บทที่ 38

เมื่อพิจารณาลักษณะเฉพาะที่มีมาแต่กำเนิดของมวลมนุษย์ นั่นคือ ใบหน้าที่แท้จริงของมวลมนุษย์แล้ว การสามารถดำเนินการต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างแท้จริง และโดยผ่านทางการนี้เท่านั้นที่มหาฤทธานุภาพของพระเจ้าได้กลายเป็นเด่นชัดอย่างแท้จริง  เมื่อพิจารณาธาตุแท้ของเนื้อหนัง ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์ได้ถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำให้เสื่อมทรามมาจนกระทั่งบัดนี้แล้ว เขาจะได้สามารถยืนหยัดต่อมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร หากไม่เป็นเพราะการทรงนำของพระวิญญาณของพระเจ้า?  มนุษย์ไม่ควรค่าที่จะมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า แต่เพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และเพื่อที่จะนำพาพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไปสู่การบังเกิดผลในเวลาไม่นานเกินไป พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์  กล่าวตามจริงแล้ว ความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์เป็นบางสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีวันสามารถชดใช้คืนได้ภายในชั่วชีวิตของเขา  บางทีอาจมีบางคนซึ่งปรารถนาที่จะชดใช้คืนพระคุณของพระเจ้าด้วยการพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา แต่เราบอกเจ้าว่า มนุษย์ไม่ควรค่าที่จะตายเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และดังนั้นความตายของเขาก็ย่อมจะสูญเปล่า  นี่เป็นเพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ความตายของมนุษย์ไม่แม้แต่จะควรค่าที่จะเอ่ยถึง ไม่คุ้มค่ากับสตางค์เดียว เหมือนกับความตายของมดตัวหนึ่งบนพื้นดิน  เราให้คำแนะนำแก่พวกมนุษย์ไม่ให้วางมูลค่าสูงเกินไปให้กับตัวพวกเขาเอง และไม่ให้คิดว่าการตายเพื่อพระเจ้ามีน้ำหนักมากยิ่ง เหมือนน้ำหนักของเขาไท่ซาน  อันที่จริงแล้ว ความตายของมนุษย์เพียงแค่เบาราวกับขนนก ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึง  แต่ก็อีกนั่นแหละ เนื้อหนังของมนุษย์ถูกชี้ชะตาให้ตายโดยธรรมชาติ และดังนั้น ในท้ายที่สุดร่างกายทางกายภาพจึงต้องมาถึงบทอวสานบนแผ่นดินโลก  นี่คือข้อเท็จจริงที่แท้จริง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้  นี่คือ “กฎธรรมชาติ” ซึ่งเราได้หามาจากประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ทั้งสิ้น และดังนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงนิยามบทอวสานของมนุษย์ในหนทางนี้โดยที่ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงมัน  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าตรัสว่า “เรารังเกียจการไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์  เราไม่รู้ว่าเหตุใด มันดูราวกับว่าเราได้เกลียดชังมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว และถึงกระนั้นเราก็รู้สึกเห็นใจเขาอย่างลึกซึ้ง  ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงได้มีสองท่าทีต่อเราเสมอ—เนื่องจากเรารักมนุษย์ และเราก็เกลียดชังเขาด้วยเช่นกัน”

ผู้ใดไม่สรรเสริญพระเจ้าสำหรับการสถิตของพระองค์หรือการทรงปรากฏของพระองค์?  ณ เวลานี้ มันเป็นราวกับว่าเราได้ลืมความไม่บริสุทธิ์และความไม่ชอบธรรมภายในมนุษย์อย่างหมดสิ้น  เราพบเจอความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ความคิดว่าตนเองสำคัญ การไม่เชื่อฟัง การท้าทาย และความเป็นกบฏทั้งหมดของมวลมนุษย์ และผลักทั้งหมดนั้นเข้า สู่เบื้องลึกของจิตใจของเรา และลืมมันไป  พระเจ้าไม่ทรงถูกจำกัดควบคุมเพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกี่ยวกับสิ่งที่มวลมนุษย์เป็น  ในเมื่อเรา “ร่วมรับความทุกข์เดียวกัน” กับพระเจ้า เราก็ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความยากลำบากนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้เราถูกมนุษย์จำกัดควบคุมต่อไป  เหตุใดจึงต้องยุ่งยากขนาดนี้?  ในเมื่อมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมครอบครัวของพระเจ้ากับเรา เราจะสามารถใช้พลังอำนาจของเราเพื่อบังคับพวกเขาได้อย่างไร?  เราไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการบีบบังคับต่อมนุษย์ และไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเราเกิดมาในครอบครัวของพระเจ้า และดังนั้นจึงแน่นอนว่ามนุษย์กับเราแตกต่างกันเสมอ  นี่ได้นำทางไปสู่สภาวะแห่งความพ่ายแพ้อันน่าสังเวชใจที่เขาพบตัวเขาเองอยู่ในนั้นในวันนี้  แต่เราเว้นระยะห่างกว้างมากจากความอ่อนแอของมนุษย์ต่อไป เรามีทางเลือกอันใดหรือ?  นี่ไม่ใช่เพราะเราไร้พลังอำนาจหรือ?  ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าทรงพยายามที่จะ “เกษียณ” จาก “หน่วยงาน” ของมวลมนุษย์ และที่มากกว่านั้น เรียกร้อง “บำนาญ”  เมื่อเราพูดจากมุมมองของมนุษย์ มนุษย์ไม่ฟัง แต่มนุษย์ได้เคยหยุดไม่เชื่อฟังแม้ในเวลาที่เราพูดจากมุมมองของพระเจ้าหรือไม่?  บางทีวันนั้นอาจจะมาเมื่อพระเจ้าทรง “เกษียณ” จาก “หน่วยงาน” ของมวลมนุษย์โดยฉับพลัน และเมื่อเวลานั้นมาถึง พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นดุดันยิ่งขึ้นไปอีก  วันนี้มันอาจเป็นเพราะเรานั่นเองที่พระเจ้าตรัสในหนทางนี้ และหากวันนั้นมาถึง พระเจ้าจะไม่ทรงเป็นเหมือนกับเรา โดย “เล่านิทานให้เด็กอนุบาลฟัง” อย่างสุภาพและอย่างทรหดอดทน  บางทีสิ่งที่เราพูดอาจไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่พระเจ้าก็เต็มพระทัยที่จะคลายการถือครองของพระองค์ต่อมนุษย์เล็กน้อยเพียงเพราะพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น มิฉะนั้น ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ก็คงจะน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าที่จะใคร่ครวญ  ดังที่พระเจ้าได้ตรัสอย่างไม่มีผิดว่า “ครั้งหนึ่งเราได้คลายการยึดเกาะของเรากับผู้คนในระดับหนึ่ง เปิดโอกาสให้พวกเขาปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับความอยากได้อยากมีฝ่ายเนื้อหนังของพวกเขาโดยอิสระ—และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้กล้าที่จะประพฤติตัวในลักษณะที่ไร้การควบคุม ปราศจากการหักห้ามใจใดๆ ซึ่งจากการนั้นสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาไม่รักเราอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดกำลังดำรงชีวิตในเนื้อหนัง”  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่า “ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับความอยากได้อยากมีของพวกเขา” และ “กำลังดำรงชีวิตในเนื้อหนัง” ตรงนี้?  กล่าวตามจริงแล้ว มนุษย์จะเข้าใจพระวจนะเช่นพระวจนะเหล่านี้โดยธรรมชาติโดยปราศจากการตีความของเรา  บางทีอาจมีบางคนที่จะพูดว่าพวกเขาไม่เข้าใจ และเราพูดว่านี่เป็นกรณีของการถามเมื่อคนเรารู้คำตอบอยู่แล้ว เป็นกรณีของการแสดงละครตบตา  ขอเตือนความจำสักสองสามคำว่า เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งหมดที่เราขอต่อมนุษย์คือให้เขาร่วมมือกับเรา”?  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสอีกด้วยว่าธรรมชาติของมนุษย์ลำบากยากเย็นที่จะเปลี่ยนแปลง?  เหตุใดพระเจ้าทรงรังเกียจธรรมชาติของมนุษย์?  และสิ่งใดกันแน่เป็นสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติของมนุษย์?  สิ่งใดคือสิ่งทั้งหลายนอกธรรมชาติของมนุษย์?  มีผู้ใดบ้างไหมที่ได้ใคร่ครวญคำถามเหล่านี้?  บางทีนี่อาจเป็นหัวข้อใหม่สำหรับมนุษย์ ถึงกระนั้นเราก็ยังคงขอร้องให้มนุษย์ให้การพิจารณาที่ถูกต้องเหมาะสมกับมัน มิฉะนั้นมนุษย์จะทำให้พระเจ้าขุ่นเคืองเสมอ ด้วยวลีเช่น “ธรรมชาติของมนุษย์ลำบากยากเย็นที่จะเปลี่ยนแปลง”  มันจะเป็นการดีอันใดที่จะขัดแย้งกับพระองค์ในหนทางนั้น?  ในที่สุดแล้ว มันไม่เป็นเพียงแค่การหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรือ?  มันจะไม่มาถึงบทอวสานเดียวกันกับไข่ที่ถูกขว้างใส่ก้อนหินหรือ?

ในความจริงแล้ว การทดสอบและการทดลองทั้งหมดที่มนุษย์ต้องอยู่ภายใต้นั้นเป็นบทเรียนที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์เรียนรู้  โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้ ต่อให้เขาต้องพลีอุทิศสิ่งซึ่งเขารัก แต่เพราะมนุษย์รักตัวเขาเองเสมอ เขาจึงล้มเหลวที่จะร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริง  พระเจ้าไม่ทรงขอมากมายต่อมนุษย์  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงขอต่อมนุษย์นั้นหมายใจให้ถูกสัมฤทธิ์ผลอย่างง่ายดายและมีความสุข มันเป็นเพียงว่ามนุษย์ไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก  เช่นเดียวกันกับที่คนเราสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงได้โดยการดำรงชีวิตอย่างไม่ฟุ้งเฟ้อและการออมไว้เพื่อดูแลจัดการกับบิดามารดาของพวกเขาเพราะเป็นบุตรของใครบางคน  ถึงกระนั้นพวกเขาก็เกรงกลัวว่าพวกเขาอาจไม่กินดีพอ หรือว่าเสื้อผ้าของพวกเขาเองจะเรียบเกินไป ดังนั้นด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง หนี้ที่พวกเขาติดค้างต่อบิดามารดาของพวกเขาสำหรับการห่วงใยใส่ใจด้วยความรักของพวกเขาถูกลืมไปจนหมดสิ้น ราวกับว่างานแห่งการห่วงใยใส่ใจพวกเขาสามารถรอได้จนกระทั่งเด็กได้ร่ำรวยแล้ว  เรามองเห็นในการนี้ว่าพวกมนุษย์ไม่มีความรักฉันบุตรต่อบิดามารดาของพวกเขาในหัวใจของพวกเขา—พวกเขาทั้งหมดเป็นบุตรที่ไร้ความรักฉันบุตร  บางทีคำแถลงของเราสุดขั้วเกินไป แต่เราก็ไม่สามารถพูดสิ่งโง่เขลาต่อหน้าข้อเท็จจริงได้  เราไม่สามารถ “เลียนแบบผู้อื่น” ในการต่อต้านพระเจ้าเพื่อประโยชน์แห่งการทำให้ตัวเราเองพึงพอใจ  มันเป็นเพราะไม่มีผู้ใดบนแผ่นดินโลกมีหัวใจฉันบุตรอย่างไม่ผิดเพี้ยนนั่นเองที่พระเจ้าได้ตรัสว่า “ในฟ้าสวรรค์ ซาตานคือศัตรูของเรา บนแผ่นดินโลก มนุษย์เป็นอริของเรา  เพราะการอยู่ร่วมกันระหว่างฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลก เราจึงถือว่าพวกเขาทั้งหมดมีความผิดจนถึงเก้าชั่วโคตร”  ซาตานคือศัตรูของพระเจ้า เหตุผลที่พระเจ้าตรัสเช่นนี้ก็เพราะมันไม่ได้ชดใช้คืนแก่พระเจ้าสำหรับความโปรดปรานและความใจดีมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่กลับ “พายสวนกระแส” และในการทำเช่นนั้น ไม่ทำหน้าที่ของมันให้ลุล่วง เพื่อแสดงให้เห็นการอุทิศฉันบุตรต่อพระเจ้าเสียมากกว่า  ผู้คนไม่เป็นเหมือนเช่นนี้ด้วยเช่นกันหรือ?  พวกเขาไม่แสดงความเคารพฉันบุตรต่อ “บิดามารดา” ของพวกเขา และไม่มีวันชดใช้คืนหนี้ที่พวกเขาติดค้าง “บิดามารดา” ของพวกเขาสำหรับการห่วงใยใส่ใจด้วยความรักของพวกเขา  นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนบนแผ่นดินโลกเป็นญาติของซาตานในฟ้าสวรรค์  มนุษย์กับซาตานมีหัวใจและจิตใจหนึ่งเดียวกันในการต่อต้านพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าจะทรงพาดพิงถึงพวกเขาไปจนถึงระดับที่เก้าของความเป็นญาติและจะไม่ทรงอภัยโทษแก่ผู้ใด  ในอดีต พระเจ้าได้ทรงให้คนรับใช้หมอบกราบของพระองค์ในฟ้าสวรรค์บริหารจัดการมวลมนุษย์ แต่มันไม่ได้เชื่อฟัง แต่กลับปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับอารมณ์และการกบฏของตัวมันเองแทน  พวกมนุษย์ที่เป็นกบฏไม่ก้าวยาวไปข้างหน้าตามเส้นทางนี้ด้วยเช่นกันหรือ?  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงกระชับ “สายบังเหียน” ให้แน่นขึ้นมากเพียงใด ผู้คนก็ไม่หวั่นไหวและไม่สามารถหันเหออกจากครรลองของพวกเขาได้จริงๆ  ในทรรศนะของเรา หากพวกมนุษย์ดำเนินต่อไปในหนทางนี้ พวกเขาก็จะเป็นเหตุให้เกิดความย่อยยับของพวกเขาเอง  บางทีตอนนี้เจ้าอาจเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ผู้คนไม่สามารถตัดสายสัมพันธ์ที่อ้อยอิ่งของพวกเขากับธรรมชาติเก่าของพวกเขาได้”  พระเจ้าได้ทรงเตือนความจำมนุษย์ในหลายโอกาสว่า “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ เราจึงทิ้งเขาไป”  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า?  พระเจ้าจะทรงสามารถไร้หัวใจเหลือเกินจริงๆ หรือ?  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสอีกด้วยว่า “เราไม่ใช่หนึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์”?  ในช่วงวันว่างมากมายเหลือเกินนั้น มีผู้ใดบ้างที่ได้ให้ความคิดอย่างรอบคอบระมัดระวังต่อประเด็นที่มีรายละเอียดเหล่านี้?  เรารบเร้ามวลมนุษย์ให้ทำงานหนักด้วยความกร้าวแกร่งมากยิ่งขึ้นกับพระวจนะของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านั้นอย่างขอไปที การทำเช่นนั้นย่อมจะไม่นำประโยชน์มาให้เจ้า หรือคนอื่นๆ  มันเป็นการดีที่สุดที่จะไม่พูดสิ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องพูด และไม่คิดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญ  การนี้จะไม่เรียบง่ายขึ้นหรือ?  ความผิดอันใดสามารถมาจากการฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้หรือ?  ก่อนที่พระเจ้าทรงกล่าวประกาศบทอวสานของพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก จะไม่มีผู้ใดหยุด “ขับเคลื่อน” จะไม่มีผู้ใดล้างมือของพวกเขาจากหน้าที่ของพวกเขา  ตอนนี้ไม่ใช่เวลา จงอย่าบังอาจกระทำการในฐานะผู้นำทางสำหรับพระเจ้า หรือทัพหน้า  เราคิดว่ามันเร็วเกินไปที่จะหยุดเสียตอนนี้และยุติการขับเคลื่อนไปข้างหน้า—เจ้าคิดอย่างไรหรือ?

พระเจ้าทรงนำพวกมนุษย์เข้าสู่ท่ามกลางการตีสอน และพระองค์ทรงนำพวกเขาเข้าสู่บรรยากาศแห่งความตาย ถึงกระนั้น ในทางกลับกัน พระเจ้าจะทรงให้มนุษย์ทำสิ่งใดบนแผ่นดินโลก?  แน่นอนว่าจุดประสงค์ของมนุษย์ไม่ใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นตู้เสื้อผ้าในพระนิเวศของพระเจ้า—เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถกินหรือสวมใส่ได้ แต่มีไว้ชมดูเท่านั้น  หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงต้องนำกระบวนการที่ซับซ้อนมากมายมาใช้เพื่อทำให้ผู้คนทนทุกข์มากมายเหลือเกินในเนื้อหนัง?  พระเจ้าตรัสว่า “เราไปกับมนุษย์ยังที่ ‘ลานประหาร’ เนื่องจากการฝ่าฝืนของมนุษย์ก็เพียงพอที่จะได้รับการตีสอนของเรา”  พระเจ้าทรงปล่อยให้ผู้คนเดินไปที่ลานประหารด้วยตัวพวกเขาเอง ณ เวลานี้ไหม?  เหตุใดจึงไม่มีผู้ใด “ขอความปรานีของพวกเขา”?  ดังนั้น มนุษย์ควรร่วมมืออย่างไร?  มนุษย์สามารถกระทำการเช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงกระทำการได้อย่างแท้จริงหรือ เมื่อพระองค์ทรงทำการพิพากษาของพระองค์ โดยปราศจากอิทธิพลของภาวะอารมณ์?  โดยหลักแล้ว ประสิทธิผลของพระวจนะเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์กระทำการอย่างไร  เมื่อบิดานำเงินที่เขาได้หามากลับบ้าน หากมารดาไม่รู้วิธีที่จะร่วมมือกับเขาหรือวิธีที่จะบริหารจัดการครอบครัว เช่นนั้นแล้ว บ้านจะอยู่ในสภาวะใด?  จงมองดูสภาวะของคริสตจักรในขณะนี้ นั่นคือในฐานะผู้นำ พวกเจ้ารู้สึกสิ่งใดเกี่ยวกับมัน?  พวกเจ้าควรจะจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการไตร่ตรองรายบุคคลของพวกเจ้าก็น่าจะดีกว่า  หากสิ่งต่างๆ ที่บ้านได้ถูกมารดาทำให้เสียไปแล้วไซร้ พวกเด็กในครอบครัวเช่นนี้ก็จะดูเหมือนสิ่งใด?  เหมือนพวกเด็กกำพร้า?  หรือพวกขอทาน?  ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าได้ตรัสว่า “ผู้คนทั้งหมดคิดว่าธรรมชาติของเราเป็นธรรมชาติจากพระเจ้าที่ขาดพร่อง ‘คุณภาพแห่งสติปัญญา’ แต่ผู้ใดสามารถจับความเข้าใจได้ว่าเราสามารถมองเห็นผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราได้?”  สำหรับสถานการณ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องให้พระเจ้าตรัสจากเทวสภาพของพระองค์  ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ค้อนปอนด์เพื่อตอกตะปู”  บางที ณ เวลานี้อาจมีพวกที่ได้ผ่านประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงกับคติพจน์ของพระเจ้าที่ว่า “ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา”  ณ จุดนี้ มันเป็นดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ไม่มีผิดว่า “เป็นเพราะพวกเขาได้มาถึงสภาวการณ์ปัจจุบันแล้วเท่านั้นนั่นเองที่ผู้คนทั้งหมดก้มศีรษะของพวกเขาอย่างไม่เต็มใจ—แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขายังคงไม่ปักใจเชื่อ”  พระวจนะเหล่านี้เป็นเหมือนกล้องโทรทรรศน์  ในอนาคตที่ไม่ไกลเกินไป มนุษย์จะได้เดินเข้าสู่อีกหนึ่งสถานการณ์  การนี้เรียกว่าความไม่สามารถแก้ไขได้  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามสองข้อนี้ของพระเจ้าคือ “ผู้คนไม่ละเว้นจากความบาปเพียงเพราะพวกเขาเกรงกลัวว่าเราจะจากไปหรือ?  มันไม่แท้จริงหรือที่พวกเขาไม่ร้องทุกข์เพียงเพราะพวกเขาเกรงกลัวการตีสอน?”  โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนทั้งหมดในช่วงระยะปัจจุบันค่อนข้างย่อหย่อน ราวกับได้ปราชัยต่อความเมื่อยล้า  พวกเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจพระราชกิจของพระเจ้าเลย แต่กังวลสนใจกับการทำการจัดการเตรียมการและการจัดเตรียมเพื่อประโยชน์แห่งเนื้อหนังของพวกเขาเองเท่านั้น  นี่ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?

ก่อนหน้า: บทที่ 36

ถัดไป: บทที่ 39

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger