ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดเหตุไม่คาดฝันรุนแรงที่พวกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานการแผ่ขยายข่าวประเสริฐ  พวกเจ้าทุกคนรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลังเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ ก็ได้เริ่มมีการจัดระบบระเบียบงานข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้าใหม่ และบางคนก็เริ่มถูกโยกย้ายหรือถูกมอบหมายงานใหม่ให้ อีกทั้งบางเรื่องที่สัมพันธ์กับงานก็ถูกปรับใหม่ ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุการณ์ใหญ่ประเภทนี้ได้เกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าและพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ผุดขึ้นรอบตัวพวกเจ้า—พวกเจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนบางอย่างจากการเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญเช่นนั้นได้หรือไม่?  พวกเจ้าได้แสวงหาความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าได้มองเห็นแก่นแท้ของบางปัญหา และสามารถดึงบทเรียนบางอย่างออกมาจากเหตุการณ์ใหญ่ดังกล่าวได้หรือไม่?  เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็แค่ดึงบทเรียนไม่กี่อย่างจากเหตุการณ์นั้นมาใช้และเข้าใจคำสอนไม่กี่อย่างแต่เพียงภายนอก โดยปราศจากการขุดลงไปในแก่นแท้ของเหตุการณ์นั้น และโดยปราศจากการเรียนรู้วิธีที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนไปตามความจริงไม่ใช่หรือ?  มีผู้คนบางคนที่แค่ไตร่ตรองไปตามความรู้สึกนึกคิดและการคำนวนของตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา  พวกเขาขาดหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพวกเขายังขาดภูมิปัญญาและสติปัญญาอีกด้วย  พวกเขาแค่สรุปบทเรียนไม่กี่อย่าง แล้วจากนั้นก็ตั้งปณิธานว่า “เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้งในภายหน้า ฉันจำเป็นต้องระมัดระวังและใส่ใจว่าอะไรที่ฉันพูดไม่ได้ อะไรที่ฉันทำไม่ได้ รวมถึงผู้คนประเภทใดที่ฉันควรระวังตัว และผู้คนจำพวกไหนที่ฉันควรใกล้ชิดเข้าไว้”  นี่นับเป็นการเรียนรู้บทเรียนและการได้รับประสบการณ์หรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นเมื่อสิ่งต่างๆ แบบนี้เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่หรือเล็ก ผู้คนควรรับประสบการณ์ เข้าหาและเข้าไปสู่เหตุการณ์เหล่านั้นอย่างลึกซึ้งเพื่อที่พวกเขาอาจเรียนรู้บทเรียนและเข้าใจความจริงบางอย่าง ตลอดจนเติบโตในวุฒิภาวะในขณะที่กำลังเผชิญสภาวะแวดล้อมเหล่านี้อย่างไรหรือ?  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ ถูกต้องไหม?  (ถูกต้อง)  หากพวกเขาไม่ไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเขาใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาใช่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าคิดว่าตนเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  บนพื้นฐานของสิ่งใดหรือ เจ้าจึงเชื่อว่าตัวเองไม่ใช่บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  และบนพื้นฐานของสิ่งใดหรือ ที่ในบางโอกาสเจ้าจึงเชื่อว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เมื่อเจ้าสู้ทนความทุกข์เล็กน้อยและจ่ายราคาในหน้าที่เล็กน้อย อีกทั้งจริงจังเกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้ามากขึ้นเล็กน้อยในบางโอกาส หรือร่วมสบทบเงินนิดหน่อย หรือละทิ้งครอบครัวของเจ้า ลาออกจากการงานของเจ้า เลิกล้มการศึกษาของเจ้า และประกาศยกเลิกการสมรสเพื่อสละตนแด่พระเจ้า หรือละเว้นจากการติดตามกระแสนิยมทางโลก หรือหลีกเลี่ยงผู้คนชั่วที่เจ้าเผชิญ เป็นต้น—เมื่อพวกเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ เจ้ารู้สึกว่าตัวเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงใช่หรือไม่?  พวกเจ้าคิดแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ทีนี้ พวกเจ้าคิดแบบนี้บนพื้นฐานของสิ่งใดหรือ?  ใช่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าและความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นั่นเป็นความคิดแบบมุ่งหวัง นั่นเป็นการที่พวกเจ้าตัดสินกันไปเอง  ยามที่เจ้าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางอย่างเป็นครั้งคราวและทำสิ่งทั้งหลายตามตำรา อีกทั้งมีการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่บ้าง ยามที่เจ้าสามารถอดทนและยอมผ่อนปรน ยามที่เจ้าถ่อมตนภายนอก สงบเสงี่ยม ไม่อวดดี และไม่โอหัง รวมถึงยามที่เจ้าสามารถมีความแน่วแน่หรือมีวิธีคิดที่รับผิดชอบในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วจริงๆ และคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงจริงๆ  ดังนั้นการสำแดงเหล่านี้กอปรกันขึ้นเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พูดให้ชัดเจนก็คือ การกระทำ พฤติกรรม และการสำแดงภายนอกเหล่านี้ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้น เหตุใดผู้คนจึงคิดอยู่เสมอว่าการสำแดงเหล่านี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดผู้คนจึงคิดอยู่เสมอว่าตนเองเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  (ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาคิดว่า หากพวกเขาทุ่มเทและสละสักเล็กน้อย การสำแดงเหล่านี้ก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นเมื่อพวกเขาจ่ายราคาสักหน่อยหรือทนทุกข์สักเล็กน้อยในหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาก็คิดว่าตนเองเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขากลับไม่เคยแสวงหามาก่อนเลยถึงสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าจำต้องตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาว่าบุคคลหนึ่งกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่)  ผู้คนไม่เคยปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง และเมื่อเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดพิจารณาว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ พวกเขาก็พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน รวมถึงการคิดอ่านที่เต็มไปด้วยความมุ่งหวังของตนเสมอ  เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางนี้?  นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกสบายใจยามที่พวกเขาคิดและกระทำในหนทางนี้ โดยเชื่อว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาจริงๆ เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง และเชื่อว่าพวกเขายังคงสามารถได้รับประโยชน์และได้รับการอวยพรในท้ายที่สุดหรอกหรือ?  มีอีกเหตุผลที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าพฤติกรรมดีของผู้คน เช่น การประกาศตัดขาด การทนทุกข์ การจ่ายราคา และอื่นๆ ของพวกเขานั้นเป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาสามารถสำเร็จลุล่วงและสัมฤทธิ์ได้ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เป็นการง่ายที่ผู้คนจะประกาศตัดขาดจากครอบครัวและการงานของตน แต่ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง หรือปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงอย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้  ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงเล็กน้อย แต่ก็จะยากลำบากมากที่เจ้าจะขัดขืนแนวคิด มโนคติอันหลงผิด หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง และลำบากยากเย็นอย่างมากที่เจ้าจะยึดมั่นในหลักธรรมความจริง  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เหตุใดในหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้ามาจึงดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้สร้างความคืบหน้าใดเลยในแง่มุมนานัปการของความจริง?  ไม่สำคัญว่าเจ้าได้จ่ายราคาไปหรือไม่ หรือเจ้าได้ประกาศตัดขาดหรือละทิ้งอะไรไป ผลลัพธ์สุดท้ายที่เจ้าได้สัมฤทธิ์ก็คือสิ่งเหล่านั้นที่สัมฤทธิ์มาโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าได้จ่ายราคาไปมากเท่าใด เจ้าทนทุกข์มามากเพียงใด และเจ้าประกาศตัดขาดสิ่งทางเนื้อหนังไปมากเพียงใด สิ่งที่เจ้าได้มาในท้ายที่สุดคืออะไรหรือ?  เจ้าได้มาซึ่งความจริงแล้วหรือไม่?  เจ้าได้รับสิ่งใดที่เกี่ยวกับความจริงบ้างหรือไม่?  เจ้าได้สร้างความคืบหน้าในการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  เจ้าได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไปแล้วหรือไม่?  เจ้ามีการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเราจะไม่พูดถึงบทเรียนหรือการปฏิบัติที่ลึกซึ้งอย่างการนบนอบพระเจ้า แต่พวกเราแค่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดแทน  เจ้าได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ได้ทนทุกข์และจ่ายราคามานานหลายปีเหลือเกิน—เจ้าสามารถพิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์และผู้คนชั่วทำสิ่งที่ชั่วเพื่อก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดำรงผลประโยชน์ของพวกคนชั่วเหล่านั้นและคุ้มครองตัวเจ้าเอง หรือเจ้ายืนอยู่ข้างพระเจ้า ดำรงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระองค์?  เจ้าได้ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  หากเจ้าไม่ได้ปฏิบัติ เช่นนั้นการทนทุกข์ของเจ้าและราคาที่เจ้าจ่ายไปก็ไม่ต่างอะไรกับของเปาโล  สิ่งเหล่านั้นถูกทำไปเพื่อเห็นแก่การได้รับพระพร และสิ่งเหล่านั้นล้วนหาประโยชน์ไม่ได้  สิ่งเหล่านั้นก็เหมือนกับสิ่งที่เปาโลพูดเกี่ยวกับการได้สู้ในการต่อสู้ต่างๆ และเสร็จสิ้นครรลองที่เขาต้องทำ และการได้มาซึ่งพระพรและบำเหน็จรางวัลในท้ายที่สุด—ไม่มีความแตกต่างอะไรเลย  เจ้ากำลังเดินไปบนเส้นทางของเปาโล เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าคิดว่าการประกาศตัดขาด การสละ การทนทุกข์ของเจ้า และราคาที่เจ้าได้จ่ายไปคือการปฏิบัติความจริง แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าได้เข้าใจความจริงไปมากมายเพียงใดแล้วหรือ?  เจ้ามีความเป็นจริงความจริงมากมายเพียงใด?  เจ้าได้พิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศน์ของพระเจ้าไปในกี่เรื่องแล้ว?  เจ้าได้ยืนอยู่ข้างความจริงและพระเจ้าไปในกี่เรื่องแล้ว?  เจ้าได้ละเว้นจากการทำชั่วหรือการทำตามเจตจำนงของตัวเองเพราะเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าไปในกี่การกระทำแล้ว?  เหล่านี้คือสรรพสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจและตรวจสอบ  หากพวกเขาไม่ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นยิ่งพวกเขาเชื่อในพระเจ้านานขึ้นเท่าใด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งพวกเขาปฏิบัติหน้าที่นานขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งคิดว่าตัวเองได้ทำการร่วมสมทบที่เป็นความดีความชอบ คิดว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน และคิดว่าพวกเขาเป็นของพระเจ้า  หากวันหนึ่งพวกเขาถูกปลด ถูกเปิดโปง และถูกกำจัด พวกเขาก็จะพูดว่า “ต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานรับใช้ที่เป็นความดีความชอบ เช่นนั้นอย่างน้อย ฉันก็ทำงานหนักมามาก และต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานหนัก เช่นนั้นอย่างน้อยฉันก็ทำงานจนเหนื่อยมาก  บนพื้นฐานของการที่ฉันทนทุกข์และจ่ายราคามาหลายปีเหลือเกิน พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ควรปลดฉันออกหรือปฏิบัติกับฉันแบบนี้  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ควรแค่โยนฉันออกไปหลังจากที่ฉันได้ทำงานให้แล้ว!”  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็ไม่ควรพูดสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นกี่ครั้งกี่หนแล้วที่เจ้าได้นำการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาดำเนินให้เป็นผลอย่างถ้วนทั่วและเที่ยงตรง?  การจัดการเตรียมงานกี่งานที่เจ้าได้นำมาดำเนินการให้เป็นผลไปแล้ว?  เจ้าได้ติดตามผลการดำเนินงานไปแล้วกี่รายการ?  เจ้าได้ตรวจดูงานไปแล้วกี่รายการ?  ภายในขอบเขตความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า และภายในข่ายที่ขีดความสามารถ ความสามารถในการจับใจความ และการทำความเข้าใจความจริงของเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ เจ้าได้ทำดีถึงที่สุดไปมากเท่าไร?  หน้าที่ใดที่เจ้าทำได้ดี?  เจ้าได้ตระเตรียมความประพฤติดีไว้มากเท่าใด?  เหล่านี้คือมาตรฐานสำหรับการทดสอบว่าบุคคลหนึ่งเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  หากเจ้าสร้างปัญหายุ่งเหยิงให้กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และไม่ได้ผลลัพธ์ใดออกมาเลย นั่นก็พิสูจน์ว่าเจ้าได้ทนทุกข์และจ่ายราคามาตลอดหลายปีนี้ด้วยความหวังที่จะรับพระพร และพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริงและกำลังนบนอบพระเจ้า กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเป็นไปเพื่อตัวเอง เพื่อสถานะและพระพร และนั่นไม่ใช่การเดินตามทางของพระเจ้า  ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำไปคืออะไร?  จุดจบขั้นสุดท้ายสำหรับผู้คนแบบนี้ย่อมเหมือนกับของเปาโลไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่กำลังเดินไปตามเส้นทางของเปาโล จุดจบของพวกเขาจะเป็นเหมือนกับของเปาโลโดยธรรมชาติ  จงอย่าคิดว่าเจ้าได้ทำการร่วมสมทบที่เป็นความดีความชอบแค่เพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า และได้ประกาศตัดขาดการงาน ครอบครัวของเจ้า หรือแม้แต่บรรดาลูกน้อยของเจ้าในบางกรณี  เจ้าไม่ได้ทำการร่วมสมทบที่เป็นความดีความชอบอันใด เจ้าเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำก็เพื่อตัวเองและเป็นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพึงทำ  หากนั่นไม่ใช่เพื่อเห็นแก่การรับพระพร เจ้าจะสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาหรือไม่?  เจ้าจะสามารถประกาศตัดขาดครอบครัวและเลิกล้มการงานของเจ้าได้หรือไม่?  จงอย่าปฏิบัติต่อการประกาศตัดขาดครอบครัวของเจ้า การละทิ้งการงานของเจ้า การทนทุกข์ และการจ่ายราคาเทียบเท่ากับการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้า  นั่นเป็นแค่การหลอกตัวเจ้าเอง

พวกที่ไม่ยอมรับความจริงหรือการถูกตัดแต่งแต่อย่างใดเลยนั้น ถูกเปิดโปงและเอาตัวออกไปทีละคนทุกครั้งที่พระนิเวศของพระเจ้าดำเนินการชำระให้สะอาดครั้งใหญ่  คนบางคนที่มีปัญหาไม่ร้ายแรงได้รับอนุญาตให้ยังคงอยู่ภายใต้การสังเกตุการณ์ และพวกเขาได้รับการให้โอกาสที่จะกลับใจหลังจากที่พวกเขาถูกเปิดโปง  สำหรับคนอื่นๆ นั้น ปัญหาของพวกเขารุนแรงเกินไป พวกเขายังคงแก้ไขไม่ได้ทั้งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาก็ยังทำสิ่งเดิมๆ และทำความผิดพลาดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเขาก็ก่อกวน ขัดขวาง และทำลายงานของคริสตจักร ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาย่อมถูกเอาตัวออกไปและขับไล่ไปตามหลักธรรม อีกทั้งไม่ได้รับโอกาสอีกต่อไป  คนบางคนพูดว่า “ฉันรู้สึกแย่แทนเลยที่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสอีกแล้ว”  พวกเขาได้รับโอกาสมามากพอแล้วไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะฟังพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระองค์ หรือเพื่อยอมรับการชำระให้บริสุทธิ์และการช่วยให้รอดของพระองค์ พวกเขากำลังบริหารจัดการธุรกิจของพวกเขาเอง  หลังจากที่พวกเขาเริ่มเข้ารับภาระงานของคริสตจักรหรือปฏิบัติหน้าที่นานาสารพัน พวกเขาก็เริ่มการเข้าร่วมการทำผิด การก่อกวน และการขัดขวางทุกประเภท เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่องานของคริสตจักร รวมทั้งความสูญเสียร้ายแรงต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  หลังจากที่ให้โอกาสพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และค่อยๆ กำจัดพวกเขาออกจากกลุ่มปฏิบัติหน้าที่นานาสารพัน พระนิเวศของพระเจ้าก็จัดการเตรียมการให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในทีมข่าวประเสริฐ แต่หลังจากผู้คนเหล่านั้นมาถึงตรงนั้น พวกเขาก็ไม่ทำงานหนักในหน้าที่ และพวกเขายังคงร่วมทำการกระทำผิดสารพัดประเภทโดยไม่มีการกลับใจหรือการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเลย  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างไร หรือพระนิเวศทำการจัดการเตรียมงานประเภทใด และถึงแม้พระนิเวศให้โอกาส ให้การตักเตือนแก่ผู้คนเหล่านี้ และถึงกับตัดแต่งพวกเขา ทั้งหมดนี้ล้วนเปล่าประโยชน์  พวกเขาด้านชาเกินไป พวกเขาดื้อแพ่งเกินไป  แน่นอนว่าความดื้อแพ่งนี้กำลังพูดออกมาจากมุมมองของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ในแก่นแท้ของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่ผู้คน พวกเขาเป็นหมู่มาร  ในการเข้าสู่คริสตจักร นอกเหนือจากการทำตัวเหมือนซาตาน พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลยที่เป็นคุณประโยชน์แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักร  พวกเขาแค่ทำสิ่งไม่ดี พวกเขาแค่มาก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักร  หลังจากที่ได้รับผู้คนแค่ไม่กี่คนจากการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีต้นทุน และรู้สึกว่าพวกเขาได้ทำการร่วมสบทบซึ่งเป็นความดีความชอบ และพวกเขาก็เริ่มพอใจกับความสำเร็จ คิดว่าตัวเองสามารถปกครองในฐานะกษัตริย์เหนือพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพวกเขาสามารถออกคำสั่งและทำการตัดสินใจในแง่มุมใดก็ได้ของงาน และบังคับให้ผู้คนปฏิบัติและนำสิ่งเหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล  ไม่ว่าเบื้องบนสามัคคีธรรมถึงความจริงหรือการจัดการเตรียมงานอย่างไร ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่จริงจังกับการจัดการเตรียมงานนั้น  พวกเขาพูดสิ่งต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าฟังต่อหน้าเจ้า ว่า “การจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าดีจังเลย เป็นอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องมีพอดี การจัดการเตรียมงานเหล่านั้นได้แก้ไขสิ่งต่างๆ ทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่รู้เลยว่าพวกเรายังอยู่ห่างไกลแค่ไหน”  พอพวกเขาหันหน้าไปทางอื่น พวกเขาก็เปลี่ยน และเริ่มแพร่กระจายแนวคิดของตัวเอง  จงบอกเราที ผู้คนแบบนี้ใช่มนุษย์จริงหรือ?  (ไม่ใช่)  หากพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสิ่งใดหรือ?  โดยผิวเผิน พวกเขาสวมใส่ผิวหนังมนุษย์อยู่ชั้นหนึ่ง แต่ในแก่นแท้ พวกเขาไม่ทำสิ่งที่เป็นมนุษย์—พวกเขาเป็นปีศาจ!  บทบาทที่พวกเขาเล่นในคริสตจักรนั้นเจาะจงเป็นพิเศษที่จะทำลายรายการงานสารพันในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาก่อกวนงานใดก็ตามที่พวกเขากำลังทำ พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงหรือหลักธรรม ไม่เคยใส่ใจการจัดการเตรียมงาน หรือกระทำไปตามการจัดการเตรียมงาน  ทันทีที่พวกเขามีอำนาจสักเล็กน้อย พวกเขาก็โอ้อวดและแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วต่อหน้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาล้วนมีโฉมหน้าของปีศาจ และไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์  พวกเขาไม่เคยค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาแค่พิทักษ์ผลประโยชน์และสถานะของตัวเอง  ไม่ว่าพวกเขารับใช้ในภาวะผู้นำอยู่ที่ระดับใด หรือพวกเขากำกับดูแลงานรายการใด ทันทีที่พวกเขาถูกไว้วางใจมอบหมายงานให้ งานนั้นก็กลายเป็นของพวกเขา พวกเขามีอำนาจชี้ขาด และผู้อื่นก็เลิกคิดถึงการตรวจสอบ การกำกับดูแล หรือการติดตามผลการทำงานนั้นไปได้เลย และยิ่งไม่ควรคิดถึงการเข้าไปสอดแทรกเลย  พวกนี้เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ตัวจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  และผู้คนเหล่านี้ยังคงต้องการได้มาซึ่งพระพร!  เรามีสองคำสำหรับผู้คนเหล่านี้ก็คือ ไร้เหตุผลและไม่อาจไถ่ได้  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอาจสะดุดล้มลงตรงอุปสรรคขวางกั้นใดก็ได้ และพวกเขาก็จะไปได้ไม่ไกล  ในอดีตนั้น เราพูดกับพวกเจ้าเสมอว่า “หากเจ้าสามารถลงแรงจนถึงปลายทาง และเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดี นั่นก็เป็นการดีเลยดีเดียวเช่นกัน”  คนบางคนที่ไม่รักความจริงและพวกเขาไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เรื่องนี้ควรทำอย่างไร?  พวกเขาควรเป็นคนลงแรง  หากเจ้าสามารถทำงานหนักในการลงแรง และไม่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือทำความชั่วอันใดที่นำไปสู่การถูกเอาตัวออกไป และเจ้าก็สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่ทำความชั่ว และรักษาการลงแรงไปจนถึงปลายทาง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถอยู่รอดได้  แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถได้รับพระพรอย่างมหาศาล แต่อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ลงแรงในระหว่างช่วงเวลาของพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าจะเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดี และในที่สุดพระเจ้าก็จะไม่ทรงปฏิบัติไม่ดีกับเจ้า  แต่ตอนนี้ มีคนลงแรงบางคนที่ไม่สามารถลงแรงได้จนถึงปลายทาง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพวกเขาไม่มีจิตวิญญาณมนุษย์  พวกเขาจะไม่ตรวจสอบว่าภายในตัวพวกเขามีจิตวิญญาณประเภทใดอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อมองที่พฤติกรรมของพวกเขาจากต้นจนจบ แก่นแท้ของพวกเขาเป็นแก่นแท้ของมารไม่ใช่ของบุคคล  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ยิ่งห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงเสียด้วยซ้ำ

เมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนที่ได้มีการสามัคคีธรรมถึงความจริงแต่ละแง่มุมในรายละเอียด ผู้คนไม่ได้เข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการรับมือกับสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงนั้นหมายถึงอะไร  คนบางคนปฏิบัติตนบนพื้นฐานของเจตจำนง ความคิดฝัน และมโนคติอันหลงผิดส่วนตน หรือทำตามกฎเกณฑ์  นี่ให้อภัยได้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ  แต่ปัจจุบันนี้สิบปีให้หลัง แม้ว่าการสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของความจริงนั้นยังไม่ปิดจบลง แต่อย่างน้อยที่สุด ความจริงพื้นฐานนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับผู้คนที่กำลังทำงานและทำหน้าที่อยู่ก็ได้ถูกอธิบายอย่างชัดเจนไปแล้วในแง่ของหลักธรรม  ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ประเภทใด ผู้คนซึ่งมีหัวใจและจิตวิญญาณ ผู้ซึ่งรักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงก็ควรสามารถปฏิบัติส่วนหนึ่งของหลักธรรมความจริงโดยการพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลของตน  ผู้คนขาดตกบกพร่องและล้มเหลวที่จะเอื้อมถึงความจริงซึ่งลึกซึ้งขึ้นและสูงส่งขึ้น และพวกเขาก็ไม่สามารถรู้เท่าทันแก่นแท้ของบางปัญหา หรือแก่นแท้ทั้งหลายที่สัมพันธ์กับความจริง แต่พวกเขาก็ควรสามารถนำความจริงที่พวกเขาสามารถเอื้อมถึงและที่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดแจ้งมาปฏิบัติได้  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ควรสามารถยึดมั่นต่อการจัดการเตรียมงานที่พระนิเวศของพระเจ้าได้มีการระบุไว้อย่างชัดแจ้ง นำการจัดการเตรียมงานระบุไว้เหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล และแจกแจงการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม พวกที่เป็นของปีศาจไม่สามารถแม้แต่จะทำสิ่งเหล่านี้  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทที่ไม่สามารถแม้แต่จะลงแรงไปจนถึงปลายทางด้วยซ้ำ  เมื่อผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะลงแรงไปจนถึงปลายทาง นี่ก็หมายความว่าพวกเขาจะถูกโยนลงจากตู้รถไฟกลางทางระหว่างการเดินทาง  เหตุใดหรือพวกเขาจึงจะถูกโยนลงจากตู้รถไฟ?  หากพวกเขากำลังนั่งอย่างเงียบกริบอยู่ในตู้รถไฟ กำลังหลับใหล ไม่ไหวติง หรือแม้แต่กำลังทำอะไรฆ่าเวลา ตราบที่พวกเขาไม่ได้ก่อกวนทุกคน หรือทิศทางที่มุ่งไปข้างหน้าของรถไฟทั้งขบวน ใครหรือจะมีแก่ใจคิดโยนพวกเขาออกจากตู้รถไฟ?  ไม่มีใครจะทำแบบนั้นหรอก  หากพวกเขาสามารถลงแรงได้จริง พระเจ้าจะไม่ทรงโยนพวกเขาลงจากตู้รถไฟเช่นกัน  แต่การใช้ผู้คนเหล่านี้ลงแรงในตอนนี้คงนำมาซึ่งผลขาดทุนมากกว่าผลกำไร  งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในหลากหลายแง่มุมได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลเกินไปอันเนื่องมาจากการก่อกวนของผู้คนเหล่านี้  พวกเขาเป็นต้นเหตุของความกังวลที่มากเกินไป!  พวกเขาไม่เข้าใจความจริง ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงนั้นอย่างไรก็ตาม และหลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงทำสิ่งไม่ดี  การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านี้หมายถึงการร่วมทำการเสวนาอันไม่รู้จบ และการรับประสบการณ์กับความโกรธอันไม่รู้จบ  ประเด็นสำคัญยิ่งยวดก็คือผู้คนเหล่านี้ได้ทำความชั่วไปมากเกินไป และเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียอันใหญ่หลวงเกินไปต่อการแผ่ขยายงานข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ในหน้าที่อันเล็กน้อยที่พวกเขาปฏิบัติ พวกเขาก็แค่เป็นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวน และความสูญเสียที่พวกเขาก่อให้เกิดกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นมิอาจซ่อมแซมแก้ไขได้เลย  ผู้คนเหล่านี้ทำสิ่งไม่ดีทุกชนิด  ในขณะที่อยู่ในหมู่สมาชิกสามัญในคริสตจักร พวกเขาทำไปตามความยินดีของตน พวกเขาผลาญของถวาย พวกเขาขยายขนาดจำนวนสมาชิกที่พวกเขาได้รับขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากผู้อื่นอย่างไม่เหมาะควร  พวกเขาใช้ผู้คนที่ชั่ว ผู้คนที่เหลวไหล และผู้คนที่เกะกะระรานทำสิ่งที่ชั่วบางคนโดยเฉพาะเท่านั้น  พวกเขาไม่รับฟังข้อเสนอแนะของผู้ใด และพวกเขาปราบปรามและลงโทษทุกคนที่แสดงความคิดเห็น  ภายใต้ข่ายอำนาจของพวกเขา พระวจนะ ข้อพึงประสงค์ และการจัดการเตรียมงานของพระเจ้าไม่ถูกนำมาดำเนินการให้เป็นผล แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นกลับถูกละไว้  ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นอันธพาลและผู้มีอำนาจเจ้าถิ่น พวกเขากลายเป็นจอมเผด็จการ  จงบอกเราที ผู้คนเหล่านี้ควรถูกเก็บไว้หรือไม่?  (ไม่)  ปัจจุบันนี้ คนบางคนถูกปลดไปแล้ว และหลังจากถูกปลด พวกเขาก็พูดถึงเรื่อง “การนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า” เพื่อแสดงว่าพวกเขาช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก ช่างนบนอบยิ่งนัก และช่างเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงยิ่งนัก  พวกเขาพูดแบบนี้เพื่อที่จะหมายความว่าพวกเขาไม่มีอะไรโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าทำ และพวกเขาเต็มใจนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศ  พวกเขาพูดว่าตัวเองเต็มใจนบนอบต่อการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า—แล้วเหตุใดเล่าพวกเขาจึงทำความชั่วมากมายซึ่งนำไปสู่การที่คริสตจักรปลดพวกเขาออก?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจเรื่องนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่อธิบายเหตุผลของเรื่องนี้?  พวกเขานำพาความเดือดร้อนและความสูญเสียนานัปการมาสู่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในขณะที่พวกเขากำลังทำงาน—พวกเขาจำต้องเปิดอกและตีแผ่ตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้มิใช่หรือ?  แค่พวกเขาไม่เอ่ยถึง เรื่องนี้ก็เป็นอันปิดสำนวนอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาพูดว่าพวกเขาต้องการนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แสดงให้เห็นว่าพวกเขายิ่งใหญ่และสูงศักดิ์เพียงใด?  นี่เป็นการเสแสร้งและเล่ห์เหลี่ยมโดยทั้งหมดทั้งสิ้น!  หากพวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เหตุใดพวกเขาจึงไม่นบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก่อนหน้านี้?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้นำการจัดการเตรียมการเหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล?  พวกเขาทำอะไรอยู่ในตอนนั้น?  ใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อฟังจริงๆ?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่บรรยายถึงเรื่องนี้?  ใครเป็นนายของพวกเขา?  พวกเขาได้ดำเนินงานแต่ละแง่มุมที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้หรือไม่?  พวกเขาสัมฤทธิ์ผลหรือไม่?  งานของพวกเขาสามารถผ่านการตรวจสอบอันละเอียดละออไปได้หรือไม่?  พวกเขาจะชดเชยความสูญเสียที่มีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอันเหตุมาจากการเกะกะระรานทำความชั่วของพวกเขาอย่างไร?  เรื่องนี้ควรค่าแก่การแสดงความเห็นหรือไม่?  พวกเขาแค่พูดว่าพวกเขากำลังจะนบบอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแค่นั้นก็ได้แล้วหรือ?  จงบอกเราที ผู้คนแบบนี้มีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาปราศจากเหตุผล มโนธรรม และความเป็นมนุษย์ และพวกเขาก็ไม่มีความละอาย!  พวกเขาไม่สำนึกว่าพวกเขาได้ทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน และเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียอันใหญ่หลวงเช่นนั้นต่อพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนมากมายเหลือเกินโดยไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดอันใด ไม่มีสำนึกของความเป็นหนี้อันใด หรือความตระหนักรู้อันใดในเรื่องนี้  หากเจ้าพยายามให้พวกเขารับผิดชอบ พวกเขาจะพูดว่า “ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ทำเรื่องนั้น”—พวกเขามีข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง  พวกเขาหมายความว่าไม่สามารถนำการลงโทษมาบังคับใช้ได้หากทุกคนเป็นผู้กระทำผิด และหมายความว่าเพราะทุกคนทำความชั่ว พวกเขาในฐานะปัจเจกบุคคลไม่ควรต้องรับผิดชอบ  นี่เป็นสิ่งที่ผิด  พวกเขาต้องอธิบายเหตุผลสำหรับความชั่วที่พวกเขาได้ทำไป—แต่ละปัจเจกบุคคลต้องอธิบายเหตุผลสำหรับความชั่วที่พวกเขาได้ทำไป  พวกเขาควรนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเข้ารับมือกับปัญหาของตนอย่างถูกต้อง  หากพวกเขามีท่าทีนี้ พวกเขาย่อมสามารถมีโอกาสอีกครั้งและคงอยู่ต่อไป แต่พวกเขาไม่สามารถทำความชั่วอยู่เสมอได้!  หากไม่มีความตระหนักรู้ในมโนธรรมของตน หากพวกเขาไม่อาจรู้สึกได้ว่าพวกเขาเป็นหนี้พระเจ้าในหนทางใด และพวกเขาก็ไม่กลับใจเอาเสียเลย จากมุมมองมนุษย์นั้น พวกเขาสามารถได้รับโอกาส ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตนต่อไปได้ และไม่ต้องรับผิดชอบ แต่พระเจ้าทอดพระเนตรเรื่องนี้อย่างไรหรือ?  หากผู้คนไม่กำหนดให้พวกเขารับผิดชอบ พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงกำหนดด้วยใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนและสรรพสิ่งทั้งผองด้วยหลักธรรม  พระเจ้าจะไม่ทรงประนีประนอมกับเจ้าและไม่ทรงกลบเกลี่ยสิ่งต่างๆ พระองค์จะไม่ทรงเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนเหมือนกับเจ้า  พระเจ้าทรงมีหลักธรรม พระองค์ทรงมีอุปนิสัยอันชอบธรรม  หากเจ้าละเมิดหลักธรรมและกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าย่อมต้องจัดการกับเจ้าไปตามหลักธรรมและเงื่อนไขของกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  สำหรับผลที่ตามมาจากการที่เจ้าล่วงเกินพระเจ้านั้น ในข้อเท็จจริงแล้วเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้าทอดพระเนตรเจ้าและทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร  หากเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าดั่งเป็นพระเจ้า เจ้าก็ควรมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อสารภาพ ยอมรับบาปของเจ้า และกลับใจ  หากเจ้าขาดท่าทีนี้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นผู้ไม่เชื่อ เจ้าเป็นมาร เจ้าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และเจ้าก็ควรถูกสาปแช่ง!  แล้วการฟังคำเทศนาของเจ้ามีประโยชน์อะไรเล่า?  เจ้าควรออกไป เจ้าไม่สมควรที่จะฟังคำเทศนา!  ความจริงถูกกล่าวเพื่อให้พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามปกติฟัง แม้ว่าผู้คนเช่นนั้นมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พวกเขามีความแน่วแน่และเต็มใจที่จะยอมรับความจริง พวกเขาสามารถทบทวนตัวเองเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งเกิดแก่พวกเขา และพวกเขาก็สามารถสารภาพ กลับใจ และกลับตัวเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งผิด  ผู้คนเช่นนั้นสามารถได้รับการช่วยให้รอด และความจริงทั้งหลายถูกกล่าวออกมาเพื่อพวกเขานั่นเอง  ผู้คนที่ไม่มีท่าทีของการกลับใจใหม่ไม่ว่าสิ่งใดเกิดแก่พวกเขานั้นไม่ใช่พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามธรรมดา พวกเขาเป็นสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง แก่นแท้ของพวกเขาเป็นแก่นแท้ของมารไม่ใช่บุคคล  แม้พวกเขาอาจไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน โดยปกติแล้วพวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามธรรมดาสามารถละเว้นจากการทำสิ่งที่ไม่ดีบนพื้นฐานมโนธรรมของตัวเอง ความละอายเล็กน้อยที่ความเป็นมนุษย์ปกติของพวกเขามี และเหตุผลเล็กน้อยที่พวกเขามี และพวกเขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนอย่างจงใจ  ภายใต้สภาพการณ์ปกติ ผู้คนเช่นนั้นสามารถลงแรงและติดตามไปจนถึงปลายทาง อีกทั้งสามารถที่จะอยู่รอดได้  อย่างไรก็ตาม มีผู้คนอยู่ประเภทหนึ่งผู้ซึ่งไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ผู้ซึ่งไม่มีสำนึกแห่งเกียรติหรือความละอายแต่อย่างใดเลย ผู้ซึ่งไม่มีหัวใจที่สำนึกผิดไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วไปมากเท่าใด และผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างหน้าไม่อาย โดยยังคงหวังที่จะได้รับพระพรและยังคงไม่รู้จักที่จะกลับใจ  พอใครบางคนพูดว่า “คุณเป็นต้นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวนโดยการทำสิ่งนั้น”  พวกเขาก็พูดว่า “จริงหรือ?  งั้นฉันก็ผิดพลาดไปแล้ว ฉันจะทำให้ดีขึ้นคราวหน้า”  บุคคลอื่นผู้นั้นจึงตอบว่า “เช่นนั้นคุณก็ควรมารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อทรามของคุณ” และพวกเขาก็พูดว่า “มารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรหรือ?  ฉันก็แค่ไม่รู้ความและโง่เขลา  ฉันก็แค่จะทำให้ดีขึ้นในคราวหน้า”  พวกเขาขาดความเข้าใจส่วนลึก และพวกเขาก็แค่ปัดความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง  ผู้คนซึ่งมีท่าทีนี้สามารถกลับใจได้หรือ?  พวกเขาไม่มีความละอายด้วยซ้ำ—พวกเขาไม่ใช่ผู้คน!  คนบางคนพูดว่า “ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้คน พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่หรือไม่?”  พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่พวกเขาก็ต่ำกว่าสุนัขด้วยซ้ำ  ลองคิดถึงเรื่องที่เวลาสุนัขทำบางสิ่งที่ไม่ดีหรือประพฤติไม่ดี หากเจ้าว่ากล่าวมันไปครั้งหนึ่ง มันย่อมจะรู้สึกแย่ในทันที และมันก็จะเพียรทำดีกับเจ้าซึ่งนั่นมีความหมายว่า “ได้โปรดอย่าเกลียดหนูเลย หนูจะไม่ทำอีกแล้ว”  เมื่อบางสิ่งแบบนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าสุนัขก็จะตั้งหน้าตั้งตาจ้องมองเจ้าเพื่อบอกเจ้าว่า “หนูจะไม่ทำ ไม่ต้องห่วงนะ”  ไม่ว่าจะเป็นการที่สุนัขกลัวถูกตีหรือการพยายามได้ความโปรดปรานจากเจ้านายของมัน ไม่สำคัญว่าเจ้ามองการนี้อย่างไร แต่เมื่อสุนัขรู้ว่านายของมันไม่ชอบหรือไม่อนุญาตบางสิ่ง สุนัขก็จะไม่ทำสิ่งนั้น  มันสามารถหักห้ามใจมันเองได้ มันมีสำนึกของความละอาย  แม้แต่สัตว์ก็ยังมีสำนึกของความละอาย แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่มี  แล้วพวกเขายังคงเป็นผู้คนอยู่หรือ?  พวกเขาเป็นน้อยกว่าสัตว์เสียอีก  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความเป็นมนุษย์และเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต พวกเขาเป็นมารโดยแท้  พวกเขาไม่เคยทบทวนตัวเองหรือสารภาพไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วมากเพียงใด และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้จักที่จะกลับใจ  มีผู้คนบางคนที่รู้สึกอับอายที่จะเผชิญหน้ากับพี่น้องชายหญิงเพราะพวกเขาทำความชั่วไปเล็กน้อย และหากพี่น้องชายหญิงเลือกพวกเขาในระหว่างการเลือกตั้ง พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันจะไม่รับทำหน้าที่นี้ ฉันไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม  ในอดีตฉันเคยทำสิ่งโง่เขลาที่เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียต่องานของคริสตจักร  ฉันไม่สมควรได้รับตำแหน่งงานนี้”  ผู้คนแบบนี้มีสำนึกของความละอาย และพวกเขาก็มีมโนธรรมและเหตุผล  แต่ผู้คนชั่วพวกนั้นไม่มีสำนึกของความละอาย  หากเจ้าขอให้พวกเขากลายเป็นผู้นำ พวกเขาจะยืนขึ้นทันทีและพูดว่า “เห็นแล้วสินะ!  คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?  พระนิเวศของพระเจ้าขาดฉันไม่ได้  ฉันเป็นคนสำคัญ ฉันมีความสามารถมาก!”  จงบอกเราที ไม่ลำบากยากเย็นหรอกหรือที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้รู้สึกละอาย?  ลำบากยากเย็นเพียงใดหรือ?  ลำบากยากเย็นกว่าการขยับขยายกำแพงด่านชานไห่ของจีนเสียอีก—พวกเขาไร้ยางอาย!  ไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วมากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงลอยชายไปวันๆ อย่างไร้ยางอายอยู่ในคริสตจักร  พวกเขาไม่เคยถ่อมใจในการมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง พวกเขายังคงดำเนินชีวิตแบบที่พวกเขามีอยู่เสมอ และพวกเขาถึงกับคุยโวเกี่ยวกับ “การสัมฤทธิ์ผลอันยิ่งใหญ่” ของตน เกี่ยวกับการประกาศตัดขาด การสละ การทนทุกข์ในอดีตของตน รวมถึงราคาที่ตัวเองได้จ่ายไป และเกี่ยวกับ “ความรุ่งโรจน์และความยิ่งใหญ่” ในอดีตของตน  ทันทีที่มีโอกาส พวกเขาก็จะผลุดลุกขึ้นยืนโอ้อวดและคุยโวเกี่ยวกับตัวเอง พูดคุยเกี่ยวกับต้นทุนของตัวเองและอวดให้เห็นคุณสมบัติอันเหมาะสมของตัวเอง และถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยพูดคุยว่าตนเองได้ทำความชั่วไปมากเพียงใด ว่าพวกเขาผลาญของถวายของพระเจ้าไปมากมายเพียงใด หรือพวกเขาได้ให้เกิดความสูญเสียต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปมากมายเพียงใด  พวกเขาไม่สารภาพด้วยซ้ำในเวลาที่พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าตามลำพังส่วนตัว และพวกเขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความผิดพลาดที่ตัวเองทำไป หรือเพราะความสูญเสียที่ตัวเองก่อให้เกิดแก่พระนิเวศของพระเจ้า  นั่นเองที่เป็นวิธีดื้อแพ่งและไร้ยางอายของพวกเขา  พวกเขาไร้เหตุผลและมิอาจไถ่ได้โดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขามิอาจไถ่ได้ และพวกเขาก็ไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  ไม่ว่าเจ้าจะให้โอกาสกับพวกเขาอย่างไร นั่นก็เหมือนการพูดคุยกับกำแพงอิฐ หรือการเข็นครกขึ้นเขา หรือการขอให้หมู่มารและซาตานนมัสการพระเจ้า  ดังนั้น พอเป็นเรื่องผู้คนเหล่านี้ ในที่สุดแล้วท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาก็คือถอดใจจากพวกเขา  หากพวกเขาเต็มใจปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาย่อมทำได้ พระนิเวศของพระเจ้าจะให้โอกาสพวกเขาเล็กน้อย  หากพวกเขาไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่และพูดว่า “ฉันกำลังจะออกไปทำงานหาเงินและทำกิจวัตรประจำวันของฉัน ฉันกำลังจะออกไปบริหารจัดการธุรกิจของตัวเอง”  พวกเขาก็ไปได้เลย ประตูพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่ พวกเขาจงรีบออกไปได้เลย!  เราไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเขาอีก พวกเขาช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน!  พวกเขากำลังเสแสร้งไปเพื่ออะไร?  การสู้ทนเล็กน้อยของพวกเขา ราคาเล็กน้อยที่พวกเขาได้จ่ายไป การประกาศตัดขาดและการสละของพวกเขาเป็นแค่เงื่อนไขเบื้องต้นที่พวกเขาตระเตรียมเพื่อให้ตัวเองสามารถทำความชั่วได้  หากพวกเขายังอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า งานรับใช้ประเภทไหนหรือที่พวกเขาทำให้กับพระนิเวศได้?  ผลประโยชน์ใดหรือที่พวกเขานำมาสู่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้?  เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่าความประพฤติชั่วและสิ่งไม่ดีที่คนชั่วคนหนึ่ง ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำภายในระยะเวลาหกเดือนนั้นสามารถสร้างการขัดขวางและการก่อกวนต่องานของคริสตจักรได้มากเพียงใด?  จงบอกเราทีว่าพี่น้องชายหญิงกี่คนที่จะจำเป็นต้องทำงานเพื่อชดเชยให้กับการนั้น?  การใช้เจ้าคนชั่วนั่น ศัตรูของพระคริสต์นั่นทำงานรับใช้เล็กน้อยช่างไม่คุ้มกับความเดือดร้อนเลยไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเราจะไม่พูดถึงขอบข่ายของความสูญเสียที่ศัตรูของพระคริสต์เหล่าหนึ่งสามารถก่อให้เกิดได้จากการร่วมวงกันทำสิ่งไม่ดี แต่ตรรกะวิบัติและคำแถลงเยี่ยงมารข้อหนึ่งที่กล่าวโดยศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง หรือคำสั่งไร้สาระข้อหนึ่งที่ออกโดยศัตรูของพระคริสต์สามารถก่ออันตรายให้กับงานของคริสตจักรได้มากเท่าไรหรือ?  จงบอกเราที ผู้คนมากมายเพียงใดที่จะจำเป็นต้องทำงานและทำอยู่เป็นเวลานานเท่าใดเพื่อที่จะชดเชยให้กับการนั้น?  ใครจะรับผิดชอบความสูญเสียนี้?  ไม่มีใครสามารถทำได้!  ความสูญเสียนี้ชดเชยได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  คนบางคนพูดว่า “ถ้าพวกเราหาคนมาช่วยเพิ่มขึ้น และพี่น้องชายหญิงก็สู้ทนความทุกข์มากขึ้นเล็กน้อย พวกเราก็อาจสามารถชดเชยความสูญเสียนี้ได้”  แม้เจ้าอาจสามารถชดเชยความสูญเสียได้บ้าง แต่พระนิเวศของพระเจ้าจะจำเป็นต้องสละทรัพยากรทางวัตถุและกำลังคนมากเท่าใดเล่า?  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเล่าที่สามารถชดเชยเวลาที่เสียไป และชดเชยความเสียหายที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทนทุกข์ในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา?  ไม่มีใครทำได้เลย  เพราะฉะนั้น ความผิดที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำนั้นไม่สามารถยกโทษได้!  คนบางคนพูดว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์บอกว่า ‘พวกเราจะจ่ายชดเชยให้กับเงินที่เสียไป’”  แน่นอนอยู่แล้วที่พวกเขาต้องจ่ายชดเชยให้กับความสูญเสียนี้!  “พวกศัตรูของพระคริสต์บอกว่า ‘พวกเราจะพาคนเข้ามาเพิ่มเพื่อชดเชยสำหรับคนที่เสียไป’”  นั่นเป็นส่วนน้อยที่สุดที่พวกเขาทำได้  พวกเขาต้องชดเชยให้กับความชั่วที่พวกเขากระทำลงไป!  แต่ใครจะชดเชยให้กับเวลาที่เสียไปเล่า?  พวกเขาทำได้หรือ?  เป็นไปไม่ได้ที่จะชดเชยให้กับเวลาที่เสียไป  ดังนั้น ความผิดทั้งหลายที่ผู้คนพวกนี้ทำไปคือบาปที่เลวทรามที่สุด!  ความผิดเหล่านั้นไม่อาจได้รับการยกโทษให้ได้  จงบอกเราที นั่นเป็นกรณีนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

เมื่อคนบางคนเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้ารับมือกับพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างค่อนข้างรุนแรง—ไม่ให้โอกาสพวกเขาและไล่พวกเขาออกไปโดยตรง—พวกเขามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พระนิเวศของพระเจ้าพูดไว้ว่าให้โอกาสผู้คนไม่ใช่หรือ?  พอบุคคลหนึ่งทำความผิดพลาดเล็กน้อย พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ต้องการพวกเขาอีกต่อไปเลยหรือ?  พระนิเวศไม่ให้โอกาสพวกเขาสักครั้งเลยหรือ?  พระนิเวศควรให้โอกาสพวกเขาสักครั้ง พระนิเวศของพระเจ้าช่างไร้รักเกินไป!”  จงบอกเราที ผู้คนเหล่านั้นได้รับโอกาสไปกี่ครั้งแล้ว?  พวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากเท่าไรแล้ว?  พวกเขาได้รับโอกาสน้อยเกินไปหรือ?  ตอนที่พวกเขากำลังทำงาน พวกเขาก็รู้ไม่ใช่หรือว่าตัวเองกำลังปฏิบัติหน้าที่?  พวกเขารู้ไม่ใช่หรือว่าตัวเองกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐและกำลังทำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขารู้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?  พวกเขากำลังดำเนินธุรกิจ บริษัท หรือโรงงานอยู่หรือ?  พวกเขากำลังบริหารจัดการวิสาหกิจของตัวเองอยู่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าให้โอกาสผู้คนเหล่านี้ไปกี่หนแล้ว?  พวกเขาทุกคนได้ชื่นชมยินดีกับโอกาสไปมากมายแล้ว  สำหรับบรรดาผู้ที่ถูกย้ายจากกลุ่มต่างๆ ไปยังฝ่ายข่าวประเสริฐ มีพวกเขาคนใดถูกปลดหลังจากที่อยู่ในฝ่ายข่าวประเสริฐเป็นเวลาเพียงสองวันเท่านั้นหรือไม่?  ไม่มีใครเลย เว้นเสียแต่ว่าความชั่วที่พวกเขาทำไปนั้นใหญ่โตเกินไป เช่นนั้นพวกเขาจึงถูกปลดไป  พวกเขาทุกคนได้รับโอกาสไปมากพอแล้ว นี่เป็นแค่การที่พวกเขาไม่รู้จักทะนุถนอมโอกาสเหล่านั้นหรือกลับใจ  พวกเขาทำไปตามหนทางของตัวเอง เดินไปตามเส้นทางของเปาโลเสมอ  พวกเขากล่าวคำพูดที่น่าฟังและชัดเจน แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติตนเสมือนมนุษย์  ผู้คนแบบนี้ยังควรได้รับโอกาสอยู่หรือไม่?  (ไม่ควร)  เมื่อตอนที่พวกเขาได้รับการให้โอกาส พวกเขาได้รับการปฏิบัติเสมือนมนุษย์ตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์  พวกเขาไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เหล่ามนุษย์ทำ ขอโทษอย่างมากนะ ประตูพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่—พวกเขาสามารถออกไปได้เลย  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเขาอีกต่อไป  พระนิเวศของพระเจ้ามีอิสรภาพในเรื่องของการใช้ผู้คน พระนิเวศมีสิทธิ์  จะเป็นอะไรหรือไม่หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้พวกเขา?  หากพวกเขาต้องการเชื่อ พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้นอกพระนิเวศของพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเขาไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม—พระนิเวศทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกเขาเป็นต้นเหตุของความกังวลมากเกินไป!  พวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียต่อพระนิเวศมากมายเกินไป และไม่มีใครจ่ายชดเชยให้กับการนี้ได้—พวกเขามีไม่พอที่จะจ่ายได้!  ไม่ใช่ว่าพวกเขาโชคไม่ดี ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ให้โอกาสพวกเขา ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไร้รักและเข้มงวดกับพวกเขาเกินไป และก็ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังกำจัดพวกเขาทิ้งหลังจากที่พวกเขาเสร็จงานแล้วอย่างแน่นอน  แต่เป็นเพราะว่าผู้คนเหล่านี้ทำเกินไป พวกเขาไม่สามารถได้รับการยอมทนได้อีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่อาจอธิบายสิ่งทั้งหลายที่ตัวเองทำไปได้  พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดเตรียมหลักธรรมของงานไว้ให้กับงานทุกรายการแล้ว และฟ้าเบื้องบนก็ได้ทรงจัดเตรียมการทรงนำ การตรวจดู และการแก้ไขด้วยพระองค์เอง  นั่นไม่ใช่แค่เรื่องที่พระนิเวศของพระเจ้ากับฟ้าเบื้องบนจัดการชุมนุมขึ้นสองหนหรือตรัสไม่กี่คำ พระนิเวศของพระเจ้ากับฟ้าเบื้องบนกล่าวคำพูดไปมากมายและจัดการชุมนุม ตักเตือนผู้คนอย่างตั้งใจจริงไปหลายหนแล้ว และสุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือเล่ห์กล อีกทั้งงานของคริสตจักรก็ถูกขัดขวางและก่อกวนจนกลายเป็นปัญหายุ่งเหยิงไปหมดในท้ายที่สุด  จงบอกเราที ใครจะยังคงเต็มใจให้โอกาสกับผู้คนเหล่านั้น?  ใครจะเต็มใจกักเก็บพวกเขาเอาไว้?  พวกเขาสามารถเกะกะระรานทำความชั่ว แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้หวงห้ามพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้รับมือกับพวกเขาไปตามหลักธรรม?  การรับมือกับพวกเขาในหนทางนี้ไม่ควรเรียกว่าการไร้รัก แต่ควรเรียกว่าการมีหลักธรรม  ความรักถูกมอบให้กับผู้คนที่สามารถถูกรักได้ ให้แก่คนไม่รู้ความซึ่งสามารถอภัยให้ได้ ไม่ใช่ให้กับพวกคนชั่ว มาร หรือพวกที่จงใจเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน ไม่ใช่ให้กับพวกศัตรูของพระคริสต์  พวกศัตรูของพระคริสต์สมควรถูกสาปแช่งเท่านั้น!  เหตุใดพวกเขาจึงสมควรถูกสาปแช่งเท่านั้น?  เพราะไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่กลับใจ สารภาพ หรือกลับตัว พวกเขาแข่งขันกับพระเจ้าจนสุดทาง  พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพลางพูดว่า “เมื่อข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ตายอย่างมีจุดยืน ข้าพระองค์ไม่ยอมจำนน  เมื่อข้าพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ข้าพระองค์จะไม่คุกเข่าหรือโค้งคำนับ  ข้าพระองค์จะไม่น้อมรับความปราชัย!”  นี่เป็นสิ่งประเภทใด?  แม้แต่ตอนที่พวกเขาใกล้ตาย พวกเขาก็จะยังคงพูดว่า “ฉันจะขัดขืนพระนิเวศของพระเจ้าจนถึงปลายทาง  ฉันจะไม่สารภาพบาปของฉัน—ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด!”  เอาเถิด หากพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาก็ไปได้  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเขา  จะเป็นการดีหรือไม่หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้พวกเขา?  นั่นจะเป็นการดีโดยสมบูรณ์เลย!  บางคนพูดว่า “ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้ฉัน เช่นนั้นพระนิเวศก็ใช้ใครไม่ได้เลย”  คนพวกนี้ควรมองดูว่าไม่มีใครเลยจริงๆ หรือ—งานใดในพระนิเวศของพระเจ้าหรือที่พึงพาผู้คน?  หากปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และปราศจากการคุ้มครองจากประเจ้า ใครเล่าที่สามารถมาถึงที่ที่ตัวเองอยู่ในทุกวันนี้?  งานรายการใดหรือที่จะสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงบัดนี้?  ผู้คนเหล่านี้คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกปุถุชนอย่างนั้นหรือ?  หากกลุ่มใดก็ตามในโลกปุถุชนสูญสิ้นการพิทักษ์จากฝ่ายปัจเจกบุคคลที่มีของประทานหรือพรสวรรค์ โลกปุถุชนก็คงไม่สามารถเสร็จสิ้นโครงการใดของตัวเองได้  งานในพระนิเวศของพระเจ้านั้นแตกต่างไป  เป็นพระเจ้าที่กำลังทรงพิทักษ์ ทรงนำทาง และทรงนำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  จงอย่าคิดว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอาศัยการเกื้อหนุนของบุคคลใด  นี่ไม่ใช่กรณีนั้นและนี่เป็นมุมมองของผู้ไม่เชื่อ  พวกเจ้าคิดว่าเป็นการเหมาะควรหรือไม่ที่พระนิเวศของพระเจ้าจะละทิ้งผู้คนที่ชั่วอย่างพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกผู้ไม่เชื่อ?  (เหมาะควร)  เหตุใดนั่นจึงเหมาะควร?  เพราะการใช้ผู้คนเหล่านั้นดำเนินงานก่อหายนะที่เป็นความสูญเสียใหญ่หลวงเกินไป ผู้คนเช่นนั้นผลาญทั้งกำลังคนและทรัพยากรทางการเงินโดยปราศจากความยับยั้งชั่งใจ และพวกเขาก็ไม่มีหลักธรรมแต่อย่างใดเลย  พวกเขาไม่ฟังพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ปฏิบัติตนบนพื้นฐานของความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตัวเองโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  พวกเขาไม่เคารพพระวจนะของพระเจ้าหรือการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งพูดบางสิ่ง พวกเขาก็ให้ความเคารพคำพูดนั้นอย่างสูงสุดและปฏิบัติตามคำพูดนั้น  เราได้ยินมาว่าเคยมีคนโง่คนหนึ่งซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในยุโรป แต่ทำกิจทั้งหลายซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในเอเชีย  พระนิเวศของพระเจ้าว่าจะย้ายเขาไปทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐในยุโรปเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรับมือกับเวลาที่ต่างกัน แต่เขาไม่ยินยอมและไม่กลับไปทำงานกับกิจทั้งหลายในยุโรปแม้เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าได้จัดการเตรียมการเรื่องนี้ไปแล้ว ทั้งนี้เพราะศัตรูของพระคริสต์ที่เขาเคารพบูชานั้นอยู่ในเอเชีย และเขาไม่เต็มใจที่จะไปจากนายของเขา  เขาเป็นคนโง่ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราที เขาคู่ควรกับการปฏิบัติหน้าที่ของเขาหรือไม่?  พวกเราต้องการเขาหรือไม่?  การจัดการเตรียมงานที่พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำไปนั้นเหมาะควรแล้ว  ถ้าเจ้าอยู่ในยุโรป เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำงานกับกิจทั้งหลายที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในยุโรปและไม่ใช่ในเอเชีย  ไม่ว่าเจ้าอยู่ในทวีปอะไร เจ้าก็ควรทำงานกับกิจทั้งหลายที่นั่น และในหนทางนั้นเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการจัดการกับความแตกต่างของเวลา—นั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม!  แต่ทว่าบุคคลผู้นี้ก็ไม่ยินยอม  คำพูดของพระนิเวศของพระเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับเขา  พระนิเวศของพระเจ้าไม่อาจโยกย้ายเขาได้ เขาจำเป็นต้องมีนายมาตัดสินใจให้  หากนายของเขาพูดว่า “กลับไปทำงานกับกิจในยุโรป” เขาก็จะกลับไปทำงานกับกิจเหล่านั้น  หากนายของเขาพูดว่า “เธอกลับไปทำงานกับกิจในยุโรปไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องให้เธอทำสิ่งต่างๆ ที่นี่” เขาก็จะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็กลับไปไม่ได้”  เขาทำงานรับใช้เพื่อใครหรือ?  (เพื่อนายของเขา)  เขาทำงานรับใช้เพื่อนายของเขา—ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว เขาก็ควรถูกชำระออกไปพร้อมกับนายของเขาไม่ใช่หรือ?  เขาควรถูกเขี่ยทิ้งไปไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดเราจึงโกรธผู้คนแบบนี้ยิ่งนัก?  เพราะพวกเขาทำความชั่วมากเกินไป เป็นใครได้ยินก็ต้องเดือดดาล  ผู้คนเหล่านี้พยายามจะเล่นเล่ห์กับพระเจ้าทั้งที่รู้ว่าอาจต้องเจอกับปัญหาอะไร—นั่นช่างมุ่งร้ายเกินไป!  จงบอกเราที เหตุใดเราจึงโกรธผู้คนแบบนี้ยิ่งนัก?  (พวกเขาพูดว่าตนเองเชื่อในพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาฟังนายของตน  พวกเขาไม่ติดตามและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พวกเขาได้อุทิศตนให้กับการติดตามมารและซาตานโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  การที่พวกเขาพูดว่าพวกเขาติดตามพระเจ้านั้นก็แค่ฉากหน้า  พวกเขาติดตามและรับใช้ซาตานภายใต้หน้ากากของการติดตามพระเจ้าและการสละตนเพื่อพระเจ้า และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังคงต้องการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลและพระพรจากพระเจ้า  นั่นไร้ยางอายอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  นั่นไร้เหตุผลและมิอาจไถ่ได้โดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราที พระนิเวศของพระเจ้าจะเก็บผู้คนแบบนี้ไว้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นหนทางที่เหมาะควรในการรับมือกับพวกเขาคืออะไร?  (ชำระพวกเขาออกไปพร้อมกับนายของพวกเขา)  พวกเขาชอบติดตามนายของตนและหัวเด็ดตีนขาดพวกเขาก็จะทำงานจนตายเพื่อนายของตน พวกเขาไม่พิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ขณะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเขากำลังรับใช้นายของตนภายในหมู่คณะของพวกศัตรูของพระคริสต์—นี่คือแก่นแท้ของงานของพวกเขา  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเขาทำอะไร นั่นจะไม่ได้รับการรำลึกถึง  ผู้คนแบบนี้ควรถูกชำระออกไป พวกเขาไม่คู่ควรที่จะทำงานรับใช้เลยด้วยซ้ำ!  แล้วพวกเจ้าคิดว่าผู้คนแบบพวกเขากลายเป็นแบบนี้ก็เพราะพวกเขาพบพานกับผู้คนที่ชั่ว หรือเพราะพวกเขาทำงานประเภทนี้เท่านั้นเองใช่หรือไม่?  พวกเขาได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมของพวกเขา หรือเพราะว่าผู้คนที่ชั่วชักพาให้พวกเขาหลงผิด?  (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงเป็นแบบนี้?  (พวกเขาเป็นบุคคลประเภทนี้ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา)  ผู้คนเหล่านี้มีแก่นแท้ธรรมชาติที่เหมือนกับนายที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ของตน  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทเดียวกัน  พวกเขามีงานอดิเรก ความคิด และทัศนะที่เหมือนกัน รวมถึงวิถีทางและวิธีการสำหรับการทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาพูดภาษาเดียวกันและใช้เส้นทางเดียวกันของการไล่ตามเสาะหา อีกทั้งพวกเขาก็มีความอยากได้อยากมี สิ่งจูงใจ และวิธีการปฏิบัติในการทรยศพระเจ้าและการก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าที่เหมือนกัน  จงคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขามีท่าทีเดียวกันเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งก็คือการโกหกผู้บังคับบัญชาและการซุกซ่อนสิ่งทั้งหลายจากพวกที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขา  พวกเขามีนโยบายสำหรับพวกที่อยู่เหนือตัวเองและมีกลยุทธ์สำหรับพวกที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง  สำหรับพวกที่อยู่เหนือพวกเขา พวกเขาทำตัวเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์จากภายนอก และสำหรับพวกที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขา พวกเขาเกะกะระรานทำความชั่ว  พวกเขามีหนทางและวิธีการที่เหมือนกัน  พอฟ้าเบื้องบนตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็พูดว่า “ฉันทำความผิด ฉันผิด ฉันไม่ดี ฉันเป็นกบฏ ฉันเป็นมาร!”  แล้วจากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาและพูดว่า “พวกเราอย่านำการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนนั่นมาดำเนินการกันเลย!”  หลังจากนั้น พวกเขาก็แค่ทำสิ่งทั้งหลายไปตามหนทางของตัวเอง  ยามที่พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี พวกเขาเพิ่มจำนวนผู้คนจนเกินควร และใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพระนิเวศของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการของหมู่คณะของพวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้  พวกเขาเข้ารับมือกับการจัดการเตรียมงานด้วยกลวิธีและวิธีการของตัวเอง—โฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของพวกเขาถูกเผยออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?  พวกเขาใช่ผู้คนหรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่ใช่ พวกเขาเป็นปีศาจ!  พวกเราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกปีศาจ ดังนั้นพวกเรารีบนำพวกเขาออกไปจากที่นี่กันเถิด  เราไม่ต้องการเห็นโฉมหน้าเยี่ยงซาตานของพวกเขา พวกเขาควรออกไป!  บรรดาผู้ที่เต็มใจลงแรงสามารถถูกส่งไปที่กลุ่ม ข พวกที่ไม่เต็มใจลงแรงสามารถถูกขับไล่ออกไป  นี่เป็นครรลองของการดำเนินการที่ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  นี่เป็นครรลองของการดำเนินการที่เหมาะควรที่สุด!  พวกเขามีแก่นแท้แบบเดียวกัน ดังนั้นยามที่พวกเขากำลังพูดคุยหรือกระทำการอยู่ด้วยกัน พวกเขาทำอย่างราบรื่นมาก และยามที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ด้วยกันก็มีความเป็นกลุ่มก้อนอันเหลือเชื่อ อีกทั้งระหว่างพวกเขาก็มีความเข้าใจแบบไม่ต้องอาศัยคำพูด  ทันทีที่พวกนายเหล่านั้นเปิดปาก ไม่ว่าพวกเขาพูดสิ่งเยี่ยงมารอะไร เหล่าผู้ติดตามของพวกเขาก็จะขานรับทันที และในหัวใจของผู้ติดตามพวกนี้ก็จะถึงกับรู้สึกภาคภูมิใจพลางคิดว่า “ท่านพูดถูก พวกเรามาทำแบบนั้นกันเถอะ!  การจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนนั่นพิถีพิถันเกินไป พวกเราทำสิ่งต่างๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก”  ไม่ว่าการจัดการเตรียมงานของฟ้าเบื้องบนนั้นจะถูกแจงอย่างดีหรือเฉพาะเจาะจงเพียงใด ผู้คนเหล่านี้ก็จะไม่นำมาดำเนินการให้เป็นผล และไม่ว่าสิ่งทั้งหลายที่หมู่มารและเหล่าซาตานจะบิดเบือนและไร้สาระเพียงใด พวกเขาก็จะฟังพวกมัน  เช่นนั้นพวกเขากำลังทำงานรับใช้ใครหรือ?  ผู้คนแบบนี้สามารถลงแรงในพระนิเวศของพระเจ้าจนสุดปลายทางได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่สามารถลงแรงจนสุดปลายทาง  ไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงให้เห็นความอดทนต่อบุคคลหรือต่อการกระทำของมารก็มีขีดจำกัดเสมอ  พระองค์ทรงแสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรนต่อผู้คนในขอบข่ายที่ใหญ่หลวงที่สุดที่เป็นไปได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระองค์ก็จะทรงเปิดโปงพวกที่พึงต้องถูกเปิดโปง และกำจัดพวกที่พึงต้องถูกกำจัด  เมื่อถึงจุดนี้ ผู้คนเหล่านั้นย่อมจะได้ไปถึงปลายทางของถนนแล้ว  นั่นไม่เรียบง่ายเพียงการที่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาหรือรักความจริง นั่นเป็นการที่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาไม่เป็นมิตรกับความจริง  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพูดถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก ความเข้าใจอันถ่องแท้ หรือหลักธรรมที่ตรงกับความจริง พวกเขาไม่ฟัง  ยิ่งคำพูดของเจ้าถ่องแท้มากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงเท่านั้น  ทันทีที่เจ้าเริ่มพูดคุยถึงหลักธรรมความจริง พวกเขาก็นั่งนิ่งไม่ได้ และพวกเขาก็หาทางสร้างข้อแก้ตัวที่จะหักเหให้การสนทนานั้นสะดุดตกร่อง เบนจุดสนใจ หรือไม่พวกเขาก็เพียงแค่เดินไปรินน้ำดื่ม  ทันทีที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงหรือพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง พวกเขารู้สึกผลักไสและไม่ต้องการฟัง  หากพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ห้องน้ำ พวกเขาก็กระหายหรือหิว หรือไม่ก็ง่วงนอน หรือไม่พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์หรือดูแลอะไรสักอย่าง  พวกเขามีข้อแก้ตัวเสมอ และพวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้  หากเจ้าใช้วิธีการของพวกเขา อีกทั้งพูดคุยเกี่ยวกับคำแถลงและวิธีเข้ารับมือของพวกเขาซึ่งเป็นต้นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวนโดยเฉพาะ พวกเขาจะกลายเป็นกระฉับกระเฉงขึ้นมาและสามารถพูดคุยต่อไปได้เรื่อยๆ  หากเจ้าไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกับพวกเขา พวกเขาจะรู้สึกรังเกียจเจ้าและหลีกเลี่ยงเจ้า  เหล่านี้คือหมู่มารตามแบบฉบับเลย!  มีคนบางคนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อาจรู้เท่าทันมารประเภทนี้ และคิดว่าผู้คนเหล่านี้ก็แค่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เหตุใดพวกเขาจึงโง่ทึ่มยิ่งนัก?  พวกเขาพูดสิ่งที่ไม่รู้ความเช่นนั้นได้อย่างไร?  ผู้คนเหล่านี้แค่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ พวกเขาเป็นพวกปีศาจชั่ว และพวกเขารังเกียจความจริงอย่างสุดขั้ว  ผู้คนเหล่านั้นประพฤติตัวค่อนข้างดีในการชุมนุม แต่นั่นล้วนจอมปลอม  ในความเป็นจริงนั้น  พวกเขาฟังเนื้อหาที่ถูกสามัคคีธรรมหรือพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกอ่านในการชุมนุมจริงๆ หรือไม่?  พวกเขาฟังจริงกี่คำ?  พวกเขายอมรับกี่คำ?  พวกเขาสามารถนบนอบได้กี่คำ?  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนที่ถูกกล่าวอย่างทั่วไปที่สุดและเรียบง่ายที่สุดด้วยซ้ำ  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนแบบนั้น ไม่ว่าพวกเขาทำงานให้มานานเท่าไร หรือพวกเขารับใช้ในฐานะหัวหน้าหรือผู้กำกับดูแลที่ระดับใด พวกเขาก็ไม่สามารถประกาศคำเทศนาหรือพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเองได้  หากใครบางคนพูดว่า “พูดคุยถึงความรู้ของคุณเกี่ยวกับบางสิ่งสักเล็กน้อยสิ  คุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้น แค่พูดถึงความรู้และการจับใจความที่คุณมีต่อสิ่งนั้นก็พอ” พวกเขาก็จะไม่สามารถเปิดปากได้ นั่นจะเป็นราวกับว่าปากถูกปิดผนึกอยู่ และพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนบางอย่างได้  หากพวกเขาสามารถบริหารจัดการจนฝืนพูดบางคำออกมาได้จริงๆ คำพูดเหล่านั้นก็จะฟังดูตะขิดตะขวงและประหลาด  พี่น้องชายหญิงบางคนพูดว่า “ทำไมถึงเป็นว่าตอนที่ผู้นำบางคนกำลังประกาศคำเทศนา จึงฟังเหมือนพวกเขาเป็นคุณครูที่กำลังอ่านข้อความให้เด็กๆ ฟัง?  ทำไมนั่นจึงฟังดูตะขิดตะขวงและประหลาดเหลือเกิน?”  นี่เรียกว่าการไม่สามารถประกาศคำเทศนาได้  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถประกาศคำเทศนาได้?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาขาดความเป็นจริงความจริง  เหตุใดพวกเขาจึงขาดความเป็นจริงความจริง?  เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ในหัวใจของพวกเขารังเกียจความจริง และพวกเขาขืนต้านหลักธรรมหรือคำกล่าวใดก็ตามเกี่ยวกับความจริง  หากพูดว่าพวกเขาขืนต้าน ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าจะไม่สามารถมองเห็นการนี้ได้จากภายนอก แล้วเจ้าจะสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาขืนต้าน?  ไม่สำคัญว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างไร ในหัวใจพวกเขาก็จะปฏิเสธและไม่ยอมรับ อีกทั้งผลักไสความจริงอย่างเหลือเชื่อ  ไม่ว่าผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงความรู้ของตนเกี่ยวกับความจริงอย่างไร พวกเขาก็จะคิดว่า “คุณอาจเชื่ออย่างนั้น แต่ฉันไม่เชื่อ”  พวกเขามีมาตรวัดอย่างไรว่าบางสิ่งคือความจริงหรือไม่ใช่?  ตราบที่เป็นบางสิ่งซึ่งพวกเขาเชื่อว่าดีและถูกต้อง เช่นนั้นพวกเขาก็จะคิดว่านั่นคือความจริง  หากพวกเขาไม่ชอบคำแถลงหนึ่ง เช่นนั้นไม่ว่าคำแถลงนั้นถูกต้องเพียงใด พวกเขาก็จะไม่พิจารณาว่านั่นเป็นความจริง  เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเรามองไปที่รากเหง้าของเรื่องนี้ในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาขืนต้านความจริง พวกเขารังเกียจความจริง และพวกเขาก็เกลียดความจริง  ความจริงไม่มีที่ทางในหัวใจพวกเขาเลย—พวกเขาดูหมิ่นความจริง  คนบางคนอาจไม่รู้เท่าทันเรื่องนี้และพูดว่า “โดยปกติแล้วฉันไม่เห็นพวกเขาพูดอะไรที่หยามหมิ่นพระเจ้า หมิ่นประมาทความจริง หรือละเมิดหลักธรรมความจริงเลย”  เช่นนั้นก็มีข้อเท็จจริงหนึ่งซึ่งพวกเขามองเห็นได้ กล่าวคือ ทุกรายละเอียดเฉพาะเจาะจงที่การจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าระบุไว้นั้นมีความจำเป็น และถูกยกมานำเสนอก็เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ความก้าวหน้าในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร กฎระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร และการแผ่ขยายปกติของงานข่าวประเสริฐ  จุดประสงค์ของการจัดการเตรียมงานในทุกช่วงเวลา และการเคลื่อนกำลังพล การจัดระบบ และการแก้ไขดัดแปลงงานแต่ละแง่มุมที่เฉพาะเจาะจงนั้นเป็นไปเพื่อคุ้มครองพัฒนาการปกติของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจและเข้าสู่หลักธรรมความจริง  กล่าวให้ชัดขึ้นได้ว่า สิ่งเหล่านี้นำพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและช่วยให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย ว่าสิ่งเหล่านี้นำทางและจูงทุกคนไปข้างหน้า กุมมือพวกเขาไว้พลางก็สอน เกื้อหนุน และจัดหาให้กับพวกเขา  เมื่อเป็นเรื่องของการนำการจัดการเตรียมงานไปดำเนินการให้เป็นผล ไม่สำคัญว่านั่นเป็นการดำเนินสามัคคีธรรมแบบเฉพาะเจาะจงถึงเรื่องนี้ในระหว่างการชุมนุม หรือเป็นการเผยแพร่โดยคำพูดปากต่อปาก จุดมุ่งหมายก็คือเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง และนั่นก็เป็นคุณประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเสมอ  ไม่มีการจัดการเตรียมการสักอย่างที่อาจส่งผลเสียต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อีกทั้งไม่มีการจัดการเตรียมการใดเลยที่สร้างการขัดขวางหรือการก่อกวน  แต่ทว่าพวกศัตรูของพระคริสต์กลับไม่เคยเคารพหรือนำการจัดการเตรียมงานเหล่านี้มาดำเนินการให้เป็นผล  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับดูหมิ่นคิดว่าการจัดการเตรียมงานเหล่านี้เรียบง่ายเกินไปและไม่มีอะไรสำคัญ ว่าการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ไม่น่าประทับใจเท่ากับวิธีที่พวกเขาทำงานด้วยตัวเอง และคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้รับประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าต่อเกียรติยศ สถานะ และความีหน้ามีตาของตนในขณะที่ทำงานนี้  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาไม่เคยฟังหรือยอมรับการจัดการเตรียมงาน นับประสาอะไรที่จะนำมาดำเนินการให้เป็นผล  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง  บนพื้นฐานเช่นนี้ จงบอกเราที พวกศัตรูของพระคริสต์เพียงแค่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นหรือ?  เจ้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากประเด็นนี้ว่าพวกเขาเกลียดความจริง  หากพูดว่าพวกเขาเกลียดความจริง เจ้าย่อมจะไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งได้ในเรื่องนี้ แต่เจ้าจะสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องนี้ได้ก็โดยการมองตรงวิธีที่พวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นเข้ารับมือกับการนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล  ชัดเจนมากว่าเมื่อเป็นเรื่องของวิธีที่พวกผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จเข้ารับมือกับการจัดการเตรียมงาน อย่างมากที่สุด พวกเขาก็แค่ทำท่าพอเป็นพิธี พูดคุยเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานหนหนึ่งแล้วก็หมดแค่นั้น  พวกเขาไม่ดำเนินการติดตามผลงานและการสอดส่องดูแลที่สืบเนื่องตามมาหรือดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงอย่างถูกควร  พวกนี้คือผู้นำเทียมเท็จ  อย่างน้อยพวกผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงสามารถนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล ทำท่าพอเป็นพิธีและดำรงการจัดการเตรียมงานไว้ได้  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่สามารถแม้แต่จะดำรงการจัดการเตรียมงานไว้ได้ พวกเขาก็แค่ปฏิเสธไม่ยอมรับหรือนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล และทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเองแทนเท่านั้นเอง  พวกเขาคำนึงถึงอะไรกันแน่?  สถานะ ชื่อเสียง และเกียรติยศของพวกเขาเอง  พวกเขาคำนึงว่าฟ้าเบื้องบนซาบซึ้งในตัวพวกเขาหรือไม่ พี่น้องชายหญิงมากมายเท่าใดที่เกื้อหนุนพวกเขา พวกเขามีที่ทางอยู่ในหัวใจของผู้คนมากมายเท่าใด ผู้คนมากมายเท่าใดที่พวกเขามีอำนาจครองใจ ควบคุมผู้คนเหล่านั้น และพวกเขากุมผู้คนไว้ในมือมากเท่าใด  พวกเขาใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงวิธีให้น้ำหรือจัดหาให้กับพี่น้องชายหญิงในการวางรากฐานไปบนหนทางที่แท้จริง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่คำนึงว่าการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงกำลังดำเนินไปอย่างไร พี่น้องชายหญิงกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร ว่านั่นเป็นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือหน้าที่ประเภทอื่น หรือว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมได้หรือไม่ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับวิธีที่จะนำพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดถูกจัดวางอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าไม่ใช่หรือ?  เหล่านี้เป็นการสำแดงที่พวกเจ้ามักจะมองเห็นได้ในพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าผู้คนเหล่านี้เกลียดความจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตลอดเวลานั้น สิ่งเดียวที่ศัตรูของพระคริสต์ใส่ใจก็คือสถานะ ชื่อเสียง และเกียรติยศ  สมมุติว่าเจ้าให้ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งควบคุมดูแลชีวิตคริสตจักรเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงดำเนินชีวิตคริสตจักรแบบถูกควร อีกทั้งเพื่อช่วยให้พวกเขามาเข้าใจความจริงและปูรากฐานของตนขณะดำเนินชีวิตคริสตจักร เพื่อมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และได้รับความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นเอกเทศไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด รวมทั้งได้รับความเชื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ในหนทางนั้น งานแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็คงจะมีกองกำลังหนุนหลังบ้าง และสามารถจัดเตรียมคนทำงานข่าวประเสริฐที่มีพรสวรรค์จำนวนมากขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการแผ่ขยายข่าวประเสริฐอย่างสม่ำเสมอ  ศัตรูของพระคริสต์นั่นจะคิดแบบนั้นหรือ?  พวกเขาจะไม่คิดแบบนี้โดยสิ้นเชิง  พวกเขาจะพูดว่า “ชีวิตคริสตจักรสำคัญยังไงหรือ?  ถ้าทุกคนดำเนินชีวิตคริสตจักรอย่างสุดหัวใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วถ้าพวกเขาทั้งหมดเข้าใจความจริง ใครจะฟังคำสั่งฉัน?  ใครจะใส่ใจเกี่ยวกับฉัน?  ใครจะให้ความสนใจฉัน?  ฉันปล่อยให้ทุกคนมุ่งเน้นที่ชีวิตคริสตจักรตลอดเวลาหรือกลายเป็นหมกมุ่นในเรื่องนั้นไม่ได้  ถ้าทุกคนเอาแต่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และถ้าทุกคนได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า รอบตัวฉันจะเหลือใคร?”  นี่คือท่าทีของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขามุ่งเน้นการจัดหาให้กับพี่น้องชายหญิงในการได้รับความจริงและชีวิต นี่จะส่งผลเสียต่อการไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศ ผลกำไรและสถานะของพวกเขา  พวกเขาคิดในใจว่า “ถ้าฉันมัวแต่ใช้เวลาทั้งหมดทำสิ่งต่างๆ ให้พี่น้องชายหญิง ฉันจะยังคงมีเวลาไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศ ผลกำไรและสถานะอยู่หรือ?  ถ้าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดสรรเสริญพระนามพระเจ้าและติดตามพระเจ้า ก็จะไม่เหลือใครเชื่อฟังฉัน  นั่นคงน่ากระอักกระอ่วนสำหรับฉันเหลือเกิน!”  นี่คือโฉมหน้าของศัตรูของพระคริสต์  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงล้มเหลวที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น พวกเขายังรังเกียจความจริงอย่างสุดขั้ว  ในสติสัมปชัญญะที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพวกเขานั้น พวกเขาไม่พูดว่า “ฉันเกลียดความจริง ฉันเกลียดพระเจ้า และฉันเกลียดการจัดการเตรียมงาน คำแถลง และการปฏิบัติทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิง”  พวกเขาจะไม่พูดแบบนี้  พวกเขาแค่ใช้การเข้าหาและพฤติกรรมบางอย่างเพื่อขัดขืนการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นแก่นแท้ของการเข้าหาและพฤติกรรมเหล่านี้ก็คือการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง และการทำให้ผู้อื่นใส่ใจและเชื่อฟังพวกเขาทั้งหมด  ผลที่ตามมาก็คือ ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าทำสิ่งใด พวกเขาก็จะไม่เคารพสิ่งนั้น เป็นกรณีนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ที่ผ่านมาพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงการสำแดงเหล่านี้ของพวกศัตรูของพระคริสต์กันไปค่อนข้างมากแล้ว  พวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยและความเข้าใจความจริงของพวกเจ้าก็ตื้นเขิน พวกศัตรูของพระคริสต์ได้ทำความชั่วไปมากมายต่อหน้าต่อตาเจ้า แต่ทว่าพวกเจ้ากลับได้ล้มเหลวที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะการนี้  เจ้าโง่เขลาและน่าเวทนา ด้านชาและหัวทึบ อัตคัดขัดสนและมืดบอด  นี่คือการสำแดงที่แท้จริงของพวกเจ้าและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า  พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนมากมายยิ่งนัก และเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงเลยทีเดียวต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็ยังคงมีผู้คนที่พูดว่าควรใช้พวกเขาทำงานรับใช้  การใช้พวกเขาก่ออันตรายมากกว่าผลดี แต่กระนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักรับมือหรือปลดพวกเขาออก—จะอีกกี่ปีกว่าที่วุฒิภาวะนี้และแนวคิดเหล่านี้ของพวกเจ้าจะเปลี่ยนแปลง?  บางคนคุยโวอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  แต่พวกเขาก็ไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์ได้ในยามที่พวกเขาเผชิญกับพวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้น และอาจถึงกับติดตามศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นด้วยซ้ำ—ตรงไหนหรือที่เป็นการสำแดงการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา?  พวกเขาได้ฟังคำเทศนาไปมากมายแต่ก็ยังคงขาดวิจารณญาณ เอาเถิด เราจะยุติการสามัคคีธรรมของพวกเราในหัวเรื่องนี้ไว้ตรงนี้ ลำดับถัดไป พวกเราจะพูดถึงหัวข้อหลักของพวกเรา

ในการชุมนุมครั้งล่าสุดของพวกเรา พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงเนื้อหาที่สัมพันธ์กับความคาดหวังของพ่อแม่ภายในหัวข้อ “การปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา”  พวกเราได้จบการสามัคคีธรรมลงตรงหลักธรรมที่เกี่ยวข้องและหัวข้อใหญ่ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้  ลำดับถัดไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงอีกแง่มุมหนึ่งของการปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา—การปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา  คราวนี้พวกเราจะเปลี่ยนบทบาท  เมื่อคำนึงถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับแนวทางรับมือความคาดหวังของพ่อแม่ มีบางสิ่งบางอย่างซึ่งผู้คนพึงทำจากมุมมองของเด็ก  เมื่อพูดถึงวิธีที่ลูกควรเข้าหาและรับมือกับความคาดหวังนานัปการที่พ่อแม่มีต่อพวกเขา และแนวทางสารพัดที่พ่อแม่ใช้กับพวกเขา อีกทั้งหลักธรรมใดบ้างที่พวกเขาควรปฏิบัติ นี่ก็เกี่ยวข้องกับการเข้าหาปัญหาต่างๆ ที่มาจากพ่อแม่อย่างถูกต้องจากมุมมองของเด็ก  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อของ “การปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา” ซึ่งเกี่ยวข้องการรับมือกับปัญหาสารพัดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับลูกของตัวเองจากมุมมองของพ่อแม่  มีบทเรียนที่ควรเรียนรู้และหลักธรรมที่ควรถือปฏิบัติอยู่ตรงนี้  เรื่องสำคัญที่สุดในฐานะของลูกก็คือ เจ้าควรเผชิญหน้ากับความคาดหวังของพ่อแม่อย่างไร เจ้าควรนำท่าทีประเภทใดมาใช้กับความคาดหวังเหล่านี้ รวมถึงเจ้าควรปฏิบัติตามหนทางใด และเจ้าพึงต้องมีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติใดในสถานการณ์นี้  โดยธรรมชาติแล้ว ทุกตัวบุคคลมีโอกาสที่จะเป็นพ่อแม่ หรือไม่พวกเขาก็อาจเป็นพ่อแม่แล้ว นี่เกี่ยวพันถึงความคาดหวังและท่าทีที่ผู้คนมีต่อเชื้อสายของพวกเขา  ไม่ว่าเจ้าเป็นพ่อแม่หรือลูก เจ้าก็พึงต้องมีหลักธรรมที่แตกต่างกันไปสำหรับการจัดการกับความคาดหวังของอีกฝ่าย  ลูกมีหลักธรรมที่พวกเขาพึงถือปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องแนวทางรับมือความคาดหวังของพ่อแม่ของพวกเขา และโดยธรรมชาติแล้ว พ่อแม่ก็มีหลักธรรมความจริงที่พวกเขาพึงถือปฏิบัติสำหรับเป็นแนวทางรับมือความคาดหวังของลูกด้วยเช่นกัน  ดังนั้นก่อนอื่นจงคิดว่า หลักธรรมใดที่เจ้าสามารถมองเห็นหรือนึกถึงได้ในตอนนี้ ที่พ่อแม่ควรถือปฏิบัติในการปฏิบัติต่อลูกของตน?  หากพวกเราพูดเกี่ยวกับหลักธรรม นี่ก็อาจจะไกลตัวพวกเจ้าไปหน่อย และหัวข้อนี้ก็อาจจะกว้างและลึกเกินไป ดังนั้นพวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นความคาดหวังที่เจ้าจะมีต่อเชื้อสายของตัวเองหากเจ้าเป็นพ่อแม่คนหนึ่งแทนกันเถิด  (ข้าแต่พระเจ้า หากข้าพระองค์จะต้องเป็นพ่อแม่ในสักวัน อันดับแรกสุดนั้น ข้าพระองค์ก็คงหวังว่าลูกจะมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพดี  ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพระองค์คงหวังว่าพวกเขาสามารถมีความฝันเป็นของตัวเอง และหวังว่าพวกเขาจะทะเยอทะยานในเรื่องการลุล่วงความฝันของตนในชีวิตที่ตนเองจะมีโอกาสในอนาคตที่ดี  เหล่านี้คือสองสิ่งหลักที่ข้าพระองค์จะตั้งความหวัง)  เจ้าจะหวังว่าลูกของเจ้าจะกลายเป็นข้าราชการระดับสูงหรือกลายเป็นมั่งมีอย่างมากหรือไม่?  (ข้าพระองค์ก็จะหวังสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน  ข้าพระองค์หวังว่า อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถเจริญก้าวหน้าในทางโลก ดีกว่าผู้คนอื่น และได้รับการเคารพยกย่องจากผู้อื่น)  ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก็คือว่า พวกเขาจะมีสุขภาพกายที่ดี ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตน และไต่เต้าขึ้นไปในทางโลก และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาเป็นไปด้วยดี  มีความคาดหวังอันใดซึ่งพ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตัวเองที่แตกต่างไปหรือไม่?  ใครก็ตามที่มีลูก พูดออกมาเลย  (ข้าพระองค์หวังว่าลูกของข้าพระองค์จะมีสุขภาพดี และหวังว่าสิ่งต่างๆ ในชีวิตพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น และก็หวังว่าชีวิตของพวกเขาจะมีสันติสุขและปลอดภัย  ข้าพระองค์หวังว่าพวกเขาจะมีความสามัคคีในครอบครัวของตัวเอง อีกทั้งหวังว่าพวกเขาสามารถเคารพผู้ใหญ่และดูแลเอาใจใส่เด็กๆ)  มีอะไรอื่นอีกไหม?  (หากข้าพระองค์กลายเป็นพ่อแม่ในสักวัน นอกจากความคาดหวังที่เพิ่งพูดถึงกันไป ข้าพระองค์ก็ยังหวังว่าลูกของข้าพระองค์จะเชื่อฟังและมีเหตุผล หวังว่าพวกเขาจะแสดงความกตัญญูต่อข้าพระองค์ และหวังว่าข้าพระองค์จะสามารถมีพวกเขาเป็นที่พึ่งดูแลในวัยชราของข้าพระองค์)  ความคาดหวังนี้สำคัญยิ่งยวดทีเดียว  การที่พ่อแม่หวังว่าลูกของตัวเองจะแสดงความกตัญญูต่อพวกเขานั้นค่อนข้างเป็นความคาดหวังตามประเพณีที่ผู้คนมีอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและจิตใต้สำนึกของตน  นี่เป็นเรื่องที่นำเสนออย่างเป็นกลาง

“การปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา” เป็นส่วนสำคัญมากของ “การปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา”  พ่อแม่ทุกคนวางความคาดหวังบางอย่างไว้กับลูกของตน  ไม่ว่าความคาดหวังเหล่านี้ยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อย ใกล้ตัวหรือห่างไกล แต่ก็เป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่พ่อแม่มีต่อการวางตัว การกระทำ ชีวิตของลูก หรือไม่ก็เป็นแนวทางที่ลูกของตนรับมือความคาดหวังเหล่านี้  ความคาดหวังเหล่านี้เป็นข้อพึงประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงประเภทหนึ่งเช่นกัน  จากมุมมองของลูกของพวกเขานั้น ข้อพึงประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกพึงทำ เพราะบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดทางประเพณีแล้ว ลูกไม่อาจขัดคำสั่งพ่อแม่ได้—หากลูกทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมอกตัญญู  ผลที่ตามมาก็คือ ผู้คนมากมายแบกภาระอันหนักหนาและยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้  ดังนั้นผู้คนจึงควรเข้าใจว่าความคาดหวังอันเฉพาะเจาะจงที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนนั้นสมเหตุผลหรือไม่ และเข้าใจว่าพ่อแม่ของตนพึงต้องมีความคาดหวังเหล่านี้หรือไม่ ตลอดจนเข้าใจว่าความคาดหวังเหล่านี้ข้อใดที่สมเหตุผล ข้อใดไม่สมเหตุผล ข้อใดถูกทำนองคลองธรรม และข้อใดเป็นการบังคับและไม่ถูกทำนองคลองธรรมไม่ใช่หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีหลักธรรมความจริงที่ผู้คนพึงต้องเข้าใจและถือปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องของแนวทางที่พวกเขาควรเรับมือความคาดหวังของพ่อแม่ วิธีที่พวกเขาควรยอมรับหรือปฏิเสธความคาดหวังเหล่านี้ รวมถึงท่าทีและมุมมองที่พวกเขาควรใช้มองและเข้าหาความคาดหวังเหล่านี้  เมื่อสิ่งเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข พ่อแม่ก็มักจะแบกรับภาระประเภทเหล่านี้โดยคิดว่านั่นเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตัวเองที่จะต้องมีความคาดหวังต่อลูกและเชื้อสายของตน และคิดไปตามธรรมชาติว่าความคาดหวังเหล่านั้นเป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องมีมากขึ้นด้วยซ้ำ  พวกเขาคิดว่าหากตัวเองไม่มีความคาดหวังสำหรับเชื้อสายของตน นั่นก็จะเป็นเหมือนการไม่ลุล่วงหน้าที่หรือภาระผูกพันที่พวกเขามีต่อเชื้อสายของตัวเอง และเทียบเท่ากับการไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ  พวกเขาคิดว่านี่จะทำให้พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี พ่อแม่ที่ไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง  เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงเรื่องของความคาดหวังที่ผู้คนมีต่อเชื้อสายของตน พวกเขาก็สร้างข้อพึงประสงค์นานาสารพันต่อลูกของตัวเอง พวกเขามีข้อพึงประสงค์คนละอย่างสำหรับลูกคนละคน ณ คนละเวลาและภายใต้สภาพการณ์คนละแบบ  เนื่องจากพ่อแม่มีทัศนะและภาระประเภทนี้เมื่อเป็นเรื่องของลูก พ่อแม่จึงได้แต่ทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพึงต้องทำไปตามกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเหล่านี้ ไม่ว่ากฎเกณฑ์เหล่านั้นถูกหรือผิด  พ่อแม่ตั้งข้อเรียกร้องต่อลูกของตน พลางก็ปฏิบัติต่อแนวทางเหล่านี้ราวกับเป็นภาระผูกพันประเภทหนึ่ง และราวกับเป็นความรับผิดชอบประเภทหนึ่ง และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็บังคับใช้แนวทางแบบนั้นกับลูกของตน ทำให้ลูกของตนสัมฤทธิ์แนวทางเหล่านี้  พวกเราจะแยกเรื่องนี้ออกเป็นหลายช่วงระยะในการสามัคคีธรรมของพวกเรา แบบนั้นจะชัดเจนกว่า

ก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็กำหนดข้อพึงประสงค์นานัปการไว้ให้กับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว  แน่นอนว่าภายในข้อพึงประสงค์นานัปการเหล่านี้ พวกเขาปักหมุดความคาดหวังหลากหลายประเภทเอาไว้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้นขณะที่พ่อแม่กำลังปักหมุดความคาดหวังต่างๆ ไว้ที่ลูกของพวกเขา พวกเขาจ่ายราคาสารพัดและสร้างแนวทางหลากหลายประเภทเพื่อที่จะทำให้ความคาดหวังเหล่านั้นเป็นจริงด้วยตัวเอง  เพราะฉะนั้นก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่จึงให้การศึกษาแก่พวกเขาในสารพัดหนทาง และมีข้อพึงประสงค์นานาสารพันต่อพวกเขา  ตัวอย่างเช่น จากวัยที่เด็กมาก พวกเขาบอกลูกของตัวเองว่า “ลูกจำเป็นต้องเรียนให้เก่งและเรียนให้มากขึ้น  ลูกจะดีกว่าผู้อื่นเท่านั้น และคนอื่นจะไม่ถูกดูแคลนหลังจากที่ลูกเรียนได้ดี”  มีพ่อแม่ที่สอนลูกของตัวเองว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่หลังจากโตขึ้นด้วยเช่นกัน จนถึงขั้นที่เมื่อลูกของตนเพิ่งอายุได้สองสามขวบ พวกเขาก็ถามลูกเสมอว่า “ลูกจะดูแลพ่อของลูกหลังจากโตขึ้นไหม?”  และลูกของพวกเขาก็ตอบว่า “ดูแล”  พวกเขาก็ถามว่า “ลูกจะดูแลแม่ไหม?”  “ดูแล”  “ลูกรักพ่อหรือแม่มากกว่ากัน?”  “หนูรักพ่อ”  “ไม่ใช่ ลูกต้องพูดก่อนว่าลูกรักแม่ แล้วค่อยพูดว่าลูกรักพ่อ”  เช่นนั้นลูกจึงเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากพ่อแม่ของตน  การให้การศึกษาของพ่อแม่ไม่ว่าจะเป็นโดยคำพูดหรือโดยตัวอย่างก็มีอิทธิพลที่ลึกซึ้งต่อจิตใจที่เยาว์วัยของลูก  แน่นอนว่าการศึกษาให้ความรู้พื้นฐานจำนวนหนึ่งแก่พวกเขา สอนพวกเขาว่าพ่อแม่ของตนเป็นคนที่รักและชื่นชมบูชาพวกเขาที่สุดในโลก และเป็นคนที่พวกเขาพึงต้องแสดงการเชื่อฟังและแสดงความกตัญญูด้วยมากที่สุด  เป็นธรรมดาที่แนวคิดที่ว่า “ในเมื่อพ่อแม่ของฉันเป็นคนที่ใกล้ชิดฉันที่สุดในโลก ฉันก็ควรเชื่อฟังพวกท่านเสมอ” ถูกปลูกเพาะเข้าไปในจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขา  ในเวลาเดียวกัน แนวคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขา ซึ่งก็คือว่า ในเมื่อพ่อแม่เป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขาที่สุด เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ของพวกเขาทำก็ต้องเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของตนสามารถมีชีวิตที่ดีกว่า  ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาคิดว่าพวกเขาควรยอมรับการกระทำของพ่อแม่อย่างไร้เงื่อนไข ไม่ว่าพ่อแม่ใช้วิธีการประเภทใด ไม่ว่าวิธีการเหล่านั้นมีมนุษยธรรมหรือไร้มนุษยธรรม ลูกก็เชื่อว่าตนเองพึงต้องยอมรับวิธีการเหล่านั้น  ในวัยที่พวกเขายังคงไม่มีความสามารถใดที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะระหว่างถูกและผิด การให้การศึกษาของพ่อแม่โดยผ่านทางคำพูดหรือทางตัวอย่างก็ปลูกเพาะแนวคิดประเภทนี้ลงในตัวพวกเขา  ภายใต้การชี้นำของแนวคิดประเภทนี้ พ่อแม่สามารถเรียกร้องให้ลูกของตนทำสิ่งต่างๆ นานาภายใต้หน้ากากของการต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพวกเขา  แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นบางอย่างไม่ตรงกับความเป็นมนุษย์ หรือพรสวรรค์ ขีดความสามารถ หรือการเลือกชอบของลูก ภายใต้สภาพการณ์ที่ลูกไม่มีสิทธิกระทำไปตามความคิดริเริ่มของตัวเองหรือตามภาวะอิสระของตนเอง ลูกไม่มีทางเลือกและไม่มีความสามารถที่จะขัดขืนเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความคาดหวังและข้อเรียกร้องของพ่อแม่  ทั้งหมดที่ลูกทำได้ก็คือเชื่อฟังทุกคำพูดของพ่อแม่ ปล่อยให้พ่อแม่กำหนดหนทางของตัวลูกเอง ฝากตัวเองไว้ในความกรุณาของพ่อแม่ และให้พ่อแม่กุมหางเสือไปตามเส้นทางใดก็ได้  เพราะฉะนั้นก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำ ไม่ว่าแบบไม่ตั้งใจหรือมีต้นตอมาจากเจตนารมณ์ที่ดีก็ย่อมจะมีผลกระทบเชิงบวกหรือลบต่อการวางตัวและการกระทำของลูกอยู่ไม่น้อย  นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำจะปลูกเพาะแนวคิดและทัศนะอันหลากหลายไว้ในตัวลูก และแนวคิดกับทัศนะเหล่านี้อาจถึงกับฝังลึกลงจิตใต้สำนึกของลูก เพื่อที่หลังจากลูกกลายเป็นผู้ใหญ่ แนวคิดและทัศนะเหล่านี้จะยังคงมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตน และแม้แต่ต่อเส้นทางที่ลูกเดินด้วยซ้ำ

ก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกไม่มีวิถีทางที่จะขืนต้านสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต มรดกทกทอด หรือการศึกษาที่พ่อแม่ส่งต่อมาให้พวกเขาเพราะพวกเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ และพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายดีมากนัก  ตอนที่เราพูดถึงช่วงเวลาก่อนที่เด็กคนหนึ่งไปถึงวัยผู้ใหญ่ เรากำลังหมายถึงตอนที่เด็กไม่สามารถคิดหรือตัดสินถูกผิดได้โดยลำพัง  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ ลูกทำได้เพียงฝากตัวเองไว้ในความกรุณาของพ่อแม่  แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะพ่อแม่เป็นผู้ฟันธงเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่ลูกของตนจะถึงวัยผู้ใหญ่ ที่ในระหว่างยุคสมัยชั่วนี้ พ่อแม่จะรับเอาวิธีการศึกษา แนวคิด และทัศนะที่สอดรับกันมาใช้บนพื้นฐานของกระแสนิยมทางสังคมเพื่อกระตุ้นให้ลูกของตนทำบางสิ่ง  ตัวอย่างเช่น การแข่งขันในสังคมตอนนี้ดุเดือดมาก  พ่อแม่ได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศของกระแสนิยมและฉันทามติทางกลุ่มสังคมอันหลากหลาย พวกเขาจึงยอมรับข้อมูลข่าวสารนี้ที่ว่าการแข่งขันมีความดุเดือดและส่งต่อไปยังลูกของตนอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่พวกเขายอมรับคือการที่ปรากฏการณ์และกระแสนิยมของการแข่งขันในสังคมนั้นดุเดือดอย่างมาก แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือแรงกดดันบางอย่าง  เมื่อพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดัน พวกเขาก็รีบคิดถึงลูกของตัวเองพลางพูดว่า “การแข่งขันดุเดือดเหลือเกินในสังคมตอนนี้ ไม่เหมือนตอนที่พวกเรายังเด็ก  ถ้าลูกของพวกเราเรียนหนังสือ ทำงาน และเข้าหาสังคมรวมถึงผู้คนและสิ่งต่างๆ นานาในแบบเดียวกับที่พวกเราเคยทำ ลูกก็จะถูกสังคมกำจัดออกอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องอาศัยประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขายังเด็กอยู่ พวกเราจำเป็นต้องเริ่มทำงานกับพวกเขาตั้งแต่ตอนนี้—พวกเราปล่อยให้ลูกของเราแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้”  ตอนนี้การแข่งขันในสังคมดุเดือดและผู้คนล้วนปักหมุดความหวังอันยิ่งใหญ่ไว้กับลูกของตัวเอง พวกเขาจึงรีบส่งต่อแรงกดดันประเภทนี้ต่อไปยังลูกของตน  แล้วลูกของพวกเขาตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  เพราะพวกเขายังไม่ใช่ผู้ใหญ่ พวกเขาจึงไม่ตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลย  พวกเขาไม่รู้ว่าแรงกดดันนี้ที่มาจากพ่อแม่ของตนนั้นถูกหรือผิด หรือว่าพวกเขาควรปฏิเสธหรือยอมรับ  เมื่อพ่อแม่เห็นลูกของตัวเองมีทีท่าแบบนี้ พวกเขาก็ว่ากล่าวลูกว่า “ลูกเบาปัญญาขนาดนี้ได้ยังไง?  การแข่งขันดุเดือดเหลือเกินในสังคมตอนนี้ แล้วลูกก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรอีก  ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปโรงเรียนอนุบาลเลย!”  เด็กไปโรงเรียนอนุบาลตอนอายุเท่าไร?  เด็กบางคนเริ่มตอนสามหรือสี่ขวบ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  วลีที่กำลังแพร่สะพัดในสังคมตอนนี้ก็คือ คุณไม่อาจยอมให้ลูกแพ้ตั้งแต่ยกแรกได้ การศึกษาควรเริ่มต้นตั้งแต่อายุที่น้อยมาก  ดูเถิดเด็กที่อายุน้อยมากทนทุกข์และเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลตอนสามหรือสี่ขวบ  และโรงเรียนอนุบาลประเภทใดหรือที่ผู้คนเลือก?  ในโรงเรียนอนุบาลธรรมดา บ่อยครั้งที่พวกครูเล่นเกมอย่างเช่น “นกอินทรีกับไก่” กับเด็กๆ ดังนั้นพ่อแม่จึงคิดว่าพวกเขาไม่สามารถเลือกโรงเรียนอนุบาลแบบนั้นได้  พวกเขาเชื่อว่าต้องเลือกโรงเรียนอนุบาลสองภาษาหรูหรา  และในความคิดของพวกเขา การเรียนรู้แค่ภาษาเดียวนั้นไม่เพียงพอ  ตอนที่เด็กยังคงพูดภาษาแม่ได้ไม่ดี พวกเขาก็ต้องเรียนภาษาที่สอง  นี่เป็นการทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับเด็กไม่ใช่หรือ?  แต่พ่อแม่ว่าอย่างไรเล่า?  “พวกเราปล่อยให้ลูกของเราแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้  ตอนนี้มีเด็กอายุขวบเดียวกำลังถูกพี่เลี้ยงเด็กสอนอยู่ที่บ้าน  พ่อแม่เด็กพูดภาษาแม่ของตัวเองและพี่เลี้ยงเด็กพูดภาษาที่สอง สอนภาษาอังกฤษ ภาษาสเปน หรือภาษาโปรตุเกสให้เด็ก  ลูกของเราสี่ขวบแล้ว ค่อนข้างอายุมากไปหน่อย  ถ้าพวกเราไม่เริ่มสอนพวกเขาตอนนี้ก็จะสายเกินไป  พวกเราต้องเริ่มให้การศึกษาพวกเขาแต่เนิ่นๆ ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และหาโรงเรียนอนุบาลที่สอนในสองภาษา ที่พวกครูมีปริญญาตรีและปริญญาโท”  ผู้คนพูดว่า “โรงเรียนประเภทนั้นแพงเกินไป”  พวกเขาตอบว่า “ไม่เป็นไร  พวกเรามีบ้านหลังใหญ่ พวกเราสามารถย้ายไปอยู่หลังเล็กลงได้  พวกเราจะขายบ้านสามห้องนอนของพวกเราและสลับกับบ้านสองห้องนอน  พวกเราจะประหยัดเงินส่วนนั้นไว้ใช้ส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลที่หรูหรา”  การเลือกโรงเรียนอนุบาลที่ดีนั้นไม่พอ พวกเขาคิดว่าต้องมีครูสอนพิเศษมาช่วยลูกของตัวเองเรียนในเวลาว่างเพื่อการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก  ต่อให้ลูกของพวกเขาไม่ชอบการเรียนหนังสือมาแต่กำเนิด พวกเขาก็ยังคงต้องทำ และหากพวกเขาล้มเหลวในการศึกษาวิชานั้น เช่นนั้นพวกเขาก็จะศึกษาการเต้น  หากพวกเขาเต้นไม่เก่ง พวกเขาก็จะเรียนร้องเพลง  หากพวกเขาร้องเพลงไม่เก่งและพ่อแม่ของพวกเขามองเห็นว่าพวกเขามีโครงร่างดี อีกทั้งมีแขนขาที่ยาว เช่นนั้นบางทีพ่อแม่ก็จะคิดว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นนายแบบนางแบบได้  เช่นนั้นพ่อแม่ก็จะส่งพวกเขาไปโรงเรียนศิลปะเพื่อศึกษาการเดินแบบ  เมื่อเป็นแบบนี้ ลูกจึงเริ่มถูกส่งไปโรงเรียนประจำตอนอายุสี่ห้าขวบ และบ้านของครอบครัวของพวกเขาเปลี่ยนจากบ้านสามห้องนอนไปเป็นบ้านสองห้องนอน จากบ้านสองห้องนอนไปเป็นบ้านหนึ่งห้องนอน จากบ้านหนึ่งห้องนอนไปสู่บ้านเช่า  คาบเรียนสอนพิเศษที่ลูกเข้าร่วมนอกโรงเรียนเริ่มเพิ่มปริมาณขึ้นทุกที และบ้านของพวกเขาก็เล็กลงอย่างต่อเนื่อง  มีกระทั่งพ่อแม่บางคนที่ย้ายทั้งครอบครัวไปทางใต้ ไปทางเหนือ ย้ายกลับไปกลับมา เพื่อให้ลูกสามารถไปโรงเรียนดีๆ และสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ ลูกของพวกเขาก็ไม่รู้ว่าบ้านเกิดของตัวเองอยู่ที่ใด และทั้งหมดนั่นเป็นปัญหายุ่งเหยิงใหญ่โต  พ่อแม่จ่ายราคาสารพัดก่อนที่ลูกของตนได้ไปถึงวัยผู้ใหญ่เพื่อเห็นแก่อนาคตของลูก เพื่อที่ลูกของพวกเขาจะไม่แพ้ตั้งแต่ยกแรก และเพื่อให้ลูกของพวกเขาสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกที อีกทั้งมีการงานที่ดีและรายได้ที่มั่นคงในเวลาต่อมา  พ่อแม่บางคนมีความสามารถอย่างมาก พวกเขาดำเนินธุรกิจใหญ่โตหรือไม่ก็ทำหน้าที่ข้าราชการระดับสูง และพวกเขาก็ลงทุนในตัวลูกอย่างสูงมหาศาล  พ่อแม่บางคนไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่ก็ป็นเหมือนผู้คนอื่น พวกเขาต้องการส่งลูกไปโรงเรียนที่หรูหรา ไปชั้นเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนนานาสารพัน ชั้นเรียนเต้นรำ ชั้นเรียนศิลปะ ไปศึกษาภาษาต่างๆ และดนตรี ทำให้ลูกมีแรงกดดันและความเจ็บปวดอย่างมาก  เช่นนั้นลูกของพวกเขาจึงคิดว่า “เมื่อไรหนูจะได้รับอนุญาตให้เล่นบ้างสักนิด?  เมื่อไรหนูถึงจะโตและตัดสินใจได้เหมือนที่พวกผู้ใหญ่ทำ?  เมื่อไรหนูจะไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไปเหมือนพวกผู้ใหญ่?  เมื่อไรหนูจะดูโทรทัศน์ได้สักนิด ปล่อยให้จิตใจของหนูว่างและไปเดินเล่นลำพังที่ไหนสักแห่งโดยไม่มีพ่อแม่ของหนูคอยจูงไปทางนั้นทีทางนี้ที?”  แต่บ่อยครั้งที่พ่อแม่ของพวกเขาพูดว่า “ถ้าลูกไม่เรียน ในอนาคตลูกก็จะต้องไปขอทานสำหรับอาหาร  ดูสิว่าลูกมีหลักประกันน้อยนิดแค่ไหน!  ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะเล่น ลูกเล่นได้ตอนที่โตกว่านี้!  ถ้าลูกเล่นตอนนี้ ลูกจะไม่ประสบความสำเร็จในอนาคต ถ้าลูกเล่นหลังจากนี้ ลูกสามารถมีความสนุกสนานได้มากกว่าและดีกว่า ลูกสามารถเดินทางรอบโลกได้  ลูกไม่เห็นคนร่ำรวยเหล่านั้นในโลกหรือยังไง—ตอนพวกเขาเป็นเด็ก พวกเขาเล่นหรือ?  พวกเขาแค่เรียนหนังสือ”  พ่อแม่ก็แค่โกหกพวกเขา  พ่อแม่เห็นกับตาตัวเองหรือว่าผู้คนที่มั่งมีเหล่านั้นแค่เล่าเรียนและไม่เคยเล่นเลย?  พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  คนรวยและมั่งมีที่สุดบางคนในโลกไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย—นั่นคือข้อเท็จจริง  บางครั้งตอนที่พ่อแม่พูด พวกเขากำลังใช้เล่ห์กลกับลูก  ก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่พูดคำโกหกทุกชนิดเพื่อที่จะได้มาซึ่งอนาคตที่ดีกว่าของพวกเขา อีกทั้งควบคุมลูกของตัวเองและทำให้พวกเขาเชื่อฟัง  แน่นอนว่าพวกเขาสู้ทนความทุกข์ทุกชนิดและจ่ายราคาทุกประเภทเพื่อการนี้ด้วยเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ความรักของพ่อแม่อันควรค่าแก่การสรรเสริญ”

เพื่อที่จะทำให้ความคาดหวังสำหรับเชื้อสายของตนเป็นจริง พ่อแม่จึงฝากความหวังมากมายไปที่ลูกของตน  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่เพียงให้การศึกษา แนะนำ และใช้คำพูดของตัวเองครอบงำลูก ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ใช้การกระทำที่เป็นรูปธรรมในการตั้งข้อบังคับกับลูกของตน เพื่อให้ลูกเชื่อฟังตน ปฏิบัติตัวและดำเนินชีวิตไปตามวิถีโคจรที่พวกเขาระบุเฉพาะไว้และทิศทางที่พวกเขาได้ตั้งไว้  ไม่สำคัญว่าลูกของพวกเขาเต็มใจที่จะทำสิ่งนี้หรือไม่ สุดท้ายแล้วพ่อแม่ก็แค่พูดอย่างเดียวว่า “ถ้าแกไม่ฟังฉัน แกจะต้องเสียใจ!  ถ้าแกไม่เชื่อฟังฉัน หรือเรียนหนังสืออย่างจริงจังตอนนี้ แล้ววันหนึ่งแกรู้สึกเสียดาย ก็อย่ามาหาฉัน อย่าพูดว่าฉันไม่ได้บอกแกเรื่องนี้!”  ครั้งหนึ่ง พวกเราไปที่อาคารแห่งหนึ่งเพื่อทำกิจธุระอย่างหนึ่ง และได้เห็นพวกคนขนย้ายกำลังสละความพยายามมากมายที่จะย้ายเครื่องเรือนบางชิ้นขึ้นไปชั้นบน  พวกเขาเจอกับแม่ที่กำลังเดินนำลูกชายลงบันไดมา  หากบุคคลปกติเห็นฉากเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงพูดว่า “มีคนกำลังขนเฟอร์นิเจอร์ เราหลีกทางให้พวกเขากันเถอะลูก”  คนที่กำลังลงบันไดคงต้องรีบหลีกทางโดยไม่กระทบกระแทกเข้ากับบางสิ่งหรือทำให้พวกคนขนย้ายต้องยุ่งยาก  แต่เมื่อแม่คนนั้นเห็นฉากเหตุการณ์นี้ เธอถือโอกาสเริ่มปฏิบัติการสอนเชิงสถานการณ์บางอย่าง  เรายังจำสิ่งที่เธอพูดได้อย่างชัดเจนมาก  เธอพูดอะไรนะหรือ?  เธอพูดว่า “ดูสิ่งที่พวกเขากำลังขนย้ายสิว่าหนักแค่ไหน และนั่นน่าเหนื่อยแค่ไหน  พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสืออย่างจริงจังตอนที่พวกเขาเป็นเด็ก แล้วตอนนี้พวกเขาก็หางานที่ดีไม่ได้ พวกเขาเลยต้องขนย้ายของและทำงานหนักมาก  ลูกเห็นไหม?”  ลูกชายดูเหมือนเข้าใจบางส่วน และเชื่อว่าที่แม่ของเขาพูดนั้นถูกต้องแล้ว  การแสดงความเกรงกลัวออกมาจากใจจริง ความพรั่นพรึง และความเชื่อปรากฏอยู่ในดวงตาของเขาและเขาก็พยักหน้ามองไปที่พวกคนขนย้ายอีกครั้ง  ผู้เป็นแม่ฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้รีบอบรมสั่งสอนลูกชายของเธอโดยบอกเขาว่า “ลูกเห็นใช่ไหม?  ถ้าลูกไม่ตั้งใจเรียนตอนเป็นเด็ก พอลูกโตขึ้น ลูกก็จะต้องมาขนเฟอร์นิเจอร์และทำงานหนักมากอย่างนี้เพื่อเลี้ยงชีพ”  คำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  คำกล่าวเหล่านี้ผิดอย่างไร?  แม่คนนี้ถือโอกาสใดก็ตามเพื่ออบรมสั่งสอนลูกชายของตน—เจ้าคิดว่าลูกชายของเธอมีกรอบแนวคิดอย่างไรหลังจากได้ยินแบบนี้?  เขาได้สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าคำกล่าวเหล่านี้ถูกหรือผิดหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเขาคิดอะไร?  (“ถ้าฉันไม่ตั้งใจเรียน ฉันจะต้องทำงานหนักมากแบบนี้ในอนาคต”)  เขาคิดว่า “โอ ไม่นะ ทุกคนที่ต้องทำงานหนักไม่ได้ตั้งใจเรียน  ฉันต้องฟังแม่และเรียนให้ดี  แม่พูดถูก ทุกคนที่ไม่ตั้งใจเรียนต้องทำงานหนักมาก”  แนวคิดที่เขารับมาจากแม่ของเขากลายเป็นความจริงตราบชั่วชีวิตในหัวใจของเขา  จงบอกเราที แม่คนนี้โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่ เธอโง่เขลา)  เธอโง่เขลาอย่างไร?  หากเธอใช้เรื่องนี้มากล่อมให้ลูกชายเรียนหนังสือ ลูกชายของเธอจะพัฒนาไปเป็นบางสิ่งหรือไม่?  นั่นรับประกันว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องทำงานหนักมากหรืออาบเหงื่อในอนาคตหรือ?  นั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือที่เธอใช้เรื่องนี้ ฉากเหตุการณ์นี้มาทำให้ลูกชายของเธอหวาดหวั่น?  (เป็นสิ่งที่ไม่ดี)  นั่นจะสยายเงาครอบงำลูกชายของเธอแบบชั่วชีวิต  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี  ต่อให้เด็กคนนี้ได้รับวิจารณญาณเล็กน้อยเกี่ยวกับคำพูดเหล่านี้หลังจากที่เขาโตขึ้น นั่นก็ยังคงยากลำบากที่จะขจัดทฤษฎีนี้ที่แม่ของเขาแสดงไว้ออกจากหัวใจของเขาและจากจิตใต้สำนึกของเขา  ทฤษฎีนี้จะพันธนาการและชักพาความคิดของเขาให้หลงผิดและกำหนดทิศทางของทัศนะที่เขามีต่อสิ่งทั้งหลายที่ระดับหนึ่ง  ความคาดหวังส่วนใหญ่ที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ก็คือว่าพวกเขาจะสามารถเล่าเรียนให้มาก พยายามให้มาก ขยันขันแข็งและไม่คลาดไปจากความคาดหวังของพวกเขา  เพราะฉะนั้นก่อนที่ลูกของพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไร พ่อแม่ก็ทำทุกสิ่งเพื่อลูกของตน พวกเขาพลีอุทิศความอ่อนเยาว์ ขวบปี และเวลาของตน ตลอดจนสุขภาพส่วนตัวและชีวิตปกติของพวกเขาเอง และพ่อแม่บางคนถึงกับล้มเลิกการงานของตัวเอง ความใฝ่ฝันเดิมของตัวเอง หรือแม้แต่ความเชื่อเดิมของตัวเองเพื่อที่จะฝึกฝนลูกของตน หรือช่วยลูกเรียนหนังสือในขณะที่ลูกกำลังเข้าโรงเรียน  มีผู้คนในคริสตจักรหลายคนทีเดียวที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับลูกของตัวเอง ฝึกฝนลูกให้สามารถอยู่เคียงข้างตัวเองได้เมื่อลูกเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ เพื่อให้ลูกของพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตนและมีการงานที่มั่นคงในอนาคต และเพื่อที่สิ่งทั้งหลายจะเป็นไปอย่างราบรื่นในงานของลูก  พ่อแม่เหล่านี้ไม่ไปในการชุมนุมหรือปฏิบัติหน้าที่  พวกเขามีข้อเรียกร้องบางอย่างที่เกี่ยวกับความเชื่อของตัวเองในหัวใจ และพวกเขาก็มีความแน่วแน่และความใฝ่ฝันนิดหน่อย แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อลูกของตนได้ พวกเขาจึงลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนลูกในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ โดยละทิ้งหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างและการไล่ตามเสาะหาของตัวเองในแง่ของความเชื่อ  นี่คือสิ่งที่น่าเศร้าสลดที่สุด  พ่อแม่บางคนจ่ายราคามากมายเพื่อฝึกฝนลูกของตนให้กลายเป็นดารา ศิลปิน นักเขียน หรือนักวิทยาศาสตร์ และเพื่อทำให้ลูกของพวกเขาสามารถสนองความคาดหวังของพวกเขาได้  พ่อแม่ทิ้งการงานของตัวเอง ละทิ้งอาชีพการงาน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาละทิ้งความฝันและความสุขสำราญของตัวเองเพื่อที่จะอยู่เป็นเพื่อนลูก  มีกระทั่งพ่อแม่ที่เลิกล้มชีวิตสมรสเพื่อลูกของตน  หลังจากที่พวกเขาหย่ากัน พวกเขาก็เข้ารับเอาภาระหนักของการฟูมฟักและฝึกฝนลูกของตนลำพัง ฝากฝังชีวิตของตนไว้ที่ลูก และทุ่มเทอุทิศชีวิตของตนให้กับอนาคตของลูก เพื่อให้พวกเขาสามารถทำให้ความคาดหวังที่ตนฝากไว้กับลูกเป็นจริงขึ้นมา  มีพ่อแม่บางคนด้วยเช่นกันที่ทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ตนไม่ควรทำ จ่ายราคาที่ไม่จำเป็นมากมาย สละอุทิศเวลา สุขภาพกาย และการไล่ตามเสาะหาของตนก่อนที่ลูกของพวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่  เพื่อให้ลูกของพวกเขาสามารถเจริญก้าวหน้าในโลกได้ในอนาคต และตั้งตัวขึ้นในสังคม  ในแง่หนึ่งสำหรับพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้เป็นการพลีอุทิศที่ไม่จำเป็นบางส่วน  ในอีกแง่หนึ่งสำหรับลูก การเข้าหาเหล่านี้ใส่แรงกดดันและภาระอันมหาศาลให้กับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่  นี่เป็นเพราะพ่อแม่ของพวกเขาได้จ่ายราคาไปมากเกินไป เพราะพ่อแม่ของพวกเขาได้สละไปมากเกินไปไม่ว่าในแง่ของเงิน เวลา หรือพลังงาน  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เด็กเหล่านี้จะไปถึงวัยผู้ใหญ่ และในขณะที่พวกเขายังคงขาดความสามารถที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะถูกหรือผิด พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงยอมให้พ่อแม่กระทำแบบนี้  ต่อให้พวกเขามีความคิดบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงคล้อยตามการกระทำของพ่อแม่  ภายใต้สภาพการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ลูกเริ่มคิดโดยไม่รู้ตัวว่าพ่อแม่ของตัวเองได้จ่ายราคาไปมหาศาลเพื่อฝึกฝนพวกเขา และตัวเองจะไม่สามารถจ่ายคืนหรือชดใช้คืนให้กับพ่อแม่ได้ครบถ้วนในชีวิตนี้  ผลลัพธ์ก็คือระหว่างช่วงเวลาที่พ่อแม่ของพวกเขากำลังฝึกฝนและอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา พวกเขาคิดว่าสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถดำเนินการเพื่อจ่ายคืนให้กับพ่อแม่ของตัวเองก็คือการทำให้พ่อแม่มีความสุข สัมฤทธิ์ผลในสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่เพื่อให้พ่อแม่พึงพอใจ อีกทั้งไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง  ในส่วนของพ่อแม่นั้น ระหว่างช่วงเวลาก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ หลังจากที่พวกเขาได้จ่ายราคาเหล่านี้ไป และเมื่อความคาดหวังของพวกเขาที่มีต่อลูกเริ่มยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที กรอบแนวคิดของพวกเขาค่อยๆ แปรไปเป็นข้อเรียกร้องต่อลูกของตน  นั่นก็คือ หลังจากที่พ่อแม่ได้จ่ายสิ่งที่เรียกว่าราคาเหล่านี้และได้ทำสิ่งที่เรียกว่าการสละเหล่านี้ พวกเขาก็เรียกร้องให้ลูกของตนต้องประสบความสำเร็จ สัมฤทธิ์สิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อจ่ายคืนให้พ่อแม่  เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าพวกเรากำลังมองการนี้จากมุมมองของพ่อแม่หรือลูก ภายในสัมพันธภาพนี้ของการ “สละให้” และ “การได้รับการสละให้” ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก็เริ่มสูงขึ้นทุกที  “ความคาดหวังที่พวกเขามีต่อลูกเริ่มสูงขึ้นทุกที” เป็นการพูดเรื่องนี้ในแบบที่น่าฟัง  อันที่จริงแล้ว ในส่วนลึกของหัวใจพ่อแม่ ยิ่งพวกเขาสละและพลีอุทิศมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าลูกควรจ่ายคืนให้พวกเขาด้วยความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น และในเวลาเดียวกัน ยิ่งพวกเขาคิดว่าลูกของตัวเองติดหนี้พวกเขา  ยิ่งพ่อแม่สละมากเท่าไรและยิ่งพวกเขามีความหวังมากขึ้นเท่าไร ความคาดหวังของพวกเขาก็กลายเป็นสูงขึ้นเท่านั้น และความคาดหวังของพวกเขาในเรื่องที่ลูกจะจ่ายคืนให้ตนก็เติบโตมากขึ้นเท่านั้น  ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่เริ่มจาก “พวกเขาต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้” ไปจนถึง “หลังจากที่พวกเขาโตขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเจริญก้าวหน้าไปในโลกและตั้งตัวขึ้นมาในสังคม” ค่อยๆ กลายเป็นข้อเรียกร้องประเภทหนึ่งที่พวกเขามีต่อลูกของตน  ข้อเรียกร้องนั้นก็คือ หลังจากที่เจ้าโตขึ้นและตั้งตัวขึ้นมาในสังคมแล้ว จงอย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง จงอย่าลืมพ่อแม่ พ่อแม่ของเจ้าคือคนที่เจ้าต้องจ่ายคืนให้เป็นอันดับแรก เจ้าต้องแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา และช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดี เพราะพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณของเจ้าในโลกนี้ พวกเขาเป็นคนที่ฝึกฝนเจ้า การที่เจ้าตั้งตัวในสังคมได้ในตอนนี้ ตลอดจนทุกสิ่งที่เจ้าชื่นชมยินดีและทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีนั้นซื้อมาด้วยความพยายามอันอุตสาหะของพ่อแม่ ดังนั้นเจ้าควรใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าจ่ายคืนให้กับพวกเขา ชดใช้คืนให้กับพวกเขา และดีต่อพวกเขา  ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่—ที่พวกเขาจะตั้งตัวขึ้นในสังคมและก้าวหน้าไปในโลก—ค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นสิ่งนี้ โดยเปลี่ยนจากความคาดหวังของพ่อแม่ที่ปกติมากไปเป็นข้อเรียกร้องและการร้องขอประเภทหนึ่งที่พ่อแม่มีต่อลูกของตน  สมมุติว่าในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาไปถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกของพวกเขาไม่ได้ระดับคะแนนที่ดี สมมุติว่าลูกขัดขืน ลูกไม่ต้องการเล่าเรียนหรือเชื่อฟังพ่อแม่ของตน และพวกเขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่  พ่อแม่ก็จะพูดว่า “แกคิดว่าฉันได้อะไรมาง่ายๆ หรือ?  แกคิดว่าฉันกำลังทำทุกอย่างนี้เพื่อใคร?  ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่อให้ตัวแกเองได้ดีไม่ใช่หรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อแก แล้วแกก็ไม่ซาบซึ้ง  แกเบาปัญญาหรือยังไง?”  พวกเขาจะใช้คำพูดเหล่านี้ขู่เข็ญลูกของตัวเองและยึดลูกเป็นตัวประกัน  แนวทางแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นั่นไม่ถูกต้อง  ส่วนที่ “สูงส่ง” ของพ่อแม่ก็คือส่วนที่น่าดูหมิ่นของพ่อแม่เช่นกัน  คำพูดเหล่านี้ผิดอะไรกันแน่?  (การที่พ่อแม่มีความคาดหวังต่อลูกและฝึกฝนลูกของตนนั้นเป็นความมานะพยายามแต่ฝ่ายเดียว  พวกเขาบังคับใช้แรงกดดันบางอย่างต่อลูกของตัวเอง ให้ลูกเรียนนี่เรียนนั่น เพื่อที่ลูกของตัวเองจะมีโอกาสในอนาคตที่ดี นำเกียรติยศมาประดับให้พ่อแม่และแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ในอนาคต  ในความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำนั้นก็เพื่อตัวเอง)  หากพวกเราละข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่ทำเพื่อตัวเองและเห็นแก่ตัวไว้ก่อน และแค่พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดที่พวกเขาใช้ฝังหัวลูกของตัวเองก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่กับแรงกดดันที่พวกเขาส่งต่อไปยังลูกโดยการเรียกร้องให้ลูกเรียนวิชานี่นั่น ให้ลูกทำอาชีพการงานนี่นั่นหลังจากโตขึ้น แล้วบรรลุความสำเร็จนี่นั่น—แนวทางเหล่านี้มีธรรมชาติเช่นไร?  สำหรับตอนนี้ พวกเราจะไม่ประเมินว่าเหตุใดพ่อแม่จึงกำลังทำสิ่งเหล่านี้ หรือว่าแนวทางเหล่านี้เหมาะควรหรือไม่  ก่อนอื่นพวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละธรรมชาติของแนวทางเหล่านี้ และค้นหาเส้นทางการปฏิบัติที่แม่นยำกว่านี้บนพื้นฐานของการที่พวกเราชำแหละแก่นแท้ของการเข้าหาเหล่านี้  หากพวกเราสามัคคีธรรมกันต่อและมาเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงจากมุมมองนั้น นั่นจึงจะแม่นยำ

ก่อนอื่น ข้อพึงประสงค์และแนวทางเหล่านี้ที่พ่อแม่มีเกี่ยวกับลูกของตนนั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  ดังนั้นสุดท้ายแล้วเมื่อเป็นเรื่องของแนวทางเหล่านี้ที่พ่อแม่ใช้กับลูกของตัวเอง ตัวการหลักมีต้นตอมาจากที่ใดหรือ?  ไม่ใช่ความคาดหวังทั้งหลายที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนหรอกหรือ?  (ใช่)  ภายในจิตสำนึกที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่ พวกเขาวาดมโนภาพ วางแผน และกำหนดสิ่งต่างๆ สารพัดเกี่ยวกับอนาคตของลูกของตน และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาสร้างความคาดหวังเหล่านี้ขึ้นมา  ภายใต้การปลุกปั่นของความคาดหวังเหล่านี้ พ่อแม่เรียกร้องให้ลูกของตนเล่าเรียนทักษะสารพัด ให้ลูกเรียนการละครและเต้นรำ หรือศิลปะ เป็นต้น  พวกเขาเรียกร้องให้ลูกกลายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ และให้พวกเขาเป็นผู้บังคับบัญชาและไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาในภายภาคหน้า  พวกเขาเรียกร้องให้ลูกของตัวเองกลายเป็นข้าราชการระดับสูงและไม่ใช่พวกทหารปลายแถว พวกเขาเรียกร้องให้ลูกกลายเป็นผู้จัดการ ประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูง ทำงานให้กับบริษัทชั้นนำติดหนึ่งใน 500 ของโลก เป็นต้น  เหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่  ทีนี้ ลูกมีแนวความคิดใดหรือไม่เกี่ยวกับสาระของความคาดหวังของพ่อแม่ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่?  (ไม่มี)  ลูกไม่มีแนวความคิดใดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย  อะไรคือสิ่งที่เด็กน้อยทั้งหลายเข้าใจ?  พวกเขาเข้าใจเพียงการไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ที่จะอ่าน การขยันเรียน และการเป็นเด็กดีที่ประพฤติดี  โดยลำพังแล้ว สิ่งนี้ค่อนข้างดี  การไปเข้าชั้นเรียนที่โรงเรียนตามตารางเวลาที่กำหนด และการกลับบ้านเพื่อทำการบ้านให้เสร็จ—เหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กทั้งหลายเข้าใจ ที่เหลือก็แค่การเล่น อาหาร จินตนาการ ความฝัน เป็นต้น  ก่อนพวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทั้งหลายไม่มีแนวความคิดเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้บนเส้นทางชีวิตของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่วาดมโนภาพสิ่งใดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน  พ่อแม่เป็นผู้วาดมโนภาพและกำหนดสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเวลาหลังจากที่เด็กเหล่านี้โตเป็นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ความคาดหวังอันผิดพลาดที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นไม่ใช่เรื่องของลูกของพวกเขาเลย  ลูกเพียงจำเป็นต้องหยั่งรู้แก่นแท้ของความคาดหวังของพ่อแม่ของพวกเขา  ความคาดหวังเหล่านี้ของพ่อแม่มีพื้นฐานอยู่บนอะไร?  ความคาดหวังเหล่านี้มาจากไหน?  ความคาดหวังเหล่านี้มาจากสังคมและโลก  จุดประสงค์ของความคาดหวังจากทางพ่อแม่เหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อทำให้ลูกสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและโลกนี้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโลกหรือสังคมกำจัดออกไป และเพื่อตั้งตัวในสังคม เพื่อให้ได้การงานที่มั่นคง ครอบครัวที่มีเสถียรภาพ และอนาคตที่แน่นอน ดังนั้นพ่อแม่จึงมีความคาดหวังที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งนานัปการต่อลูกหลานของตัวเอง  ตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้การเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ค่อนข้างเป็นที่นิยม  คนบางคนพูดว่า “ลูกของฉันจะเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ในอนาคต  พวกเขาสามารถหาเงินได้มากมายในสาขานี้โดยการหอบคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่ตลอดทั้งวันเพื่อทำวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  นี่จะทำให้ฉันพลอยดูดีไปด้วย!”  ในสภาพการณ์เหล่านี้ที่เด็กทั้งหลายไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับสิ่งใดเลย พ่อแม่ของพวกเขาจึงจัดวางอนาคตของพวกเขา  นี่เป็นเรื่องที่ผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่ของพวกเขากำลังฝากความหวังไว้กับลูกของตนบนพื้นฐานของหนทางในการมองสิ่งทั้งหลายของผู้ใหญ่คนหนึ่งล้วนๆ รวมไปถึงทัศนะ มุมมองและการเลือกชอบของผู้ใหญ่คนหนึ่งมีต่อเรื่องทั้งหลายบนโลก  นี่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าจะพูดให้ฟังดูดี เจ้าสามารถพูดได้ว่านั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่จริงๆ แล้วนั่นคืออะไร?  การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ตีความอีกอย่างได้ว่าอะไร?  นั่นคือความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการบีบบังคับไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าชอบการงานนี้นั้นและอาชีพการงานนี่นั่น เจ้าชื่นชมยินดีกับกับการเป็นที่ยอมรับ การใช้ชีวิตอันน่าหลงใหล การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการ หรือการมั่งมีอยู่ในสังคม เจ้าจึงให้ลูกของเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นด้วย เป็นคนประเภทนั้นด้วย และเดินตามเส้นทางแบบนั้น—แต่พวกเขาจะชื่นชมยินดีกับการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นและการเข้าทำงานนั้นในอนาคตหรือไม่?  พวกเขาเหมาะกับสิ่งนั้นหรือ?  โชคชะตาของพวกเขาคืออะไร?  การจัดการเตรียมการและการปกครองของพระเจ้าที่เกี่ยวกับพวกเขาคืออะไร?  เจ้ารู้สิ่งเหล่านี้หรือไม่?  คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือสิ่งทั้งหลายที่ฉันในฐานะพ่อแม่ของพวกเขาชอบ  ฉันจะฝากความหวังไว้ที่พวกเขาบนพื้นฐานของการเลือกชอบของตัวฉันเอง”  นั่นเห็นแก่ตัวมากไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!  พูดให้ฟังดูดีได้ว่า นั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง นั่นเป็นการฟันธงไปเองทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นคืออะไร?  นั่นเห็นแก่ตัวอย่างมาก!  พ่อแม่พวกนี้ไม่คำนึงถึงขีดความสามารถหรือพรสวรรค์ของลูก พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการที่พระเจ้ามีสำหรับโชคชะตาและชีวิตของบุคคลแต่ละคน  พวกเขาไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็แค่บังคับให้ลูกรับเอาการเลือกชอบ เจตนารมณ์ และแผนการของตัวพวกเขาเองโดยผ่านทางการคิดแบบมุ่งหวัง  คนบางคนพูดว่า “ฉันจำต้องยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ให้กับลูก  พวกเขาเป็นเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และพอถึงเวลาที่พวกเขาเข้าใจ นั่นก็จะสายเกินไป”  นั่นจริงหรือไม่?  (ไม่จริง)  หากนั่นสายเกินไปจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นชะตากรรมของพวกเขา ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพ่อแม่  หากเจ้ายัดเยียดสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจให้กับลูก พวกเขาก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นเร็วขึ้นแค่เพราะเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีสัมพันธภาพระหว่างวิธีที่พ่อแม่ให้การศึกษาลูกของตน กับเวลาที่เด็กเหล่านั้นมาเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างเช่น ควรเลือกเส้นทางชีวิตแบบใด ควรเลือกอาชีพการงานแบบใด และชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร  พวกเขามีเส้นทางของตัวเอง ย่างก้าวของตัวเอง และกฎของตัวเอง  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เด็กยังเล็ก ไม่ว่าพ่อแม่ให้การศึกษาพวกเขาอย่างไร ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับสังคมก็ว่างเปล่าแบบสิ้นเชิง  พวกเขาจะรู้สึกถึงความเต็มไปด้วยการแข่งขัน ความสลับซับซ้อน และความมืดมิดของสังคม อีกทั้งสิ่งที่ไม่เป็นธรรมนานัปการในสังคมก็ต่อเมื่อความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นผู้ใหญ่  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พ่อแม่สามารถสอนลูกตั้งแต่วัยเยาว์ได้  ต่อให้พ่อแม่สอนลูกนับจากวัยเยาว์ว่า “ลูกต้องเก็บซ่อนบางสิ่งไว้เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน” ลูกก็จะรับไว้ในฐานะคำสอนประเภทหนึ่งเท่านั้น  พวกเขาจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนบนพื้นฐานของการแนะแนวของพ่อแม่อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจการแนะแนวเหล่านั้นอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น  เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจการแนะแนวของพ่อแม่ ไม่ว่าพ่อแม่พยายามสอนพวกเขาอย่างไร นั่นก็ยังคงเป็นแค่คำสอนประเภทหนึ่งสำหรับพวกเขา  เพราะฉะนั้นแนวคิดที่พ่อแม่มีว่า “โลกช่างเต็มไปด้วยการแข่งขัน และผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล หากฉันไม่เริ่มสอนลูกของฉันตั้งแต่ยังเล็กมาก พวกเขาก็จะต้องสู้ทนความทุกข์และความเจ็บปวดในภายภาคหน้า” นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่)  เจ้ากำลังทำให้ลูกแบกแรงกดดันไว้บนบ่าก่อนเวลาอันควร เพื่อที่ในภายภาคหน้า พวกเขาอาจจะทนทุกข์น้อยกว่า และพวกเขาจำต้องแบกแรงกดดันนั้นโดยเริ่มจากอายุที่พวกเขายังคงไม่เข้าใจสิ่งใดเลย—ในการทำเช่นนี้ เจ้ากำลังทำอันตรายลูกอยู่ไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำเช่นนี้เพื่อเป็นการดีต่อตัวพวกเขาเองจริงหรือ?  ให้พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ยังดีเสียกว่า เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถดำรงชีวิตอยู่ในหนทางที่สุขสบาย มีความสุข ผ่องแผ้วและเรียบง่ายสักสองสามปี  หากพวกเขาจะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านั้นก่อนเวลา นั่นจะเป็นพรหรือโชคร้าย?  (นั่นจะเป็นโชคร้าย)  ใช่ นั่นจะเป็นโชคร้าย

สิ่งที่ผู้คนควรทำในแต่ละกลุ่มอายุนั้นขึ้นอยู่กับอายุและความเป็นผู้ใหญ่ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่ใช่การศึกษาที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่  ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทั้งหลายควรแค่เล่น เรียนรู้ความรู้ที่เรียบง่ายสักเล็กน้อยและรับการศึกษาในโรงเรียนขั้นพื้นฐานเล็กน้อย เรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกันไป เรียนรู้วิธีที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นและวิธีที่จะเข้ากันได้กับผู้ใหญ่ รวมถึงเรียนรู้วิธีจัดการกับบางสิ่งบางอย่างรอบตัวเองที่พวกเขาไม่เข้าใจ  ก่อนที่ผู้คนจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ควรทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่  พวกเขาไม่ควรแบกแรงกดดัน กฎเกณฑ์กติกา หรือสิ่งซับซ้อนอันใดที่ผู้ใหญ่พึงต้องแบก  สิ่งทั้งหลายดังกล่าวส่งผลเสียต่อจิตใจของผู้คนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พร  ยิ่งผู้คนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของผู้ใหญ่เหล่านี้ก่อนเวลาอันควรมากขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบที่สิ่งนี้มีต่อจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขาก็ใหญ่โตขึ้นเท่านั้น  สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยผู้คนในชีวิตหรือการดำรงอยู่ของพวกเขาหลังจากไปถึงวัยผู้ใหญ่เท่านั้น ในทางตรงข้าม เพราะพวกเขาเผชิญและเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก่อนเวลาอันควรเกินไป สิ่งเหล่านี้จึงแปรไปเป็นภาระประเภทหนึ่งหรือแผ่เงื้อมเงาที่มองไม่เห็นไปบนจิตใจที่อ่อนเยาว์ของพวกเขา จนถึงขั้นที่สิ่งเหล่านั้นอาจจะหลอกหลอนพวกเขาไปจนตลอดชีวิต  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเถิด ตอนที่ผู้คนยังเยาว์วัยมาก หากพวกเขาได้ยินบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึง บางสิ่งซึ่งพวกเขาไม่สามารถยอมรับ เรื่องของผู้ใหญ่ที่พวกเขาไม่มีวันจินตนาการหรือเข้าใจได้ เช่นนั้นฉากนั้นหรือเรื่องนั้น หรือแม้แต่ผู้คน สิ่งทั้งหลาย และคำพูดทั้งหลายที่เกี่ยวข้องอยู่ในนั้นก็จะติดตามไปจนตลอดชีวิตของพวกเขา  นี่จะแผ่เงื้อมเงาประเภทหนึ่งลงบนตัวพวกเขา ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพของพวกเขาและวิธีการสำหรับการประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เด็กทั้งหลายล้วนซุกซนนิดหน่อยที่อายุหกหรือเจ็ดขวบ  สมมุติว่าเด็กคนหนึ่งถูกครูดุว่าในระหว่างชั้นเรียนเพราะการซุบซิบกับเพื่อนร่วมห้อง และครูคนนั้นไม่ได้แค่ดุว่าพวกเขาไปตามข้อเท็จจริง แต่ยังโจมตีพวกเขาในส่วนบุคคล ดุว่าพวกเขามีใบหน้าเหมือนพังพอนและดวงตาเหมือนหนู ถึงกับดุว่าพวกเขาด้วยการพูดว่า “ดูสิว่าเธอคาดหวังความสำเร็จได้น้อยแค่ไหน  เธอจะไม่ประสบความสำเร็จไปตลอดชีวิตของเธอเลย!  ถ้าเธอไม่ขยันเรียน เช่นนั้นเธอก็จะเป็นแค่คนลงแรง  ในอนาคตเธอจะต้องขอข้าวเขากิน!  เธอดูเหมือนขโมยเลยเธอจะโตไปเป็นขโมย!”  แม้ว่าเด็กคนนั้นไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้ และไม่รู้ว่าเหตุใดครูของพวกเขาจึงพูดสิ่งเหล่านี้ หรือว่าสิ่งเหล่านี้จริงแท้หรือไม่ คำพูดเหล่านี้ที่เป็นการโจมตีตัวบุคคลก็จะกลายเป็นกำลังบังคับชั่วที่มองไม่เห็นภายในหัวใจของพวกเขา ทิ่มแทงความเคารพในตนเองของพวกเขาและทำร้ายพวกเขา “หน้าเธอเหมือนพังพอน และตาก็เหมือนหนู หนำซ้ำหัวก็เล็กนิดเดียว!”—คำพูดโจมตีตัวบุคคลเหล่านี้ที่ครูพูดไว้จะติดตามพวกเขาไปชั่วชีวิต  ยามที่พวกเขาเลือกอาชีพการงาน ยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงานของพวกเขา และยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับพี่น้องชายหญิง คำพูดโจมตีตัวบุคคลเหล่านั้นที่ครูพูดไว้จะปะทุออกมาเป็นระยะๆ ส่งผลต่อภาวะอารมณ์และชีวิตของพวกเขา  แน่นอนว่าความคาดหวังอันไม่ถูกควรบางอย่างที่พ่อแม่ของเจ้ามีต่อเจ้า และภาวะอารมณ์ ข่าวสาร คำพูด ความคิด ทัศนะบางอย่าง และอื่นๆ ที่พวกเขาส่งต่อมาให้เจ้าก็แผ่เงื้อมเงาครอบคลุมจิตใจอันเยาว์วัยของเจ้าเช่นกัน  จากมุมมองของจิตสำนึกที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่ของเจ้า พวกเขาไม่ได้มีเจตนารมณ์ไม่ดีอันใด แต่เพราะความไม่รู้ความของพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นเหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทราม อีกทั้งพวกเขาไม่มีวิธีการอันถูกควรซึ่งตรงกับหลักธรรมสำหรับวิธีที่จะปฏิบัติต่อเจ้า พวกเขาเพียงสามารถติดตามกระแสนิยมของโลกในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้า และผลลัพธ์สุดท้ายของการนี้ก็คือว่าพวกเขาส่งต่อข่าวสารและภาวะอารมณ์อันเป็นลบนานาสารพันมายังเจ้า  ภายใต้สภาพการณ์ที่เจ้าขาดวิจารณญาณใดๆ นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ของเจ้าพูด รวมทั้งแนวคิดอันผิดพลาดทั้งหมดที่พ่อแม่ของเจ้าส่งเสริมและฝังคำสอนในตัวเจ้าย่อมกลายมาเป็นครอบงำในใจเจ้าเพราะเจ้าสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นก่อนสิ่งอื่นใด  สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นเป้าหมายของการไล่ตามไขว่คว้าและการดิ้นรนตลอดชีวิตของเจ้า  แม้ความคาดหวังนานัปการที่พ่อแม่นำมาเสนอให้เจ้าก่อนที่เจ้าไปถึงวัยผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องน่าตกใจและความแหลกลาญประเภทหนึ่งสำหรับจิตใจอันเยาว์วัยของเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ความคาดหวังของพ่อแม่ รวมทั้งภายใต้ราคาสารพันที่พวกเขาจ่ายเพื่อเจ้า โดยเข้าใจเจตจำนงของพวกเขา อีกทั้งยอมรับและขอบคุณสำหรับการกระทำที่ใจดีมีเมตตานานัปการของพวกเขา  หลังจากที่เจ้ายอมรับราคาสารพัดที่พวกเขาจ่ายและการพลีอุทิศสารพัดที่พวกเขาทำเพื่อเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกเป็นหนี้พ่อแม่ของเจ้า และในส่วนลึกของหัวใจก็รู้สึกละอายยามเผชิญหน้ากับพวกเขา และเจ้าก็คิดว่าเจ้าจำต้องจ่ายคืนให้กับพวกเขาหลังจากที่เจ้าเติบโตขึ้น  จ่ายคืนอะไรหรือ?  จ่ายคืนความคาดหวังอันไร้เหตุผลที่พวกเขามีต่อเจ้านะหรือ?  จ่ายคืนความแหลกลาญที่พวกเขาก่อให้เกิดกับเจ้าก่อนที่เจ้าจะไปถึงวัยผู้ใหญ่นะหรือ?  นี่เป็นการสับสนระหว่างดำกับขาวไม่ใช่หรือ?  อันที่จริงเมื่อพูดเรื่องนี้จากรากเหง้าและแก่นแท้ของเรื่อง ความคาดหวังทั้งหลายที่พ่อแม่มีต่อเจ้านั้นก็แค่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ความคาดหวังเหล่านั้นเป็นแค่การคิดแบบมุ่งหวัง  สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งทั้งหลายที่เด็กคนหนึ่งควรมี ปฏิบัติ หรือใช้ชีวิตตามโดยสิ้นเชิง อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่บางสิ่งเด็กคนหนึ่งจำเป็นต้องมี  เพื่อที่จะติดตามกระแสนิยมของโลก เพื่อปรับตัวเข้ากับโลก เพื่อตามให้ทันความก้าวหน้าของโลก พ่อแม่ของเจ้าให้เจ้าทำตามพวกเขา พ่อแม่ให้เจ้าแบกรับแรงกดดันอย่างที่พวกเขาทำ อีกทั้งพ่อแม่ก็ทำให้เจ้ายอมรับและติดตามกระแสนิยมชั่วเหล่านี้  เพราะฉะนั้นภายใต้ความคาดหวังอันร้อนแรงของพ่อแม่ของพวกเขา เด็กมากมายทุ่มเทในการเล่าเรียนทักษะนานาสารพัน สารพัดหลักสูตร และความรู้สารพัดประเภท  พวกเขาเริ่มจากการพยายามสนองความคาดหวังของพ่อแม่ของตนไปสู่การไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายที่ตั้งใจตามความคาดหวังของพ่อแม่อย่างแข็งขัน  พูดอีกอย่างก็คือ ก่อนที่ผู้คนจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ พวกเขายอมรับความคาดหวังของพ่อแม่ของตนอย่างนิ่งเฉย และหลังจากที่พวกเขาค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา พวกเขาก็ยอมรับความคาดหวังที่มาจากจิตสำนึกซึ่งเอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่อย่างกระตือรือร้น และเต็มใจยอมรับแรงกดดันประเภทนี้ รวมทั้งการชักพาให้หลงผิด การควบคุม และการผูกมัดนี้ที่มาจากสังคม  โดยสรุปก็คือ พวกเขาค่อยๆ เริ่มจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในการนี้แบบนิ่งเฉยจนไปสู่แบบแข็งขัน  ในหนทางนี้ พ่อแม่ของพวกเขารู้สึกพึงพอใจ  ลูกยังรู้สึกถึงสำนึกของสันติสุขภายใน และรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้ให้สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ และว่าพวกเขาโตแล้ว—ไม่ใช่แค่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่กลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในสายตาพ่อแม่ของตน และดำเนินชีวิตได้ตามความคาดหวังของพ่อแม่ของตน  แม้ว่าผู้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในสายตาพ่อแม่ของตนหลังจากพวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งโดยผิวเผินนั้น ดูราวกับว่าราคาที่พ่อแม่จ่ายไปนั้นได้รับการจ่ายคืนแล้ว และราวกับว่าความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อพวกเขานั้นไม่ได้สูญเปล่า แต่ความเป็นจริงคืออะไรหรือ?  ลูกๆ เหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จในการกลายเป็นหุ่นเชิดของพ่อแม่ พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการติดหนี้พ่อแม่ของพวกเขาก้อนใหญ่ พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อทำให้ความคาดหวังของพ่อแม่เป็นจริง เพื่อพยายามทำบางสิ่งให้พ่อแม่ นำพาความดีความชอบและเกียรติยศมาสู่พ่อแม่ และพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการทำให้พ่อแม่พึงพอใจ กลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานยินดีของพ่อแม่  ไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเขาไปทางไหน พ่อแม่เหล่านั้นก็จะเอ่ยถึงลูกของตนว่า “ลูกสาวของฉันเป็นผู้จัดการของบริษัทนี่นั่น”  “ลูกสาวของฉันเป็นนักออกแบบสำหรับยี่ห้อดังนี่นั่น”  “ลูกสาวของฉันอยู่ที่ระดับนี่นั่นของภาษาต่างประเทศนี้ เธอพูดภาษานี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เธอเป็นนักแปลให้กับภาษานี่นั่น”  “ลูกสาวของฉันเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์”  เด็กเหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จในการกลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานยินดีของพ่อแม่ และพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการกลายเป็นเงาของพ่อแม่  นี่เป็นเพราะพวกเขาจะใช้วิธีการเดียวกันเพื่อให้การศึกษาและฝึกฝนลูกของตัวเอง  พวกเขาคิดว่าพ่อแม่ของตัวเองได้ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะลอกเอาวิธีการให้การศึกษาของพ่อแม่ไปฝึกฝนลูกของตัวเอง  ในหนทางนี้ ลูกของพวกเขาจำต้องแบกความยากลำเค็ญ ความทุกข์อันน่าสลด และความแหลกลาญแบบเดียวกันจากพวกเขาเหมือนกับที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่ของตัวเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำเพื่อให้ความคาดหวังที่ตนมีต่อลูกเป็นจริงก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่นั้นย้อนแย้งกับมโนธรรม เหตุผล และกฎธรรมชาติทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นั่นย้อนแย้งกับอธิปไตยและการทรงตั้งของพระเจ้า  ถึงแม้เด็กทั้งหลายไม่มีความสามารถที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะระหว่างถูกและผิด หรือที่จะคิดได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ถูกปกครองโดยพ่อแม่ของตัวเอง  เพราะฉะนั้นนอกจากการมีความคาดหวังต่อลูกของตนภายในจิตสำนึกของตัวเองแล้ว ทางด้านพฤติกรรมของพวกเขา พ่อแม่ที่โง่เขลายังดำเนินการกระทำ การพลีอุทิศ และการจ่ายราคามากขึ้นไปอีก โดยทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการและเต็มใจทำเพื่อลูกของตน ไม่สำคัญว่านี่เป็นการสละเงินทอง เวลา พลังงาน หรือสิ่งอื่น  แม้ว่าพ่อแม่ทำสิ่งเหล่านั้นไปโดยสมัครใจ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไร้มนุษยธรรม และก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  พ่อแม่เหล่านั้นได้ทำเกินขอบเขตความสามารถและความรับผิดชอบอันถูกควรของตนไปแล้ว  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพ่อแม่เริ่มการพยายามที่จะวางแผนและควบคุมอนาคตของลูกก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ และยังพยายามที่จะกำหนดอนาคตของลูกของตนอีกด้วย  นั่นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่นสมมุติว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งว่า มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นคนงานธรรมดา และในชีวิตนี้เขาก็จะสามารถหาเงินค่าจ้างพื้นฐานได้บ้างเพื่อหาอาหารการกินและเสื้อผ้าให้กับตัวเอง แต่พ่อแม่ของเขายืนกรานที่จะให้เขากลายเป็นคนเด่นดัง บุคคลที่มั่งมี ข้าราชการชั้นสูง วางแผนและจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายเพื่ออนาคตของเขาก่อนที่เขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ โดยจ่ายสิ่งที่เรียกว่าราคาหลากหลายประเภท พยายามที่จะควบคุมชีวิตและอนาคตของเขา  นั่นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แม้ว่าลูกของเขาได้รับผลการเรียนที่ค่อนข้างดี เข้ามหาวิทยาลัย เรียนรู้ทักษะนานาสารพันหลังจากที่เขาไปถึงวัยผู้ใหญ่ และมีทักษะบางอย่าง แต่เมื่อสุดท้ายแล้วเขาไปหางานทำ ไม่ว่าเขาค้นหาอย่างไร เขาก็ยังคงจบลงตรงการเป็นคนทำงานธรรมดาอยู่ดี  อย่างมากที่สุด เขาก็โชคดีและกลายเป็นหัวหน้าคนงานซึ่งก็ดีอยู่แล้ว  สุดท้ายแล้วเขาก็หาเงินได้เพียงเงินเดือนขั้นพื้นฐานเท่านั้น และเขาก็ไม่มีวันสามารถหาเงินได้เป็นเงินเดือนข้าราชการชั้นสูงหรือเป็นคนมั่งมีเหมือนที่พ่อแม่ของเขาเรียกร้องไว้  พ่อแม่ของเขาต้องการให้เขาผงาดขึ้นมาในโลก ให้หาเงินได้มากๆ ให้กลายเป็นข้าราชการระดับสูง เพื่อให้พ่อแม่สามารถอิ่มอกอิ่มใจไปพร้อมกับลูก  พ่อแม่ไม่เคยคาดหวังว่าในชีวิตนี้เขาจะยังคงมีชะตากรรมเป็นคนทำงานธรรมดา แม้ว่าเขาได้ทำผลงานดีมากที่โรงเรียนและเชื่อฟังอย่างมาก แม้ว่าพ่อแม่ได้จ่ายราคาไปมากมายเพื่อเขา และแม้ว่าเขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาโตขึ้นก็ตาม  หากพวกเขาสามารถคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็คงไม่ทรมานตัวเองไปมากเหลือเกินในเวลานั้น  แต่พ่อแม่สามารถหลีกเลี่ยงการทรมานตัวเองได้หรือไม่?  (ไม่)  พ่อแม่ขายบ้าน ที่ดิน สมบัติพัสถานของครอบครัวตัวเอง อีกทั้งบางคนก็ถึงกับขายไตของตัวเองเพื่อให้ลูกของตนสามารถไปเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง  เมื่อลูกไม่เห็นด้วยกับการนี้ แม่ก็พูดว่า “แม่มีไตสองข้าง  ถ้าเสียไปข้างหนึ่ง แม่ก็ยังมีอีกข้าง  แม่อายุมากแล้ว แม่จำเป็นต้องมีไตข้างเดียวเท่านั้นเอง”  ลูกของนางรู้สึกอย่างไรหลังจากได้ยินแบบนี้?  “หนูยอมให้แม่ขายไตของแม่ไม่ได้ ต่อให้นั่นหมายถึงการที่หนูจะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยก็ตาม”  และแม่ก็พูดว่า “ลูกจะไม่ไปหรือ?  ลูกเป็นเด็กอกตัญญูไม่เชื่อฟัง!  ทำไมแม่ถึงกำลังจะขายไต?  นี่ก็เพื่อให้ลูกสามารถประสบความสำเร็จในอนาคตไม่ใช่หรือ?”  ลูกรู้สึกสะเทือนใจหลังจากได้ยินแบบนี้และคิดว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไปขายไตของแม่ได้เลย หนูจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง”  สุดท้ายแล้วแม่ก็ทำจริงๆ –นางแลกเปลี่ยนไตข้างหนึ่งกับอนาคตของลูก—และสุดท้ายแล้ว ลูกก็กลายเป็นเพียงคนทำงานคนหนึ่งเท่านั้นเอง และไม่ได้จบลงตรงการประสบความสำเร็จ  ดังนั้นแม่คนนั้นขายไตข้างหนึ่งและทั้งหมดที่ได้รับเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือคนทำงานหนึ่งคน—นั่นควรแล้วหรือไม่?  (ไม่)  สุดท้ายแล้วแม่ก็เข้าใจเรื่องนี้และพูดว่า “ลูกแค่ถูกกำหนดชะตากรรมให้เป็นคนทำงานคนหนึ่ง  ถ้าแม่รู้เรื่องนั้นเร็วกว่านี้ แม่คงไม่ขายไตไปและส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัย  ลูกก็สามารถแค่เดินหน้าและกลายเป็นคนทำงานได้เลย ถูกไหม?  การเข้ามหาวิทยาลัยของลูกมีประโยชน์อะไร?”  นั่นสายไปเสียแล้ว!  ใครใช้ให้นางทำเรื่องโง่เขลาเหลือเกินไปก่อนหน้านั้นเล่า?  ใครให้นางชื่นชมยินดีกับแนวคิดของการที่ลูกของนางกลายเป็นข้าราชการระดับสูงและหาเงินได้มาก?  ความโลภทำให้นางตาบอด นางสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้!  นางจ่ายราคาเพื่อลูกไปมากมายเหลือเกิน แต่ลูกติดหนี้อะไรนางหรือไม่?  ไม่  นางจ่ายราคาเหล่านั้นไปอย่างเต็มใจ และนางก็ได้รับสิ่งที่นางสมควรได้รับ!  ต่อให้นางขายไตไปสองข้าง นั่นก็จะเป็นโดยสมัครใจ  เพื่อส่งลูกของตนเข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ คนบางคนขายกระจกตาของตัวเอง บางคนขายเลือด บางคนพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี รวมทั้งขายสมบัติพัสถานของครอบครัว แล้วนั่นคุ้มค่าหรือไม่?  ราวกับพวกเขาคิดว่าการขายเลือดเล็กน้อยหรืออวัยวะสักชิ้นสามารถตัดสินอนาคตของบุคคลและเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้  นั่นสามารถเป็นไปได้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนช่างโง่เขลายิ่งนัก!  พวกเขากำลังมองหาการจ่ายคืนแบบรวดเร็ว เกียรติยศและผลกำไรทำให้พวกเขาตาบอด  พวกเขาคิดเสมอว่า “เอาเถิด ชีวิตฉันก็แค่เป็นแบบนี้เอง”  ดังนั้นพวกเขาจึงฝากความหวังของพวกเขาไว้ที่ลูกของตัวเอง  นั่นหมายความว่าชะตากรรมของลูกจะดีกว่าของพวกเขาอย่างแน่นอนหรือ?  ว่าลูกของพวกเขาจะสามารถผงาดขึ้นมาในโลกหรือ?  ว่าพวกเขาจะแตกต่างไปหรือ?  ผู้คนโง่เขลามากขนาดนี้ได้อย่างไร?  พวกเขาคิดว่าแค่เพราะตัวเองมีความคาดหวังสูงให้กับลูก ลูกก็จะเหนือกว่าคนอื่นและมีชีวิตตามความคาดหวังของพวกเขาอย่างแน่นอนหรือ?  ชะตากรรมของผู้คนไม่ได้ถูกตัดสินโดยพ่อแม่ของพวกเขา ชะตากรรมเหล่านั้นถูกตัดสินโดยพระเจ้า  แน่นอนว่าไม่มีพ่อแม่คนใดที่ปรารถนาที่จะเห็นลูกของตนกลายเป็นขอทาน  แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ต้องยืนกรานให้ลูกของตัวเองผงาดขึ้นในโลกและกลายเป็นข้าราชการระดับสูงหรือผู้คนที่โดดเด่นในสังคมชั้นสูง  การอยู่ในสังคมชั้นสูงดีอย่างไรหรือ?  การผงาดขึ้นในโลกดีอย่างไรหรือ?  สิ่งเหล่านั้นคือปลักตม ไม่ใช่สิ่งที่ดี  การกลายเป็นคนเด่นดัง บุคคลสำคัญยิ่งใหญ่ ยอดมนุษย์ หรือบุคคลที่มีตำแหน่งและสถานะนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือ?  ชีวิตนั้นสุขสบายที่สุดในฐานะบุคคลธรรมดา  การดำเนินชีวิตที่ยากจนกว่า ลำบากกว่า เหน็ดเหนื่อยกว่าเล็กน้อย มีอาหารและเสื้อผ้าที่แย่กว่าเล็กน้อยนั้นผิดปกติอะไรหรือ?  อย่างน้อยที่สุดก็รับประกันได้อย่างหนึ่งว่า ในเมื่อเจ้าไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกระแสนิยมทางสังคมของสังคมชั้นสูง อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะทำบาปน้อยลงและทำสิ่งที่ขัดขืนพระเจ้าน้อยลง  ในฐานะบุคคลธรรมดา เจ้าจะไม่เผชิญกับการทดลองที่ใหญ่หลวงหรือถี่เช่นนั้น  แม้ชีวิตของเจ้าจะทรหดกว่าสักเล็กน้อย อย่างน้อยจิตวิญญาณของเจ้าก็จะไม่เหนื่อยล้า  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในฐานะคนทำงาน ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องกังวลนั้นคือการทำให้มั่นใจว่าเจ้าสามารถรับประทานได้วันละสามมื้อ  นั่นต่างไปเมื่อเจ้าเป็นข้าราชการ  เจ้าจำต้องต่อสู้ และเจ้าจะไม่รู้ว่าเมื่อใดจะถึงวันที่ตำแหน่งของเจ้าไม่มั่นคงปลอดภัยอีกต่อไป  และนั่นไม่จบแค่นั้น ผู้คนที่เจ้าล่วงเกินไปจะหาทางเอาคืนเจ้า และเจ้าก็จะถูกคนพวกนั้นลงโทษ  ชีวิตนั้นน่าเหน็ดเหนื่อยอย่างมากสำหรับพวกคนเด่นคนดัง ผู้ยิ่งใหญ่ และผู้คนที่มั่งมี  ผู้คนที่มั่งมีหวาดกลัวอยู่เสมอว่าตัวเองจะไม่มั่งมีเช่นนั้นในภายภาคหน้า และว่าพวกเขาจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้หากเกิดเรื่องนั้นขึ้น  พวกคนเด่นคนดังห่วงกังวลอยู่เสมอว่าพวกเขาจะหมดรัศมี และพวกเขาต้องการที่จะปกป้องรัศมีของตนอยู่เสมอ โดยเกรงว่าตัวเองจะถูกกระแสนิยมทั้งหลายและยุคสมัยนี้กำจัดออกไป  ชีวิตของพวกเขาช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน!  พ่อแม่ไม่เคยรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ และต้องการที่จะผลักดันลูกของตนเข้าสู่ใจกลางของการดิ้นรนนี้ ส่งพวกเขาไปอยู่ในถ้ำสิงโตและปลักตมเสมอ  พ่อแม่มีเจตนารมณ์ที่ดีจริงๆ หรือ?  หากเราพูดว่าพวกเขาไม่มีเจตนารมณ์ที่ดี พวกเจ้าย่อมจะไม่เต็มใจฟัง  หากเราพูดว่าความคาดหวังของพ่อแม่ของเจ้าส่งผลต่อพวกเจ้าอย่างเป็นลบในหลายทาง เจ้าเต็มใจที่จะยอมรับรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความคาดหวังเหล่านี้ทำร้ายเจ้าอย่างลึกซึ้งทีเดียวไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าบางคนไม่เต็มใจที่จะยอมรับรู้เรื่องนี้ เจ้าพูดว่า “พ่อแม่ของฉันต้องการสิ่งที่ดีสำหรับฉัน”  เจ้าพูดว่าพ่อแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า—เอาล่ะ สิ่งที่ดีเหล่านั้นอยู่ตรงไหนหรือ?  พ่อแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า แต่พวกเขาได้ทำให้เจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกได้มากมายเท่าใดหรือ?  พ่อแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า แต่พวกเขาได้แก้ไขความคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องและไม่พึงประสงค์ของเจ้าไปมากเท่าใดหรือ?  (ไม่มีเลย)  แล้วตอนนี้เจ้าสามารถรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  เจ้าสามารถรู้สึกว่าความคาดหวังจากทางพ่อแม่นั้นไม่สมเหตุสมผล ใช่หรือไม่?

โดยผ่านทางการชำแหละแก่นแท้ของความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกของตน พวกเราสามารถเห็นได้ว่าความคาดหวังเหล่านี้เห็นแก่ตัว ว่าความคาดหวังเหล่านี้ขัดต่อความเป็นมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความคาดหวังเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความรับผิดชอบของพ่อแม่เลย  ในเวลาที่พ่อแม่ยัดเยียดความคาดหวังและข้อพึงประสงค์นานาสารพันให้กับลูกของตน พวกเขาไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง  แล้ว “ความรับผิดชอบ” ของพวกเขาคืออะไร?  ความรับผิดชอบพื้นฐานที่สุดที่พ่อแม่พึงลุล่วงก็คือการสอนให้ลูกของตนพูด อบรมสั่งสอนลูกให้ใจดีมีเมตตาและไม่เป็นคนไม่ดี รวมทั้งนำลูกไปในทิศทางบวก  เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบซึ่งพื้นฐานที่สุด  นอกจากนั้นพวกเขาก็ควรอนุเคราะห์ลูกของตนในการศึกษาความรู้ ความสามารถพิเศษ และอะไรอื่นๆ ประเภทใดก็ตามที่เหมาะกับลูกบนพื้นฐานของอายุของลูก ปริมาณที่ลูกสามารถรับมือได้ รวมทั้งขีดความสามารถและความสนใจของลูก  พ่อแม่ที่ดีกว่าหน่อยก็จะช่วยให้ลูกของตนเข้าใจว่า ผู้คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างมา และว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงในจักรวาลนี้ นำทางให้ลูกของตนอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้า บอกเล่าบางเรื่องราวจากพระคัมภีร์ให้พวกเขาฟัง อีกทั้งหวังว่าพวกเขาจะติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น แทนที่จะไล่ตามกระแสนิยมทางโลก ติดกับดักอยู่ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลอันซับซ้อน และถูกกระแสนิยมสารพัดของสังคมและโลกนี้พร่าผลาญ  ความรับผิดชอบที่พ่อแม่พึงลุล่วงนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความคาดหวังของพ่อแม่  ความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงในบทบาทพ่อแม่ก็คือการจัดเตรียมการแนะนำที่เป็นบวกและการอนุเคราะห์อันเหมาะควรให้กับลูกก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ รวมทั้งดูแลชีวิตทางเนื้อหนังของลูกอย่างทันท่วงทีในด้านอาหาร เสื้อผ้า ที่พักอาศัย หรือเวลาที่ลูกเกิดเจ็บป่วย  หากลูกของพวกเขาเกิดป่วยขึ้นมา พ่อแม่ควรให้การรักษาความเจ็บป่วยใดก็ตามที่จำเป็นต้องรักษา พวกเขาไม่ควรเพิกเฉยต่อลูกหรือบอกลูกว่า “ไปโรงเรียนต่อเถอะลูก ไปเรียนหนังสืออย่าให้ขาด—ลูกรั้งท้ายในห้องไม่ได้  ถ้าลูกรั้งท้ายห่างเกินไป ลูกจะตามไม่ทัน”  เมื่อลูกของพวกเขาจำเป็นต้องพัก พ่อแม่ก็ควรปล่อยให้ลูกพัก ยามที่ลูกมีอาการป่วย พ่อแม่ต้องช่วยลูกให้ได้พักฟื้น  เหล่านี้คือความรับผิดชอบของพ่อแม่  ในด้านหนึ่งนั้น พ่อแม่ต้องดูแลสุขภาพกายของลูก อีกด้านหนึ่งนั้น พ่อแม่ต้องอนุเคราะห์ ให้การศึกษา และช่วยลูกของตนเกี่ยวกับสุขภาพจิตของพวกเขา  เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบที่พ่อแม่พึงลุล่วง แทนที่จะนำความคาดหวังหรือข้อพึงประสงค์ที่ไม่สมจริงอันใดมายัดเยียดให้ลูก  พ่อแม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนทั้งเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งจำเป็นต่อจิตใจของลูกและสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในชีวิตทางกายของพวกเขา  พ่อแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกหนาวเหน็บในฤดูหนาว พ่อแม่ควรสอนความรู้เรื่องชีวิตทั่วไปบางอย่างให้กับลูก เช่น ภายใต้สภาพการณ์ใดที่ลูกจะเป็นหวัด สอนว่าลูกควรกินอาหารอุ่น สอนว่าลูกจะปวดท้องหากกินอาหารเย็น และสอนว่าลูกไม่ควรตากลมตามสบาย หรือไม่สวมเสื้อผ้าในสถานที่ซึ่งมีลมกรรโชกแรงยามที่อากาศหนาวเย็น อันเป็นการช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพของตัวพวกเขาเอง  นอกจากนั้นแล้วเมื่อความคิดแบบสุดขั้ว หรือแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองแบบเด็กยังไม่โตบางอย่างผุดขึ้นในจิตใจอันเยาว์วัยของลูก พ่อแม่ต้องจัดเตรียมคำแนะนำที่ถูกต้องให้กับลูกอย่างทันท่วงทีในทันทีที่พวกเขาค้นพบสิ่งนี้ แทนที่จะปรามลูกในเชิงบังคับ กล่าวคือ พ่อแม่ควรให้ลูกได้แสดงออกและระบายแนวคิดของพวกเขา เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  ในแง่หนึ่งนั้น การลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่หมายถึงการดูแลลูกของตน และในอีกแง่ก็หมายถึงการแก้ไขและการชี้ทางให้ลูกของตน รวมทั้งการให้คำแนะนำพวกเขาเกี่ยวกับความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง  อันที่จริงแล้วความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเชื้อสายของตน  เจ้าสามารถหวังว่าลูกของเจ้าจะมีสุขภาพกายที่ดีและมีความเป็นมนุษย์ มีมโนธรรม และมีเหตุผลหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น หรือเจ้าสามารถหวังว่าลูกของเจ้าจะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า แต่เจ้าไม่ควรหวังว่าลูกของเจ้าจะกลายเป็นคนเด่นคนดังหรือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ประเภทนี้นั้นหลังจากที่โตแล้ว และเจ้ายิ่งไม่ควรบอกลูกอยู่เป็นนิจว่า “ดูสิว่าเสี่ยวหมิงที่อยู่บ้านถัดไปเชื่อฟังแค่ไหน!”  ลูกของเจ้าก็คือลูกของเจ้า—ความรับผิดชอบที่เจ้าพึงลุล่วงไม่ใช่การบอกลูกว่าเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนบ้านนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด หรือให้ลูกเรียนรู้จากเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ  บุคคลทุกคนแตกต่างกัน  ผู้คนต่างกันในแง่ของความคิด ทัศนะ ความสนใจ งานอดิเรก ขีดความสามารถ บุคลิกภาพ รวมทั้งการที่แก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นดีหรือเลวทราม  คนบางคนเกิดมาช่างพูดเป็นต่อยหอย ในขณะที่คนอื่นมีโลกส่วนตัวสูงมาแต่กำเนิด และจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเลยหากพวกเขาผ่านวันทั้งวันไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ  เพราะฉะนั้นหากพ่อแม่ปรารถนาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน พวกเขาก็ควรพยายามเข้าใจบุคลิกภาพ อุปนิสัย ความสนใจ ขีดความสามารถ และสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ของลูกของตน  แทนที่จะแปรการไล่ตามไขว่คว้าทางโลก เกียรติยศ และผลกำไรแบบผู้ใหญ่ของตนไปเป็นความคาดหวังที่มีต่อลูก ยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเกียรติยศ ผลกำไร และโลกซึ่งมาจากสังคมให้กับลูกของตน  พ่อแม่เรียกสิ่งเหล่านี้ในชื่อที่ฟังดูดีว่า “ความคาดหวังที่มีต่อลูก” แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น  เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังพยายามผลักลูกของตนเข้าสู่กองเพลิงและส่งลูกเข้าไปในอ้อมแขนของหมู่มาร  หากเจ้าเป็นพ่อแม่ที่ดีพอจริงๆ เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่เกี่ยวกับสุขภาพกายและใจของลูก แทนที่จะยัดเยียดเจตจำนงของเจ้าให้กับลูกก่อนที่พวกเขาจะถึงวัยผู้ใหญ่ บังคับจิตใจอันเยาว์วัยของลูกให้แบกสิ่งทั้งหลายที่ลูกไม่ควรต้องแบก  หากเจ้ารักและทะนุถนอมลูกจริงและเจ้าต้องการลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็ควรดูแลร่างกายของพวกเขา และทำให้มั่นใจว่าพวกเขามีสุขภาพกายที่ดี  แน่นอนว่าเด็กบางคนเกิดมาบอบบางและมีสุขภาพที่แย่  หากพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้มีภาวะที่จะทำเช่นนั้นได้จริงๆ พวกเขาก็สามารถเพิ่มอาหารเสริมบางอย่างให้กับลูก หรือขอข้อมูลจากแพทย์แผนจีนหรือนักโภชนาการ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดูแลพิเศษเล็กน้อยต่อเด็กเหล่านี้  นอกจากนั้นแล้ว ในแต่ละวัยก่อนที่ลูกของตนจะถึงวัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่วัยทารกและวัยเด็กสู่วัยรุ่น พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจมากขึ้นสักหน่อยต่อการเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพและความสนใจของลูก รวมถึงสิ่งที่จำเป็นต่อลูกในการค้นหาความเป็นมนุษย์ของตัวเอง แสดงความห่วงใยให้ลูกเห็นมากขึ้นสักหน่อย  พ่อแม่ควรให้คำแนะนำ การอนุเคราะห์ และการจัดเตรียมที่เป็นบวกและมีมนุษยธรรมบางอย่างแก่ลูกเช่นกันเมื่อเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและแนวความคิดที่ผิด รวมทั้งบางสิ่งที่ลูกยังไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในความเป็นมนุษย์ของตน โดยใช้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ประสบการณ์ และบทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งตัวพ่อแม่เองเคยได้รับมาแล้วโดยการก้าวผ่านสิ่งเดียวกัน  จากนั้นพ่อแม่ก็ควรช่วยให้ลูกของตนเติบโตขึ้นอย่างราบรื่นในแต่ละวัย และหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่อ้อมหรือการเลี้ยวผิดทาง หรือการหันเหไปแบบสุดกู่  เมื่อจิตใจอันสับสนและเยาว์วัยของพวกเขาถูกทำร้ายหรือทนทุกข์กับเรื่องที่น่าตกใจผิดหวัง พวกเขาควรได้รับการรักษาและความห่วงใย ความรักใคร่เอ็นดู ความเอาใจใส่ รวมทั้งคำแนะนำจากพ่อแม่ของตนแบบทันท่วงที  เหล่านี้คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  ในส่วนของแผนการใดก็ตามที่ลูกของพวกเขามีสำหรับอนาคตของตัวเอง ไม่ว่าลูกปรารถนาจะเป็นครู ศิลปิน หรือข้าราชการ และอื่นๆ หากแผนการของพวกเขาสมเหตุผล พ่อแม่สามารถหนุนใจพวกเขา รวมทั้งให้การช่วยเหลือและการอนุเคราะห์ในระดับหนึ่งบนพื้นฐานของสภาพการณ์ การศึกษา ขีดความสามารถ ความเป็นมนุษย์ สภาพการณ์ทางครอบครัวของตน และอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ไม่ควรทำเกินขอบเขตความสามารถของตน พวกเขาไม่ควรขายรถยนต์ บ้าน ไต หรือโลหิตของตัวเอง  ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  พวกเขาแค่ควรให้การช่วยเหลือลูกของตนในระดับหนึ่งจนสุดความสามารถในฐานะพ่อแม่  หากลูกพูดว่า “หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัย” พ่อแม่ก็สามารถพูดได้ว่า “ถ้าลูกอยากเข้ามหาวิทยาลัย แม่จะสนับสนุนลูกและแม่จะไม่ต่อต้านลูก แต่ครอบครัวของเราไม่ได้ฐานะดีนัก  จากนี้ไป แม่จะต้องออมเงินบางส่วนในแต่ละวันเพื่อที่จะจ่ายเป็นค่าติวเข้าวิทยาลัยของลูกหนึ่งปี  ถ้าถึงเวลานั้น แม่เก็บได้มากพอ ลูกก็ได้เข้าวิทยาลัย  ถ้าแม่เก็บได้ไม่พอ ลูกก็ต้องหาทางออกเอง”  พ่อแม่ควรทำข้อตกลงประเภทนี้กับลูกโดยเห็นพ้องต้องกันและสมานฉันท์ และจากนั้นก็แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในแง่ที่เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา  แน่นอนว่า หากพ่อแม่ไม่สามารถทำให้แผนการและเจตนารมณ์ที่ลูกมีต่ออนาคตของตัวเองเป็นจริงได้ พ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดโดยคิดว่า “ฉันทำให้ลูกผิดหวัง ฉันไร้ความสามารถ และลูกของฉันต้องทนทุกข์เพราะเหตุนี้  ลูกคนอื่นกินดี สวมเสื้อผ้ายี่ห้อดัง และขับรถยนต์โฉบไปมาในวิทยาลัย และตอนกลับบ้าน พวกเขาก็เดินทางโดยเครื่องบิน  ลูกของฉันจำต้องเดินทางโดยรถไฟบนที่นั่งแข็งกระด้าง—ฉันไม่มีเงินส่งพวกเขาขึ้นรถนอนด้วยซ้ำ  ฉันทำให้ลูกผิดหวัง!”  พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เหล่านี้เป็นสภาพการณ์ของลูก และต่อให้พ่อแม่ขายไตข้างหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่สามารถให้สิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้นลูกควรยอมรับชะตากรรมของตน  พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมประเภทนี้ให้กับพวกเขา ดังนั้นพ่อแม่เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดต่อลูกของตนไม่ว่าในหนทางใดโดยพูดว่า “แม่ทำให้ลูกผิดหวัง  ถ้าลูกไม่แสดงความกตัญญูกับพ่อแม่ในอนาคต แม่จะไม่ว่าเลย  พ่อแม่ไร้สมรรถภาพและไม่ได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีให้กับลูก”  ไม่มีความจำเป็นที่พ่อแม่ต้องพูดแบบนี้  พ่อแม่แค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนด้วยมโนธรรมอันชัดเจน ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ และทำให้ลูกของตัวเองมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ  นั่นเพียงพอแล้ว  “สุขภาพ” ตรงนี้แค่หมายถึงการที่พ่อแม่ทำดีที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าลูกของตนมีความคิดที่เป็นบวก ตลอดจนมีความคิดและท่าทีที่แข็งขัน กล้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ และมองโลกในแง่ดีต่อชีวิตประจำวันและการดำรงอยู่ของพวกเขา  เมื่อบางสิ่งทำให้ลูกไม่ได้ดังใจ ลูกไม่ควรตีโพยตีพาย พยายามฆ่าตัวตาย สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่ หรือด่าว่าพ่อแม่ที่เป็นคนไม่เอาไหนไร้ความสามารถในการหาเงินโดยพูดว่า “ดูพ่อแม่คนอื่นสิ  พวกเขาขับรถหรู อยู่อาคารชุด พวกเขาไปล่องเรือสำราญหรูหราและไปท่องเที่ยวยุโรป  ดูพวกเราสิ พวกเราไม่เคยออกไปจากบ้านเกิดหรือนั่งรถไฟความเร็วสูงด้วยซ้ำ!”  หากพวกเขาตีโพยตีพายเช่นนี้ เจ้าควรตอบสนองอย่างไร?  เจ้าควรพูดว่า “ลูกพูดถูก พ่อแม่มีสมรรถภาพแค่นี้เอง  ลูกเกิดมาในครอบครัวนี้และลูกก็ควรยอมรับชะตากรรม  ถ้าลูกมีความสามารถ ลูกย่อมหาเงินเองได้ในอนาคต  อย่าหยาบคายกับพ่อแม่เลย และอย่าเรียกร้องให้พ่อแม่ทำสิ่งต่างๆ เพื่อลูก  พ่อแม่ลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกแล้ว และพ่อแม่ก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรลูก  สักวันหนึ่งข้างหน้า ลูกจะกลายเป็นพ่อแม่และลูกก็จะต้องทำแบบนี้เหมือนกัน”  เมื่อพวกเขามีลูกเป็นของตัวเอง พวกเขาจะเรียนรู้ว่าไม่ง่ายนักที่พ่อแม่จะหาเงินมาเกื้อหนุนตนเองและทุกคนในครอบครัวทั้งเด็กและคนแก่  โดยสรุปก็คือ เจ้าควรสอนหลักธรรมบางอย่างแก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีวางตัว  หากลูกของเจ้าสามารถยอมรับการนั้นได้ เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงการเชื่อในพระเจ้าและการเดินไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อสัมฤทธิ์ความรอด ตลอดจนความคิดและทัศนะที่ถูกต้องบางอย่างที่เจ้าได้เข้าใจจากพระเจ้า  หากลูกเต็มใจยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้าไปพร้อมกับเจ้า นั่นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก  หากลูกของเจ้าไม่มีความจำเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้วที่เจ้าแค่ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่มีต่อพวกเขา เจ้าไม่จำเป็นต้องคอยปากเปียกปากแฉะ หรือยกคำพูดและคำสอนบางอย่างที่เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้ามาประกาศกับพวกเขา  ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำสิ่งนั้น  ต่อให้ลูกไม่เชื่อ ตราบที่พวกเขาเกื้อหนุนเจ้า พวกเจ้าก็ยังคงสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อีกทั้งพูดคุยและหารือเกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้ด้วยกัน  เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูกันหรือรู้สึกขุ่นเคืองในตัวพวกเขา  อย่างไรเสียพวกเจ้าก็มีความผูกพันทางสายเลือดระหว่างกัน  หากลูกของเจ้าเต็มใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาที่มีต่อเจ้า ที่จะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า และที่จะเชื่อฟังเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็สามารถดำรงสัมพันธภาพทางครอบครัวของเจ้ากับพวกเขาเอาไว้ และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตามปกติ  เจ้าไม่จำเป็นต้องสาปแช่งหรือดุว่าลูกของเจ้าอยู่เป็นนิจเพราะพวกเขามีความคิดเห็นและทัศนะที่แตกต่างจากของเจ้าในแง่ของความเชื่อ  ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น  เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้อน หรือคิดว่าการที่ลูกของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้านั้นเป็นเรื่องใหญ่โตราวกับว่าเจ้าได้สูญสิ้นชีวิตและดวงจิตของเจ้าไปแล้ว  นั่นไม่ร้ายแรงขนาดนั้น  หากพวกเขาไม่เชื่อ เช่นนั้นก็เป็นธรรมดาที่พวกเขามีเส้นทางของตัวเองที่พวกเขาได้เลือกแล้วที่จะเดิน  เจ้าเองก็มีเส้นทางที่เจ้าควรเดินและมีหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับลูกของเจ้า  หากลูกไม่เชื่อ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องยืนกรานในเรื่องนี้  นั่นอาจเป็นว่ายังไม่ถึงเวลาอันควร หรือพระเจ้าเพียงแต่ไม่ได้ทรงเลือกสรรพวกเขาเท่านั้นเอง  หากพระเจ้าเพียงแต่ไม่ได้ทรงเลือกพวกเขาและเจ้าก็ยืนกรานให้พวกเขาเชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้ความและเป็นกบฏ  แน่นอนว่า หากพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรพวกเขา แต่เวลาที่ใช่ยังไม่มาถึง และเจ้าก็เรียกร้องให้พวกเขาเชื่อเดี๋ยวนี้ นั่นจะเร็วไปหน่อย  หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะกระทำ ก็ไม่มีบุคคลใดสามารถหลบพ้นอธิปไตยของพระองค์ได้  หากพระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ลูกของเจ้าเชื่อ เช่นนั้นพระองค์ย่อมสามารถสัมฤทธิ์การนี้ในพระดำรัสเดียวหรือในพระดำริเดียว  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการให้พวกเขาเชื่อ พวกเขาก็จะไม่ได้รับการดลใจ และหากพวกเขาไม่ได้รับการดลใจ เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าพูดมากเท่าใด นั่นก็จะไม่มีประโยชน์  หากลูกของเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไม่เป็นหนี้พวกเขา หากลูกของเจ้าเชื่อจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่ความดีความชอบของเจ้า  ใช่แบบนั้นหรือไม่?  (ใช่)  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีเป้าหมายเดียวกันกับลูกของเจ้าในแง่ของความเชื่อหรือไม่ หรือว่าเจ้ามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับพวกเขาหรือไม่ในแง่นี้ แต่ไม่ว่าเป็นกรณีใด เจ้าก็แค่จำเป็นต้องลุล่วงหน้าที่ของเจ้าที่มีต่อพวกเขา  หากเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านี้แล้ว นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้แสดงความใจดีมีเมตตาต่อพวกเขา และหากลูกของเจ้าไม่เชื่อ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นหนี้พวกเขา เพราะเจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าแล้ว และนั่นก็จบแล้วสำหรับการนั้น  สัมพันธภาพของพวกเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเจ้าก็สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกของเจ้าต่อไปได้ดังที่เจ้าเคยทำมาก่อนหน้านี้  เมื่อลูกของเจ้าเผชิญกับความลำบากยากเย็น เจ้าก็ควรช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  หากเจ้ามีปัจจัยทางวัตถุที่จะช่วยลูกของเจ้าได้ เจ้าก็ควรทำ หากเจ้าสามารถแก้ไขความคิดและทัศนะของพวกเขาในระดับความคิดหรือจิตใจ อีกทั้งสามารถให้คำแนะนำและการช่วยเหลือแก่พวกเขาในระดับหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถออกมากจากสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตน เช่นนั้นนั่นก็ค่อนข้างดีทีเดียว  โดยสรุปแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก่อนที่ลูกของตนจะถึงวัยผู้ใหญ่ก็คือการลุล่วงหน้าที่ของพ่อแม่ เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ลูกต้องการทำ อีกทั้งสิ่งที่เป็นความสนใจและความใฝ่ฝันของลูก  หากลูกของพวกเขาต้องการที่จะฆ่าคน ที่จะจุดไฟเผาสิ่งต่างๆ และก่ออาชญากรรม เช่นนั้นพ่อแม่ของพวกเขาก็ควรบ่มวินัยพวกเขาหรือแม้แต่ลงโทษพวกเขาอย่างเอาจริงเอาจัง  แต่หากพวกเขาเป็นลูกที่เชื่อฟังและไม่ต่างอะไรกับเด็กธรรมดาคนอื่น อีกทั้งพวกเขาก็ประพฤติตัวดีที่โรงเรียน ทำสิ่งใดตามแต่ที่พ่อแม่บอกให้พวกเขาทำ เช่นนั้นพ่อแม่ก็แค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อพวกเขา  นอกจากการลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว สิ่งเหล่านั้นที่เรียกว่าความคาดหวัง ข้อพึงประสงค์ และการคิดถึงอนาคตของลูกล้วนเกินความจำเป็น  เหตุใดเราจึงพูดว่าสิ่งเหล่านั้นเกินความจำเป็น?  พระเจ้าเป็นผู้ทรงลิขิตชะตากรรมของบุคคลทุกคน และพ่อแม่ของพวกเขาไม่อาจเป็นผู้กำหนดได้  ไม่ว่าพ่อแม่มีความคาดหวังใดต่อลูก ก็เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งเหล่านั้นจะถูกทำให้เป็นจริงในภายภาคหน้าทั้งหมด  ความคาดหวังเหล่านี้ไม่สามารถกำหนดอนาคตหรือชีวิตของลูกของพวกเขาได้  ไม่ว่าความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด หรือว่าการพลีอุทิศหรือราคาที่พวกเขาสละให้กับความคาดหวังเหล่านั้นเป็นอะไร ทั้งหมดนั้นล้วนสูญเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่อาจส่งอิทธิพลต่ออนาคตและชีวิตของลูกของพวกเขา  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ไม่ควรทำสิ่งที่โง่เขลา  พวกเขาไม่ควรทำการพลีอุทิศที่ไม่จำเป็นให้กับลูกของตัวเองก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ และโดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาไม่ควรรู้สึกเครียดมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้  การฟูมฟักเลี้ยงดูลูกเป็นเรื่องของการที่พ่อแม่เรียนรู้พลางได้รับประสบการณ์นานาชนิดโดยการก้าวผ่านสภาพแวดล้อมต่างๆ กัน และจากนั้นก็ทำให้ลูกของตนสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพวกเขาไปทีละน้อย  นั่นคือทั้งหมดที่พ่อแม่จำเป็นต้องทำ  ส่วนอนาคตและเส้นทางชีวิตในอนาคตของลูกนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความคาดหวังของพ่อแม่  กล่าวได้ว่า ความคาดหวังของพ่อแม่ของเจ้าไม่อาจตัดสินอนาคตของเจ้าได้  ไม่จริงเลยว่าการที่พ่อแม่ของเจ้ามีความคาดหวังสูงต่อเจ้าหรือคาดหวังสิ่งที่ยิ่งใหญ่จากเจ้าหมายความว่าเจ้าจะสามารถเจริญรุ่งเรืองและดำเนินชีวิตได้ดี และไม่จริงเลยว่าการที่พ่อแม่ของเจ้าไม่มีความคาดหวังต่อเจ้าหมายความว่าเจ้าจะกลายเป็นขอทาน  ไม่จำเป็นต้องมีสัมพันธภาพระหว่างสิ่งเหล่านี้  จงบอกเราทีเถิดว่า หัวข้อเหล่านี้ที่เราได้สามัคคีธรรมไปนั้นเข้าใจง่ายหรือไม่?  ผู้คนจะสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายดายหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ลำบากยากเย็นหรือไม่?  พ่อแม่แค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนที่มีต่อลูก เลี้ยงดูพวกเขาให้เติบใหญ่ และฟูมฟักพวกเขาจนไปสู่วัยผู้ใหญ่  พวกเขาไม่จำเป็นต้องฟูมฟักลูกของตนให้ไปเป็นคนที่มีพรสวรรค์   การนี้สัมฤทธิ์ได้โดยง่ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดาย—เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกความรับผิดชอบใดเพื่ออนาคตหรือชีวิตของลูก หรือสร้างแผนการใดเพื่อพวกเขา หรือสันนิษฐานล่วงหน้าว่าลูกจะกลายเป็นคนประเภทใด ลูกจะมีชีวิตแบบใดในภายภาคหน้า ลูกจะไปอยู่ในวงสังคมใดหลังจากนี้ คุณภาพชีวิตของลูกในโลกนี้จะเป็นอย่างไรในภายภาคหน้า หรือพวกเขาจะมีสถานะแบบใดท่ามกลางผู้คน  เจ้าไม่ต้องสันนิษฐานล่วงหน้าหรือควบคุมสิ่งเหล่านี้ เจ้าเพียงต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะพ่อแม่เท่านั้น  นั่นง่ายดายเท่านั้นเอง  เมื่อลูกของเจ้าถึงวัยเข้าโรงเรียน เจ้าก็ควรหาโรงเรียนและลงทะเบียนให้พวกเขาเข้าเป็นนักเรียนที่นั่น จ่ายค่าเรียนพิเศษให้พวกเขาเมื่อจำเป็น และจ่ายค่าอะไรก็ตามที่ลูกจำเป็นในโรงเรียน  แค่ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านี้ก็พอแล้ว  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่พวกเขากินและสวมใส่ตลอดทั้งปี เจ้าก็แค่จำเป็นต้องดูแลร่างกายของพวกเขาโดยขึ้นอยู่กับสภาพการณ์  จงอย่าปล่อยให้ความเจ็บป่วยที่ไม่ได้รับการเยียวยาคงอยู่กับพวกเขาในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นยามที่พวกเขาไม่เข้าใจวิธีดูแลร่างกายของตัวเอง  จงแก้ไขข้อเสียและนิสัยที่ไม่ดีของลูกให้ทันท่วงที ช่วยพวกเขาพัฒนานิสัยในการดำเนินชีวิตที่ดี แล้วก็ให้คำปรึกษาและนำจิตใจของพวกเขา อีกทั้งทำให้มั่นใจว่าพวกเขาไม่หักเหไปสุดกู่  หากพวกเขาชอบสิ่งชั่วบางอย่างในโลก แต่เจ้าก็เห็นได้ว่าพวกเขาเป็นเด็กดี และเห็นว่าพวกเขาแค่ได้รับอิทธิพลจากกระแสนิยมชั่วของโลก เจ้าก็ควรแก้ไขพวกเขาให้ทันท่วงที และช่วยให้พวกเขาแก้ไขข้อเสียรวมทั้งนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง  เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบที่พ่อแม่พึงลุล่วงและเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาพึงปฏิบัติ  พ่อแม่ไม่ควรผลักดันลูกไปหากระแสนิยมของสังคม และพ่อแม่ไม่ควรให้ลูกแบกแรงกดดันซึ่งผู้ใหญ่เท่านั้นที่ต้องแบกสารพัดประเภทเร็วเกินไปในยามที่ลูกยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่  พ่อแม่ไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ช่างเรียบง่ายที่จะสัมฤทธิ์ผล แต่บางคนกลับไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ได้  เพราะผู้คนเหล่านั้นไม่สามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศและผลประโยชน์ทางโลก หรือกระแสนิยมชั่วของโลก และเพราะพวกเขาหวาดกลัวการถูกโลกกำจัดออกไป พวกเขาจึงให้ลูกของตัวเองกลืนเข้าไปในสังคมก่อนเวลาอันควรอย่างมากและให้ปรับตัวเข้ากับสังคมอย่างรวดเร็วมากในระดับจิตใจก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่  หากเด็กทั้งหลายมีพ่อแม่แบบนี้ พวกเขาก็อับโชค  ไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเขาใช้วิธีการหรือข้ออ้างใดที่จะรัก ทะนุถนอม และจ่ายราคาเพื่อพวกเขา ก็ไม่จำเป็นว่าวิธีการหรือข้ออ้างเหล่านั้นคือสิ่งที่ดีสำหรับเด็กๆ ในครอบครัวแบบครอบครัวเหล่านี้—อาจพูดได้ด้วยซ้ำว่าวิธีการหรือข้ออ้างเหล่านั้นเป็นความวิบัติอยู่เหมือนกัน  นี่เป็นเพราะเบื้องหลังความคาดหวังของพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น สิ่งที่พ่อแม่เหล่านั้นนำมาสู่จิตใจอันเยาว์วัยของลูกของตัวเองก็คือความวิบัติ  หรือพูดอีกอย่างว่า โดยข้อเท็จจริงแล้วความคาดหวังของพ่อแม่เหล่านั้นไม่เกี่ยวกับการที่ลูกของพวกเขามีสุขภาพดีทางร่างกายและจิตใจเลยจริงๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ความคาดหวังว่าลูกของพวกเขาจะตั้งตัวขึ้นในสังคมและหลีกเลี่ยงการถูกสังคมกำจัดออกไป  จุดมุ่งหมายของความคาดหวังของพวกเขาก็เพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดีหรืออยู่เหนือผู้คนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการกลายเป็นขอทาน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้ง อีกทั้งเพื่อกลืนเข้าสู่กระแสนิยมชั่วและกลุ่มผู้คนที่ชั่ว  เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?  (ไม่)  เพราะฉะนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรับความมุ่งหวังจากทางพ่อแม่ประเภทเหล่านี้มาไว้ในหัวใจ  หากพ่อแม่ของเจ้าเคยมีความคาดหวังประเภทเหล่านี้ต่อเจ้า หรือหากพวกเขาได้จ่ายราคาไปมากมายเพื่อทำให้ความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อเจ้าเป็นจริง ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกเป็นหนี้พวกเขา และตั้งใจใช้ทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อจ่ายคืนให้กับราคาที่พวกเขาได้จ่ายไปเพื่อเจ้า—หากเจ้ามีแนวคิดหรือความพึงปรารถนาประเภทนี้ เจ้าก็ควรปล่อยมือจากแนวคิดหรือความพึงปรารถนานี้เสียวันนี้  เจ้าไม่ติดหนี้อะไรพวกเขา แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่ทำให้เจ้าแหลกลาญและทุพพลภาพ  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนเองในฐานะพ่อแม่ ในทางกลับกัน พวกเขาได้ทำร้ายเจ้า ก่อให้เกิดการบาดเจ็บสารพัดกับจิตใจอันเยาว์วัยของเจ้า รวมทั้งทิ้งความทรงจำและรอยประทับที่เป็นลบไว้ข้างหลังเป็นวงกว้าง  พูดสั้นๆ ก็คือ พ่อแม่แบบคนเหล่านี้ไม่ใช่พ่อแม่ที่ดี  หากว่าในหนทางที่พ่อแม่ให้การศึกษา ส่งผลกระทบ และพูดกับเจ้าก่อนที่เจ้าได้มาถึงวัยผู้ใหญ่นั้น พ่อแม่หวังอยู่ตลอดเวลาให้เจ้าขยันเรียน ประสบความสำเร็จ และไม่จบลงตรงการเป็นคนลงแรง หวังว่าเจ้าจะมีโอกาสในอนาคตที่ดีในภายหน้า กลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานยินดีของพวกเขา รวมทั้งนำพาเกียรติและสง่าราศีมาสู่พวกเขาอย่างแน่แท้ เช่นนั้นเมื่อถึงวันนี้ เจ้าก็พึงตัดขาดจากสิ่งที่เรียกว่าความใจดีมีเมตตาพวกเขาเสีย และไม่จำเป็นต้องรับสิ่งเหล่านั้นไว้ในหัวใจอีกต่อไป  นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหล่านี้คือความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนก่อนที่พวกเขาไปถึงวัยผู้ใหญ่

พ่อแม่ยังคงมีธรรมชาติของความคาดหวังต่อลูกของตนแบบเดิมหลังจากที่ลูกกลายเป็นผู้ใหญ่  แม้ว่าลูกซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของตนสามารถคิดได้ด้วยตนเอง อีกทั้งสื่อสาร พูดจา และหารือสิ่งทั้งหลายกับพวกเขาจากสถานะและมุมมองของผู้ใหญ่คนหนึ่งได้ แต่พ่อแม่ก็ยังคงเก็บงำความคาดหวังเดิมที่มีต่อลูกจากมุมมองของพ่อแม่คนหนึ่ง  ความคาดหวังของพวกเขาแปรจากความคาดหวังสำหรับลูกซึ่งยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ไปเป็นความคาดหวังสำหรับผู้ใหญ่  แม้ว่าความคาดหวังจากทางพ่อแม่ที่มีต่อผู้ใหญ่นั้นต่างจากความคาดหวังเหล่านั้นที่มีต่อเด็กซึ่งยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ในฐานะผู้คนที่เสื่อมทรามธรรมดา และสมาชิกของสังคมและโลก พ่อแม่ก็ยังคงเก็บงำความคาดหวังประเภทเดิมต่อลูกของตน  พวกเขาหวังว่าสิ่งทั้งหลายจะดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับลูกของตนในที่ทำงาน หวังว่าลูกของตนจะมีการสมรสที่มีความสุขและครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ได้รับการขึ้นเงินเดือนและการเลื่อนตำแหน่ง ได้รับการเห็นคุณค่าจากเจ้านายของพวกเขา และหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดีเป็นพิเศษสำหรับพวกเขาในการงานของพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ต้องเผชิญความลำบากยากเย็นอันใด  ความคาดหวังเหล่านี้มีประโยชน์อะไรหรือ?  (ความคาดหวังเหล่านี้ไม่มีประโยชน์)  ความคาดหวังเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ความคาดหวังเหล่านี้เกินจำเป็น  พ่อแม่คิดว่าพวกเขาสามารถอ่านจิตใจของเจ้าออกเพราะพวกเขาได้เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่และเกื้อหนุนเจ้า ผลที่ตามมาจึงเป็นว่า พวกเขาเชื่อว่าตัวเองรู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าเจ้ากำลังคิดอะไร เจ้าต้องการอะไร และบุคลิกภาพของเจ้าเป็นอย่างไร แม้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม  และแม้ว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นตัวของตัวเองแล้ว และเจ้าก็สามารถหาเงินมาเกื้อหนุนตนเองได้ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขายังคงสามารถควบคุมเจ้า และรู้สึกว่าพวกเขายังคงมีสิทธิที่จะพูด เข้ามายุ่งเกี่ยว ตัดสินใน แทรกแซง หรือถึงกับครอบงำเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับตัวเจ้า  นั่นก็คือพวกเขาคิดว่าตัวเองสามารถเป็นผู้ชี้ขาด  ตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นเรื่องของการสมรส หากเจ้ากำลังคบหาอยู่กับใครบางคน พ่อแม่ของเจ้าก็จะพูดทันทีว่า “นั่นไม่ดี เธอไม่ได้มีการศึกษาระดับเดียวกับลูก เธอไม่ได้หน้าตาสวยนัก และครอบครัวของเธอก็อาศัยอยู่ในชนบท  หลังจากลูกแต่งงานกับเธอ ญาติของเธอจากบ้านนอกก็จะยกโขยงกันมา พวกเขาจะใช้ห้องน้ำไม่เป็น และพวกเขาก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างโสโครกไปหมด  นั่นจะไม่ใช่ชีวิตที่ดีของลูกอย่างแน่นอน  นั่นไม่ดีเลย แม่ไม่ยินยอมให้ลูกแต่งงานกับเธอ!”  นี่คือการแทรกแซงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นเกินจำเป็นและน่าขยะแขยงไม่ใช่หรือ?  (นั่นเกินจำเป็น)  ลูกชายและลูกสาวยังต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่เมื่อพวกเขามองหาคู่  ผลที่ตามมาก็คือ ปัจจุบันนี้มีลูกบางคนไม่บอกพ่อแม่ของตัวเองด้วยซ้ำว่าพวกเขาเจอคู่แล้ว แค่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงของพ่อแม่  เมื่อพ่อแม่ของพวกเขาถาม “ลูกมีคู่ไหม?” พวกเขาก็แค่พูดว่า “ไม่มีเลย ยังเร็วไปหน่อย ลูกยังเด็ก ไม่รีบ” แต่ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขามีคู่มาสองหรือสามปีแล้ว พวกเขาก็แค่ไม่ได้บอกพ่อแม่ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่บอกพ่อแม่ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้?  ก็เพราะพ่อแม่ต้องการแทรกแซงในทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อแม่เจ้ากี้เจ้าการมาก ดังนั้นลูกจึงไม่บอกพ่อแม่เกี่ยวกับคู่ของตน  เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะแต่งงาน พวกเขาก็แค่พาคู่ของตนตรงมาที่บ้านของพ่อแม่และถามว่า “พ่อแม่จะยินยอมไหม?  ลูกจะแต่งงานพรุ่งนี้  ลูกกำลังจัดการเรื่องนี้แบบนี้ไม่ว่าพ่อกับแม่จะยินยอมหรือไม่  ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยินยอม พวกเราก็จะเดินหน้าต่อและมีลูกกันอยู่ดี”  พ่อแม่เหล่านี้แทรกแซงลูกของตัวเองมากเกินไป ถึงกับแทรกแซงการสมรสของลูก  ตราบที่คู่ซึ่งลูกของตนพบเจอนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาหวัง หากคู่ของลูกเข้ากันได้ไม่ดีกับพวกเขา หรือหากพวกเขาไม่ชอบคู่ของลูก พวกเขาก็จะพยายามทำให้ลูกกับคู่ของลูกแยกทางกัน  หากลูกของพวกเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พ่อแม่ก็จะร่ำไห้ โหวกเหวกโวยวาย และขู่จะฆ่าตัวตาย จนถึงจุดที่ลูกไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี—พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  มีลูกชายและลูกสาวบางคนด้วยเช่นกันที่พูดว่าตัวเองอายุมากแล้วและไม่ต้องการแต่งงาน และพ่อแม่ของพวกเขาก็บอกพวกเขาว่า “นั่นไม่ดีเลย  แม่เคยหวังว่าลูกจะโตขึ้น แต่งงาน และมีลูก  แม่ได้เห็นลูกเติบโตแล้ว และตอนนี้แม่ก็อยากเห็นลูกแต่งงานและมีลูก  แม่จึงสามารถตายตาหลับได้  ถ้าลูกไม่แต่งงาน แม่คงจะไม่มีวันสมหวังในความปรารถนานี้ได้  แม่คงจะตายไม่ได้ และถ้าแม่ตาย แม่ก็จะตายตาไม่หลับ  ลูกต้องแต่งงาน รีบหาคู่เสียเถิด  ถึงลูกแค่หาคู่ชั่วคราวก็ไม่เป็นไรด้วยซ้ำ และขอให้แม่ได้เห็นคู่ของลูกนะ”  นี่เป็นการแทรกแซงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเรื่องของการที่ลูกในวัยผู้ใหญ่ของตนเลือกคู่สมรส พ่อแม่สามารถให้การแนะแนวที่เหมาะสม พวกเขาสามารถช่วยกระตุ้นเตือนลูกของตนหรือช่วยดูว่าคู่ของลูกเป็นอย่างไร แต่พวกเขาไม่ควรแทรกแซง พวกเขาไม่ควรช่วยลูกตัดสินใจ  ลูกของพวกเขามีความรู้สึกของตัวเองว่าพวกเขาชอบคู่ของตัวเองหรือไม่ ว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีหรือไม่ ว่าพวกเขามีความสนใจที่คล้ายคลึงกันหรือไม่ และว่าพวกเขาจะมีความสุขด้วยกันในอนาคตหรือไม่  พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งเหล่านี้ และต่อให้รู้ พ่อแม่ก็ทำได้เพียงให้ข้อเสนอแนะ พ่อแม่ต้องไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างโจ่งแจ้งหรือแทรกแซงเรื่องนี้อย่างจริงจัง  ถึงกับมีพ่อแม่บางคนพูดว่า “พอลูกชายหรือลูกสาวของฉันเจอคู่ คู่ของพวกเขาต้องมีจุดยืนทางสังคมที่เท่าเทียมกันกับครอบครัวฉัน  ถ้าไม่ใช่ และพวกเขามีสิ่งจูงใจบางอย่างในตัวลูกชายหรือลูกสาวของฉัน ฉันก็จะไม่ยอมให้พวกเขาแต่งงานกัน ฉันจะต้องขัดขวางแผนการของพวกเขา  ถ้าพวกเขาต้องการเข้าบ้านของฉัน ฉันก็จะไม่ยอม!” ความคาดหวังนี้เหมาะควรหรือไม่?  นั่นมีเหตุผลหรือไม่?  (นั่นไม่มีเหตุผล)  นี่เป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญในชีวิตของลูกของพวกเขา การที่พ่อแม่แทรกแซงเรื่องนี้ย่อมไม่มีเหตุผล  แต่จากมุมมองนี้ของพ่อแม่นั้น มีเหตุให้ต้องแทรกแซงเรื่องซึ่งมีนัยสำคัญในชีวิตของลูกมากกว่านี้ด้วยซ้ำ  หากลูกของพวกเขาเจอเพื่อนเพศตรงข้ามให้พูดคุยด้วยอย่างไม่จริงจัง พวกเขาจะไม่แทรกแซง แต่หากนั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ของการสมรส พวกเขาก็จะคิดว่าตัวเองต้องแทรกแซง  ถึงกับมีพ่อแม่ที่ทุ่มความพยายามในการสอดแนมเกี่ยวกับลูก มองหาว่าเพศตรงข้ามรายใดที่ลูกมีรายละเอียดการติดต่อและข้อมูลอยู่ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ สอดแทรกและสะกดรอยตามลูกจนถึงจุดที่ลูกหลังชนฝา ไม่อาจต่อสู้ โต้แย้ง หรือหลบลี้จากอุปสรรคขวางกั้นนี้  นี่ใช่หนทางอันเหมาะควรที่พ่อแม่คนหนึ่งจะกระทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากพ่อแม่ทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพ่อแม่ นี่เรียกว่าการเป็นตัวสร้างความเดือดร้อนใช่หรือไม่?  สิ่งที่พ่อแม่ควรทำเพื่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงเป็นการปฏิบัติความรับผิดชอบและภาระผูกพันทั้งหลายในฐานะพ่อแม่ การช่วยเหลือพวกเขาในเส้นทางชีวิตภายภาคหน้าของพวกเขา และการให้การแนะแนว การกระตุ้นเตือน และการตักเตือนที่มีคุณค่าและมีเหตุผลแก่พวกเขาบ้าง เพื่อให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงในที่ทำงานหรือเมื่อพวกเขาติดต่อสื่อสารกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งสารพัดประเภท รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางอ้อม การพบเจอความเดือดร้อนที่ไม่จำเป็น หรือแม้แต่การถูกฟ้องร้อง  พ่อแม่ควรใช้จุดยืนจากมุมมองของบุคคลหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ อีกทั้งให้จุดอ้างอิงและการแนะแนวซึ่งมีคุณค่าและมีเหตุผลแก่พวกเขาบ้าง  ส่วนการที่ลูกจะฟังพวกเขาหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของลูก  สิ่งที่พ่อแม่พึงทำก็แค่ลุล่วงหน้าที่ทั้งหลายของตน  พ่อแม่ไม่อาจมีอิทธิพลต่อการที่ลูกของตนจะได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากเพียงใด ลูกจะสู้ทนกับความเจ็บปวดมากเพียงใด หรือลูกจะชื่นชมยินดีกับพระพรมากมายเพียงใด  หากลูกของพวกเขาต้องสู้ทนความทุกข์ลำบากบางอย่างในชีวิตนี้ และพ่อแม่ได้สอนสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องสอนให้กับลูกไปแล้ว แต่เมื่อบางสิ่งเกิดกับลูก ลูกก็ยังคงเอาแต่ใจอย่างมาก เช่นนั้นลูกก็ควรแล้วที่จะต้องทนทุกข์ นั่นเป็นชะตากรรมของลูก และพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องติเตียนตนเอง นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในบางกรณี การสมรสของผู้คนเป็นไปได้ไม่ดี พวกเขาไม่สมานฉันท์กับคู่สมรสของตน และตัดสินใจหย่าร้าง และหลังจากที่พวกเขาหย่าร้างกันแล้ว ก็มีกรณีพิพาทว่าใครจะเป็นผู้ฟูมฟักเลี้ยงดูลูก  พ่อแม่ของคนเหล่านั้นหวังว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับพวกเขาในการงานของพวกเขา ว่าพวกเขาจะมีการสมรสที่ผาสุกและมีความสุข อีกทั้งหวังให้ไม่มีรอยร้าวหรือปัญหาผุดขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นไปในหนทางที่พวกเขาต้องการให้เป็น  ผลที่ตามมาก็คือ พ่อแม่เหล่านี้เป็นกังวลเกี่ยวกับลูกของตน ร้องไห้พร่ำรำพันกับเพื่อนบ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ และช่วยลูกชายลูกสาวหาทนายมาต่อสู้เพื่ออำนาจปกครองบุตรของตัวลูกเอง  ถึงกับมีพ่อแม่บางคนที่เห็นว่าลูกสาวของตนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและลุกขึ้นสู้ในนามของลูก โดยไปที่บ้านของสามีของลูกและตะโกนโหวกเหวกว่า “ทำไมเธอถึงไม่เป็นธรรมกับลูกสาวฉันแบบนี้?  ฉันจะไม่ยอมเพิกเฉยกับการหยามหมิ่นนี้!”  พวกเขาถึงกับพาครอบครัวใหญ่ของตัวเองไปด้วยเพื่อระบายความโกรธแทนลูกสาวของตน และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาก่อให้เกิดความอลหม่านกันยกใหญ่  หากทั้งครอบครัวไม่มาโหวกเหวกโวยวาย และความตึงเครียดระหว่างสามีกับภรรยาค่อยๆ สลายไป เช่นนั้นแล้วหลังจากที่สามีภรรยาใจเย็นลง ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่ได้หย่าร้างกัน แต่เพราะพ่อแม่เหล่านี้โหวกเหวกโวยวาย นั่นจึงแปรไปเป็นเรื่องใหญ่ การสมรสที่แตกหักไปแล้วของลูกไม่อาจแก้ไขคืนและรอยร้าวก็ก่อตัวขึ้น  สุดท้ายแล้วพ่อแม่ก็โหวกเหวกโวยวายมากเกินไปจนการสมรสของลูกตัวเองไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และพ่อแม่เหล่านี้ก็ห่วงกังวลในเรื่องนี้เช่นกัน  จงบอกเราทีเถิดว่า นี่คุ้มค่ากับความเดือดร้อนหรือไม่?  การที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อะไรหรือ?  พ่อแม่ทุกคนคิดว่าตัวเองมีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสมรสหรืองานของลูก “ฉันต้องเกี่ยว ฉันจำเป็นต้องแกะรอยและสังเกตุการณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด”  พวกเขาสังเกตการณ์ว่าการสมรสของลูกของตัวเองนั้นมีความสุขหรือไม่ ว่ามีปัญหาใดในด้านความรักใคร่ของพวกเขาหรือไม่ รวมทั้งสังเกตการณ์ว่าลูกชายหรือลูกเขยของตนกำลังนอกใจหรือไม่  พ่อแม่บางคนก้าวก่าย วิพากษ์วิจารณ์ หรือถึงกับคิดค้นกลอุบายเกี่ยวกับชีวิตของลูกในหลากหลายแง่มุมเพื่อสนองความคาดหวังที่ตนเองมีต่อการสมรสของลูกหรือสิ่งอื่นสารพัด และการนี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบระเบียบที่ปกติของชีวิตและงานของลูก  พ่อแม่แบบนี้น่าชังไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  มีกระทั่งพ่อแม่บางคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของลูกและนิสัยในการดำเนินชีวิต และยามที่พวกเขาไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็ไปที่บ้านของลูกเพื่อดูว่าลูกสะใภ้ของตนเป็นอย่างไร เพื่อตรวจดูว่าลูกสะใภ้แอบส่งของขวัญหรือเงินทองให้กับครอบครัวของตัวเองหรือไม่ หรือว่าพวกเธอกำลังเล่นชู้กับชายอื่นอยู่หรือไม่  ลูกของพวกเขาพบว่าการกระทำเหล่านี้น่ารังเกียจผลักไสและน่าเกลียดชัง  หากพ่อแม่เป็นแบบนี้ต่อไป ลูกก็จะรู้สึกว่านั่นน่าเกลียดชังและน่ารังเกียจผลักไส ดังนั้นจึงชัดเจนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่มีเหตุผล  แน่นอนว่าหากพวกเรามองจากอีกมุมมอง การกระทำเหล่านี้ยังไร้ศีลธรรมและขาดความเป็นมนุษย์อีกด้วย  ไม่ว่าพ่อแม่มีความคาดหวังประเภทใดต่อลูก พ่อแม่ก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวในการดำเนินชีวิตหรือวงการงานของลูก หรือครอบครัวของลูก และพ่อแม่ยิ่งไม่ควรพยายามแทรกแซงหรือควบคุมแง่มุมต่างๆ ของชีวิตลูกหลังจากที่ลูกถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว  ถึงกับมีพ่อแม่บางคนที่รักเงินจริงๆ และพูดกับลูกว่า “ลูกจะจำเป็นต้องขยับขยายธุรกิจของลูกเพื่อทำเงินให้มากขึ้นเร็วๆ  ดูลูกของคนนั้นคนนี้สิ พวกเขาขยายธุรกิจของพวกเขาไปแล้ว—พวกเขาเปลี่ยนร้านเล็กๆ ของตัวเองไปเป็นร้านใหญ่ และพวกเขาก็เปลี่ยนร้านใหญ่นั่นไปเป็นแฟรนไชส์ และตอนนี้พ่อแม่ของพวกเขาก็ได้กินดื่มอย่างดีไปพร้อมกับพวกเขา  ลูกต้องหาเงินให้มากขึ้น  จงหาเงินให้มากขึ้นและเปิดร้านเพิ่มขึ้น แล้วพวกเราก็สามารถเสวยสุขในความรุ่งโรจน์ของลูกไปด้วยกัน”  ไม่สำคัญว่าลูกของตนมีความลำบากยากเย็นหรือมีความปรารถนาอะไร พวกเขาก็แค่ต้องการสนองการเลือกชอบและความยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง พวกเขาแค่ต้องการใช้ลูกของตนหาเงินให้มากเพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตัวพวกเขาเองในการสุขสำราญกับความยินดีทางเนื้อหนัง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำ  สิ่งเหล่านี้ไร้ศีลธรรมและขาดความเป็นมนุษย์ และพ่อแม่เช่นนั้นก็ไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่พ่อแม่ควรมีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพ่อแม่เหล่านี้กำลังฉวยโอกาสจากความอาวุโสของตนเองแทรกแซงชีวิต งาน การสมรส และอื่นๆ ของลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตนภายใต้หน้ากากของการแสดงความรับผิดชอบต่อลูก  ไม่สำคัญว่าลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของคนคนหนึ่งมีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขามีสถานะประเภทใดในสังคม หรือรายได้ของพวกเขาอาจเป็นอย่างไร นี่ก็คือชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดไว้สำหรับพวกเขา—นั่นอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า  พ่อแม่ไม่ควรแทรกแซงชีวิตประเภทที่ลูกของตนดำเนินอยู่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง หรือพวกเขากำลังทำผิดกฎหมาย อันเป็นกรณีที่พ่อแม่ควรบ่มวินัยพวกเขาอย่างเคร่งครัด  แต่ภายใต้สภาพการณ์ปกติที่ผู้ใหญ่เหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้อง และมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตและอยู่รอดได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง พ่อแม่ก็ควรถอยออกมาเพราะลูกของตนนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว  หากลูกของพวกเขาเพิ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ และพวกเขาอายุ 20 หรือ 21 ปี แต่พวกเขายังคงไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์อันซับซ้อนนานาสารพันในสังคม หรือวิธีที่จะประพฤติปฏิบัติตนในชีวิต อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เข้าใจวิธีเข้าสังคม และพวกเขาก็มีทักษะในการอยู่รอดที่ไม่ดี เช่นนั้นพ่อแม่เหล่านี้ก็ควรให้การอนุเคราะห์อันเหมาะควรแก่พวกเขาบ้าง ช่วยให้พวกเขาค่อยๆ สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่จุดที่พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างพึ่งพาตัวเองได้ทีละน้อย  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  แต่ทันทีที่พ่อแม่ได้วางลูกลงบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว และลูกของพวกเขาก็มีความสามารถที่จะอยู่รอดอย่างพึ่งพาตัวเองได้แล้ว พ่อแม่เหล่านี้ก็ควรถอนตัวออกไป  พวกเขาไม่ควรปฏิบัติต่อลูกต่อไปราวกับว่าลูกยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือราวกับว่าลูกมีความบกพร่องทางจิต  พวกเขาไม่ควรมีความคาดหวังที่ไม่สมจริงอันใดต่อลูกของตน หรือแทรกแซงชีวิตส่วนตัวของลูกหรือท่าที มุมมอง และการกระทำของลูกในแง่ที่เกี่ยวกับงาน ครอบครัว การสมรส ผู้คน และเหตุการณ์ทั้งหลายภายใต้หน้ากากของการมีความคาดหวังอันใดต่อลูก  หากพวกเขาทำสิ่งใดในสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่ของตน

เมื่อลูกชายและลูกสาวของพวกเขาสามารถอยู่รอดได้อย่างเป็นเอกเทศ สิ่งที่พ่อแม่พึงทำก็คือเพียงแค่แสดงให้ลูกเห็นความห่วงใยและความเอาใจใส่ที่จำเป็นเมื่อเป็นเรื่องของงาน ชีวิต และครอบครัวของพวกเขา หรือให้การอนุเคราะห์ที่เหมาะควรแก่พวกเขาบ้างในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่อาจสำเร็จลุล่วงหรือดูแลบางสิ่งได้โดยใช้ความสามารถของตนเองเท่านั้นเอง  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าลูกชายหรือลูกสาวของเจ้ามีลูกน้อย และทั้งลูกและคู่ครองก็งานยุ่งมาก  ลูกน้อยยังเล็กมากและบางคราวก็ไม่มีใครดูแล  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ เจ้าสามารถช่วยลูกของเจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขา  นี่เป็นความรับผิดชอบในฐานะพ่อแม่ เพราะถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเลือดเนื้อของเจ้า และการที่เจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขาย่อมจะปลอดภัยกว่าให้คนอื่นทำ  หากลูกของเจ้าไว้ใจให้เจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็ควรดูแลให้  หากลูกไม่รู้สึกสบายใจที่จะวางใจมอบลูกน้อยไว้กับเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าดูแล หรือหากพวกเขาจะไม่ยอมให้เจ้าดูแลลูกน้อยเพราะพวกเขาทะนุถนอมเจ้า เพราะพวกเขาคำนึงถึงเจ้า และพวกเขาเกรงว่าเจ้ามีสุขภาพกายที่ไม่ดีพอที่จะทำ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรจับผิดในเรื่องนี้  มีกระทั่งลูกชายและลูกสาวบางคนที่ไม่ไว้วางใจพ่อแม่ของตัวเองเอาเสียเลย พวกเขาคิดว่าพ่อแม่ไม่มีความสามารถที่จะดูแลเด็กเล็ก ว่าพ่อแม่เพียงรู้วิธีตามใจเด็กเท่านั้น และไม่รู้วิธีให้การศึกษาพวกเขา อีกทั้งพ่อแม่ไม่ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของเด็ก  หากลูกชายหรือลูกสาวไม่ไว้วางใจเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขา นั่นยิ่งดีเสียกว่า เช่นนั้นเจ้าย่อมมีเวลาว่างมากขึ้น  นี่เรียกว่าการยินยอมร่วมกัน ทั้งพ่อแม่และลูกไม่แทรกแซงกันและกัน อีกทั้งพวกเขาก็แสดงความคำนึงถึงอีกฝ่ายไปในเวลาเดียวกัน  เมื่อลูกของพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ความห่วงใย และการดูแล พ่อแม่ก็แค่จำเป็นต้องจัดเตรียมความเป็นห่วง ความเอาใจใส่ และการเกื้อหนุนทางการเงินในระดับอารมณ์หรือในด้านอื่นที่จำเป็นและเหมาะควรให้กับพวกเขา  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพ่อแม่มีเงินออมอยู่บ้าง หรือมีการงานที่ดีและมีแหล่งรายได้  เมื่อลูกของตนต้องการเงินบ้าง พวกเขาก็สามารถช่วยลูกได้เล็กน้อยหากทำได้  หากไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาต้องยอมทิ้งสมบัติพัสถานทั้งหมด หรือยืมเงินจากเงินกู้นอกระบบเพื่อช่วยลูกของตน  พวกเขาแค่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้ในขอบเขตความสามารถของตนเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบที่ตัวเองมีภายใต้กรอบของความเป็นเครือญาติกัน  ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี หรือขายไตหรือเลือดของตัวเอง หรือทำงานจนตัวตายเพื่อช่วยลูกของตน  ชีวิตของเจ้าเป็นของเจ้า พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับเจ้า และเจ้าก็มีภารกิจเป็นของตัวเอง  เจ้ามีชีวิตนี้ก็เพื่อให้เจ้าสามารถลุล่วงภารกิจเหล่านั้น  ลูกของเจ้ามีชีวิตเป็นของตัวเองเช่นกันเพื่อให้พวกเขาสามารถจบสิ้นเส้นทางชีวิตของตนและทำภารกิจในชีวิตของตนให้เสร็จบริบูรณ์ ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาสามารถแสดงความกตัญญูได้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าลูกของพวกเขาเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ ชีวิตของพ่อแม่เป็นของตัวพ่อแม่เองเท่านั้น ไม่ได้เป็นของลูก  โดยธรรมชาติแล้ว พ่อแม่ไม่ใช่ทาสหรือพี่เลี้ยงเด็กแบบปลอดค่าจ้างของลูก  ไม่สำคัญว่าพ่อแม่มีความคาดหวังใดต่อลูกของตนก็ไม่จำเป็นที่พ่อแม่ต้องยอมให้ลูกสั่งให้พวกเขาทำอะไรต่ออะไรตามอำเภอใจโดยปราศจากการตอบแทนอันใด หรือที่พ่อแม่ต้องกลายเป็นคนรับใช้ คนทำงานบ้าน หรือทาสของลูก  ไม่ว่าเจ้ามีความรู้สึกใดต่อลูก เจ้าก็ยังคงเป็นบุคคลที่เป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับผู้ใด  เจ้าไม่ควรเข้าไปรับผิดชอบชีวิตผู้ใหญ่ของพวกเขาราวกับนั่นเป็นการถูกต้องอย่างสมบูรณ์ที่จะทำเพียงเพราะพวกเขาเป็นลูกของเจ้า  พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในการฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว  ส่วนการที่พวกเขาจะดำเนินชีวิตได้ดีหรือไม่ดีในภายภาคหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะร่ำรวยหรือยากจน หรือว่าพวกเขาจะดำรงชีวิตอย่างมีความสุขหรือไม่มี นั่นก็เป็นธุระของพวกเขาเอง  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย  ตัวเจ้าในฐานะพ่อแม่ไม่มีภาระผูกพันที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น  หากชีวิตของพวกเขาไม่มีความสุข เจ้าก็ไม่ได้มีภาระผูกพันที่จะต้องพูดว่า “ลูกไม่มีความสุข—แม่จะคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ แม่จะขายทุกอย่างที่แม่เป็นเจ้าของ แม่จะใช้พลังงานชีวิตทั้งหมดของแม่เพื่อทำให้ลูกมีความสุข”  ไม่จำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น  เจ้าแค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าเท่านั้นเอง  หากเจ้าต้องการช่วยเหลือพวกเขา เจ้าอาจถามพวกเขาก็ได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่มีความสุข และให้การอนุเคราะห์พวกเขาในการทำความเข้าใจกับปัญหาบนระดับทฤษฎีและจิตวิทยา  หากพวกเขายอมรับการช่วยเหลือของเจ้า นั่นก็ยิ่งดีเสียอีก  หากพวกเขาไม่ยอมรับ เจ้าก็แค่จำเป็นต้องลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะพ่อแม่ แล้วก็หมดแค่นั้นเอง  หากลูกของเจ้าต้องการทนทุกข์ เช่นนั้นก็เป็นธุระของพวกเขาเอง  ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องเป็นกังวลหรือรู้สึกไม่ได้ดั่งใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือกินไม่ได้นอนไม่หลับตามที่ควร  การทำเช่นนั้นย่อมจะเกินจำเป็น  เหตุใดนั่นจึงจะเกินจำเป็น?  เพราะพวกเขาเป็นผู้ใหญ่  พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเผชิญในชีวิตตนด้วยตัวเอง  หากเจ้ารู้สึกห่วงใยพวกเขา นั่นก็แค่ความเสน่หา หากเจ้าไม่รู้สึกห่วงใยพวกเขา เช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไร้หัวใจ หรือหมายความว่าเจ้าไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาแบบผู้ใหญ่ อีกทั้งรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ใหญ่พึงรับมือ  พวกเขาไม่ควรพึ่งพาพ่อแม่ในทุกสิ่ง  แน่นอนว่า พ่อแม่ไม่ควรถือว่าการที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปด้วยดีหรือไม่ในการงาน อาชีพการงาน ครอบครัว การสมรสของลูกนั้นเป็นความรับผิดชอบของตนหลังจากที่ลูกถึงวัยผู้ใหญ่  เจ้าสามารถรู้สึกห่วงใยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็สามารถซักถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้แบบครบถ้วน ผูกลูกของเจ้ากระเตงข้างตัว พาพวกเขาไปด้วยทุกที่ที่เจ้าไป เฝ้าระวังพวกเขาทุกที่ที่เจ้าไป และนึกถึงพวกเขาว่า “วันนี้พวกเขากินอาหารดีหรือเปล่า?  พวกเขามีความสุขหรือเปล่า?  งานของพวกเขาไปได้ด้วยดีหรือเปล่า?  เจ้านายของพวกเขาซาบซึ้งคุณค่าในตัวพวกเขาหรือไม่?  คู่สมรสของพวกเขารักพวกเขาหรือไม่?  ลูกของพวกเขาเชื่อฟังหรือไม่?  ลูกของพวกเขาได้คะแนนดีหรือไม่?”  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?  ลูกของเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้อง  เหตุใดเราจึงถามว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?  โดยคำถามนี้ เราหมายความว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบที่ตัวเองมีต่อลูกของเจ้าแล้ว เจ้าได้ฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาจนเข้าไปสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นเจ้าควรถอยออกมา  ครั้นเจ้าถอยออกมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่มีอะไรทำ  ยังมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าพึงทำ  เมื่อเป็นเรื่องของภารกิจที่เจ้าต้องทำให้เสร็จสิ้นในชีวิตนี้ นอกจากการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกให้ไปสู่วัยผู้ใหญ่ เจ้าก็ยังมีภารกิจอื่นที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น  นอกเหนือจากการเป็นพ่อแม่ให้กับลูกของเจ้า เจ้าคือสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง  เจ้าควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับหน้าที่ของเจ้าจากพระองค์  หน้าที่ของเจ้าคืออะไร?  เจ้าทำเสร็จสิ้นหรือยัง?  เจ้าอุทิศตนเองเพื่อหน้าที่นั้นหรือยัง?  เจ้าได้เริ่มก้าวไปบนเส้นทางแห่งความรอดหรือยัง?  เหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าควรนึกถึง  ส่วนลูกของเจ้าจะไปที่ใดต่อไปหลังจากกลายเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร สภาพการณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขและร่าเริงหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย  ลูกของเจ้าเป็นเอกเทศแล้วทั้งภายนอกและทางจิตใจ  เจ้าควรปล่อยให้พวกเขาพึ่งพาตัวเอง เจ้าควรปล่อยมือ และเจ้าไม่ควรพยายามควบคุมพวกเขา  ไม่ว่าในแง่ภายนอกของสิ่งต่างๆ ความเสน่หา หรือความเป็นเครือญาติทางเนื้อหนัง เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว และเจ้ากับลูกของเจ้าไม่มีสัมพันธภาพใดระหว่างกันอีกต่อไป  ไม่มีสัมพันธภาพใดระหว่างภารกิจของเจ้ากับภารกิจของลูก และไม่มีสัมพันธภาพใดระหว่างเส้นทางชีวิตที่พวกเขาเดินกับความคาดหวังของเจ้า  ความคาดหวังของเจ้าที่มีต่อพวกเขาและความรับผิดชอบของเจ้าที่มีต่อพวกเขานั้นได้มาถึงปลายทางแล้ว  โดยธรรมชาตินั้น เจ้าไม่ควรมีความคาดหวังต่อพวกเขา  พวกเขาก็คือพวกเขา และเจ้าก็คือเจ้า  หากลูกของเจ้าไม่แต่งงาน เช่นนั้นในแง่ของชะตากรรมและภารกิจของเจ้ากับลูกแล้ว เจ้ากับลูกก็เป็นบุคคลเอกเทศที่ไม่เชื่อมโยงกันโดยสิ้นเชิง  หากพวกเขาแต่งงานและเริ่มต้นครอบครัวจริงๆ เช่นนั้นครอบครัวของเจ้ากับลูกก็เป็นครอบครัวที่ไม่เชื่อมโยงกันโดยสิ้นเชิง  ลูกของเจ้ามีนิสัยในการดำเนินชีวิตและวิถีชีวิตของตัวเอง พวกเขามีความจำเป็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของพวกเขา และเจ้าก็มีนิสัยในการดำเนินชีวิตและความจำเป็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของเจ้า  เจ้ามีเส้นทางในชีวิตของเจ้าและพวกเขาก็มีเส้นทางในชีวิตของพวกเขา  เจ้ามีภารกิจของเจ้า และพวกเขามีภารกิจของเขา  แน่นอนว่าเจ้ามีความเชื่อของเจ้าและพวกเขาก็มีของพวกเขา  หากความเชื่อของพวกเขาอยู่ตรงเงินทอง เกียรติยศ และผลประโยชน์ เช่นนั้นเจ้ากับลูกก็เป็นผู้คนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  หากพวกเขามีความเชื่อเดียวกับเจ้า หากพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินตามเส้นทางแห่งความรอด เช่นนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เจ้ากับลูกก็ยังคงเป็นบุคคลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เจ้าคือเจ้า และพวกเขาก็คือพวกเขา  เจ้าไม่ควรก้าวก่ายเมื่อเป็นเรื่องของเส้นทางที่พวกเขาเดิน  เจ้าสามารถเกื้อหนุน ช่วยเหลือ และจัดเตรียมให้กับพวกเขา เจ้าสามารถเตือนจำและเตือนสติพวกเขา แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องแทรกแซงหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง  ไม่มีใครสามารถกำหนดประเภทของเส้นทางที่อีกบุคคลหนึ่งจะเดิน พวกเขาจะดำรงชีวิตเป็นบุคคลประเภทใด หรือพวกเขาจะมีการการไล่ตามเสาะหาประเภทใด  จงคิดดูเถิดว่าเรากำลังนั่งอยู่ตรงนี้ พูดคุยกับพวกเจ้าและพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดบนพื้นฐานของสิ่งใด?  บนพื้นฐานของการที่พวกเจ้าเต็มใจที่จะฟัง  เรากำลังพูดเพราะพวกเจ้าเต็มใจที่จะฟังการเตือนสติอันตั้งใจจริงของเรา  หากพวกเจ้าไม่ได้เต็มใจฟัง หรือเจ้าผละจากไป เราก็คงไม่พูดอีกต่อไป  จำนวนคำที่เราพูดขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเต็มใจที่จะฟังหรือไม่ และว่าเจ้าเต็มใจใช้เวลาและพลังงานของเจ้าเพื่อทำเช่นนั้นหรือไม่  หากเจ้าจะพูดว่า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังตรัส ขอพระองค์ทรงลงรายละเอียดมากขึ้นได้หรือไม่?  เช่นนั้นเราก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อลงรายละเอียดให้มากขึ้น ทำให้เจ้าสามารถเข้าใจและเข้าไปสู่วจนะของเรา  เมื่อเราได้วางเจ้าลงบนร่องครรลองที่ถูกต้อง พาเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าความจริงแล้ว อีกทั้งได้ทำให้เจ้าเข้าใจความจริงและเดินตามทางของพระเจ้า กิจของเราก็จะเป็นอันเสร็จสิ้น  อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของการที่เจ้าจะเต็มใจปฏิบัติตามคำพูดของเราหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้ฟังแล้ว หรือเจ้าจะเดินบนเส้นทางประเภทใด เจ้าจะเลือกชีวิตประเภทใด หรือเจ้าจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใดนั้น เหล่านี้ไม่ใช่ธุระของเราเลย  หากเจ้าจะพูดว่า  “ข้าพระองค์มีคำถามเกี่ยวกับความจริงแง่มุมนั้น ข้าพระองค์ต้องการแสวงหาความจริงนั้น” เช่นนั้นเราก็จะตอบคำถามของเจ้าอย่างอดทน  หากเจ้าไม่ปรารถนาจะแสวงหาความจริงเลย เราจะตัดแต่งเจ้าเพราะเรื่องนี้หรือไม่?  เราจะไม่ทำ  เราจะไม่บังคับให้เจ้าแสวงหาความจริง หรือเย้ยหยันและล้อเล่นกับเจ้า อีกทั้งเราก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยท่าทีที่เย็นชาอย่างแน่นอน  เราจะปฏิบัติตนดังเช่นที่เราได้ปฏิบัติมาก่อนหน้า  หากเจ้าทำหน้าที่ผิดพลาด หรือจงใจก่อการขัดขวางหรือการก่อกวน เรามีหลักธรรมของเราและวิธีการของเราในการรับมือกับเจ้า  อย่างไรก็ตาม เจ้าอาจพูดว่า “ข้าพระองค์ไม่ต้องการฟังพระองค์ตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะยอมรับทัศนะเหล่านั้นของพระองค์  ข้าพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในหนทางที่ข้าพระองค์ได้ทำตลอดมา”  เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องไม่ละเมิดหลักธรรมและกฎการปกครอง  หากเจ้าละเมิดกฎการปกครองจริง เช่นนั้นเราจะรับมือกับเจ้า  แต่หากเจ้าไม่ละเมิดกฎการปกครอง และเจ้าก็สามารถประพฤติตนอย่างถูกควรขณะดำรงชีวิตคริสตจักร เราจะไม่ก้าวก่ายเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เราจะไม่แทรกแซงเมื่อเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องการกิน สวมใส่ หรือผู้คนใดที่เจ้าต้องการมีปฏิสัมพันธ์ด้วย  เราอนุญาตให้เจ้ามีอิสรภาพในแง่เหล่านี้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เราได้พูดกับเจ้าไปชัดเจนแล้วเกี่ยวกับหลักธรรมทั้งหมดและสาระที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกอิสระของเจ้า  เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด นี่เห็นได้ชัด  หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่รักความจริง ใครจะสามารถบังคับให้เจ้ารักได้?  ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกตัวบุคคลจะรับผิดชอบเส้นทางที่พวกเขาเดิน และผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องแบกรับ  เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการนี้  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ทำโดยสมัครใจ  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ทำโดยสมัครใจเช่นกัน—ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งเจ้า  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงจริงๆ ไม่มีใครที่จะหนุนใจเจ้าและเจ้าจะไม่ได้รับพระคุณพิเศษหรือพรทางวัตถุ  เราแค่กำลังปฏิบัติและลุล่วงความรับผิดชอบของเรา บอกความจริงทั้งหมดกับพวกเจ้าที่พวกเจ้าควรเข้าใจและจำเป็นต้องเข้าไปสู่  ส่วนวิธีที่พวกเจ้าใช้ชีวิตในส่วนตัวนั้น เราไม่เคยตั้งคำถามหรือสอดส่องเกี่ยวกับเรื่องนี้  นี่คือท่าทีที่เรามี  พ่อแม่ก็ควรปฏิบัติตนเช่นนี้ต่อลูกของพวกเขาเช่นกัน  ผู้ใหญ่มีความสามารถที่จะแยกแยะถูกผิด  ไม่ว่าพวกเขาเลือกถูกหรือผิด ไม่ว่าพวกเขาเลือกดำหรือขาว ไม่ว่าพวกเขาเลือกสิ่งที่เป็นบวกหรือสิ่งที่เป็นลบก็เป็นธุระของพวกเขา—การนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นภายในของพวกเขา  หากแก่นแท้ของบุคคลหนึ่งนั้นชั่ว พวกเขาก็จะไม่เลือกสิ่งที่เป็นบวก  หากบุคคลหนึ่งเพียรพยายามที่จะเป็นคนดีและพวกเขามีความเป็นมนุษย์ ความตระหนักในมโนธรรม และสำนึกของความละอาย พวกเขาย่อมจะเลือกสิ่งที่เป็นบวก ต่อให้พวกเขาทำเช่นนั้นช้าไปหน่อย แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  การนี้เลี่ยงไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรมีท่าทีประเภทนี้ต่อลูกของตน และไม่แทรกแซงทางเลือกของลูก  พ่อแม่บางคนมีข้อพึงประสงค์ต่อลูกของตัวเองว่า “ลูกของพวกเราควรเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาควรเชื่อในพระเจ้า ละทิ้งโลกปุถุชน และล้มเลิกการงานของพวกเขา  ไม่อย่างนั้นพอพวกเราเข้าไปสู่ราชอาณาจักร พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าไปได้ และพวกเราก็จะถูกแยกจากพวกเขา  จะเป็นการวิเศษมากหากทั้งครอบครัวของพวกเราสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรไปด้วยกัน!  พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันในสวรรค์เหมือนกับที่พวกเราอยู่ที่นี่บนแผ่นดินโลก  ขณะที่พวกเราอยู่ในราชอาณาจักร พวกเราต้องไม่ทิ้งกัน พวกเราต้องอยู่ด้วยกันตลอดทุกยุค!”  แล้วกลับกลายเป็นว่าลูกของพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และกลายเป็นว่าพวกเขากลับไล่ตามเสาะหาสิ่งทางโลกแทน และเพียรพยายามที่จะหาเงินให้ได้มากๆ และกลายเป็นมั่งมีอย่างมาก พวกเขาสวมใส่สิ่งใดก็ตามซึ่งเป็นที่นิยม พวกเขาทำและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นกระแสนิยม และพวกเขาไม่ลุล่วงความปรารถนาของพ่อแม่ของตน  ผลลัพธ์ก็คือพ่อแม่เหล่านี้รู้สึกไม่ได้ดั่งใจ พวกเขาอธิษฐานและอดอาหารเพราะการนี้ อดอาหารเป็นสัปดาห์ 10 วัน หรือสองสัปดาห์ และทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อเห็นแก่ลูกของตนในเรื่องนี้  บ่อยครั้งที่พวกเขาหิวโหยจนรู้สึกวิงเวียน และบ่อยครั้งที่พวกเขาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพลางร่ำไห้  แต่ไม่ว่าพวกเขาอธิษฐานอย่างไร หรือพวกเขาทุ่มความพยายามมากเพียงใด ลูกก็ไม่สะทกสะท้านและไม่รู้จักตื่น  ยิ่งลูกของพวกเขาไม่ยอมเชื่อ พ่อแม่เหล่านี้ก็ยิ่งคิดว่า “โอไม่นะ ฉันได้ทำให้ลูกไม่สมหวัง ฉันได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง  ฉันไม่ได้มีความสามารถที่จะเผยแพร่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขา และฉันไม่ได้พาพวกเขาขึ้นมาบนเส้นทางแห่งความรอดกับฉัน  พวกโง่เอ๋ย—นี่เป็นเส้นทางแห่งความรอดนะ!”  พวกเขาไม่ได้โง่เขลา พวกเขาแค่ไม่มีความจำเป็นนี้  พ่อแม่เหล่านี้ต่างหากที่เป็นคนโง่เพราะการพยายามบังคับลูกให้ขึ้นสู่เส้นทางนี้ ใช่หรือไม่?  หากลูกของพวกเขามีความจำเป็นนี้ พ่อแม่เหล่านี้จะจำเป็นที่จะต้องพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือ?  ลูกของพวกเขาคงมาเชื่อด้วยตัวเอง  พ่อแม่เหล่านี้คิดเสมอว่า “ฉันทำให้ลูกผิดหวัง  ฉันหนุนใจพวกเขาให้ไปเข้าวิทยาลัยตั้งแต่อายุน้อย และในเมื่อพวกเขาเข้าวิทยาลัยแล้ว พวกเขาก็ไม่หันกลับมา  พวกเขาจะไม่หยุดไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขากลับมา พวกเขาก็แค่พูดคุยเกี่ยวกับงาน การทำเงิน เกี่ยวกับว่าใครได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือได้ซื้อรถ ใครได้แต่งงานกับคนรวย ใครได้ไปเรียนต่อที่ยุโรปหรือเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน และพูดว่าชีวิตของคนอื่นกำลังเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่เพียงใด  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามาบ้าน พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น และฉันก็ไม่อยากฟังแต่ฉันก็ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย  ไม่ว่าฉันพูดอะไรเพื่อพยายามทำให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงไม่ฟังอยู่ดี”  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขามีปากเสียงกับลูก  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเจอกับลูก พวกเขาจะหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดคุยกับลูก สีหน้าของพวกเขาบูดบึ้ง ลูกบางคนไม่รู้จะทำอย่างไร และพวกเขาก็คิดว่า  “ฉันไม่รู้พ่อแม่ฉันเป็นอะไร  ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นฉันก็แค่ไม่เชื่อในพระองค์  ทำไมพ่อแม่ถึงปฏิบัติกับฉันด้วยท่าทีแบบนี้เสมอเลย?  ฉันคิดว่ายิ่งใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่ดีขึ้นเท่านั้น  เป็นไปได้อย่างไรที่พวกผู้เชื่อในพระเจ้าถึงมีความรักใคร่ให้ครอบครัวของตัวเองน้อยเหลือเกิน?”  พ่อแม่เหล่านี้เป็นกังวลเกี่ยวกับลูกของตนมากเสียจนเส้นโลหิตแทบแตก และพวกเขาก็พูดว่า “พวกเขาไม่ใช่ลูกของฉัน!  ฉันกำลังตัดสายสัมพันธ์กับพวกเขา ฉันกำลังบอกศาลาพวกเขา!”  พวกเขาพูดแบบนั้นแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขารู้สึกจริง  พ่อแม่แบบนี้โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาต้องการที่จะควบคุมและยึดกุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ พวกเขาปรารถนาที่จะยึดกุมอนาคต ความเชื่อของลูก และเส้นทางที่ลูกเดินอยู่เสมอ  นี่ช่างโง่เขลานัก!  นี่ไม่เหมาะควร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีลูกบางคนที่ไล่ตามเสาะหาสิ่งทางโลก ผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งฝ่ายบริหารและทำเงินได้มากมาย  พวกเขานำโสมมัดใหญ่ ต่างหูทอง และสร้อยทองกลับมาเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่ที่บ้าน และพ่อแม่ของพวกเขาก็พูดว่า “แม่ไม่ต้องการของพวกนี้หรอก แม่แค่หวังว่าพวกลูกจะสุขภาพแข็งแรง และเชื่อในพระเจ้าตามแม่  การเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ช่างวิเศษ!”  และลูกของพวกเขาก็พูดว่า “แม่อย่าเริ่มเรื่องนั้นเลย ลูกได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และแม่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อแสดงความยินดีกับลูกด้วยซ้ำ  พอพ่อแม่คนอื่นได้ยินว่าลูกตัวเองได้เลื่อนขั้น พวกเขาก็เปิดแชมเปญ พากันออกไปกินข้าวมื้อใหญ่ แต่พอลูกซื้อสร้อยกับตุ้มหูให้ แม่ก็ไม่มีความสุข  ลูกทำให้แม่ผิดหวังตรงไหนหรือ?  พ่อกับแม่แค่กำลังโกรธขึ้งเพราะลูกไม่เชื่อในพระเจ้า”  ถูกต้องหรือไม่ที่พ่อแม่เหล่านี้โกรธขึ้งแบบนี้?  ผู้คนมีการไล่ตามเสาะหาที่แตกต่างกันไป พวกเขาเดินบนเส้นทางที่ต่างกัน และพวกเขาก็เลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง  พ่อแม่ควรเข้ารับมือกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  หากลูกของเจ้าไม่ยอมรับรู้การดำรงอยู่ของพระเจ้า เจ้าไม่ควรเรียกร้องให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า—การบังคับสิ่งต่างๆ ไม่มีวันได้ผล  หากพวกเขาไม่ต้องการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่ใช่คนประเภทนั้น เช่นนั้นยิ่งเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนั้นมากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งทำให้เจ้ารำคาญมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะทำให้พวกเขารำคาญด้วย—ทั้งเจ้าและพวกเขาจะรู้สึกรำคาญ  แต่การที่เจ้าทั้งคู่รู้สึกรำคาญนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ—สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่าพระเจ้าจะทรงเกลียดชังเจ้า และพระองค์จะตรัสว่าความเสน่หาของเจ้านั้นรุนแรงเกินไป  ในเมื่อเจ้าสามารถจ่ายราคาอันใหญ่หลวงเช่นนั้นได้แค่เพราะลูกของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าก็หงุดหงิดยิ่งนักเกี่ยวกับการที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก หากพระเจ้าจะทรงพรากพวกเขาไปในสักวัน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าจะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าหรือ?  หากในหัวใจของเจ้านั้น ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า หากพวกเขาเป็นอนาคตของเจ้า ความหวังของเจ้า และชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ยังคงเป็นใครคนหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าจะไม่ทรงเกลียดชังการที่เจ้าปฏิบัติตนแบบนี้หรือไม่?  หนทางที่เจ้าปฏิบัติตนนั้นไร้ปัญญาเกินไป เข้ากับหลักธรรมไม่ได้ และพระเจ้าจะไม่ทรงพึงพอใจกับการนั้น  เพราะฉะนั้นหากเจ้ามีปัญญา เจ้าจะไม่ทำสิ่งประเภทนี้  หากลูกของเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ควรปล่อยมือจากเรื่องนี้  เจ้าได้ทำการโต้แย้งทั้งหมดที่เจ้าพึงทำและเจ้าได้พูดสิ่งที่เจ้าควรพูดไปแล้ว ดังนั้นจงปล่อยให้พวกเขาเลือกทางของตัวเอง  จงพยายามรักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับลูกก่อนหน้านั้น  หากพวกเขาปรารถนาที่จะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า หากพวกเขาต้องการทะนุถนอมและดูแลเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเรื่องนี้  หากพวกเขาต้องการพาเจ้าไปท่องเที่ยวยุโรป แต่นั่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าไม่ต้องการไป เช่นนั้นจงอย่าไป  แต่หากเจ้าต้องการไปจริงๆ และเจ้าก็มีเวลา เช่นนั้นก็จงไป  ไม่มีอะไรผิดที่เจ้าจะออกสู่โลกกว้าง  การนี้จะไม่ทำให้มือของเจ้าสกปรก และพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า  หากลูกของเจ้าซื้อสิ่งดีๆ บางอย่างให้เจ้า อาหารหรือเสื้อผ้าที่ดี และเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเหมาะควรที่ธรรมิกชนจะสวมใส่หรือใช้ เช่นนั้นก็จงชื่นชมยินดีไปกับสิ่งเหล่านั้น และพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นพระคุณจากพระเจ้า  หากเจ้าดูหมิ่นสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าไม่ชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นสร้างความเดือดร้อนและน่าขยะแขยง และหากเจ้าไม่เต็มใจที่จะชื่นชมยินดีไปกับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็สามารถปฏิเสธไม่ยอมรับได้โดยพูดว่า “แค่ได้เห็นลูกๆ แม่ก็มีความสุขแล้ว ลูกไม่จำเป็นต้องเอาของขวัญมาฝากแม่หรือใช้เงินเพื่อแม่ แม่ไม่อยากได้ของพวกนั้น  แม่แค่ต้องการให้พวกเจ้าปลอดภัยและมีความสุข”  นั่นแสนวิเศษมิใช่หรือ?  หากเจ้ากล่าวคำเหล่านี้และในหัวใจของเจ้าก็เชื่อในสิ่งเหล่านี้ หากเจ้าไม่พึงประสงค์ให้ลูกของเจ้าจัดเตรียมสิ่งชูใจทางวัตถุให้เจ้าจริงๆ หรือช่วยให้เจ้าอิ่มอกอิ่มใจในตัวพวกเขา เช่นนั้นลูกของเจ้าย่อมจะเลื่อมใสเจ้าใช่หรือไม่?   สำหรับความลำบากยากเย็นใดที่พวกเขาเผชิญในงานหรือชีวิตของพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขาให้ดีที่สุดเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถทำได้  หากการช่วยเหลือพวกเขาจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้—นั่นเป็นสิทธิของเจ้า  เพราะเจ้าไม่ติดหนี้อะไรพวกเขาอีกแล้ว เพราะเจ้าไม่มีความรับผิดชอบอันใดต่อพวกเขา และพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องพึ่งพาใครแล้ว พวกเขาสามารถบริหารจัดการชีวิตของตัวเองได้  เจ้าไม่จำเป็นต้องรับใช้พวกเขาอย่างไร้เงื่อนไขหรือตลอดเวลา  หากพวกเขาขอความช่วยเหลือเจ้า และเจ้าไม่เต็มใจที่จะอนุเคราะห์พวกเขา หรือหากการทำเช่นนั้นจะขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็บอกปฏิเสธได้  นั่นเป็นสิทธิของเจ้า ถึงแม้เจ้ามีความผูกพันทางสายเลือดกับพวกเขา และเจ้าเป็นพ่อแม่ของพวกเขา  นี่เป็นเพียงสัมพันธภาพที่เป็นทางการ เป็นสายเลือด และเป็นความเสน่หา—ในแง่ความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าเป็นอิสระจากสัมพันธภาพที่มีกับพวกเขาแล้ว  ดังนั้นหากพ่อแม่มีปัญญา พวกเขาจะไม่มีความคาดหวัง ข้อพึงประสงค์ หรือมาตรฐานที่มีต่อลูกหลังจากที่ลูกถึงวัยผู้ใหญ่ และพวกเขาจะไม่พึงประสงค์ให้ลูกของตนปฏิบัติตนในบางหนทาง หรือให้ลูกทำบางอย่างจากมุมมองหรือตำแหน่งของพ่อแม่ เพราะลูกของพวกเขาเป็นเอกเทศแล้ว  เมื่อลูกของเจ้าเป็นเอกเทศ นั่นหมายความว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหมดที่เจ้ามีต่อพวกเขาแล้ว  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดให้ลูกในยามที่สภาพการณ์อำนวย ไม่ว่าเจ้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยหรือความใส่ใจต่อพวกเขา นั่นเป็นเพียงแค่ความเสน่หาเท่านั้นเอง และนั่นเกินจำเป็น  หรือหากลูกขอให้เจ้าทำบางสิ่ง นั่นก็เกินจำเป็นเช่นกัน นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่เป็นความผูกพันทางหน้าที่ให้เจ้าต้องทำ  เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้  สิ่งเหล่านี้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)

สมมุติว่าพวกเจ้าสักคนจะพูดว่า “ฉันไม่มีวันปล่อยมือจากลูกของฉันได้  พวกเขาเกิดมาพร้อมสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ และพวกเขาก็ขี้กลัวและขลาดอายมาตั้งแต่เกิด  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถที่ดีนักอีกด้วย และพวกเขาก็ถูกคนอื่นในสังคมกลั่นแกล้งเสมอ  ฉันปล่อยมือจากพวกเขาไม่ได้หรอก”  การที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากลูกของเจ้าได้ไม่ได้หมายความว่าเจ้ายังไม่เสร็จสิ้นการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าที่มีต่อพวกเขา นั่นก็แค่ผลจากความรู้สึกของเจ้าเท่านั้นเอง  เจ้าอาจพูดว่า “ฉันเป็นกังวลและคิดอยู่เสมอว่าลูกได้กินดีหรือไม่ หรือว่าพวกเขามีปัญหาท้องไส้บ้างหรือเปล่า  ถ้าพวกเขาไม่กินตรงตามเวลาและเอาแต่สั่งอาหารประเภทซื้อกลับบ้านในระยะยาว พวกเขาจะเกิดปัญหาท้องไส้ขึ้นมาไหม?  พวกเขาจะเจ็บป่วยบางอย่างหรือเปล่า?  และหากพวกเขามีอาการป่วย จะมีใครดูแลพวกเขา แสดงความรักกับพวกเขาไหม?  คู่ครองของพวกเขาแสดงความห่วงใยพวกเขาและดูแลพวกเขาไหม?”  ความกังวลของเจ้าเกิดจากความรู้สึกของเจ้าและความผูกพันทางสายเลือดที่เจ้ามีกับลูกทั้งสิ้น แต่เหล่านี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า  ความรับผิดชอบที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพ่อแม่ก็แค่ความรับผิดชอบในการฟูมฟักเลี้ยงดูและดูแลลูกของตนก่อนที่ลูกไปถึงวัยผู้ใหญ่  หลังจากที่ลูกกลายเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ไม่มีความรับผิดชอบอันใดต่อพวกเขาอีกแล้ว  นี่เป็นการมองที่ความรับผิดชอบซึ่งพ่อแม่ควรลุล่วงจากมุมมองแห่งการทรงตั้งของพระเจ้า  เจ้าเข้าใจตรงนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  ไม่ว่าความรู้สึกของเจ้าจะรุนแรงเพียงใด หรือเมื่อสัญชาตญาณแบบพ่อแม่ของเจ้าวูบเข้ามา นี่ก็ไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า นี่เป็นแค่เพียงผลจากความรู้สึกของเจ้าเท่านั้นเอง  ผลจากความรู้สึกของเจ้าไม่ได้มีจุดกำเนิดมาจากเหตุผลของความเป็นมนุษย์ หรือหลักธรรมที่พระเจ้าได้ทรงสอนมนุษย์ หรือการนบนอบความจริงของมนุษย์ และผลเหล่านั้นไม่ได้มีจุดกำเนิดมาจากความรับผิดชอบของมนุษย์อย่างแน่นอน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผลเหล่านั้นมาจากความรู้สึกของมนุษย์—ผลเหล่านั้นเรียกว่าความรู้สึก  มีความรักแบบพ่อแม่และเครือญาติปะปนมาในการนี้นิดหน่อย  เพราะพวกเขาเป็นลูกของเจ้า เจ้าจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขาอยู่เป็นนิจ ฉงนฉงายว่าพวกเขากำลังทนทุกข์อยู่ข้างนอกโน้นหรือเปล่า หรือพวกเขากำลังถูกกลั่นแกล้งหรือไม่  เจ้าฉงนฉงายว่างานของพวกเขากำลังไปได้ดีหรือไม่ และว่าพวกเขากำลังกินอาหารแต่ละมื้อตามเวลาอันควรหรือไม่  เจ้าฉงนฉงายว่าพวกเขาได้เกิดป่วยเป็นโรคหรือเปล่า และว่าพวกเขาจะสามารถมีเงินพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือไม่หากพวกเขาป่วยจริงๆ  เจ้าคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะพ่อแม่  หากเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากความห่วงใยเหล่านี้ นั่นพูดได้เพียงว่าเจ้ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตัวเอง และไม่สามารถปลีกหนีจากความรู้สึกเหล่านั้นได้  เจ้าแค่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตัวเอง เข้ารับมือกับลูกไปตามความรู้สึกของตัวเอง มากกว่าที่จะดำเนินชีวิตโดยคำจำกัดความแห่งความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ที่พระเจ้าประทานไว้  เจ้าไม่ได้กำลังดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าแค่กำลังรู้สึก มอง และรับมือกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไปตามความรู้สึกของเจ้า  นี่หมายความว่าเจ้าไม่ได้กำลังเดินตามทางของพระเจ้า  นี่เห็นได้ชัด  ความรับผิดชอบแบบพ่อแม่—ตามที่พระเจ้าทรงสอนเจ้า—นั้นจบลงแล้วในอึดใจที่ลูกของเจ้าได้ไปถึงวัยผู้ใหญ่  วิธีการปฏิบัติที่พระเจ้าทรงสอนเจ้านั้นง่ายดายและเรียบง่ายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่ทำกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์ และเจ้าย่อมจะกำลังให้อิสรภาพแก่ลูกในระดับหนึ่งและให้โอกาสพวกเขาพัฒนาตนเอง โดยไม่เพิ่มความเดือดร้อนหรือความยุ่งยากอันใดให้กับลูก หรือเพิ่มภาระให้กับพวกเขา  และในเมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ การทำเช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้พวกเผชิญโลก เผชิญชีวิตของตัวเอง และปัญหาสารพันที่พวกเขาเผชิญในชีวิตประจำวันและการดำรงอยู่ของพวกเขา ด้วยมุมมองของผู้ใหญ่ วิธีการที่เป็นตัวของตัวเองของผู้ใหญ่สำหรับการรับมือสิ่งทั้งหลายและมองสิ่งทั้งหลาย รวมถึงโลกทัศน์ที่เป็นตัวของตัวเองของผู้ใหญ่  เหล่านี้คืออิสรภาพและสิทธิของลูกของเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรทำในฐานะผู้ใหญ่ และสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  หากเจ้าต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้เสมอ เช่นนั้นก็ค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน  หากเจ้าต้องการแทรกตัวเข้าไปในสิ่งเหล่านี้เสมออย่างจงใจและแทรกแซงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้ก่อให้เกิดการก่อกวนและการทำลาย และสุดท้ายแล้ว ไม่เพียงสิ่งทั้งหลายจะกลับกลายเป็นตรงกันข้ามกับที่เจ้าปรารถนา ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าจะทำให้ลูกของเจ้ารู้สึกรังเกียจเจ้า และชีวิตของเจ้าก็จะค่อนข้างน่าเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย  ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะเต็มไปด้วยข้อข้องใจและพร่ำบ่นว่าลูกของเจ้าไม่กตัญญู ไม่เชื่อฟัง หรือไม่คำนึงถึงเจ้า เจ้าจะพร่ำบ่นว่าพวกเขาเป็นคนไม่รู้คุณคนซึ่งไม่สำนึกบุญคุณ ไม่มีการซาบซึ้งคุณค่า และไม่มีความใส่ใจ  มีพ่อแม่บางคนที่หยาบคายและไม่มีเหตุผลซึ่งจะร้องไห้ ตีโพยตีพาย และขู่จะฆ่าตัวตาย ใช้เล่ห์กลใดก็ตามที่พวกเขาทำได้  นี่ยิ่งน่าขยะแขยงมากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้ามีปัญญา เจ้าจะปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ ดำเนินชีวิตตัวเองในลักษณะที่ผ่อนคลาย และแค่ลุล่วงความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ของเจ้า  หากเจ้าพูดว่าเจ้าต้องการดูแลลูกและแสดงให้พวกเขาเห็นความห่วงใยบ้างเพื่อเห็นแก่ความเสน่หา เช่นนั้นการแสดงให้พวกเขาเห็นความห่วงใยที่จำเป็นเป็นอันอนุญาตได้  เราไม่ได้กำลังพูดว่าพ่อแม่แค่ควรตัดสายสัมพันธ์กับลูกของตนทันทีที่ลูกกลายเป็นผู้ใหญ่และพ่อแม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนแล้ว  พ่อแม่ไม่ควรละเลยลูกที่เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ควรแค่บอกลูกให้ไปอยู่ลำพัง หรือเพิกเฉยต่อลูกไม่ว่าลูกเผชิญความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงแค่ไหน—แม้แต่ในเวลาที่ความลำบากยากเย็นเหล่านั้นขับดันให้ลูกของพวกเขาไปสู่สถานการณ์เฉียดตาย—หรือไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการพ่อแม่  นี่ก็ผิดเช่นกัน—นี่สุดโต่งเกินไป  เมื่อลูกจำเป็นต้องปรับทุกข์กับเจ้า เจ้าก็ควรตั้งใจรับฟังและหลังจากฟังแล้ว เจ้าก็ควรถามลูกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรและตั้งใจจะทำอะไร  เจ้าสามารถให้ข้อเสนอแนะของตัวเองด้วยเช่นกัน  หากพวกเขามีความคิดและแผนการเป็นของตนเอง และพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของเจ้า ก็แค่พูดว่า “ไม่เป็นไร ในเมื่อลูกตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าผลที่ตามมาของเรื่องนี้คืออะไรในภายหน้า ลูกก็จะต้องแบกรับตามลำพัง  นี่เป็นชีวิตของลูก  ลูกต้องเดินจนสุดเส้นทางชีวิตของลูกเอง  ไม่มีใครอื่นสามารถรับผิดชอบชีวิตของลูกได้  หากลูกตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นแม่ก็จะสนับสนุนลูก  ถ้าลูกจำเป็นต้องใช้เงิน แม่ให้ลูกได้นิดหน่อย  ถ้าลูกจำเป็นต้องให้แม่ช่วย แม่ช่วยลูกได้ในขอบเขตความสามารถของแม่  ยังไงเสียแม่ก็เป็นพ่อแม่ของลูก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก  แต่ถ้าลูกพูดว่าลูกไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือของแม่หรือเงินทองของแม่ และลูกแค่จำเป็นต้องให้แม่ตั้งใจฟัง แบบนั้นก็ยิ่งง่ายขึ้นด้วยซ้ำ”  เช่นนั้นเจ้าก็จะได้พูดสิ่งที่เจ้าต้องพูดแล้ว ลูกก็จะได้พูดในสิ่งที่ลูกต้องพูดแล้ว ข้อคับข้องใจทั้งหมดของพวกเขาก็จะถูกหลั่งรินออกมาแล้ว ความโกรธทั้งหมดของพวกเขาก็จะถูกระบายแล้ว  พวกเขาจะปาดน้ำตาทิ้งไป พวกเขาจะไปทำสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ และเจ้าก็จะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะพ่อแม่แล้ว  นี่ทำไปเพื่อเห็นแก่ความเสน่หา นี่เรียกว่าความเสน่หา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะในฐานะพ่อแม่ เจ้าไม่มีเจตนารมณ์ที่มุ่งร้ายอันใดต่อลูกของตัวเอง  เจ้าจะไม่ทำอันตรายพวกเขา วางแผนร้ายต่อพวกเขา หรือเย้ยหยันพวกเขา และแน่นอนว่าเจ้าจะไม่ล้อเล่นกับการที่พวกเขาอ่อนแอหรือไร้สมรรถภาพ  ลูกของเจ้าสามารถร้องไห้ ระบายอารมณ์ หรือพร่ำบ่นต่อหน้าเจ้าโดยไม่ต้องอดกลั้นราวกับพวกเขาเป็นเด็กน้อย พวกเขาสามารถเสียนิสัย โกรธขึ้ง หรือเอาแต่ใจก็ได้  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาระบายอารมณ์ รวมทั้งโกรธขึ้งและเอาแต่ใจแล้ว พวกเขาต้องทำสิ่งที่ตนพึงทำและรับมือกับสิ่งใดก็ตามที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา  หากพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การนั้นได้โดยที่เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อพวกเขาหรือให้การช่วยเหลืออันใดแก่พวกเขา นั่นย่อมดีเลยทีเดียว และเจ้าก็จะมีเวลาว่างมากขึ้นบ้าง ถูกต้องหรือไม่?  และในเมื่อลูกของเจ้าได้พูดสิ่งเหล่านั้นแล้ว เจ้าก็พึงต้องมีการตระหนักในตนเองบ้าง  ลูกของเจ้าโตแล้ว พวกเขาเป็นเอกเทศ  พวกเขาแค่ต้องการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้า  หากเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าอาจจะคิดว่า “นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ  การที่ลูกบอกแม่เรื่องนี้แสดงว่าลูกเคารพแม่ แม่ก็ควรให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไม่ใช่หรือ?  แม่ควรช่วยลูกในการตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”  นี่เรียกว่าการประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป  ลูกของเจ้าเพียงแค่กำลังพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่เจ้ากำลังปฏิบัติต่อตนเองราวกับเป็นบุคคลสำคัญจริงๆ  นี่ไม่เหมาะควร  ลูกบอกเรื่องนั้นกับเจ้าเพราะเจ้าเป็นพ่อแม่ของพวกเขา และพวกเขาเคารพและไว้ใจเจ้า  ในความเป็นจริงนั้น พวกเขามีแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังต้องการแทรกสอดในเรื่องนี้  นั่นไม่เหมาะควร  ลูกของเจ้าไว้ใจเจ้าและเจ้าต้องคู่ควรกับความไว้ใจนั้น  เจ้าควรเคารพการตัดสินใจของพวกเขา และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายเรื่องนั้น  หากพวกเขาต้องการให้เจ้าเข้าไปเกี่ยว เจ้าย่อมทำได้  และสมมุติว่า เมื่อเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องจริง เจ้าตระหนักว่า “โอ นี่เป็นเรื่องเดือดร้อนเหลือเกิน!  นี่จะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน  ฉันเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า ฉันทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้”  เช่นนั้นเจ้าก็ควรรีบถอนตัวออกจากเรื่องนั้น  สมมุติว่าพวกเขายังคงต้องการให้เจ้ายื่นมือเข้าไปยุ่งและเจ้าคิดว่า “แม่จะไม่เข้าไปยุ่ง  ลูกควรรับมือเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  ที่แม่รับฟังลูกระบายข้อคับข้องใจนี้และขยะทั้งหมดนี้ก็ใจดีมากพอแล้ว  แม่ลุล่วงหน้าที่แบบพ่อแม่แล้ว  แม่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง  นั่นคือกองไฟและแม่จะไม่กระโจนเข้าไปในนั้น  หากลูกต้องการก็กระโจนเข้าไปเองเลย”  นั่นเหมาะควรไม่ใช่หรือ?  นี่เรียกว่าการมีจุดยืน  เจ้าไม่ควรมีวันปล่อยมือจากหลักธรรมทั้งหลายหรือจุดยืนของเจ้า  เหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้สามารถสัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  ในข้อเท็จจริงนั้น สิ่งเหล่านี้สัมฤทธิ์ได้โดยง่าย แต่หากเจ้ากระทำไปตามความรู้สึกเสมอ และหากเจ้าติดกับอยู่ท่ามกลางความรู้สึกทั้งหลายของเจ้าเสมอ นั่นย่อมจะลำบากยากเย็นมากที่เจ้าจะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้น  เจ้าจะรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นบีบคั้นหัวใจอย่างมาก ว่าเจ้าไม่สามารถทิ้งเรื่องนี้ และว่าเจ้าไม่สามารถแบกเรื่องนี้ไว้บนบ่าด้วยเช่นกัน หรือรู้สึกเรรวนกลับไปกลับมา  นี่บรรยายได้ด้วยคำว่าอะไร?  “ติดขัด”  เจ้าจะติดขัดอยู่ตรงนั้น  เจ้าปรารถนาที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริง แต่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากความรู้สึกของตัวเอง เจ้ารักลูกของเจ้าอย่างสุดซึ้ง แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะควรที่จะทำสิ่งนั้น ว่านั่นขัดต่อหลักคำสอนของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า—เจ้ากำลังเดือดร้อน  เจ้าต้องเลือก  เจ้าสามารถปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของตัวเองและไม่พยายามบริหารจัดการลูก ปล่อยให้พวกเขาโบยบินอย่างอิสระแทน เพราะพวกเขาคือผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเอกเทศ หรือเจ้าอาจติดตามพวกเขาก็ได้  เจ้าต้องเลือกหนึ่งในสองตัวเลือกเหล่านั้น  หากเจ้าเลือกเดินตามทางของพระเจ้าและฟังพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งเจ้าก็ปล่อยมือจากความกังวลและความรู้สึกที่มีต่อลูกของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำสิ่งที่พ่อแม่คนหนึ่งพึงทำ ยึดมั่นในจุดยืนของตนและหลักธรรมทั้งหลาย อีกทั้งละเว้นจากการทำสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงถือว่าน่าเกลียดชังและน่าขยะแขยง  เจ้าทำแบบนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ในความเป็นจริงนั้นการทำสิ่งเหล่านี้นั้นง่ายดาย  ทันทีที่เจ้าปล่อยมือจากความเสน่หาที่เจ้าเก็บงำไว้สักเล็กน้อย เจ้าก็สามารถสำเร็จลุล่วงในสิ่งเหล่านี้  วิธีการที่เรียบง่ายที่สุดก็คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูก และแค่ปล่อยให้ลูกทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ  หากพวกเขาต้องการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับความลำบากยากเย็น ก็จงฟังพวกเขา  เจ้าแค่รู้ว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรก็พอแล้ว  หลังจากที่พวกเขาพูดจบ จงบอกพวกเขาว่า “แม่ฟังสิ่งที่ลูกพูด  มีอะไรอื่นที่ลูกอยากบอกแม่อีกไหม?  ถ้าลูกอยากกินอะไร แม่ทำอาหารให้ลูกได้นะ  ถ้าลูกไม่อยากกินก็กลับบ้านได้เลย  ถ้าลูกต้องการเงิน แม่ให้ลูกได้นิดหน่อย  ถ้าลูกต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง แม่จะทำอะไรที่ทำได้  ถ้าแม่ช่วยไม่ได้ ลูกจะต้องหาทางออกเองนะ”  หากลูกยืนกรานให้เจ้าช่วยพวกเขา เจ้าสามารถพูดว่า “พ่อกับแม่ลุล่วงหน้าที่ต่อลูกแล้ว  พ่อกับแม่มีความสามารถเหล่านี้เท่านั้น ลูกก็มองเห็นเรื่องนั้นได้นี่—พ่อกับแม่ไม่ได้มีทักษะอย่างลูก  ถ้าลูกต้องการแสวงหาความสำเร็จในโลก นั่นเป็นธุระของลูก อย่าพยายามเอาพ่อแม่ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  พ่อกับแม่ค่อนข้างแก่แล้วและเวลานั้นมันผ่านไปแล้วสำหรับพวกเรา  ความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ของพวกเราก็คือฟูมฟักเลี้ยงดูลูกจนเป็นผู้ใหญ่  ส่วนการที่ลูกใช้เส้นทางประเภทใดและลูกทรมานตัวเองอย่างไร อย่าให้พ่อกับแม่เข้าไปมีส่วนเลย  พ่อกับแม่จะไม่ทรมานตัวเองไปพร้อมกับลูก  พ่อกับแม่ทำภารกิจของพวกเราในส่วนของลูกจนครบถ้วนแล้ว  พวกเรามีเรื่องของตัวเอง มีหนทางดำเนินชีวิตของตัวเองและภารกิจของตัวเอง  ภารกิจของพ่อแม่ไม่เกี่ยวกับการทำสิ่งต่างๆ เพื่อลูก และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกช่วยทำให้เสร็จ  พ่อกับแม่จะทำให้ภารกิจของพวกเราเสร็จสิ้นด้วยตัวเอง  อย่าขอให้พ่อกับแม่ไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันหรือการดำรงอยู่ของลูกเลยนะ  สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย”  จงแสดงตัวตนของเจ้าออกไปให้ชัดเจน และนั่นจะเป็นการจบเรื่องนี้ จากนั้นเจ้าก็สามารถติดต่อ สื่อสาร และถามไถ่สุขทุกข์ของพวกเขาเท่าที่จำเป็น  นั่นเรียบง่ายเช่นนั้นเอง!  การกระทำในหนทางนี้มีประโยชน์อะไร?  (นั่นทำให้ชีวิตง่ายมาก)  อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะได้รับมือกับเรื่องของความรักแบบครอบครัวทางเนื้อหนังอย่างเหมาะควรและถูกต้องเหมาะสม  โลกฝ่ายวิญญาณและทางจิตใจของเจ้าจะสบาย เจ้าย่อมจะไม่ได้กำลังทำการพลีอุทิศอันไม่จำเป็นหรือจ่ายราคาเพิ่มเติมอันใด  เจ้าจะนบนอบอยู่ท่ามกลางการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และปล่อยให้พระองค์ทรงรับมือกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  เจ้าจะกำลังลุล่วงความรับผิดชอบทุกๆ อย่างที่ผู้คนพึงทำ และเจ้าจะไม่ได้กำลังทำสิ่งใดที่ผู้คนต้องไม่ทำ  เจ้าจะไม่ได้กำลังยื่นมือเข้าไปเกี่ยวในสิ่งที่ผู้คนต้องไม่ทำ และเจ้าจะกำลังดำเนินชีวิตอยู่ดังที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ   หนทางที่พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนดำเนินชีวิตนั้นเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด เส้นทางนั้นสามารถทำให้ผู้คนดำเนินชีวิตที่ผ่อนคลาย มีความสุข ชื่นบาน และเปี่ยมสันติสุขอย่างมาก  แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การดำเนินชีวิตในหนทางนี้จะไม่เพียงเหลือเวลาว่างและพลังงานให้เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี และแสดงการอุทิศต่อหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่เจ้ายังจะมีเวลาและพลังงานมากขึ้นเพื่อทุ่มเทความพยายามในด้านของความจริง  ในทางตรงข้ามหากพลังงานและเวลาของเจ้าถูกความรู้สึกของเจ้า เนื้อหนังของเจ้า ลูกของเจ้า และความรักสำหรับครอบครัวของเจ้าจับจองและพัวพัน เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีพลังงานใดเพิ่มเติมเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นไม่จริงหรอกหรือ?  (จริง)

เมื่อผู้คนทำอาชีพการงานในโลก ทั้งหมดที่พวกเขานึกถึงก็คือการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ อย่างกระแสนิยมทางโลก เกียรติยศ และผลประโยชน์ รวมทั้งความสุขสำราญทางเนื้อหนัง  การแสดงนัยของเรื่องนี้คืออะไร?  นั่นก็คือว่า พลังงาน เวลา และความเยาว์วัยของเจ้าล้วนถูกสิ่งเหล่านี้ยึดครองและผลาญไป  สิ่งเหล่านี้มีความหมายหรือไม่?  สุดท้ายแล้วเจ้าได้รับอะไรจากสิ่งเหล่านี้?  ต่อให้เจ้าได้รับเกียรติยศและผลประโยชน์ นั่นก็ยังคงไร้แก่นสารอยู่ดี  จะเป็นอย่างไรหากเจ้าเปลี่ยนหนทางการดำเนินชีวิตของเจ้า?  หากเวลา พลังงาน และจิตใจของเจ้าถูกครอบครองไว้โดยความจริงและหลักธรรมเท่านั้น และหากเจ้านึกถึงสิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น อย่างเช่นวิธีที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และวิธีที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อีกทั้งหากเจ้าสละพลังงานและเวลาเพื่อสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าได้รับย่อมจะแตกต่างไป  สิ่งที่เจ้าได้รับจะเป็นคุณประโยชน์ซึ่งมีสาระสำคัญที่สุด  เจ้าจะรู้วิธีดำเนินชีวิต วิธีวางตัว วิธีเผชิญหน้ากับบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งทุกประเภท  ครั้นเจ้ารู้วิธีเผชิญหน้ากับบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งทุกประเภทในขอบเขตอันกว้างขวาง นี่ก็จะทำให้เจ้าสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไปโดยธรรมชาติ  เมื่อเจ้าสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไปตามธรรมชาติ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะกลายเป็นบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงยอมรับและรักไปโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเถิด นั่นเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ?  บางทีเจ้าอาจยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในกระบวนการแห่งการดำเนินชีวิตของเจ้า และแห่งการยอมรับพระวจนะของพระเจ้ากับหลักธรรมความจริง เจ้าจะมาดำรงชีวิตอยู่ มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าไปโดยไม่ทันล่วงรู้เลย  นี่หมายความว่าเจ้าจะนบนอบพระวจนะของพระเจ้า นบนอบข้อพึงประสงค์ของพระองค์และสนองข้อพึงประสงค์เหล่านั้นโดยไม่รู้สึกตัว  เช่นนั้นเจ้าก็จะได้กลายเป็นบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงยอมรับ ไว้วางใจ และรักโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  นั่นยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้นหากเจ้าสละพลังงานและเวลาเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี สิ่งที่เจ้าได้รับในตอนท้ายย่อมจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด  ในทางกลับกัน หากเจ้าดำรงชีวิตอยู่เพื่อเห็นแก่ความรู้สึกของเจ้า เนื้อหนัง ลูกของเจ้า งานของเจ้า รวมถึงเกียรติยศและผลประโยชน์ หากเจ้าพัวพันอยู่ในสิ่งเหล่านี้เสมอ สุดท้ายแล้วเจ้าจะได้รับอะไร?  แค่ความว่างเปล่า  เจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดเลยและเจ้าจะไถลห่างจากจากพระเจ้าไกลออกไปทุกที และถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์อย่างถ้วนทั่วในท้ายที่สุด  เช่นนั้นชีวิตเจ้าก็จะจบเห่ และเจ้าก็จะสูญสิ้นโอกาสแห่งความรอดไปแล้ว  เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรปล่อยมือจากความกังวล ความผูกพัน และความพัวพันทางอารมณ์ของตนทั้งหมดในส่วนของลูกที่เป็นผู้ใหญ่ โดยไม่สำคัญว่าพวกเขามีความคาดหวังอะไรในตัวลูก  พวกเขาไม่ควรฝากความคาดหวังใดไว้กับลูกในระดับทางอารมณ์จากสถานะหรือตำแหน่งของพ่อแม่  หากเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ นั่นย่อมวิเศษไปเลย!  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะได้ลุล่วงหน้าที่แบบพ่อแม่ของเจ้าแล้ว และเจ้าจะเป็นบุคคลที่พอใช้ได้—ผู้ที่แค่บังเอิญเป็นพ่อแม่คนหนึ่ง—ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้ามองการนี้จากมุมมองมนุษย์ใด สิ่งที่ผู้คนพึงทำ รวมทั้งมุมมองและจุดยืนที่พวกเขาพึงนำมาใช้นั้นก็มีหลักธรรม และพระเจ้าทรงมีมาตรฐานในแง่ของสิ่งเหล่านี้ ถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเรามายุติสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนและหลักธรรมที่พวกเขาพึงปฏิบัติเมื่อลูกของตนถึงวัยผู้ใหญ่ลงตรงนี้กันเถิด  สวัสดี!

21 พฤษภาคม ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (15)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (20)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger