาตรน้องซิน แต่เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่เราหารือกันเรื่องน้องซิน เธอต่อต้านมากๆ และมีท่าทีที่ไม่ดีต่อฉัน ดังนั้นถ้าฉันชำแหละปัญหานี้ในทางที่ตรงกว่านี้ เธออาจพูดว่าฉันประคบประหงมน้องซินและเล่นแง่กับเธอ และกลายเป็นอคติกับฉัน ถ้ามันทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างเรา และเธอโกรธเคืองและคว่ำบาตรฉัน เราจะทำงานร่วมกันได้ยังไง? ฉันลังเล และกลืนคำพูดตัวเองลงคอไป ฉันคิดว่า ช่างมันเถอะ ความจริงมันเจ็บ ดังนั้นฉันจึงไม่ควรพูดตรงนัก ฉันควรประดิษฐ์คำพูดหน่อย ฉันเลยพูดตะกุกตะกักไปว่า “ผู้นำยังไม่ยืนยันให้เปลี่ยนหน้าที่เธอเลยนะ จะเหมาะสมเหรอถ้าเราทิ้งให้เธออยู่ที่นี่? เรารอให้ผู้นำอนุมัติก่อนค่อยปลดเธอไม่ดีกว่าเหรอ? ให้เธอมากับเราเถอะ แบบนั้นจะดีกว่ากับเราด้วย เวลาต้องติดตามงาน” พอฉันพูดไปแบบนั้น หวางหลี่ก็ไม่ได้ยืนกรานอะไร ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้พูดถึงปัญหาของเธออย่างชัดเจน และฉันก็กังวลที่เธอคอยเพ่งเล็งน้องซิน ฉันรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ แต่แล้วฉันก็คิด ว่าไหนๆ เราก็ทำงานด้วยกัน ฉันก็แค่คอยดูและห้ามเธอไม่ให้ทำข้อผิดพลาดใหญ่ๆ ก็พอ หวางหลี่คอยจงใจแยกเธอออกไป มีครั้งหนึ่ง คริสตจักรต้องการใครสักคนมาฝึกอบรม น้องซินเป็นคนเรียนรู้เร็วโดยเห็นได้ชัด ตัวเลือกที่ดีที่สุดจึงเป็นการส่งเธอไปฝึกอบรม ให้เธอกลับมาสอนคนอื่นๆ แต่หวางหลี่ยืนกรานให้ส่งน้องหลิวที่ไม่รู้จักงานของเราดีไป ฉันยังได้รู้จากพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ด้วย ว่าน้องซินได้แสดงมุมมองที่แย้งกับมุมมองของหวางหลี่หลายครั้ง และทุกคนก็รู้สึกว่าความคิดของน้องซินดีกว่า แต่หวางหลี่ปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ยืนกรานให้น้องซินฟังเธอ หลังจากน้องซินหยิบยกปัญหาเธอมาพูดในการชุมนุม หวางหลี่ก็โกรธและเพิกเฉยต่อเธอ พอน้องซินมีปัญหาในหน้าที่ หวางหลี่ก็ไม่ช่วยเธอแก้ไขมัน ปล่อยให้เธอทำงานติดขัดอยู่อย่างนั้น ทำให้อะไรๆ ยากสำหรับเธอ ฉันไม่สบายใจมากๆ ตอนที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ หวางหลี่อคติและแยกน้องซินออกไปมาตลอด มันกลายเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ แล้ว กลายเป็นว่ามันทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและเสียหาย ฉันรู้ว่าต้องคุยกับหวางหลี่ อืม วันนั้น ฉันรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า “คุณไม่ได้วางอคติที่มีต่อน้องซินใช่ไหม? น้องซินเก่งเรื่องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณไม่ยอมให้เธอไป งั้นมันก็ต้องแปลว่าคุณอคติกับเธอ” ตอนที่ฉันพูดไปแบบนี้ เธอก็มีด้านมืดปรากฏบนหน้า และพูดด้วยความโกรธว่า “ฉันวางอคติที่มีต่อเธอไปแล้ว แต่ตอนนี้ฉันมีอคติกับคุณนั่นแหละ ทีมของน้องซินไม่สัมฤทธิ์ผลอะไรในงานเลย และมันก็เป็นปัญหาของเธอ ฉันบอกคุณตั้งนานแล้วว่าเราควรปลดเธอ แต่คุณก็ไม่เห็นด้วย” เธอไม่ได้ตระหนักในตัวเองเลย ในฐานะหัวหน้าทีม ตอนที่ทีมทำได้ไม่ดี เธอไม่ได้มองตัวเองเลย แต่กลับไม่สนใจ ฉันเองก็โมโห อยากพูดถึงธรรมชาติของการกระทำเธอแบบเถรตรงไปเลย แต่สิ่งที่ยั้งฉันไว้คือการได้เห็นว่าเธอต้านทานแค่ไหน ฉันคิด ว่าฉันให้แก่นความจริงกับเธอไปแค่สองสามแก่น แต่เธอรับไว้ได้แย่มาก ถ้าฉันเอาปัญหาเธอทั้งหมดมาไขในที่แจ้งจริงๆ เธอได้เลือดขึ้นหน้าแน่ อย่างนั้นได้ทำลายความสัมพันธ์ของเราแน่ ไม่พูดอะไรต่อจะดีกว่า อีกอย่าง ฉันได้ให้สติเธอไปนิดหน่อยแล้วด้วย ในเมื่อเธอไม่ยอมรับมัน ฉันก็ตัดสินใจปล่อยไป หลังจากนั้น การจัดเตรียมการก็เปลี่ยนไป ฉันได้รับผิดชอบงานอื่นเป็นหลัก เดือนต่อมาก็มีเรื่องให้แปลกใจ งานของหวางหลี่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ส่วนสมาชิกทีมก็รู้สึกอ่อนล้าและท้อถอย พวกเขาบอกว่าเวลาเธอเห็นพวกเขาทำหน้าที่ได้ไม่ดี เธอก็จัดการกับพวกเขา แต่ไม่ได้แนะนำอะไร พวกเขาทุกคนรู้สึกว่าถูกเธอบีบเค้น และคิดลบมากจนทำหน้าที่ตัวเองแทบไม่ได้เลย พวกเขายังพูดด้วยว่าเธอไม่ได้แนะนำงานของน้องซินมาหลายเดือนแล้ว นัยน์ตาพวกเขาทุกคนมีน้ำตาเอ่ออยู่ ฉันสงบสติอารมณ์ไว้ไม่ไหวอีกแล้ว ฉันได้เห็นปัญหาของหวางหลี่ก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ไม่ได้ชี้ให้เธอเห็นถึงธรรมชาติของปัญหาเหล่านั้น เธอไม่เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองเลย คอยเนรเทศคนอื่นเพราะความลำเอียง จนถึงจุดที่งานของทีมเกือบจะหยุดนิ่ง ฉันรู้สึกผิดมากๆ พอกลับถึงบ้าน ฉันได้อ่านพระวจนะพระเจ้าที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ “จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นทั้งหมด คำพูดของพวกศัตรูของพระคริสต์ดูเหมือนใจดี มีวัฒนธรรม และโดดเด่นแตกต่างเป็นพิเศษ  ใครก็ตามที่เป็นผู้ล่วงละเมิดหลักธรรม ผู้ซึ่งก้าวก่ายและรุกล้ำ ไม่ถูกจัดการ ตัดแต่ง หรือเปิดโปง โดยไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร ศัตรูของพระคริสต์แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ โดยปล่อยให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเอื้อเฟื้อในทุกเรื่อง  ทุกความเสื่อมทรามและความประพฤติที่น่าเกลียดน่าชังของผู้คนต้องได้ประสบกับการทำความดีและการทนยอมรับ ทั้งนี้ ศัตรูของพระคริสต์ไม่แสดงท่าไปทางความโมโห จะไม่ทำร้ายผู้คนเนื่องจากโทสะ ความโกรธ หรือเพราะบุคคลนั้นได้ทำความผิดพลาด  พวกเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทนทุกข์มายาวนานและอดทน ว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายหรือข่มขู่ผู้ใด  แต่เหตุจูงใจแอบแฝงของพวกเขาก็คือการทำให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบ การทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเลื่อมใสและความเห็นชอบต่อการกระทำของพวกเขา ต่อพฤติกรรมของพวกเขา ต่อบุคลิกลักษณะของพวกเขา(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สิบ)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  สิ่งนี้สะเทือนอารมณ์ฉันมากๆ ค่ะ ศัตรูของพระคริสต์จะไม่แทรกแซงเมื่อเห็นคนทำให้งานพระนิเวศหยุดชะงัก เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตนเองไว้ พวกมันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจริงๆ ฉันได้รู้ว่าฉันทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์ พระนิเวศจัดเตรียมการให้ฉันทำงานกับหวางหลี่ เราจะได้ชดเชยจุดอ่อนให้กันและกัน คอยจับตาดูกันและกัน ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศด้วยกัน แต่เพื่อปกป้องความสัมพันธ์ที่ “ปรองดอง” กับเธอ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ “คนดี” ที่มีต่อเธอไว้ ฉันไม่กล้าเปิดโปงการปฏิบัติที่กีดกันและกดขี่ที่เธอทำกับน้องซิน ฉันได้เห็นว่าเธอปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเสื่อมทรามและส่งผลกระทบต่องาน แต่ฉันไม่ยึดหลักธรรมแห่งความจริงและเข้าแทรกแซงหรือรายงานต่อผู้นำ ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ชอบฉัน และมันจะทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างเรา พอฉันมีความกล้าจะพูดอะไรสักอย่าง ฉันก็ยังยั้งไว้ ไม่ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของพฤติกรรมของเธอชัดๆ ตรงๆ ฉันให้ทางหนีกับเธอทุกที ฉันเห็นแน่ชัดถึงสิ่งที่เธอทำกับพี่น้องชายหญิง ซึ่งขัดขวางงานแห่งพระนิเวศและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงอย่างร้ายแรง ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่าการทำตัวเหมือนเป็นคนดี ไม่ล่วงเกินใคร ที่จริงมาจากเหตุจูงใจที่เจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอก ทุกอย่างที่ฉันทำเป็นไปเพื่อปกป้องตัวเอง ทั้งหมดนั้นเพื่อรักษาชื่อและสถานะของฉัน เพื่อชนะใจและความคิด เพื่อหลอกให้คนอื่นติดกับด้วยรูปลักษณ์แห่งเมตตา ฉันแสดงอุปนิสัยชั่วของศัตรูของพระคริสต์! เมื่อไตร่ตรองการกระทำของตัวเอง ฉันก็รู้สึกผิดมาก และเกลียดตัวเองที่กลิ้งกลอกขนาดนั้น เจ้าเล่ห์ขนาดนั้น ฉันถูกพระเจ้ายกชูให้ทำหน้าที่สำคัญขนาดนั้น แต่ฉันไม่รับผิดชอบและไม่ยึดหลักธรรมตอนที่เห็นปัญหา ฉันทำให้งานแห่งพระนิเวศเสียหายและกีดขวางชีวิตของผู้อื่น ฉันมันเนรคุณ ทำให้พระบัญชาของพระเจ้าที่มีให้ฉันต่ำลง ไม่มีสามัญสำนึกเลย ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิฐานและกลับใจ พร้อมจะหยุดเป็นกบฎและทำร้ายพระเจ้า ฉันจะปฏิบัติความจริงและปกป้องงานแห่งพระนิเวศ

วันต่อมา ทันทีที่ฉันหยิบยกสถานการณ์ในทีมน้องซินขึ้นมาพูด ความประพฤติของหวางหลี่ก็เปลี่ยนไปและเริ่ม บ่นเกี่ยวกับว่าน้องซินฉุดคนอื่นๆ ลง ฉันเห็นว่าเธอไม่ตระหนักในตนเองเลย และรับคำติชมไม่ได้ สิ่งต่างๆ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ฉันคิดว่า ฉันแทบยังไม่ได้เริ่มเลย และเธอก็โกรธแล้ว ถ้าฉันหยิบยกปัญหาเธอทั้งหมดมาพูด เธอต้องรำคาญฉันแน่ๆ ฉันพูดดีไหมนะ? ฉันลังเลและรู้สึกประมาณว่าถูกบีบเค้น ฉันจึงกล่าวคำอธิษฐานเงียบๆ และคิดถึงการที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราซื่อตรงและค้ำจุนผลประโยชน์ของพระนิเวศ สิ่งนี้มอบความกล้าให้กับฉันได้บ้าง ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง ฉันก็รู้ว่าต้องแบ่งปันความคิดเห็นที่ซื่อตรงของฉัน ดังนั้น ฉันจึงอธิบายอย่างจริงจังและเป็นธรรมว่าเธอกำลังกดขี่น้องซินยังไง และสามัคคีธรรมถึงธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการนั้น แต่เธอไม่รับฟังเลย เอาแต่เถียงเรื่องรายละเอียดต่างๆ เธอปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงหรือรู้จักตัวเอง ฉันเห็นว่าปัญหาของเธอร้ายแรงแค่ไหน ว่าเธอไม่อาจอยู่ในหน้าที่นั้นได้ ฉันก็เลยแบ่งปันเรื่องนี้กับผู้นำ เธอว่าก่อนหน้านี้เคยสามัคคีธรรมกับหวางหลี่ถึงเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย พฤติกรรมของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เหมาะกับการทำงาน เธอไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ไม่ยอมรับความจริง จึงต้องถูกปลด เธออยากให้ฉันเป็นคนปลดค่ะ ฉันรู้สึกหัวใจสั่นรัว และคิดว่า ตั้งแต่ที่ฉันเปิดโปงปัญหาของเธอ ท่าทีของเธอต่อฉันก็ต่างไปจากเดิม ถ้าฉันไปปลดเธอเป็นการส่วนตัว นั่นคงจะล่วงเกินเธออย่างร้ายแรง เธอจะเกลียดฉันหลังจากนั้นไหม? ถ้าเธอคิดว่าฉันรายงานต่อผู้นำ เธอจะคิดว่าฉันเพ่งเล็งเธอไหม? ฉันรู้สึกขัดแย้งและไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเธอยังไง ตอนที่ไม่สบายใจเรื่องนี้อยู่นั่นเอง ฉันได้อ่านเจอในพระวจนะว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง แต่โดยมากแล้วพวกเขาแค่มีปณิธานและความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา  ผลก็คือ เมื่อพวกเขามาเจอกับกำลังบังคับชั่วหรือเผชิญกับคนเลวและไม่ดีที่ประกอบความประพฤติชั่ว หรือเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ล่วงละเมิดหลักธรรม—อันเป็นการทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าทนทุกข์กับการสูญเสีย และเป็นการทำอันตรายบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วยเหตุนี้—พวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะยืนขึ้นและพูดออกมา  นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า?  นั่นหมายความว่าเจ้าใจเสาะหรือพูดไม่ออกใช่หรือไม่?  หรือเป็นที่เจ้าไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และจึงไม่มีความมั่นใจที่จะพูดขึ้นมา?  นั่นไม่ใช่อันใดจากการเหล่านี้เลย ทั้งนี้ นั่นเป็นที่เจ้ากำลังถูกควบคุมโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามสารพัดประเภท  หนึ่งในอุปนิสัยเหล่านี้ก็คือการฉลาดแกมโกง  เจ้าคิดถึงตัวเจ้าเองเป็นอันดับแรก โดยคิดว่า ‘หากฉันพูดขึ้นมา นั่นจะมีประโยชน์ต่อฉันอย่างไร?  หากฉันพูดขึ้นมาและทำให้ใครบางคนไม่พอใจ พวกเราจะเข้ากันได้อย่างไรในอนาคต?’  นี่คือความรู้สึกนึกคิดที่ฉลาดแกมโกง ถูกต้องหรือไม่?  นี่ไม่ใช่ผลของอุปนิสัยที่ฉลาดแกมโกงหรอกหรือ?  อีกหนึ่งนั้นคือ อุปนิสัยใจร้ายและเห็นแก่ตัว  เจ้าคิดว่า ‘ความสูญเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ?  ทำไมฉันถึงควรใส่ใจ?  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันสักนิด  ต่อให้ฉันมองเห็นการนั้นและได้ยินว่าการนั้นเกิดขึ้น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย  นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน—ฉันไม่ใช่ผู้นำนี่นา’  ความคิดและคำพูดเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดอย่างมีสติรู้ตัว แต่เป็นผลผลิตจากจิตใต้สำนึกของเจ้า—ซึ่งเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยออกมาเมื่อผู้คนเผชิญประเด็นปัญหา…เจ้าไม่เคยพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ เลย  ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องถูกสมองของเจ้าเรียบเรียงไว้ก่อนในจิตใจของเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดคือการโกหก ไม่ลงรอยกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย ทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในคำแก้ตัวอันเป็นเท็จของเจ้าเอง เพื่อข้อได้เปรียบของเจ้าเอง  ผู้คนบางคนหลงเชื่อ ซึ่งในกรณีนั้น เจ้าย่อมบรรลุเหตุจูงใจและจุดมุ่งหมายเบื้องหลังวาจาของเจ้าแล้ว  นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า เหล่านี้คืออุปนิสัยของเจ้า  เจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าเองควบคุมอย่างสิ้นเชิง  เจ้าไม่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งที่เจ้าพูดและทำ  ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจบอกความจริงหรือพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติตามความจริงได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าได้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูด ทำ และปฏิบัติคือการโกหก และเจ้าก็ฉาบฉวยและขอไปทีไม่มีผิดเลย  เจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าล่ามโซ่ตรวนและควบคุมอย่างสิ้นเชิง  เจ้าอาจต้องการที่จะยอมรับและเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริง แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า กล่าวคือ เจ้าพูดและทำทุกสิ่งที่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าบอกให้เจ้าพูดและทำ  เจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากหุ่นเชิดของเนื้อหนังอันเสื่อมทราม เจ้าได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตานไปแล้ว…เจ้าไม่เคยแสวงหาความจริงเลย นับประสาอะไรที่เจ้าจะปฏิบัติความจริง  เจ้าก็แค่อธิษฐานต่อไป โดยสร้างความมุ่งมั่นของเจ้าขึ้น ทำการตัดสินใจแน่วแน่ และสาบานคำปฏิญาณทั้งหลาย  และสิ่งใดเล่าที่ได้เกิดขึ้นมาจากทั้งหมดนี้?  เจ้าก็ยังคงเป็นคนที่ชอบตามใจผู้อื่นอยู่ โดยที่เจ้าไม่ยั่วยุผู้ใด อีกทั้งเจ้าก็ไม่ล่วงเกินผู้ใด  หากเรื่องใดไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะอยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้นและคิดว่า ‘ฉันจะไม่พูดสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน และการนี้เป็นไปโดยไม่มีข้อยกเว้น  หากสิ่งใดเป็นที่สามารถทำอันตรายต่อผลประโยชน์ของฉันเอง ต่อความภาคภูมิของฉัน หรือต่อการนับถือตัวเองของฉัน ฉันก็จะไม่ให้ความใส่ใจอันใดกับสิ่งนั้น และจะเข้าหาทั้งหมดนั้นอย่างระมัดระวัง โดยที่ฉันต้องไม่กระทำการอย่างผลีผลาม  ตะปูที่โผล่หัวขึ้นมาจะถูกตีก่อน และฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้น!’  เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าซึ่งมีความเลว ฉลาดแกมโกง แข็งกระด้าง และรังเกียจความจริงโดยสิ้นเชิง  อุปนิสัยเหล่านั้นกำลังทำให้เจ้าอิดโรยและยากลำบากเกินกว่าที่เจ้าจะแบกรับได้มากขึ้นทุกทียิ่งกว่ามงคลทองคำที่พญาวานรสวมเสียด้วยซ้ำ  การดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ระทมยิ่งนัก!(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะทุกคำของพระเจ้าตรงเข้าหัวใจของฉัน กับหวางหลี่น่ะ ฉันกลัวจะล่วงเกินเธออยู่ตลอด ไม่กล้าปฏิบัติความจริงและเปิดเผยข้อเท็จจริง ฉันถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เป็นคนชั่ว ฉลาดแกมโกง และรังเกียจความจริง “ปรองดองคือทรัพย์ อดกลั้นคือปราดเปรื่อง” “อย่าชกคนใต้เข็มขัด” “เมื่อรู้ว่าบางอย่างผิด พูดให้น้อยลง” และ “การพูดตรงทำให้คนอื่นรำคาญ” ปรัชญาทางโลกเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้กลายเป็นกฎชีวิตของฉัน ฉันไม่กล้าพูดขึ้นถึงปัญหาที่เห็น หรือยึดหลักธรรมในการปกป้องงานแห่งพระนิเวศ ฉันมันขี้ขลาด ตอนที่ผู้นำอยากให้ฉันปลดหวางหลี่ ฉันก็เข้าใจชัดเจนมาก ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำทันที งานแห่งพระนิเวศจะได้ไม่ล่าช้า แต่ฉันเปิดปากไม่ได้ กลัวจะล่วงเกินเธอ มันดูเหมือนฉันเป็นคนดี ไม่อยากทำร้ายใคร แต่ที่จริงฉันกำลังขายผลประโยชน์ของพระนิเวศ เพื่อแลกกับภาพลักษณ์ด้านบวกในสายตาคนอื่น ฉันพะเน้าพะนอหวางหลี่ทุกครั้ง ปล่อยให้เธอทำให้งานพระนิเวศหยุดชะงัก ฉันเป็นเหมือนโล่ให้กับซาตานที่อาละวาดเพ่นพ่านในพระนิเวศ ฉันมันคนกลิ้งกลอก หน้าซื่อใจคด! ปรัชญาซาตานพวกนั้นเป็นแค่เหตุผลวิบัติที่ทำร้ายและทำให้คนหลงผิด! สังคมนี้มืดมนและชั่วร้ายขนาดนี้ ก็เพราะผู้คนใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตาน พวกเขากลายเป็นคนขี้ขลาดและเกลียดความสว่าง ไม่มีใครกล้าลุกขึ้น ค้ำจุนความชอบธรรมและเปิดโปงความจริง แต่พวกคนที่ประจบประแจงและเห็นเสมอว่าลมพัดไปทางไหน จะเป็นที่โปรดปรานและได้รับอำนาจ ไม่มีความเป็นธรรมหรือความชอบธรรม ต่างคนต่างหลอกลวงกัน ไม่มีความจริงใจให้กันเลยสักนิด นั่นคือสิ่งที่มาจากความเสื่อมทรามของซาตาน ในที่สุดฉันก็เห็นว่าปรัชญาซาตานพวกนี้ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของคน แต่ที่จริงมันเป็นคำโกหกที่ซาตานใช้เพื่อทำให้คนหลงผิดและเสื่อมทราม การใช้ชีวิตตามนั้นทำให้เราเห็นแก่ตัว ชั่วร้าย และฉลาดแกมโกงขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นหนทางใช้ชีวิตที่เลวทรามและไร้มนุษยธรรม

ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ใน “มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” “หากเจ้าไม่ยื้อยุดอะไรเอาไว้เลย หากเจ้าไม่มีการปั้นหน้า การเสแสร้งแกล้งทำ หน้าฉาก หากเจ้าตีแผ่ตัวเองต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ไม่ซ่อนเร้นบรรดาความคิดและสิ่งสำคัญหนักหน่วงส่วนในสุดของเจ้าเอาไว้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความจริงย่อมจะค่อยๆ หยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงย่อมจะเบ่งบานและเกิดผล ความจริงย่อมจะให้ผลลัพธ์ทีละน้อย  หากหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ และฝักใฝ่ต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และหากเจ้ารู้จักการอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าต้องเดือดร้อนในยามที่เจ้าล้มเหลวที่จะอารักขาผลประโยชน์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าความจริงได้มีผลในตัวเจ้าแล้ว และได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว  เมื่อความจริงกลายมาเป็นชีวิตของเจ้า เมื่อนั้นแล้ว หากใครบางคนหมิ่นประมาทพระเจ้า ไม่มีความเคารพต่อพระองค์ หละหลวมในหน้าที่ของพวกเขา เป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะหรือรบกวนต่องานของคริสตจักร และเมื่อเจ้าเห็นการนี้เกิดขึ้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถหยั่งรู้สิ่งนั้นและเปิดโปงสิ่งนั้นได้เมื่อจำเป็น และเข้าหาสิ่งนั้นโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งความจริงได้…หากเจ้าเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ได้รับความจริงและชีวิต เจ้าก็จะไม่ยืนอยู่เฉยๆ เมื่อเจ้าเห็นว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ากำลังได้รับความเสียหาย เมื่อเจ้านึกอยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เจ้าก็จะรู้สึกผิด และไม่สบายใจ และจะพูดกับตนเองว่า ‘ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้และไม่ทำสิ่งใดเลยไม่ได้  ฉันต้องลุกขึ้นพูดอะไรสักอย่าง ฉันต้องรับผิดชอบ ฉันต้องหยุดยั้งสิ่งนี้ ฉันต้องเปิดเผยพฤติกรรมชั่วนี้ เพื่อให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับการปกป้อง และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ถูกรบกวน’  ไม่เพียงแค่เจ้าจะมีความกล้าหาญและการตัดสินใจแน่วแน่นี้ และเจ้าจะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นอย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น แต่เจ้ายังจะลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าควรทำเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าและเพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระองค์ด้วย และหน้าที่ของเจ้าก็จะได้รับการทำให้ลุล่วงด้วยเหตุนั้น(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การอ่านบทตอนนี้ทำให้ฉันทั้งรู้สึกผิดและถูกกระตุ้น ฉันได้ชื่นชมความจริงผ่านการบำรุงเลี้ยงของพระเจ้ามาตลอดความเชื่อหลายปี ก็ยังไม่อาจค้ำจุนหลักธรรมหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศได้ ไม่มีสามัญสำนึกเลย ฉันต้องถอดหน้ากากคนขี้เกรงใจออก ฉันไม่อาจใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยชั่วร้าย กลิ้งกลอกและเสื่อมทรามต่อไปได้ แต่ต้องปฏิบัติวามจริงและค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร หลังจากนั้น ฉันไปคุยกับหวางหลี่และปลดเธอ ฉันยังเปิดใจในการสามัคคีธรรมด้วย พูดถึงการแสดงออกของเธอที่ปฏิเสธจะยอมรับความจริง กดขี่ผู้คนและทำร้าย งานของคริสตจักรทีละอย่าง ฉันเลิกเอาเรื่องดีๆ ที่รับฟังได้ง่ายมาพูดสอดแทรก ฉันอยากช่วยเธอจริงๆ เปิดโปงปัญหาของเธอ ให้เธอเข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเธอและกลับใจจากใจจริง พอฉันพูดจบ เธอทุกข์ร้อนมากจนร้องไห้ และบอกว่าเธอพร้อมที่จะยอมรับสิ่งที่พระนิเวศจัดเตรียมการ ที่จะไตร่ตรองและเรียนรู้บทเรียนอย่างแท้จริง พี่น้องชายหญิงก็ค่อยๆ กลับสู่สภาพปกติหลังจากนั้น และงานของทีมก็เริ่มให้ผลลัพธ์อย่างช้าๆ ฉันรู้สึกถึงสันติสุขและความสบายใจที่มาจากการปฏิบัติความจริงได้จากใจเลยค่ะ มันคือทางเดียวที่จะอยู่ในความสว่าง

ต่อมาได้มีการโยกย้ายงาน ฉันจึงได้เริ่มให้น้ำผู้มาใหม่พร้อมกับพี่น้องหญิงอีกสองสามคน ฉันเห็นว่าน้องหยานไม่มีภาระในหน้าที่เธอเลย แต่กลับละเลยและขาดความรับผิดชอบ ซึ่งส่งผลกระทบต่องานเรา ฉันเป็นกังวลกับเรื่องนี้ และอยากชี้ให้เห็นถึงมัน เพื่อให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่เพราะเราเพิ่งได้เจอกันและเข้ากันได้ดีมากๆ ถ้าฉันตรงไปตรงมาเรื่องการไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของเธอ เธอจะรำคาญฉันไหม? ฉันรู้ตัวว่าฉันคิดเหมือนคนขี้เกรงใจอีกแล้ว ฉันก็เลยรีบอธิษฐาน จากนั้นก็ได้เห็นวิดีโออ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “‘พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”’…ในพระวจนะสั้นๆ ที่พระเจ้าตรัสนี้ เจ้าสามารถเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเที่ยงแท้หรือไม่?  มีการหลอกลวงใดๆ หรือไม่?  มีความเท็จใดๆ หรือไม่?  มีการข่มขู่ใดๆ หรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าได้ตรัสบอกมนุษย์อย่างซื่อสัตย์ ตามความจริง และอย่างจริงใจถึงสิ่งที่เขาอาจกินได้และสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้  พระเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนและตรงๆ  มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ อยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ไม่ตรงไปตรงมาหรอกหรือ?  มีความจำเป็นต้องคาดคะเนหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีความจำเป็นต้องคาดเดาเลย  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ชัดแจ้งในทันทีที่มอง  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ คนเรารู้สึกเข้าใจชัดเจนอย่างครบถ้วนถึงความหมายของมัน  นั่นคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะตรัสและสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกนั้นมาจากพระทัยของพระองค์  สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นสะอาด ตรงไปตรงมา และชัดเจน  ไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ  พระองค์ตรัสกับมนุษย์โดยตรง ทรงบอกเขาถึงสิ่งที่เขาอาจกินได้และสิ่งที่เขาไม่อาจกินได้  กล่าวคือ โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า มนุษย์สามารถมองเห็นได้ว่าพระทัยของพระเจ้านั้นโปร่งใสและเที่ยงแท้  ไม่มีร่องรอยของความเท็จในที่นี้ นั่นไม่ใช่กรณีของการบอกเจ้าว่าเจ้าไม่อาจกินสิ่งที่กินได้ หรือการบอกเจ้าว่า ‘จงกินแล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น’ กับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่สามารถกินได้  พระเจ้าไม่ได้ทรงหมายถึงการนี้  ไม่ว่าพระเจ้าดำริสิ่งใดในพระทัยของพระองค์ นั่นคือสิ่งที่พระองค์ตรัส(“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  สิ่งที่พระเจ้าตรัสกับอาดัมและเอวานั้นชัดเจนเป็นที่สุด พระองค์ทรงจริงใจ ไม่ซ่อนเร้นอะไรไว้เลย แก่นแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและตีสอนมนุษย์ พระวจนะพระองค์เปิดโปงและชำแหละธรรมชาติความเสื่อมทรามของเราจากซาตาน และเปิดเผยความอัปลักษณ์และความไม่ชอบธรรมภายใน พระวจนะนั้นชัดเจนและไม่ซ่อนเร้นสิ่งใด พระวจนะพระองค์อาจรุนแรง แต่คือความรักทั้งนั้น ชำระเราให้สะอาดและเปลี่ยนเรา เราจึงจะรู้จักตนเองได้ ละทิ้งซาตาน และใช้ชีวิตตามลักษณะมนุษย์ที่แท้จริง ซาตานนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง มันอ้อมค้อม คลุมเครือ และชั่วร้าย ไม่เคยพูดสิ่งที่มันต้องการตรงๆ มันเริ่มจากการพูดสิ่งดีๆ สิ่งเท็จที่ฟังดูน่าจะเป็นไปได้ เพื่อนำให้อาดัมและเอวาหลงผิด พวกเขาจึงทำบาปและทรยศต่อพระเจ้า ฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานมาตลอด แสดงอุปนิสัยที่ชั่วและฉลาดแกมโกงเหมือนซาตานไม่มีผิด เพื่อปกป้องความสัมพันธ์ที่มีกับผู้อื่น และภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองฉัน ฉันคิดสิ่งหนึ่งและพูดอีกสิ่งหนึ่ง คดเคี้ยวเหมือนงู พูดไม่เต็มปากและลังเล ไม่มีใครสามารถเข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามจะพูดได้ ฉันมันเจ้าเล่ห์นัก ฉันเหมือนซาตานยิ่งกว่าเหมือนมนุษย์! พอได้รู้ตัวเช่นนี้ ฉันก็รังเกียจตัวเอง และไม่อยากเป็นคนขี้เกรงใจหรือจิ้งจอกอีกต่อไปแล้ว ฉันอยากปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อตรง ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศ ในการชุมนุมวันถัดมา ฉันเปิดใจเกี่ยวกับปัญหาที่เห็นในตัวน้องหยาน แล้วเราก็สามัคคีธรรมด้วยกันหลังจากนั้น เธอสามารถตระหนักถึงปัญหาของเธอได้ ฉันได้เห็นสภาวะของเธอค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากนั้น และฉันรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก

ประสบการณ์นี้ได้แสดงให้ฉันเห็น ว่าเราไม่ควรใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานและคดโกงกันและกัน แต่เราควรเปิดใจและซื่อตรง นี่เท่านั้นคือความรักที่แท้จริงและเป็นประโยชน์กับทุกคนโดยทั่ว ฉันได้รับประสบการณ์ด้วยตนเอง ว่าการซื่อตรงตามพระวจนะของพระเจ้าและติดตามหลักธรรมเท่านั้น คือการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ และเป็นหนทางที่จะได้รับพร มีสันติสุขและความชื่นบาน นั่นคือการเป็นคนดีค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 51. บอกลา การแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ถัดไป: 59. ความสำคัญของท่าทีที่ถูกต้องในหน้าที่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger