ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)

ในการชุมนุมคราวที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อใหญ่เรื่องหนึ่งคือวิธีไล่ตามเสาะหาความจริง  วิธีไล่ตามเสาะหาความจริง—พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้ไว้อย่างไร?  (พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมไว้สองแง่มุม แง่มุมแรกคือ “การปล่อยมือ” แง่มุมที่สองคือ “การอุทิศตน”  ในแง่ของการปล่อยมือ พระเจ้าตรัสถึงภาวะอารมณ์เชิงลบที่มีอยู่ในตัวมนุษย์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงผลกระทบและผลพวงจำเพาะที่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของ ความต่ำต้อย ความโกรธ และความเกลียดชังมีต่อหน้าที่ของพวกเรา  สามัคคีธรรมของพระเจ้าทำให้พวกเรามีความเข้าใจที่ต่างออกไปในเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเรามองเห็นว่าพวกเรามักจะมองข้ามภาวะอารมณ์ที่เป็นลบซึ่งตนเผยออกมาอยู่ทุกวัน และปกติแล้วก็ไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะหรือทำความเข้าใจภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตนเอง  พวกเราใช้ดุลยพินิจด้านเดียวว่าพวกเราก็เป็นแค่คนแบบนี้  พวกเรานำภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้เข้ามาสู่หน้าที่ของตน และนี่ก็มีผลกระทบโดยตรงต่อผลลัพธ์ของหน้าที่นั้นๆ  ทั้งยังมีอิทธิพลต่อวิธีการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย กับวิธีการจัดการปัญหาในชีวิตของพวกเราอีกด้วย  นี่ทำให้การเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับพวกเรา)  ในการชุมนุมของพวกเราเมื่อคราวที่แล้ว เราสามัคคีธรรมกันว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  เมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติ ย่อมมีเส้นทางหลักๆ อยู่สองทาง—คือเส้นทางที่เป็นการปล่อยมือ และเส้นทางของการอุทิศตน  ครั้งที่แล้วพวกเราสรุปปัญหาสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับแง่มุมแรกของเส้นทางสายแรกซึ่งก็คือ “การปล่อยมือ”—นั่นคือ คนเราต้องปล่อยมือจากภาวะอารมณ์นานาชนิด  โดยหลักแล้วก็คือภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ—ได้แก่ ภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติ ไม่สมเหตุสมผล และไม่สอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผล  ในบรรดาภาวะอารมณ์เหล่านี้ สามัคคีธรรมของพวกเรามุ่งเน้นภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของการมีปมด้อย ความโกรธ และความเกลียดชัง รวมทั้งพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นผลจากการใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลลัพธ์ของรูปการณ์จำเพาะหรือภูมิหลังด้านพัฒนาการบางอย่าง รวมทั้งภาวะอารมณ์เชิงลบที่สะท้อนอยู่ในลักษณะนิสัยที่ผิดปกติ  เหตุใดจึงต้องปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้?  หากกล่าวตามข้อเท็จจริง นั่นเป็นเพราะภาวะอารมณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนเกิดกรอบความคิดและมุมมองที่เป็นลบ และมีอิทธิพลต่อจุดยืนที่พวกเขาใช้เวลาเผชิญหน้าผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งทั้งหลาย  ดังนั้น แง่มุมแรกของแนวทางปฏิบัตินี้—ซึ่งก็คือการปล่อยมือ—จึงกำหนดให้ผู้คนปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทุกชนิด  ครั้งที่แล้วพวกเราร่วมกันสามัคคีธรรมเรื่องภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้กันบ้างแล้ว  แต่นอกเหนือจากการมีปมด้อย ความโกรธ และความเกลียดชังที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้ว แน่นอนว่ายังมีภาวะอารมณ์นานัปการที่สามารถส่งผลต่อทัศนะของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ภาวะอารมณ์เหล่านี้แทรกแซงมโนธรรม เหตุผล การคิดอ่าน และดุลยพินิจของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และสามารถส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการไล่ตามเสาะหาความจริงของมนุษย์  นี่หมายความว่าภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้คือสิ่งแรกที่มนุษยชาติต้องปล่อยมือในการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน  สามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้จะพูดถึงหัวข้อที่คุยกันอยู่—ซึ่งก็คือควรปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ อย่างไร  ก่อนอื่นพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงการสำแดงต่างๆ ของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ และด้วยสามัคคีธรรมของเราในเรื่องของการสำแดงเหล่านี้ มนุษย์ย่อมจะสามารถทำความรู้จักภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ สามารถยกภาวะอารมณ์เหล่านี้ขึ้นมาเปรียบเทียบกับตนเอง แล้วจากนั้นก็เริ่มแก้ไขภาวะอารมณ์เหล่านี้ไปทีละอย่างในชีวิตประจำวันของตนได้  ด้วยการแสวงหาและทำความเข้าใจความจริง ด้วยการทำความรู้จักและชำแหละความคิดและความเห็นที่เป็นลบ รวมทั้งมุมมองและจุดยืนที่ผิดปกติซึ่งภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทำให้เกิดขึ้นในตัวผู้คน พวกเขาย่อมจะสามารถเริ่มต้นแก้ไขภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ได้

คราวที่แล้วพวกเราพูดคุยกันถึงภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของ “ความหดหู่”  ก่อนอื่นผู้คนส่วนใหญ่มีภาวะอารมณ์ของความหดหู่นี้กันหรือไม่?  พวกเจ้ารับรู้ได้หรือไม่ว่าความหดหู่คือความรู้สึกแบบใด เป็นอารมณ์จำพวกใด และมีการสำแดงออกอย่างไร?  (รับรู้ได้)  เรื่องนี้เข้าใจง่าย  พวกเราจะไม่พูดถึง “ความหดหู่” ให้ครอบคลุมจนเกินไปนัก จะบรรยายแต่การสำแดงที่เกิดจากภาวะอารมณ์หดหู่ในตัวผู้ที่เชื่อและติดตามพระเจ้าเท่านั้น  “ความหดหู่” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการรู้สึกท้อใจ รู้สึกไม่ดี ไม่รู้สึกสนใจในสิ่งที่ทำอยู่ ไม่มีแรงขับเคลื่อน ไม่มีแรงจูงใจ มีท่าทีที่ค่อนข้างลบและนิ่งเฉยต่อสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำ และไม่มีความมุ่งมั่นที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรให้สำเร็จ  ดังนั้น อะไรคือมูลเหตุของการสำแดงเหล่านี้?  นี่คือประเด็นปัญหาสำคัญที่ต้องถูกชำแหละ  เมื่อเจ้าเข้าใจการสำแดงนานัปการของความหดหู่ รวมทั้งสภาวะจิตใจ ความคิด และท่าทีทั้งหลายที่แตกต่างกันในการทำสิ่งต่างๆ ซึ่งเกิดจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้แล้ว เจ้าก็ควรเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ นั่นคือ อะไรคือมูลเหตุที่อยู่เบื้องหลังภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้และก่อให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบในตัวผู้คน  เหตุใดผู้คนจึงรู้สึกหดหู่?  เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกว่าไม่มีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งต่างๆ?  ทำไมพวกเขาถึงคิดลบ นิ่งเฉย และไร้ซึ่งความมุ่งมั่นเช่นนี้อยู่ร่ำไปเวลาทำสิ่งต่างๆ?  เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีเหตุผล  ตัวอย่างเช่น เจ้าเห็นใครบางคนที่หดหู่และนิ่งเฉยอยู่เสมอเวลาพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ไม่สามารถรวบรวมพละกำลังใดๆ ขึ้นมาได้ ภาวะอารมณ์และท่าทีของพวกเขาไม่ค่อยเป็นบวกหรือมองโลกในแง่ดีนัก และพวกเขาก็แสดงท่าทีที่เป็นลบ ติเตียน และสิ้นหวังเช่นนี้อยู่เสมอ  เจ้าให้คำแนะนำแก่พวกเขาแต่พวกเขาก็ไม่เคยรับฟัง และแม้พวกเขายอมรับว่าวิธีที่เจ้าชี้ให้พวกเขาดูนั้นเป็นหนทางที่ถูกต้อง และการใช้เหตุผลของเจ้าก็ยอดเยี่ยม แต่เมื่อพวกเขาลงมือทำสิ่งต่างๆ พวกเขากลับไม่สามารถรวบรวมพละกำลังขึ้นมาได้ ทั้งยังคงคิดลบและนิ่งเฉย  ในกรณีที่เป็นหนัก เมื่อดูการเคลื่อนไหวร่างกาย รูปร่าง ท่าทางการเดิน น้ำเสียงที่ใช้พูดจาของพวกเขา และถ้อยคำที่พวกเขากล่าวออกมา เจ้าย่อมสามารถมองเห็นว่าภาวะอารมณ์ของคนคนนี้หดหู่เป็นพิเศษ พวกเขาไร้เรี่ยวแรงในทุกสิ่งที่ทำ และพวกเขาก็เหมือนผลไม้ที่ถูกบีบคั้น อีกทั้งใครก็ตามที่ใช้เวลามากมายกับคนคนนี้ย่อมจะได้รับผลตามพวกเขาไปด้วย  ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับอะไร?  พฤติกรรม การแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียงในคำพูดคำจา และแม้แต่ความคิดและมุมมองต่างๆ ซึ่งผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความหดหู่แสดงออกมานั้นมีความเป็นลบ  แล้วอะไรคือสาเหตุเบื้องหลังปรากฏการณ์ที่เป็นลบเหล่านี้?  มูลเหตุอยู่ตรงไหน?  แน่นอนว่ามูลเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความหดหู่ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละคน  ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของคนเรามีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจเกิดจากการเชื่อในชะตากรรมที่เลวร้ายของตนเองอยู่ตลอดเวลา  นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนที่พวกเขาอายุยังน้อย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหรือในภูมิภาคที่ขัดสน ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มั่งมี และนอกจากเครื่องเรือนเรียบง่ายไม่กี่ชิ้น พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่มีมูลค่ามากนัก  บางทีพวกเขาอาจมีเสื้อผ้าอยู่หนึ่งหรือสองชุดที่พวกเขาจำต้องใส่แม้จะขาดบ้างก็ตาม และโดยปกติแล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้กินอาหารคุณภาพดีๆ เลย ต้องรอวันปีใหม่หรือวันหยุดเทศกาลจึงจะได้กินเนื้อสัตว์  บางครั้งพวกเขาก็อดมื้อกินมื้อและไม่มีเสื้อผ้ามากพอที่จะสวมใส่ให้อบอุ่น การมีเนื้อชามโตเต็มชามให้กินจึงเป็นการฝันกลางวัน แม้กระทั่งจะหาผลไม้มากินสักชิ้นยังยาก  เมื่อใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกต่างจากคนอื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ มีพ่อแม่ที่มีเงินทอง กินอะไรก็ได้ที่อยากกินและสวมอะไรก็ได้ที่อยากสวม มีทุกสิ่งที่ตนต้องการในทันใด และรอบรู้ในเรื่องต่างๆ  พวกเขาย่อมจะคิดว่า “คนเหล่านั้นมีชะตากรรมที่ดีขนาดนั้น  แล้วทำไมชะตากรรมของฉันถึงแย่ขนาดนี้?”  พวกเขาอยากเป็นที่สะดุดตาของผู้คนและอยากเปลี่ยนโชคชะตาของตนอยู่เสมอ  อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนโชคชะตาของคนเรานั้นไม่ง่ายนัก  เมื่อคนเราเกิดมาในสถานการณ์ดังกล่าว แม้พวกเขาจะพยายาม แต่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนได้มากแค่ไหน และจะสามารถทำให้ชะตากรรมของตนดีขึ้นได้มากเพียงใด?  เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาถูกอุปสรรคขวางกั้นทั่วทุกแห่งในสังคมที่ตนผ่านเข้าไป พวกเขาถูกกลั่นแกล้งในทุกที่ที่ไป และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสมอว่าตนช่างโชคร้ายเหลือเกิน  พวกเขาคิดว่า “ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีอย่างนี้?  ทำไมฉันถึงเจอคนใจร้ายอยู่เรื่อย?  ตอนฉันเป็นเด็ก ชีวิตช่างทุกข์ยาก และมันเป็นแบบนั้นจริงๆ  ถึงตอนนี้ฉันโตแล้ว ชีวิตก็ยังย่ำแย่อยู่อีก  ฉันอยากแสดงให้ดูอยู่เสมอว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยสบโอกาส  ถ้าฉันไม่มีวันมีโอกาส ก็ให้เป็นเช่นนั้นเถิด  ฉันแค่อยากขยันทำงานและหาเงินให้มากพอที่จะมีชีวิตที่ดี  ทำไมเรื่องแค่นี้ฉันยังทำไม่ได้?  การมีชีวิตที่ดียากเย็นถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?  ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น  อย่างน้อยฉันก็อยากใช้ชีวิตอย่างคนในเมืองใหญ่ ไม่ถูกผู้คนดูแคลน และไม่เป็นพลเมืองชั้นสองหรือชั้นสาม  อย่างน้อยเวลาผู้คนจะเรียกฉัน พวกเขาก็จะไม่ตะโกนว่า ‘นี่เธอ มานี่!’  อย่างน้อยพวกเขาก็จะเรียกชื่อฉันและพูดจาให้เกียรติฉัน  แต่ฉันไม่อาจได้รับแม้แต่การพูดจาให้เกียรติกัน  ทำไมชะตากรรมของฉันถึงโหดร้ายอย่างนี้?  เมื่อไรชะตากรรมแบบนี้ถึงจะสิ้นสุด?”  เมื่อคนแบบนี้ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมคิดว่าชะตากรรมของตนโหดร้าย  พอพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเริ่มมองเห็นว่านี่คือหนทางที่แท้จริง เมื่อนั้นพวกเขาจึงคิดว่า “ความทุกข์ทั้งหมดก่อนหน้านี้คุ้มค่าแล้ว  ทั้งหมดนั้นคือการจัดวางเรียบเรียงและดำเนินการของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำไว้ดีแล้ว  ถ้าฉันไม่ได้ทนทุกข์อย่างนั้น ฉันก็คงจะไม่มาเชื่อในพระเจ้า  ตอนนี้เมื่อฉันเชื่อในพระเจ้าแล้ว ถ้าฉันสามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วชะตากรรมของฉันก็ควรที่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  คราวนี้ฉันก็จะสามารถมีชีวิตที่เท่าเทียมกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ผู้คนย่อมเรียกฉันว่า ‘พี่’ หรือ ‘น้อง’ และพูดจาให้เกียรติฉัน  ตอนนี้ฉันได้ลิ้มรสความรู้สึกของการที่ผู้อื่นให้เกียรติฉันแล้ว”  ดูเหมือนว่าโชคชะตาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์อีกต่อไป ไม่ได้มีชะตากรรมที่ไม่ดีอีกต่อไป  ทันทีที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ตั้งปณิธานว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าให้ดี พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ยากและงานหนัก สามารถสู้ทนได้มากกว่าผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด และพากเพียรที่จะได้รับความเห็นชอบและความยกย่องนับถือจากผู้คนส่วนใหญ่  พวกเขาคิดว่าตนอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ผู้ดูแล หรือผู้นำทีมด้วยซ้ำ และเมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะให้เกียรติบรรพชนและครอบครัวของตนอยู่มิใช่หรือ?  เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนแล้วมิใช่หรือ?  อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงไม่ค่อยจะเป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาสักเท่าใด พวกเขาจึงท้อใจและคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี เข้ากับพี่น้องชายหญิงได้ดียิ่ง แต่ทำไมพอถึงเวลาเลือกผู้นำ ผู้ดูแล หรือผู้นำกลุ่มทีไร กลับไม่เคยเป็นทีของฉันเลย?  เพราะฉันดูธรรมดามาก หรือเพราะผลงานของฉันไม่ดีพอกระนั้นหรือ ถึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉัน?  ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ฉันอาจมีความหวังอยู่บ้าง และถึงจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่ม ฉันก็ย่อมจะมีความสุข  ฉันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมากมายที่จะตอบแทนพระเจ้า แต่ทุกครั้งที่มีการออกเสียง สุดท้ายฉันกลับได้แต่ความผิดหวัง ถูกมองข้ามในทุกเรื่อง  นี่เกิดอะไรขึ้น?  เป็นไปได้ไหมว่าแท้จริงแล้วฉันเป็นได้แค่คนที่มีความสามารถงั้นๆ คนธรรมดาทั่วไปที่ทั้งชีวิตไม่มีความโดดเด่น?  พอย้อนกลับไปมองวัยเด็กของตัวเอง วัยหนุ่มสาว และช่วงวัยกลางคน เส้นทางที่ฉันย่ำเดินมานี้ก็ต่ำต้อยมาตลอด ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ควรแก่การจดจำเลย  ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความทะเยอทะยาน หรือว่าไร้ขีดความสามารถ และไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้พยายามมากพอหรือสู้ทนความทุกข์ยากไม่ได้  ฉันมีความตั้งใจแน่วแน่และมีเป้าหมาย และสามารถพูดได้ด้วยซ้ำว่าฉันมีความทะเยอทะยาน  ดังนั้น ทำไมฉันถึงไม่เคยเป็นที่สะดุดตาของผู้คนเลย?  พอวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้ว ฉันก็แค่มีชะตากรรมที่ไม่ดี ถูกลิขิตให้ทนทุกข์ และพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้ฉันแบบนี้”  ยิ่งพวกเขาวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าชะตากรรมของตนนั้นแย่ลงทุกที  ปกติแล้วระหว่างที่พวกเขาทำหน้าที่ ถ้าพวกเขาเสนอแนะหรือแสดงทัศนะบางอย่าง และได้รับถ้อยคำหักล้างอยู่เสมอ ไม่มีใครรับฟังหรือจริงจังกับพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น และคิดไปว่า “ชะตากรรมของฉันแย่เอามากๆ!  ทุกกลุ่มที่ฉันอยู่ด้วยมีคนใจร้ายคอยขวางทางก้าวหน้าและกดขี่ฉันอยู่เสมอ  ไม่มีใครเคยฟังฉันอย่างจริงจังและฉันก็ไม่เคยโดดเด่นขึ้นมาได้  เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว ก็กลับมาที่จุดนี้คือฉันแค่มีชะตากรรมที่ไม่ดี!”  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็อ้างว่าเป็นเพราะชะตากรรมของตนนั้นไม่ดี พวกเขาใช้ความพยายามกับแนวคิดเรื่องการมีชะตากรรมที่ไม่ดีนี้อย่างต่อเนื่อง พากเพียรที่จะทำความเข้าใจและรู้ซึ้งในเรื่องนี้ให้มากขึ้น และระหว่างที่พวกเขาเฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ภาวะอารมณ์ของพวกเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดเล็กน้อย พวกเขาก็คิดว่า “แล้วกัน ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีได้อย่างไรในเมื่อชะตากรรมของฉันแย่อย่างนี้?”  ในการชุมนุม พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมให้ฟังและพวกเขาก็เฝ้าคิดเรื่องต่างๆ กลับไปกลับมา แต่ก็ไม่เข้าใจและคิดไปว่า “โธ่ ฉันจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างไรในเมื่อชะตากรรมของฉันไม่ดีอย่างนี้?”  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นใครสักคนพูดจาดีกว่าตน ชี้แจงความเข้าใจที่มีได้ชัดเจนและกระจ่างกว่าตน พวกเขาก็รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่สามารถสู้ทนความทุกข์ยากและจ่ายราคาได้ ใครบางคนที่เห็นผลของการปฏิบัติหน้าที่ของตน ได้รับความเห็นชอบจากพี่น้องชายหญิงและได้เลื่อนตำแหน่ง หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นอีก และแม้ในยามที่พวกเขาเห็นใครสักคนร้องเพลงและเต้นรำเก่งกว่าตน และรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าคนคนนั้น พวกเขาก็หดหู่  ไม่ว่าผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพบเจอจะเป็นเช่นใด หรือพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์อะไรก็ตาม พวกเขาก็ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่เช่นนี้เสมอ  แม้ในยามที่พวกเขาเห็นใครบางคนสวมเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าของตนนิด หรือมีทรงผมที่ดูดีกว่าหน่อย พวกเขาก็รู้สึกเศร้าอยู่เสมอ แล้วความอิจฉาและริษยาก็บังเกิดในหัวใจของพวกเขาจนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็กลับไปหาภาวะอารมณ์ที่หดหู่นั้น  พวกเขาให้เหตุผลว่าอะไร?  พวกเขาคิดไปว่า “นี่เป็นเพราะชะตากรรมของฉันไม่ดีไม่ใช่หรือ?  ถ้าหน้าตาฉันดูดีกว่านี้หน่อย ถ้าฉันดูภูมิฐานอย่างพวกเขา ถ้าฉันสูงและมีรูปร่างดี มีเสื้อผ้าดีๆ และมีเงินมากๆ มีพ่อแม่ที่ดี เช่นนั้นแล้วสิ่งต่างๆ ย่อมจะต่างออกไปจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะยกย่องนับถือฉัน พากันอิจฉาและริษยาฉันไม่ใช่หรือ?  ท้ายที่สุดแล้วชะตากรรมของฉันไม่ดีและฉันก็โทษใครไม่ได้ในเรื่องนี้  เมื่อมีชะตากรรมที่ไม่ดี ก็ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คาดหวัง ฉันไม่สามารถเดินไปไหนๆ ได้โดยไม่สะดุดอะไรล้ม  นี่ก็เพราะชะตากรรมที่ไม่ดีของฉันเท่านั้น และฉันก็ทำอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้”  ในทำนองเดียวกัน เวลาพวกเขาถูกตัดแต่ง หรือเวลาพี่น้องชายหญิงตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา หรือให้ข้อเสนอแนะแก่พวกเขา พวกเขาก็ตอบสนองด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาหรือเรื่องของทุกสิ่งรอบตัวพวกเขา พวกเขาก็ตอบสนองด้วยความคิดอ่าน ทัศนะ ท่าที และจุดยืนที่เป็นลบอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของพวกเขา

ผู้คนแบบนี้ คนที่คิดอยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ย่อมรู้สึกเหมือนหัวใจของตนกำลังถูกหินก้อนยักษ์บดขยี้ตลอดเวลา  ด้วยเหตุที่พวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนนั้นเกิดจากชะตากรรมที่ไม่ดีของตน พวกเขาจึงรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้  แล้วพวกเขาทำเช่นไร?  พวกเขาก็เอาแต่รู้สึกในทางลบ ไม่ทำอะไร และยอมจำนนต่อความโชคร้ายของตน  เวลาเรากล่าวว่าพวกเขายอมจำนนต่อความโชคร้ายของตน เราหมายความว่าอย่างไร?  พวกเขาคิดว่า “โอ้ ฉันคงจะต้องทำอะไรอย่างไร้ทิศทางอย่างนี้ไปชั่วชีวิต!”  เมื่อผู้อื่นถูกตัดแต่ง ผู้คนเหล่านั้นสามารถทบทวนตนเองและถามว่า “ทำไมฉันถึงถูกตัดแต่ง?  ฉันได้ทำอะไรที่ขัดกับหลักธรรมความจริงลงไป?  ฉันได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรออกมา?  ความเข้าใจของฉันลึกซึ้งพอและเป็นรูปธรรมพอหรือไม่?  ฉันควรทำความเข้าใจและแก้ประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างไร?”  พวกเขาพูดถึงเรื่องแบบนี้ และนี่ก็คือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  อย่างไรก็ดี เวลาคนที่มีสิ่งที่เรียกกันว่าชะตากรรมที่ไม่ดีถูกตัดแต่ง พวกเขากลับรู้สึกว่าผู้อื่นกำลังดูแคลนตน ชะตากรรมของตนไม่ดี ดังนั้นจึงไม่มีใครชอบตน และไม่ว่าใครก็ตามที่อยากจะตัดแต่งพวกตนก็สามารถตัดแต่งได้  พอไม่มีใครตัดแต่งพวกเขา ความหดหู่ของพวกเขาก็คลายลงเล็กน้อย แต่ทันทีที่มีคนตัดแต่งพวกเขา ความหดหู่ของพวกเขากลับยิ่งเลวร้ายลง  เมื่อผู้อื่นถูกตัดแต่ง คนเหล่านั้นอาจรู้สึกในทางลบไปหลายวัน  พวกเขาจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้า และด้วยความช่วยเหลือและความเกื้อหนุนจากพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็สามารถยอมรับความจริง ค่อยๆ กลับตัว และทิ้งสภาวะที่เป็นลบนั้นไว้ข้างหลัง  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่คิดว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี นอกจากจะไม่ทิ้งภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนั้นไว้ข้างหลังแล้ว ในทางตรงข้าม พวกเขากลับยิ่งมั่นใจมากขึ้นอีกว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีจริงๆ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าทักษะของตนไม่เคยถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ รู้สึกว่าตนเองถูกตัดแต่งและถูกใช้ให้รับเคราะห์อยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่า “คุณเห็นไหม?  คนอื่นทำแบบนี้และไม่ถูกตัดแต่ง แล้วทำไมพอฉันทำแบบนี้บ้างฉันถึงถูกตัดแต่งเล่า?  นี่แสดงว่าชะตากรรมของฉันไม่ดีแน่!”  ดังนั้นพวกเขาจึงหดหู่แบบนี้และตกอยู่ในความสิ้นหวัง  ไม่ว่าผู้อื่นจะพยายามสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาอย่างไร ก็ไม่ซึมซาบเข้าไป และพวกเขาก็กล่าวว่า “พวกคุณแค่ถูกตัดแต่งเพียงครู่เดียว แต่สำหรับฉันนั้นต่างกัน  ฉันไม่สามารถทำอะไรได้อย่างถูกต้องและเกิดมาเพื่อสู้ทนกับการถูกตัดแต่ง  ฉันไม่อาจโทษใครได้ แค่ชะตากรรมของฉันไม่ดีก็เท่านั้นเอง”  เนื่องจากพวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดี และจะเป็นเช่นนี้เสมอตราบเท่าที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะบอกผู้คนถึงวิธีไล่ตามเสาะหาความจริง วิธีปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และวิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐานอย่างไร ก็ไม่มีอะไรซึมซาบเข้าไปได้  ด้วยเหตุที่พวกเขามั่นใจตลอดมาว่าชะตากรรมของตนไม่ดี พวกเขาจึงรู้สึกว่าเรื่องที่วิเศษอย่างการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอดนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเอาจริงเอาจังนัก  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขามั่นใจว่า “ผู้คนที่มีชะตากรรมไม่ดีย่อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี มีแต่ผู้คนที่มีชะตากรรมที่ดีเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี  เมื่อใครบางคนมีชะตากรรมที่ดี ไม่ว่าพวกเขาไปที่ไหน ผู้คนก็ชมชอบพวกเขา และทุกสิ่งย่อมราบรื่นสำหรับพวกเขา  ฉันมีชะตากรรมที่ไม่ดีและเจอแต่คนใจร้ายเสมอ ฉันไม่เคยรู้สึกดีเวลาทำหน้าที่ของตนเลย—เรื่องโชคร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า!”  เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี พวกเขาจึงรู้สึกท้อใจและหดหู่อยู่เสมอ  พวกเขาเชื่อตลอดเวลาว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเพียงเรื่องเอามาพูดคุยเท่านั้น และคนที่มีชะตากรรมไม่ดีอย่างพวกเขาไม่มีทางสัมฤทธิ์อะไรได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขารู้สึกว่าต่อให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง สุดท้ายพวกเขาก็จะไม่ได้อะไร และพวกเขาคิดอยู่ร่ำไปว่า “ผู้คนที่มีชะตากรรมไม่ดีสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้อย่างไร?  ผู้คนที่มีชะตากรรมไม่ดีได้รับความรอดได้อย่างไร?”  พวกเขาไม่กล้าเชื่อเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงตีกรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง พลางคิดว่า “เพราะชะตากรรมของฉันไม่ดีและฉันเกิดมาเพื่อทนทุกข์ การอยู่รอดและกลายเป็นคนลงแรงทำงานไปในที่สุดย่อมจะไม่เลวร้ายเท่าใดนัก  นั่นย่อมจะหมายความว่าความดีที่บรรพบุรุษของฉันทำไว้จะมาออกดอกออกผลที่ฉัน และพวกเขาก็จะอวยพรให้ฉันโชคดี  เป็นเพราะชะตากรรมของฉันไม่ดี ฉันจึงเหมาะที่จะทำหน้าที่บางอย่างที่ไม่โดดเด่นเท่านั้น อย่างเช่น ทำอาหาร ทำความสะอาด หรือดูแลลูกหลานของพี่น้องชายหญิง หรือทำงานจิปาถะบางอย่าง เป็นต้น  ส่วนงานที่ทำให้คุณเปล่งประกายอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าพวกนั้น ฉันน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยตราบเท่าที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่  คุณดูสิ ตอนมาที่พระนิเวศของพระเจ้า ฉันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แล้วฉันลงเอยอย่างไร?  แค่ทำอาหารและทำงานใช้แรงเท่านั้น  ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าฉันเหนื่อยล้าขนาดไหนหรืองานหนักเพียงใด ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครใส่ใจ  ถ้านี่ไม่ใช่สภาพชีวิตที่ทุกข์ยาก ฉันก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าแบบไหนถึงจะใช่!  คนอื่นได้เป็นนักแสดงนำหรือตัวประกอบ ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่า ถ่ายทำวิดีโอเรื่องแล้วเรื่องเล่า—วิเศษอะไรอย่างนั้น!  ฉันไม่เคยได้เปล่งแสงเลย  ช่างยากลำบากอะไรเช่นนี้!  ชะตากรรมของฉันแย่เหลือเกิน!  ชะตากรรมของฉันไม่ดีจะโทษใครได้?  เป็นความผิดของฉันไม่ใช่หรือ?  ฉันจะเดินต่อไปจนกว่าจะถึงวันตายก็เท่านั้นเอง”  พวกเขาจมลึกลงไปในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่เพียงไม่สามารถคิดทบทวนและทำความรู้จักภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตน หรือคิดทบทวนว่าเพราะเหตุใดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบจึงเกิดขึ้น หรือว่านี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ดี ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่พวกเขายังยึดมั่นอย่างมืดบอดต่อแนวคิดที่ว่าปัญหาทั้งหมดของพวกเขาเกิดจากชะตากรรมที่ไม่ดีของตนอีกด้วย  นี่ส่งผลให้พวกเขาจมลึกลงไปในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้มากขึ้นทุกที และไม่สามารถถอนตัวออกมาได้  เพราะพวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ดำรงชีวิตอย่างไร้ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงอันใด เอาแต่กินกับนอน และรอคอยความตายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยิ่งไม่สนใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สนใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี บรรลุความรอด และข้อกำหนดอื่นๆ ในทำนองเดียวกันของพระเจ้า และถึงกับผลักไสและปฏิเสธสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาถือว่าชะตากรรมที่ไม่ดีของตนเป็นเหตุผลและมูลฐานของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และถือว่าการไม่สามารถบรรลุความรอดเป็นเรื่องธรรมดา  พวกเขาไม่ชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตนในสถานการณ์ที่ตนเผชิญ อันเป็นการทำความรู้จักและแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน แต่กลับใช้ทัศนะของตนเองเรื่องการมีชะตากรรมที่ไม่ดีมาเป็นคำตอบให้ทุกคน ทุกเหตุการณ์ และทุกสิ่งที่พวกเขาพบเจอและมีประสบการณ์ ส่งผลให้พวกเขายิ่งตกอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่มากขึ้นไปอีก  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ซึ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ไม่ถูกต้องอย่างไร?  (ข้าพระองค์คิดว่าภาวะอารมณ์แบบนี้ค่อนข้างรุนแรง  พวกเขานำชะตากรรมที่ไม่ดีของตนมาอธิบายและตีกรอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน  เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ทบทวนและไม่หาข้อสรุปว่าเพราะเหตุใดปัญหาเหล่านี้จึงเกิดขึ้น และพวกเขาไม่แสวงหาหรือใคร่ครวญ  นี่เป็นวิธีจัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างสุดโต่งและจำกัดอยู่ในกรอบอย่างสิ้นเชิง)  วิธีจัดการสิ่งต่างๆ อย่างสุดโต่งและไร้สาระเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  มูลเหตุของภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้คืออะไร?  (ข้าพระองค์คิดว่ามูลเหตุของภาวะอารมณ์นี้ก็คือการที่พวกเขาเดินตามเส้นทางที่ผิด และจุดตั้งต้นในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็ผิด  พวกเขามีความอยากได้อยากมีบางอย่างอย่างรุนแรง พวกเขาคอยชิงดีและเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอยู่เสมอ และเมื่อพวกเขาตอบสนองความอยากได้อยากมีที่รุนแรงของตนไม่ได้ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบในตัวพวกเขานี้ก็ปรากฎออกมาให้เห็น)  พวกเจ้ายังไม่เข้าใจแก่นแท้ของเรื่องนี้อย่างชัดเจน—ที่สำคัญคือทัศนะที่พวกเขามีในเรื่องของ “ชะตากรรม” นั้นไม่ถูกต้อง  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชะตากรรมที่ดีอยู่เสมอหรืออยากให้ชะตากรรมของตนเป็นแบบที่ทุกสิ่งราบรื่นและง่ายสำหรับตน  พวกเขามองดูชะตากรรมของผู้คนตลอดเวลา และเมื่อพวกเขาเริ่มไล่ตามไขว่คว้าอะไรแบบนั้น ย่อมเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขา?  พวกเขามองดูผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสารพัด สิ่งที่คนเหล่านั้นกิน สิ่งที่คนเหล่านั้นสวมใส่ สิ่งที่คนเหล่านั้นสุขสำราญ จากนั้นพวกเขาก็เอามาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของตนเอง และรู้สึกว่าพวกตนแย่กว่าในทุกๆ ด้าน รู้สึกว่าคนอื่นดีกว่าตนกันทุกคน ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี  ที่จริงแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีสภาพแย่ที่สุด แต่พวกเขากลับเปรียบเทียบและใช้ผู้อื่นมาประเมินตัวเองอยู่เสมอ ทุ่มเทความพยายามในการครุ่นคิดและเฝ้าสังเกตเรื่อง “ชะตากรรม” นี้ อีกทั้งหมกมุ่นศึกษาอยู่ตลอดเวลา  พวกเขาใช้มุมมองและทัศนะเรื่องชะตากรรมดีหรือไม่ดีมาประเมินทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประเมินอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งพวกเขาต้อนตัวเองเข้ามุมและไม่มีทางให้ไปต่อ ในที่สุดพวกเขาก็จมอยู่ในการคิดลบ  พวกเขาใช้ทัศนะเรื่องชะตากรรมดีหรือไม่ดีมาประเมินลักษณะภายนอกของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่จะดูแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ  พวกเขาทำผิดพลาดตรงไหนในการทำเช่นนี้?  ความคิดและทัศนะของพวกเขาบิดเบี้ยว และแนวคิดที่พวกเขามีต่อชะตากรรมก็ไม่ถูกต้อง  ชะตากรรมของมนุษย์คือเรื่องลึกล้ำที่สุดซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้  ไม่ได้มีเพียงวันเกิดหรือเวลาเกิดที่แน่นอนของคนเราเท่านั้นที่บ่งชี้ว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งจะดีหรือไม่ดี—นี่เป็นความล้ำลึกอย่างหนึ่ง

การจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ควรมองหรือประเมินด้วยสายตาของมนุษย์หรือสายตาของหมอดู และไม่ประเมินโดยดูว่าคนคนนั้นมีความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ในชีวิตของตนมากเท่าใด หรือมีประสบการณ์เป็นความทุกข์มากเท่าใด หรือประสบความสำเร็จเพียงใดในการไล่ตามไขว่คว้าโอกาสในอนาคต ชื่อเสียง และโชคลาภ  แต่นี่คือความผิดพลาดอันร้ายแรงซึ่งเกิดจากผู้ที่บอกว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ทั้งยังเป็นวิธีที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ประเมินชะตากรรมของตนอีกด้วย  ผู้คนส่วนใหญ่ประเมินชะตากรรมของตนเองอย่างไร?  ผู้คนทางโลกประเมินอย่างไรว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งนั้นดีหรือไม่ดี?  โดยหลักแล้วพวกเขาดูว่าชีวิตของคนคนนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่ มั่งคั่งและรุ่งโรจน์ได้หรือไม่ สามารถมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่นหรือไม่ ชั่วชีวิตของพวกเขานั้นทนทุกข์เท่าใดและสุขสำราญเพียงใด มีอายุยืนยาวเพียงใด มีอาชีพการงานอะไร ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยการตรากตรำหรือสะดวกสบายและง่ายดาย—พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้และอื่นๆ มาประเมินว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งดีหรือไม่ดี  พวกเจ้าก็ประเมินแบบนี้ด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าส่วนใหญ่เผชิญบางสิ่งที่ตนไม่ชอบ เมื่อมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือไม่สามารถสุขสำราญกับวิถีชีวิตที่ล้ำเลิศกว่าได้ พวกเจ้าก็จะคิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีเช่นกัน และพวกเจ้าก็จะจมอยู่ในความหดหู่  ผู้ที่กล่าวว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีชะตากรรมที่ไม่ดี และผู้ที่กล่าวว่าตนมีชะตากรรมที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องมีชะตากรรมที่ดี  อันที่จริง การประเมินชะตากรรมว่าดีหรือไม่ดีนั้นทำอย่างไร?  ชะตากรรมของเจ้าย่อมดีถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า และย่อมไม่ดีถ้าเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า—พูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  พวกเจ้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็น” ซึ่งหมายความว่าแท้จริงแล้วคนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนมีชะตากรรมที่ไม่ดี และบ้างก็มีชะตากรรมที่ดี  ถ้าเป็นดังนี้ เช่นนั้นแล้วบางคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าย่อมมีชะตากรรมที่ดีและบางคนก็มีชะตากรรมที่ไม่ดีเช่นกัน—พูดอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ พูดเช่นนั้นผิด)  จงบอกเราเถิดว่าเพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงกล่าวดังนี้  ทำไมการกล่าวเช่นนั้นถึงผิดเล่า?  (ข้าพระองค์ไม่เชื่อว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่พวกเขาเชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้า)  ถูกต้อง การที่ชะตากรรมของคนคนหนึ่งจะดีหรือไม่ดีย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้า  แล้วเกี่ยวข้องกับอะไร?  เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนเดินหรือการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาหรือไม่?  จริงหรือที่ใครบางคนมีชะตากรรมที่ดีถ้าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ถ้าพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นก็ย่อมมีสภาพชีวิตที่ลำบาก?  จงบอกเราเถิดว่าแม่ม่ายมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่?  สำหรับผู้คนทางโลกแล้ว แม่ม่ายย่อมมีชะตากรรมที่ไม่ดี  ถ้าพวกเธอเป็นม่ายในวัยสามสิบหรือสี่สิบกว่าปี พวกเธอก็มีชะตากรรมที่ไม่ดีโดยแท้ หนักหนาสำหรับพวกเธอจริงๆ!  แต่ถ้าแม่ม่ายทนทุกข์มากมายเพราะสูญเสียคู่ครองของตน และพวกเธอมาเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสภาพชีวิตของพวกเธอจะลำบากหรือไม่?  (ไม่)  เนื่องจากผู้ที่ไม่ได้เป็นม่ายนั้นมีชีวิตที่มีความสุข ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเธอ มีการเกื้อหนุน มีอาหารและเสื้อผ้ามากมาย มีครอบครัวที่เต็มไปด้วยลูกหลาน มีชีวิตที่สุขสบาย ไม่มีความลำบากหรือรู้สึกถึงความขาดแคลนทางฝ่ายวิญญาณแต่อย่างใด พวกเธอจึงไม่เชื่อในพระเจ้าและจะไม่เชื่อในพระองค์ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเธอเช่นไรก็ตาม  แล้วใครมีชะตากรรมที่ดี?  (แม่ม่ายมีชะตากรรมที่ดีเพราะเธอมาเชื่อในพระเจ้า)  เจ้าดูเถิด เพราะผู้คนทางโลกมองว่าแม่ม่ายมีชะตากรรมที่ไม่ดีและทนทุกข์มากมายนัก เมื่อเป็นดังนั้น เธอจึงเปลี่ยนทิศทางและเริ่มเดินตามเส้นทางที่ต่างออกไป เธอเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า—นี่หมายความว่าตอนนี้เธอมีชะตากรรมที่ดีและมีชีวิตที่เป็นสุขแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  ชะตากรรมที่ไม่ดีของเธอเปลี่ยนแปลงไปเป็นชะตากรรมที่ดีแล้ว  ถ้าเจ้าบอกว่าเธอมีชะตากรรมที่ไม่ดี เช่นนั้นแล้วชะตากรรมในชีวิตของเธอก็ควรไม่ดีเสมอไปและเธอย่อมจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนั้นได้ เช่นนั้นแล้วชะตากรรมของเธอเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?  ชะตากรรมของเธอเปลี่ยนแปลงตอนที่เธอเริ่มเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่ เป็นเพราะทัศนะที่เธอมีต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป)  เพราะวิธีที่เธอมองสิ่งต่างๆ นั้นเปลี่ยนไป  แล้วข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์เกี่ยวกับชะตากรรมของเธอเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่)  ก่อนที่แม่ม่ายคนนั้นจะมาเชื่อในพระเจ้า เธออิจฉาผู้หญิงทั้งหลายที่ไม่ได้เป็นม่าย โดยคิดว่า “ดูเธอสิ เธอมีชะตากรรมที่ดีเหลือเกิน  เธอมีสามี มีบ้าน มีชีวิตที่เป็นสุขและน่าพอใจ  ไม่ได้ทนทุกข์กับความเจ็บปวดของการเป็นม่ายเช่นนี้”  อย่างไรก็ดี หลังจากที่เธอเชื่อในพระเจ้า เธอก็คิดไปว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงเลือกสรรให้ฉันติดตามพระองค์ ฉันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนและได้รับความจริง  ในอนาคตฉันก็จะสามารถบรรลุความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักร  ช่างเป็นชะตากรรมอะไรที่ดีเช่นนี้!  เธอคนนั้นไม่ได้เป็นม่าย แต่ชะตากรรมของเธอเป็นเช่นไร?  เธอแสวงหาความสุขสำราญในชีวิตอยู่เสมอ ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ อยากจะทำอาชีพการงานของตนให้ดี มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง แต่เมื่อเธอตายไปในภายหลัง เธอยังจะต้องไปนรกอยู่ดี  เธอมีชะตากรรมที่ไม่ดี  ชะตากรรมของฉันดีกว่าของเธอ!”  ทัศนะของเธอเปลี่ยนไป แต่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์นั้นไม่เปลี่ยน  ฝ่ายที่ไม่เชื่อในพระเจ้ายังคงคิดต่อไปว่า “ฮึ่ม!  ชะตากรรมของฉันดีกว่าของเธอ!  เธอเป็นม่าย ฉันไม่ใช่  ชีวิตของฉันดีกว่าของเธอ  ฉันมีชะตากรรมที่ดี!”  อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหญิงที่มาเชื่อในพระเจ้า อีกฝ่ายไม่ได้มีชะตากรรมที่ดี  ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  สภาพแวดล้อมในความเป็นจริงของแม่ม่ายคนนี้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่)  แล้วทัศนะของเธอเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร?  (หลักเกณฑ์ที่เธอใช้ประเมินว่าสิ่งต่างๆ ดีหรือไม่ดีนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว)  ใช่แล้ว ทัศนะที่เธอมีต่อวิธีประเมินสิ่งต่างๆ และมองเรื่องราวนั้นเปลี่ยนไป  เธอเปลี่ยนจากการคิดว่าผู้หญิงที่ไม่เป็นม่ายมีชะตากรรมที่ดี มาคิดว่าผู้หญิงคนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่ดี และเปลี่ยนจากที่คิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดี มาคิดว่าตนมีชะตากรรมที่ดี  ทั้งสองทัศนะนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมาอย่างสิ้นเชิง พลิกกลับด้านกันหมด  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  ข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อมในความเป็นจริงไม่ได้แปลี่ยนไป แล้วเธอลงเอยด้วยการเปลี่ยนทัศนะที่มีต่อสิ่งต่างๆ ไปได้อย่างไร?  (หลังจากที่เธอยอมรับความจริงและยอมรับสิ่งที่เป็นบวกแล้ว ตอนนี้เธอก็นำหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องมาใช้กับทัศนะที่เธอมีต่อการประเมินสิ่งต่างๆ ว่าดีหรือไม่ดี)  ทัศนะที่เธอมีต่อสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามจริงนั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่)  แม่ม่ายก็ยังคงเป็นม่าย และหญิงที่มีชีวิตอย่างเป็นสุขก็ยังคงมีชีวิตอย่างเป็นสุข—ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในข้อเท็จจริงตามที่เป็นจริง  แล้วในที่สุดใครมีชะตากรรมที่ดีและใครมีชะตากรรมที่ไม่ดี?  เจ้าอธิบายได้หรือไม่?  แม่ม่ายเคยคิดว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสภาพการใช้ชีวิตในความเป็นจริงของเธอ และอีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะความคิดและทัศนะที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในความเป็นจริงของเธอ  หลังจากที่เธอมาเชื่อในพระเจ้า ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมาเข้าใจความจริงบางอย่าง ความคิดของเธอก็เห็นคล้อยตามนั้นและเปลี่ยนแปลง แล้วมุมมองที่เธอมีต่อสิ่งต่างๆ ก็แตกต่างออกไป  ดังนั้น หลังจากที่เธอมาเชื่อในพระเจ้า เธอจึงไม่คิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีอีกต่อไป แต่คิดว่าตนมีชะตากรรมที่ดี เพราะเธอมีโอกาสยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถเข้าใจความจริงและบรรลุความรอด—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และเธอก็เป็นผู้ที่ได้รับพรมากที่สุด  เมื่อเธอเชื่อในพระเจ้า เธอก็มุ่งสนใจแต่การไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น ซึ่งต่างจากเป้าหมายที่เธอเคยไล่ตามไขว่คว้ามาก่อน  แม้สภาพการใช้ชีวิตของเธอ สภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิต และคุณภาพชีวิตของเธอจะเหมือนกับเมื่อก่อนโดยแท้และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ทัศนะที่เธอมีต่อสิ่งต่างๆ นั้นเปลี่ยนไปแล้ว  ในความเป็นจริง เธอกลายมามีชะตากรรมที่ดีอย่างแท้จริงเพราะเธอเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่?  ไม่จำเป็น  เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอเชื่อในพระเจ้า เธอมีความหวัง เธอรู้สึกถึงความพอใจบางอย่างในหัวใจของตน เป้าหมายที่เธอไล่ตามเสาะหาก็เปลี่ยนไป ทัศนะของเธอก็ต่างออกไป ด้วยเหตุนั้นสภาพแวดล้อมที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันจึงทำให้เธอรู้สึกเป็นสุข พอใจ เบิกบาน และมีสันติสุข  เธอรู้สึกว่าตอนนี้ชะตากรรมของเธอดีมากแล้ว ดีกว่าชะตากรรมของผู้หญิงอีกคนที่ไม่ได้เป็นม่ายมาก  เธอเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าทัศนะที่เธอเคยมีมาก่อน โดยเชื่อว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีนั้นผิด  พวกเจ้าสามารถมองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง?  มีสิ่งที่เป็น “ชะตากรรมที่ดี” และ “ชะตากรรมที่ไม่ดี” ดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีเลย

พระเจ้าทรงลิขิตชะตากรรมของผู้คนล่วงหน้าไว้นานแล้ว และทั้งหมดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  “ชะตากรรมที่ดี” และ “ชะตากรรมที่ไม่ดี” นี้ย่อมแตกต่างกันไปตามผู้คนแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และขึ้นอยู่กับว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรและไล่ตามเสาะหาอะไร  นั่นคือสาเหตุที่ชะตากรรมของคนเราไม่ใช่ทั้งดีและไม่ดี  เจ้าอาจมีชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ฉันไม่ได้อยากใช้ชีวิตหรูหรา  ฉันมีความสุขกับการมีพอกินและมีเสื้อผ้าพอสวมใส่เท่านั้น  ทุกคนย่อมทนทุกข์ในช่วงชีวิตของตน  ผู้คนทางโลกบอกว่า ‘หากฝนไม่ตก คุณก็ไม่อาจมองเห็นสายรุ้งได้’ ดังนั้นความทุกข์จึงมีคุณค่า  นี่ไม่ได้แย่อะไรนัก และชะตากรรมของฉันก็ไม่เลว  สวรรค์เบื้องบนประทานความเจ็บปวดบางอย่าง บททดสอบบางข้อ และความทุกข์ร้อนแก่ฉัน  นั่นก็เพราะพระองค์ทรงมองฉันในทางที่ดี  นี่เป็นชะตากรรมที่ดี!”  บางคนคิดว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดี ความทุกข์หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ไม่ดี มีแต่ชีวิตที่ไร้ทุกข์ ชีวิตที่สะดวกสบายและราบรื่นเท่านั้นที่หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ดี  ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “เรื่องของความคิดเห็น”  แล้วผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามองเรื่องของ “ชะตากรรม” นี้อย่างไร?  พวกเราพูดถึงการมี “ชะตากรรมที่ดี” หรือ “ชะตากรรมที่ไม่ดี” กันหรือไม่?  (ไม่)  พวกเราไม่พูดเรื่องอย่างนี้กัน  สมมุติว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นถ้าเจ้าไม่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องในการเชื่อของเจ้า ถ้าเจ้าถูกลงโทษ ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นหมายความว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดี?  ถ้าเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะถูกเปิดโปงหรือถูกกำจัดออกไป  พวกผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนในศาสนาไม่พูดถึงการเปิดโปงผู้คนหรือใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนกัน และพวกเขาก็ไม่พูดถึงการที่ผู้คนถูกเอาตัวออกไปหรือถูกกำจัดออกไป  นี่ควรที่จะหมายความว่าเมื่อผู้คนสามารถเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมมีชะตากรรมที่ดี แต่ถ้าพวกเขาถูกลงโทษในท้ายที่สุด นั่นก็หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ไม่ดีกระนั้นหรือ?  เมื่อครู่ชะตากรรมของพวกเขายังดีอยู่เลย จู่ๆ กลับไม่ดีเสียแล้ว—เป็นอย่างไหนกันแน่?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถตัดสินกันได้ ผู้คนไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้  ทั้งหมดนี้มีพระเจ้าเป็นผู้ดำเนินการและทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการย่อมดีงาม  เพียงแต่ว่าวิถีแห่งชะตากรรมของคนแต่ละคน หรือสภาพแวดล้อมของพวกเขา รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งที่พวกเขาเผชิญ เส้นทางชีวิตที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยในชีวิตของตน ล้วนแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้แตกต่างกันเป็นคนๆ ไป  สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของแต่ละคนและสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมานั้น ทั้งสองอย่างคือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการให้แก่พวกเขา และแตกต่างกันทั้งสิ้น  สิ่งที่แต่ละคนมีประสบการณ์ในช่วงชีวิตของตนนั้นล้วนแตกต่างกัน  ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดี—พระเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ และทั้งหมดนี้ล้วนเสร็จสิ้นเพราะพระเจ้า  ถ้าพวกเราพิจารณาเรื่องนี้ตามมุมมองที่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็ย่อมดีงามและถูกต้อง นั่นเป็นเพียงสิ่งที่มาจากมุมองตามความชื่นชอบ ความรู้สึก และการเลือกของผู้คน บางคนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตที่สุขสบาย เลือกที่จะมีชื่อเสียงและโชคลาภ เป็นที่นับหน้าถือตา มีความเจริญรุ่งเรืองในโลก และประสบความสำเร็จ  พวกเขาเชื่อว่านี่หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ดี ส่วนชีวิตที่ธรรมดาสามัญและไม่ประสบความสำเร็จ ใช้ชีวิตอยู่ที่ฐานล่างของสังคมตลอดเวลานั้นคือชะตากรรมที่ไม่ดี  สิ่งต่างๆ ดูจะเป็นเช่นนี้ตามมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนทางโลกที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายทางโลกและเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลก และแนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นในลักษณะนี้  แนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้นเพียงเพราะความเข้าใจอันคับแคบและการรับรู้อันตื้นเขินที่มนุษย์มีต่อชะตากรรมเท่านั้น รวมทั้งการที่ผู้คนตัดสินว่าพวกเขาควรสู้ทนความทุกข์ทางกายมากเท่าใด พวกเขาควรได้รับความสุขสำราญ ชื่อเสียงและโชคลาภมากเท่าใด เป็นต้น  อันที่จริง ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมุมมองของการจัดแจงเตรียมการและอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของมนุษย์ ย่อมไม่มีการตีความเรื่องชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดีดังกล่าว  นี่ย่อมถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้ามองชะตากรรมของมนุษย์ตามมุมมองแห่งอธิปไตยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำย่อมดีงาม และเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการ  นี่เป็นเพราะเหตุและผลมีบทบาทต่อชีวิตในอดีตและในปัจจุบัน พระเจ้าทรงลิขิตชีวิตเหล่านั้นไว้ล่วงหน้า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชีวิตเหล่านั้น และพระเจ้าก็ทรงวางแผนและจัดเตรียมชีวิตเหล่านั้น—มวลมนุษย์ไม่มีทางเลือก  ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมุมมองนี้ ผู้คนก็ไม่ควรตัดสินชะตากรรมของตนเองว่าดีหรือไม่ดีใช่หรือไม่?  ถ้าผู้คนตัดสินเรื่องนี้กันตามใจชอบ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงมิใช่หรือ?  พวกเขาทำผิดพลาดที่ตัดสินแผนการ การจัดแจงเตรียมการ และอธิปไตยของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วความผิดพลาดนั้นก็ร้ายแรงมิใช่หรือ?  นี่ย่อมจะส่งผลต่อเส้นทางชีวิตที่พวกเขาเดินอยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  จากนั้นความผิดพลาดนั้นก็จะพาให้พวกเขาย่อยยับ

ผู้คนควรทำเช่นไรเพื่อน้อมรับการจัดแจงเตรียมการและอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของตน?  (นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า)  ก่อนอื่น เจ้าควรเสาะแสวงเพื่อให้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระผู้สร้างจึงทรงจัดเตรียมชะตากรรมและสภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิตแบบนี้ไว้ให้เจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงทำให้เจ้าเผชิญและมีประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่าง และเหตุใดชะตากรรมของเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่  จากจุดนี้ เจ้าควรทำความเข้าใจว่าหัวใจของเจ้าใฝ่หาสิ่งใดและต้องการอะไร รวมทั้งทำความเข้าใจอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้าด้วย  หลังจากที่เจ้าเข้าใจและรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ไม่ควรต้านทาน ปฏิเสธ โต้แย้ง หลีกเลี่ยง หรือเลือกสิ่งต่างๆ ในชะตากรรมของเจ้าเอง  แน่นอนเช่นกันว่าเจ้าไม่ควรพยายามต่อรองกับพระเจ้า  แต่ควรนบนอบ  เหตุใดเจ้าจึงควรนบนอบ?  เพราะเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่สามารถจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของตน และเจ้าก็ไม่มีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของตน  ผู้กำหนดชะตากรรมของเจ้าคือพระเจ้า  เมื่อเป็นเรื่องชะตากรรมของเจ้า เจ้าย่อมยอมตามและไม่มีทางเลือก  สิ่งเดียวที่เจ้าควรทำก็คือนบนอบ  เจ้าไม่ควรตัดสินใจเรื่องชะตากรรมด้วยตนเองหรือหลีกเลี่ยงชะตากรรมนั้น เจ้าไม่ควรต่อรองกับพระเจ้า และไม่ควรต่อต้านหรือพร่ำบ่นชะตากรรมของตน  แน่นอนว่า เจ้าไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวอะไรในทำนองที่ว่า “ชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉันนั้นไม่ดี  น่าอนาถและย่ำแย่กว่าชะตากรรมของคนอื่น” หรือว่า “ชะตากรรมของฉันไม่ดีและฉันก็ไม่ได้มีความสุขหรือความเจริญรุ่งเรืองใดๆ  พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้ฉันไม่ดี”  ถ้อยคำเหล่านี้เป็นการตัดสิน และด้วยการกล่าวเช่นนั้น เจ้ากำลังล้ำเส้นเกินสถานะของตน  นี่ไม่ใช่วาจาที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรพูด และไม่ใช่มุมมองหรือท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  ในทางกลับกัน เจ้าควรปล่อยมือจากความเข้าใจ นิยาม ทัศนะ และการทำความเข้าใจต่างๆ ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับชะตากรรม  พร้อมกันนั้นเจ้าก็ควรที่จะสามารถใช้ท่าทีและจุดยืนที่ถูกต้องมานบนอบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า  เจ้าไม่ควรขัดขืน และแน่นอนว่าเจ้าไม่ควรหดหู่และพร่ำบ่นว่าสวรรค์ไม่เป็นธรรม พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้เจ้าไม่ดี และไม่ทรงจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้เจ้า  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่มีสิทธิ์เลือกชะตากรรมของตน  พระเจ้าไม่ได้ประทานภาระผูกพันแบบนี้แก่เจ้า พระองค์ไม่ได้ประทานสิทธิ์นี้แก่เจ้า  ดังนั้นเจ้าก็ไม่ควรพยายามเลือก อ้างเหตุผลกับพระเจ้า หรือร้องขออะไรเพิ่มเติมจากพระองค์  เจ้าควรคล้อยตามและเผชิญหน้าสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม  เจ้าควรเผชิญหน้า พยายามมีประสบการณ์ด้วย และซาบซึ้งในสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  เจ้าควรนบนอบทุกสิ่งที่เจ้าควรมีประสบการณ์ด้วยผ่านทางการจัดเตรียมของพระเจ้าอย่างครบถ้วน  เจ้าควรปฏิบัติตามชะตากรรมที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า  ต่อให้เจ้าไม่ชอบบางสิ่ง หรือทนทุกข์เพราะสิ่งนั้น ต่อให้สิ่งนั้นคุกคามและข่มขี่ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของเจ้า ตราบใดที่นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรมีประสบการณ์ด้วย เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดเตรียมไว้ให้เจ้า เจ้าก็ควรนบนอบและเจ้าย่อมไม่มีทางเลือกในเรื่องนั้น  ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมชะตากรรมของผู้คนและทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถเจรจาต่อรองกับพระองค์  ดังนั้น ถ้าผู้คนมีสำนึกและมีเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาก็ไม่ควรพร่ำบ่นว่าชะตากรรมของตนไม่ดี หรือสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นไม่ดีสำหรับตน  พวกเขาไม่ควรใช้ท่าทีที่หดหู่เข้าจัดการกับหน้าที่ ชีวิต ทางเดินในความเชื่อของตน สถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ หรือข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา เพียงเพราะพวกเขารู้สึกว่าชะตากรรมของตนนั้นไม่ดี  ความหดหู่แบบนี้ไม่ใช่ความเป็นกบฏธรรมดาหรือชั่วขณะ หรือเป็นการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาชั่วครั้งชั่วคราว และยิ่งไม่ใช่การพรั่งพรูสภาวะที่เสื่อมทรามออกมา  แต่เป็นการต้านทานพระเจ้าอย่างเงียบๆ เป็นการต้านทานชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเขาอย่างเงียบๆ ด้วยความไม่พอใจ  แม้นี่อาจจะเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบทั่วๆ ไป แต่ผลที่เกิดขึ้นกับผู้คนกลับร้ายแรงกว่าผลที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  นี่ไม่เพียงขัดขวางเจ้าไม่ให้ใช้ท่าทีที่เป็นบวกและถูกต้องต่อหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติ ต่อชีวิตประจำวันและการเดินทางในชีวิตของเจ้าเองเท่านั้น แต่ที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือสามารถทำให้เจ้าพินาศเพราะความหดหู่ได้อีกด้วย  เพราะฉะนั้น ผู้คนที่มีสติปัญญาควรเร่งแก้ไขทัศนะที่คลาดเคลื่อนของตนให้ถูกต้อง ทบทวนและทำความรู้จักตนเองในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า และดูว่าสิ่งใดทำให้พวกเขาเชื่อว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี พวกเขาควรดูให้เห็นว่าศักดิ์ศรีของตนถูกหยามหรือหัวใจของตนถูกทำร้ายอย่างไร ถึงส่งผลให้เกิดความคิดที่เป็นลบ เช่น รู้สึกว่าตนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่ดี ซึ่งพาให้พวกเขาตกอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความหดหู่ที่พวกเขาไม่เคยฟื้นตัวจากภาวะอารมณ์นั้นได้เลยแม้กระทั่งทุกวันนี้  นี่คือประเด็นปัญหาที่เจ้าควรทบทวนและตรวจสอบ  บางเรื่องอาจสลักลึกอยู่ในหัวใจของเจ้า หรือบางคนอาจกล่าวบางสิ่งที่เลวทรามกับเจ้าซึ่งสร้างบาดแผลให้กับความรู้สึกเคารพตนเองของเจ้า และนี่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดี ดังนั้นเจ้าจึงตกอยู่ในความหดหู่ หรือบางทีในชีวิตของเจ้าหรือระหว่างที่เจ้าเติบโตขึ้นมานั้น ความคิดหรือทัศนะบางอย่างของซาตานหรือของโลกอาจก่อเกิดและพาให้เจ้ามีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนี้เกี่ยวกับชะตากรรม และกลายเป็นคนที่อ่อนไหวอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ดี หรือบางทีหลังจากมีประสบการณ์กับบางสิ่งที่น่าหงุดหงิดในบางกรณี เจ้าก็กลายเป็นคนที่จริงจังและอ่อนไหวเป็นพิเศษกับชะตากรรมของตน แล้วจากนั้นเจ้าก็หลงใหลและอุทิศตนให้กับการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองเป็นอย่างยิ่ง—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เจ้าควรตรวจสอบ  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างไร เรื่องที่เจ้าควรทำความเข้าใจในท้ายที่สุดมีดังนี้คือ เจ้าไม่ควรใช้ความคิดและทัศนะเรื่องชะตากรรมดีหรือไม่ดีมาประเมินชะตากรรมของตนเอง  ชะตากรรมของคนคนหนึ่งอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมชะตากรรมนั้นไว้นานแล้ว นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้  อย่างไรก็ตาม การที่คนคนหนึ่งจะเดินไปบนเส้นทางเช่นไรระหว่างช่วงชีวิตของตนและจะมีชีวิตที่มีคุณค่าได้หรือไม่นั้นคือสิ่งที่ผู้คนสามารถเลือกให้ตนเองได้  เจ้าสามารถเลือกใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ใช้ชีวิตของเจ้าเพื่อสิ่งที่มีคุณค่า ดำเนินชีวิตเพื่อแผนการและการบริหารจัดการของพระผู้สร้าง และเพื่อเหตุผลอันชอบธรรมของมวลมนุษย์  แน่นอนเช่นกันว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ดำเนินชีวิตเพื่อสิ่งที่เป็นบวก แต่กลับใช้ชีวิตเพื่อการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและโชคลาภ อาชีพการงานอย่างเป็นทางการ ความร่ำรวย และกระแสนิยมทางโลก  เจ้าสามารถเลือกที่จะมีชีวิตที่ไร้คุณค่าอันใดและเป็นเหมือนชีวิตของซากศพที่เดินได้  เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าสามารถเลือกได้

ด้วยการสามัคคีธรรมในลักษณะนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือยังว่าความคิดและทัศนะของผู้คนที่มักกล่าวอยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีนั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้มีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ที่หดหู่ก็เพราะมัวจมปลักอยู่กับความสุดโต่ง  ด้วยเหตุที่พวกเขามีภาวะอารมณ์หดหู่อย่างสุดโต่งอันเนื่องมาจากความคิดและทัศนะที่สุดโต่งนี้เอง พวกเขาจึงไม่สามารถเผชิญสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถเข้ามามีบทบาทหน้าที่ได้ตามปกติอย่างที่ผู้คนควรทำ และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ทำตามความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเป็นเหมือนผู้คนประเภทต่างๆ ที่จมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ ซึ่งพวกเราได้เสวนาถึงคนเหล่านี้กันไปแล้วในสามัคคีธรรมครั้งก่อน  แม้ผู้คนที่คิดว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีเหล่านี้จะเชื่อในพระเจ้า และสามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ สละตนและติดตามพระเจ้าได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างเป็นอิสระ เสรี และผ่อนคลายเช่นกัน  ทำไมพวกเขาถึงทำดังนี้ไม่ได้?  เพราะภายในตัวพวกเขานั้นเก็บงำความนึกคิดและทัศนะมากมายที่สุดโต่งและผิดปกติ ซึ่งก่อให้เกิดภาวะอารมณ์ที่สุดโต่งในตัวพวกเขา  ภาวะอารมณ์ที่สุดโต่งเหล่านี้ทำให้วิธีการที่พวกเขาใช้ตัดสินสิ่งต่างๆ วิธีคิด และทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลาย ก่อเกิดขึ้นมาจากจุดยืนที่สุดโต่ง ไม่ถูกต้อง และบิดเบี้ยว  พวกเขามองประเด็นปัญหาและผู้คนจากจุดยืนที่สุดโต่งและไม่ถูกต้องนี้ อันเป็นการดำรงชีวิต มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการภายใต้ผลกระทบและอิทธิพลจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า  ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาก็ดูจะเหนื่อยล้าจนไม่สามารถปลุกเร้าให้ตนเองมีความกระตือรือร้นในการเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่ว่าจะเลือกดำเนินชีวิตของตนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่เป็นบวกหรือแข็งขันได้ และแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาก็ไม่เคยมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวง หรือมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นที่น่าพอใจ จึงแน่นอนว่าพวกเขายิ่งไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เมื่อวิเคราะห์รอบด้านแล้ว นี่เป็นเพราะพวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่ดี และนี่ก็พาให้พวกเขามีภาวะอารมณ์ที่หดหู่มาก  พวกเขาท้อแท้อย่างสิ้นเชิง หมดพลัง เหมือนซากศพเดินได้ ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นบวกหรือมองโลกในแง่ดีให้เห็น และยิ่งไม่มีความมุ่งมั่นหรือความทรหดอดทนที่จะอุทิศความจงรักภักดีที่พวกเขาควรอุทิศต่อหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของตน  ตรงกันข้ามพวกเขากลับฝืนดิ้นรนไปวันๆ ด้วยท่าทีที่สุกเอาเผากิน ผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างไร้จุดหมาย เลอะเลือน และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำตัวสะเปะสะปะไปอีกนานเท่าใด  ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกตัวเองว่า “เอาเถอะ ฉันก็จะสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทำได้แล้วกัน!  ถ้าวันหนึ่งฉันไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว และคริสตจักรก็อยากจะไล่และกำจัดฉันออกไป เช่นนั้นพวกเขาก็ควรที่จะกำจัดฉันออกไปเสียเลย  นี่เป็นเพราะฉันมีชะตากรรมที่ไม่ดี!”  เจ้าดูเถิด แม้กระทั่งสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาก็หมดอาลัยขนาดนี้  ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์ธรรมดา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันมีผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อความคิดอ่าน หัวใจ และการไล่ตามเสาะหาของผู้คน  ถ้าเจ้าไม่สามารถแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของเจ้าให้กลับมาดีได้อย่างทันท่วงทีและโดยเร็ว ไม่เพียงอารมณ์เช่นนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าไปชั่วชีวิตเท่านั้น แต่จะทำลายชีวิตของเจ้าและพาเจ้าไปหาความตายอีกด้วย  ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริงและบรรลุความรอด แล้วในที่สุดเจ้าก็จะพินาศ  นั่นคือสาเหตุที่ผู้ที่เชื่อว่าชะตากรรมของตนไม่ดีควรตื่นขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ การตรวจตราอยู่เสมอว่าชะตากรรมของตนดีหรือไม่ดี การไล่ตามไขว่คว้าชะตากรรมบางอย่างอยู่เสมอ วิตกกังวลเรื่องชะตากรรมของตนอยู่เสมอ—ย่อมไม่ใช่เรื่องดี  การที่เจ้าให้ความสำคัญกับชะตากรรมของตนเองอยู่ตลอดเวลา พอเจ้าเผชิญกับเรื่องรบกวนหรือความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ หรือมีความล้มเหลว เรื่องติดขัด หรือความลำบากใจผ่านเข้ามา เจ้าก็รีบเชื่อว่านั่นเป็นเพราะชะตากรรมที่ไม่ดีและความโชคร้ายของเจ้าเอง  ดังนั้น เจ้าจึงย้ำเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ไม่ดี เจ้าไม่ได้มีชะตากรรมที่ดีเหมือนคนอื่น และเจ้าก็จมดิ่งอยู่ในความหดหู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความหดหู่รายล้อม พันธนาการ และเกาะกุมเอาไว้จนไม่อาจหลบหนีได้  นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตรายมากหากเกิดขึ้น  แม้ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้จะไม่ทำให้เจ้าโอหังหรือหลอกลวงมากขึ้น หรือทำให้เจ้าเผยความเลว หรือความดื้อแพ่ง หรืออุปนิสัยอื่นๆ ที่เสื่อมทรามทำนองนั้นออกมา แม้ภาวะอารมณ์นี้จะไม่ถึงขั้นที่จะทำให้เจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาและท้าทายพระเจ้า หรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและละเมิดหลักธรรมความจริง หรือทำให้เจ้าลงมือขัดขวางและก่อกวน หรือทำความชั่ว แต่ในแง่ของแก่นแท้แล้ว ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้คือการสำแดงอันร้ายแรงที่สุดถึงความไม่พอใจที่ผู้คนมีต่อความเป็นจริง  โดยแก่นแท้แล้ว การสำแดงความไม่พอใจต่อความเป็นจริงนี้ก็คือความไม่พอใจในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  แล้วการไม่พอใจในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าย่อมมีผลเช่นใดตามมา?  แน่นอนว่าผลสืบเนื่องย่อมร้ายแรงมากและอย่างน้อยก็จะทำให้เจ้าท้าทายและกบฏต่อพระเจ้า พาให้เจ้าไม่สามารถยอมรับถ้อยดำรัสและการจัดเตรียมของพระเจ้า ไม่สามารถเข้าใจและไม่เต็มใจที่จะฟังหลักคำสอน คำเตือนสติ คำเตือนใจ และการย้ำเตือนของพระเจ้า  ด้วยเหตุที่เจ้าเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่ เจ้าจึงไม่สามารถยอมรับถ้อยดำรัสของพระเจ้าในปัจจุบันได้ และไม่มีทางยอมรับพระราชกิจตามความเป็นจริงของพระเจ้า รวมทั้งความรู้แจ้ง การชี้นำ การช่วยเหลือ การเกื้อหนุน และการจัดเตรียมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีสำหรับเจ้า  แม้พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจอยู่ เจ้าก็ไม่สามารถรู้สึกได้ แม้พระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะกำลังทรงพระราชกิจ แต่เจ้าก็ไม่สามารถยอมรับพระราชกิจได้  เจ้าไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ ข้อกำหนดเหล่านี้ และการจัดเตรียมนี้ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่และมีแต่ภาวะอารมณ์นี้เข้ายึดครอง อีกทั้งสิ่งที่พระเจ้าทรงทำลงไปไม่ส่งผลใดต่อเจ้าเลย  ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าย่อมจะพลาดพระราชกิจทุกขั้นตอนของพระเจ้า เจ้าจะพลาดถ้อยดำรัสทุกระยะของพระองค์ และเจ้าจะพลาดแม้กระทั่งพระราชกิจและสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าในแต่ละระยะ  เมื่อถ้อยดำรัสของพระเจ้าและขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจของพระองค์สำเร็จครบถ้วนหมดแล้ว เจ้าจะยังคงไม่สามารถแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตน เจ้าจะไม่สามารถทิ้งมันไว้ข้างหลัง เจ้าจะยังคงถูกรายล้อมและเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่ และเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะพลาดพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าไป  เมื่อเจ้าพลาดพระราชกิจของพระเจ้าไปโดยสิ้นเชิง ท้ายที่สุดเจ้าย่อมจะต้องเผชิญการพิพากษาและการกล่าวโทษต่อมวลมนุษย์อย่างเปิดเผยของพระเจ้า และนั่นก็คือเวลาที่พระเจ้าจะทรงประกาศปลายทางต่างๆ ของมวลมนุษย์  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะตระหนักว่า “แย่แล้ว ฉันควรทบทวนตนเอง ฉันควรทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไว้ข้างหลัง อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนจากพระองค์ แสวงหาการจัดเตรียมของพระองค์ แสวงหาวิธียอมรับการตีสอนและพิพากษาจากพระองค์ และรับการชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ฉันสามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์”  สายไปแล้ว!  ถึงตอนนี้ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปหมดแล้ว  สายเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาในตอนนี้ และสิ่งใดที่รอเจ้าอยู่?  เจ้าย่อมจะตีอก โหยไห้ และเต็มไปด้วยความเสียใจ  แม้ความหดหู่จะเป็นเพียงภาวะอารมณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะธรรมชาติของมันและผลสืบเนื่องที่มันพามาด้วยนั้นร้ายแรงยิ่ง เจ้าจึงควรตรวจสอบตนเองด้วยความเอาใจใส่และไม่ปล่อยให้ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ครอบงำเจ้า หรือควบคุมความคิดอ่านของเจ้าและเป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหา  เจ้าต้องแก้ไขภาวะอารมณ์นี้และไม่ปล่อยให้กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางบนเส้นทางที่เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเป็นกำแพงที่ขวางกั้นเจ้าจากการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ถ้าเจ้าสามารถตระหนักรู้ภาวะอารมณ์นี้ได้อย่างชัดเจน หรือถ้าเจ้าพบภาวะอารมณ์หดหู่ที่ร้ายแรงนี้ผ่านทางการตรวจสอบตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเปลี่ยนแนวทางทันที ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์นี้เสียและทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่ไว้ข้างหลัง  จงอย่าดื้อดึงยึดมั่นในแนวทางของตน อย่าคิดอย่างดื้อรั้นว่า “ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสหรือทรงทำอะไร ฉันก็รู้ว่าชะตากรรมของฉันไม่ดี  เมื่อมีชะตากรรมที่ไม่ดี ฉันก็ควรรู้สึกหดหู่  เมื่อมีชะตากรรมที่ไม่ดี ฉันก็ควรแค่ยอมรับชะตากรรมนี้และล้มเลิกความหวังทั้งหมด”  การเผชิญหน้าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีที่เป็นลบเช่นนี้ก็คือการดื้อรั้นแบบหัวชนฝา  เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้ามีภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้อยู่ เจ้าก็ควรกลับตัวและแก้ไขภาวะอารมณ์นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้  จงอย่ารอจนมันควบคุมเจ้าได้หมด เพราะถึงตอนนั้นย่อมจะสายเกินไปแล้วที่จะตื่นจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่

จงบอกเราเถิดว่าการเชื่อในชะตากรรมเป็นการแสดงออกถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วอะไรคือท่าทีที่ถูกต้องที่ผู้คนควรมีในการจัดการกับเรื่องของชะตากรรม?  (พวกเขาควรเชื่อในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และนบนอบสิ่งเหล่านั้น)  ถูกต้อง  ถ้าคนเรามุ่งเน้นว่าชะตากรรมของตนดีหรือไม่ดีอยู่เสมอ นั่นจะแก้ปัญหาอะไรได้?  การยอมรับว่าชะตากรรมของตนไม่ดี แต่ก็เชื่อว่าชะตากรรมที่ไม่ดีของตนเกิดจากการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ทั้งยังเต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—มุมมองเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ มุมมองนี้ผิด)  ผิดอย่างไร?  (เพราะมุมมองนี้ยังคงมีการตีความว่าชะตากรรมของพวกเขาดีหรือไม่ดี)  นี่เป็นข้อบังคับหรือ?  ในที่นี้ผู้คนควรเข้าใจความจริงว่าอย่างไร?  (ชะตากรรมเป็นเรื่องที่ไม่อาจกล่าวได้ว่าดีหรือไม่ดี  สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าล้วนดีทั้งสิ้น และผู้คนก็ควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงทั้งปวงของพระเจ้า)  ผู้คนควรเชื่อว่าพระเจ้าคือผู้จัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการชะตากรรม และในเมื่อทั้งหมดนั้นได้รับการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการจากพระเจ้า พวกเขาย่อมไม่สามารถพูดว่าชะตากรรมนั้นดีหรือไม่ดี  การที่ชะตากรรมจะดีหรือไม่ดีนั้นถูกตัดสินตามมุมมอง ความคิดเห็น ความชอบ และความรู้สึกของผู้คน และการตัดสินนี้ก็เป็นไปตามความคิดฝันและทัศนะของพวกเขาเอง ไม่ได้เป็นไปตามความจริง  บางคนบอกว่า “ฉันมีชะตากรรมที่วิเศษ ฉันเกิดมาในครอบครัวของผู้เชื่อ  ฉันไม่เคยได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมที่เป็นโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ และฉันก็ไม่เคยถูกกระแสนิยมของผู้ไม่มีความเชื่อโน้มน้าว ล่อลวง หรือชักพาให้หลงผิด  แม้ฉันจะมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเช่นกัน แต่ฉันก็โตมาในคริสตจักรและไม่เคยหลงทาง  ฉันมีชะตากรรมที่ดีมาก!”  สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เพราะอะไรถึงไม่ถูกต้อง?  (การที่พวกเขาเกิดมาในครอบครัวของผู้เชื่อนั้นถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว นั่นคืออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องชะตากรรมของพวกเขาดีหรือไม่ดี)  ถูกต้อง เจ้ากล่าวได้ตรงจุด  นี่คืออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  เป็นวิธีการหนึ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งที่ชะตากรรมสามารถมีได้—ผู้คนต้องไม่ใช้เรื่องชะตากรรมที่ดีหรือไม่ดีของตนมาตัดสินเรื่องนี้  บางคนกล่าวว่าชะตากรรมของตนดีเพราะตนเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน แล้วเจ้าจะกล่าวหักล้างเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าอาจจะกล่าวว่า “คุณเกิดมาในครอบครัวคริสเตียนและบอกว่าคุณมีชะตากรรมที่ดี เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ไม่ได้เกิดในครอบครัวคริสเตียนย่อมต้องมีชะตากรรมที่ไม่ดี  คุณกำลังพูดว่าชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ผู้คนทั้งปวงนั้นไม่ดีใช่หรือไม่?”  การโต้แย้งพวกเขาแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  การโต้แย้งพวกเขาเช่นนี้ย่อมถูกต้อง  ด้วยการโต้แย้งพวกเขาแบบนี้ เจ้ากำลังแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่พวกเขากล่าวว่าผู้คนที่เกิดในครอบครัวคริสเตียนมีชะตากรรมที่ดีนั้นฟังไม่ขึ้นและไม่สอดคล้องกับความจริง  ตอนนี้ความคิดเห็นที่พวกเจ้ามีต่อชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีย่อมถูกต้องขึ้นมาหน่อยแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ทัศนะที่ผู้คนควรมีในเรื่องของการเชื่อในชะตากรรม ซึ่งเป็นทัศนะที่ถูกต้องที่สุด เหมาะสมที่สุด และสอดคล้องกับความจริงเป็นเช่นใด?  ก่อนอื่นเจ้าไม่สามารถตัดสินว่าชะตากรรมดีหรือไม่ดีจากมุมมองของผู้คนทางโลก  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรเชื่อว่าชะตากรรมของสมาชิกทุกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับการจัดเตรียมการโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  บางคนถามว่า “การจัดเตรียมการโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าหมายความว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมการด้วยพระองค์เองใช่หรือไม่?”  ไม่ใช่  มีหนทาง วิธีการ และช่องทางนับไม่ถ้วนที่พระเจ้าทรงใช้จัดการเตรียมการชะตากรรมของมนุษย์ และเรื่องนี้ก็มีรายละเอียดอันซับซ้อนภายในโลกวิญญาณ ซึ่งเราจะไม่พูดถึงในที่นี้  นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก แต่กล่าวโดยทั่วไปก็คือพระผู้สร้างทรงจัดเตรียมการเรื่องนี้ทั้งหมด  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการบางอย่างให้ผู้คนนานาประเภทด้วยพระองค์เอง ขณะที่บางเรื่องก็เกี่ยวพันกับการจำแนกผู้คนออกเป็นประเภทและกลุ่มต่างๆ ตามข้อบังคับ กฎการปกครอง หลักธรรม และระบบที่พระเจ้าทรงวางไว้ ตามหมวดหมู่และวิถีแห่งชะตากรรมของพวกเขาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ชะตากรรมของผู้คนนั้นมีการจัดการเตรียมการและกำหนดขึ้นมาภายในโลกวิญญาณ จากนั้นพวกเขาจึงถือกำเนิด  นี่เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมากมาย แต่กล่าวโดยทั่วไปก็คือ พระเจ้าทรงจัดเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมทั้งปวง  อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเกี่ยวพันกับหลักธรรม ธรรมบัญญัติ และกฎเกณฑ์ว่าด้วยอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์  ในที่นี้ไม่มีอะไรดีหรือไม่ดี สำหรับพระเจ้าแล้ว ทั้งหมดเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ เกี่ยวพันกับเหตุและผล  ส่วนเรื่องที่ว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรกับชะตากรรมนั้น พวกเขาสามารถที่จะรู้สึกดีและรู้สึกไม่ดี สามารถมีชะตากรรมที่ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น ชะตากรรมที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ชะตากรรมที่ยากลำบาก และชะตากรรมที่ไม่มีความสุข—ไม่มีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ดี  ผู้คนควรมีท่าทีต่อชะตากรรมอย่างไร?  เจ้าควรคล้อยตามการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง แข็งขันและบากบั่นที่จะแสวงหาจุดประสงค์และความหมายของพระผู้สร้างในการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง ทำตามบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าในชีวิตนี้ ลุล่วงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำให้ชีวิตของเจ้ามีความหมายมากขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น จนกระทั่งพระผู้สร้างพอพระทัยในตัวเจ้าและทรงจดจำเจ้าเอาไว้  แน่นอนว่าสิ่งที่ยิ่งดีงามขึ้นไปอีกย่อมจะเป็นการบรรลุความรอดผ่านทางการแสวงหาและความบากบั่นพยายามของเจ้าเอง—นี่ย่อมจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  ไม่ว่าจะอย่างไร ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ท่าทีที่เหมาะสมที่สุดที่มวลมนุษย์ทรงสร้างควรมี ไม่ใช่ท่าทีของการตัดสินและให้คำจำกัดความตามใจชอบ หรือใช้วิธีการอันสุดโต่งมาจัดการ  แน่นอนว่าผู้คนยิ่งไม่ควรพยายามต้านทาน เลือกสรร หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตน แต่ควรใช้หัวใจมาทำความเข้าใจชะตากรรมของตน แสวงหา สำรวจ และคล้อยตามชะตากรรมนั้นก่อนที่จะเผชิญหน้าชะตากรรมในทางที่เป็นบวก  ท้ายที่สุดแล้วในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตและในการเดินทางของชีวิตที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาหนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงสอนเจ้า แสวงหาเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าเดิน และมีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ แล้วในที่สุดเจ้าก็จะได้รับพร  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ สิ่งที่เจ้าจะมาตระหนักรู้ไม่ได้มีเพียงความเศร้า ความเสียใจ น้ำตา ความเจ็บปวด ความคับข้องใจ และความล้มเหลวเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเจ้าจะมีประสบการณ์กับความชื่นบาน สันติสุข และความชูใจ ตลอดจนความรู้แจ้งและความกระจ่างในความจริงที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าหลงทางบนเส้นทางชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญหน้าความคับข้องใจและความล้มเหลว และเจ้าต้องตัดสินใจเลือก เจ้าย่อมจะมีประสบการณ์กับการนำทางของพระผู้สร้าง และท้ายที่สุดเจ้าก็จะเกิดความเข้าใจ ได้รับประสบการณ์และการตระหนักรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่มีความหมายมากที่สุด  และแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันหลงทางในชีวิตอีก เจ้าจะไม่มีวันตกอยู่ในสภาวะที่กระวนกระวายตลอดเวลาอีก และแน่นอนว่าเจ้าจะไม่มีวันพร่ำบ่นอีกว่ามีชะตากรรมที่ไม่ดี และยิ่งจะไม่จมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่เพราะรู้สึกว่าชะตากรรมของตนไม่ดี  ถ้าเจ้ามีท่าทีเช่นนี้และใช้วิธีการนี้มาเผชิญหน้าชะตากรรมที่พระผู้สร้างจัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะเป็นปกติมากขึ้นเท่านั้น เจ้าเองก็จะเริ่มมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีการคิด ทัศนะ และหลักธรรมว่าด้วยวิธีการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเจ้าจะมีทัศนะและความเข้าใจในเรื่องความหมายของชีวิตอย่างที่ผู้ไม่มีความเชื่อจะไม่มีวันมีอีกด้วย  ผู้ไม่มีความเชื่อพูดอยู่เสมอว่า “พวกเรามาจากไหน?  พวกเราจะไปที่ใด?  ทำไมพวกเราถึงมีชีวิตอยู่?”  มีคนตั้งคำถามเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา และพวกเขาได้คำตอบว่าอย่างไรในท้ายที่สุด?  สุดท้ายพวกเขากลับได้แต่เครื่องหมายคำถาม ไร้ซึ่งคำตอบ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้?  แม้ผู้คนที่มีสติปัญญาบางคนจะเชื่อในชะตากรรม แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรมีแนวทางอย่างไรในเรื่องของชะตากรรมหรือควรจัดการความยากลำบาก ความรู้สึกสิ้นหวัง ความล้มเหลว และความทุกข์นานาประการที่เกิดขึ้นในชะตากรรมของตนอย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าควรจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชะตากรรมของตนซึ่งทำให้ตนรู้สึกเบิกบานและเป็นสุขนั้นอย่างไร—พวกเขาไม่รู้วิธีรับมือสิ่งเหล่านั้น  อึดใจหนึ่งพวกเขากล่าวว่าตนมีชะตากรรมที่ดี อึดใจต่อมาพวกเขาก็กล่าวว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ครู่หนึ่งพวกเขากล่าวว่าตนมีชีวิตที่เป็นสุข ครู่ต่อมาพวกเขากลับกล่าวว่าตนมีชีวิตที่โชคร้าย—พวกเขาพลิกลิ้นไปมา  เวลามีความสุขพวกเขาก็พูดอย่างหนึ่ง และเวลาไม่มีความสุขพวกเขาก็พูดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อสิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาก็พูดแบบหนึ่ง และเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างราบรื่นก็พูดอีกแบบหนึ่ง คนที่บอกว่าพวกเขาโชคร้ายก็คือพวกเขา และคนที่บอกว่าชะตากรรมของพวกเขาดีก็พวกเขาอีกนั่นแหละ  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่มีความชัดเจนหรือความเข้าใจใดๆ  พวกเขาคลำทางอยู่ในหมอกตลอดเวลา ใช้ชีวิตอยู่ในความสับสน ไม่มีทางออก  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงควรมีความเข้าใจที่ชัดแจ้งและมีเส้นทางข้างหน้าที่ชัดเจนว่าพวกเขาควรปฏิบัติต่อชะตากรรมอย่างไรให้ถูกต้อง พวกเขาควรทำเช่นใด และพวกเขาควรเผชิญปัญหาสำคัญในชีวิตนี้อย่างไร  เมื่อแก้ปัญหานี้ได้แล้ว ท่าทีและทัศนะที่ผู้คนมีต่อชะตากรรมก็ควรที่จะค่อนข้างถูกต้องและสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันทำอะไรอย่างสุดโต่งในเรื่องนี้

วจนะเรื่องชะตากรรมที่เราเพิ่งสามัคคีธรรมไปนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  (สอดคล้อง)  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคำกล่าวที่สอดคล้องกับความจริงมีลักษณะเช่นใด?  (เมื่อผู้คนฟังแล้ว ย่อมรู้สึกว่าเข้าใจชัดเจนขึ้นและสบายใจขึ้น)  (คำกล่าวเหล่านี้ค่อนข้างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีเส้นทางปฏิบัติด้วย)  ถูกต้อง คำกล่าวเหล่านี้ค่อนข้างสัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวแบบนี้จึงจะถูกต้องกว่า  มีวิธีบรรยายเรื่องนี้ที่ถูกต้องยิ่งกว่านี้อีก  ใครจะพูดเป็นคนต่อไป?  (คำกล่าวเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาในปัจจุบันของผู้คนได้)  นี่คือผลของการสัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำกล่าวเหล่านี้  วาจาเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาได้เพราะว่าสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผู้คนเชื่อในชะตากรรม แต่ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาติดพันอยู่กับแนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีอยู่เสมอ ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าในส่วนลึกสุดของหัวใจ พวกเขาได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระหรือว่าถูกพันธนาการเอาไว้?  (พวกเขาถูกพันธนาการเอาไว้)  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะถูกแนวคิดนี้พันธนาการเอาไว้อยู่ร่ำไป  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง นอกจากจะรู้สึกว่าความจริงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเจ้าก็มีหนทางไปข้างหน้าแล้ว เจ้ายังจะรู้สึกเช่นใดอีก?  (ได้รับการปลดปล่อย)  ถูกต้อง เจ้าจะรู้สึกว่าเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย  เมื่อเจ้ามีเส้นทางปฏิบัติและไม่ติดอยู่ในกับดักอีกต่อไป เมื่อนั้นวิญญาณของเจ้าย่อมจะได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระมิใช่หรือ?  ทัศนะที่บิดเบี้ยวและไร้สาระเหล่านี้ย่อมจะไม่สามารถพันธนาการความคิดหรือมัดมือมัดเท้าของเจ้าเอาไว้ เจ้าจะมีเส้นทางให้เดิน และเจ้าจะไม่ถูกทัศนะเหล่านั้นควบคุมอีกต่อไป  เมื่อเจ้าได้ฟังพระเจ้าสามัคคีธรรมเรื่องชะตากรรมของมนุษย์ เจ้าจะรู้สึกว่าเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย และเจ้าจะกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!  ที่แท้ ความเข้าใจที่ฉันเคยมีมาก่อนในเรื่องของชะตากรรมช่างบิดเบี้ยวและสุดโต่งนัก!  คราวนี้ฉันเข้าใจแล้ว และไม่ถูกแนวคิดที่คลาดเคลื่อนเรื่องชะตากรรมนี้ดีหรือไม่ดีคอยกวนใจอีกต่อไป  ฉันไม่เดือดร้อนเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว  ถ้าฉันไม่ได้มาเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็คงจะคิดว่าชะตากรรมของตัวเองดีในครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ไม่ดีในครู่ต่อมา และคงจะนึกสงสัยอยู่เสมอว่าชะตากรรมของฉันดีหรือไม่ดีกันแน่!  ฉันคงจะกังวลไม่หยุดหย่อน”  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว เจ้าก็จะมีเส้นทางให้เดิน เจ้าจะมีความคิดเห็นที่ถูกต้องในเรื่องนี้ และจะมีเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง—นี่หมายความว่าเจ้านั้นเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อยแล้ว  ดังนั้น เพื่อที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าวาจาของใครคนหนึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ และใช่ความจริงหรือไม่ เจ้าต้องฟังว่าวาจาเหล่านี้สัมพันธ์กับความจริงหรือไม่ พร้อมกันนั้นเจ้าก็ควรสังเกตว่าเมื่อเจ้าฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว ความยากลำบากและปัญหาของเจ้าได้รับการแก้ไขหรือไม่—ถ้าได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย เหมือนปลดภาระที่หนักอึ้งออกจากตัว  เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เจ้ามาเข้าใจหลักธรรมความจริงอย่างหนึ่ง เจ้าจะสามารถแก้ปัญหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันได้ และสามารถนำเอาความจริงบางอย่างไปปฏิบัติได้ และนี่ก็จะทำให้เจ้ารู้สึกว่าเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย  ผลลัพธ์ย่อมจะเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  คราวนี้เจ้าก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าแท้จริงแล้วความจริงให้ผลเช่นไร?  (ใช่)  ความจริงให้ผลเช่นไรได้บ้าง?  (สามารถทำให้วิญญาณของผู้คนรู้สึกว่าเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย)  ความจริงให้ผลเช่นนี้เพียงอย่างเดียวหรือ?  มีแต่ความรู้สึกนี้อย่างเดียวเท่านั้นหรือ?  (ในเบื้องต้น ความจริงย่อมแก้ไขทัศนะที่คลาดเคลื่อนและสุดโต่งที่ผู้คนเก็บงำเอาไว้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ  เมื่อผู้คนมองสิ่งทั้งหลายในหนทางที่บริสุทธิ์และสอดคล้องกับความจริง พวกเขาย่อมจะรู้สึกว่าวิญญาณของตนเป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย และพวกเขาก็จะไม่ถูกสิ่งที่เป็นลบซึ่งมาจากซาตานพันธนาการหรือก่อกวนอีกต่อไป)  นอกจากรู้สึกว่าเป็นอิสระและมีเสรีในวิญญาณของเจ้าแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งก็คือความจริงทำให้เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงบางอย่างได้ เพื่อให้เจ้าไม่ถูกความคิดและทัศนะที่ผิดและบิดเบี้ยวเหล่านั้นพันธนาการหรือชักจูงอีกต่อไป  หลักธรรมของการปฏิบัติความจริงย่อมเข้าแทนที่สิ่งเหล่านั้น และจากนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เราจะจบสามัคคีธรรมของเราเรื่องสิ่งที่ผู้คนที่รู้สึกหดหู่สำแดงออกมาเพราะพวกเขาคิดไปว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีไว้ตรงนี้

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครบางคนหดหู่ก็คือ แม้พวกเขาจะไม่คิดว่าชะตากรรมของตนแย่ขนาดนั้น แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าตนโชคไม่ดีอยู่เสมอ ไม่เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับตนเลย ก็เหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อพูดกันว่า “เทพเจ้าแห่งโชคลาภมักข้ามฉันไปเสมอ”  แม้พวกเขาไม่รู้สึกว่ารูปการณ์ของตนแย่ขนาดนั้น พวกเขารูปร่างสูงและหน้าตาดี มีการศึกษา มีความสามารถพิเศษ และเป็นคนทำงานที่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็นึกสงสัยว่าทำไมเทพเจ้าแห่งโชคลาภถึงไม่เคยเข้าข้างตนเลย  นี่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา และคิดเสมอว่าตนโชคไม่ดี  เริ่มตั้งแต่ปีที่พวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัย หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่เมื่อถึงวันสอบ พวกเขากลับเป็นไข้หวัดใหญ่และตัวร้อน  นี่ส่งผลต่อการทำข้อสอบของพวกเขา และพวกเขาก็พลาดโอกาสที่จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโดยคะแนนขาดไปสองสามคะแนน  พวกเขาจึงคิดในใจว่า “ทำไมฉันถึงได้โชคร้ายขนาดนี้?  ฉันเรียนดีและโดยปกติก็ขยันมาก  ทำไมฉันต้องมีไข้ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่เป็นวันอื่น?  โชคไม่ดีจริงๆ  ไม่น่าเลย!  เหตุการณ์สำคัญครั้งแรกในชีวิตกลับต้องมาเจออุปสรรค  คราวนี้ฉันควรทำอย่างไร?  ฉันหวังว่าโชคของตัวเองจะดีขึ้นในอนาคต”  แต่ภายหลังพวกเขากลับพบเจอความยากลำบากและปัญหาสารพัดรูปแบบในชีวิตของตน  ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบางแห่งกำลังรับพนักงานใหม่ และตอนที่พวกเขาพร้อมที่จะสมัครงาน ก็พบว่าตำแหน่งงานที่ว่างอยู่นั้นเต็มหมดแล้ว และบริษัทก็ไม่ต้องการใครอีก  พวกเขาจึงนึกสงสัยว่า “ทำไมฉันถึงโชคร้ายได้ขนาดนี้?  ทุกครั้งที่มีเรื่องดีๆ เข้ามา ทำไมถึงผ่านฉันไปเฉยๆ?  โชคร้ายอะไรอย่างนี้!”  และวันแรกที่พวกเขาเริ่มทำงานที่ไหนสักแห่ง คนอื่นก็เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ รองผู้จัดการ และหัวหน้าแผนก  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาต้องรอให้มีการเลื่อนตำแหน่งคราวต่อไป  ด้วยเหตุที่พวกเขาทำงานดีและหัวหน้างานของพวกเขาก็เอาใจใส่พวกเขาเป็นอย่างดีทีเดียว พวกเขาจึงคิดว่าตนจะได้เลื่อนตำแหน่งในคราวต่อไป แต่ท้ายที่สุดหัวหน้างานของพวกเขากลับเอาผู้จัดการมาจากที่อื่น และพวกเขาก็พลาดโอกาสอีกครั้ง  พวกเขาคิดในใจว่า “โธ่เอ๊ย!  ดูเหมือนฉันจะโชคไม่ดีจริงๆ  ฉันไม่เคยโชคดีเลย—เทพเจ้าแห่งโชคลาภไม่เคยเข้าข้างฉันเลย”  ต่อมา พวกเขาก็มาเชื่อในพระเจ้า และเพราะพวกเขาชอบขีดเขียน พวกเขาจึงหวังจะได้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับข้อความเป็นหลัก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำบททดสอบได้ไม่ค่อยดีนัก และไม่ผ่านการทดสอบ  พวกเขาจึงคิดว่า “ปกติฉันเขียนได้ดีมาก แล้วทำไมฉันถึงทำบททดสอบได้ไม่ดีเล่า?  พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความรู้แจ้งหรือชี้นำฉันเลย!  ฉันคิดว่าพอได้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ข้อความ ฉันคงจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้มากขึ้นและสามารถเข้าใจความจริงมากขึ้น  น่าเสียดายที่ฉันโชคไม่ดี  แม้แผนการดี แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้นอยู่ดี”  ในที่สุดพวกเขาก็เลือกจากหน้าที่อื่นๆ ที่มีอยู่มากมาย โดยกล่าวว่า “ฉันจะไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับทีมข่าวประเสริฐ”  สิ่งต่างๆ ในทีมข่าวประเสริฐเริ่มต้นด้วยดีมาก และพวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าครั้งนี้พวกเขาพบที่ทางของตัวเองแล้ว เหมือนพวกเขาสามารถนำทักษะของตนมาใช้ให้เกิดประโยชน์  พวกเขาคิดว่าตนนั้นหลักแหลม มีความสามารถในงานของตน และพวกเขาเต็มใจที่จะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ผลบางอย่างและกลายเป็นผู้ดูแลได้ด้วยความพยายาม  อย่างไรก็ดี พวกเขาทำบางอย่างผิดพลาด ซึ่งผู้นำของพวกเขาก็มาพบเข้า  พวกเขาจึงได้รับการบอกกล่าวว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นขัดกับหลักธรรมและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร  หลังจากทีมของพวกเขาถูกตัดแต่ง ใครบางคนก็กล่าวกับพวกเขาว่า “ก่อนคุณจะเข้ามา พวกเราทำกันได้ดีมาก  พอคุณมาถึง พวกเราก็ถูกตัดแต่งเป็นครั้งแรก”  พวกเขาจึงนึกสงสัยว่า “นี่ยังไม่ใช่ความโชคไม่ดีของฉันอีกหรือ?”  ในเวลาต่อมา มีการจัดสรรผู้คนกันใหม่เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในงานข่าวประเสริฐ  และจากที่เคยเป็นผู้ดูแล พวกเขาก็กลายเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของทีม อีกทั้งถูกส่งไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐในพื้นที่ใหม่  พวกเขาจึงคิดว่า “แย่แล้ว ฉันกลับร่วงแทนที่จะรุ่ง  ก่อนฉันจะไปที่นั่น ไม่เคยมีใครถูกจัดสรรใหม่ แล้วทำไมถึงเกิดการจัดสรรใหม่ครั้งใหญ่เอาตอนที่ฉันไปถึงด้วย?  ตอนนี้ฉันถูกส่งมาที่นี่ ก็ไม่มีความหวังที่จะได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว”  ในพื้นที่ใหม่นี้มีคริสตจักรน้อยมากและมีสมาชิกคริสตจักรอยู่ไม่กี่คน  พวกเขาจึงประสบความยุ่งยากในการเริ่มงานและพวกเขาก็ไม่มีประสบการณ์ใดๆ  พวกเขาต้องใช้เวลาคิดหาทางอยู่พักหนึ่ง และมีความยากลำบากในเรื่องภาษาอีกด้วย แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้?  พวกเขาอยากยกมือยอมแพ้และเดินจากไป แต่ก็ไม่กล้า พวกเขาอยากทำหน้าที่ของตนให้ดี แต่ก็ยากเย็นและเหนื่อยล้าเหลือเกิน พวกเขาคิดว่า “นี่เป็นเพราะฉันโชคไม่ดีเอามากๆ!  ฉันจะเปลี่ยนแปลงโชคของตัวเองได้อย่างไร?”  ไม่ว่าหันไปทางไหน พวกเขาก็เจอแต่ทางตัน รู้สึกอยู่เสมอว่าตนโชคไม่ดี ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีบางสิ่งคอยขัดขวาง และทุกก้าวเดินก็แสนยากเย็น  พวกเขาต้องใช้ความพยายามมากมายกว่าจะสัมฤทธิ์ผลบางอย่างและมองเห็นความหวังเพียงเล็กน้อย และแล้วรูปการณ์ของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ความหวังก็พลอยอันตรธานหาย และพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง  พวกเขาเริ่มหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ พลางคิดว่า “ทำไมถึงยากลำบากนักกว่าฉันจะสัมฤทธิ์ผลบางอย่างและได้รับความเห็นชอบจากผู้คน?  ทำไมถึงยากลำบากนักกว่าจะมีที่ยืนอันมั่นคงในกลุ่มคน?  ทำไมการเป็นใครสักคนที่ผู้คนเห็นดีด้วยและชื่นชอบถึงลำบากนัก?  ทำไมถึงยากลำบากเหลือเกินกว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดีและราบรื่น?  ทำไมชีวิตของฉันถึงเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมากมาย?  ทำไมถึงมีอุปสรรคมากนัก?  ทำไมฉันถึงเจอทางตันในทุกเรื่องที่ทำ?”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม พวกเขาจึงถูกแทนที่และถูกกำจัดออกไปอยู่เสมอ  พวกเขาหดหู่เอามากๆ และเชื่ออยู่เสมอว่าตนโชคไม่ดี โดยคิดว่า “ฉันเป็นเหมือนม้าฝีเท้าดีที่ไม่เคยมีใครสังเกตเห็น  ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ม้าฝีเท้าดีมีมาก แต่น้อยคนนักที่ดูออก’  ฉันเป็นเหมือนม้าฝีเท้าดีที่ยังไม่ถูกค้นพบ  ท้ายที่สุดแล้วฉันก็แค่โชคไม่ดีและไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดหรือทำเรื่องใดได้ดีไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม  ฉันไม่เคยได้นำจุดแข็งมาใช้หรืออวดจุดแข็งของตน หรือได้ในสิ่งที่ฉันต้องการเลย  ฉันช่างโชคร้ายนัก!  นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”  พวกเขารู้สึกเสมอว่าตัวเองโชคไม่ดีและหมดเวลาในแต่ละวันไปกับความวิตกกังวลโดยคิดว่า “แย่แล้ว!  ได้โปรดอย่าให้ฉันถูกย้ายไปทำหน้าที่อื่นเลย” หรือ “ไม่นะ!  ได้โปรดอย่าให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลย” หรือ “แย่แล้ว!  ได้โปรดอย่าให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย” หรือ “แย่แล้ว!  ได้โปรดอย่าให้มีปัญหาใหญ่ๆ อีกเลย”  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเกิดความหดหู่เท่านั้น พวกเขายังรู้สึกไม่สบายใจ กระสับกระส่าย หงุดหงิด และวิตกกังวลอย่างยิ่งอีกด้วย  พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าโชคของตนไม่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกหดหู่มาก และความหดหู่นี้ก็เกิดจากความรู้สึกส่วนตัวว่าตนโชคไม่ดี  พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าตนโชคไม่ดี ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่เคยได้เป็นผู้นำทีมหรือผู้ดูแล และไม่เคยมีโอกาสโดดเด่นเหนือฝูงชน  เรื่องดีๆ เหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาขบคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่ได้ขาดตกบกพร่องด้านใด แล้วทำไมไม่ว่าจะไปที่ไหนถึงไม่มีใครชอบฉันเลย?  ฉันไม่เคยล่วงเกินใครหรืออยากทำให้ใครเดือดร้อน แล้วทำไมฉันถึงโชคไม่ดีเพียงนี้?”  เป็นเพราะพวกเขายึดติดกับความรู้สึกดังกล่าว ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้จึงย้ำเตือนพวกเขาตลอดเวลาว่า “เธอโชคไม่ดี ดังนั้นก็อย่าชะล่าใจ อย่าเที่ยวเดินกร่าง และอย่าอยากโดดเด่นอยู่เสมอ  เธอโชคไม่ดี ดังนั้นอย่าคิดแม้แต่การเป็นผู้นำ  เธอโชคไม่ดี ดังนั้นเธอก็ต้องเอาใจใส่ให้มากขึ้นเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และยับยั้งชั่งใจเอาไว้บ้าง เผื่อวันหนึ่งเธอถูกเปิดโปงและถูกแทนที่ หรือเผื่อมีใครรายงานเรื่องของเธอลับหลังและฉวยเอาอะไรบางอย่างมาทำร้ายเธอ หรือในกรณีที่เธอมักจะทำหน้าที่เป็นผู้นำแล้วทำผิดพลาดจนถูกตัดแต่ง  ต่อให้เธอได้เป็นผู้นำ เธอก็ยังต้องเอาใจใส่และระมัดระวังตลอดเวลาอยู่ดี เหมือนกำลังเดินอยู่บนคมมีด  อย่าโอหัง เธอต้องถ่อมใจ”  ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้คอยเตือนพวกเขาตลอดเวลาให้ถ่อมใจ เดินหลบมุมด้วยความรู้สึกอับอาย และไม่วางตัวว่ามีศักดิ์ศรีอีกเลย  แนวคิด ความคิดอ่าน มุมมอง หรือการตระหนักรู้ว่าโชคของตนไม่ดีนี้คอยเตือนใจพวกเขาตลอดเวลาไม่ให้กระตือรือร้นหรือมองอะไรในแง่บวก ไม่ให้แสดงความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ  ในทางกลับกัน พวกเขาต้องจมอยู่ในความหดหู่ต่อไป ไม่กล้าใช้ชีวิตต่อหน้าผู้อื่น  ต่อให้ทุกคนอยู่บ้านหลังเดียวกัน พวกเขาก็ต้องหาที่นั่งที่ไม่สะดุดตา จะได้ไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายนัก  พวกเขาต้องไม่ดูโอหังจนเกินไป เพราะทันทีที่พวกเขาเริ่มแสดงความโอหังออกมา โชคร้ายก็จะมาถึงตัวพวกเขา  เนื่องจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่รายล้อมพวกเขาเอาไว้ตลอดเวลาและคอยเตือนพวกเขาอยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจอย่างต่อเนื่องถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเขาจึงขลาดกลัวและระมัดระวังในทุกสิ่งที่ทำ  หัวใจของพวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยได้พบที่ทางที่เหมาะสมกับตนเอง และไม่เคยได้ทุ่มเทหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนให้กับการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ตนมี  ราวกับพวกเขาคอยระแวดระวังบางสิ่งและรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น  พวกเขาคอยระแวดระวังว่าโชคร้ายจะมาถึงตัว คอยระวังเรื่องไม่ดีและเรื่องน่าอับอายที่โชคร้ายจะนำมาให้  เพราะฉะนั้น นอกจากการดิ้นรนพยายามอยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจแล้ว ก็มีภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี่เองที่ยิ่งครอบงำหนทางและวิธีการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีวางตนและกระทำการของพวกเขา  พวกเขาใช้ความโชคดีและโชคไม่ดีมาประเมินพฤติกรรมของตนเองอยู่เสมอ และใช้วัดว่าวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการนั้นถูกต้องหรือไม่ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาจมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ และเป็นเหตุให้พวกเขาไม่สามารถใช้การคิดอ่านและทัศนะที่ถูกต้องมาเผชิญหน้าสิ่งที่เรียกกันว่า “โชคไม่ดี” เหล่านี้ หรือรับมือและแก้ไขสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าโชคร้ายของตน  ในวงจรอุบาทว์เช่นนี้ พวกเขาถูกภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ควบคุมและมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง  และด้วยความพยายามอย่างหนักหน่วง พวกเขาจึงสามารถเปิดใจและสามัคคีธรรมกับผู้อื่นถึงสภาวะหรือแนวคิดของตน แต่แล้ว ในการชุมนุม จะโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม คำพูดที่พี่น้องชายหญิงกล่าวสามัคคีธรรมได้พาดพิงถึงสภาวะและปมปัญหาของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของตนถูกทำร้าย  พวกเขายังคงเชื่อว่านี่คือการสำแดงถึงความโชคไม่ดีของตน และคิดว่า “คุณเห็นไหม?  ช่างยากลำบากเหลือเกินที่ฉันจะเล่าถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของฉัน แล้วทันทีที่เล่าออกมา ก็จะมีคนฉวยเอาเรื่องนั้นมาพยายามทำร้ายฉัน  ฉันโชคร้ายจริงๆ!”  พวกเขาเชื่อว่านี่คือความโชคร้ายในการทำงาน และเชื่อว่าเมื่อคนคนหนึ่งโชคไม่ดี แน่นอนว่าทุกสิ่งก็พลอยเล่นงานตนไปด้วย

ปัญหาของผู้คนที่คิดอยู่เสมอว่าตนโชคไม่ดีนั้นคืออะไร?  พวกเขาใช้โชคเป็นมาตรฐานในการประเมินว่าการกระทำของตนถูกหรือผิด และชั่งใจว่าตนควรเลือกใช้เส้นทางใด สิ่งใดที่ตนควรมีประสบการณ์ด้วย และปัญหาใดที่ตนควรเผชิญ  นั่นถูกหรือผิด?  (ผิด)  พวกเขาขยายความสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นโชคร้าย และสิ่งที่ดีว่าเป็นโชคดีหรือเป็นประโยชน์  มุมมองเช่นนี้ถูกหรือผิด?  (ผิด)  การประเมินสิ่งต่างๆ ตามมุมมองแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้อง  เป็นวิธีการและมาตรฐานที่สุดโต่งและไม่ถูกต้องในการประเมินสิ่งต่างๆ  วิธีการแบบนี้มักจะชักพาให้ผู้คนจมอยู่ในความหดหู่ และมักจะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าไม่เคยมีอะไรได้ดังใจ และไม่เคยได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งในที่สุดก็พาให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด และไม่สบายใจอย่างต่อเนื่อง  เมื่อภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนเหล่านี้ย่อมจมอยู่ในความหดหู่และรู้สึกตลอดเวลาว่าพระเจ้าไม่โปรดปรานตน  พวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงใช้พระคุณกับผู้อื่น แต่ไม่ทรงใช้กับตน และพระเจ้าก็ทรงดูแลผู้อื่น แต่ไม่ทรงดูแลตน  “ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลอยู่เสมอ?  ทำไมถึงเกิดเรื่องไม่ดีกับฉันอยู่เรื่อย?  ทำไมถึงไม่เคยเกิดเรื่องดีๆ กับฉันบ้าง?  ฉันขอแค่ครั้งเดียวก็พอ!”  เมื่อเจ้ามองสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีคิดและมุมมองผิดๆ แบบนี้ เจ้าย่อมจะติดอยู่ในกับดักเรื่องโชคดีและโชคไม่ดี  เมื่อเจ้าติดอยู่ในกับดักนี้อย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จะรู้สึกหดหู่อยู่ตลอดเวลา  ท่ามกลางความหดหู่นี้ เจ้าย่อมจะอ่อนไหวเป็นพิเศษว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้านั้นเป็นเรื่องโชคดีหรือว่าโชคไม่ดี  เมื่อเป็นดังนี้ก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่ามุมมองและแนวคิดเรื่องโชคดีและไม่ดีนี้ได้ควบคุมเจ้าเอาไว้แล้ว  เมื่อเจ้าถูกมุมมองแบบนี้ควบคุมเอาไว้ ทัศนะและท่าทีที่เจ้ามีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายย่อมไม่อยู่ในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นความสุดโต่งแบบหนึ่งไปแล้ว  เมื่อเจ้าตกอยู่ในความสุดโต่งนี้ เจ้าจะไม่หลุดออกมาจากความหดหู่ของเจ้า  เจ้าจะรู้สึกหดหู่อยู่เรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และต่อให้เวลาปกติเจ้าไม่รู้สึกหดหู่ก็ตาม แต่ทันทีที่บางสิ่งเกิดผิดพลาด ทันทีที่เจ้ารู้สึกว่าได้เกิดเรื่องโชคร้ายบางอย่างขึ้น เจ้าก็จะจมลงสู่ความหดหู่ในทันที  ความหดหู่นี้จะส่งผลต่อดุลพินิจและการตัดสินใจตามปกติของเจ้า และส่งผลแม้กระทั่งต่อความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความเบิกบานของเจ้าด้วย มันจะก่อกวนและทำลายการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า รวมทั้งเจตจำนงและความปรารถนาของเจ้าที่จะติดตามพระเจ้า  เมื่อสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ถูกทำลาย ความจริงไม่กี่อย่างที่เจ้าเข้าใจย่อมจะสูญสลายไปในอากาศและไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลย  นั่นคือสาเหตุที่เมื่อเจ้าตกอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้แล้ว เจ้าจะปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงไม่กี่อย่างที่เจ้าเข้าใจได้ยาก  ต่อเมื่อเจ้ารู้สึกว่าโชคของเจ้ามาถึง ต่อเมื่อเจ้าไม่ถูกความหดหู่กดทับเอาไว้เท่านั้น เจ้าจึงฝืนใจจ่ายราคาได้บ้าง ทนทุกข์กับความยากลำบากได้บ้าง และอาจแสดงความจริงใจได้บ้างเวลาทำสิ่งที่เจ้าเต็มใจจะทำ  ทันทีที่เจ้ารู้สึกว่าโชคได้ละทิ้งเจ้าไปแล้ว และกำลังเกิดเรื่องโชคร้ายขึ้นกับเจ้าอีกครั้ง ไม่ช้าความหดหู่ของเจ้าก็เข้าควบคุมเจ้า แล้วความจริงใจ ความจงรักภักดี และเจตจำนงที่จะสู้ทนความยากลำบากของเจ้าก็จะผละจากเจ้าไปในทันที  เพราะฉะนั้น ผู้คนที่คิดว่าตนโชคไม่ดีหรือจริงจังในเรื่องโชคเป็นอย่างมาก ก็เหมือนผู้คนที่คิดว่าชะตากรรมของตนไม่ดีนั่นเอง  พวกเขามักจะมีภาวะอารมณ์ที่สุดโต่งมาก—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขามักจะถลำลงสู่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ เช่น ความหดหู่  พวกเขาคิดลบและอ่อนแอเป็นพิเศษ และถึงกับมีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์แปรปรวน  เมื่อพวกเขารู้สึกว่าโชคดี พวกเขาก็เต็มไปด้วยความเบิกบาน เปี่ยมพลัง สามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ ตกกลางคืนพวกเขาสามารถนอนให้น้อยลง ส่วนกลางวันก็กินอาหารให้น้อยลงได้ พวกเขาเต็มใจที่จะทนทุกข์ต่อความยากลำบากใดๆ และถ้าพวกเขาเกิดตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะ พวกเขาก็ยินดีที่จะสละชีวิตของตน  อย่างไรก็ดี ในเวลาที่พวกเขารู้สึกว่าช่วงนี้ตนโชคไม่ดี ยามที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่ตนคิดเลย ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ก็เข้าเกาะกุมหัวใจของพวกเขาทันที  คำปฏิญาณและปณิธานที่พวกเขาให้ไว้ก่อนหน้านี้ล้วนไม่เป็นผล จู่ๆ พวกเขาก็เป็นเหมือนลูกบอลแฟบๆ ไม่สามารถรวบรวมพละกำลังขึ้นมาได้ หรือเป็นเหมือนหล่มโคลน ไม่เต็มใจที่จะทำสิ่งใดหรือพูดอะไรเลย  พวกเขาคิดว่า “หลักธรรมความจริง การไล่ตามเสาะหาความจริง การบรรลุความรอด การนบนอบพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลยสักอย่าง  ฉันโชคไม่ดีและไม่ว่าจะปฏิบัติความจริงมากมายแค่ไหนหรือจ่ายราคาไปมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ฉันจะไม่มีวันได้รับความรอด  ฉันจบสิ้นแล้ว  ฉันก็เหมือนเครื่องรางแห่งความโชคร้าย เป็นคนที่โชคไม่ดี  เอาล่ะ ช่างเถิด ไม่ว่าอย่างไรฉันก็โชคไม่ดี!”  ดูเอาเถิด อึดใจหนึ่งพวกเขาเป็นเหมือนลูกบอลที่อัดลมไว้แน่นจนจวนเจียนจะระเบิด แล้วอึดใจถัดมาพวกเขาก็ยุบแฟบ  นี่ย่อมเป็นปัญหามิใช่หรือ?  ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  อะไรคือมูลเหตุ?  พวกเขาจับจ้องโชคลาภของตนอยู่เสมอ ราวกับว่าพวกเขากำลังจับจ้องตลาดหุ้นเพื่อดูว่าตลาดกำลังขึ้นหรือลง เป็นตลาดหุ้นขาขึ้นหรือขาลง  พวกเขาวิตกจริตตลอดเวลา อ่อนไหวอย่างไม่น่าเชื่อกับเรื่องโชคของตน และดื้อรั้นอย่างยิ่ง  คนที่สุดโต่งแบบนี้มักจะจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่ เพราะพวกเขาใส่ใจโชคลาภของตนมากเกินไป และใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ของตนเอง  ถ้าพวกเขาตื่นขึ้นมาพร้อมอารมณ์ที่ไม่ดีในตอนเช้า พวกเขาก็จะคิดว่า “แย่แล้ว!  ฉันพนันได้เลยว่าวันนี้ต้องโชคไม่ดี  หนังตาข้างซ้ายของฉันกระตุกมาหลายวันแล้ว รู้สึกลิ้นแข็ง และสมองเฉื่อยชา  เวลากิน ฉันกัดลิ้นตัวเอง เมื่อคืนนอนก็ฝันไม่ดี”  หรือไม่พวกเขาก็คิดว่า “คำแรกที่ฉันได้ยินใครสักคนพูดในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นลางไม่ดี”  พวกเขาหวาดระแวงตลอดเวลา พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย และศึกษาเรื่องพวกนี้  พวกเขากังวลเรื่องโชคลาภ ทิศทาง และอารมณ์ของตนอย่างเหลือเชื่อทุกวันและทุกเวลา  ทั้งยังเฝ้าสังเกตสีหน้า ท่าที และแม้กระทั่งน้ำเสียงที่พี่น้องชายหญิงทุกคนในคริสตจักรใช้กับตนอีกด้วย  หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งทำให้พวกเขาหดหู่อยู่ตลอดเวลา  พวกเขารู้ว่าตนอยู่ในสภาวะที่ไม่ดี แต่พวกเขาก็ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า หรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข และไม่ว่าพวกเขาจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกมา พวกเขาก็ไม่สนใจหรือให้ความสำคัญกับอุปนิสัยดังกล่าว  นี่คือปัญหามิใช่หรือ?  (ใช่)

ผู้คนเหล่านี้เป็นห่วงอยู่เสมอว่าตนโชคดีหรือไม่ดี—วิธีที่พวกเขาใช้มองสิ่งทั้งหลายนี้ถูกต้องหรือไม่?  โชคดีหรือโชคร้ายมีจริงหรือไม่?  (ไม่)  ใช้หลักการอะไรมากล่าวว่าไม่มีจริง?  (ผู้คนที่พวกเราพบเจอและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกวันนั้นมีอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด  ไม่มีสิ่งที่เป็นโชคดีหรือโชคไม่ดีดังกล่าว ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความจำเป็นและมีความหมายอยู่เบื้องหลัง)  ที่กล่าวมานั้นถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ทัศนะเช่นนี้ถูกต้อง และนี่ก็คือพื้นฐานทางทฤษฎีของการกล่าวว่าเรื่องโชคไม่มีอยู่จริง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า จะดีหรือไม่ดีก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนสภาพอากาศที่มีอยู่สี่ฤดูนั่นเอง—เป็นไปไม่ได้ที่แดดจะออกทุกวัน  เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าวันที่แดดออกนั้นพระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ให้ ส่วนวันที่มีเมฆ ฝน ลม และพายุนั้นไม่ได้ถูกจัดเตรียมการโดยพระเจ้า  ทุกสิ่งถูกกำหนดโดยอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า และเกิดจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ  สภาพแวดล้อมตามธรรมชาตินี้กำเนิดขึ้นตามธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงจัดแจงบัญญัติไว้  ทั้งหมดนี้จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร ก็ล้วนถือกำเนิดและเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ  ไม่มีสิ่งใดดีหรือไม่ดี—มีแต่ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อเรื่องนี้เท่านั้นที่ดีหรือไม่ดี  ผู้คนรู้สึกไม่ดีเวลาฝนตก ลมแรง หรือเมฆครึ้ม หรือระหว่างที่เกิดพายุลูกเห็บ  ยิ่งเวลาฝนตกและอากาศชื้น ผู้คนก็ยิ่งไม่ชอบ พวกเขาเจ็บปวดตามข้อและรู้สึกอ่อนแรง  เจ้าอาจจะรู้สึกไม่ดีกับวันฝนตก แต่เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าวันฝนตกเป็นวันโชคร้าย?  นี่เป็นเพียงความรู้สึกที่สภาพอากาศปลุกเร้าขึ้นมาในตัวผู้คน—โชคไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้อเท็จจริงที่ว่าฝนกำลังตก  เจ้าอาจจะกล่าวว่าวันที่แดดออกนั้นดี  ถ้าแดดออกนานสามเดือนโดยไม่มีฝนเลยสักหยด ผู้คนย่อมรู้สึกดี  พวกเขาได้เห็นดวงอาทิตย์ทุกวัน อากาศก็แห้งและอบอุ่น มีลมโชยมาเบาๆ เป็นครั้งคราว และพวกเขาสามารถออกนอกบ้านได้ทุกครั้งที่อยากไป  แต่ต้นไม้ไม่อาจทนทานได้ และพืชผลย่อมล้มตายเพราะความแห้งแล้ง จึงไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวในปีนั้น  เพราะฉะนั้น การที่เจ้ารู้สึกดีหมายความว่าทุกสิ่งดีจริงๆ เช่นนั้นหรือ?  พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเจ้าไม่มีอาหารกิน เจ้าก็จะพูดว่า “ไม่น่าเลย การที่แดดออกนานวันเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน  ถ้าฝนไม่ตก พืชผลย่อมเสียหาย ไม่มีอาหารให้เก็บเกี่ยว และผู้คนก็หิวโหย”  ถึงจุดนี้ เจ้าย่อมตระหนักว่าการที่แดดออกติดต่อกันนานๆ ก็ไม่ดีเช่นเดียวกัน  ข้อเท็จจริงก็คือ การที่คนคนหนึ่งรู้สึกดีหรือไม่ดีต่อบางสิ่งบางอย่างนั้นเป็นไปตามแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว ความอยากได้อยากมี และความสนใจส่วนตนของพวกเขา ไม่ได้เป็นไปตามแก่นแท้ของสิ่งนั้นๆ  ดังนั้น พื้นฐานที่ผู้คนใช้วัดว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดีจึงไม่ถูกต้องแม่นยำ  ด้วยเหตุที่หลักการพื้นฐานไม่ถูกต้อง บทสรุปสุดท้ายที่พวกเขาได้มาจึงพลอยไม่ถูกต้องไปด้วย  กลับมาที่หัวข้อเรื่องโชคดีและโชคไม่ดี คราวนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าคำกล่าวเรื่องโชคนี้ฟังไม่ขึ้น และไม่ใช่ทั้งเรื่องดีและไม่ดี  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเจอ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ล้วนมีอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด ดังนั้นเจ้าก็ควรเผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้องเหมาะสม  จงยอมรับสิ่งที่ดีจากพระเจ้า และยอมรับสิ่งที่ไม่ดีจากพระเจ้าเช่นกัน  จงอย่าพูดว่าเจ้าโชคดีเวลาที่เกิดเรื่องดีๆ และอย่าพูดว่าเจ้าโชคไม่ดีเวลาที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น  สามารถกล่าวได้แต่เพียงว่าทั้งหมดนี้มีบทเรียนให้ผู้คนเรียนรู้ และพวกเขาก็ไม่ควรปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้  จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าเช่นกันสำหรับสิ่งที่ไม่ดี เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมการทุกสิ่ง  ผู้คน เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม และสิ่งทั้งหลายที่ดีงามต่างให้บทเรียนที่พวกเขาควรเรียนรู้เอาไว้ แต่ก็ยังมีอะไรให้เรียนรู้มากกว่านั้นจากผู้คน เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม และสิ่งทั้งหลายที่ไม่ดี  ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์และเหตุการณ์ที่ควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา  ผู้คนไม่ควรใช้แนวคิดเรื่องโชคมาประเมินสิ่งเหล่านี้  แล้วผู้คนที่ใช้โชคมาประเมินว่าสิ่งต่างๆ ดีหรือไม่ดีนั้นมีความคิดและมุมมองว่าอย่างไร?  แก่นแท้ของผู้คนแบบนี้เป็นเช่นไร?  เหตุใดพวกเขาจึงสนใจเรื่องโชคดีและโชคไม่ดีมากขนาดนั้น?  ผู้คนที่มุ่งสนใจเรื่องโชคเป็นอย่างมากนั้นหวังให้ตนโชคดีหรือหวังให้ตนโชคไม่ดี?  (พวกเขาหวังให้ตนโชคดี)  ถูกต้อง  อันที่จริง พวกเขาไล่ตามโชคดีและไขว่คว้าให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตน และพวกเขาก็เพียงแต่ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากสิ่งดีๆ เหล่านั้น  พวกเขาไม่ได้ใส่ใจว่าผู้อื่นทนทุกข์เพียงใด หรือผู้อื่นต้องสู้ทนความทุกข์ยากหรือความยากลำบากเพียงใด  พวกเขาไม่อยากให้สิ่งที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นความโชคร้ายเกิดขึ้นกับตน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่อยากให้สิ่งไม่ดีใดๆ เกิดขึ้นกับตน ซึ่งก็คือ ไม่มีความติดขัด ไม่มีความล้มเหลวหรือเรื่องน่าอับอาย ไม่มีการถูกตัดแต่ง ไม่สูญเสียอะไร ไม่มีการพลั้งพลาด และไม่ถูกหลอกลวง  ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น พวกเขาย่อมถือว่าเป็นโชคไม่ดี  ไม่ว่าใครจัดเตรียมไว้ให้ก็ตาม ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นั่นก็คือโชคไม่ดี  พวกเขาหวังให้สิ่งดีๆ ทั้งปวงเกิดขึ้นกับตน—ตั้งแต่การได้เลื่อนตำแหน่ง การโดดเด่นเหนือฝูงชน การได้ประโยชน์บนความลำบากของผู้อื่น ไปจนถึงการได้ผลประโยชน์จากบางสิ่งบางอย่าง การทำเงินได้มากๆ หรือการกลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง—และพวกเขาคิดว่านั่นคือความโชคดี  พวกเขาใช้เรื่องโชคมาประเมินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ตนพบเจออยู่เสมอ  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าโชคดี ไม่ใช่โชคไม่ดี  ทันทีที่มีอะไรผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว พวกเขาก็โกรธ หงุดหงิด และไม่พอใจ  กล่าวตามตรงก็คือ ผู้คนจำพวกนี้เห็นแก่ตัว  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าประโยชน์ของตนบนความลำบากของผู้อื่น แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด และโดดเด่นเหนือฝูงชน  พวกเขาจะพอใจถ้าเรื่องดีๆ ทุกเรื่องเกิดขึ้นกับตนเพียงคนเดียว  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา

ทุกคนต้องผ่านเรื่องติดขัดและความล้มเหลวมากมายในชีวิต  ใครบ้างมีชีวิตที่มีแต่ความพึงพอใจ?  ใครบ้างไม่เคยมีประสบการณ์เป็นความล้มเหลวหรือเรื่องติดขัดใดๆ?  บางครั้งเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เจ้าคิด หรือเจ้าพบพานเรื่องติดขัดและความล้มเหลว นี่ไม่ใช่โชคไม่ดี แต่เป็นสิ่งที่เจ้าพึงมีประสบการณ์ด้วยต่างหาก  ก็เหมือนการกินอาหาร—เจ้าต้องกินรสเปรี้ยว รสหวาน รสขม และรสเผ็ดเช่นเดียวกัน  ผู้คนไม่อาจขาดเกลือได้และต้องกินอาหารรสเค็มบ้าง แต่ถ้าเจ้ากินเกลือมากเกินไป นั่นก็จะเป็นอันตรายต่อไตของเจ้า  เจ้าต้องกินอาหารรสเปรี้ยวบ้างในบางฤดูกาล แต่จะกินมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะไม่ดีต่อฟันหรือกระเพาะอาหารของเจ้า  ทุกอย่างต้องกินอย่างพอประมาณ  เจ้ากินอาหารรสเปรี้ยว อาหารรสเค็ม และอาหารรสหวาน และเจ้าก็ต้องกินอาหารรสขมบ้างเช่นกัน  อาหารรสขมดีต่ออวัยวะภายในบางอย่าง ดังนั้นเจ้าก็ต้องกินบ้าง  ชีวิตของคนคนหนึ่งก็เหมือนกัน  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเจอในแต่ละช่วงชีวิตของเจ้านั้นส่วนใหญ่ย่อมจะไม่ถูกใจเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะผู้คนไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่ต่างกัน  ถ้าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง โชคลาภ สถานะ และความมั่งคั่ง เพื่อที่จะเป็นเลิศเหนือผู้อื่นและสัมฤทธิ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เป็นต้น เช่นนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ร้อยละ 99 ย่อมจะไม่ถูกใจเจ้า  นี่ก็เป็นดังที่ผู้คนพูดกันว่ามีแต่เรื่องโชคไม่ดีและมีแต่เคราะห์ร้าย  อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าเลิกคิดว่าตัวเองโชคดีหรือโชคไม่ดีเพียงใด และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างสงบนิ่งและถูกต้อง เจ้าก็จะพบว่าส่วนใหญ่แล้วสิ่งต่างๆ ไม่ได้แย่หรือยากที่จะจัดการขนาดนั้น  เมื่อเจ้าปล่อยมือจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของเจ้า เมื่อเจ้าเลิกปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้าเลิกใช้ความโชคดีหรือโชคไม่ดีของเจ้ามาประเมินสิ่งทั้งหลายดังกล่าว คราวนี้เจ้าจะมองเห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าเคยมองว่าเป็นเคราะห์ร้ายและไม่ดีว่าเป็นเรื่องดี—เรื่องไม่ดีทั้งหลายจะกลายเป็นเรื่องดี  วิธีคิดและวิธีมองสิ่งทั้งหลายของเจ้าจะเปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้เจ้าสามารถรู้สึกกับประสบการณ์ชีวิตของเจ้าในทางที่แตกต่างออกไป และพร้อมกันนั้นก็ทำให้เจ้าสามารถเก็บเกี่ยวรางวัลที่ต่างออกไปได้ด้วย  นี่คือประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา เป็นประสบการณ์ที่นำรางวัลที่เจ้านึกไม่ถึงมาให้  นี่เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องไม่ดี  ตัวอย่างเช่น บางคนมีคนเห็นคุณค่าอยู่เสมอ พวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งอยู่เป็นประจำ ได้รับการสรรเสริญและกำลังใจตลอดเวลา พวกเขามักจะได้รับความเห็นชอบจากพี่น้องชายหญิง และทุกคนก็มองพวกเขาด้วยความอิจฉา  นี่เป็นเรื่องดีหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะโชคเข้าข้างคนเหล่านั้น  พวกเขาพูดกันว่า “ดูสิ คนคนนั้นมีขีดความสามารถดี เขาเกิดมาโชคดีและประสบความสำเร็จในชีวิต—เขาได้รับโอกาสดีๆ และได้เลื่อนตำแหน่ง  เขาช่างโชคดีจริงๆ!”  พวกเขาอิจฉามาก  แต่ในที่สุด ภายในเวลาไม่กี่ปี คนคนนั้นก็ถูกปลดและกลายเป็นผู้เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง  เขาร้องไห้เพราะเรื่องนี้และพยายามจะผูกคอตาย แล้วภายในเวลาไม่กี่วันเขาก็ถูกเอาตัวออกไป  นี่คือโชคดีใช่หรือไม่?  ถ้าเจ้ามองแบบนี้ เขาก็โชคไม่ดีอย่างยิ่ง  แต่แท้จริงแล้วนี่ใช่เรื่องโชคไม่ดีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาโชคไม่ดี แต่เพราะเขาไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ด้วยเหตุที่เขาไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง เมื่อสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนเข้าใจว่าเป็น “โชคดี” เกิดขึ้นกับเขา สิ่งเหล่านั้นจึงกลายเป็นการทดลอง เป็นกับดัก และตัวเร่งที่ทำให้เขาย่อยยับเร็วขึ้น  นี่เป็นเรื่องดีหรือ?  เขาใฝ่ฝันอยู่เสมอที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เป็นเลิศเหนือทุกคน เป็นศูนย์กลางความสนใจ ใฝ่ฝันที่จะให้ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดีและเป็นอย่างที่เขาต้องการให้เป็น แต่สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น?  เขาถูกกำจัดออกไปมิใช่หรือ?  นี่คือผลที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  การไล่ตามไขว่คว้าโชคดีโดยตัวมันเองนั้นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง  แน่นอนว่าผู้คนที่ไล่ตามไขว่คว้าโชคย่อมปฏิเสธและหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่ไม่ดี ทุกสิ่งที่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองว่าไม่น่าปรารถนา สิ่งต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามอารมณ์และผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของผู้คน  พวกเขากลัว หลีกเลี่ยง และปฏิเสธการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้  เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา พวกเขาจึงบรรยายสิ่งเหล่านี้ว่า “โชคไม่ดี”  เมื่อพวกเขาคิดว่าตนโชคไม่ดี พวกเขาจะสามารถแสวงหาความจริงได้หรือ?  (ไม่ได้)  เจ้าคิดว่าผู้คนที่ไม่สามารถแสวงหาความจริงและคิดอยู่เสมอว่าตนโชคไม่ดี จะสามารถเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แน่นอนว่าพวกเขาทำไม่ได้  เพราะฉะนั้น ผู้คนที่ไล่ตามไขว่คว้าโชคอยู่เสมอ มุ่งเน้นแต่โชคและจดจ่ออยู่กับเรื่องโชคของตนตลอดเวลา ก็คือผู้คนที่ไม่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ผู้คนแบบนี้ไม่ใส่ใจกับหน้าที่ที่ถูกที่ควรของตน และไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงจมอยู่ในความหดหู่อยู่ร่ำไป  นี่เป็นความผิดของพวกเขาเอง และพวกเขาก็สมควรเป็นเช่นนี้!  นี่เป็นเพราะพวกเขาเดินตามเส้นทางที่ผิด!  พวกเขาสมควรจมอยู่ในความหดหู่แล้ว  การออกจากความหดหู่นี้ง่ายหรือไม่?  ที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่าย  เพียงปล่อยมือจากมุมมองที่ผิดของเจ้า ไม่คาดหวังให้ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดี หรือเป็นอย่างที่เจ้าต้องการโดยแท้ หรือราบรื่น  จงอย่ากลัว ต้านทาน หรือปฏิเสธสิ่งที่ผิดพลาด  แต่จงปล่อยมือจากการต้านทานของเจ้า สงบใจ และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยท่าทีที่นบนอบ และยอมรับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ให้  จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่เรียกกันว่า “โชคดี” และอย่าปฏิเสธสิ่งที่เรียกกันว่า “โชคไม่ดี”  จงมอบหัวใจและตัวตนทั้งหมดของเจ้าแด่พระเจ้า ยอมให้พระองค์เป็นผู้ลงมือทำและจัดวางเรียบเรียง และจงนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระองค์  พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าต้องการในสัดส่วนที่เหมาะสมเมื่อเจ้าจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้น  พระองค์จะทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องการ ตามความต้องการและความขาดแคลนของเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนที่เจ้าพึงเรียนรู้จากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเจอ  แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นของทั้งหมดนี้ก็คือเจ้าต้องมีวิธีคิดที่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระเจ้า  ดังนั้นจงอย่าไล่ตามความสมบูรณ์แบบ อย่าปฏิเสธหรือกลัวการเกิดขึ้นของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา น่าอับอาย หรือไม่น่าพอใจ และจงอย่าใช้ความหดหู่ของเจ้ามาต้านทานการเกิดขึ้นของสิ่งไม่ดีทั้งหลายภายในใจ  ตัวอย่างเช่น ถ้าวันหนึ่งนักร้องคนหนึ่งเกิดเจ็บคอขึ้นมาและร้องเพลงได้ไม่ดี พวกเขาย่อมคิดว่า “ฉันโชคไม่ดีจริงๆ!  ทำไมพระเจ้าไม่ทรงดูแลเสียงของฉันเล่า?  ปกติเวลาอยู่คนเดียว ฉันร้องเพลงเพราะมาก แต่วันนี้ฉันกลับทำให้ตัวเองอับอายกับการร้องเพลงต่อหน้าทุกคน  ฉันร้องเพลงเพี้ยนและจับจังหวะไม่ได้  ฉันทำให้ตัวเองขายหน้ามาก!”  การทำให้ตัวเจ้าดูแย่ก็เป็นเรื่องดี  ช่วยให้เจ้ามองเห็นความบกพร่องของตนเองและความหลงตัวเองของเจ้า  นี่แสดงให้เจ้าเห็นว่าปัญหาของเจ้าอยู่ตรงไหนและช่วยให้เจ้าเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ  ไม่มีผู้คนที่สมบูรณ์แบบและการทำให้ตัวเจ้าดูแย่ก็เป็นเรื่องปกติมาก  ทุกคนย่อมมีประสบการณ์กับช่วงเวลาที่พวกเขาทำให้ตัวเองดูโง่เขลาหรือรู้สึกอับอาย  ทุกคนล้วนล้มเหลว มีประสบการณ์กับการติดขัด และมีจุดอ่อน  การทำให้ตัวเองดูแย่ไม่ใช่เรื่องไม่ดี  เมื่อเจ้าทำให้ตัวเองดูแย่ แต่ไม่รู้สึกอับอาย และไม่ได้รู้สึกหดหู่อยู่ลึกๆ ในใจ นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าไร้ยางอาย แต่หมายความว่าเจ้าไม่ใส่ใจว่าการทำให้ตัวเองดูแย่จะส่งผลต่อความมีหน้ามีตาของเจ้าหรือไม่ และหมายความว่าความหลงตัวเองของเจ้าไม่ได้ครอบงำความคิดอ่านของเจ้าอีกต่อไป  หมายความว่าความเป็นมนุษย์ของเจ้าเติบโตเต็มที่แล้ว  นี่ช่างวิเศษนัก!  นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องดี  จงอย่าคิดว่าเจ้าปฏิบัติได้ไม่ดีหรือเจ้าโชคไม่ดี และจงอย่ามองหาสาเหตุแท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง  นี่เป็นเรื่องปกติ  เจ้าอาจทำให้ตัวเองดูแย่ คนอื่นอาจทำให้ตัวเองดูแย่ ทุกคนอาจทำให้ตัวเองดูแย่—ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็จะพบว่าทุกคนเหมือนกัน ทุกคนเป็นคนธรรมดา ทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตและความตาย ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใคร และไม่มีใครดีไปกว่าใคร  ทุกคนต่างก็ทำให้ตัวเองดูแย่เป็นบางครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีใครควรล้อเลียนใคร  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์เป็นความล้มเหลวหลายครั้งเข้า ความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็จะค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญสิ่งเหล่านี้อีกครั้ง เจ้าก็จะไม่ถูกตีกรอบเอาไว้อีกต่อไป และสิ่งเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของเจ้า  ความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็จะเป็นปกติ และเมื่อความเป็นมนุษย์ของเจ้าเป็นปกติ ความมีเหตุผลของเจ้าก็จะเป็นปกติไปด้วย

ผู้คนที่สนุกกับการไล่ตามไขว่คว้าโชคเหล่านี้คือผู้คนที่ไล่ตามไขว่คว้าโชคดีในชีวิตนี้และทำสิ่งต่างๆ อย่างสุดโต่ง  สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ไล่ตามไขว่คว้านั้นผิดและพวกเขาก็ควรปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นเสีย  พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปเมื่อครู่นี้ถึงวิธีรับมือและการใช้แนวทางที่ถูกต้องกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้—ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้กันแล้วใช่หรือไม่?  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  (ผู้คนควรนบนอบทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง  พวกเขาต้องไม่เสาะแสวงที่จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ และต้องไม่กลัวสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายหรือกลัวว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ และผู้คนก็ต้องไม่ใช้ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนมาต้านทานเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น)  จงสงบใจของเจ้าและเผชิญทุกสิ่งด้วยกรอบความคิดที่ถูกต้อง  เมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องมีเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อจัดการและแก้ไขเรื่องเหล่านั้น และต่อให้เจ้ารับมือได้ไม่ดี เจ้าก็ไม่ควรจมอยู่ในความหดหู่อยู่ดี  ถ้าเจ้าล้มเหลว เจ้าก็พยายามได้อีกครั้ง ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ความล้มเหลวย่อมเป็นบทเรียน และต่อให้เจ้าล้มเหลว นี่ก็ยังดีกว่าการรังเกียจ ต้านทาน ปฏิเสธ และวิ่งหนี  ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าจะต้องเผชิญสิ่งใดในอนาคต เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธหรือพยายามหนีให้พ้นจากสิ่งนั้นเป็นอันขาด และยิ่งไม่ควรใช้ทัศนะเรื่องโชคดีหรือไม่ดีของเจ้ามาประเมินสิ่งนั้น  ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการจัดวางเรียบเรียงด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรใช้ทัศนะและกรอบความคิดเรื่องโชคของเจ้าดีหรือไม่ดีมาประเมินสิ่งทั้งหมดนี้ และยิ่งไม่ควรปฏิเสธสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่เกิดขึ้น  แน่นอนว่าเจ้าไม่ควรจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่เช่นกัน  แต่ควรใช้ท่าทีเชิงรุกและอารมณ์ที่เป็นบวกมาเผชิญหน้าและจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ควรดูว่ามีบทเรียนอะไรให้เรียนรู้ และเจ้าควรเก็บตกความเข้าใจอันใดจากสิ่งเหล่านี้บ้าง—นี่คือสิ่งที่เจ้าพึงทำ  เมื่อนั้นความคิดและทัศนะของเจ้าย่อมจะถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  และเมื่อเจ้าเผชิญหน้าเรื่องไม่ดีหรือเรื่องเคราะห์ร้ายบางอย่างที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็สามารถจัดการกับเรื่องเหล่านั้นได้ตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมีความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง  ความเป็นมนุษย์และความมีเหตุผลของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติด้วยวิธีนี้  เมื่อเจ้ามองเช่นนี้ การมีทัศนะที่ถูกต้องย่อมสำคัญมากมิใช่หรือ?  การเข้าใจเรื่องชะตากรรมให้ชัดแจ้งตามพระวจนะของพระเจ้านี้สำคัญอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  บัดนี้พวกเราสามัคคีธรรมกันถึงคำกล่าวเรื่องโชคดีหรือไม่ดีจนเกือบจะจบลงแล้ว คราวนี้พวกเจ้าก็เข้าใจกันแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถ้าพวกเจ้าสามารถเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาแบบนี้ได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะมีทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องของโชคชะตา

การที่ผู้คนจมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือเรื่องจำเพาะบางอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คนก่อนที่พวกเขาจะมีวัยวุฒิ หรือหลังจากที่พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นั่นคือ พวกเขามีการกระทำผิดบางอย่างหรือทำสิ่งที่ไม่รู้จักคิด ทำเรื่องโง่เขลา และเรื่องไม่รู้ความบางอย่าง  พวกเขาจมอยู่ในความหดหู่เพราะการกระทำผิดเหล่านี้ เพราะสิ่งที่ไม่รู้จักคิดและไม่รู้ความที่พวกเขาทำลงไป  ความหดหู่แบบนี้คือการกล่าวโทษตนเอง และเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งเช่นกันว่าพวกเขาเป็นคนแบบใด  แน่นอนว่าการกระทำผิดแบบนี้ไม่ใช่เพียงการสบถใส่ใครบางคนหรือพูดถึงใครในทางไม่ดีลับหลังนิดหน่อย หรืออะไรเล็กน้อยแบบนั้น แต่เป็นบางสิ่งที่เกี่ยวพันกับความน่าละอาย บุคลิกภาพและศักดิ์ศรีของคนเรา หรือแม้กระทั่งกฎหมาย  เมื่อพวกเขานึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ย่อมค่อยๆ ก่อตัวลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาทีละน้อยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน  การกระทำผิดเหล่านี้ได้แก่อะไรบ้าง?  ดังที่เราเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องไม่รู้ความ ไม่รู้จักคิด และโง่เขลาที่ผู้คนได้ทำลงไป ไม่ว่าตอนเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรบ้าง?  การไม่รู้จักคิด โง่เขลา และไม่รู้ความ—รวมถึงสิ่งที่ทำร้ายผู้อื่นแต่กลับเป็นประโยชน์กับเจ้า สิ่งที่ยากจะพูดถึง และสิ่งที่เจ้ารู้สึกละอายแก่ใจ  อาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่สกปรก น่ารังเกียจ ลามก หรือไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้เจ้าจมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้  ความหดหู่นี้ไม่ได้เป็นเพียงการติเตียนตัวเองธรรมดา แต่เป็นการกล่าวโทษตัวเองเสียมากกว่า  พวกเจ้านึกออกหรือไม่ว่ามีอะไรบ้างที่อาจจะรวมอยู่ในขอบข่ายที่เราได้วางไว้ให้แล้ว?  จงยกตัวอย่างมาเถิด  (ความมักมาก)  ใช่ ความมักมากก็อย่างหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น บางคนทรยศสามีหรือภรรยาของตนทางความคิดหรือการกระทำ บางคนทำผิดประเวณีและทำตัวมักมาก แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เลิกราและคิดอยู่ตลอดเวลาว่าอยากทำผิดประเวณีกับใคร บางคนโกงเงินผู้อื่น บางทีอาจเป็นเงินก้อนใหญ่เสียด้วยซ้ำ บางคนขโมยสิ่งที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น และบางคนก็ปรักปรำหรือแก้แค้นผู้อื่น  เรื่องเหล่านี้บางเรื่องก็เกือบจะผิดกฎหมาย ขณะที่บางเรื่องละเมิดกฎหมายโดยแท้ บางเรื่องอาจจวนเจียนจะละเมิดขอบเขตของศีลธรรม ขณะที่บางเรื่องก็อาจขัดต่อจริยธรรมของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเข้าจริงๆ  เรื่องเหล่านี้ถูกฝังลึกอยู่ในความทรงจำในส่วนลึกสุดของหัวใจผู้คน และมีการระลึกถึงเป็นครั้งคราว  เมื่อเจ้าพบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง เมื่อเจ้านอนไม่หลับในยามวิกาล เจ้าก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเหล่านี้  ภาพเหล่านั้นก็ฉายอยู่ในใจของเจ้าเหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ฉากต่อฉาก และเจ้าก็ไม่สามารถลบหรือสลัดทิ้งไปได้  ทุกครั้งที่เจ้านึกถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็รู้สึกหดหู่ ใบหน้าร้อนผ่าว ใจสั่น เจ้ารู้สึกอับอาย และวิญญาณของเจ้าก็เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ  แม้เจ้าจะเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ยังคงรู้สึกเหมือนสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำลงไปเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง  เจ้าไม่สามารถวิ่งหนีมันไปได้ เจ้าไม่อาจซ่อนตัวจากสิ่งเหล่านั้นได้ และเจ้าไม่รู้ว่าจะทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ข้างหลังได้อย่างไร  แม้จะมีคนรู้ว่าเจ้าทำอะไรลงไปเพียงไม่กี่คน หรือบางทีอาจจะไม่มีใครรู้เลย แต่เจ้าก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่รางๆ ในหัวใจของเจ้า  ความไม่สบายใจนี้ก่อให้เกิดความหดหู่ และขณะที่เจ้าติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ความหดหู่นี้ก็ทำให้เจ้ารู้สึกว่าถูกกล่าวโทษ  เจ้าไม่อาจพูดได้แน่ชัดว่าความรู้สึกว่าถูกกล่าวโทษนี้เกิดจากมโนธรรมของเจ้าเอง จากกฎหมาย หรือจากสำนึกทางศีลธรรมและจริยธรรมของเจ้า  ไม่ว่าในกรณีใด ผู้คนที่ทำสิ่งเหล่านี้ลงไปก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเองเวลาเกิดเรื่องจำเพาะบางอย่าง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมและบริบทบางอย่าง  ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความหดหู่ลึกๆ โดยไม่รู้ตัว และพวกเขาก็ถูกความหดหู่ของตนพันธนาการและจำกัดเอาไว้  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง ความหดหู่นี้ย่อมคืบคลานเข้าไปในจิตใจและหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขาอย่างช้าๆ และพวกเขาก็ซักไซ้ไล่เลียงตัวเองโดยถามว่า “ฉันทำเช่นนี้ได้หรือ?  ฉันสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ฉันสามารถได้รับความรอดหรือเปล่า?  ฉันเป็นคนเช่นใด?  ฉันเคยทำเรื่องนั้นมาก่อน ฉันเคยเป็นคนแบบนั้น  ฉันเกินจะช่วยให้รอดแล้วใช่ไหม?  พระเจ้าจะยังทรงช่วยฉันให้รอดหรือไม่?”  บางคนสามารถปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนและทิ้งมันไว้ข้างหลังได้ในบางครั้ง  พวกเขาเอาความจริงใจและพละกำลังทั้งหมดที่พวกเขาสามารถรวบรวมได้มาใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ ภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตน และถึงขนาดสามารถทุ่มเทความรู้สึกนึกคิดและหัวใจทั้งดวงของตนให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงรวมทั้งการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ทุ่มเทพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ทันทีที่มีสถานการณ์หรือรูปการณ์พิเศษบางอย่างผ่านเข้ามา ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ก็เข้าควบคุมพวกเขาอีกครั้งหนึ่งและทำให้พวกเขารู้สึกอยู่ลึกๆ ในหัวใจของตนว่าถูกกล่าวโทษอีกครั้ง  พวกเขาคิดในใจว่า “เธอเคยทำเรื่องนั้นมาก่อน และเธอก็เคยเป็นคนแบบนั้น  เธอจะสามารถได้รับความรอดกระนั้นหรือ?  การปฏิบัติความจริงมีประโยชน์อะไรหรือไม่?  พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับสิ่งที่เธอทำลงไป?  พระเจ้าจะทรงให้อภัยในสิ่งที่เธอทำลงไปหรือ?  การจ่ายราคาแบบนี้ในตอนนี้สามารถชดเชยการกระทำผิดครั้งนั้นได้หรือ?”  พวกเขามักจะติเตียนตนเองและรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจว่าถูกกล่าวโทษ พวกเขานึกสงสัยอยู่เสมอและตั้งคำถามซักไซ้ไล่เลียงตนเองตลอดเวลา  พวกเขาไม่เคยทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไว้ข้างหลังหรือโยนทิ้งไปได้เลย และพวกเขารู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลากับเรื่องน่าละอายที่ตนทำลงไป  ดังนั้น แม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ก็เหมือนพวกเขาไม่เคยฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้และไม่เคยเข้าใจเลย  ราวกับพวกเขาไม่รู้ว่าการได้รับความรอดนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับตนหรือไม่ พวกเขาสามารถได้รับการอภัยบาปและการไถ่หรือไม่ หรือพวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า รวมทั้งความรอดจากพระองค์หรือไม่  พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย  ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ได้รับคำตอบใดๆ และเพราะพวกเขาไม่ได้คำวินิจฉัยที่ถูกต้อง พวกเขาจึงรู้สึกหดหู่อยู่ลึกๆ ในใจตลอดเวลา  ในส่วนลึกสุดของหัวใจ พวกเขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตนเคยทำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉายภาพนั้นอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา จดจำทุกสิ่งได้ว่าเริ่มต้นอย่างไรและจบลงอย่างไร จดจำทุกสิ่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบ  ไม่ว่าพวกเขาจดจำเรื่องนั้นอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกผิดบาปอยู่เสมอ ดังนั้น ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาจึงรู้สึกหดหู่เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง  แม้ในยามที่พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตน แม้ในยามที่พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานบางอย่าง พวกเขายังคงรู้สึกเหมือนตนเองไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่เคยเผชิญหน้าเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงตรงๆ และไม่เคยถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสำคัญที่สุด  พวกเขาเชื่อว่าความผิดพลาดที่พวกเขาได้ทำลงไปหรือสิ่งที่พวกเขาเคยทำไว้ในอดีตถูกผู้คนส่วนใหญ่มองไปในทางที่ไม่ดี หรืออาจถูกผู้คนกล่าวโทษและดูหมิ่น หรือถูกพระเจ้ากล่าวโทษด้วยซ้ำ  ไม่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในระยะใดหรือพระองค์ได้ตรัสถ้อยดำรัสไว้มากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกต้อง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะทิ้งความหดหู่ของตนไว้ข้างหลัง  นี่คือข้อสรุปสุดท้ายที่คนจำพวกนี้สรุปได้จากการมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้ และเพราะพวกเขาสรุปความอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาจึงไม่สามารถทิ้งความหดหู่ของตนเอาไว้ข้างหลัง

ผู้คนที่เคยกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก แน่นอนว่าย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่อาจจะมีน้อยคนนักคนที่เคยกระทำผิดร้ายแรง ซึ่งเป็นการกระทำผิดชนิดที่ละเมิดขอบเขตของศีลธรรม  ในที่นี้พวกเราจะไม่พูดถึงผู้ที่มีการกระทำผิดแบบอื่นต่างๆ นานา พวกเราจะพูดถึงแต่ผู้คนที่ได้กระทำผิดอย่างร้ายแรงและผู้ที่กระทำผิดชนิดที่ละเมิดขอบเขตของศีลธรรมและจริยธรรมไปว่าควรทำเช่นไร  สำหรับผู้คนที่เคยกระทำผิดอย่างร้ายแรงลงไป—และในที่นี้เรากำลังกล่าวถึงการกระทำผิดที่ละเมิดขอบเขตของศีลธรรม—นี่ไม่เกี่ยวกับการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและละเมิดกฎการปกครองของพระองค์  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  เราไม่ได้กำลังพูดถึงการกระทำผิดที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของพระองค์ หรืออัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ และเราก็ไม่ได้พูดถึงการกระทำผิดที่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า  สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือการกระทำผิดที่ละเมิดขอบเขตของศีลธรรม  ยังมีเรื่องให้พูดถึงเกี่ยวกับผู้คนที่กระทำผิดเช่นนี้สามารถแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนได้อย่างไรอีกด้วย  ผู้คนแบบนี้มีเส้นทางที่พวกเขาสามารถเลือกใช้ได้อยู่สองเส้นทาง และเป็นเรื่องง่ายๆ  ทางแรก ถ้าเจ้ารู้สึกอยู่ในหัวใจว่าเจ้าสามารถปล่อยมือจากสิ่งที่เจ้าเคยทำ หรือเจ้ามีโอกาสขอโทษอีกฝ่ายหนึ่งและชดใช้ให้กับพวกเขา จากนั้นเจ้าก็สามารถไปชดใช้และขอโทษพวกเขาได้ แล้วความรู้สึกของสันติสุขและความสบายใจก็จะกลับคืนสู่วิญญาณของเจ้า ถ้าเจ้าไม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนี้ ถ้าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าเจ้าได้รู้จักปัญหาของตนเองอย่างแท้จริงในส่วนลึกสุดของหัวใจเจ้า ถ้าเจ้าเพียงตระหนักโดยแท้จริงว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนี้ร้ายแรงเพียงใด และเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมาสารภาพและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่เจ้านึกถึงสิ่งที่เจ้าทำลงไปและรู้สึกว่าถูกกล่าวโทษ นั่นคือเวลาที่เจ้าควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อสารภาพและกลับใจโดยแท้จริง เจ้าต้องแสดงความจริงใจและความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้าเพื่อน้อมรับการอภัยบาปและการยกโทษจากพระเจ้า  แล้วเจ้าจะสามารถได้รับการอภัยบาปและการยกโทษจากพระเจ้าได้อย่างไร?  นี่ขึ้นอยู่กับหัวใจของเจ้า  ถ้าเจ้าสารภาพอย่างแท้จริง ตระหนักอย่างแท้จริงถึงความผิดและปัญหาของเจ้า และไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดที่เจ้าทำลงไปหรือเป็นบาปก็ตาม ถ้าเจ้าใช้ท่าทีของการสารภาพที่แท้จริง รู้สึกเกลียดสิ่งที่เจ้าทำลงไปอย่างแท้จริง และกลับตัวอย่างแท้จริง เจ้าจะได้ไม่มีวันทำความผิดนั้นอีก เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่งเจ้าก็จะได้รับการอภัยบาปและการยกโทษจากพระเจ้า นั่นคือ พระเจ้าจะไม่ทรงกำหนดปลายทางของเจ้าตามสิ่งที่โง่เขลา ไม่รู้ความ และสกปรกที่เจ้าเคยทำมาก่อนอีกต่อไป  เมื่อเจ้าทำได้ถึงขั้นนี้ พระเจ้าย่อมจะทรงลืมเรื่องดังกล่าวโดยสิ้นเชิง เจ้าก็จะเป็นเหมือนผู้คนอื่นๆ ทั่วไปโดยไม่มีความแตกต่างแม้แต่น้อย  อย่างไรก็ดี หลักการเบื้องต้นของเรื่องนี้ก็คือว่าเจ้าต้องจริงใจและมีท่าทีที่กลับใจอย่างแท้จริงเหมือนดาวิด  ดาวิดเสียน้ำตาไปเท่าใดกับการกระทำผิดที่เขาก่อเอาไว้?  นับไม่ถ้วน  เขาร้องไห้ไปกี่ครั้ง?  นับครั้งไม่ถ้วน  น้ำตาที่เขาเสียไปสามารถบรรยายเป็นถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ข้าพระองค์หลั่งน้ำตาท่วมที่นอนทุกคืน”  เราไม่รู้ว่าการกระทำผิดของเจ้าร้ายแรงเพียงใด  ถ้าร้ายแรงจริงๆ เจ้าก็อาจต้องร้องไห้จนที่นอนของเจ้าลอยอยู่ในน้ำตาของเจ้า—เจ้าอาจต้องสารภาพและกลับใจถึงขั้นนั้นเสียก่อน เจ้าจึงสามารถได้รับการยกโทษจากพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่ทำดังนี้ เช่นนั้นแล้วเราก็กลัวว่าการกระทำผิดของเจ้าจะกลายเป็นบาปในสายพระเนตรของพระเจ้า และเจ้าก็จะไม่ได้รับการอภัยบาป  เช่นนั้นแล้วเจ้าคงจะตกที่นั่งลำบาก และคงจะไม่มีประโยชน์ในการพูดถึงเรื่องนี้ไปมากกว่านี้  เพราะฉะนั้น ขั้นแรกของการได้รับการอภัยบาปและการยกโทษจากพระเจ้าก็คือ เจ้าต้องจริงใจและลงมือทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อสารภาพและกลับใจอย่างแท้จริง  บางคนถามว่า “ฉันจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับทุกคนหรือเปล่า?”  ไม่จำเป็น จงไปอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยตนเองก็พอ  เมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกว่าถูกกล่าวโทษอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าก็ควรมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทันทีเพื่อน้อมรับการยกโทษจากพระองค์  บางคนถามว่า “ฉันต้องอธิษฐานมากเท่าใดจึงจะรู้ว่าพระเจ้าทรงยกโทษให้แล้ว?”  เมื่อเจ้าไม่รู้สึกว่าถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเจ้าไม่ถลำเข้าไปอยู่ในความหดหู่เพราะเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว และนั่นย่อมจะแสดงว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปให้เจ้าแล้ว  เมื่อไม่มีใคร ไม่มีอำนาจใด และไม่มีกำลังบังคับภายนอกสามารถรบกวนเจ้าได้ และเมื่อเจ้าไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลควบคุมของบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว  นี่คือขั้นตอนแรกที่เจ้าจำเป็นต้องทำ  ขั้นที่สองก็คือขณะที่อ้อนวอนขอการอภัยบาปจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็ควรแสวงหาหลักธรรมที่เจ้าควรทำตามระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน—ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  แน่นอนว่านี่คือการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วยเช่นกัน เป็นการแสดงออกและท่าทีที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งชดเชยการกระทำผิดของเจ้า และพิสูจน์ว่าเจ้ากลับใจและได้กลับตัวแล้ว นี่คือบางสิ่งที่เจ้าพึงทำ  เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนซึ่งเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าได้ดีเพียงใด?  เจ้าจัดการหน้าที่ด้วยท่าทีที่หดหู่ หรือด้วยหลักธรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าเดินตาม?  เจ้ามอบถวายความจงรักภักดีของตนหรือไม่?  พระเจ้าควรประทานอภัยบาปแก่เจ้าด้วยเหตุใด?  เจ้าเคยแสดงออกถึงการกลับใจบ้างหรือยัง?  เจ้ากำลังแสดงอะไรให้พระเจ้าเห็น?  ถ้าเจ้าปรารถนาจะได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องจริงใจเสียก่อน กล่าวคือ ด้านหนึ่งเจ้าต้องมีท่าทีของการสารภาพด้วยความตั้งใจจริง และเจ้าก็ต้องมีความจริงใจและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วย มิเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดถึง  ถ้าเจ้าสามารถทำสองสิ่งนี้ได้ ถ้าเจ้าสามารถทำให้พระเจ้าตื้นตันไปกับความจริงใจและความเชื่ออันดีงามของเจ้าได้ ทำให้พระเจ้าอภัยบาปแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นเหมือนผู้คนอื่นๆ  พระเจ้าจะทรงมองเจ้าเหมือนที่ทรงมองผู้คนอื่นๆ พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนที่ทรงปฏิบัติต่อผู้อื่น และพระองค์ก็จะทรงพิพากษาและตีสอน ทดสอบและถลุงเจ้าเหมือนที่ทรงทำกับผู้อื่น—เจ้าจะได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงเจ้าจะมีความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น แต่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า นำเจ้า และจัดเตรียมให้เจ้าในแบบเดียวกันเวลาที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย  แน่นอนว่าด้วยเหตุที่ตอนนี้เจ้ามีความปรารถนาที่จริงใจและแท้จริง มีท่าทีที่ตั้งใจจริง พระเจ้าจึงจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าไม่ต่างไปจากใครอื่น และเจ้าก็จะมีโอกาสบรรลุความรอดเช่นเดียวกับผู้คนอื่นๆ  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  การกระทำผิดร้ายแรงนั้นคือกรณีพิเศษ  พวกเราไม่อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องไม่น่ากลัว นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก  เป็นคนละอย่างกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั่วไปหรือการที่ใครบางคนมีความคิดและทัศนะบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง  นี่เป็นบางสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริง กลายเป็นข้อเท็จจริงไปแล้ว และนำมาซึ่งผลสืบเนื่องอันร้ายแรง  นั่นคือสาเหตุที่ควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้ด้วยแนวทางพิเศษ  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะปฏิบัติด้วยแนวทางพิเศษหรือแนวทางทั่วไป ย่อมมีหนทางต่อไปข้างหน้าและมีหนทางแก้ไขเสมอ และนี่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถปฏิบัติตามหนทางและวิธีการที่เราบอกเจ้าและชี้นำเจ้าหรือไม่  ถ้าเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้จริงๆ เช่นนั้นแล้วความหวังที่เจ้าจะบรรลุความรอดในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหมือนที่ผู้คนอื่นๆ มี  แน่นอนว่าการแก้ไขเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ผู้คนสามารถทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนไว้ข้างหลังเท่านั้น  เป้าหมายสูงสุดก็คือ ด้วยการแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตน พวกเขาจะสามารถใช้แนวทางที่ถูกต้องกับเรื่องทั้งหมดนี้ภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติในยามที่พวกเขาพบเจอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย  พวกเขาต้องไม่สุดโต่ง และต้องไม่ดื้อรั้น พวกเขาควรแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและแสวงหาความจริงให้มากขึ้น ควรลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงลุล่วง จนกระทั่งพวกเขาสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนในท้ายที่สุด โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  เมื่อผู้คนได้เข้าสู่ความเป็นจริงนี้แล้ว พวกเขาย่อมจะค่อยๆ เข้าใกล้เส้นทางแห่งความรอด และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมมีความหวังที่จะบรรลุความรอด  คราวนี้พวกเจ้าเข้าใจเส้นทางของการแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่อันเกิดจากการกระทำผิดร้ายแรงกันอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)

การแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่เป็นปัญหาที่ยากลำบากหรือไม่?  เราคิดว่ายากลำบากมาก เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญในชีวิต เกี่ยวพันกับเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินในการเชื่อในพระเจ้า เกี่ยวพันกับว่าพวกเขาจะสามารถบรรลุความรอดในอนาคตหรือว่าการเชื่อของพวกเขาจะสูญเปล่าทั้งหมด—นี่เป็นเรื่องใหญ่  เมื่อดูอย่างผิวเผิน สิ่งที่เผยออกมาก็คือภาวะอารมณ์อย่างหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมีสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะอารมณ์นี้ขึ้นมา  วันนี้เราได้สามัคคีธรรมถึงสาเหตุเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนแล้ว เราได้จัดเตรียมหนทางข้างหน้าเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากสาเหตุเหล่านี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ย่อมได้รับการแก้ไขได้ในทันทีมิใช่หรือ?  (ใช่)  ภาวะอารมณ์นี้ได้รับการแก้ไขในทางทฤษฎีแล้ว  เมื่อมีความเข้าใจในคำสอน จากนั้นก็นำคำสอนนี้ไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เจ้าเคยทำไว้ในอดีต ใช้คำสอนนี้เป็นพื้นฐานในการค่อยๆ แก้ไขความยากลำบากในชีวิตของเจ้า ความยากลำบากในการคิดอ่านของเจ้า และเดินไปตามเส้นทางนี้อย่างสม่ำเสมอ เจ้าย่อมสามารถเริ่มต้นบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป  เจ้าคิดอย่างไรกับหนทางแก้ปัญหาแบบนี้?  (ดีงาม)  ผู้คนต้องแก้ปัญหากันแบบนี้  หาไม่แล้ว ปัญหาที่ซับซ้อนในตัวพวกเขา—ซึ่งก็คือปัญหาในการคิดอ่านของพวกเขา ปัญหาในหัวใจของพวกเขา ประเด็นปัญหาทางด้านความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา—สิ่งเหล่านี้ย่อมพันธนาการพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา  พวกเขาย่อมถูกพันธนาการและดักจับเอาไว้เช่นนี้ ทนทุกข์และรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ และไม่สามารถหาทางออกได้เลย  เมื่อเจ้าฟังสามัคคีธรรมวันนี้จบแล้ว เจ้าจะสามารถไตร่ตรองได้อย่างถี่ถ้วนและเกิดความเข้าใจในคำสอน  จากนั้นด้วยประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและประสบการณ์ส่วนตัวในชีวิตประจำวันของเจ้า เจ้าย่อมจะสามารถหลุดพ้นจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้และสภาวะต่างๆ ที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไปทีละน้อย  เมื่อเจ้าได้ทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้เบื้องหลังแล้ว ไม่เพียงเจ้าจะได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่เพียงเจ้าจะได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าจะได้เข้าใจความจริง เจ้าจะได้รับความจริง และเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง  แล้วเจ้าก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และจะมีชีวิตที่มีคุณค่า  พวกเจ้าอยากมีชีวิตเช่นนั้นกันหรือไม่?  (อยาก)  ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง พวกเขาไม่อยากใช้ชีวิตตามภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของเนื้อหนัง ความอยากได้ใคร่มีที่ทะยานอยากของเนื้อหนัง กระแสนิยมทางโลก และอุปนิสัยที่เสื่อมทราม—ชีวิตแบบนั้นลำบากยากเย็นและเหนื่อยล้าเกินไป  ถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ ชีวิตของเจ้าจะมีจุดจบที่ดีหรือ?  การใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ก็คือการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน  เป็นเหมือนการใช้ชีวิตอยู่ในเครื่องบดเนื้อ—ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะถูกบดขยี้ และยากที่จะหาทางออกมาได้  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าสามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความหวังที่จะทิ้งความสับสนและความเจ็บปวดเอาไว้ข้างหลัง เจ้าจะสามารถหนีพ้นความเจ็บปวดที่เกิดจากการเข้าไปพัวพันและถูกทำให้สับสนโดยภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ

เดิมทีเรากะว่าจะสามัคคีธรรมมากกว่าหนึ่งหัวข้อในวันนี้ แต่สุดท้ายเรากลับสามัคคีธรรมเรื่องความหดหู่อยู่นาน  ไม่ว่าเรื่องใดก็มีอะไรให้พูดมากมาย ไม่มีเรื่องใดที่สามารถอธิบายให้ชัดแจ้งได้ด้วยวาจาเพียงไม่กี่คำ  ไม่ว่าเราจะกล่าวเรื่องอะไรก็ตาม เราไม่สามารถอธิบายคำสอนเรื่องหนึ่งแล้วก็จบลงเท่านั้นได้  ไม่ว่าเรื่องใดก็ย่อมเกี่ยวพันกับแง่มุมมากมายของความจริงและความเป็นจริง เกี่ยวพันกับความคิดและทัศนะของผู้คน หนทางและวิธีการที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตน เส้นทางที่พวกเขาเดิน และทั้งหมดนี้ก็สัมพันธ์กับการบรรลุความรอดของพวกเจ้า  เวลาสามัคคีธรรมความจริงหรือหัวข้อหนึ่งๆ เราจึงไม่อาจมักง่าย และนั่นคือสาเหตุที่เราพยายามทุกทางที่เราสามารถทำได้ เพื่อที่จะกล่าวสิ่งเหล่านี้ให้พวกเจ้าฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนยายชราที่คอยจ้ำจี้จ้ำไช  จงอย่าพร่ำบ่นว่ายุ่งยาก และอย่าพร่ำบ่นว่ายืดยาวเกินไป  เราอาจเคยพูดถึงหัวข้อหนึ่งมาก่อน แล้วทำไมยังพูดถึงอีก?  ถ้าเราพูดเรื่องนั้นอีก เจ้าก็สามารถฟังได้อีกและถือเสียว่าเป็นการทบทวน  นั่นก็ดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  สรุปแล้ว เจ้าต้องจัดการกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริงและเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินอย่างละเอียดรอบคอบ และต้องไม่มักง่าย  ยิ่งเราลงรายละเอียดและพูดให้เจาะจงลงไปมากเท่าใด ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริงต่างๆ ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร มีรายละเอียดที่แตกต่างและเชื่อมโยงกันอย่างไร รวมถึงแง่มุมอื่นๆ ย่อมจะละเอียดและชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น  ถ้าเราจะพูดอย่างกว้างๆ และพูดถึงบางเรื่องแต่ในภาพรวมเท่านั้น เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะพบว่าเรื่องเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจและเข้าถึง รวมทั้งการพยายามใคร่ครวญและขบคิดเรื่องเหล่านี้ให้ออกด้วยตัวเองก็น่าเหนื่อยสำหรับพวกเจ้า ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ยกตัวอย่างหัวข้อของพวกเราในวันนี้—เรื่องภาวะอารมณ์ที่เป็นลบซึ่งเกิดจากชะตากรรม โชค และการกระทำผิดจำเพาะที่ผู้คนเคยทำในอดีต—พวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถนึกถึงเรื่องเหล่านี้ได้เอง และต่อให้เจ้าทำได้ เจ้าก็จะไม่มีทางออกให้กับเรื่องเหล่านี้อยู่ดี  เป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริงในเรื่องเหล่านี้ เจ้าย่อมจะไม่สามารถพบเจอคำตอบที่ถูกต้องในเรื่องของการกระทำผิดจำเพาะในอดีตได้เลย และนั่นจะยังคงเป็นเรื่องลึกลับสำหรับเจ้าเสมอ คอยกวนใจและพัวพันเจ้าตลอดเวลา ปล้นสันติสุข ความเบิกบาน อิสรภาพ และเสรีภาพไปจากหัวใจส่วนลึกสุดของเจ้า  หรือบางทีอาจเป็นเพราะเจ้าไม่ได้รับมือเรื่องดังกล่าวอย่างถูกต้องและไม่ได้เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง นี่จึงส่งผลกระทบต่อการบรรลุความรอดของเจ้า  ท้ายที่สุดแล้ว บางคนจึงถูกทิ้งและกำจัดออกไป  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะในอดีตพวกเขาเคยทำบางสิ่งที่มิอาจกล่าวถึงได้ และไม่ได้จัดการให้ดี จึงไม่ได้รับการอภัยบาปในเรื่องเหล่านี้  หัวใจของพวกเขาพัวพันอยู่กับเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา พวกเขาไม่รู้สึกอยากไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างหละหลวม ไม่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และรู้สึกว่าพวกตนหมดหวังที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขามีทัศนะที่เป็นลบเช่นนี้จวบจนวาระสุดท้าย ไม่เคยพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ และไม่เคยได้รับความจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาเริ่มรู้สึกเสียใจ แต่ก็สายเกินไปแล้ว  เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับความจริงและการบรรลุความรอดหรือไม่?  (สัมพันธ์)  จงอย่าคิดว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง เพียงเพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเจ้า หรือไม่ได้เกิดขึ้นกับใครอื่น หรือไม่ได้เกิดกับผู้คนรอบตัวเจ้า  เราขอบอกเจ้าว่าเจ้าอาจเคยทำเรื่องเสื่อมเสียบางอย่างมาก่อน ซึ่งยังไม่ได้ส่งผลที่น่ากลัว หรือเจ้าอาจเคยจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบแบบนี้มาก่อน หรือจมปลักอยู่กับมันในตอนนี้ เพียงแต่เจ้าไม่ทันสังเกตและไม่ทันตระหนักรู้เท่านั้น และแล้ววันหนึ่งก็เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นจริงๆ และภาวะอารมณ์นี้ก็ส่งผลกระทบที่รุนแรงกับเจ้า ก่อให้เกิดผลที่ร้ายแรงตามมา  ต่อเมื่อเจ้าตรวจสอบตัวเองลึกซึ้งเท่านั้น เจ้าจึงจะค้นพบว่าตัวเจ้าจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้มาหลายปีแล้วหรือนานกว่านั้นโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนจำเป็นต้องใคร่ครวญ ทบทวน ทำความเข้าใจ เห็นความสำคัญ และมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จึงจะค่อยๆ ค้นพบสิ่งเหล่านี้อย่างช้าๆ  แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้ว การค้นพบสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นข่าวที่ดียิ่งสำหรับเจ้า และเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมที่จะบรรลุความรอด  เมื่อเจ้าค้นพบสิ่งเหล่านี้จริงๆ ก็จะเป็นเวลาที่เจ้ามีโอกาสหรือมีความหวังที่จะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างหลัง และเรื่องที่เราได้กล่าวถึงในวันนี้ก็จะไม่สูญเปล่า  ไม่มีความจริง หัวข้อ และคำพูดใดเป็นที่เข้าใจได้อย่างถ่องแท้และมีประสบการณ์ได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน  เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความจริง เกี่ยวพันกับความเป็นมนุษย์ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน เส้นทางที่ผู้คนเดิน และการบรรลุความรอดของผู้คน  ดังนั้น เจ้าจึงไม่อาจมองข้ามความจริงใดๆ ได้ แต่ต้องใช้วิธีการที่ละเอียดรอบคอบกับความจริงทั้งปวง  ต่อให้เจ้ายังไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ดีนักและยังไม่รู้วิธีตรวจสอบตนเองตามความจริงเหล่านี้เพื่อดูว่าเจ้ามีปัญหาใดบ้าง กระนั้นหลังจากที่เจ้ามีประสบการณ์กับความจริงเหล่านี้ไปสักสองสามปี บางทีความจริงเหล่านี้ก็อาจจะช่วยเจ้าจากเงื้อมมือของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และจะกลายเป็นความจริงอันล้ำค่าที่ช่วยเจ้าให้รอด  เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ความจริงเหล่านี้จะนำเจ้าเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และบางทีภายในเวลาสิบปีหรือกว่านั้น วจนะและความจริงเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนความคิดและทัศนะของเจ้าไปโดยสิ้นเชิง และอาจจะเปลี่ยนแปลงเป้าหมายและทิศทางชีวิตของเจ้าไปทั้งหมด

สามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้ก็จบลงตรงนี้  ลาก่อน!

1 ตุลาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger