ข) ผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด และผู้ที่พระองค์ทรงกำจัดออกไป
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้ที่แสวงหาและบรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาคือผู้คนสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้ซึ่งบั้นปลายของพวกเขาแตกต่างกันมากเช่นกัน บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความรู้แห่งความจริงและปฏิบัติความจริงคือผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงนำความรอดมาให้ ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจและศัตรู พวกเขาคือลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ และจะเป็นเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง แม้แต่พวกที่เชื่ออย่างเคร่งครัดในพระเจ้าที่คลุมเครือ—พวกเขาไม่ใช่ปีศาจด้วยหรอกหรือ? ผู้คนที่มีจิตสำนึกที่ดีแต่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจ กล่าวคือ แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้แห่งการต้านทานพระเจ้า บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกที่ต้านทานพระเจ้า และแม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะสู้ทนความยากลำบากมากมาย แต่พวกเขาก็จะยังคงถูกทำลายล้าง พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดผู้ไม่เต็มใจปล่อยวางโลก ผู้ไม่สามารถทนแยกจากพ่อแม่ของตนได้ และผู้ที่ไม่สามารถทนให้ตนเองเป็นอิสระจากความชื่นชมยินดีแห่งเนื้อหนังของตัวพวกเขาเองได้นั้นเป็นกบฏต่อพระเจ้า และล้วนจะต้องเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย บรรดาผู้ที่มีความเชื่อแต่ไม่ได้ปฏิบัติความจริง บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็จะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้างด้วยเช่นกัน บรรดาผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ทั้งหมดนั้นคือผู้คนซึ่งได้ก้าวผ่านความทุกข์แห่งกระบวนการถลุงและได้ตั้งมั่น เหล่านี้คือผู้คนที่ได้สู้ทนการทดสอบอย่างแท้จริง ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าคือศัตรู กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหรือภายนอกกระแสนี้หรือไม่ก็ตาม—คือศัตรูของพระคริสต์! ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า? พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ? พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ? เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ? เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ? หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ? หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ? เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ? บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ? หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ? บรรดาผู้คนที่เชื่อในพระเยซูเท่านั้นแต่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้าย รวมทั้งบรรดาผู้ที่กล่าวอ้างด้วยวาจาว่าเชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์แต่ทำความชั่ว ล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์ โดยไม่ต้องแม้แต่กล่าวถึงบรรดาผู้ที่ไม่แม้แต่จะเชื่อในพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนจะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน
พระเจ้าทรงช่วยชีวิตพวกผู้ที่สามารถกลับมีชีวิตขึ้นอีก ผู้ที่สามารถเห็นความรอดของพระเจ้า ผู้ที่สามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่เต็มใจแสวงหาพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยชีวิตพวกที่เชื่อในการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าและในการทรงปรากฏของพระองค์ให้รอด คนบางคนสามารถกลับมีชีวิตขึ้นอีกและบางคนก็ไม่สามารถ นี่ขึ้นอยู่กับว่าธรรมชาติของพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่ ผู้คนมากมายได้ยินพระวจนะของพระเจ้าจำนวนมาก แต่ก็ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยังคงไม่สามารถนำพระวจนะมาปฏิบัติได้ ผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถดำรงชีพตามความจริงใดๆ และยังจงใจก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาไม่สามารถทำงานใดๆ เพื่อพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถอุทิศสิ่งใดๆ ให้พระองค์ได้ และพวกเขายังแอบใช้เงินของคริสตจักรและแอบกินฟรีในพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ตายแล้วและพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าทรงช่วยชีวิตทุกคนที่อยู่ท่ามกลางพระราชกิจของพระองค์ให้รอด แต่มีคนส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถรับความรอดของพระองค์ได้ มีเพียงคนจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถได้รับความรอดของพระองค์ นี่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกเกินไปและได้กลายเป็นตายสนิทแล้ว และพวกเขาก็เกินกว่าความรอดจะช่วยได้ พวกเขาถูกซาตานหาประโยชน์จากพวกเขาอย่างเต็มที่ และพวกเขามุ่งร้ายเกินไปในธรรมชาติของพวกเขา คนส่วนน้อยพวกนั้นไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างเต็มที่อีกด้วย พวกเขาไม่ใช่พวกที่ได้สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าอย่างเต็มที่มาตั้งแต่ต้น หรือผู้ที่ได้มีความรักสุดหัวใจต่อพระเจ้าตั้งแต่ต้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขามานบนอบพระเจ้าเพราะพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพระองค์ พวกเขาเห็นพระเจ้าเพราะความรักสูงสุดของพระองค์ มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาเพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และพวกเขาได้มารู้จักพระเจ้าเพราะพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ซึ่งทั้งสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นปกติ เมื่อปราศจากพระราชกิจของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้จะดีเพียงใด พวกเขาก็จะยังคงเป็นของซาตาน พวกเขาก็จะยังคงเป็นของความตาย และพวกเขาก็จะยังคงตายแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าวันนี้ผู้คนเหล่านี้สามารถได้รับความรอดของพระเจ้าได้ก็เป็นเพียงเพราะพวกเขาเต็มใจร่วมมือกับพระเจ้าเท่านั้นเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?
ความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือความรอดของบรรดาผู้ที่รักความจริง เป็นความรอดของส่วนที่มีเจตจำนงและความมุ่งมั่นในตัวพวกเขา และความรอดของส่วนที่โหยหาความจริงและความชอบธรรมอยู่ในหัวใจของพวกเขา ความมุ่งมั่นของบุคคลหนึ่งคือส่วนที่โหยหาความชอบธรรม ความดี และความจริง และครองมโนธรรม อยู่ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงช่วยผู้คนส่วนนี้ให้รอด และโดยผ่านทางการนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจจะเข้าใจและได้รับความจริง เพื่อที่ความเสื่อมทรามของพวกเขาอาจจะได้รับการชำระให้สะอาด และอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาอาจจะได้รับการแปลงสภาพ หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดได้ หากภายในตัวเจ้าไม่มีความรักต่อความจริงหรือความทะเยอทะยานต่อความชอบธรรมและความสว่าง หากเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับความชั่ว เจ้าไม่มีทั้งเจตจำนงที่จะปลดทิ้งสิ่งชั่วทั้งหลายอีกทั้งไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก ที่มากไปกว่านั้นคือ หากมโนธรรมของเจ้ามึนชา หากปฏิภาณของเจ้าสำหรับการรับความจริงก็ถูกทำให้มึนชาด้วยเช่นกัน และเจ้าไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับความจริงและกับเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น และหากเจ้าไม่หยั่งรู้ในเรื่องทั้งหมด และขณะที่เผชิญหน้าสิ่งใดก็ตามที่บังเกิดแก่เจ้า เจ้าไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา ทั้งยังคิดลบตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีหนทางที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนเช่นนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะแนะนำพวกเขาได้ ไม่มีสิ่งใดควรค่าที่จะให้พระเจ้าทรงพระราชกิจด้วย มโนธรรมของพวกเขามึนชา จิตใจของพวกเขาเปรอะเปื้อน และพวกเขาไม่รักความจริง อีกทั้งไม่โหยหาในความชอบธรรมลึกในหัวใจของพวกเขา และไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสถึงความจริงอย่างชัดเจนและโปร่งใสเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองสักนิด ราวกับว่าหัวใจของพวกเขาได้ตายไปแล้ว สิ่งทั้งหลายย่อมจบสิ้นแล้วสำหรับพวกเขามิใช่หรือ? บุคคลที่มีลมหายใจที่เหลืออยู่ในพวกเขาอาจได้รับการช่วยให้รอดด้วยเครื่องช่วยหายใจ แต่หากพวกเขาได้ตายไปแล้วและวิญญาณของเขาได้ออกไปแล้ว เครื่องช่วยหายใจก็จะไม่มีประโยชน์อันใด ยามที่เผชิญกับปัญหาและความลำบากยากเย็น หากบุคคลหนึ่งถอยหนีและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น พวกเขาย่อมไม่แสวงหาความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาเลือกที่จะคิดลบและย่อหย่อนในงานของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ ผู้คนเช่นนี้ไม่มีประสบการณ์หรือคำพยานเลย พวกเขาเป็นเพียงคนเอาแต่ได้ เป็นตัวถ่วงเท่านั้น พวกเขาไร้ประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็จบสิ้นแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
ในขณะที่กำลังมีการปฏิบัติพระราชกิจเพื่อความรอดของพระเจ้า บุคคลทุกคนซึ่งสามารถช่วยให้รอดได้จะได้รับการช่วยให้รอดมากเท่าที่จะมากได้และจะไม่มีใครถูกทิ้งขว้าง เพราะจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าก็คือการช่วยมนุษย์ให้รอด ผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้า—รวมทั้งผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์—จะกลายเป็นวัตถุสำหรับการลงโทษ พระราชกิจในระยะนี้—พระราชกิจแห่งพระวจนะ—จะไขหนทางและความล้ำลึกทั้งปวงที่ผู้คนไม่เข้าใจให้กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาสามารถมีความพร้อมพื้นฐานในการที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมิทรงลงโทษผู้คนที่เป็นกบฏเล็กน้อย นี่เป็นเพราะว่าตอนนี้คือเวลาของพระราชกิจแห่งความรอด หากผู้ใดก็ตามซึ่งปฏิบัติอย่างเป็นกบฏได้ถูกลงโทษ เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดเลย ทุกคนคงจะถูกลงโทษและตกลงไปสู่แดนคนตาย จุดประสงค์ของพระวจนะที่ทรงพิพากษามนุษย์คือเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักตัวเองและนบนอบพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อลงโทษพวกเขาด้วยการพิพากษาดังกล่าว ในระหว่างช่วงเวลาของพระราชกิจของพระวจนะ ผู้คนมากมายจะเปิดโปงความเป็นกบฏและการท้าทายของพวกเขาออกมา รวมทั้งการไม่นบนอบพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือ พระองค์จะไม่ลงโทษผู้คนเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับจะทรงปัดทิ้งเฉพาะผู้ที่เสื่อมทรามจนถึงแก่นกลางและผู้ที่ไม่สามารถช่วยให้รอดได้เท่านั้น พระองค์จะประทานเนื้อหนังของพวกเขาให้แก่ซาตาน และในไม่กี่กรณี จะทรงสิ้นสุดเนื้อหนังของพวกเขา บรรดาผู้ที่เหลืออยู่จะยังคงติดตามและมีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งต่อไป หากขณะกำลังติดตาม ผู้คนเหล่านี้ยังคงไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งได้ และเสื่อมลงไปทุกที เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสูญเสียโอกาสสำหรับความรอดของพวกเขา แต่ละบุคคลที่ยอมรับการพิชิตจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะมีโอกาสเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์ กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์ เมื่อพวกมนุษย์กบฏต่อพระเจ้าในครั้งแรก พระองค์ไม่ทรงพึงปรารถนาที่จะทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย แต่พระองค์กลับทรงทำทั้งหมดที่พระองค์สามารถทำได้เพื่อช่วยพวกเขาให้รอด หากใครบางคนไม่มีพื้นที่ว่างให้กับความรอดเลยจริงๆ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะปัดพวกเขาทิ้งไป เหตุผลที่พระเจ้าทรงลงโทษผู้คนบางคนช้า ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยทุกคนที่สามารถช่วยให้รอดได้ พระองค์ทรงพิพากษา ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำผู้คนด้วยพระวจนะเท่านั้น และไม่ใช้ไม้เรียวเพื่อทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย การนำพระวจนะมาใช้เพื่อนำพาความรอดมาสู่มนุษย์คือจุดประสงค์และนัยสำคัญของช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์
พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ โดยแก่นแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์ ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์ สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก แต่สำหรับพวกเจ้า มันลำบากยากเข็ญเป็นเท่าทวีคูณ ผู้คนมากมายเลือกที่จะถูกประณามสาปแช่งให้ไปลงนรกดีกว่าให้พูดและกระทำด้วยความซื่อสัตย์ จึงไม่ต้องประหลาดใจที่เรามีวิธีปฏิบัติอีกแบบซึ่งเตรียมไว้สำหรับรับมือพวกคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ แน่นอนว่า เรารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่ามันลำบากยากเย็นแค่ไหนสำหรับพวกเจ้าที่จะมีความซื่อสัตย์ เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนแยบยลนัก เก่งมากในเรื่องการวัดผู้คนด้วยไม้บรรทัดอันเล็กจิ๋วของเจ้าเอง นี่ทำให้งานของเรายิ่งมีความเรียบง่ายขึ้น และด้วยความที่พวกเจ้าแต่ละคนล้วนกกกอดความลับแนบไว้กับอก เช่นนั้นก็ดีแล้ว เราจะส่งพวกเจ้าไปสู่ความวิบัติเรียงทีละคน ให้ “เข้าโรงเรียน” ด้วยเพลิงอัคคี เพื่อที่หลังจากนั้น พวกเจ้าอาจมั่นใจได้อย่างสิ้นเชิงต่อการเชื่อของเจ้าในวจนะของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราจะกระชากเอาคำว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความสัตย์ซื่อ” ออกมาจากปากของพวกเจ้า ทันทีหลังจากนั้น พวกเจ้าจะตีอกชกหัวและพิลาปรำพันว่า “หัวใจของมนุษย์ช่างหลอกลวง!” จิตใจของพวกเจ้าจะอยู่ในสภาวะใดหรือ ณ เวลานี้? เราจินตนาการว่า เจ้าจะไม่รู้สึกมีชัยดังที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ และนับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความ “ลุ่มลึกและยากที่จะเข้าใจ” ดังที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในการสถิตของพระเจ้านั้น ผู้คนบางคนช่างสงบเสงี่ยมสำรวมไปเสียทั้งหมด พวกเขาอุตสาหะต่อการเป็นผู้ “ประพฤติดี” กระนั้น พวกเขาก็ยังแยกเขี้ยวและเงื้อง่ากรงเล็บใส่กันในการสถิตของพระวิญญาณ พวกเจ้าจะจัดอันดับผู้คนแบบนี้ให้อยู่ท่ามกลางลำดับชั้นของคนซื่อสัตย์อย่างนั้นหรือ? หากเจ้าเป็นคนประเภทหน้าซื่อใจคดคนหนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีทักษะใน “สัมพันธภาพระหว่างบุคคล” เมื่อนั้นเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ช่างพยายามล้อเล่นกับพระเจ้าโดยแน่แท้ หากคำพูดของเจ้าพรุนไปด้วยข้อแก้ตัวกับเหตุผลข้ออ้างที่ไร้คุณค่า เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ลังเลไม่เต็มใจจะนำความจริงมาปฏิบัติ หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย หากการแสวงหาหนทางแห่งความจริงสร้างความยินดีให้กับเจ้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครบางคนที่อาศัยอยู่ในความสว่างตลอดเวลา หากเจ้าเปรมปรีดิ์มากเหลือเกินที่ได้เป็นคนปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานอย่างขยันขันแข็งและมีมโนธรรมอยู่เพียงเบื้องหลังไม่เสนอหน้า เป็นผู้ให้เสมอและไม่เคยเป็นผู้รับเลย เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือวิสุทธิชนผู้จงรักภักดี เพราะเจ้าไม่แสวงหาบำเหน็จ และเป็นเพียงบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนซื่อตรงเปิดเผย หากเจ้าเต็มใจที่จะสละทั้งหมดที่เป็นของเจ้า หากเจ้าสามารถพลีอุทิศชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานของเจ้า และหากเจ้ามีความซื่อสัตย์จนถึงจุดที่เจ้ารู้เพียงการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และไม่มัวพิจารณาตัวเจ้าเอง หรือรับไว้เพื่อตัวเจ้าเองเช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า ผู้คนเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงในความสว่าง และเป็นผู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดกาลในราชอาณาจักรแห่งนี้ เจ้าควรรู้ว่า มีความเชื่อที่แท้จริงและความจงรักภักดีที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเจ้าหรือไม่ รู้ว่าเจ้ามีบันทึกของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าหรือไม่ และรู้ว่า เจ้าได้นบนอบพระเจ้าด้วยประการทั้งปวงหรือไม่ หากเจ้าขาดสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ความเป็นกบฏ ความหลอกลวง ความโลภ และการพร่ำบ่นก็จะยังคงอยู่ภายในตัวเจ้า เนื่องจากหัวใจของเจ้าอยู่ห่างไกลจากความซื่อสัตย์ เจ้าจึงไม่เคยได้รับการระลึกถึงในด้านบวกจากพระเจ้า และไม่เคยดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ชะตากรรมของคนเราจะออกมาเป็นอย่างไรในปลายทางนั้นแขวนอยู่กับการที่พวกเขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์และเป็นสีแดงเข้มแบบเลือดหรือไม่ และพวกเขามีดวงจิตที่ปราศจากราคีหรือไม่ หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์อย่างมาก ใครบางคนซึ่งมีหัวใจคิดร้าย ใครบางคนซึ่งมีดวงจิตที่ไม่สะอาด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จงมั่นใจได้เลยว่าจะได้พบจุดจบในสถานที่ที่มนุษย์ถูกลงโทษ ตามที่ถูกขีดเขียนไว้ในบันทึกชะตากรรมของเจ้านั่นเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ
พระเจ้าทรงช่วยผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้รอด มิใช่ผู้คนที่เพียบพร้อมที่ไร้ซึ่งข้อบกพร่องหรือผู้ที่มีชีวิตอยู่ในสุญญากาศ ในเรื่องของการแสดงความเสื่อมทรามเล็กน้อย บางคนคิดว่า “ฉันต้านทานพระเจ้าอีกแล้ว ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย แน่นอนว่าพระเจ้าย่อมไม่ทรงต้องการฉันอีกต่อไป!” จากนั้นพวกเขาก็ยอมให้ตนเองอยู่ในความสิ้นหวังและกลายเป็นไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าคิดอย่างไรต่อท่าทีเช่นนี้? พวกเขาล้มเลิกในความจริงไปเองพลางเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขาอีกต่อไปแล้ว นี่เป็นการเข้าใจพระเจ้าผิดมิใช่หรือ? ความคิดลบเช่นนั้นเป็นหนทางที่จะถูกซาตานเอาเปรียบได้ง่ายที่สุด ซาตานเย้ยหยันพวกเขาว่า “เจ้าช่างโง่เขลานัก! พระเจ้าทรงต้องการที่จะช่วยเจ้าให้รอดแต่เจ้ายังคงทนทุกข์อยู่เช่นนี้! ดังนั้น จงล้มเลิกเสีย! หากเจ้าล้มเลิก พระเจ้าจะทรงขับเจ้าออก ซึ่งก็เหมือนกับพระองค์ทรงส่งเจ้ามาให้ข้า ข้าจะทรมานเจ้าจนตาย!” เมื่อซาตานทำสำเร็จ ผลที่ตามมาย่อมเกินที่จะจินตนาการ ด้วยเหตุนั้นเอง ไม่ว่าบุคคลหนึ่งเผชิญกับความยากลำบากหรือความคิดลบอย่างไร พวกเขาก็ต้องไม่ล้มเลิก พวกเขาควรแสวงหาความจริงเพื่อหาทางแก้ไข และต้องไม่คอยอยู่เฉยๆ ระหว่างกระบวนการเติบโตในชีวิตและครรลองของความรอดของมนุษย์นั้น บางครั้งผู้คนอาจเลือกเส้นทางที่ผิด เบี่ยงเบน หรือมีเวลาที่พวกเขาแสดงสภาวะและพฤติกรรมของการไม่มีวุฒิภาวะในชีวิตออกมา พวกเขาอาจมีเวลาที่อ่อนแอและคิดลบ เวลาที่พวกเขาพูดในสิ่งที่ผิด สะดุด หรือประสบกับความล้มเหลว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์มิทรงใช้สิ่งเหล่านี้มาตำหนิพวกเขา บางคนคิดว่าความเสื่อมทรามของพวกเขาลึกซึ้งเกินไป และพวกเขาไม่มีวันที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเศร้าใจและดูหมิ่นตนเอง ผู้ที่มีหัวใจที่กลับใจเช่นนี้ย่อมเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เชื่อว่าตนเองไม่ต้องการความรอดของพระเจ้า ผู้ที่คิดว่าพวกเขาเป็นคนดีและไม่ได้ทำอะไรผิด โดยทั่วไปย่อมไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ความหมายเบื้องหลังของสิ่งที่เรากำลังบอกเจ้าคืออะไร? ใครก็ตามที่เข้าใจจงกล่าวออกมา (การที่จะรับมือกับการแสดงความเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างเหมาะสม เจ้าต้องมุ่งปฎิบัติความจริงแล้วจะได้รับความรอดของพระเจ้า หากเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่ตลอด เจ้าย่อมจะยอมให้ตนเองอยู่ในความสิ้นหวังได้อย่างง่ายดาย) เจ้าต้องมีความเชื่อและกล่าวว่า “ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะอ่อนแอ อีกทั้งเคยสะดุดและล้มเหลวมา ฉันจะเติบโตขึ้น และวันหนึ่งฉันจะเข้าใจความจริง ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และบรรลุความรอดให้ได้” เจ้าต้องมีความแน่วแน่เช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าเผชิญกับความพ่ายแพ้ ความยากลำบาก ความล้มเหลว หรือการสะดุดใดๆ เจ้าต้องไม่คิดลบ เจ้าต้องรู้ว่าผู้คนประเภทใดที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด นอกจากนี้หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองยังไม่มีคุณสมบัติที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด หรือเจ้าสบโอกาสไปอยู่ในสภาวะที่พระเจ้าทรงเกลียดหรือไม่พอพระทัย หรือมีช่วงเวลาที่เจ้าประพฤติตัวแย่ และพระเจ้าไม่ทรงยอมรับ หรือทรงรังเกียจและปฏิเสธเจ้า สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขณะนี้เจ้ารู้แล้ว และมันยังไม่สายเกินไป ตราบใดที่เจ้ากลับใจ พระเจ้าย่อมจะทรงมอบโอกาสให้แก่เจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์
บัดนี้ เจ้ารู้อย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงเชื่อในเรา? เจ้ารู้จุดประสงค์และนัยสำคัญของงานของเราอย่างแท้จริงหรือไม่? เจ้ารู้หน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? เจ้ารู้คำพยานของเราอย่างแท้จริงหรือไม่? หากเจ้าเพียงเชื่อในเราเท่านั้น ทว่ายังไม่มีวี่แววของสง่าราศีหรือคำพยานของเราในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเราย่อมกำจัดเจ้าออกไปนานแล้ว สำหรับบรรดาผู้ที่รู้ทั้งหมดนั้น พวกเขาเป็นหนามยอกตาของเราเสียมากกว่า และในนิเวศของเราพวกเขาไม่ใช่สิ่งใด ที่มากไปกว่าอุปสรรคบนวิถีของเรา พวกเขาคือข้าวละมานที่จะถูกฝัดร่อนออกไปจนหมดสิ้นในงานของเรา พวกเขาใช้การไม่ได้ พวกเขาไร้ค่า และเราชิงชังพวกเขามานานแล้ว ความโกรธเคืองของเรามักจะบังเกิดกับทุกคนที่สูญเสียคำพยานไป และไม้เรียวของเราไม่เคยไกลห่างจากพวกเขาเลย เราได้ส่งมอบพวกเขาให้กับมือของเหล่ามารร้ายมานานแล้ว พวกเขาสูญเสียพรของเราไป เมื่อวันนั้นมาถึง การตีสอนของพวกเขาจะหนักหนาสาหัสกว่าการตีสอนพวกผู้หญิงโง่เขลา วันนี้ เราทำเฉพาะงานที่เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำเท่านั้น เราจะผูกข้าวสาลีทั้งหมดเป็นมัดๆ รวมเข้าด้วยกันกับข้าวละมานเหล่านั้น นี่คือหน้าที่ของเราวันนี้ ข้าวละมานเหล่านั้นจะถูกฝัดร่อนออกไปทั้งหมดในเวลาแห่งการฝัดร่อนของเรา เมื่อนั้น เมล็ดข้าวสาลีจะถูกรวบรวมไว้ในยุ้งฉาง และข้าวละมานที่ถูกฝัดร่อนออกไปเหล่านั้นจะถูกใส่ไปในไฟเพื่อเผาเป็นเถ้าถ่าน งานของเรา ณ บัดนี้ คือการผูกมนุษย์ทั้งหมดไว้เป็นมัดๆ กล่าวคือ เป็นการพิชิตพวกเขาอย่างถึงที่สุด เมื่อนั้น เราจะเริ่มทำการฝัดร่อนเพื่อเปิดเผยวาระสุดท้ายของมนุษย์ทั้งหมด
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?
ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้คือบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง ผู้คนที่สามารถตั้งมั่นอย่างแท้จริงในคำพยานของตนต่อพระเจ้าคือบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติและสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้อย่างจริงแท้อีกด้วย ผู้คนที่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่เป็นธรรมล้วนขาดพร่องความจริง และพวกเขาล้วนนำความอัปยศอดสูมาสู่พระเจ้า พวกที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันในคริสตจักรคือสมุนของซาตาน พวกเขาคือร่างจำแลงของซาตาน ผู้คนเช่นนี้มุ่งร้ายอย่างมาก พวกที่ไม่มีการหยั่งรู้และไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ล้วนเก็บซ่อนเจตนาชั่วร้ายเอาไว้และทำให้ความจริงมัวหมอง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเป็นตัวแทนขนานแท้ของซาตาน พวกเขาอยู่นอกเหนือการไถ่ และจะถูกกำจัดออกไปเป็นธรรมดา ครอบครัวของพระเจ้าไม่ยอมให้พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงหลงเหลืออยู่ อีกทั้งไม่ยอมให้หลงเหลือผู้ที่จงใจรื้อทำลายคริสตจักรอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำงานแห่งการขับไล่ ผู้คนเช่นนั้นมีแต่จะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไปในที่สุด งานที่ไร้ประโยชน์จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้คนเหล่านี้อีกแล้ว พวกที่เป็นของซาตานไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ แต่ทว่าบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงสามารถทำได้ พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงไม่คู่ควรกับการได้ยินเรื่องหนทางแห่งความจริง และไม่คู่ควรกับการเป็นพยานต่อความจริง ความจริงนั้นไม่ใช่สำหรับหูของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่า มันมุ่งตรงไปที่บรรดาผู้ปฏิบัติความจริง ก่อนที่วาระสุดท้ายของทุกคนจะถูกเปิดเผยนั้น พวกที่รบกวนคริสตจักรและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักจะถูกทิ้งไว้ก่อนในตอนนี้ เพื่อจะถูกจัดการในภายหลัง เมื่อพระราชกิจนั้นครบบริบูรณ์ ผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะถูกเปิดโปง แล้วจากนั้น พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป สำหรับเวลานี้ ในขณะที่ความจริงกำลังถูกจัดเตรียมไว้ให้นั้น พวกเขาจะถูกเมินเฉย เมื่อความจริงทั้งปวงถูกเปิดเผยต่อมนุษย์ ผู้คนเหล่านั้นควรถูกกำจัดออกไป นั่นจะเป็นเวลาที่ผู้คนทั้งหมดจะถูกแบ่งชั้นไปตามประเภทของพวกเขา เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดาผู้ที่ไม่มีการหยั่งรู้จะนำพวกเขาไปสู่ความย่อยยับในมือของคนชั่ว พวกเขาจะถูกล่อลวงออกไปโดยคนชั่วเหล่านั้น ไม่มีวันจะคืนกลับมา และการบำบัดเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ เพราะพวกเขาไม่รักความจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ เพราะพวกเขาติดตามผู้คนที่ชั่วร้ายและยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกับผู้คนที่ชั่วร้าย และเพราะพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้คนที่ชั่วร้ายและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ผู้คนชั่วร้ายเหล่านั้นแผ่ออกมาคือความชั่ว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังทำหัวใจให้แข็งกระด้างและหันหลังให้กับความจริงเพื่อติดตามพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติความจริงแต่ปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่ทำลายล้างและน่ารังเกียจไม่ได้กำลังกระทำความชั่วกันทุกคนหรอกหรือ? ถึงแม้ว่าท่ามกลางพวกเขาจะมีบรรดาผู้ที่แต่งลักษณะของตนเองเสมือนเป็นกษัตริย์ และคนอื่นๆ ที่ติดตามพวกเขา ธรรมชาติที่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดหรอกหรือ? พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด? พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม? มิใช่ความชั่วของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังทำลายพวกเขา? มิใช่ความเป็นกบฏของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังลากพวกเขาลงไปในนรก? ผู้คนที่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอดและถูกทำให้มีความเพียบพร้อมเนื่องจากความจริง บรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะนำการทำลายล้างมาสู่ตัวพวกเขาเองเนื่องจากความจริง เหล่านี้คือบทอวสานที่รอคอยบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงและพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติความจริงอยู่
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง
ทุกคนที่ไม่แสวงหาความเชื่อฟังพระเจ้าในความเชื่อของตนนั้นก็เท่ากับต่อต้านพระองค์ พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนแสวงหาความจริง ขอให้พวกเขากระหายในพระวจนะของพระองค์ กินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และนำเอาพระวจนะไปฝึกฝนปฏิบัติ เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะเชื่อฟังพระเจ้าได้สำเร็จ หากสิ่งเหล่านี้เป็นเจตนาที่แท้จริงของเจ้าแล้วไซร้ ย่อมแน่นอนว่า พระเจ้าจะทรงยกชูเจ้า และจะทรงเปี่ยมพระคุณต่อเจ้าอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อกังขาและไม่มีทางเปลี่ยนแปลง หากเจตนาของเจ้าคือการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และเจ้ามีจุดมุ่งหมายอื่น นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างที่เจ้าพูดและทำ—การอธิษฐานของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และแม้แต่ทุกการกระทำของเจ้า—ก็จะเป็นการต่อต้านพระเจ้า เจ้าอาจพูดจาอ่อนหวานและมีมารยาทดี การกระทำและการแสดงออกทุกอย่างของเจ้าอาจจะดูถูกต้องเหมาะสม และเจ้าอาจจะดูเหมือนคนที่เชื่อฟัง แต่เมื่อมาถึงเรื่องของเจตนาของเจ้าและทรรศนะเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเป็นไปในการต่อต้านพระเจ้า ทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเป็นความชั่ว ผู้คนที่ปรากฏว่าเชื่อฟังราวกับลูกแกะ แต่กลับมีเจตนาชั่วเก็บงำอยู่ในหัวใจนั้น ก็คือพวกหมาป่าในคราบลูกแกะ พวกเขาทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองโดยตรง และพระเจ้าก็จะไม่ละเว้นพวกเขาแม้แต่คนเดียว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปิดเผยพวกเขาทุกๆ คนออกมาและจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกหน้าซื่อใจคดนั้นจะถูกรังเกียจและปฏิเสธโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน แต่จงอย่ากังวลไปเลย พระเจ้าจะพิจารณาจัดการและจำหน่ายกำจัดพวกเขาทั้งหมดทุกคนตามลำดับอันสมควร
หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความสว่างใหม่จากพระเจ้า และไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้และเจ้าไม่แสวงหา หรือกลับกังขาเป็นอื่น ด่วนตัดสิน หรือพินิจพิเคราะห์และวิเคราะห์มัน เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเจ้าไม่มีใจจะเชื่อฟังพระเจ้า หากในเวลาที่ความสว่างแห่งปัจจุบันปรากฏขึ้น เจ้ายังคงถนอมความล้ำค่าของความสว่างแห่งวันวานและต่อต้านพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เจ้าก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าคนไร้สาระคนหนึ่ง—เจ้าคือหนึ่งในพวกที่จงใจต่อต้านพระเจ้า หัวใจสำคัญในการเชื่อฟังพระเจ้าก็คือการซาบซึ้งกับความสว่างใหม่ และการสามารถยอมรับและนำไปปฏิบัติได้ สิ่งนี้เท่านั้นคือการเชื่อฟังอย่างแท้จริง พวกซึ่งขาดความเต็มใจที่จะโหยหาพระเจ้านั้นจะไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าโดยเจตนาได้ และสามารถทำได้เพียงโต้แย้งพระเจ้าอันเป็นผลจากความพึงพอใจของพวกเขาต่อสถานะที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ที่มนุษย์ไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้นั้นก็เพราะเขาถูกครองโดยสิ่งซึ่งมาก่อน สิ่งทั้งหลายซึ่งมาก่อนได้ให้มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการเกี่ยวกับพระเจ้าในทุกลักษณะกับผู้คน และสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นพระฉายาของพระเจ้าในจิตใจของพวกเขา ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้นเป็นมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง และเป็นมาตรฐานของจินตนาการของพวกเขาเอง หากเจ้าประเมินวัดพระเจ้าผู้ทรงปฏิบัติพระราชกิจจริงในวันนี้โดยเทียบกับพระเจ้าในจินตนาการของตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อของเจ้าก็มาจากซาตาน และแปดเปื้อนด้วยการเลือกชอบของตัวเจ้าเอง—พระเจ้าไม่ต้องการความเชื่อประเภทนี้ ไม่ว่าวิทยฐานะของพวกเขาจะสูงส่งเพียงใด และไม่ว่าการทุ่มเทอุทิศของพวกเขาจะมากเพียงใด—ต่อให้พวกเขาได้อุทิศความพยายามทั้งชีวิตให้กับพระราชกิจของพระองค์ และได้พลีชีพของพวกเขาเอง—พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบกับใครก็ตามที่มีความเชื่อเช่นนี้ พระองค์ก็แค่ทรงมอบพระคุณเพียงเล็กน้อยให้แก่พวกเขาและให้โอกาสพวกเขาชื่นชมมันเพียงชั่วยาม ผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และพระเจ้าจะทรงขับพวกเขาออกไปทีละคนตามลำดับอันสมควร จะหนุ่มสาวและแก่เฒ่าก็ไม่ต่างกัน พวกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าในความเชื่อของตนและมีเจตนาที่ผิดนั้น ก็คือผู้ที่ต่อต้านและทำให้หยุดชะงัก และผู้คนเช่นนี้จะต้องถูกพระเจ้าขับออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย พวกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่แค่เพียงรับรู้พระนามของพระองค์เท่านั้น และพอจะมีสัมผัสในความใจดีมีเมตตาและความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ก้าวตามให้ทันย่างพระบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่เชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์—ผู้คนเหล่านี้มีชีวิตท่ามกลางพระคุณของพระเจ้า และจะไม่ได้รับการทรงรับไว้หรือได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ด้วยความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้า
เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราก็เป็นเรื่องที่ธรรมบัญญัติแห่งสวรรค์ไม่อาจทนยอมรับได้! ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยเสนอช่องทางอันง่ายต่อการเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้! เจ้าต้องแสวงหาชีวิต วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือคนประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง เต็มใจที่จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากเจ้าเพียงมุ่งหวังบำเหน็จรางวัล และไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า—นี่คือความจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน
มนุษย์จะได้รับการดำเนินการให้ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่ในยุคแห่งราชอาณาจักร หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย มนุษย์จะอยู่ภายใต้การถลุงและความทุกข์ลำบาก บรรดาผู้ที่สามารถเอาชนะและยืนหยัดเป็นคำพยานในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ลำบากนี้คือผู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วจะได้รับการทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ พวกเขาคือผู้ชนะ ในช่วงระหว่างความทุกข์ลำบากนี้ มนุษย์พึงต้องยอมรับกระบวนการถลุงนี้ และกระบวนการถลุงนี้คือเหตุการณ์สุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เหตุการณ์นี้คือครั้งสุดท้ายที่มนุษย์จะได้รับการถลุงก่อนการสรุปปิดตัวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า และบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้าต้องยอมรับการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ และพวกเขาต้องยอมรับกระบวนการถลุงครั้งสุดท้ายนี้ พวกที่ถูกความทุกข์ลำบากรุมล้อมย่อมปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า แต่ในท้ายที่สุดแล้ว บรรดาผู้ที่ได้รับการพิชิตอย่างแท้จริงแล้วและบรรดาผู้ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะตั้งมั่น พวกเขาคือผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่มีชัยเหล่านี้จะไม่สูญสิ้นนิมิต และจะนำความจริงไปปฏิบัติโดยไม่ล้มเหลวในคำพยานของพวกเขา พวกเขาคือผู้ที่จะอุบัติขึ้นจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ในที่สุด ถึงแม้ว่าพวกที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์วุ่นวายจะยังสามารถเอารัดเอาเปรียบได้ในวันนี้ แต่ไม่มีผู้ใดมีความสามารถที่จะหลีกหนีความทุกข์ลำบากครั้งสุดท้ายไปได้ และไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากการทดสอบครั้งสุดท้ายได้ สำหรับบรรดาผู้ที่ชนะ ความทุกข์ลำบากเช่นนั้นคือกระบวนการถลุงครั้งใหญ่ แต่สำหรับผู้ที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์วุ่นวาย นั่นคือพระราชกิจแห่งการกำจัดผู้คนออกไปทั้งสิ้น ไม่ว่าพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างไร ความสวามิภักดิ์ของบรรดาผู้ที่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเปลี่ยนทัศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นแยกห่างจากพระเจ้า เช่นนั้นคือพวกที่จะไม่ตั้งมั่นในเบื้องปลาย พวกที่แสวงหาเพียงพรของพระเจ้าและไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและมอบอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระองค์ ผู้คนต่ำช้าเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกขับไล่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงบทอวสาน และพวกเขาไม่ควรค่าแก่ความเห็นอกเห็นใจใดๆ พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ “ใจดี” เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ หากผีเหล่านี้ไม่ถูกไล่ออกไป ผีเหล่านี้ซึ่งจะลงมือฆ่าโดยไม่มีการกะพริบตา พวกมันจะไม่กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่หรือ? พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดไม่ได้สัมฤทธิ์ผลหลังจากการครบบริบูรณ์ของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย ถึงแม้ว่าพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยได้ไปถึงบทอวสาน แต่พระราชกิจแห่งการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ยังไปไม่ถึงบทอวสาน พระราชกิจดังกล่าวจะเสร็จสิ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว ต่อเมื่อบรรดาผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ และต่อเมื่อพวกปลอมตัวที่ปราศจากพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาได้ถูกเอาตัวออกไปแล้วเท่านั้น พวกที่ไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระองค์จะถูกกำจัดออกไปจนสิ้น และพวกที่ถูกกำจัดออกไปคือพวกของมาร เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ พวกเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า และถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะติดตามพระเจ้าในวันนี้ การนี้ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะหลงเหลืออยู่ในท้ายที่สุด ในคำว่า “บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางจะได้รับความรอด” นั้น ความหมายของคำว่า “ติดตาม” คือการตั้งมั่นท่ามกลางความทุกข์ลำบาก วันนี้ ผู้คนมากมายเชื่อว่าการติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุด เจ้าจะรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ติดตาม” เพียงเพราะเจ้ายังคงมีความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าในวันนี้หลังจากที่ได้รับการพิชิต ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ในท้ายที่สุด พวกที่ไร้ความสามารถที่จะสู้ทนการทดสอบ พวกที่ไม่สามารถมีชัยท่ามกลางความทุกข์ลำบาก จะไม่สามารถยืนหยัด และดังนั้นจะไร้ความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงบทอวสาน บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมมีความสามารถที่จะทนสู้การทดสอบของงานของพวกเขา ในทางตรงกันข้าม พวกที่ไม่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ย่อมไม่สามารถทนสู้การทดสอบใดๆ ของพระเจ้า ไม่ช้าไม่นาน พวกเขาย่อมจะถูกขับไล่ ในขณะที่ผู้ชนะจะยังคงอยู่ในราชอาณาจักร การที่มนุษย์แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นกำหนดจากการทดสอบแห่งงานของเขา นั่นคือ จากบททดสอบของพระเจ้า และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง พระเจ้าไม่ทรงปฏิเสธบุคคลใดตามพระดำริชั่วแล่น ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำสามารถโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่ออย่างถึงที่สุดได้ พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์มองไม่เห็น หรือพระราชกิจใดก็ตามที่ไม่สามารถโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่อ การเชื่อของมนุษย์เป็นจริงหรือไม่นั้นย่อมพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง และมนุษย์ไม่สามารถตัดสินความเชื่อของตนได้ คำว่า “ข้าวสาลีไม่สามารถถูกทำให้เป็นข้าวละมานได้ และข้าวละมานก็ไม่สามารถถูกทำให้เป็นข้าวสาลีได้” เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย ผู้คนทั้งหมดที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงจะยังคงเหลืออยู่ในราชอาณาจักรในท้ายที่สุด และพระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติไม่ดีต่อผู้ใดก็ตามที่รักพระองค์อย่างแท้จริง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์
ตอนนี้ การที่การไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้าจะมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นถูกประเมินวัดโดยสิ่งที่พวกเจ้ามีในปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่ใช้ในการกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเจ้า กล่าวคือ จุดจบของพวกเจ้าได้รับการเปิดเผยในการพลีอุทิศที่พวกเจ้าได้ทำและสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าได้ทำ จุดจบของพวกเจ้าจะรู้ได้ก็โดยการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้า ความเชื่อของพวกเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำ ท่ามกลางพวกเจ้าทั้งหมด มีหลายคนที่เกินกว่าจะได้รับความรอดไปแล้ว ด้วยเหตุที่วันนี้คือวันแห่งการเปิดเผยจุดจบของผู้คน และเราจะไม่สับสนปนเปในงานของเรา เราจะไม่นำทางพวกที่เกินกว่าจะได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เข้าสู่ยุคถัดไป จะมีเวลาที่งานของเราแล้วเสร็จ เราจะไม่ทำงานกับบรรดาซากศพส่งกลิ่นเหม็นและไร้จิตวิญญาณเหล่านั้นที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเลย ตอนนี้คือยุคสุดท้ายแห่งความรอดของมนุษย์ และเราจะไม่ทำงานที่ไร้ประโยชน์ จงอย่าท้วงติงฟ้าและแผ่นดินโลก—บทอวสานของโลกกำลังมา นั่นมิอาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งทั้งหลายได้มาถึงจุดนี้ และไม่มีสิ่งใดที่เจ้าในฐานะมนุษย์สามารถทำเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้นได้ เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายดั่งที่เจ้าปรารถนาได้ เมื่อวานนี้ เจ้าไม่ได้จ่ายราคาเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเจ้าไม่ได้จงรักภักดี วันนี้ เวลานั้นได้มาถึงแล้ว เจ้าเกินกว่าจะได้รับความรอด และพรุ่งนี้เจ้าจะถูกกำจัดออกไป และจะไม่มีการเอ้อระเหยสำหรับความรอดของเจ้า ถึงแม้ว่าหัวใจของเราจะอ่อนโยนและเรากำลังทำอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยเจ้าให้รอด หากเจ้าไม่เพียรพยายามในนามของเจ้าเองหรือไม่คิดอะไรด้วยตัวเจ้าเอง การนี้มีอันใดหรือที่เกี่ยวข้องกับเรา? พวกที่คิดถึงเพียงแค่เนื้อหนังของพวกเขาเท่านั้นและพวกที่ชื่นชมสิ่งชูใจ พวกที่ดูเหมือนว่าเชื่อแต่เป็นผู้ที่ไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง พวกที่เข้าร่วมในเวชกรรมและเวทมนตร์ชั่ว พวกที่สำส่อน กระเซอะกระเซิงและมอมแมม พวกที่ขโมยเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์และสิ่งที่พระองค์ทรงมี พวกที่รักการติดสินบน พวกที่ฝันถึงการขึ้นสู่สวรรค์อย่างหาสาระไม่ได้ พวกที่โอหังและทะนงตน พวกที่เพียรพยายามเพียงเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภส่วนตัวเท่านั้น พวกที่กระจายคำพูดล่วงเกินไม่รู้จักสูงต่ำ พวกที่หมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เอง พวกที่ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากทำการตัดสินต่อต้านและใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าพระองค์เอง พวกที่จัดตั้งหมู่คณะและแสวงหาความเป็นอิสระ พวกที่ยกย่องตัวพวกเขาเองเหนือพระเจ้า พวกผู้ชายและผู้หญิงวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชราหยิบหย่งเหลาะแหละเหล่านั้นที่ติดบ่วงอยู่ในความมักมากในกาม พวกผู้ชายและผู้หญิงเหล่านั้นที่ชื่นชมชื่อเสียงและโชคลาภส่วนตัวและไล่ตามเสาะหาสถานะส่วนตัวท่ามกลางคนอื่น พวกผู้คนที่ไม่กลับใจเหล่านั้นที่ติดกับดักอยู่ในบาป—พวกเขาทั้งหมดไม่เกินกว่าจะได้รับความรอดหรอกหรือ? ความมักมากในกาม บาปหนา เวชกรรมชั่ว เวทมนตร์ ความจ้วงจาบหยาบคาย คำพูดล่วงเกินไม่รู้จักสูงต่ำล้วนแต่วิ่งพล่านอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และความจริงและพระวจนะแห่งชีวิตก็ถูกเหยียบย่ำในท่ามกลางพวกเจ้า และภาษาอันบริสุทธิ์ก็ถูกทำให้มัวหมองท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าคนต่างชาติทั้งหลายที่ลำพองไปด้วยความโสมมและความเป็นกบฏ! จุดจบสุดท้ายของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร? พวกที่รักเนื้อหนัง ผู้ที่กระทำเวทมนตร์เกี่ยวกับเนื้อหนัง และผู้ที่ติดบ่วงอยู่ในบาปแบบมักมากในกามสามารถมีความกล้าบ้าบิ่นที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไร! เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้คนเช่นพวกเจ้านั้นคือบรรดาหนอนแมลงที่เกินกว่าจะได้รับความรอด? สิ่งใดเล่าทำให้เจ้ามีสิทธิ์เรียกร้องการนี้และการนั้น? จนถึงวันนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยในพวกที่ไม่รักความจริงและรักเพียงเนื้อหนังเท่านั้น—ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร? พวกที่ไม่รักหนทางแห่งชีวิต ผู้ที่ไม่ยกย่องพระเจ้าและเป็นคำพยานต่อพระองค์ ผู้ที่วางอุบายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะของพวกเขาเอง ผู้ที่สรรเสริญตัวพวกเขาเอง—แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาไม่ใช่ยังคงเป็นเหมือนเดิมหรอกหรือ? สิ่งใดหรือคือคุณค่าในการช่วยพวกเขาให้รอด? การที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความอาวุโสของเจ้านั้นมีมากน้อยเพียงใดหรือว่าเจ้าได้ทำงานมาแล้วจนถึงขณะนี้เป็นเวลากี่ปีแล้ว และนับประสาอะไรที่มันจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้สร้างสมวิทยฐานะมามากน้อยเพียงใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าได้ให้ผลแล้วหรือไม่ เจ้าควรที่จะรู้ว่าบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดคือ “ต้นไม้” ที่ให้ผล ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีใบไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้อันอุดมที่ยังไม่เคยออกผลเลย ต่อให้เจ้าได้ใช้เวลาหลายปีร่อนเร่ไปตามท้องถนน นั่นสำคัญอะไรเล่า? คำพยานของเจ้าอยู่ที่ใด? เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าน้อยกว่าที่เจ้ามีในหัวใจซึ่งรักตัวเจ้าเองและความอยากได้อยากมีอันเต็มไปด้วยตัณหาของเจ้ามากมายนัก—บุคคลประเภทนี้ไม่ใช่คนเสื่อมหรอกหรือ? พวกเขาจะสามารถเป็นวัตถุตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับความรอดได้อย่างไร? ธรรมชาติของเจ้านั้นไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าเป็นกบฏมากเกินไป เจ้านั้นเกินกว่าที่จะได้รับความรอด! ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่พวกที่จะถูกกำจัดออกไปหรอกหรือ? เวลาที่งานของเราแล้วเสร็จไม่ใช่เวลาแห่งการมาถึงของวันสุดท้ายของเจ้าหรอกหรือ? เราได้ทำงานมากมายเหลือเกินและได้กล่าววจนะไปมากมายเหลือเกินท่ามกลางพวกเจ้า—สิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใดได้เข้าหูของพวกเจ้าอย่างแท้จริง? สิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใดที่เจ้าได้เคยนบนอบ? เมื่องานของเราสิ้นสุด นั่นจะเป็นเวลาที่เจ้าหยุดต่อต้านเรา เวลาที่เจ้าหยุดยืนต้านเรา ขณะที่เราทำงาน พวกเจ้าปฏิบัติตนต่อต้านเราอยู่เนืองนิตย์ พวกเจ้าไม่เคยปฏิบัติตามวจนะของเรา เราทำงานของเรา และเจ้าก็ทำ “งาน” ของเจ้าเอง สร้างราชอาณาจักรน้อยของเจ้าเอง พวกเจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากฝูงสุนัขจิ้งจอกและสุนัข ทำทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นการต่อต้านเรา! เจ้ากำลังพยายามอยู่เนืองนิตย์ที่จะนำพาพวกที่มอบความรักอันไม่แบ่งแยกของพวกเขาให้แก่เจ้าเข้ามาสู่อ้อมกอดของเจ้า—หัวใจที่เปี่ยมความยำเกรงของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ? ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นหลอกลวง! เจ้าไม่มีการนบนอบหรือความยำเกรงเลย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นหลอกลวงและเป็นการหมิ่นประมาท! ผู้คนเช่นนั้นสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ? พวกมนุษย์ที่ไร้ศีลธรรมในทางเพศและบ้าตัณหาต้องการที่จะดึงดูดหญิงโสเภณียั่วสวาทเข้ามาหาพวกเขาเสมอเพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขาเอง เราจะไม่ช่วยพวกปีศาจที่ไร้ศีลธรรมในทางเพศเช่นนั้นอย่างแน่นอน เราเกลียดชังพวกเจ้าปีศาจโสมม และความบ้าตัณหาและความยั่วสวาทของพวกเจ้าจะผลักพวกเจ้าลงสู่นรก พวกเจ้ามีสิ่งใดหรือที่จะพูดเพื่อตัวพวกเจ้าเอง? พวกเจ้าปีศาจโสมมและวิญญาณชั่วนั้นช่างน่าอาเจียนนัก! เจ้าช่างน่าขยะแขยงนัก! ขยะเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร? พวกเขาที่ติดบ่วงในบาปยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ? ในวันนี้ ความจริงนี้ หนทางนี้ และชีวิตนี้ไม่ได้ดึงดูดใจพวกเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับถูกดึงดูดใจโดยบาปหนา โดยเงินตรา โดยจุดยืน ชื่อเสียง และผลกำไร โดยความชื่นชมยินดีของเนื้อหนัง โดยความหล่อเหลาของพวกผู้ชายและเสน่ห์ของพวกผู้หญิง สิ่งใดหรือที่ทำให้พวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา? ภาพลักษณ์ของพวกเจ้ายิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ สถานะของพวกเจ้าสูงกว่าของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ คงไม่ต้องพูดถึงเกียรติยศของพวกเจ้าท่ามกลางพวกมนุษย์—พวกเจ้าได้กลายเป็นรูปเคารพที่ผู้คนเคารพบูชา เจ้าไม่ได้กลายเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์แล้วหรอกหรือ? เมื่อจุดจบของผู้คนถูกเปิดเผย ซึ่งก็เป็นเวลาที่พระราชกิจแห่งความรอดจะเข้าใกล้ตอนจบด้วยเช่นกัน คนเหล่านั้นมากมายในท่ามกลางพวกเจ้าจะเป็นซากศพที่พ้นวิสัยของการได้รับความรอดและจะต้องถูกกำจัดออกไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)
ทุกคริสตจักรมีผู้คนซึ่งก่อให้เกิดการรบกวนคริสตจักรหรือทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก พวกเขาล้วนเป็นซาตานผู้ซึ่งได้แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าโดยการแฝงตัว ผู้คนเช่นนี้เก่งด้านการแสดง นั่นคือ พวกเขามาอยู่ต่อหน้าเราด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ทำพินอบพิเทา ใช้ชีวิตเหมือนกับสุนัขขี้เรื้อน และอุทิศ “ทั้งหมด” ของพวกเขาเพื่อให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของตนเอง—แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดาพี่น้องชายหญิง พวกเขาแสดงให้เห็นด้านที่น่าเกลียดของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่ปฏิบัติความจริง พวกเขาจะโจมตีผู้คนเหล่านั้นและผลักไสพวกเขาให้พ้นทาง เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่น่าเกรงขามกว่าตนเอง พวกเขาจะเยินยอและประจบประแจงคนพวกนั้น พวกเขาประพฤติตัวป่าเถื่อนในคริสตจักร สามารถพูดได้ว่า “อันธพาลประจำถิ่น” เช่นนั้น “คนขี้ประจบ” เช่นนั้น มีอยู่ในคริสตจักรส่วนใหญ่ พวกเขาจะกระทำการอย่างชั่วร้ายด้วยกัน ขยิบตาและส่งสัญญาณลับให้กันและกัน และพวกเขาไม่มีใครปฏิบัติความจริงเลย ผู้ใดก็ตามที่มีพิษมากที่สุดได้เป็น “หัวหน้าปีศาจ” และผู้ใดก็ตามที่มีศักดิ์ศรีสูงที่สุดจะได้นำพวกเขา ถือธงของพวกเขาให้สูงขึ้น ผู้คนเหล่านี้อาละวาดไปทั่วคริสตจักร เผยแพร่ความคิดด้านลบของพวกเขา ระบายถึงความตาย กระทำอย่างที่พวกเขาพอใจ พูดสิ่งที่พวกเขาพอใจ และไม่มีใครสักคนกล้าหยุดพวกเขา พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยอุปนิสัยของซาตาน ทันทีที่พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น บรรยากาศแห่งความตายก็เข้ามายังคริสตจักร บรรดาผู้คนภายในคริสตจักรที่ปฏิบัติความจริงถูกเดียดฉันท์ ไร้ความสามารถที่จะมอบทุกอย่างของพวกเขาได้ ในขณะที่พวกที่รบกวนคริสตจักรและเผยแพร่ความตายทำการอาละวาดอยู่ภายใน—และนอกจากนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ติดตามพวกเขา คริสตจักรเช่นนั้นถูกปกครองโดยซาตาน ธรรมดาและเรียบง่าย มีมารเป็นกษัตริย์ของพวกเขา หากสมาชิกของคริสตจักรไม่ลุกขึ้นและปฏิเสธหัวหน้าปีศาจ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะพบกับความหายนะด้วยเช่นกันไม่ช้าก็เร็ว จากนี้เป็นต้นไป ต้องมีการใช้มาตรการต่างๆ กับคริสตจักรเช่นนั้น หากมีพวกที่มีความสามารถในการปฏิบัติความจริงเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ได้พยายาม เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะถูกลบล้างไป หากคริสตจักรหนึ่งไม่มีผู้ใดสักคนที่เต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่มีผู้ใดสักคนที่สามารถยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะต้องถูกแยกไปอย่างบริบูรณ์ และการติดต่อกับคริสตจักรอื่นๆ ต้องถูกตัดขาด “สิ่งนี้เรียกว่าการฝังความตาย” นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเดียดฉันท์ซาตาน หากคริสตจักรหนึ่งมีอันธพาลประจำถิ่นหลายคน และพวกเขาถูกติดตามโดย “แมลงวันเล็กๆ” ที่ขาดพร่องการหยั่งรู้โดยสิ้นเชิง และหากสมาชิกของคริสตจักรนั้น แม้ว่าหลังจากได้เห็นความจริงแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถปฏิเสธการผูกมัดและการบงการของอันธพาลเหล่านี้ได้—เช่นนั้นแล้ว คนโง่ทั้งหมดนั้นย่อมจะถูกกำจัดออกไปในที่สุด แมลงวันเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ากลัว แต่พวกเขาตลบตะแลงเสียยิ่งกว่า ลื่นไหลและหลบเลี่ยงเก่งเสียยิ่งกว่า และทุกคนที่เป็นเช่นนี้ย่อมจะถูกกำจัดออกไป จะต้องไม่หลงเหลือสักคนเดียว! พวกที่เป็นของซาตานก็จะถูกส่งกลับไปหาซาตาน ขณะที่บรรดาผู้ที่เป็นของพระเจ้าก็จะไปค้นหาความจริงอย่างแน่นอน การนี้ถูกตัดสินโดยธรรมชาติของพวกเขา พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามซาตานจงพินาศไปให้สิ้น! จะไม่มีการแสดงความสงสารต่อผู้คนเช่นนั้นเลย บรรดาผู้ที่ค้นหาความจริงจงได้รับการจัดเตรียมให้ และขอให้พวกเขาได้รับความพึงพอใจในพระวจนะของพระเจ้าจนสมใจของพวกเขา พระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์จะไม่ทรงแสดงความลำเอียงต่อผู้ใด หากเจ้าคือมาร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ หากเจ้าคือใครบางคนที่ค้นหาความจริง เช่นนั้นแล้ว ก็แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานจับเป็นเชลย การนี้อยู่นอกเหนือความสงสัยทั้งปวง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง
พระเจ้าไม่ได้ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นผู้คนที่หมิ่นประมาทหรือต้านทานพระองค์ หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ให้ร้ายพระองค์—ผู้คนที่มีเจตนาโจมตี ให้ร้าย และสาปแช่งพระองค์—แต่พระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อพวกเขา พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาในพระทัยของพระองค์ พระองค์ยังแม้กระทั่งประกาศอย่างเปิดเผยว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อผู้ที่หมิ่นประมาทพระองค์ และเพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์จะทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขาอย่างไร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้ ผู้คนแทบจะไม่สามารถมองเห็นความจริงว่าพระเจ้าจะทรงควบคุมดูแลผู้คนเหล่านั้นอย่างไร และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังบทอวสานและคำพิพากษาที่พระเจ้าทรงออกให้กับพวกเขา นั่นจึงกล่าวได้ว่า ผู้คนไม่สามารถมองเห็นแนวทางและวิธีการที่เฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าทรงมีเพื่อควบคุมดูแลพวกเขา นี่เกี่ยวข้องกับหลักการในการทำสิ่งต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการจัดการกับพฤติกรรมชั่วของผู้คนบางคน นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงประกาศบาปของพวกเขา และไม่ได้ทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขา แต่ทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการให้การลงโทษและผลสนองที่ยุติธรรมของพวกเขา เมื่อข้อเท็จจริงเหล่านี้เกิดขึ้น เนื้อหนังของผู้คนคือสิ่งที่ทนทุกข์กับการลงโทษ ซึ่งหมายความว่าการลงโทษคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ เมื่อทรงจัดการกับพฤติกรรมชั่วของผู้คนบางคน พระเจ้าเพียงแค่ทรงสาปแช่งพวกเขาด้วยพระวจนะ และความกริ้วของพระองค์ก็เกิดขึ้นกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่การลงโทษที่พวกเขาได้รับอาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม บทอวสานประเภทนี้อาจร้ายแรงมากกว่าบทอวสานที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้เสียอีก เช่น การถูกลงโทษหรือถูกฆ่า นี่เป็นเพราะภายใต้รูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดแล้วว่าจะไม่ช่วยบุคคลประเภทนี้ให้รอด จะไม่แสดงความปรานีหรือมีการทนยอมรับให้พวกเขาอีกต่อไป และจะไม่จัดเตรียมโอกาสใดๆ แก่พวกเขาอีก เช่นนั้นแล้วท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาคือท่าทีแห่งการละวางพวกเขา… เมื่อบุคคลหนึ่งต้านทานพระเจ้าและให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระองค์ หากพวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์ หรือหากพวกเขาผลักดันพระเจ้าเกินขีดจำกัดการทนยอมรับของพระองค์ เช่นนั้นแล้วผลพวงจะเป็นสิ่งที่น่าตกใจเกินกว่าจะนึกถึง ผลพวงที่รุนแรงที่สุดคือ พระเจ้าทรงยื่นชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาให้แก่ซาตานแบบครั้งเดียวและตลอดไป พวกเขาจะไม่ได้รับการประทานอภัยชั่วนิจนิรันดร์ นี่หมายความว่าบุคคลนี้ได้กลายเป็นอาหารในปากของซาตาน ของเล่นในมือของมันไปแล้ว และจากนั้นเป็นต้นไปพระเจ้าจะไม่ทรงมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3
คนทำชั่วทั้งหมดและบรรดาผู้ที่แสดงความประพฤติที่ชอบธรรมทั้งหมดในท้ายที่สุดแล้วก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่กระทำความชั่วจะถูกทำลายไปในที่สุด และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้แสดงความประพฤติที่ชอบธรรมจะรอดชีวิต นี่คือการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสองประเภทนี้ คนทำชั่วไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า แต่พวกเขาได้ถูกซาตานจับไว้เนื่องจากความเป็นกบฏของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งประพฤติตัวเองอย่างชอบธรรมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และยังได้รับความรอดหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาจะรอดชีวิต คนทำชั่วคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ซึ่งเป็นกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และได้ถูกซาตานจับไว้โดยทั่วทั้งสิ้นแล้ว ผู้คนซึ่งกระทำความชั่วก็คือผู้คนเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นพวกมนุษย์ผู้ซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามจนถึงที่สุด และเป็นผู้ซึ่งไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ ในฐานะที่พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นเดียวกันนั้น ผู้คนที่ประพฤติชอบธรรมก็ถูกทำให้เสื่อมทรามด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาเป็นพวกมนุษย์ผู้ซึ่งเต็มใจที่จะหลุดพ้นจากอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนและได้กลับกลายเป็นมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าได้ ผู้คนที่ประพฤติชอบธรรมมิได้เปี่ยมล้นด้วยความชอบธรรม แต่ทว่าพวกเขาได้รับความรอดและหลุดพ้นจากอุปนิสัยชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้า พวกเขาจะตั้งมั่นในท้ายที่สุด แต่ทว่านั่นมิใช่การกล่าวว่าพวกเขาไม่เคยถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หลังจากที่พระราชกิจของพระเจ้าจบสิ้นลง ในหมู่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดนั้น จะมีบรรดาผู้ซึ่งจะถูกทำลายและบรรดาผู้ซึ่งจะรอดชีวิต นี่คือแนวโน้มที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้แห่งงานการบริหารจัดการของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ คนทำชั่วทั้งหลายจะไม่ถูกปล่อยให้รอดชีวิต บรรดาผู้ซึ่งนบนอบและติดตามพระเจ้าก็มั่นใจได้ว่าจะรอดชีวิตในท้ายที่สุด เนื่องจากพระราชกิจนี้คือการบริหารจัดการของมนุษยชาติ จึงจะมีบรรดาผู้ซึ่งหลงเหลืออยู่และบรรดาผู้ซึ่งถูกกำจัดออกไป เหล่านี้คือบทอวสานที่แตกต่างกันสำหรับผู้คนประเภทที่แตกต่างกัน และบทอวสานเหล่านั้นคือการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน
บัดนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการพิพากษาและอะไรคือความจริง? หากเจ้าเข้าใจแล้ว เราขอเตือนสติเจ้าให้นบนอบเชื่อฟังการถูกพิพากษา มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสที่จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าหรือได้รับการพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์โดยพระองค์ พวกที่ยอมรับเพียงการพิพากษาเท่านั้น แต่ไม่มีวันที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ กล่าวคือพวกที่หลบหนีไปกลางพระราชกิจแห่งการพิพากษา จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ตลอดกาล บาปนานาของพวกเขานั้นมากมายและน่าสลดใจยิ่งกว่าของพวกฟาริสี เพราะพวกเขาได้ทรยศพระเจ้าและเป็นพวกกบฏต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ซึ่งไม่คู่ควรแม้แต่จะทำงานใช้แรงย่อมจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นการลงโทษที่ยาวนานตลอดกาล พระเจ้าจะไม่ทรงละเว้นคนทรยศใดๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยแสดงความจงรักภักดีอย่างชัดแจ้งด้วยคำพูดแต่แล้วก็ทรยศพระองค์ ผู้คนเช่นนี้จะได้รับบทลงโทษที่รุนแรงสาสมผ่านทางการลงโทษวิญญาณ ดวงจิต และร่างกาย นี่ไม่ใช่การเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแม่นยำหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระเจ้าในการพิพากษามนุษย์และเปิดโปงเขาหรอกหรือ? พระเจ้าทรงส่งทุกคนที่ปฏิบัติความประพฤติชั่วทุกประเภทในช่วงเวลาแห่งการพิพากษาไปยังสถานที่ที่ยุบยับไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายและปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ทำลายร่างกายอันเต็มไปด้วยเนื้อหนังของพวกเขาตามที่พวกมันปรารถนา และร่างกายของผู้คนเหล่านั้นส่งกลิ่นเหม็นของซากศพ นั่นคือบทลงโทษที่เหมาะสมของพวกเขา พระเจ้าทรงจารึกบาปทั้งหมดทุกครั้งของเหล่าผู้เชื่อจอมปลอม สาวกจอมปลอมและคนงานจอมปลอมลงในสมุดบันทึกของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงโยนพวกเขาทิ้งลงไปท่ามกลางวิญญาณที่ไม่สะอาด ปล่อยให้วิญญาณที่ไม่สะอาดเหล่านี้สร้างมลทินให้ทั่วร่างกายของพวกเขาตามอำเภอใจ เพื่อที่พวกเขาจะไม่มีวันได้เกิดเป็นมนุษย์อีกและไม่มีวันได้เห็นความสว่างอีกเลย บรรดาผู้เสแสร้งที่ทำงานรับใช้ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ไม่สามารถจงรักภักดีต่อไปได้จนถึงปลายทางถูกพระเจ้านับรวมกับคนชั่ว เพื่อที่พวกเขาจะเข้าไปสมคบคิดกับคนชั่วและกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนโกลาหลไร้ระเบียบของพวกนั้น ในที่สุด พระเจ้าจะทำลายล้างพวกเขา พระเจ้าทรงทอดทิ้งและไม่ใส่พระทัยรับรู้ถึงพวกที่ไม่เคยจงรักภักดีต่อพระคริสต์หรือไม่เคยแบ่งปันสิ่งใดจากพละกำลังของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยุค พระองค์จะทรงทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะไม่ดำรงอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป และยิ่งไม่ได้รับเส้นทางเดินเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าพวกที่ไม่เคยจริงใจกับพระเจ้า แต่ถูกสถานการณ์บังคับให้ติดต่อกับพระองค์อย่างขอไปทีนั้น ถูกนับรวมกับบรรดาผู้ที่รับใช้ผู้คนของพระองค์ มีผู้คนเช่นนี้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะอยู่รอด ขณะที่ส่วนใหญ่จะต้องพินาศพร้อมกับพวกคนออกแรงทำงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงนำสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ซึ่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีจิตใจเช่นเดียวกับพระเจ้า ผู้คนและบุตรของพระเจ้า และผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เป็นปุโรหิต พวกเขาจะเป็นสิ่งกลั่นกรองจากพระราชกิจของพระเจ้า สำหรับพวกที่ไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดๆ ที่พระเจ้ากำหนด พวกเขาจะถูกนับรวมไปกับผู้ไม่มีความเชื่อ—และพวกเจ้าสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอนว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหมดที่เราควรบอกแล้ว ถนนที่พวกเจ้าเลือกเป็นตัวเลือกของพวกเจ้าเพียงลำพัง สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจคือสิ่งนี้ กล่าวคือ พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยรอผู้ใดที่ไม่สามารถก้าวทันพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ผู้ใด
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
ชะตากรรมของคนเราจะออกมาเป็นอย่างไรในบทอวสาน?
บุคคลประเภทใดอยู่เลยพ้นการช่วยให้รอด?
ใครก็ตามซึ่งไม่ปฏิบัติตามความจริงจะถูกกำจัดทิ้ง
การจัดการเตรียมการของพระเจ้าสำหรับจุดจบของกลุ่มชนทั้งมวล