จ) สิ่งที่จะเป็นเหมือนบั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ของมนุษยชาติ
ถ้อยคำจากพระคัมภีร์
“และข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะว่าฟ้าสวรรค์เดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกต่อไป และข้าพเจ้าได้เห็นนครบริสุทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้เตรียมพร้อมเหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับสามี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า ‘นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา] พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว’” (วิวรณ์ 21:1-4)
“นครนั้นไม่จำเป็นต้องมีแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของนครนั้น และพระเมษโปดกทรงเป็นประทีปของนครนั้น ประชาชาติต่างๆ จะเดินโดยอาศัยแสงสว่างของนครนั้น และกษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้ามาในนครนั้น ประตูต่างๆ ของนครจะไม่ปิดในเวลากลางวัน และจะไม่มีเวลากลางคืนในนั้น คนทั้งหลายจะนำศักดิ์ศรีและเกียรติของประชาชาติต่างๆ เข้ามา และไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือคนใดที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน หรือประพฤติการหลอกลวงจะเข้าไปในนครนั้นได้ นอกจากพวกที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น และท่านสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนอย่างแก้วผลึก ไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดก ไปที่กลางถนนของนครนั้น และริมแม่น้ำทั้งสองฝั่งมีต้นไม้แห่งชีวิต ที่ออกผลสิบสองชนิด มันออกผลทุกเดือน และใบของต้นไม้นั้นใช้สำหรับรักษาโรคของบรรดาประชาชาติ ทุกสิ่งที่ถูกสาปแช่งจะไม่มีอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ที่นั่น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะนมัสการพระองค์ พวกเขาจะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ และพระนามของพระองค์จะอยู่บนหน้าผากของเขาทั้งหลาย กลางคืนจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องมีแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างของเขาทั้งหลาย และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 21:23-22:5)
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
ขณะที่วจนะของเราถูกทำให้เป็นจริง ราชอาณาจักรก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นบนแผ่นดินโลกและมนุษย์ก็ค่อยๆ กลับสู่ความเป็นปกติ และด้วยเหตุนี้ราชอาณาจักรในหัวใจของเราจึงถูกสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลก ในราชอาณาจักรนั้น ประชากรทั้งหมดของพระเจ้าฟื้นคืนชีวิตของมนุษย์ที่ปกติ ฤดูหนาวที่จับตัวเป็นน้ำแข็งได้จากไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยโลกที่เต็มไปด้วยนครแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่ซึ่งฤดูใบไม้ผลินั้นยาวนานตลอดปี ผู้คนไม่ต้องเผชิญกับโลกที่มืดมนและยากแค้นของมนุษย์อีกต่อไป และพวกเขาไม่ต้องสู้ทนความหนาวเย็นยะเยือกของโลกมนุษย์อีกต่อไป ผู้คนไม่ต่อสู้กัน ประเทศไม่ทำสงครามกัน ไม่มีการสังหารหมู่และเลือดที่ไหลนองจากการสังหารหมู่อีกต่อไป แผ่นดินทั้งมวลเต็มไปด้วยความสุข และทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความอบอุ่นระหว่างมนุษย์ เราเคลื่อนไหวไปทั่วโลก เราชื่นชมจากบนยอดบัลลังก์ของเรา และเราดำรงชีวิตท่ามกลางมวลดารา บรรดาทูตสวรรค์นำเสนอบทเพลงใหม่ๆ และการเต้นรำใหม่ๆ แก่เรา ความบอบบางของพวกเขาเองไม่เป็นเหตุให้น้ำตาไหลรินอาบใบหน้าของพวกเขาอีกต่อไป เราไม่ได้ยินเสียงทูตสวรรค์ร่ำไห้ต่อหน้าเราอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดพร่ำบ่นกับเราถึงความยากลำบากอีกต่อไป วันนี้ พวกเจ้าทั้งหมดมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเรา พรุ่งนี้ พวกเจ้าทั้งหมดจะดำรงอยู่ในราชอาณาจักรของเรา นี่ไม่ใช่พรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามอบให้มนุษย์หรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 20
เมื่อราชอาณาจักรเคลื่อนลงมาบนแผ่นดินโลกโดยบริบูรณ์ ผู้คนทั้งปวงจะฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัสว่า “เราชื่นชมจากบนยอดบัลลังก์ของเรา และเราดำรงชีวิตท่ามกลางมวลดารา บรรดาทูตสวรรค์นำเสนอบทเพลงใหม่ๆ และการเต้นรำใหม่ๆ แก่เรา ความบอบบางของพวกเขาเองไม่เป็นเหตุให้น้ำตาไหลรินอาบใบหน้าของพวกเขาอีกต่อไป เราไม่ได้ยินเสียงทูตสวรรค์ร่ำไห้ต่อหน้าเราอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดพร่ำบ่นกับเราถึงความยากลำบากอีกต่อไป” การนี้แสดงให้เห็นว่าวันที่พระเจ้าทรงรับพระสิริอันครบบริบูรณ์ไว้คือวันที่มนุษย์ได้ชื่นชมการหยุดพักของเขา ผู้คนไม่สาละวนเร่งร้อนอันเนื่องมาจากการก่อความไม่สงบของซาตานอีกต่อไป โลกหยุดก้าวไปข้างหน้า และผู้คนดำรงชีวิตในการหยุดพัก—ด้วยเหตุที่ดวงดารามากมายเหลือคณานับในฟ้าสวรรค์ถูกสร้างขึ้นใหม่ และดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มวลดารา และอื่นๆ และภูเขาและแม่น้ำทั้งมวลในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ล้วนได้รับการเปลี่ยนแปลง และเนื่องจากมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปและพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นทุกสรรพสิ่งก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่จะได้รับการสัมฤทธิ์ในที่สุด
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 20
ในแสงสว่างวาบของฟ้าแลบ รูปร่างอันแท้จริงของสัตว์ทุกตัวถูกเปิดเผย ดังนั้น เมื่อได้รับความกระจ่างจากความสว่างของเรา มนุษย์จึงได้รับความสะอาดบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองคืนมา โอ โลกเก่าอันเสื่อมทราม! ในที่สุด มันก็ล้มคว่ำลงไปในน้ำโสโครก และเมื่อจมลงไปใต้ผิวน้ำก็ละลายเป็นโคลนตม! โอ มวลมนุษย์ทั้งปวงแห่งการสร้างของเราเอง! ในที่สุดพวกเขาก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งในความสว่าง ได้พบรากฐานของการดำรงอยู่ และเลิกดิ้นทุรนอยู่ในโคลน! โอ สรรพสิ่งแห่งการสร้างมากมายเหลือคณานับ ซึ่งเราประคองอยู่ในมือทั้งสองของเรา! พวกมันจะไม่เริ่มต้นใหม่โดยผ่านทางถ้อยคำของเราได้อย่างไร? พวกมันจะไม่แสดงบทบาทหน้าที่ของพวกมันในความสว่างได้อย่างไร? แผ่นดินโลกไม่หยุดนิ่งและเงียบสงัดเป็นตายอีกต่อไป สวรรค์ไม่อ้างว้างและเศร้าโศกอีกต่อไป สวรรค์และแผ่นดินโลกไม่ถูกพื้นที่ว่างแยกออกจากกันอีกต่อไป รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีวันถูกแยกจากกันอีก ในวาระอันน่ายินดีปรีดานี้ ณ ชั่วขณะแห่งความปราโมทย์นี้ ความชอบธรรมของเราและความบริสุทธิ์ของเราได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล และมวลมนุษย์ทั้งปวงสดุดีความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของเรากันอย่างไม่หยุดหย่อน เมืองสวรรค์ทั้งหลายพากันหัวเราะด้วยความชื่นบานยินดี และราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกก็เต้นรำด้วยความชื่นบานยินดี ณ เวลานี้ ใครเล่าที่ไม่ชื่นชมยินดี? และใครเล่าที่ไม่ร่ำไห้? แผ่นดินโลกในสภาวะแรกเริ่มของมันนั้นเป็นของสวรรค์ และสวรรค์ก็รวมเข้ากับแผ่นดินโลก มนุษย์คือสายใยที่รวมสวรรค์และแผ่นดินโลกเข้าด้วยกัน และเนื่องแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ของมนุษย์ เนื่องแต่การเริ่มต้นใหม่ของมนุษย์ สวรรค์จึงไม่ถูกปกปิดจากแผ่นดินโลกอีกต่อไป และแผ่นดินโลกก็ไม่นิ่งเงียบต่อสวรรค์อีกต่อไป ใบหน้าทั้งหลายของมวลมนุษย์ประดับรอยยิ้มแห่งความรื่นรมย์สมอุรา และที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาทุกคนคือความหวานชื่นอันไร้ขอบเขต มนุษย์ไม่ทะเลาะวิวาทกับมนุษย์ และมนุษย์ไม่มาชกต่อยกัน มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช้ชีวิตกับคนอื่นอย่างมีสันติสุขในความสว่างของเรา? มีผู้ใดบ้างที่ทำให้นามของเราเสื่อมเสียในวันของเรา? มนุษย์ทั้งปวงจ้องมองเราด้วยสายตาอันเปี่ยมความยำเกรงของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาแอบเพรียกร้องหาเรา เราได้ตรวจค้นทุกการกระทำของมวลมนุษย์ กล่าวคือ ท่ามกลางมนุษย์ที่ได้รับการชำระให้สะอาด ไม่มีสักคนที่ไม่เชื่อฟังเรา ไม่มีสักคนที่ตัดสินเรา มวลมนุษย์ทั้งปวงถูกอุปนิสัยของเราซึมซ่านไปทั่ว มนุษย์ทั้งปวงกำลังจะมารู้จักเรา กำลังเข้ามาใกล้ชิดเรายิ่งขึ้นและรักบูชาเรา เรายืนหยัดมั่นคงอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ได้รับการยกย่องสูงสุดในสายตาของมนุษย์ และไหลไปพร้อมกับโลหิตในเส้นเลือดของมนุษย์ ทุกหนแห่งบนพื้นผิวของแผ่นดินโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยการยกย่องอันชื่นบานยินดีในหัวใจของมนุษย์ อากาศแจ่มใสและสดชื่น หมอกหนาไม่ปกคลุมพื้นดินอีกต่อไป และดวงอาทิตย์ฉายแสงอันโชติช่วงชัชวาล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 18
ในความสว่างของเรา ผู้คนมองเห็นความสว่างไสวอีกครั้ง ในวจนะของเรา ผู้คนพบสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชื่นชม เรามาจากทิศตะวันออก เรามีภูมิลำเนาอยู่ทางทิศตะวันออก เมื่อสง่าราศีของเราโชติช่วงขึ้นมา ชนชาติทั้งปวงก็สว่างไสว ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่ความสว่าง ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในความมืด ในราชอาณาจักร ชีวิตที่ประชากรของพระเจ้าดำเนินร่วมกับพระเจ้านั้นมีความสุขเหลือคณานับ ห้วงน้ำทั้งหลายเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดีในชีวิตที่ได้รับพรของผู้คน ภูเขาชื่นชมความไพบูลย์ของเราร่วมกับผู้คน มนุษย์ทั้งมวลเพียรพยายาม ทำงานหนัก แสดงความจงรักภักดีของพวกเขาในราชอาณาจักรของเรา ในราชอาณาจักร การกบฏไม่มีอีกต่อไป การต้านทานไม่มีอีกต่อไป ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกต่างพึ่งพากันและกัน มนุษย์กับเราเข้ามาใกล้ชิดกันในความรู้สึกอันลึกซึ้งผ่านทางความปลื้มปีติแสนหวานของชีวิต อิงแอบกัน… ณ เวลานี้ เราเริ่มชีวิตของเราในสวรรค์อย่างเป็นทางการ การรบกวนของซาตานไม่มีอีกต่อไป และผู้คนก็เข้าสู่การหยุดพัก ทั่วทั้งจักรวาล ผู้คนที่เราเลือกสรรมีชีวิตในสง่าราศีของเรา ได้รับพรเกินจะหาใดเปรียบ ไม่ใช่ในฐานะผู้คนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ในฐานะผู้คนที่มีชีวิตอยู่กับพระเจ้า มนุษยชาติทั้งมวลได้ล่วงผ่านความเสื่อมทรามของซาตาน และได้ดื่มความขมและความหวานแห่งชีวิตจนถึงหยดสุดท้าย บัดนี้เมื่อมีชีวิตอยู่ในความสว่างของเรา คนเราจะไม่ชื่นบานได้อย่างไร? คนเราจะสามารถละทิ้งช่วงเวลาที่สวยงามนี้และปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย! จงร้องเพลงในหัวใจของพวกเจ้าและเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดีเพื่อเรา! จงยกชูและส่งมอบหัวใจที่จริงใจของพวกเจ้าให้แก่เรา! จงตีกลองของพวกเจ้าและบรรเลงอย่างชื่นบานเพื่อเรา! เราแผ่รัศมีแห่งความปีติยินดีของเราไปทั่วจักรวาลทั้งปวง! เราเปิดเผยใบหน้าที่เปี่ยมสง่าราศีของเราต่อผู้คน! เราจะร้องเรียกด้วยเสียงอันดัง! เราจะอยู่เหนือพ้นจักรวาล! เราได้ปกครองในหมู่ผู้คนแล้ว! เราได้รับการยกย่องจากผู้คน! เราล่องลอยอยู่ในฟ้าสวรรค์สีครามเบื้องบนและผู้คนก็เดินไปพร้อมกับเรา เราเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนและผู้คนของเราห้อมล้อมเรา! หัวใจของผู้คนชื่นบาน เพลงของพวกเขาสะเทือนจักรวาล กึกก้องถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด! จักรวาลไม่มีหมอกปกคลุมอีกต่อไป ไม่มีโคลนตมอีกต่อไป ไม่มีสิ่งปฏิกูลพอกพูนขึ้นมาอีกต่อไป ผู้คนบริสุทธิ์แห่งจักรวาลเอ๋ย! ภายใต้การตรวจสอบของเรา เจ้าแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกสิ่งสกปรกโสมมปกคลุม แต่เป็นวิสุทธิชนที่บริสุทธิ์ราวกับหยก พวกเจ้าทั้งหมดเป็นที่รักของเรา พวกเจ้าทั้งหมดคือความปีติยินดีของเรา! สรรพสิ่งกลับมีชีวิตขึ้นมา! วิสุทธิชนทั้งหมดได้กลับมารับใช้เราบนสวรรค์ เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของเรา ไม่ร่ำไห้อีกต่อไป ไม่กระวนกระวายอีกต่อไป ส่งมอบตัวพวกเขาเองให้เรา กลับมาที่บ้านของเรา และในบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาจะรักเราอย่างไม่สิ้นสุด! ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์! ความโศกเศร้าอยู่ที่ใด! น้ำตาอยู่ที่ใด! เนื้อหนังอยู่ที่ใด! แผ่นดินโลกล่วงลับไป แต่ฟ้าสวรรค์คงอยู่ตลอดกาล เราปรากฏต่อผู้คนทั้งปวงและผู้คนทั้งปวงสรรเสริญเรา ชีวิตนี้ ความงดงามนี้ ตั้งแต่เพรงกาลจนถึงจุดจบแห่งกาลเวลา จะไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือชีวิตแห่งราชอาณาจักร
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นบานเถิด!
“เราเคลื่อนไหวเหนือมนุษย์ทั้งหมดและกำลังเฝ้ามองทุกหนแห่ง ไม่มีสิ่งใดเคยดูเก่า และไม่มีบุคคลใดเป็นดังที่เขาเคยเป็น เราหยุดพักบนบัลลังก์ เราเอนกายอยู่เหนือทั้งจักรวาล…” นี่คือบทอวสานแห่งพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งปวงกลับคืนสู่รูปทรงดั้งเดิมของพวกเขา ซึ่งเพราะการนี้ บรรดาทูตสวรรค์ที่ได้ทนทุกข์มาเป็นเวลาหลายปียิ่งนักจึงได้รับการปลดปล่อย ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “ใบหน้าของพวกเขาเหมือนใบหน้าของผู้บริสุทธิ์ภายในหัวใจของมนุษย์” เนื่องจากบรรดาทูตสวรรค์ทำงานบนแผ่นดินโลกและรับใช้พระเจ้าบนแผ่นดินโลก และเพราะพระสิริของพระเจ้าเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลก สวรรค์จึงถูกนำมายังแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็ถูกยกขึ้นสู่สวรรค์ ดังนั้น มนุษย์จึงเป็นสิ่งเชื่อมต่อที่เชื่อมโยงสวรรค์และแผ่นดินโลก สวรรค์และแผ่นดินโลกไม่อยู่ห่างกันอีกต่อไป ไม่ถูกแยกจากกันอีกต่อไป แต่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่ง ตลอดทั่วทั้งโลกมีเพียงพระเจ้าและมนุษย์เท่านั้นที่ดำรงอยู่ ไม่มีฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรก และทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ เหมือนลูกแกะตัวน้อยที่นอนอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจีภายใต้ท้องฟ้า ชื่นชมพระคุณทั้งหมดของพระเจ้า และเป็นเพราะการมาถึงของความอ่อนเยาว์นั้นนั่นเองที่ลมหายใจแห่งชีวิตเปล่งแสงออกมา เพราะพระเจ้าเสด็จมายังโลกเพื่อดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างมนุษย์ไปชั่วกัลปาวสาน เหมือนที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าว่า “เราสามารถพักอาศัยอย่างสันติสุขภายในศิโยนได้อีกครั้ง” นี่คือสัญลักษณ์แห่งการมีชัยชนะเหนือซาตาน มันคือวันแห่งการหยุดพักของพระเจ้า และวันนี้จะได้รับการเชิดชูและกล่าวประกาศโดยผู้คนทั้งปวง และได้รับการฉลองรำลึกโดยผู้คนทั้งปวง เมื่อพระเจ้าทรงหยุดพักอยู่บนพระบัลลังก์ นั่นยังเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกอีกด้วย และเป็นชั่วขณะนั้นนั่นเองที่ความล้ำลึกทั้งหมดของพระเจ้าได้ถูกแสดงแก่มนุษย์ พระเจ้าและมนุษย์จะปรองดองกันชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันห่างกัน—เช่นนั้นคือฉากเหตุการณ์อันงดงามแห่งราชอาณาจักร!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 16
การใช้ชีวิตอยู่ในการหยุดพักหมายถึงชีวิตที่ปราศจากการสู้รบ ปราศจากความโสมม และปราศจากความไม่ชอบธรรมที่ดึงดันใดๆ กล่าวคือ เป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งการถูกซาตานก่อกวน (“ซาตาน” ในที่นี้อ้างอิงถึงกองกำลังศัตรู) และความเสื่อมทรามของซาตาน และไม่มีแนวโน้มที่จะมีการรุกรานของกองกำลังใดๆ เพื่อต่อต้านพระเจ้า นั่นคือ เป็นชีวิตซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างติดตามประเภทของมันเอง และสามารถนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ และซึ่งสวรรค์และแผ่นดินโลกต่างเงียบสงบโดยบริบูรณ์—นี่คือความหมายของคำพูดที่ว่า “ชีวิตที่หยุดพักของมนุษย์” เมื่อพระเจ้าทรงหยุดพัก ความไม่ชอบธรรมจะไม่คงอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป อีกทั้งจะไม่มีการรุกรานจากกองกำลังศัตรูอีก และมวลมนุษย์จะเข้าสู่อาณาจักรใหม่ ซึ่งมนุษยชาติไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกต่อไป แต่ทว่าจะเป็นมนุษยชาติที่ได้รับการช่วยให้รอดหลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว วันแห่งการหยุดพักของมนุษยชาติจะเป็นวันแห่งการหยุดพักของพระเจ้าด้วยเช่นกัน พระเจ้าทรงสูญเสียการหยุดพักของพระองค์เนื่องจากมนุษยชาติไร้ความสามารถในการเข้าสู่การหยุดพัก มิใช่เพราะเดิมทีพระองค์ทรงไร้ความสามารถที่จะหยุดพัก การเข้าสู่การหยุดพักไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวหรือเลิกพัฒนา อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าหยุดทรงพระราชกิจหรือว่ามนุษย์หยุดใช้ชีวิต หมายสำคัญของการเข้าสู่การหยุดพักคือเมื่อซาตานถูกทำลาย เมื่อบรรดาคนชั่วผู้ซึ่งเข้าร่วมกับมันในการกระทำชั่วถูกลงโทษและถูกกวาดล้างออกไป และเมื่อกองกำลังทั้งหมดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าสูญสิ้นไป การที่พระเจ้าทรงเข้าสู่การหยุดพักหมายความว่า พระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษยชาติอีกต่อไป มนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพักหมายความว่า มนุษยชาติทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ภายในความสว่างของพระเจ้าและอยู่ภายใต้พรของพระองค์ ไร้ซึ่งความเสื่อมทรามของซาตาน และจะไม่มีความไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นอีกเลย ภายใต้การดูแลของพระเจ้า มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติบนแผ่นดินโลก เมื่อพระเจ้าและมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน นั่นหมายความว่า มนุษยชาติได้รับการช่วยให้รอดและซาตานได้ถูกทำลายไปแล้ว และหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าในตัวมนุษย์นั้นครบบริบูรณ์อย่างถ้วนทั่วแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงสานต่อพระราชกิจในตัวมนุษย์อีกต่อไป และพวกเขาจะไม่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานอีกต่อไป เมื่อนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงสาละวนอีกต่อไป และมนุษย์ก็จะไม่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดหย่อนอีกต่อไป พระเจ้าและมนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพักไปพร้อมกัน พระเจ้าจะเสด็จกลับสู่ที่ประทับดั้งเดิมของพระองค์ และแต่ละคนก็จะกลับไปสู่สถานที่แต่ละแห่งของพวกเขา เหล่านี้คือบั้นปลายที่พระเจ้าจะทรงพำนักและมนุษย์จะอาศัยอยู่เมื่อการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว พระเจ้าทรงมีบั้นปลายของพระเจ้า และมนุษยชาติก็มีบั้นปลายของมนุษยชาติ ขณะทรงหยุดพัก พระเจ้าจะทรงสานต่อการทรงนำมนุษย์ทั้งมวลในการใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกของพวกเขาต่อไป และขณะที่อยู่ในความสว่างของพระองค์ พวกเขาจะนมัสการพระเจ้าแท้จริงพระองค์เดียวบนสวรรค์ พระเจ้าจะไม่ดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษยชาติอีกต่อไป อีกทั้งมนุษย์ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับพระเจ้าในบั้นปลายของพระองค์ได้ พระเจ้าและมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรเดียวกันได้ ตรงกันข้าม ทั้งสองมีลักษณะการดำรงชีวิตของตนเอง พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำมนุษยชาติทั้งมวล และมนุษยชาติทั้งมวลคือการตกผลึกของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า มนุษย์คือผู้ซึ่งได้รับการนำทาง และไม่ได้มีเนื้อแท้แบบเดียวกันกับพระเจ้า การ “หยุดพัก” หมายถึงการกลับคืนสู่สถานที่ดั้งเดิมของคนเรา เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเข้าสู่การหยุดพัก จึงหมายถึงการที่พระองค์ได้ทรงกลับมาสู่ที่ประทับดั้งเดิมของพระองค์ พระองค์จะไม่ดำรงพระชนม์ชีพอยู่บนแผ่นดินโลกหรืออยู่ท่ามกลางมนุษยชาติเพื่อร่วมแบ่งปันความชื่นบานยินดีและความทุกข์ของพวกเขาอีกต่อไป เมื่อมนุษย์เข้าสู่การหยุดพัก ก็หมายถึงการที่พวกเขาได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง พวกเขาจะนมัสการพระเจ้าอยู่ที่แผ่นดินโลก และดำเนินชีวิตแบบมนุษย์ปกติ ผู้คนจะไม่กบฏต่อพระเจ้าหรือต้านทานพระองค์อีกต่อไป และจะกลับคืนสู่ชีวิตดั้งเดิมของอาดัมและเอวา เหล่านี้คือการดำรงพระชนม์ชีพ การดำรงชีวิต และบั้นปลายแต่ละแบบของพระเจ้าและมนุษย์หลังจากที่พระเจ้าและมนุษย์ได้เข้าสู่การหยุดพัก การพ่ายแพ้ของซาตานเป็นแนวโน้มที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ในการสู้รบระหว่างมันกับพระเจ้า เช่นนั้นเอง การเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าหลังจากการครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ และความรอดอย่างครบบริบูรณ์และการเข้าสู่การหยุดพักของมนุษยชาติจึงได้กลายเป็นแนวโน้มที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ในทำนองเดียวกัน สถานที่แห่งการหยุดพักของมนุษยชาติคือบนแผ่นดินโลก และที่ประทับแห่งการหยุดพักของพระเจ้าอยู่บนสวรรค์ ขณะที่มนุษย์นมัสการพระเจ้าในการหยุดพัก พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก และขณะที่พระเจ้าทรงนำทางมนุษยชาติที่เหลือในการหยุดพักนั้น พระองค์จะทรงนำทางพวกเขาจากสวรรค์ ไม่ใช่จากแผ่นดินโลก พระเจ้าจะยังคงเป็นพระวิญญาณ ในขณะที่มนุษย์จะยังคงเป็นเนื้อหนัง พระเจ้าและมนุษย์ต่างหยุดพักในลักษณะที่แตกต่างกัน ขณะที่พระเจ้าทรงหยุดพัก พระองค์จะเสด็จมาปรากฏท่ามกลางมนุษย์ ขณะที่มนุษย์หยุดพัก พวกเขาจะได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้าเพื่อไปเยือนสวรรค์ รวมถึงเพื่อชื่นชมชีวิตที่นั่นด้วย หลังจากที่พระเจ้าและมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพัก ซาตานจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป ในทำนองเดียวกันนั้น เหล่าผู้คนชั่วร้ายก็จะสูญสิ้นไปด้วยเช่นกัน ก่อนที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะหยุดพัก พวกบุคคลที่ชั่วร้าย ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยข่มเหงพระเจ้าบนแผ่นดินโลก รวมทั้งศัตรูที่เป็นกบฏต่อพระองค์ที่นั่น จะได้ถูกทำลายไปแล้ว พวกเขาจะถูกกำจัดไปโดยมหาวิบัติแห่งยุคสุดท้าย ทันทีที่พวกคนชั่วร้ายได้ถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว แผ่นดินโลกก็จะไม่มีวันได้รู้จักการก่อกวนของซาตานอีกเลย เมื่อนั้นเท่านั้นที่มนุษยชาติจะได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์ และพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นลงโดยครบถ้วน เหล่านี้คือข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพัก
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน
เมื่อมนุษย์เข้าสู่บั้นปลายอันเป็นนิรันดร์ มนุษย์จะนมัสการพระผู้สร้าง และเนื่องจากมนุษย์ได้รับความรอดและเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์แล้ว มนุษย์ย่อมจะไม่ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดๆ และยิ่งไปกว่านั้น เขาจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกซาตานตีวงล้อม ในเวลาเช่นนี้มนุษย์จะรู้ตำแหน่งแห่งที่ของเขาเอง และจะปฏิบัติหน้าที่ของเขา และต่อให้พวกเขาไม่ถูกตีสอนหรือถูกพิพากษา แต่ละบุคคลก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ณ เวลานั้นมนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งในอัตลักษณ์และสถานะ จะไม่มีการแบ่งแยกว่าสูงและต่ำอีกต่อไป แต่ละคนจะเพียงปฏิบัติหน้าที่แตกต่างกันเท่านั้น กระนั้นมนุษย์ก็จะยังคงดำรงชีวิตอยู่ในบั้นปลายที่มีระเบียบและเหมาะสมสำหรับมวลมนุษย์ มนุษย์จะปฏิบัติหน้าที่ของเขาเพื่อนมัสการพระผู้สร้าง และมวลมนุษย์เช่นนี้นี่เองที่จะกลายเป็นมวลมนุษย์แห่งกัลปาวสาน ณ เวลานั้นมนุษย์จะได้รับชีวิตที่พระเจ้าประทานความกระจ่างให้ ชีวิตที่อยู่ภายใต้การดูแลและคุ้มครองคุ้มครองของพระเจ้า ชีวิตที่ดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า มวลมนุษย์จะมีชีวิตที่ปกติบนแผ่นดินโลก และผู้คนทั้งหมดจะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง แผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีย่อมจะเอาชนะซาตานอย่างราบคาบแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าย่อมจะทรงฟื้นฟูภาพลักษณ์ดั้งเดิมของมนุษย์หลังจากทรงสร้างเขาขึ้นมาบนแผ่นดินโลก และเมื่อเป็นเช่นนั้น เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าย่อมได้รับการตอบสนองแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์
เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ฟื้นคืนสู่สภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาแล้ว และเมื่อพวกเขาสามารถทำหน้าที่แต่ละอย่างของพวกเขาให้ลุล่วง คงอยู่กับที่ตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขาเอง และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งบนแผ่นดินโลกผู้ซึ่งนมัสการพระองค์ และพระองค์จะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งขึ้นบนแผ่นดินโลกที่นมัสการพระองค์อีกด้วย พระองค์จะทรงมีชัยชนะอันเป็นนิรันดร์บนแผ่นดินโลก และพวกเหล่านั้นทั้งหมดผู้ซึ่งต่อต้านพระองค์จะพินาศย่อยยับไปตลอดกาล นี่จะฟื้นคืนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์ในการทรงสร้างมนุษยชาติ ซึ่งจะฟื้นคืนเจตนารมณ์ของพระองค์ในการทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และยังจะฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลก ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และท่ามกลางศัตรูของพระองค์อีกด้วย เหล่านี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะทั้งหมดของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นมา มนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพักและเริ่มต้นชีวิตที่อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง พระเจ้าจะทรงเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์กับมนุษยชาติด้วยเช่นกัน และเริ่มต้นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งทั้งพระองค์เองและพวกมนุษย์ต่างก็มีร่วมกัน ความโสมมและความเป็นกบฏบนแผ่นดินโลกจะปลาสนาการไปแล้ว และเสียงคร่ำครวญทั้งหมดจะได้เหือดหายไปแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ต่อต้านพระเจ้าจะได้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว มีเพียงพระเจ้าและบรรดาผู้คนซึ่งพระองค์ได้ทรงนำความรอดมาให้เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่ เฉพาะสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน
ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง
สถานที่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับพวกเราอยู่ที่ใด?
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
พระพรยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์
เพลงเฉลิมราชอาณาจักร (III) จงชื่นบานเถิด ประชากรทั้งผอง!
ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้รับการสถาปนาขึ้นท่ามกลางพวกมนุษย์
มนุษย์ได้ความสะอาดบริสุทธิ์ที่เคยมีกลับคืนมา
ชีวิตในการหยุดพัก