44. ช่วงเวลาที่ถูกกักขัง
เดือนกรกฎาคมปี 2006 ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามีฉันสนับสนุน และต้อนรับพี่น้องชายหญิงที่มาบ้านเราอย่างอบอุ่น แต่พอได้ยินว่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อาจโดนจับ เขาถามลูกพี่ลูกน้องฉันที่ทำงานอยู่สำนักงานอัยการ แล้วกลับบ้านมาพูดกับฉันว่า “พี่คุณบอกว่า รัฐบาลกำลังปราบปรามศาสนา โดยเฉพาะผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อีกอย่าง ถ้าคนหนึ่งเชื่อ ก็จะติดร่างแหไปทั้งบ้าน เลิกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วไปคริสตจักรสามตนก็พอ” พอเห็นสามีไม่เข้าใจเรื่องความเชื่อ ฉันก็บอกเขาว่า “คริสตจักรสามตนก่อตั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาให้ความรักชาติเป็นที่หนึ่ง แล้วค่อยพระเจ้า เห็นว่าพรรคยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า นั่นไม่ใช่การมีความเชื่อ ฉันไม่ไปคริสตจักรสามตนหรอก” เขาตอบด้วยความสิ้นหวังว่า “ผมรู้ว่าความเชื่อของคุณเป็นเรื่องดี แต่คุณต้องมองสถานการณ์ให้ชัดเจน ตอนนี้เป็นโลกของพรรคคอมมิวนิสต์ ถ้าคุณเชื่อต่อไป ก็ไม่รับประกันงานของเรา คุณเต็มใจจะทิ้งงานที่โรงพยาบาลหรือ? แถมเรามีของที่ติดจำนองอยู่ และต้องการเงินมาเลี้ยงลูกสาว ถ้าไม่มีเงินเราจะอยู่กันยังไง? ถ้าคุณถูกตัดสินให้ติดคุก ผมจะโดนคนดูถูก และลูกสาวเราก็จะโดนเพื่อนร่วมชั้นล้อเลียน คุณต้องคิดถึงพวกเราด้วย! ล้มเลิกความเชื่อเสียเถอะ” ฉันรู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ ที่สามีผู้ไม่เชื่อของฉันจะกังวลอยู่บ้าง เลยบอกว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เชื่อในพระเจ้าและข่มเหงผู้เชื่อเสมอ ฉันจะไม่เลิกเชื่อเพราะการข่มเหงของมันหรอก ไม่รู้หรือว่า คนขี้ขลาดจะไม่ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์? ตอนนี้ความวิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริง และกำลังทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย นี่เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด และช่วยพวกเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ เราจะได้อยู่รอดผ่านความวิบัติ และถูกพาเข้าสู่ราชอาณาจักร นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต การมีความเชื่อ หมายถึงการทนทุกข์และเผชิญกับอันตรายเพียงชั่วคราว แต่เราก็ได้รับความจริงและถูกช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด” เขาตอบว่า “การเข้าสู่ราชอาณาจักรยังอีกไกล การใช้ชีวิตที่ดีต่างหาก คือสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดที่ควรทำ ผมไม่สนว่าอนาคตจะเป็นยังไง และผมไม่คิดถึงมันเลย” จากนั้น เมื่อเห็นว่าฉันยังเข้าชุมนุมและทำหน้าที่ เขาก็เริ่มหาเรื่องฉันบ่อยครั้ง บอกว่า “เราไม่มีทางใช้ชีวิตได้ด้วยการกลัวอยู่ตลอด ถ้าคุณยังมีศาสนา ครอบครัวเราก็จะแตกแยก” ฉันคิดว่า ถ้าฉันเชื่อต่อไป ครอบครัวเราก็อาจพังทลาย ลูกสาวฉันเพิ่งเก้าขวบ และการไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ คงทำให้เธอเจ็บปวดมาก! ตอนนั้นฉันไม่อยากเสียครอบครัวไปจริงๆ แต่ถ้าสามียังคงเข้ามาขวาง เส้นทางแห่งความเชื่อของฉัน ฉันจะทำหน้าที่ได้ยังไง? ลูกสาว ครอบครัว พระเจ้า ฉันไม่พร้อมจะทิ้งสิ่งไหนไปเลย ขณะที่รู้สึกขัดแย้งอยู่นั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา” (มัทธิว 10:37-38) ฉันนึกถึงเหล่าธรรมิกชนตลอดหลายยุค ที่ล้มเลิกทุกสิ่งเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และทำพระบัญชาให้ลุล่วง ในเมื่อพระเจ้าทรงเลือกฉัน และทรงอนุญาตให้ฉันชื่นชมยินดีกับเสบียงอาหารมากมายจากความจริง ฉันก็ต้องคำนึงถึงน้ำพระทัย ฉันไม่อาจทิ้งความเชื่อและหน้าที่ เพื่อรักษาครอบครัวให้คงอยู่ได้ พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์และเสด็จมายังโลก เพื่อช่วยพวกเราให้รอดโดยสมบูรณ์จากกำลังบังคับของซาตาน ทรงสู้ทนกับการไล่ล่า ข่าวลือ และกล่าวโทษมากมายของพญานาคใหญ่สีแดง รวมถึงการปฏิเสธและว่าร้ายจากโลกศาสนา และทรงแสดงความจริงเงียบๆ เพื่อให้น้ำ และค้ำจุนเรา ความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ฉันได้ชื่นชมยินดีกับหลายสิ่งจากพระเจ้า ขณะที่มัวแต่จะรักษาครอบครัว และไม่คิดเรื่องการตอบแทนความรักของพระเจ้า มโนธรรมฉันหายไปไหน? พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกติดค้างพระเจ้ามาก และตั้งใจว่า ไม่ว่าสามีขัดขวางยังไง ฉันก็จะติดตามพระเจ้า และเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อเป็นพยานแด่พระเจ้า
ต่อมา การกดขี่คริสตจักรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเลวร้ายลง และสามีฉันก็ต่อต้านอย่างหนักข้อมากขึ้น ช่วงปลายปี 2007 พรรคคอมมิวนิสต์ใช้ภาพการรักษาเสถียรภาพเพื่องานโอลิมปิก มาโจมตีศาสนาและข่มเหงคริสตจักรอย่างหนัก มีพี่น้องชายหญิงถูกจับกุมจำนวนมาก เช้าวันหนึ่งในเดือนกันยายน ตอนที่ฉันเตรียมตัวออกไปประกาศข่าวประเสริฐ สามีก็มายืนขวาง และไม่ยอมให้ฉันออกจากบ้าน เขาโทรเรียกพี่ชายของฉันมา บอกว่า “ไม่กี่วันก่อนพี่คุณบอกว่า พรรคกำลังระดมพลเพื่อจับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครั้งใหญ่ พอถูกจับก็จะถูกตัดสินโทษ คุณต้องล้มเลิกความเชื่อซะ” ส่วนพี่ชายก็ยุว่า “พี่รู้ว่าความเชื่อเป็นเรื่องดี แต่พรรคไม่อนุญาต ไม้ซีกงัดไม้ซุงไม่ได้หรอก ถ้าต้องเชื่อก็ขอให้เชื่อแค่ที่บ้าน เลิกออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าถูกจับจะทำยังไง?” ฉันตอบว่า “ฉันรู้ว่าพวกเขาหวังดีกับฉันที่สุด แต่การเชื่อและแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นเรื่องถูกต้องที่ควรทำ เพื่อให้มีคนถูกพระเจ้าช่วยให้รอดได้มากขึ้น นี่น่าจะเป็นความประพฤติดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าฉันเลิกแบ่งปันข่าวประเสริฐเพื่อปกป้องตัวเอง จะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างเหลือเชื่อหรือ?” น่าประหลาดใจ พอฉันพูดออกไป สามีก็คุกเข่าลงต่อหน้าฉัน บอกว่า “ผมขอร้องล่ะ เพื่อครอบครัวเรา เพื่อลูกเรา เลิกมีศาสนาเถอะ ถ้าคุณเชื่อต่อไป ลูกสาวเราจะไม่มีทางได้เข้ามหาลัยหรืองานดีๆ ทำได้ อนาคตของแกก็จะพัง! แกเป็นลูกสาวคนเดียวของเรา คุณต้องคิดถึงลูกด้วย! ถ้าคุณถูกจับ ผู้คนก็จะพูดจาแย่ๆ เรื่องผม แล้วผมจะใช้ชีวิตยังไง?” พอเห็นสามีเป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง เขามีศักดิ์ศรีเสมอ แต่ตอนนั้น เขาคุกเข่าขอร้องฉันต่อหน้าพี่ชาย พอเห็นเขาทำแบบนั้น ฉันก็คิดว่า การยืนกรานจะเชื่อต่อไปคงยิ่งทำให้เขาเสียใจ และถ้าความเชื่อของฉัน ทำให้พรรคตัดสิทธิ์ในการเข้ามหาลัยของลูกสาว แกหางานดีๆ ทำไม่ได้ล่ะ? ขนาดพี่ชายยังต่อต้านความเชื่อของฉัน แล้วถ้าครอบครัวรู้ว่า ฉันกับสามีไปกันไม่ได้เพราะความเชื่อ พวกเขาก็คงเข้ามาขัดขวางฉัน แบบนั้น ฉันคงติดตามพระเจ้าได้ยากกว่าเดิม แต่ถ้าฉันยอมสามี และบอกเขาว่าจะเลิกเชื่อ นั่นคงเป็นการทรยศพระเจ้า ยิ่งคิดฉันยิ่งร้อนใจ เลยอธิษฐานเงียบๆ ขอให้พระเจ้าทรงเฝ้าดูหัวใจฉัน แล้วตอนนั้นเอง พระวจนะบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า” (“การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ภายนอก ดูเหมือนครอบครัวขัดขวางฉัน แต่ที่จริง ซาตานกำลังทดสอบฉัน การเชื่อและทำหน้าที่ เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ซาตานใช้ครอบครัวมาขัดขวางฉัน และทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันจะหลงกลมันไม่ได้ ฉันต้องตั้งมั่นในคำพยานและทำให้มันอับอาย พอคิดแบบนั้น ฉันก็พูดกับพวกเขาอย่างจริงจังว่า “พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง พระองค์ทรงจัดเตรียมงานและอนาคตให้เรา และพรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีสิทธิ์ขาด การรุ่งเรืองและล่มสลายของประเทศและพรรคการเมืองอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ใช่ใครคนหนึ่ง ทุกคนก็รู้ว่า ก่อนจะมาเชื่อฉันเคยป่วยหนัก ถ้าไม่ได้พระเจ้าฉันคงตายไปนานแล้ว พระเจ้าทรงมอบชีวิตนี้ให้ฉัน ฉันได้ชื่นชมกับอะไรมากมายจากพระองค์ การไม่มีความเชื่อหรือไม่ได้ทำหน้าที่ คงเป็นเรื่องที่มโนธรรม ฉันจะยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ? ชีวิตฉันจะมีความหมายอะไร?” พี่ชายฉันทำหน้านิ่ว พลางพูดอย่างสิ้นหวังว่า “จริงอยู่ที่พอเธอเชื่อ เธอก็ดีขึ้น แต่ตอนนี้เราอยู่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ และพวกเขาก็จับกุมผู้เชื่อ การออกไปประกาศข่าวประเสริฐ เป็นการพาตัวเองไปอันตรายไม่ใช่หรือ?” สามีฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เห็นด้วย แต่ฉันก็ยืนกรานที่จะเชื่อต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะพูดยังไงก็ตาม พอเห็นฉันไม่หวั่นไหว พวกเขาก็พยายามใช้อุบายที่ชั่วช้ากว่าเดิมเพื่อขัดขวางฉัน หนึ่งเดือนต่อมา วันหนึ่ง ตอนที่ฉันกลับจากการชุมนุม สามีก็เข้ามาหาแล้วตบฉันสองครั้ง และพูดด้วยความโกรธว่า “พรรคกำลังจับกุมผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่ง แต่คุณก็ยังออกไปชุมนุม ยืนกรานที่จะเชื่อ! ตลอดหลายปีมานี้ผมเคารพคุณ ไม่เคยตีคุณเลยสักครั้ง พี่ชายกับพี่สะใภ้บอกว่าผมตามใจคุณ และควรควบคุมคุณ ให้แน่ใจว่าคุณเชื่อต่อไม่ได้” ฉันตกใจที่เห็นเขาทำอย่างนั้น และได้แต่มองเขาด้วยความประหลาดใจ เขาก้มหน้าไม่กล้าสบตาฉัน และพูดว่า “ผมไม่ได้อยากตีคุณจริงๆ แต่ผมไม่อยากให้คุณถูกโยนเข้าคุกเพราะความเชื่อ นี่เพื่อตัวคุณนะ” พอฟังที่เขาอธิบาย ฉันก็ผิดหวังจริงๆ สามีดีกับฉันมากมาเสมอ แต่เขากลายเป็นเครื่องมือของพรรคเพราะกลัวถูกข่มเหง เขาทำทุกทางให้ฉันทรยศพระเจ้า นั่นจะเพื่อตัวฉันเองได้ยังไง? ต่อมา พอเห็นว่าฉันตั้งใจจะเชื่อต่อไป เขาก็ถึงกับหยุดไปทำงาน เขาคอยตามติดฉันไปทุกที่ และไม่ยอมให้ฉันอ่านพระวจนะ เข้าชุมนุม หรือทำหน้าที่ ตอนนั้น คริสตจักรมีงานมากมายต้องทำ แต่เขากลับขังฉันไว้ จนฉันไปทำหน้าที่ไม่ได้ ฉันบอกเขาว่าไม่ควรมาขวางการเชื่อของฉัน พูดว่า “เมื่อก่อน ตอนคุณสนับสนุนความเชื่อของฉัน คุณก็เห็นพระพรมากมายจากพระเจ้าไม่ใช่หรือ? คุณเกือบประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์หลายครั้ง แต่พระเจ้าทรงคุ้มครองคุณไว้ พระองค์ประทานพระพรให้เรามากมาย แล้วคุณยังต่อต้านพระเจ้าได้ยังไง?” เขาตอบว่า “เมื่อก่อนความเชื่อนี้เป็นประโยชน์ แต่อะไรๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าคุณเชื่อ พรรคก็จะไม่ยอมปล่อยคุณไว้ และครอบครัวเราก็จะเดือดร้อนไปด้วย เราต้องใช้ชีวิตกันต่อไป” จากนั้น เขาก็เสนอให้เราอย่ากันเพราะไม่อยากโดนร่างแห ตอนนั้น ฉันกลัวมากจริงๆ แต่ฉันเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงที่สุด เขายังคงกดขี่ และตบตีฉันอยู่เรื่อยๆ แล้วจากนั้นเขาก็ขอหย่า ทั้งหมดเป็นเพราะการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนนี้ “บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกโฉมหน้าที่น่าขยะแยงของปีศาจตนนี้ออก และเปิดโอกาสให้ผู้คน ผู้ซึ่งถูกทำให้มืดบอด และผู้ซึ่งได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและหันหลังของพวกเขาให้แก่มารชั่วที่แก่ชราตนนี้ เหตุใดจึงสร้างอุปสรรคที่ไม่อาจเจาะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า? ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย? ไหนเล่าความเป็นธรรม? ไหนเล่าความชูใจ? ไหนเล่าความอบอุ่น? เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า?” (“งานและการเข้าสู่ (8)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พรรคนี้คือปีศาจที่ต่อต้านและเกลียดชังพระเจ้า มันจับกุมและข่มเหงผู้เชื่อ เพื่อขัดขวางและกวาดล้างงานของพระเจ้า มันกุข่าวลือทุกประเภทขึ้นมา ว่าร้ายงานของพระเจ้าและหลอกลวงผู้คน พวกเขาจะได้ร่วมต่อต้านพระเจ้า และถูกทำลายในที่สุด พรรคถึงกับลากคนในตระกูลเข้ามา ให้ทั้งครอบครัวถูกทำลายเพราะความเชื่อของคนๆ เดียว ตอนแรกครอบครัวก็สนับสนุนความเชื่อของฉัน แต่การข่มเหงและข่าวลือของพรรค ทำให้พวกเขาพลัดหลงไป พวกเขาจึงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและต่อต้านพระเจ้า เป็นพรรคที่ชั่วร้ายเหลือเกิน! ฉันนึกถึงพระวจนะอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด เฉพาะผู้คนกลุ่มนี้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตที่มีนัยสำคัญมากที่สุด นั่นคือ ไม่มีใครอีกเลยในแผ่นดินโลกที่สามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้” (“รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอใคร่ครวญพระวจนะ ฉันก็กระจ่างขึ้น ตอนนี้ พระเจ้าทรงเลือกฉันให้มาอยู่เบื้องพระบัลลังก์ ฉันได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและเสบียงอาหารมากมายจากพระวจนะ ได้ทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ช่วยให้คนมาเฉพาะพระพักตร์ และได้รับความรอดของพระเจ้ามากขึ้น นี่คือสิ่งที่ชอบธรรม และมีค่าที่สุด ฉันจะล้มเลิกความเชื่อและหน้าที่เพื่อปกป้องครอบครัวไม่ได้ ถึงจะต้องหย่า ฉันก็ต้องติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง ฉันเลย พูดกับสามีไปว่า “ฉันตั้งใจเลือกเส้นทางนี้แล้ว ในเมื่อคุณยืนกรานที่จะหย่า ฉันก็ตกลง”
เราไปดำเนินการที่สำนักงานกิจการพลเรือนวันนั้นเลย ตอนที่ฉันกำลังจะลงชื่อในเอกสาร พี่ชายกับพี่สะใภ้ก็โผล่เข้ามาขัด ลากฉันไปที่รถโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะพาฉันไปที่บริษัทของพวกเขา พ่อของฉันรออยู่ที่นั่นแล้ว พอเห็นฉัน ท่านก็ยกมือขึ้นมาทันที ลูกน้องที่นั่นรีบปรี่เข้ามาห้าม ท่านตะคอกฉันด้วยความโกรธว่า “ฉันนึกว่ารัฐบาลสนับสนุนความเชือของแก ฉันไม่รู้เลยว่าแกอาจโดนจับ และครอบครัวจะติดร่างแหด้วย แกเชื่อในพระเจ้าองค์นี้ไม่ได้แล้ว ถ้าเชื่อ ฉันจะตัดพ่อตัดลูกกับแก” พอเห็นว่าพ่อโกรธขนาดไหน ฉันก็พูดว่า “พ่อ พระเจ้าทรงสร้างเรามา และทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง มนุษย์ควรเชื่อและนมัสการพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า พวกเขาเลยต่อต้านพระองค์อย่างบ้าคลั่ง และถูกพระองค์ลงโทษไปแล้ว ทำไมภัยพิบัติในจีนถึงเลวร้ายนัก? ก็เพราะพรรคต่อต้านพระเจ้าและข่มเหงผู้เชื่อไง ถ้าไม่มีความเชื่อ ฉันยังเหลือความหวังได้ยังไง?” ฉันยังพูดไม่ทันจบ พี่ชายก็ถามขึ้นมาเสียงดังว่า “ถ้าความเชื่อของแกแปลว่าจะต้องเสียครอบครัวไป จะยังอยากเชื่ออยู่ไหม?” ฉันตอบอย่างหนักแน่นว่า “ความเชื่อของฉันไม่ผิดอะไร เขาอยากหย่าเอง หนูไม่ได้เป็นคนทิ้งครอบครัวไปเสียหน่อย” พี่ชายตะคอกด้วยความโกรธว่า “เพื่อนฉันที่ทำงานให้รัฐบาลบอกว่า ในเอกสารระบุไว้ว่า ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นเป้าหมายหลักในการปราบปราม เขาบอกให้เราจับตาดูแกไว้ และห้ามไม่ให้แกเชื่อ เราจะได้ไม่โดนร่างแหไปกับแกด้วย” ตอนพูด เขาคว้าไม้ไผ่มาหนึ่งท่อน และฟาดเข้าตาของฉัน พลางพูดว่า “ฉันจะสั่งสอนแก ที่ไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร!” การเห็นครอบครัวทำกับฉันแบบนั้น มันเจ็บปวดมากจริงๆ ฉันใช้แรงทั้งหมดดิ้นหลุดมาจากพวกเขา และหนีออกมา ตอนเดินกลับบ้าน ฉันได้แต่ร้องไห้ไปเรื่อยๆ ฉันรู้สึกสิ้นหวังและโดดเดี่ยวเหลือเกิน และไม่รู้จริงๆ ว่าจะอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไปอย่างไร ฉันอธิษฐานทั้งน้ำตาว่า “พระเจ้า ตอนนี้ทั้งครอบครัวข้าพระองค์ต่อต้าน ขัดขวาง และบอกว่าข้าฯ เชื่อไม่ได้ มันยากเหลือเกิน พระเจ้า โปรดทรงนำให้ข้าฯ เข้าใจน้ำพระทัย และรู้ว่าจะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปยังไงทีเถิด” หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่ พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญกับอุปสรรคมหาศาล และการทำพระวจนะมากมายของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าประการหนึ่งก็คือผู้คนได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (“พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะทำให้ฉันเข้าใจว่า ที่พระเจ้าทรงงานในยุดสุดท้าย ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงที่ทรงถูกต่อต้านที่สุด พวกเราที่ติดตามพระองค์ ต้องถูกกดขี่และปฏิเสธแน่นอน พระเจ้าทรงงานในทางนี้ เพื่อให้เรามองพญานาคใหญ่สีแดงและแก่นแท้ชั่วที่ต่อต้านพระเจ้าของมันให้ออก และไม่หลงเชื่อมันอีกต่อไป รวมถึงทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม เราจะได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพิงพระเจ้าผ่านความยากลำบาก แล้วเราก็จะได้ติดตามพระเจ้าไม่ถูกกำลังบังคับของซาตานเหนี่ยวรั้ง และมีความเชื่อแท้จริง แต่ฉันกลับรู้สึกว่าการมีความเื่อมันยากไป และค่อนข้างทุกข์ ฉันอยู่ในความคิดลบ และอยากหนีไปจากสถานการณ์นี้ ฉันขาดความเชื่อจริงๆ การเจอปัญหาพวกนั้น เป็นสิ่งที่ฉันต้องยอมรับจากพระเจ้า อธิษฐานและแสวงหาความจริง และยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พอเข้าใจน้ำพระทัยแล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกทุข์ใจอีกต่อไป ต่อมา ฉันได้รู้ว่าที่จริงสามีไม่ได้ต้องการจะหย่า แต่เขาคุยกับครอบครัวฉันเรื่องนี้ และพวกเขาก็คิดว่าจะใช้วิธีนั้นบังคับให้ฉันเลิกเชื่อได้
ไม่นานหลังจากนั้น สามีบอกว่าจะขับรถพาฉันไปซื้อของ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ขับขึ้นทางด่วน ตรงไปยังโรงพยาบาลจิตเวช เขาพาฉันไปที่ห้องตรวจ และบอกหมอว่า “เธอเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเผยแพร่ศาสนา คุณต้องขังเธอไว้ และกันเธอจากผู้เชื่อคนอื่น เหมือนกับล้างสารพิษ ไว้เธอเลิกเชื่อและจะไม่เผยแผ่ศาสนาแล้ว ก็ค่อยออกมา” ตอนได้ยินเขาพูดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกวาบไปทั้งตัว เขาให้ฉันไปอยู่กับผู้ป่วยจิตเวช เพื่อห้ามฉันไม่ให้เชื่อในพระเจ้า การถูกขังไว้ที่นั่นมันทำให้คนเป็นบ้าได้เลย! ฉันพูดกับหมอทันทีว่า “ฉันก็เป็นหมอเหมือนกัน ก่อนอื่นคุณต้องประเมินสุขภาพจิตฉันก่อน เพื่อยืนยันว่า ฉันควรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลไหม” แล้วฉันก็สรุปวิธีจัดการงานบ้านตลอดหลายปีที่ผ่านมา ให้หมอฟังอย่างเป็นระบบมากๆ พอฟังฉันพูดจบ หมอก็พูดกับสามีฉันว่า “เธอไม่ได้ป่วยทางจิต เราเอาตัวเธอไว้ไม่ได้ ถ้าคุณยืนกรานจะทิ้งเธอไว้ที่นี่ เราก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของเธอ” สามีฉันยืนกรานว่าจะให้หมอเอาตัวฉันไว้ ฉันพูดว่า “ถ้าคุณดึงดันจะขังฉันไว้ ฉันจะฆ่าตัวตายที่นี่แหละ” หมอไม่กล้ารับตัวฉันไว้เพราะกลัวต้องรับผิดชอบ หลังจากนั้น เขาทำอะไรไม่ได้เลยพาฉันกลับบ้าน
ฉันได้เห็นชัดเจนจากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ว่าสามีอ้างว่าทำเพื่อฉัน แต่มันปลอม เขาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ทำร้ายและหมิ่นเกียรติฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกับอยากพาฉันไปอยู่โรงพยาบาล เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อกีดกันฉันจากความเชื่อ เขาร่วมมือกับพรรคต่อต้านพระเจ้า พิสูจน์ว่าเขาก็รักปีศาจ เทิดทูนอำนาจ และเกลียดความจริง พระวจนะกล่าวว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” (“พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) เราอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน ฉันผิดหวังในตัวเขาโดยสิ้นเชิง และไม่ได้หย่า เพียงเพราะเห็นแก่ลูก หลังกลับจากโรงพยาบาลจิตเวช เขาก็พยายามหาเรื่องหรือข่มขู่ฉัน และยืนกรานจะให้ฉันเลิกเชื่อ ยิ่งตอนที่ใกล้ถึงงานโอลิมปิค รัฐบาลยิ่งมุ่งเน้นจับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาถูกลงโทษอย่างรุนแรง และไม่ได้รับการประกันตัวคนสัก สามียิ่งจับตาดูฉัน และตามติดฉันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เขาขังฉันไว้ในบ้านถึงสิบเอ็ดวัน ฉันไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่ได้ มันต้องออกไปเชื่อและทำหน้าที่ แต่ฉันก็ทนแยกจากลูกสาวไม่ได้จริงๆ ถ้าฉันทิ้งบ้านไป สำหรับลูกสาวฉันมันคงยากมาก! ถ้าฉันไม่ได้อยู่เคียงข้างและไม่มีใครดูแลลูก แล้วแกกลายเป็นคนไม่ดีขึ้นมาล่ะ? พอคิดขึ้นมา ฉันก็น้ำตาไหลแบบกลั้นไม่อยู่ พอถึงจุดที่ทุกข์ใจจริงๆ ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!” (“ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พออ่านจบ ฉันก็นึกย้อนไปถึงหลายปีที่เชื่อมา ซาตานใช้ญาติพี่น้องมากดขี่และก่อกวน เพื่อให้ฉันทิ้งและทรยศพระเจ้าเสมอ ฉันเคยได้อยู่กับครอบครัว แต่มันไม่มีความสุข แถมสามีก็ไม่ยอมให้อ่านพระวจนะ แบ่งปันข่าวประเสริฐ และทำหน้าที่ การใช้ชีวิตแบบนั้นมันเจ็บปวดมาก พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ฉันเกิดในยุคสุดท้าย และยอมรับข่าวประเสริฐของพระองค์ ฉันจะได้ไล่ตามความจริง ได้รับความรอดของพระเจ้า และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันควรไล่ตาม ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้ หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?” (“การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) จริงด้วย ทุกคนที่มายังโลกใบนี้ พระเจ้าทรงกำหนดไว้นานแล้ว ว่าเราจะเดินทางไหน และทนทุกข์เท่าไหร่ ไม่มีใครช่วยใครได้ ฉันให้กำเนิดลูกสาว แต่ชีวิตของลูกอยู่ในพระหัตถ์ พระเจ้าทรงตัดสินนานแล้วว่า แกจะทนทุกข์ และจะได้รับพระพรแค่ไหน ต่อให้ฉันคอยอยู่เคียงข้าง ฉันก็ไม่อาจแบกรับความทุกข์แทนลูกได้ ฉันควบคุมชะตากรรมของตัวเองไมไ่ด้ด้วยซ้ำ แล้วจะคุมชะตากรรมของลูกได้ยังไง? ฉันแค่ต้องไว้ใจพระเจ้าเรื่องลูกา และนบนอบต่อกฎของพระองค์ วันหนึ่ง ฉันแอบหนีออกจากบ้านมาตอนที่สามีหลับ
แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ ที่พอฉันออกมาได้แค่สองสัปดาห์ ผู้นำก็บอกฉันว่า สามีมาสร้างปัญหาให้พี่น้องชายหญิงทุกวัน และบอกว่าถ้าฉันไม่กลับไป เขาจะรายงานเรื่องนี้ต่อตำรวจ ฉันจำต้องกลับบ้าน พวกเขาจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนั้น สามีคอยจับตาดูฉันอย่างใกล้ชิด เขาขังฉันไว้ในบ้าน และคอยอยู่ห่างฉันไม่กี่นิ้ว เขาล็อคประตูจากด้านนอก และเอากุญแจไปซ่อนด้วย เขาจะตามไปจับตาดูฉัน แม้แต่ตอนทำอาหารหรือเข้าห้องน้ำ เขาเปิดทีวีไว้ทั้งวันทั้งคืน และบังคับให้ฉันดูข่าว และหนังรักชาติกับเขาทุกวัน และบอกว่า เขาอยากล้างสมองฉัน สามีฉันบอกว่า พี่ชายฉันบอกเขาว่า ไม่ให้เปิดช่องให้ฉันอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะ เขาต้องคอยป้อนสิ่งที่อยู่ในทีวีให้ฉัน ฉันจะได้ไม่มีโอกาสคิดเรื่องศาสนา และนั่นคือวิธีที่ทำให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ เขาบอกด้วยว่า เขาไปล่อยให้ฉันอยู่สงบสุขไม่ได้ เพราะพอฉันอธิษฐาน พระเจ้าก็จะมอบทางออกให้ฉัน แล้วฉันก็จะออกไปชุมนุม และเผยแผ่ศาสนาอีก ฉันพูดเขาด้วยความโกรธว่า “ฉันมีเสรีภาพในความเชื่อ ทำไมคุณติดตามพรรค กดขี่ฉัน และพรากเสรีภาพส่วนตัวของฉันไปล่ะ? คุณได้ชื่นชมพระคุณมากมายของพรพราะความเชื่อของฉัน แถมยังได้เห็นกิจการของพระเจ้า ตอนนั้นคุณมาขวางทางและกดขี่ฉัน มันไม่ใช่แค่กดขี่ฉัน แต่เป็นการต่อต้านพระเจ้า!” ฉันแปลกใจมากที่เขาตะคอกกลับว่า “ผมจะต่อต้านพระเจ้า ให้พระองค์มาลงโทษผมเลย!” ฉันตกใจมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น เขาพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง? เขาเสียทุกเหตุผลไปหมดแล้ว และจากนั้น เขาก็ขังฉันไว้อีกราวหนึ่งสัปดาห์ จนออกจากบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันอ่านพระวจนะ ออกไปชุมนุม หรือทำหน้าที่ไม่ได้เลย ฉันใช้ชีวิตในความทุกข์ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตอนนั้นฉันเจ็บปวดจริงๆ และคิดว่า ทุกคนล้วนทำหน้าที่ แต่ฉันกลับถูกสามีขังไว้ และอธิษฐานถึงพระเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ขืนเป็นต่อไป ฉันจะไม่ยิ่งห่างออกจากพระเจ้าหรือ? ทุกคนในครอบครัวเข้าข้างสามีฉัน กดขี่ฉัน และฉันแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ฉันรู้สึกแย่กับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงรู้สึกเหงาและสิ้นหวัง
ค่ำวันหนึ่ง ตอนที่สามีฉันหลับ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ บอกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ถูกสามีขังอยู่ที่บ้าน และอ่านพระวจนะไม่ได้ ข้าฯ รู้สึกอ่อนแอจริงๆ พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าฯ ช่างน้อยนัก โปรดประทานความเชื่อและความเข้มแข็งให้ข้าฯ ที” หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น ‘ผู้มีชัย’ คือบรรดาผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นพยาน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจและการอุทิศตนของพวกเขาต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกล้อมโดยซาตาน นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกำลังบังคับแห่งความมืด หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักที่จริงแท้ของเจ้าต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าอ้างอิงว่าเป็นดัง ‘ผู้มีชัย’” (“เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะทำให้ฉันเห็นว่า ในยุคสุดท้าย พระองค์ต้องการสร้างกลุ่มผู้ชนะให้เสร็จสิ้น และพวกเขาจะได้ไม่ถูกกองกำลังมืดกดขี่ ภายใต้การโจมตีและข่มเหงของซาตาน แต่จะยังคงมีความเชื่อและอุทิศตนเพื่อพระเจ้าได้ พอเข้าใจถึงข้อพึงประสงค์แล้ว ฉันก็ไม่ทุกข์ใจเหมือนเดิม ฉันพร้อมนบนอบ และเรียนรู้บทเรียน ไม่ว่าสามีจะปิดกั้นและกดขี่ฉันยังไง ฉันก็จะตั้งมั่นและทำให้พระเจ้าพอพระทัย ต่อมา เวลาที่สามีของฉันหลับไปแล้ว ฉันก็จะนึกถึงพระวจนะ อธิษฐานอย่างเงียบๆ หรือร้องบทเพลงสรรเสริญกับตัวเอง ฉันก็เกิดปิติยินดีขึ้นมาบ้าง ในวันที่สิบเก้าของการโดนขังที่บ้าน ตอนที่สามีทะเลาะกับฉัน เขาก็เกิดปวดหัวปวดท้องฃและปวดหลังขึ้นมา ยิ่งเขาโกรธเขาก็จะยิ่งปวด จนถึงจุดที่ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาเลยไม่กล้าทะเลาะกับฉันอีก จากนั้นเขาก็พูดอย่างหมดท่าว่า “ผมทนไม่ไหวแล้ว! ผมขังคุณมาตั้งนาน แต่คุณกลับมีเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผมเองที่ต้องมาเป็นป้าอย่างนี้” วันรุ่งขึ้น เขาขังฉันไว้ในบ้านและออกไปทำงาน แต่ฉัน ก็ดันหากุญแจจนเจอ และรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ที่ทำให้ฉันได้เข้าชุมนุมเสียที พระเจ้าทรงเปิดทางให้จริงๆ
จากนั้น สามีก็ไม่ได้จับตาดูฉันอย่างเข้มงวดเหมือนเคย เวลาที่เขาเกิดโมโหขึ้นมามากๆ เขาก็จะป่วย และเขาก็จะเจ็บคอมาก วันหนึ่งในเดือนมีนาคมปี 2012 เขาบอกฉันว่า “หลายปีมานี้ ผมอยากให้คุณเลือกระหว่างครอบครัวกับความเชื่อ คุณไม่ล้มเลิกความเชื่อเลย วันนี้เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ ข้างหน้าคุณอยู่สองเส้นทาง ถ้าคุณอยู่บ้านนี้ คุณติดตามพระเจ้าไม่ได้ และถ้าติดตามพระเจ้า คุณก็อย่ากลับมาที่นี่อีก” ฉันพูดกับเขาอย่างหนักแน่นว่า “ฉันเลือกเส้นทางในการติดตามพระเจ้าแล้ว ฉันจะไม่หันกลับมาอีก” แล้วฉันก็เก็บกระเป๋าออกจากบ้านมา ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!