บทที่ 38
เมื่อพิจารณาลักษณะเฉพาะที่มีมาแต่กำเนิดของมวลมนุษย์ นั่นคือ ใบหน้าที่แท้จริงของมวลมนุษย์แล้ว การสามารถดำเนินการต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างแท้จริง และโดยผ่านทางการนี้เท่านั้นที่มหาฤทธานุภาพของพระเจ้าได้กลายเป็นเด่นชัดอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาธาตุแท้ของเนื้อหนัง ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์ได้ถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำให้เสื่อมทรามมาจนกระทั่งบัดนี้แล้ว เขาจะได้สามารถยืนหยัดต่อมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร หากไม่เป็นเพราะการทรงนำของพระวิญญาณของพระเจ้า? มนุษย์ไม่ควรค่าที่จะมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า แต่เพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และเพื่อที่จะนำพาพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไปสู่การบังเกิดผลในเวลาไม่นานเกินไป พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ กล่าวตามจริงแล้ว ความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์เป็นบางสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีวันสามารถชดใช้คืนได้ภายในชั่วชีวิตของเขา บางทีอาจมีบางคนซึ่งปรารถนาที่จะชดใช้คืนพระคุณของพระเจ้าด้วยการพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา แต่เราบอกเจ้าว่า มนุษย์ไม่ควรค่าที่จะตายเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และดังนั้นความตายของเขาก็ย่อมจะสูญเปล่า นี่เป็นเพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ความตายของมนุษย์ไม่แม้แต่จะควรค่าที่จะเอ่ยถึง ไม่คุ้มค่ากับสตางค์เดียว เหมือนกับความตายของมดตัวหนึ่งบนพื้นดิน เราให้คำแนะนำแก่พวกมนุษย์ไม่ให้วางมูลค่าสูงเกินไปให้กับตัวพวกเขาเอง และไม่ให้คิดว่าการตายเพื่อพระเจ้ามีน้ำหนักมากยิ่ง เหมือนน้ำหนักของเขาไท่ซาน อันที่จริงแล้ว ความตายของมนุษย์เพียงแค่เบาราวกับขนนก ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึง แต่ก็อีกนั่นแหละ เนื้อหนังของมนุษย์ถูกชี้ชะตาให้ตายโดยธรรมชาติ และดังนั้น ในท้ายที่สุดร่างกายทางกายภาพจึงต้องมาถึงบทอวสานบนแผ่นดินโลก นี่คือข้อเท็จจริงที่แท้จริง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้ นี่คือ “กฎธรรมชาติ” ซึ่งเราได้หามาจากประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ทั้งสิ้น และดังนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงนิยามบทอวสานของมนุษย์ในหนทางนี้โดยที่ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงมัน เจ้าเข้าใจหรือไม่? ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าตรัสว่า “เรารังเกียจการไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์ เราไม่รู้ว่าเหตุใด มันดูราวกับว่าเราได้เกลียดชังมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว และถึงกระนั้นเราก็รู้สึกเห็นใจเขาอย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงได้มีสองท่าทีต่อเราเสมอ—เนื่องจากเรารักมนุษย์ และเราก็เกลียดชังเขาด้วยเช่นกัน”
ผู้ใดไม่สรรเสริญพระเจ้าสำหรับการสถิตของพระองค์หรือการทรงปรากฏของพระองค์? ณ เวลานี้ มันเป็นราวกับว่าเราได้ลืมความไม่บริสุทธิ์และความไม่ชอบธรรมภายในมนุษย์อย่างหมดสิ้น เราพบเจอความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ความคิดว่าตนเองสำคัญ การไม่เชื่อฟัง การท้าทาย และความเป็นกบฏทั้งหมดของมวลมนุษย์ และผลักทั้งหมดนั้นเข้า สู่เบื้องลึกของจิตใจของเรา และลืมมันไป พระเจ้าไม่ทรงถูกจำกัดควบคุมเพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกี่ยวกับสิ่งที่มวลมนุษย์เป็น ในเมื่อเรา “ร่วมรับความทุกข์เดียวกัน” กับพระเจ้า เราก็ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความยากลำบากนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้เราถูกมนุษย์จำกัดควบคุมต่อไป เหตุใดจึงต้องยุ่งยากขนาดนี้? ในเมื่อมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมครอบครัวของพระเจ้ากับเรา เราจะสามารถใช้พลังอำนาจของเราเพื่อบังคับพวกเขาได้อย่างไร? เราไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการบีบบังคับต่อมนุษย์ และไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเราเกิดมาในครอบครัวของพระเจ้า และดังนั้นจึงแน่นอนว่ามนุษย์กับเราแตกต่างกันเสมอ นี่ได้นำทางไปสู่สภาวะแห่งความพ่ายแพ้อันน่าสังเวชใจที่เขาพบตัวเขาเองอยู่ในนั้นในวันนี้ แต่เราเว้นระยะห่างกว้างมากจากความอ่อนแอของมนุษย์ต่อไป เรามีทางเลือกอันใดหรือ? นี่ไม่ใช่เพราะเราไร้พลังอำนาจหรือ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าทรงพยายามที่จะ “เกษียณ” จาก “หน่วยงาน” ของมวลมนุษย์ และที่มากกว่านั้น เรียกร้อง “บำนาญ” เมื่อเราพูดจากมุมมองของมนุษย์ มนุษย์ไม่ฟัง แต่มนุษย์ได้เคยหยุดไม่เชื่อฟังแม้ในเวลาที่เราพูดจากมุมมองของพระเจ้าหรือไม่? บางทีวันนั้นอาจจะมาเมื่อพระเจ้าทรง “เกษียณ” จาก “หน่วยงาน” ของมวลมนุษย์โดยฉับพลัน และเมื่อเวลานั้นมาถึง พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นดุดันยิ่งขึ้นไปอีก วันนี้มันอาจเป็นเพราะเรานั่นเองที่พระเจ้าตรัสในหนทางนี้ และหากวันนั้นมาถึง พระเจ้าจะไม่ทรงเป็นเหมือนกับเรา โดย “เล่านิทานให้เด็กอนุบาลฟัง” อย่างสุภาพและอย่างทรหดอดทน บางทีสิ่งที่เราพูดอาจไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่พระเจ้าก็เต็มพระทัยที่จะคลายการถือครองของพระองค์ต่อมนุษย์เล็กน้อยเพียงเพราะพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น มิฉะนั้น ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ก็คงจะน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าที่จะใคร่ครวญ ดังที่พระเจ้าได้ตรัสอย่างไม่มีผิดว่า “ครั้งหนึ่งเราได้คลายการยึดเกาะของเรากับผู้คนในระดับหนึ่ง เปิดโอกาสให้พวกเขาปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับความอยากได้อยากมีฝ่ายเนื้อหนังของพวกเขาโดยอิสระ—และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้กล้าที่จะประพฤติตัวในลักษณะที่ไร้การควบคุม ปราศจากการหักห้ามใจใดๆ ซึ่งจากการนั้นสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาไม่รักเราอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดกำลังดำรงชีวิตในเนื้อหนัง” เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่า “ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับความอยากได้อยากมีของพวกเขา” และ “กำลังดำรงชีวิตในเนื้อหนัง” ตรงนี้? กล่าวตามจริงแล้ว มนุษย์จะเข้าใจพระวจนะเช่นพระวจนะเหล่านี้โดยธรรมชาติโดยปราศจากการตีความของเรา บางทีอาจมีบางคนที่จะพูดว่าพวกเขาไม่เข้าใจ และเราพูดว่านี่เป็นกรณีของการถามเมื่อคนเรารู้คำตอบอยู่แล้ว เป็นกรณีของการแสดงละครตบตา ขอเตือนความจำสักสองสามคำว่า เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งหมดที่เราขอต่อมนุษย์คือให้เขาร่วมมือกับเรา”? เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสอีกด้วยว่าธรรมชาติของมนุษย์ลำบากยากเย็นที่จะเปลี่ยนแปลง? เหตุใดพระเจ้าทรงรังเกียจธรรมชาติของมนุษย์? และสิ่งใดกันแน่เป็นสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติของมนุษย์? สิ่งใดคือสิ่งทั้งหลายนอกธรรมชาติของมนุษย์? มีผู้ใดบ้างไหมที่ได้ใคร่ครวญคำถามเหล่านี้? บางทีนี่อาจเป็นหัวข้อใหม่สำหรับมนุษย์ ถึงกระนั้นเราก็ยังคงขอร้องให้มนุษย์ให้การพิจารณาที่ถูกต้องเหมาะสมกับมัน มิฉะนั้นมนุษย์จะทำให้พระเจ้าขุ่นเคืองเสมอ ด้วยวลีเช่น “ธรรมชาติของมนุษย์ลำบากยากเย็นที่จะเปลี่ยนแปลง” มันจะเป็นการดีอันใดที่จะขัดแย้งกับพระองค์ในหนทางนั้น? ในที่สุดแล้ว มันไม่เป็นเพียงแค่การหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรือ? มันจะไม่มาถึงบทอวสานเดียวกันกับไข่ที่ถูกขว้างใส่ก้อนหินหรือ?
ในความจริงแล้ว การทดสอบและการทดลองทั้งหมดที่มนุษย์ต้องอยู่ภายใต้นั้นเป็นบทเรียนที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์เรียนรู้ โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้ ต่อให้เขาต้องพลีอุทิศสิ่งซึ่งเขารัก แต่เพราะมนุษย์รักตัวเขาเองเสมอ เขาจึงล้มเหลวที่จะร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าไม่ทรงขอมากมายต่อมนุษย์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงขอต่อมนุษย์นั้นหมายใจให้ถูกสัมฤทธิ์ผลอย่างง่ายดายและมีความสุข มันเป็นเพียงว่ามนุษย์ไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก เช่นเดียวกันกับที่คนเราสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงได้โดยการดำรงชีวิตอย่างไม่ฟุ้งเฟ้อและการออมไว้เพื่อดูแลจัดการกับบิดามารดาของพวกเขาเพราะเป็นบุตรของใครบางคน ถึงกระนั้นพวกเขาก็เกรงกลัวว่าพวกเขาอาจไม่กินดีพอ หรือว่าเสื้อผ้าของพวกเขาเองจะเรียบเกินไป ดังนั้นด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง หนี้ที่พวกเขาติดค้างต่อบิดามารดาของพวกเขาสำหรับการห่วงใยใส่ใจด้วยความรักของพวกเขาถูกลืมไปจนหมดสิ้น ราวกับว่างานแห่งการห่วงใยใส่ใจพวกเขาสามารถรอได้จนกระทั่งเด็กได้ร่ำรวยแล้ว เรามองเห็นในการนี้ว่าพวกมนุษย์ไม่มีความรักฉันบุตรต่อบิดามารดาของพวกเขาในหัวใจของพวกเขา—พวกเขาทั้งหมดเป็นบุตรที่ไร้ความรักฉันบุตร บางทีคำแถลงของเราสุดขั้วเกินไป แต่เราก็ไม่สามารถพูดสิ่งโง่เขลาต่อหน้าข้อเท็จจริงได้ เราไม่สามารถ “เลียนแบบผู้อื่น” ในการต่อต้านพระเจ้าเพื่อประโยชน์แห่งการทำให้ตัวเราเองพึงพอใจ มันเป็นเพราะไม่มีผู้ใดบนแผ่นดินโลกมีหัวใจฉันบุตรอย่างไม่ผิดเพี้ยนนั่นเองที่พระเจ้าได้ตรัสว่า “ในฟ้าสวรรค์ ซาตานคือศัตรูของเรา บนแผ่นดินโลก มนุษย์เป็นอริของเรา เพราะการอยู่ร่วมกันระหว่างฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลก เราจึงถือว่าพวกเขาทั้งหมดมีความผิดจนถึงเก้าชั่วโคตร” ซาตานคือศัตรูของพระเจ้า เหตุผลที่พระเจ้าตรัสเช่นนี้ก็เพราะมันไม่ได้ชดใช้คืนแก่พระเจ้าสำหรับความโปรดปรานและความใจดีมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่กลับ “พายสวนกระแส” และในการทำเช่นนั้น ไม่ทำหน้าที่ของมันให้ลุล่วง เพื่อแสดงให้เห็นการอุทิศฉันบุตรต่อพระเจ้าเสียมากกว่า ผู้คนไม่เป็นเหมือนเช่นนี้ด้วยเช่นกันหรือ? พวกเขาไม่แสดงความเคารพฉันบุตรต่อ “บิดามารดา” ของพวกเขา และไม่มีวันชดใช้คืนหนี้ที่พวกเขาติดค้าง “บิดามารดา” ของพวกเขาสำหรับการห่วงใยใส่ใจด้วยความรักของพวกเขา นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนบนแผ่นดินโลกเป็นญาติของซาตานในฟ้าสวรรค์ มนุษย์กับซาตานมีหัวใจและจิตใจหนึ่งเดียวกันในการต่อต้านพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าจะทรงพาดพิงถึงพวกเขาไปจนถึงระดับที่เก้าของความเป็นญาติและจะไม่ทรงอภัยโทษแก่ผู้ใด ในอดีต พระเจ้าได้ทรงให้คนรับใช้หมอบกราบของพระองค์ในฟ้าสวรรค์บริหารจัดการมวลมนุษย์ แต่มันไม่ได้เชื่อฟัง แต่กลับปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับอารมณ์และการกบฏของตัวมันเองแทน พวกมนุษย์ที่เป็นกบฏไม่ก้าวยาวไปข้างหน้าตามเส้นทางนี้ด้วยเช่นกันหรือ? ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงกระชับ “สายบังเหียน” ให้แน่นขึ้นมากเพียงใด ผู้คนก็ไม่หวั่นไหวและไม่สามารถหันเหออกจากครรลองของพวกเขาได้จริงๆ ในทรรศนะของเรา หากพวกมนุษย์ดำเนินต่อไปในหนทางนี้ พวกเขาก็จะเป็นเหตุให้เกิดความย่อยยับของพวกเขาเอง บางทีตอนนี้เจ้าอาจเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ผู้คนไม่สามารถตัดสายสัมพันธ์ที่อ้อยอิ่งของพวกเขากับธรรมชาติเก่าของพวกเขาได้” พระเจ้าได้ทรงเตือนความจำมนุษย์ในหลายโอกาสว่า “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ เราจึงทิ้งเขาไป” เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า? พระเจ้าจะทรงสามารถไร้หัวใจเหลือเกินจริงๆ หรือ? เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสอีกด้วยว่า “เราไม่ใช่หนึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์”? ในช่วงวันว่างมากมายเหลือเกินนั้น มีผู้ใดบ้างที่ได้ให้ความคิดอย่างรอบคอบระมัดระวังต่อประเด็นที่มีรายละเอียดเหล่านี้? เรารบเร้ามวลมนุษย์ให้ทำงานหนักด้วยความกร้าวแกร่งมากยิ่งขึ้นกับพระวจนะของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านั้นอย่างขอไปที การทำเช่นนั้นย่อมจะไม่นำประโยชน์มาให้เจ้า หรือคนอื่นๆ มันเป็นการดีที่สุดที่จะไม่พูดสิ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องพูด และไม่คิดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญ การนี้จะไม่เรียบง่ายขึ้นหรือ? ความผิดอันใดสามารถมาจากการฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้หรือ? ก่อนที่พระเจ้าทรงกล่าวประกาศบทอวสานของพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก จะไม่มีผู้ใดหยุด “ขับเคลื่อน” จะไม่มีผู้ใดล้างมือของพวกเขาจากหน้าที่ของพวกเขา ตอนนี้ไม่ใช่เวลา จงอย่าบังอาจกระทำการในฐานะผู้นำทางสำหรับพระเจ้า หรือทัพหน้า เราคิดว่ามันเร็วเกินไปที่จะหยุดเสียตอนนี้และยุติการขับเคลื่อนไปข้างหน้า—เจ้าคิดอย่างไรหรือ?
พระเจ้าทรงนำพวกมนุษย์เข้าสู่ท่ามกลางการตีสอน และพระองค์ทรงนำพวกเขาเข้าสู่บรรยากาศแห่งความตาย ถึงกระนั้น ในทางกลับกัน พระเจ้าจะทรงให้มนุษย์ทำสิ่งใดบนแผ่นดินโลก? แน่นอนว่าจุดประสงค์ของมนุษย์ไม่ใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นตู้เสื้อผ้าในพระนิเวศของพระเจ้า—เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถกินหรือสวมใส่ได้ แต่มีไว้ชมดูเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงต้องนำกระบวนการที่ซับซ้อนมากมายมาใช้เพื่อทำให้ผู้คนทนทุกข์มากมายเหลือเกินในเนื้อหนัง? พระเจ้าตรัสว่า “เราไปกับมนุษย์ยังที่ ‘ลานประหาร’ เนื่องจากการฝ่าฝืนของมนุษย์ก็เพียงพอที่จะได้รับการตีสอนของเรา” พระเจ้าทรงปล่อยให้ผู้คนเดินไปที่ลานประหารด้วยตัวพวกเขาเอง ณ เวลานี้ไหม? เหตุใดจึงไม่มีผู้ใด “ขอความปรานีของพวกเขา”? ดังนั้น มนุษย์ควรร่วมมืออย่างไร? มนุษย์สามารถกระทำการเช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงกระทำการได้อย่างแท้จริงหรือ เมื่อพระองค์ทรงทำการพิพากษาของพระองค์ โดยปราศจากอิทธิพลของภาวะอารมณ์? โดยหลักแล้ว ประสิทธิผลของพระวจนะเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์กระทำการอย่างไร เมื่อบิดานำเงินที่เขาได้หามากลับบ้าน หากมารดาไม่รู้วิธีที่จะร่วมมือกับเขาหรือวิธีที่จะบริหารจัดการครอบครัว เช่นนั้นแล้ว บ้านจะอยู่ในสภาวะใด? จงมองดูสภาวะของคริสตจักรในขณะนี้ นั่นคือในฐานะผู้นำ พวกเจ้ารู้สึกสิ่งใดเกี่ยวกับมัน? พวกเจ้าควรจะจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการไตร่ตรองรายบุคคลของพวกเจ้าก็น่าจะดีกว่า หากสิ่งต่างๆ ที่บ้านได้ถูกมารดาทำให้เสียไปแล้วไซร้ พวกเด็กในครอบครัวเช่นนี้ก็จะดูเหมือนสิ่งใด? เหมือนพวกเด็กกำพร้า? หรือพวกขอทาน? ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าได้ตรัสว่า “ผู้คนทั้งหมดคิดว่าธรรมชาติของเราเป็นธรรมชาติจากพระเจ้าที่ขาดพร่อง ‘คุณภาพแห่งสติปัญญา’ แต่ผู้ใดสามารถจับความเข้าใจได้ว่าเราสามารถมองเห็นผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราได้?” สำหรับสถานการณ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องให้พระเจ้าตรัสจากเทวสภาพของพระองค์ ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ค้อนปอนด์เพื่อตอกตะปู” บางที ณ เวลานี้อาจมีพวกที่ได้ผ่านประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงกับคติพจน์ของพระเจ้าที่ว่า “ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา” ณ จุดนี้ มันเป็นดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ไม่มีผิดว่า “เป็นเพราะพวกเขาได้มาถึงสภาวการณ์ปัจจุบันแล้วเท่านั้นนั่นเองที่ผู้คนทั้งหมดก้มศีรษะของพวกเขาอย่างไม่เต็มใจ—แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขายังคงไม่ปักใจเชื่อ” พระวจนะเหล่านี้เป็นเหมือนกล้องโทรทรรศน์ ในอนาคตที่ไม่ไกลเกินไป มนุษย์จะได้เดินเข้าสู่อีกหนึ่งสถานการณ์ การนี้เรียกว่าความไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่? นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามสองข้อนี้ของพระเจ้าคือ “ผู้คนไม่ละเว้นจากความบาปเพียงเพราะพวกเขาเกรงกลัวว่าเราจะจากไปหรือ? มันไม่แท้จริงหรือที่พวกเขาไม่ร้องทุกข์เพียงเพราะพวกเขาเกรงกลัวการตีสอน?” โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนทั้งหมดในช่วงระยะปัจจุบันค่อนข้างย่อหย่อน ราวกับได้ปราชัยต่อความเมื่อยล้า พวกเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจพระราชกิจของพระเจ้าเลย แต่กังวลสนใจกับการทำการจัดการเตรียมการและการจัดเตรียมเพื่อประโยชน์แห่งเนื้อหนังของพวกเขาเองเท่านั้น นี่ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?