ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (16)

ในการชุมนุมครั้งก่อนมีการสามัคคีธรรมเรื่องใดไปบ้าง?  (ในการชุมนุมครั้งก่อน พระเจ้าสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากการปลูกฝังโดยครอบครัวของคนเรา ในด้านที่เกี่ยวกับประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนาเป็นหลัก  พระเจ้าสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวทางด้านโชคลางบางส่วนอย่างละเอียด เช่น “เกี๊ยวจากไกล บะหมี่หวนคืน” และ “ตาซ้ายกระตุกบ่งบอกโชคลาภ แต่ตาขวากระตุกเป็นลางบอกความวิบัติ” รวมทั้งผลกระทบที่ธรรมเนียมดั้งเดิมบางอย่างในเทศกาลตรุษจีนและเทศกาลอื่นๆ มีต่อผู้คน  พร้อมกันนั้น พระเจ้าก็สามัคคีธรรมถึงหนทางที่ถูกต้องซึ่งพวกเราควรใช้รับมือคำกล่าวและการปฏิบัติตามประเพณีและตามความเชื่อเรื่องโชคลางเหล่านี้ ซึ่งก็คือการเชื่อว่าบางเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งเชื่อด้วยว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ไม่ว่าคำกล่าวเหล่านี้จะบ่งบอกอะไรหรือเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ตาม พวกเราทุกคนต้องใช้ท่าทีที่ยอมรับและนบนอบ และสามารถยอมตนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระเจ้า)  เหล่านี้คือองค์ประกอบพื้นฐานของสามัคคีธรรมในการชุมนุมครั้งก่อน  ในด้านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนาซึ่งครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนนั้น พวกเราสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนพบเจอในชีวิตประจำวัน  แม้เนื้อหาในสามัคคีธรรมของพวกเราจะครอบคลุมประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวจีนที่พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันเท่านั้น ไม่ได้สื่อถึงทุกชาติและทุกเผ่าพันธุ์ แต่ประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนาที่ยึดถือกันในหมู่ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ และท่ามกลางเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็มีธรรมชาติเหมือนสิ่งเหล่านี้คือ—ล้วนถือปฏิบัติตามประเพณีบางอย่าง ความเคยชินในการใช้ชีวิต และคำกล่าวทางด้านโชคลางที่สืบทอดมาจากบรรพชนของตน  ไม่ว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโชคลางเหล่านี้จะเป็นผลทางจิตวิทยาที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของผู้คนหรือเป็นเรื่องจริงที่จับต้องได้ก็ตาม โดยสรุปแล้ว ท่าทีที่พวกเจ้ามีต่อสิ่งเหล่านี้ควรเป็นการตระหนักรู้ความคิดหลักๆ หรือแก่นแท้เบื้องหลังการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้อย่างชัดเจน  ขณะเดียวกันเจ้าก็ไม่ควรถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำหรือรบกวน  แต่ควรเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวกับผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า สิ่งที่บงการผู้คนไม่ใช่การเชื่อถือโชคลาง และแน่นอนว่าสิ่งที่กำหนดชะตากรรมหรือชีวิตประจำวันของผู้คนก็ไม่ใช่การเชื่อถือโชคลาง  ไม่ว่าการเชื่อถือโชคลางจะจริงหรือไม่ มีประสิทธิผลหรือเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่ว่าในกรณีใด เวลารับมือเรื่องแบบนี้ ผู้คนควรมีหลักธรรมที่สอดคล้องกับความจริง  พวกเขาไม่ควรหลงใหลหรือถูกการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้ควบคุม และแน่นอนว่าไม่ควรปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาวุ่นวายกับเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาตามปกติของพวกเขาหรือการปฏิบัติตามหลักธรรมของพวกเขา  ในเรื่องของประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนา การเชื่อถือโชคลางสร้างความวุ่นวายมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อชีวิต ความคิด และมุมมองของผู้คนในเรื่องต่างๆ มากที่สุด  โดยทั่วไปแล้วผู้คนไม่กล้าทิ้งคำกล่าวและนิยามทางด้านโชคลางเหล่านี้ และปัญหาชีวิตที่การเชื่อถือโชคลางเหล่านี้สร้างขึ้นก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข  ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนไม่กล้าทลายโซ่ตรวนของถ้อยแถลงทางด้านโชคลางเหล่านี้ในชีวิตประจำวันของตน พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขายังไม่มีความเชื่อในพระเจ้ามากพอ  แท้จริงแล้วพวกเขายังคงมองไม่เห็นหรือยังไม่เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องในเรื่องอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือสรรพสิ่งและอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์  เพราะฉะนั้น เมื่อผู้คนเผชิญคำกล่าวทางด้านโชคลางหรือความรู้สึกบางอย่างที่เชื่อมโยงกับการเชื่อถือโชคลาง พวกเขาย่อมจะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวโยงกับความเป็นความตาย โชคลาภของพวกเขา หรือความเป็นความตายของผู้เป็นที่รักของพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้คนก็ยิ่งถูกถ้อยแถลงและสิ่งที่เรียกกันว่าข้อห้ามทางด้านโชคลางเหล่านี้ตีตรวนมากขึ้น และในระดับหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ  พวกเขากลัวตลอดเวลาว่าจะทำผิดข้อห้าม แล้วเรื่องนั้นๆ ก็จะกลายเป็นจริง เคราะห์ร้ายบางอย่างอาจจะมาถึงตัว และอาจจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นกับพวกเขา  เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อถือโชคลาง ผู้คนไม่สามารถรู้ทันแก่นแท้ของปัญหาเสมอ และยิ่งไม่สามารถหลุดเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของถ้อยแถลงสารพัดชนิดทางด้านโชคลาง  แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นอิทธิพลที่การเชื่อถือโชคลางมีต่อชีวิตของผู้คนอีกด้วย  จากมุมมองของพฤติกรรมมนุษย์ จากความคิดและทัศนะที่ผู้คนมีต่อการเชื่อถือโชคลาง จิตสำนึกและมุมมองตามความคิดอ่านของพวกเขายังคงถูกซาตานตามรังควานอยู่มาก และถูกกำลังบังคับชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ภายนอกโลกวัตถุควบคุมเอาไว้  เพราะฉะนั้น ในขณะที่ผู้คนติดตามพระเจ้าและยอมรับพระวจนะของพระองค์ พวกเขาก็ยังคงถูกคำกล่าวทางด้านโชคลางซึ่งเชื่อมโยงกับโชคลาภ ความเป็นความตาย และความเป็นอยู่ของพวกเขาควบคุมเอาไว้  นั่นหมายความว่าลึกลงไปในความคิดของพวกเขา พวกเขายังคงเชื่อว่าแท้จริงแล้วถ้อยแถลงทางด้านโชคลางเหล่านี้เป็นจริง  การที่พวกเขาเชื่อดังนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าผู้คนยังคงถูกกรงเล็บที่มองไม่เห็นเบื้องหลังการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้ควบคุมเอาไว้ แทนที่จะตระหนักรู้โดยแท้ว่าชะตากรรมของตนอยู่ภายใต้การปกครองและการจัดวางเรียบเรียงโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  นี่ย่อมหมายความด้วยว่าพวกเขาไม่มีความสุขหรือสบายใจนักกับการฝากชะตากรรมของตนไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่กลับถูกซาตานควบคุมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว  ยกตัวอย่างชีวิตประจำวัน กฎเกณฑ์การอยู่รอด มโนคติอันหลงผิด และอื่นๆ ของผู้คนที่ทำธุรกิจเป็นประจำ ผู้คนที่เดินทางบ่อยๆ และผู้คนที่เคยเชื่อในกิจกรรมและคำกล่าวทางด้านโชคลางอยู่บ้าง เช่น การอ่านใบหน้า ตรีลักษณ์ทั้งแปดและคัมภีร์อี้จิง ศาสตร์หยินหยาง และเรื่องทำนองดังกล่าว ล้วนถูกการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้ครอบงำ ควบคุม และบงการอย่างหนัก  กล่าวคือ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นก็จำต้องมีหลักทฤษฎีที่มาจากการเชื่อถือโชคลาง  ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาออกไปข้างนอก พวกเขาก็ต้องดูว่าปฏิทินเขียนไว้ว่าอย่างไร และมีข้อห้ามบ้างหรือไม่  เวลาทำธุรกิจ ลงนามในสัญญา เวลาซื้อหรือขายบ้าน และอื่นๆ แน่นอนว่าพวกเขาต้องตรวจดูปฏิทินในวันนั้น  หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะรู้สึกไม่มั่นใจและไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง  พวกเขารู้สึกมั่นใจและมีสันติในจิตใจก็ต่อเมื่อพวกเขากระทำการและตัดสินใจหลังจากตรวจดูปฏิทินแล้วเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเหตุที่มีสิ่งไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้นอันเป็นผลจากการที่พวกเขาละเมิดข้อห้ามบางอย่าง ความรู้และความเชื่อของพวกเขาที่ว่าการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้เป็นจริง จึงกลายเป็นสิ่งที่แน่นอนมากขึ้นหลังจากนั้น และพวกเขาก็ถูกการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้พันธนาการเอาไว้  พวกเขาเชื่ออย่างแรงกล้ามากขึ้นว่าชะตากรรม โชคลาภ และความเป็นความตายของผู้คนถูกคำกล่าวทางด้านโชคลางควบคุมเอาไว้ และในโลกที่ลึกลับมองไม่เห็นนี้มีมือใหญ่โตที่มองไม่เห็นคอยควบคุมโชคลาภของพวกเขา และควบคุมความเป็นความตายของพวกเขาอยู่  ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อในคำกล่าวทางด้านโชคลางทั้งปวงอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่เชื่อมโยงกับชีวิตและการอยู่รอดของพวกเขาอย่างแนบแน่น ถึงขนาดที่หลังจากเชื่อในพระเจ้าแล้ว แม้พวกเขาจะยอมรับด้วยวาจาและเชื่อว่าชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่พวกเขาก็มักจะถูกถ้อยแถลงต่างๆ ทางด้านโชคลางรบกวนและควบคุมเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจโดยไม่รู้ตัว  บางคนถึงขั้นเอาสิ่งที่เรียกว่าข้อห้ามในชีวิต—อันได้แก่ สิ่งที่ขัดแย้งกัน สิ่งที่ไม่แคล้วจะเกิดขึ้นในชะตากรรมของคนเรา และถ้อยแถลงทางด้านโชคลางอื่นๆ ดังกล่าว—ไปปนเปกับหลักธรรมความจริง และยึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น  ท่าทีที่ผู้คนมีต่อการเชื่อถือโชคลางนี้ส่งผลร้ายแรงต่อท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้าในการสถิตของพระเจ้า  ท่าทีดังกล่าวยังส่งผลร้ายแรงต่อท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระผู้สร้างในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกด้วย และแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเหล่านี้  นี่เป็นเพราะระหว่างที่ผู้คนติดตามพระเจ้า พวกเขายังคงเต็มใจที่จะถูกความคิดและคำกล่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือโชคลาง ซึ่งซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเขานี้ คอยควบคุมและรบกวนโดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว  ขณะเดียวกันก็เป็นการยากเช่นกันที่ผู้คนจะปล่อยมือจากความคิดและคำกล่าวต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับการเชื่อถือโชคลาง

ในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนนั้น ที่จริงแล้วการเชื่อถือโชคลางเข้ามาวุ่นวายกับผู้คนในระดับที่ร้ายแรงที่สุด และก่อให้เกิดผลกระทบต่อพวกเขาอย่างหนักหน่วงและยาวนานที่สุด  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อถือโชคลาง ผู้คนควรสืบค้นและทำความรู้จักสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจริงไปทีละอย่าง และดูว่าพวกเขาได้รับการปลูกฝังหรืออิทธิพลแบบใดจากครอบครัวที่ใกล้ชิด ครอบครัวใหญ่ หรือวงศ์ตระกูลในเรื่องของการเชื่อถือโชคลางบ้างหรือไม่  ถ้ามี พวกเขาก็ควรปล่อยมือจากการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้ไปทีละอย่าง แทนที่จะยึดถือเอาไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับความจริง  เมื่อการปฏิบัติตามวิถีดั้งเดิมของการดำรงชีวิตเผยตัวออกมาเนืองๆ ในชีวิตประจำวันของคนคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้พวกเขายอมเชื่อฟังอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานโดยไม่รู้ตัว  ที่มากกว่านั้นคือ คำกล่าวทางด้านโชคลางที่ครอบงำความคิดของผู้คนยิ่งสามารถตรึงผู้คนให้อยู่ใต้อำนาจการควบคุมของซาตานอย่างมั่นคงมากขึ้น  เพราะฉะนั้น นอกจากประเพณีและศาสนาแล้ว ก็ควรปล่อยมือจากความคิด ทัศนะ คำกล่าว หรือกฎเกณฑ์ที่เชื่อมโยงกับการเชื่อถือโชคลางทันทีเช่นกัน และไม่ยึดถือเอาไว้  สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้อห้าม  ในพระวจนะของพระเจ้ามีการแสดงพระวจนะ ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อความเป็นมนุษย์ และเจตนารมณ์ของพระองค์เอาไว้อย่างชัดเจน  ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนหรือประสงค์จากพวกเขาในพระวจนะของพระองค์ ล้วนเกี่ยวข้องกับความจริงทั้งสิ้นและไม่มีส่วนใดที่แปลกประหลาดเลย  พระเจ้าเพียงตรัสบอกผู้คนอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาว่าควรกระทำการอย่างไรและปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดในเรื่องไหนบ้างเท่านั้น  ไม่มีข้อห้ามและไม่มีรายละเอียดหรือคำกล่าวพิถีพิถันใดๆ  สิ่งที่ผู้คนควรยึดมั่นก็คือการลงมือทำตามหลักธรรมความจริงโดยอิงรูปการณ์จริงของตนเอง  การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและการยึดมั่นในหลักธรรมความจริงนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องดูวันที่หรือเวลา ไม่มีข้อห้ามอันใด  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจดูปฏิทินเช่นกัน และยิ่งไม่จำเป็นต้องตรวจดูชะตาราศี หรือตรวจดูว่าวันนั้นจันทร์เต็มดวงหรือข้างแรม เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเหล่านี้  ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าและภายในอธิปไตยของพระเจ้า ผู้คนเป็นอิสระและมีเสรี  หัวใจของพวกเขาสงบ เบิกบาน และมีสันติสุข ไม่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหรือเกรงกลัว และแน่นอนว่าไม่เต็มไปด้วยความเก็บกด  ความตื่นตระหนก เกรงกลัว และเก็บกดเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดจากคำกล่าวต่างๆ ทางด้านโชคลาง  ความจริง พระวจนะของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้า และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมนำสันติและความเบิกบาน อิสรภาพและเสรีภาพ ความผ่อนคลายและความสุขมาสู่ผู้คน  แต่การเชื่อถือโชคลางกลับนำสิ่งตรงกันข้ามทุกประการมาสู่ผู้คน  มัดมือและเท้าของเจ้า ขัดขวางไม่ให้เจ้าทำนี่หรือทำนั่น ยับยั้งเจ้าไม่ให้กินนั่นกินนี่  ไม่ว่าเจ้าทำอะไรก็ผิด ไม่ว่าเจ้าทำอะไรก็มีข้อห้าม และทุกสิ่งก็ต้องเป็นไปตามคำกล่าวในปฏิทินโหราศาสตร์เก่าแก่  ตอนนี้เป็นเวลาใดในปฏิทินจันทรคติ สามารถทำอะไรได้ในวันใดบ้าง เจ้าจะออกไปข้างนอกได้หรือไม่—แม้แต่การตัดผม อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และพบหน้าผู้คนก็ล้วนมีข้อห้ามในตัวเองทั้งสิ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานแต่งงานและงานศพ การย้ายบ้าน การออกไปทำธุระข้างนอก และการมองหางานทำก็ยิ่งขึ้นกับปฏิทินโหราศาสตร์เข้าไปใหญ่  ซาตานใช้คำกล่าวพิลึกพิลั่นสารพัดชนิดทางด้านโชคลางมามัดมือและเท้าของผู้คนเอาไว้แน่น  จุดประสงค์ของมันในการทำเช่นนั้นคืออะไร?  (เพื่อควบคุมผู้คน)  กล่าวด้วยศัพท์สมัยใหม่ก็คือ มันกำลังทำให้รู้สึกถึงตัวตนของมัน  นี่หมายถึงอะไร?  หมายถึงการทำให้ผู้คนรู้ว่ามันมีตัวตน ทำให้พวกเขารู้ว่าคำกล่าวอ้างเรื่องข้อห้ามที่มันนำเสนอนี้เป็นเรื่องจริง มันมีสิทธิ์ชี้ขาด มันสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ และถ้าเจ้าไม่ฟัง มันก็จะให้บางสิ่งไว้ดู  สำนวนเปรียบเทียบนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไร?  “หญิงชราทาปาก—เพื่อให้อีกคนมีอะไรดู”  นั่นหมายความว่าถ้าเจ้าไม่ฟังหรือละเมิดข้อห้ามนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องรอดูไปเท่านั้น และจะต้องแบกรับผลที่ตามมา  ถ้าผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมกลัวข้อห้ามเหล่านี้ เพราะถึงอย่างไรผู้คนก็เป็นสิ่งที่อยู่ในเนื้อหนัง และไม่สามารถต่อกรกับมารนานารูปแบบและซาตานในโลกวิญญาณได้  แต่ตอนนี้เมื่อเจ้าได้กลับมาอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้า รวมถึงความคิดและทุกวันในชีวิตของเจ้า ย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสอดส่องดูแลและคุ้มครองเจ้า  เจ้าดำเนินชีวิตและดำรงอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า ไม่ใช่ในเงื้อมมือของซาตาน  เพราะฉะนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อห้ามเหล่านี้อีกต่อไป  ตรงกันข้าม ถ้าเจ้ายังคงเกรงกลัวว่าซาตานจะสามารถทำร้ายเจ้าได้ หรือจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเจ้าหากเจ้าไม่ฟังซาตานหรือไม่เชื่อในเรื่องข้อห้ามที่มีการพูดถึงในการเชื่อถือโชคลาง นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังคงเชื่อว่าซาตานสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าได้  ในขณะเดียวกัน นี่ก็พิสูจน์ด้วยว่าเจ้าเต็มใจที่จะจำนนต่อการบงการของซาตาน และไม่เต็มใจที่จะน้อมรับอธิปไตยของพระเจ้า  ซาตานทำทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้คนรู้ว่ามันมีตัวตนอยู่จริง  มันอยากใช้อำนาจวิเศษของมันควบคุมความเป็นมนุษย์ ควบคุมสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  จุดประสงค์ของการควบคุมสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็เพื่อทำลายให้ย่อยยับ แล้วจุดประสงค์และผลลัพธ์สุดท้ายของการทำลายให้ย่อยยับก็เพื่อให้มันกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการควบคุมสิ่งมีชีวิตเอาไว้ยังเป็นไปเพื่อให้ผู้คนบูชามันอีกด้วย  ถ้ามารซาตานอยากให้รู้สึกถึงการมีตัวตนของมัน มันย่อมต้องแสดงความมีประสิทธิผลบางอย่างให้เห็น  ตัวอย่างเช่น มันอาจเสกให้ไข่กลายเป็นอาจมได้  มีการมอบไข่ฟองนี้ไว้ที่แท่นบูชาวิญญาณชั่วดวงหนึ่ง ถ้าเจ้าหิวและอยากกินไข่ฟองนี้ ทั้งยังพยายามฉกชิงมาจากมาร มันก็จะเสกให้ไข่กลายเป็นอาจมเพื่อให้เจ้ารู้จักอำนาจของมัน  เจ้าจะได้กลัวมันและไม่กล้าแย่งชิงอาหารไปจากมัน  ถ้ามีสิ่งหนึ่งทำให้เจ้ากลัวมัน แล้วก็มีอีกสิ่งที่ทำให้เจ้ากลัวมันเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าก็จะเริ่มเชื่อในตัวมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา  ถ้าเจ้าเชื่อในตัวมันอย่างมืดบอดเป็นเวลานานพอ เจ้าก็จะเริ่มบูชามันจากเบื้องลึกของหัวใจ  เหล่านี้คือเป้าหมายการกระทำของซาตานมิใช่หรือ?  ซาตานกระทำการเพื่อเป้าหมายเหล่านี้โดยแท้  ไม่ว่าจะเป็นทางใต้หรือทางเหนือ และไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์ใด ทุกคนก็ล้วนคุกเข่าบูชาพวกวิญญาณชั่วที่สกปรก  เหตุใดพวกเขาจึงคุกเข่าบูชาพวกมัน?  เหตุใดพวกวิญญาณชั่วและสกปรกที่พวกเขาคุกเข่าบูชาจึงมีคนจุดกำยานให้อย่างต่อเนื่องรุ่นแล้วรุ่นเล่า?  ถ้าเจ้าบอกว่าพวกมันไม่มีอยู่จริง เช่นนั้นแล้วเหตุใดผู้คนมากมายจึงเชื่อในตัวพวกมันและยังคงจุดกำยานให้พวกมัน กราบไหว้ บนบาน และทำตามคำบนบานของตนรุ่นแล้วรุ่นเล่า?  นี่เป็นเพราะวิญญาณที่ชั่วและสกปรกเหล่านั้นทำบางสิ่งลงไปมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่ฟังคำของพวกวิญญาณชั่ว พวกมันก็จะทำให้เจ้าล้มป่วย ทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเจ้า ทำให้เกิดความวิบัติขึ้นกับเจ้า ทำให้วัวทั้งหลายในครอบครัวของเจ้าป่วยและไถนาไม่ได้ และถึงขั้นทำให้ครอบครัวของเจ้าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์  พวกมันจะหาทางทำให้เจ้าเดือดร้อน และยิ่งพวกมันทำ เจ้าก็จะยิ่งเดือดร้อน  เจ้าไม่อาจไม่ยอมคล้อยตามได้ และในที่สุดเจ้าก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากยอมคุกเข่าบูชาพวกมัน แล้วเจ้าก็จะเต็มใจค้อมศีรษะนบนอบพวกมัน ถึงตอนนั้นพวกมันย่อมจะเป็นสุข  จากนั้นมาเจ้าก็จะเป็นพวกของมัน  จงดูผู้คนในสังคมที่ถูกพวกวิญญาณจิ้งจอกหรือบุคคลต่างๆ ในโลกวิญญาณซึ่งปรากฏตามแท่นบูชาทั้งหลายควบคุมเอาไว้  พวกเราเรียกการนี้ว่าอย่างไร?  พวกเราเรียกว่าการถูกวิญญาณชั่วครอบงำและถูกพวกวิญญาณชั่วเข้าสิง  ในหมู่คนทั่วไป นี่เรียกว่าการถูกวิญญาณควบคุมหรือยอมให้บางสิ่งยึดครองร่างของตน  เวลาที่พวกวิญญาณชั่วเริ่มมองหาร่างกายไว้ยึดครอง คนที่เป็นเป้าหมายของพวกมันย่อมไม่เต็มใจให้ทำเช่นนั้น ดังนั้นพวกวิญญาณชั่วจึงเข้ามาวุ่นวายและก่อกวนพวกเขา ทำให้ครอบครัวของพวกเขาเกิดอุบัติเหตุและความเดือดร้อน  ส่วนคนที่ทำธุรกิจก็ถูกทำให้เป็นทุกข์เพราะขาดทุนและไม่เคยมีลูกค้าเลย พวกเขาถูกขัดขวางถึงขนาดที่ไม่อาจประคองตัวอยู่ได้ และการก้าวไปข้างหน้าก็ยากยิ่ง  ในที่สุดพวกเขาจึงนบนอบและยอมตกลง  หลังจากที่พวกเขายอมตกลง พวกวิญญาณชั่วก็ใช้ร่างกายของพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ใช้ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่าง ดึงดูดผู้คนอื่นๆ เข้ามาหา รักษาโรคภัย ทำนายโชคชะตา และถึงกับช่วยเรียกวิญญาณคนตาย เป็นต้น  พวกวิญญาณชั่วใช้วิธีการเหล่านี้ก็เพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด ทำให้เสื่อมทราม และควบคุมพวกเขาเอาไว้มิใช่หรือ?

ถ้าผู้เชื่อในพระเจ้ามีทัศนะและความคิดเห็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อในเรื่องคำกล่าวทางด้านโชคลางเหล่านี้ นี่ย่อมมีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  (เป็นการท้าทายและหมิ่นประมาทพระเจ้า)  ถูกต้อง คำตอบนี้ถูกต้องอย่างยิ่ง นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างร้ายแรง!  เจ้าติดตามพระเจ้าและกล่าวว่าเจ้าเชื่อในพระองค์ แต่พร้อมกันนั้นเจ้าก็ถูกการเชื่อถือโชคลางควบคุมและก่อกวนไปด้วย  เจ้าถึงกับสามารถทำตามความคิดที่การเชื่อถือโชคลางปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คน และที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือพวกเจ้าบางคนกลัวความคิดและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือโชคลางนี้  นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างร้ายแรงที่สุด  เจ้าไม่เพียงไม่สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้เท่านั้น แต่เจ้ากำลังติดตามซาตานด้วยการแข็งขืนต่ออธิปไตยของพระเจ้าอีกด้วย—นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้า  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  แก่นแท้ของผู้คนที่เชื่อในการเชื่อถือโชคลางหรือทำตามการเชื่อถือโชคลางก็คือการหมิ่นประมาทพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงควรปล่อยมือจากการปลูกฝังรูปแบบต่างๆ ที่การเชื่อถือโชคลางมีต่อเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  วิธีปฏิบัติที่ง่ายที่สุดในการปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ก็คือไม่ปล่อยให้ตัวเจ้าถูกสิ่งเหล่านี้รบกวนไม่ว่าการเชื่อถือโชคลางจะเป็นจริงหรือไม่ และไม่ว่าจะนำมาซึ่งสิ่งใดบ้างก็ตาม  ต่อให้ถ้อยแถลงที่เกิดจากการเชื่อถือโชคลางเกี่ยวกับสิ่งหนึ่งๆ เป็นจริงในเชิงประจักษ์ เจ้าก็ไม่ควรถูกสิ่งเหล่านี้ก่อกวนหรือควบคุม  เพราะเหตุใด?  เพราะทุกสิ่งได้รับการจัดวางเรียบเรียงจากพระเจ้า  ต่อให้ซาตานสามารถทำบางสิ่งให้สำเร็จได้ นั่นก็เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตก็จะเป็นดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า ซาตานย่อมไม่กล้าแตะต้องเส้นผมบนศีรษะของเจ้าแม้แต่เส้นเดียว  นี่คือข้อเท็จจริง และเป็นความจริงที่ผู้คนควรเชื่อ  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเปลือกตาของเจ้าข้างใดจะกระตุก หรือเจ้าจะฝันว่าฟันหลุด ผมร่วง หรือความตาย หรือฝันร้ายเช่นใดก็ตาม เจ้าก็ควรเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ควรถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำหรือรบกวน  ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ที่จะทำให้สำเร็จ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตและวางแผนไว้แล้วก็คือข้อเท็จจริงที่สำเร็จลุล่วงไปแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะสังหรณ์ใจหรือมีลางแบบใดที่พวกมารและซาตานในโลกวิญญาณมอบให้แก่เจ้า เจ้าก็ไม่ควรยอมให้สิ่งเหล่านี้รบกวน  จงเชื่อแต่เพียงว่าทั้งหมดนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และผู้คนก็ควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า  สิ่งที่จะเกิดหรือสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ล้วนอยู่ในการควบคุมและการลิขิตของพระเจ้า  ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ และยิ่งไม่มีใครสามารถแทรกแซงได้  นี่คือข้อเท็จจริง  ผู้คนควรคุกเข่านมัสการพระผู้สร้าง ไม่ใช่กำลังบังคับใดๆ ในโลกวิญญาณที่สามารถทำให้การเชื่อถือโชคลางกลายเป็นจริงหรือฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้  ไม่ว่าอำนาจวิเศษที่พวกมารและซาตานครอบครองจะไพศาลขนาดไหน ไม่ว่าพวกมันจะสามารถแสดงปาฏิหาริย์อะไรบ้าง หรือสามารถทำสิ่งใดให้เป็นจริงได้ หรือสามารถทำให้ลางสังหรณ์ของใครและทำให้คำกล่าวทางด้านโชคลางใดกลายเป็นจริงได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่หมายความว่าพวกมันกุมชะตากรรมของผู้คนไว้ในมือ  สิ่งที่ผู้คนคุกเข่านมัสการและเชื่อไม่ควรเป็นพวกมารและซาตาน แต่เป็นพระผู้สร้าง  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจในเรื่องของการปลูกฝังโดยครอบครัวซึ่งเกี่ยวข้องกับประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนาต่างๆ  กล่าวโดยย่อ ไม่ว่าจะเกี่ยวพันกับประเพณี การเชื่อถือโชคลาง หรือศาสนา ตราบใดที่บางสิ่งบางอย่างไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง หรือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน ตราบนั้นผู้คนก็ควรทิ้งและปล่อยมือจากสิ่งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตหรือการคิดอ่านอย่างหนึ่ง เป็นกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีก็ตาม ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ผู้คนควรทิ้งไปเสีย  ยกตัวอย่างเช่น ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ศาสนายิว และอื่นๆ ล้วนถือกันว่าค่อนข้างประเสริฐและศักดิ์สิทธิ์เมื่อเทียบกับการเชื่อถือโชคลาง ประเพณี หรือการบูชารูปเคารพ  ผู้คนรู้สึกเลื่อมใสหรือให้การสนับสนุนในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาและในส่วนลึกของจิตใจอยู่บ้าง ถึงกระนั้นผู้คนก็ควรปล่อยมือจากสัญลักษณ์ วันหยุดเทศกาล และเครื่องหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ไม่ควรชื่นชูสิ่งเหล่านั้นเกินควร หรือทำเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง คุกเข่าบูชา หรือถึงกับเว้นที่ในหัวใจของตนไว้ให้สิ่งเหล่านั้น  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ  สัญลักษณ์ทางศาสนา กิจกรรมทางศาสนา วันหยุดเทศกาลทางศาสนา รูปเคารพบางอย่างทางศาสนา รวมทั้งคำกล่าวบางคำที่ค่อนข้างสูงส่งในศาสนา และอื่นๆ ล้วนอยู่ในขอบข่ายหัวข้อเรื่องศาสนาที่พวกเราเพิ่งพูดกันไปทั้งสิ้น  สรุปว่าจุดประสงค์ที่พูดเรื่องทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้เจ้าเข้าใจข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือโชคลาง ประเพณี และศาสนา ไม่ว่าจะสูงส่งหรือค่อนข้างแปลกประหลาดก็ตาม ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง ตราบใดที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง ก็ควรปล่อยมือไปให้หมด และผู้คนก็ไม่ควรยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น  แน่นอนว่าเรื่องที่ละเมิดหลักธรรมความจริงยิ่งควรถูกละทิ้ง และต้องไม่รักษาไว้เป็นอันขาด  ผู้คนควรปล่อยมือโดยสิ้นเชิงจากทุกสิ่งที่มาจากการปลูกฝังและอิทธิพลของครอบครัวไปทีละอย่าง และไม่ปล่อยให้ตนเองได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าพบปะพี่น้องชายหญิงบางคนในวันคริสต์มาส ทันทีที่เจ้าพบหน้าพวกเขา เจ้าก็กล่าวว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาส!  ขอให้มีความสุขในวันคริสต์มาส!”  การกล่าวว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาส” เช่นนี้ดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  เหมาะสมหรือไม่ที่จะกล่าวว่า “เพราะเป็นวันรำลึกถึงวันที่พระเยซูประสูติ พวกเราจึงควรหยุดงานและไม่ทำอะไรในวันนั้นเลย และไม่ว่าจะยุ่งกับงานและหน้าที่ของพวกเราขนาดไหน พวกเราก็ควรหยุดงานและหน้าที่มาจดจ่อกับการรำลึกถึงวันที่น่าจดจำที่สุดในพระราชกิจในอดีตที่ผ่านมาของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?”  (ไม่เหมาะสม)  เหตุใดจึงไม่เหมาะสม?  (เพราะเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในอดีต และเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง)  ในเชิงคำสอนย่อมเป็นเช่นนั้น  พวกเจ้าเข้าใจรากเหง้าของปัญหานี้ในทางทฤษฎีแล้ว แต่ในด้านความเป็นจริงล่ะ?  นี่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด และพวกเจ้าก็ไม่สามารถให้คำตอบแก่เราได้  พระเจ้าไม่โปรดเมื่อผู้คนทำเรื่องดังกล่าว พระองค์ทรงชังเมื่อทรงเห็นเช่นนั้น  เป็นเรื่องง่ายๆ แบบนั้น  ระหว่างการฉลองวันหยุดเทศกาล ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “สวัสดีวันปีใหม่!  สุขสันต์วันคริสต์มาส!”  ถ้าพวกเขาทักทายเรา เราก็แค่พยักหน้าและกล่าวตอบว่า “เช่นกัน!” หมายความว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาสเช่นกัน”  เราทำไปตามขั้นตอนของการทักทายกัน แล้วก็จบแค่นั้น  แต่เราไม่เคยกล่าวเช่นนี้เวลาพบปะพี่น้องชายหญิง  เพราะเหตุใด?  เพราะนี่คือวันหยุดเทศกาลของผู้ไม่มีความเชื่อ เป็นวันหยุดเทศกาลเชิงพาณิชย์  ในโลกตะวันตก วันหยุดเทศกาลเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะตามประเพณีหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แท้จริงแล้วล้วนเกี่ยวข้องกับการพาณิชย์และเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ  แม้กระทั่งบางชาติที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน วันหยุดเทศกาลของพวกเขาก็เพียงแต่เกี่ยวข้องกับประเพณี และค่อยๆ พัฒนาไปเป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ที่หลากหลายนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา และเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมสำหรับพ่อค้า  ไม่ว่าวันหยุดเทศกาลเหล่านี้จะเป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือตามประเพณี ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า  ไม่ว่าผู้ไม่มีความเชื่อหรือแม้กระทั่งผู้คนที่เคร่งศาสนาจะกระตือรือร้นปานใดกับวันหยุดเทศกาลเหล่านี้ หรือว่าวันเหล่านี้จะยิ่งใหญ่และตระการตาปานใดในประเทศหรือชาติใดก็ตาม ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนที่ติดตามพระเจ้าอย่างพวกเรา ไม่ใช่วันหยุดเทศกาลที่พวกเราควรเข้าร่วม และยิ่งไม่ควรฉลองหรือรำลึกถึง  อย่าว่าแต่วันหยุดเทศกาลตามประเพณีที่มาจากผู้ไม่มีความเชื่อเลย ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ หรือยุคสมัยใด ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเรา  แม้กระทั่งวันครบรอบที่เกี่ยวข้องกับแต่ละช่วงเวลาและแต่ละส่วนของพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา  ตัวอย่างเช่น วันหยุดเทศกาลจากยุคธรรมบัญญัติไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา และแน่นอนว่าวันอีสเตอร์ วันคริสต์มาส และวันอื่นๆ จากยุคพระคุณก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา  จากการสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้ เราต้องการให้ผู้คนเข้าใจสิ่งใด?  เข้าใจว่าพระเจ้าไม่ทรงร่วมฉลองวันหยุดเทศกาลหรือทำตามข้อบังคับใดๆ ในสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ  พระองค์ทรงกระทำการอย่างอิสระและเสรี ไร้ซึ่งข้อห้าม และพระองค์ก็ไม่เคยรำลึกถึงวันหยุดเทศกาลใดๆ  ต่อให้เป็นจุดเริ่มต้น บทอวสาน หรือวันพิเศษในพระราชกิจที่ผ่านมาของพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่เคยรำลึกถึง  พระเจ้าไม่ทรงรำลึกและชัดเจนว่าไม่ได้ทรงทำให้ผู้คนตระหนักถึงวันที่ วัน หรือช่วงเวลาเหล่านี้  นัยหนึ่ง เป็นการบอกผู้คนว่าพระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงวันเหล่านี้ พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเรื่องวันเหล่านี้  อีกนัยหนึ่งก็บอกผู้คนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรำลึกหรือฉลองวันเหล่านี้ พวกเขาไม่ควรยึดถือวันเหล่านี้  ผู้คนไม่จำเป็นต้องจดจำวันหรือช่วงเวลาใดๆ ที่เชื่อมโยงกับพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งไม่ต้องรำลึกถึง  แล้วผู้คนจำเป็นต้องทำสิ่งใด?  พวกเขาจำเป็นต้องนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าภายใต้การทรงนำของพระองค์  พวกเขาจำเป็นต้องยอมรับความจริงและนบนอบความจริงในชีวิตประจำวันของตน  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง  เมื่อทำดังนี้ ชีวิตของผู้คนย่อมจะง่ายขึ้นและน่ายินดีมากขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น การสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้จึงนำเสรีภาพและอิสรภาพมาให้แก่ทุกคนอย่างแท้จริง ไม่ใช่การผูกมัด  เพราะในด้านหนึ่ง เรื่องเหล่านี้คือข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์และเป็นเรื่องจริงที่ผู้คนควรทำความเข้าใจ และอีกด้านหนึ่งก็ทำให้ผู้คนเป็นอิสระ เปิดโอกาสให้พวกเขาปล่อยมือจากสิ่งที่พวกเขาไม่ควรยึดติดอีกด้วย  พร้อมกันนั้น นี่ก็ทำให้ผู้คนรู้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ตัวแทนของความจริง และมีหนทางของพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ผู้คนควรยึดมั่น นั่นก็คือความจริง  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว นอกจากการปล่อยมือจากการปลูกฝังโดยครอบครัวของคนเราแล้ว ยังมีแง่มุมอื่นที่ผู้คนควรปล่อยมืออีกด้วย  ก่อนหน้านี้พวกเราเคยสามัคคีธรรมถึงการปลูกฝังที่ครอบครัวมีต่อการคิดอ่านของคนเรา จากนั้นพวกเราก็สามัคคีธรรมถึงคำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คน  ทุกครอบครัวมอบชีวิตที่มั่นคงและหนทางที่จะเติบโตให้แก่ผู้คน  ทุกครอบครัวให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยแก่ผู้คน ให้บางสิ่งที่พึ่งพาได้ และเป็นแหล่งปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นระหว่างที่ผู้คนกำลังเติบโตอยู่  นอกจากเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์ให้แก่ผู้คนแล้ว ความต้องการทางวัตถุของผู้คนยังได้รับการเติมเต็มจากครอบครัวของตนอีกด้วย  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับสิ่งจำเป็นในชีวิตและความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับชีวิตอยู่บ้าง ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องมีระหว่างที่เติบโตขึ้นมา  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนได้จากครอบครัวของตน ดังนั้นสำหรับคนแต่ละคนแล้ว ครอบครัวจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยากจะตัดขาด  ข้อดีที่ครอบครัวมีต่อผู้คนนั้นมีอยู่มากมายนัก แต่เมื่อมองจากเนื้อหาที่พวกเราสามัคคีธรรมกันแล้ว ครอบครัวก็นำอิทธิพลเชิงลบ ท่าทีและมุมมองที่เป็นลบในชีวิตมาให้แก่ผู้คนมากมายเช่นกัน  กล่าวคือ ขณะที่ครอบครัวนำสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตทางกายภาพของเจ้ามาให้อย่างมากมาย จัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ให้หลักยึดและแรงเกื้อหนุนทางอารมณ์แก่เจ้า แต่พร้อมกันนั้นครอบครัวก็นำความเดือดร้อนที่ไม่จำเป็นบางอย่างมาให้เจ้าเช่นกัน  แน่นอนว่าก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจความจริง ย่อมเป็นการยากที่พวกเขาจะหนีและปล่อยมือจากความเดือดร้อนเหล่านี้ได้  ครอบครัวของเจ้าก่อให้เกิดการรบกวนน้อยและใหญ่เข้ามาในชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของเจ้าในระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อครอบครัวมักจะซับซ้อนและขัดแย้งกันเอง  เนื่องจากครอบครัวตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของเจ้า พลางแทรกแซงชีวิตของเจ้าทางด้านอารมณ์ไปด้วย คำว่า “ครอบครัว” จึงกระตุ้นให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความคิดที่ซับซ้อนและยากที่จะร้อยเรียงเป็นคำพูด  ความรู้สึกของเจ้าเต็มไปด้วยความถวิลหาอาวรณ์ ความผูกพัน และแน่นอนว่าเต็มไปด้วยความขอบคุณต่อครอบครัวของเจ้า  แต่ในเวลาเดียวกัน เรื่องยุ่งเหยิงที่ครอบครัวนำมาให้ก็ทำให้เจ้ารู้สึกว่าครอบครัวคือต้นตอใหญ่ของปัญหา  กล่าวคือ หลังจากที่คนคนหนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แนวคิด ความคิด และมุมมองที่พวกเขามีต่อครอบครัวย่อมจะค่อนข้างซับซ้อน  ถ้าพวกเขาปล่อยมือ ทอดทิ้ง หรือเลิกนึกถึงครอบครัวของตนอย่างสิ้นเชิง มโนธรรมของพวกเขาก็จะทนรับเรื่องนี้ไม่ได้  ถ้าพวกเขานึกถึงครอบครัว ระลึกความหลัง และทุ่มเทให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก พวกเขาก็จะรู้สึกไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น  ผู้คนมักจะมีประสบการณ์กับสภาวะ ความคิด ทัศนะ หรือภาวะแบบนี้เวลารับมือครอบครัวของตน แล้วความคิดและทัศนะหรือภาวะเหล่านี้ก็มาจากการปลูกฝังโดยครอบครัวของพวกเขา  นี่คือเรื่องที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันในวันนี้ ซึ่งก็คือภาระที่ครอบครัวก่อให้เกิดแก่ผู้คน

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันว่าครอบครัวมักจะทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกขัดแย้งและอึดอัดใจอย่างไร  พวกเขาอยากปล่อยมือโดยสิ้นเชิง แต่ก็รู้สึกผิดอยู่ในมโนธรรมของตนและไม่มีแก่ใจที่จะทำเช่นนั้น  ถ้าพวกเขาไม่ปล่อยมือ แต่กลับทุ่มเทหัวใจให้ทั้งดวงและทำตัวกลมกลืนไปกับครอบครัว พวกเขาก็มักจะรู้สึกอับจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นใดเมื่อทัศนะบางอย่างของตนขัดแย้งกับครอบครัว  ดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกว่าการรับมือครอบครัวนั้นยากเป็นพิเศษ พวกเขาไม่สามารถเข้ากับครอบครัวของตนได้ในทุกเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถตัดขาดจากครอบครัวได้อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน  ดังนั้นแล้ววันนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมกันเถิดว่าคนคนหนึ่งควรจัดการสัมพันธภาพที่ตนมีกับครอบครัวอย่างไร  หัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับภาระบางอย่างที่มาจากครอบครัว ซึ่งเป็นหัวข้อที่สามในเนื้อหาเกี่ยวกับการปล่อยมือจากครอบครัว—ปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา  นี่เป็นหัวข้อสำคัญ  เจ้าสามารถเข้าใจอะไรเกี่ยวกับภาระที่มาจากครอบครัวได้บ้าง?  สิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน ความกตัญญู และอื่นๆ ของคนเราหรือไม่?  (เกี่ยวข้อง)  ภาระที่มาจากครอบครัวเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และความกตัญญูที่คนคนหนึ่งควรทำให้ลุล่วงเพื่อครอบครัวของตน  ในด้านหนึ่ง ภาระเหล่านี้ก็คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่คนคนหนึ่งพึงลุล่วง แต่อีกด้านหนึ่ง—ในบางรูปการณ์และกับคนบางคน—ภาระเหล่านี้กลายเป็นเรื่องรบกวนชีวิตของคนคนหนึ่ง และเรื่องรบกวนเหล่านี้ก็คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าภาระ  เมื่อเป็นเรื่องของภาระที่มาจากครอบครัว พวกเราสามารถเสวนาได้จากสองแง่มุม  แง่หนึ่งคือความคาดหวังของพ่อแม่  พ่อแม่หรือผู้อาวุโสทุกคนมีความคาดหวังในตัวลูกหลานของตนมากน้อยต่างกันไป  พวกเขาหวังให้ลูกหลานขยันเรียน ประพฤติตัวดี เป็นเลิศในโรงเรียน เป็นนักเรียนที่ได้คะแนนดีเยี่ยมทุกวิชา และไม่เกียจคร้าน  พวกเขาต้องการให้ลูกหลานของตนเป็นคนที่ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้เกียรติ และทำคะแนนได้เกิน 80 เป็นประจำ  ถ้าเด็กทำคะแนนได้สัก 60 ก็จะถูกตี และถ้าทำคะแนนต่ำกว่า 60 เด็กก็ต้องหันหน้าเข้ากำแพงและใคร่ครวญความผิดของตน หรือให้ยืนนิ่งๆ เป็นการทำโทษ  เด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้กิน นอน ดูโทรทัศน์ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเสื้อผ้าสวยๆ กับของเล่นที่เคยสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ก็จะไม่ซื้อให้อีกต่อไป  พ่อแม่ทุกคู่มีความคาดหวังหลากหลายในตัวลูกของตนและตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ไว้ให้กับลูก  พวกเขาหวังว่าลูกๆ จะประสบความสำเร็จในชีวิต ก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างรวดเร็ว นำเกียรติและชื่อเสียงมาให้บรรพชนและครอบครัวของตน  ไม่มีพ่อแม่คนใดต้องการให้ลูกกลายเป็นขอทาน เป็นชาวไร่ชาวนา หรือแม้กระทั่งเป็นโจรและผู้ร้ายปล้นชิงทรัพย์  พ่อแม่ไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นพลเมืองชั้นสองเวลาเข้าสังคม คุ้ยขยะ เร่ขายของตามทางเท้า เป็นผู้ค้าหาบเร่ หรือถูกผู้อื่นดูแคลนเช่นกัน  ไม่ว่าลูกๆ จะสามารถทำให้สิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเหล่านี้กลายเป็นจริงได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด พ่อแม่ย่อมมีความคาดหวังสารพัดอย่างในตัวลูก  ความคาดหวังของพ่อแม่คือการฉายภาพการไล่ตามไขว่คว้าหรือสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีงามและสูงส่งให้กับลูก ฝากความหวังไว้กับพวกเขา หวังว่าพวกเขาจะสามารถเติมเต็มความปรารถนาเหล่านี้ให้พ่อแม่ได้  แล้วความอยากของพ่อแม่ก่อให้เกิดสิ่งใดกับลูกๆ โดยไม่เจตนาบ้าง?  (ความกดดัน)  สร้างความกดดันกับอะไรอีก?  (ภาระ)  ความอยากเหล่านี้ยังกลายเป็นแรงกดดันและกลายเป็นโซ่ตรวนอีกด้วย  เมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังในตัวลูก พวกเขาย่อมจะบ่มวินัย ชี้นำ และอบรมสั่งสอนลูกของตนตามความคาดหวังเหล่านั้น พวกเขาจะถึงกับทุ่มเทให้ลูกๆ หรือยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของตนลุล่วงความคาดหวังของตน  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่หวังว่าลูกๆ จะเป็นเลิศในโรงเรียน ได้ที่หนึ่งของชั้นเรียน ทำคะแนนเกิน 90 ในการสอบทุกครั้ง เป็นอันดับหนึ่งเสมอ—หรืออย่างแย่ที่สุดก็ไม่เคยอยู่ต่ำกว่าอันดับที่ห้า  หลังจากแสดงความคาดหวังเหล่านี้แล้ว พ่อแม่ไม่ได้กำลังเสียสละบางอย่างไปพร้อมกันเพื่อช่วยให้ลูกบรรลุเป้าหมายเหล่านี้หรอกหรือ?  (ใช่)  เพื่อให้ลูกๆ ของตนสัมฤทธิ์เป้าหมายเหล่านี้ ลูกๆ ก็จะต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาทบทวนบทเรียนและท่องจำข้อความ ส่วนพ่อแม่ก็จะตื่นแต่เช้ามาอยู่เป็นเพื่อนลูกด้วย  วันไหนอากาศร้อน พวกเขาก็จะช่วยพัดวีให้ลูก ทำเครื่องดื่มเย็นๆ หรือซื้อไอศกรีมมาให้กิน  พวกเขาจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และไข่ให้กับลูกๆ ของตนเป็นอันดับแรก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสอบ พ่อแม่จะให้ลูกกินปาท่องโก๋หนึ่งตัวกับไข่สองฟอง โดยหวังว่านี่จะช่วยให้ลูกทำคะแนนเต็มร้อย  ถ้าเจ้ากล่าวว่า “ลูกกินทั้งหมดนี้ไม่ไหว ไข่ฟองเดียวก็พอ” พวกเขาก็จะตอบว่า “เด็กโง่ ถ้าลูกกินไข่หนึ่งฟองก็จะทำได้แค่สิบคะแนน กินอีกฟองเพื่อแม่นะ  พยายามให้สุดความสามารถ ถ้าลูกกินไข่ฟองนี้ได้ ลูกก็จะได้ร้อยคะแนนเต็ม”  ลูกจึงบอกว่า “ลูกเพิ่งตื่นนอน ยังกินไม่ลงหรอก”  “ไม่ได้ ลูกต้องกิน!  เป็นเด็กดีและเชื่อฟังแม่  แม่ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้ลูกได้ดี ดังนั้นกินเข้าไป เพื่อแม่เถิด”  ลูกก็ไตร่ตรองว่า “แม่ดูแลเอาใจใส่มากมาย  ทุกสิ่งที่แม่ทำก็เพื่อให้ฉันได้ดี ดังนั้นฉันก็จะกิน”  สิ่งที่กินเข้าไปคือไข่หนึ่งฟอง แต่สิ่งที่กลืนลงไปจริงๆ แล้วคืออะไร?  คือความกดดัน ความลังเลและไม่ยินยอมพร้อมใจ  การกินเป็นสิ่งที่ดี และแม่ก็คาดหวังไว้สูง จากจุดยืนของความเป็นมนุษย์และมโนธรรมแล้ว คนเราควรยอมรับความคาดหวังเหล่านั้น แต่ตามเหตุผลแล้ว คนเราควรแข็งขืนต่อความรักประเภทนี้และไม่ยอมรับวิธีทำสิ่งต่างๆ แบบนี้  แต่นั่นแหละ เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้  ถ้าเจ้าไม่กิน แม่ก็จะโกรธ และเจ้าก็จะถูกตี ดุว่า หรือแม้กระทั่งถูกสาปแช่ง  พ่อแม่บางคนกล่าวว่า “ดูลูกสิ ไม่ได้เรื่องเสียจนแม้แต่จะกินไข่สักฟองก็ยังต้องใช้ความพยายามมากขนาดนี้  ปาท่องโก๋ตัวเดียวกับไข่สองฟอง นั่นคือคะแนนเต็มร้อยไม่ใช่หรือ?  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ลูกได้ดีไม่ใช่หรือ?  แต่ลูกก็ยังกินไม่ไหว—ถ้ากินไม่ไหว ในอนาคตลูกก็จะต้องไปขอเขากิน  ตามใจลูกนะ!”  ยังมีเด็กบางคนที่กินไม่ไหวจริงๆ แต่พ่อแม่ก็บังคับให้กิน แล้วหลังจากนั้นเด็กก็อาเจียนออกมาหมด  การอาเจียนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่พ่อแม่กลับยิ่งโมโห และลูกๆ ก็ไม่เพียงไม่ได้รับความเห็นใจหรือความเข้าใจเท่านั้น แต่ยังถูกว่ากล่าวอีกด้วย  ควบคู่ไปกับการถูกว่ากล่าว ลูกก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าตนทำให้พ่อแม่ผิดหวังและนึกตำหนิตัวเองมากขึ้นอีกด้วย  ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กๆ เหล่านี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ง่ายเลย)  หลังจากอาเจียนออกมาแล้ว เจ้าก็แอบร้องไห้ในห้องน้ำ แสร้งทำเป็นว่ายังอาเจียนอยู่  พอเจ้าออกมาจากห้องน้ำ เจ้าก็รีบปาดน้ำตาเพื่อให้แน่ใจว่าแม่ของเจ้าจะไม่เห็น  เพราะเหตุใด?  ถ้าแม่เห็น เจ้าก็จะถูกดุว่าและถึงขนาดถูกสาปแช่งว่า “ดูลูกสิ ใช้ไม่ได้จริงๆ ร้องไห้ทำไม?  เจ้าเด็กไม่ได้ความ กระทั่งอาหารดีๆ แบบนี้ก็กินไม่ได้  แล้วอยากกินอะไร?  ถ้าต้องอดมื้อถัดไป ลูกก็คงกินมื้อนี้ไหวใช่ไหมล่ะ?  ลูกนี่เกิดมาเพื่อทนทุกข์จริงๆ!  ถ้าไม่ขยันเรียน ถ้าทำข้อสอบได้ไม่ดี ลูกก็จะลงเอยด้วยการขอเขากิน!”  ทุกคำที่แม่ของเจ้าพูดออกมาฟังเหมือนตั้งใจที่จะอบรมสั่งสอน แต่ก็เหมือนต่อว่าไปด้วย—แต่สิ่งที่เจ้ารู้สึกคืออะไร?  เจ้ารู้สึกถึงความคาดหวังและความรักของพ่อแม่  ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าแม่ของเจ้าจะพูดจาเกรี้ยวกราดเพียงใด เจ้าก็ต้องยอมรับและกลืนคำพูดของเธอเข้าไปพร้อมน้ำตาที่คลอหน่วยของเจ้า  ต่อให้เจ้ากินไม่ไหว เจ้าก็ต้องทนกินเข้าไป และถ้าเจ้ารู้สึกพะอืดพะอม เจ้าก็ยังต้องกิน  ชีวิตนี้สู้ทนกันง่ายนักหรือ?  (ไม่ง่ายเลย)  เหตุใดจึงไม่ง่าย?  ด้วยความคาดหวังของพ่อแม่ เจ้าได้รับการอบรมสั่งสอนว่าอย่างไร?  (จำเป็นต้องทำผลสอบให้ดีและมีอนาคตที่ประสบความสำเร็จ)  เจ้าต้องแสดงให้เห็นว่ามีแววว่าจะประสบความสำเร็จ เจ้าต้องทำให้สมกับความรัก ความเหนื่อยยาก และความเสียสละของแม่ และเจ้าต้องลุล่วงสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าคาดหวังโดยไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง  พวกเขารักเจ้ามากนัก มอบทุกสิ่งให้แก่เจ้า และกำลังทำทุกสิ่งเพื่อเจ้าด้วยชีวิตของพวกเขาเอง  ดังนั้นความเสียสละทั้งหมด การอบรมสั่งสอน และแม้กระทั่งความรักของพวกเขาได้กลายเป็นสิ่งใด?  กลายเป็นสิ่งที่เจ้าต้องตอบแทน และในเวลาเดียวกันก็กลายเป็นภาระของเจ้า  ภาระจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้  ไม่ว่าพ่อแม่จะทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสัญชาตญาณ ความรัก หรือเพราะเป็นข้อกำหนดทางสังคมก็ตาม ในท้ายที่สุด การใช้วิธีการเหล่านี้มาอบรมสั่งสอนและปฏิบัติต่อเจ้า และถึงกับปลูกฝังแนวคิดสารพัดอย่างเอาไว้ในตัวเจ้า ก็ไม่ได้นำอิสรภาพ เสรีภาพ ความชูใจ หรือความเบิกบานมาสู่ดวงจิตของเจ้า  วิธีการเหล่านี้นำสิ่งใดมาให้เจ้า?  ความกดดัน ความเกรงกลัว การกล่าวโทษ และความกระวนกระวายในมโนธรรมของเจ้า  มีอะไรอีก?  (โซ่ตรวนและเครื่องจองจำ)  โซ่ตรวนและเครื่องจองจำ  นอกเหนือจากนี้ ภายใต้ความคาดหวังดังกล่าวของพ่อแม่ เจ้าก็อดไม่ได้ที่จะดำเนินชีวิตเพื่อความหวังของพวกเขา  เพื่อที่จะทำให้ได้ตามความคาดหวังของพวกเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาผิดหวัง และไม่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังในตัวเจ้า เจ้าจึงร่ำเรียนทุกวิชาด้วยความขยันหมั่นเพียรและเอาจริงเอาจังทุกวัน รวมทั้งทำทุกสิ่งที่พวกเขาขอให้เจ้าทำ  พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าดูโทรทัศน์ แล้วเจ้าก็เชื่อฟังด้วยการฝืนใจไม่ดู แม้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะดูก็ตาม  เพราะเหตุใดเจ้าจึงฝืนใจได้?  (เพราะกลัวว่าจะทำให้พ่อแม่ของข้าพระองค์ผิดหวัง)  เจ้ากลัวว่าถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ผลการเรียนของเจ้าก็จะตกลงมาจริงๆ และเจ้าก็จะไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติได้  เจ้าไม่มั่นใจในอนาคตของตนเอง  ราวกับว่าถ้าไม่มีการควบคุม ว่ากล่าว และการกดขี่จากพ่อแม่ เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่บนเส้นทางข้างหน้าของเจ้า  เจ้าไม่กล้าพาตัวเองหลุดเป็นอิสระจากการตีกรอบของพ่อแม่ และไม่กล้าทลายโซ่ตรวนของพวกเขาเพื่อเป็นอิสระ  เจ้าได้แต่ปล่อยให้พวกเขาวางกฎเกณฑ์สารพัดชนิดให้แก่เจ้า ปล่อยให้พวกเขาบงการเจ้า และเจ้าก็ไม่กล้าท้าทายพวกเขา  นัยหนึ่ง เจ้าไม่มีความมั่นใจในอนาคตของตนเอง อีกนัยหนึ่งก็เป็นเพราะมโนธรรมและความเป็นมนุษย์ เจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะท้าทายพวกเขา ไม่เต็มใจที่จะทำร้ายพวกเขา  ในฐานะลูกของพวกเขา เจ้ารู้สึกว่าเจ้าควรฟังพวกเขาเพราะทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนเป็นไปเพื่อให้เจ้าได้ดี เพื่ออนาคตของเจ้า และโอกาสที่เจ้าจะประสบความสำเร็จทั้งสิ้น  ดังนั้น เมื่อพวกเขาวางกฎเกณฑ์สารพัดอย่างให้แก่เจ้า เจ้าจึงได้แต่เชื่อฟังไปเงียบๆ  ต่อให้เจ้าไม่ยินยอมอยู่ในหัวใจเป็นร้อยครั้งแล้วก็ตาม เจ้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะรับคำสั่งจากพวกเขา  พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือเพื่อความเพลิดเพลิน เจ้าก็เลยไม่ดูหรืออ่านสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาไม่ให้เจ้าผูกมิตรกับเพื่อนร่วมห้องคนนี้หรือคนนั้น เจ้าก็ไม่ผูกมิตรด้วย  พวกเขาบอกเจ้าว่าให้ตื่นกี่โมง เจ้าก็ต้องตื่นเวลานั้น  พวกเขาบอกให้เจ้าพักผ่อนเวลาใด เจ้าก็พักเวลานั้น  พวกเขาบอกเจ้าว่าให้เรียนนานเท่าใด เจ้าก็เรียนนานเท่านั้น  พวกเขาคอยบอกเจ้าว่าให้อ่านหนังสือกี่เล่ม ควรเรียนรู้ทักษะเสริมนอกห้องเรียนกี่อย่าง และตราบใดที่พวกเขาออกค่าเล่าเรียนให้เจ้า เจ้าก็ยอมให้พวกเขาสั่งการและควบคุมเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่บางคนมีความคาดหวังบางอย่างเป็นพิเศษในตัวลูกของตน หวังว่าลูกๆ จะสามารถก้าวล้ำหน้ากว่าตน และยิ่งหวังมากขึ้นอีกว่าลูกๆ จะสามารถเติมเต็มความปรารถนาที่ตนไม่สามารถทำให้สำเร็จได้  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่บางคนอาจเคยต้องการเป็นนักเต้น แต่ด้วยเหตุผลนานาประการ—เช่น ยุคสมัยที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาหรือรูปการณ์ในครอบครัว—พวกเขาจึงไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนานั้นได้ในท้ายที่สุด  ดังนั้น พวกเขาจึงยัดเยียดความปรารถนานั้นๆ ให้กับเจ้า  นอกจากต้องการให้เจ้าอยู่ในกลุ่มคนที่เก่งที่สุดในด้านการเรียนและเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแล้ว พวกเขายังสมัครเรียนเต้นรำให้เจ้าอีกด้วย  พวกเขาบังคับให้เจ้าเรียนเต้นรำหลากหลายรูปแบบนอกเวลาเรียน เรียนรู้เพิ่มเติมในชั้นเรียนเต้นรำ ฝึกซ้อมที่บ้านให้มากขึ้น และเป็นคนที่เก่งที่สุดในชั้นเรียนของเจ้า  ท้ายที่สุด พวกเขาไม่เพียงเรียกร้องให้เจ้าเข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติได้เท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้เจ้าเป็นนักเต้นอีกด้วย  ทางเลือกของเจ้าก็คือการเป็นนักเต้นหรือไม่ก็เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ตามด้วยการเรียนต่อในระดับปริญญาโท จากนั้นก็คว้าปริญญาเอก  เจ้ามีเส้นทางให้เลือกเพียงสองเส้นทางนี้เท่านั้น  ในความคาดหวังของพวกเขา ด้านหนึ่งพวกเขาก็หวังว่าเจ้าจะขยันเรียนที่โรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน และมีอนาคตที่เจริญและรุ่งเรือง  อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ถ่ายทอดความปรารถนาที่ตัวเองไม่อาจเติมเต็มให้กับเจ้า โดยหวังว่าเจ้าจะสามารถเติมเต็มแทนพวกเขาได้  ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงแบกรับภาระสองอย่างพร้อมกัน ทั้งทางด้านวิชาการหรืออาชีพการงานในอนาคต  นัยหนึ่ง เจ้าต้องทำให้ได้ตามความคาดหวังของพวกเขาและตอบแทนทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำให้กับเจ้า พากเพียรที่จะโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันในท้ายที่สุด เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดี  อีกนัยหนึ่ง เจ้าก็ต้องเติมเต็มความฝันที่พวกเขาไม่อาจทำได้สำเร็จในวัยเยาว์ และช่วยทำให้ความปรารถนาของพวกเขากลายเป็นจริง  เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  การแบกรับภาระอย่างใดอย่างหนึ่งก็เกินพอแล้วสำหรับเจ้า ภาระอย่างใดอย่างหนึ่งก็หนักอึ้งจนทำให้เจ้าหอบหายใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมาก ข้อเรียกร้องนานาที่พ่อแม่มีต่อลูกจึงเกินกว่าจะแบกรับไหวและไร้มนุษยธรรมโดยแท้ นั่นล้วนแล้วแต่ไร้เหตุผลทั้งสิ้น  ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกสิ่งนี้ว่าอย่างไร?  การข่มขู่ทางอารมณ์  ไม่ว่าผู้ไม่มีความเชื่อจะเรียกว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ และไม่สามารถอธิบายแก่นแท้ของปัญหานี้ได้อย่างชัดเจน  พวกเขาเรียกว่าการข่มขู่ทางอารมณ์ แต่พวกเราเรียกว่าอะไร?  (โซ่ตรวนและภาระ)  พวกเราเรียกว่าภาระ  เมื่อพูดถึงภาระ นี่ใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งควรแบกรับหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามา เป็นเรื่องเสริมพิเศษที่เจ้ารับมา  ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเจ้า  ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกาย หัวใจ และดวงจิตของเจ้ามีหรือต้องการ แต่เป็นสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามา  เป็นสิ่งที่มาจากภายนอก ไม่ได้มาจากภายในตัวเจ้าเอง

พ่อแม่ของเจ้ามีความคาดหวังสารพัดอย่างในด้านการศึกษาเล่าเรียนและอาชีพการงานที่เจ้าเลือก  ขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เสียสละต่างๆ นานาและลงแรงลงเวลาไปมากมาย เพื่อให้เจ้าลุล่วงสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง  ในด้านหนึ่งนี่คือการช่วยให้เจ้าเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขา อีกด้านหนึ่งก็เป็นการตอบสนองความคาดหวังของพวกเขาเองด้วย  ไม่ว่าสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังจะสมเหตุสมผลหรือไม่ โดยสรุปแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้ของพ่อแม่ รวมทั้งทัศนะ ท่าที และวิธีการของพวกเขาล้วนทำหน้าที่เป็นโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นคอยล่ามคนแต่ละคนเอาไว้  ไม่ว่าพวกเขาจะมีข้ออ้างของว่าเป็นเพราะความรักที่มีต่อเจ้า เพื่อโอกาสในอนาคตของเจ้า หรือเพื่อให้เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีในอนาคตภายหน้า ไม่ว่าข้ออ้างของพวกเขาจะเป็นเช่นใด สรุปแล้ว วัตถุประสงค์ของข้อเรียกร้องเหล่านี้ วิธีการของข้อเรียกร้องเหล่านี้ และจุดเริ่มต้นในการคิดอ่านของพวกเขาก็ล้วนเป็นภาระอย่างหนึ่งไม่ว่าจะกับใครก็ตาม  ภาระเหล่านี้ไม่จำเป็นต่อความเป็นมนุษย์  ในเมื่อไม่จำเป็นต่อความเป็นมนุษย์ ผลสืบเนื่องที่เกิดจากภาระเหล่านี้จึงได้แต่ทำให้ความเป็นมนุษย์ของคนเราบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน และแตกแยก ภาระเหล่านี้ข่มเหง ทำร้าย และกดขี่ความเป็นมนุษย์ของคนเรา  ผลสืบเนื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดี แต่เป็นเรื่องร้ายแรง และถึงขั้นส่งผลต่อชีวิตของคนคนหนึ่ง  ในบทบาทการเป็นพ่อแม่นั้น พวกเขาบังคับให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ ที่ขัดต่อความต้องการของมนุษย์ หรือบางสิ่งที่อยู่เหนือหรือขัดต่อสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์  ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจอนุญาตให้ลูกนอนเพียงห้าหรือหกชั่วโมงต่อคืนในช่วงที่เด็กกำลังโต  ลูกๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้นอนก่อนห้าทุ่ม และต้องตื่นตอนตีห้า  ลูกๆ จะทำกิจกรรมสันทนาการใดๆ ไม่ได้ และไม่สามารถพักผ่อนทุกวันอาทิตย์ได้  เด็กๆ ต้องทำการบ้านจำนวนหนึ่งให้เสร็จและอ่านหนังสือนอกหลักสูตรจำนวนหนึ่ง พ่อแม่บางคนถึงขั้นยืนกรานว่าลูกของตนต้องเรียนภาษาต่างประเทศ  สรุปแล้ว นอกจากหลักสูตรที่สอนในโรงเรียนแล้ว เจ้ายังต้องเรียนเสริมทักษะและความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย  ถ้าเจ้าไม่เรียน เจ้าก็จะไม่ใช่เด็กดีที่เชื่อฟัง ขยัน หรือมีเหตุผล แต่จะเป็นคนไร้ค่าที่ไม่ได้ความและโง่เขลา  ภายใต้ข้ออ้างที่หวังให้ลูกของตนได้สิ่งที่ดีที่สุด พ่อแม่กลับลิดรอนเสรีภาพในการนอนของเจ้า ลิดรอนเสรีภาพในวัยเด็ก และห้วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็กไปจากเจ้า พร้อมกันนั้นก็ลิดรอนสิทธิ์ทุกอย่างที่เจ้าควรมีในฐานะผู้เยาว์  อย่างน้อยที่สุด เมื่อร่างกายของเจ้าต้องการพักผ่อน—ตัวอย่างเช่น เจ้าต้องการนอนเจ็ดถึงแปดชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว—พวกเขากลับให้เจ้าพักผ่อนเพียงห้าถึงหกชั่วโมงเท่านั้น หรือบางครั้งเจ้าก็ได้นอนเจ็ดถึงแปดชั่วโมง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าทนไม่ได้คือ พ่อแม่จะบ่นเจ้าไม่หยุด หรือจะบอกเจ้าในทำนองว่า “จากนี้ไป ลูกไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว  อยู่บ้านนอนนั่นแหละ!  ในเมื่อชอบนอนนัก ก็นอนอยู่บ้านไปทั้งชีวิตเถอะ  ในเมื่อไม่อยากไปโรงเรียน อนาคตลูกก็จะต้องไปขอเขากิน!”  เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวที่เจ้าไม่ได้ตื่นแต่เช้า เจ้าก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้  นี่คือการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ เจ้าจึงได้แต่ประนีประนอมและฝืนตัวเอง เจ้าต้องแน่ใจว่าตนต้องตื่นตีห้า และเข้านอนหลังห้าทุ่มเท่านั้น  เจ้าเต็มใจหรือไม่ที่จะฝืนตัวเองเช่นนี้?  เจ้าพอใจหรือไม่ที่จะทำเช่นนี้?  ไม่  เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นต่างหาก  ถ้าเจ้าไม่ทำตามที่พ่อแม่บอก พวกเขาก็อาจจะทำหน้าไม่พอใจหรือดุว่าเจ้า  พวกเขาจะไม่ตีเจ้า เพียงแต่จะบอกเจ้าว่า “พวกเราโยนกระเป๋านักเรียนของลูกทิ้งขยะไปแล้ว  ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไป  อยู่อย่างนี้ไปแล้วกัน  พออายุครบ 18 ก็ไปเป็นคนเก็บขยะได้เลย!”  ด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ที่พรั่งพรูออกมานี้ พวกเขาไม่ตีและไม่ดุว่าเจ้า เพียงแค่กระตุ้นเจ้าเช่นนี้ เจ้าก็ทนไม่ได้แล้ว  เจ้าทนอะไรไม่ได้?  เจ้าทนไม่ได้ที่พ่อแม่ของเจ้าบอกว่า “ถ้าลูกนอนเพิ่มสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ลูกก็จะต้องเป็นขอทานขออาหารกินในอนาคต”  ลึกลงไปนั้น เจ้ารู้สึกไม่สบายใจและเศร้าเสียใจเป็นพิเศษกับการนอนเพิ่มอีกสองชั่วโมง  เจ้ารู้สึกติดค้างพ่อแม่ที่เจ้านอนนานขึ้นอีกสองชั่วโมง รู้สึกว่าหลังจากที่พวกเขาทุ่มเททำงานหนักทุกอย่างเพื่อเจ้ามานานหลายปี ทั้งยังเป็นห่วงใยเจ้าอย่างจริงจัง เจ้ากลับทำให้พวกเขาผิดหวัง  เจ้านึกเกลียดตัวเอง โดยคิดว่า “ทำไมฉันถึงไร้ค่าอย่างนี้?  ฉันทำอะไรได้กับการนอนเพิ่มอีกสองชั่วโมง?  นั่นจะทำให้คะแนนของฉันดีขึ้นหรือช่วยให้ฉันเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงได้หรือไร?  ฉันไม่ใส่ใจได้ขนาดนี้ได้อย่างไร?  พอนาฬิกาปลุก ฉันควรลุกขึ้นมาเลย  ทำไมฉันถึงนอนต่ออีกหน่อยเล่า?”  เจ้านึกทบทวนว่า “ก็ฉันเหนื่อยจริงๆ  ฉันต้องการพักผ่อนจริงๆ!”  จากนั้นเจ้าก็ใคร่ครวญต่อไปว่า “ฉันจะคิดอย่างนี้ไม่ได้  การคิดแบบนี้คือการท้าทายพ่อแม่ไม่ใช่หรือ?  ถ้าฉันคิดอย่างนี้ ในอนาคต ฉันจะไม่กลายเป็นขอทานไปจริงๆ หรอกหรือ?  การคิดแบบนี้ย่อมทำให้พ่อแม่ผิดหวัง  ฉันควรรับฟังพวกท่านและไม่เอาแต่ใจอย่างนั้น”  ภายใต้การทำโทษและกฎเกณฑ์นานัปการที่พ่อแม่กำหนดไว้ รวมทั้งข้อเรียกร้องต่างๆ ของพวกเขา—ทั้งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล—เจ้าจึงยอมทำตามคำสั่งมากขึ้นทุกที แต่ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำเพื่อเจ้าก็กลายเป็นโซ่ตรวนและภาระให้กับเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว  ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าใด เจ้าก็ไม่สามารถสลัดภาระนั้นๆ ทิ้งไปหรือหลบซ่อนจากมันได้ เจ้าได้แต่แบกภาระนี้ติดตัวไปทุกหนแห่งเท่านั้น  ภาระนั้นคืออะไร?  “ทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำก็เพื่ออนาคตของฉันทั้งสิ้น  ฉันยังเด็กและไม่รู้ความ ดังนั้นฉันต้องรับฟังพ่อแม่ ทุกสิ่งที่พวกท่านทำย่อมถูกต้องและดีงาม  พวกท่านทนทุกข์มามากเกินไปและทุ่มเทเพื่อฉันมามากเกินไปแล้ว  ฉันควรขยันหมั่นเพียรเพื่อพ่อแม่ เรียนให้หนัก หางานดีๆ ทำในอนาคตและหาเงินมาจุนเจือพ่อแม่ มอบชีวิตที่ดี และตอบแทนพวกท่าน  นั่นคือสิ่งที่ฉันควรทำและเป็นสิ่งที่ฉันควรคิด”  อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้านึกถึงวิธีการที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเจ้า เมื่อเจ้านึกถึงประสบการณ์ที่เจ้ายากลำบากอยู่นานหลายปี สูญเสียความสุขในวัยเด็ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกพ่อแม่ข่มขู่ทางอารมณ์ ลึกลงไปเจ้าจึงยังคงรู้สึกว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่สิ่งที่ความเป็นมนุษย์ของเจ้าต้องการ และไม่ใช่สิ่งที่ดวงจิตของเจ้าต้องการ  นั่นล้วนเป็นภาระ  แม้เจ้าจะคิดเช่นนี้ แต่เจ้าก็ไม่เคยกล้าเกลียด ไม่เคยกล้าที่จะเผชิญหน้าสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถูกควรและตรงไปตรงมา ไม่เคยกล้าที่จะตรวจสอบทุกสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าทำหรือท่าทีที่พวกเขามีต่อเจ้า ตามที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าและอย่างเป็นเหตุเป็นผล  เจ้าไม่เคยกล้าที่จะปฏิบัติต่อพ่อแม่ในหนทางที่ถูกควรที่สุด เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  จนถึงตอนนี้ ในเรื่องของการเล่าเรียนและเลือกอาชีพการงาน พวกเจ้าเคยตระหนักถึงความอุตสาหะและราคาที่พ่อแม่จ่ายเพื่อพวกเจ้า รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาขอให้พวกเจ้าทำ และสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างว่าพวกเจ้าควรไล่ตามไขว่คว้ากันบ้างหรือไม่?  (ข้าพระองค์ไม่เคยตระหนักในเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลยและคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำนั้นก็เป็นไปเพราะความรักที่มีต่อข้าพระองค์และเพื่อให้ข้าพระองค์มีอนาคตที่ดีขึ้น  บัดนี้ ด้วยสามัคคีธรรมของพระเจ้า ข้าพระองค์จึงมีวิจารณญาณขึ้นมาบ้าง ดังนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ได้มองเช่นนั้นอีก)  แล้วมีอะไรอยู่เบื้องหลังความรักนี้?  (โซ่ตรวน พันธนาการ และภาระ)  อันที่จริง นี่คือการลิดรอนอิสรภาพของมนุษย์และเป็นการลิดรอนความสุขในวัยเด็ก นี่คือการกดขี่อย่างไร้มนุษยธรรม  ถ้าเรียกว่าการทารุณกรรม พวกเจ้าก็อาจจะไม่สามารถยอมรับคำนี้ได้เพราะจุดยืนทางมโนธรรมของพวกเจ้า  ดังนั้นจึงพูดได้เพียงว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพของมนุษย์และความสุขในวัยเด็ก รวมทั้งเป็นรูปแบบหนึ่งของการกดขี่ผู้เยาว์  ถ้าพวกเรากล่าวว่าเป็นการรังแก นั่นก็จะไม่ค่อยเหมาะ  เรื่องนี้เป็นเพียงเพราะเจ้ายังเด็กและไม่รู้ความเท่านั้น และพวกเขาก็มีสิทธิ์ขาดในทุกสิ่ง  พวกเขาควบคุมโลกของเจ้าอย่างเบ็ดเสร็จและเจ้าก็กลายเป็นหุ่นเชิดของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว  พวกเขาบอกให้เจ้าทำสิ่งใด เจ้าก็ทำสิ่งนั้น  ถ้าพวกเขาอยากให้เจ้าเรียนเต้นรำ เจ้าก็ต้องเรียน  ถ้าเจ้าบอกว่า “ลูกไม่ชอบเรียนเต้นรำ ลูกเรียนไม่สนุก เต้นตามจังหวะไม่ทัน และทรงตัวได้ไม่ดี” พวกเขาก็จะตอบว่า “น่าเสียดาย  แต่ลูกก็ต้องเรียนเพราะแม่ชอบ  ลูกต้องทำเพื่อแม่!”  ต่อให้เจ้ามีน้ำตา เจ้าก็จำต้องเรียน  บางครั้งแม่ของเจ้าก็จะถึงกับกล่าวว่า “เรียนเต้นรำเพื่อแม่นะ ฟังสิ่งที่แม่บอก  ตอนนี้ลูกยังเด็กและไม่เข้าใจ แต่พอโตขึ้น ลูกก็จะเข้าใจเอง  แม่ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้ลูกได้ดี ลูกดูสิ แม่ไม่มีกำลังทรัพย์ตอนที่แม่ยังเด็ก ไม่มีใครออกค่าเรียนเต้นรำให้แม่  แม่ไม่ได้มีวัยเด็กที่เป็นสุข  แต่ตอนนี้ลูกมีชีวิตที่ดีมาก  พ่อของลูกกับแม่หาเงินและเก็บออมไว้ให้ลูกเรียนเต้นรำได้  ลูกเหมือนเจ้าหญิงน้อย เจ้าชายน้อย  ลูกโชคดีมาก!  แม่กับพ่อทำเช่นนี้ก็เพราะพวกเรารักลูก”  เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เจ้าจะตอบว่าอย่างไร?  ไม่มีคำพูดใช่ไหม?  (ใช่)  พ่อแม่มักจะเชื่อว่าเด็กๆ ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น และสิ่งใดก็ตามที่ผู้ใหญ่พูดย่อมเป็นจริง พวกเขาคิดว่าเด็กๆ ไม่สามารถแยกแยะถูกผิดหรือพินิจพิเคราะห์ได้ว่าอะไรเหมาะกับตน  ดังนั้น ก่อนที่ลูกจะบรรลุนิติภาวะ พ่อแม่มักจะพูดสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก เพื่อชักพาลูกๆ ให้หลงผิดและทำให้หัวใจที่อ่อนเยาว์ของลูกๆ ด้านชา บีบให้ลูกยอมคล้อยตามการจัดแจงของตนอย่างไม่มีทางเลือกไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม  เมื่อเป็นเรื่องของการอบรมสั่งสอน การปลูกฝังแนวคิด และบางสิ่งบางอย่างที่พ่อแม่เรียกร้องให้ลูกๆ ทำ พ่อแม่อีกหลายคนมักจะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง พูดจาตามใจชอบ  ยิ่งไปกว่านั้น โดยทั่วไปแล้วพ่อแม่ร้อยละ 99.9 ไม่ใช้วิธีการที่ถูกต้องและเป็นบวกมาชี้นำลูกๆ ว่าควรทำและควรเข้าใจทุกสิ่งอย่างไร  แต่กลับบังคับปลูกฝังสิ่งที่ตนชอบอยู่ฝ่ายเดียวและสิ่งที่ตนคิดว่าดีงามให้กับลูก และบีบบังคับให้ลูกยอมรับเอาไว้  แน่นอนว่าร้อยละ 99.9 ของสิ่งที่ลูกยอมรับไม่เพียงไม่ตรงตามความจริงเท่านั้น แต่ไม่ใช่ความคิดและทัศนะที่ผู้คนพึงมีอีกด้วย  ในเวลาเดียวกันสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ตรงตามความต้องการของความเป็นมนุษย์สำหรับเด็กในวัยนี้  ตัวอย่างเช่น เด็กวัยห้าหรือหกขวบบางคนเล่นตุ๊กตา กระโดดเชือก หรือดูการ์ตูน  นี่เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?  ในสถานการณ์เช่นนี้ พ่อแม่มีเพียงความรับผิดชอบใด?  กำกับดูแล วางระเบียบ ให้การชี้นำในทางที่เป็นบวก ช่วยให้ลูกๆ ไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นลบในช่วงเวลานี้ และปล่อยให้ลูกยอมรับสิ่งที่เป็นบวกซึ่งควรได้รับการยอมรับในช่วงวัยนี้  ยกตัวอย่างเช่น ในวัยนี้ เด็กๆ ควรเรียนรู้ที่จะเข้ากับเด็กอื่นๆ รักครอบครัวของตน และรักพ่อรักแม่ของตน  พ่อแม่ก็ควรอบรมสั่งสอนลูกให้ดีขึ้น สอนให้พวกเขาเข้าใจว่ามนุษย์มาจากพระเจ้า และพวกเขาควรเป็นเด็กดี เรียนรู้ที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้า เรียนรู้ที่จะอธิษฐานเมื่อพวกเขามีปัญหาหรือลังเลที่จะเชื่อฟัง รวมทั้งอบรมสั่งสอนในแง่มุมอื่นที่เป็นบวกดังกล่าว—ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการตอบสนองความสนใจประสาเด็กของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เด็กๆ ไม่ควรถูกตำหนิที่อยากดูการ์ตูนและเล่นตุ๊กตา  พ่อแม่บางคนเห็นลูกวัยห้าหรือหกขวบของตนดูการ์ตูนและเล่นตุ๊กตา ก็ติเตียนว่า “เจ้าเด็กไม่ได้เรื่อง!  ไม่ตั้งใจเรียนหรือทำสิ่งที่เหมาะสมกับวัยนี้  ดูการ์ตูนมีประโยชน์อะไร?  ทั้งเรื่องมีแต่หนูกับแมวเท่านั้น ทำอะไรที่ดีกว่านี้ไม่เป็นหรือ?  การ์ตูนพวกนี้มีแต่ส่ำสัตว์ ดูอะไรที่มีผู้คนอยู่ด้วยไม่เป็นหรือ?  เมื่อไรจะโตเสียที?  โยนตุ๊กตานั่นทิ้งไป!  ลูกโตเกินจะเล่นตุ๊กตาแล้วนะ  ไม่ได้เรื่องจริงๆ!”  เจ้าคิดว่าเวลาเด็กๆ ได้ฟังดังนี้ พวกเขาสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่าผู้ใหญ่หมายความอย่างไร?  เด็กวัยนี้ถ้าไม่เล่นตุ๊กตาหรือเล่นดิน แล้วจะทำอะไร?  พวกเขาควรสร้างระเบิดปรมาณูกระนั้นหรือ?  หรือเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์?  พวกเขาทำเช่นนั้นได้หรือ?  เด็กในวัยนี้ก็ควรเล่นสิ่งของ เช่น ลูกบาศก์ของเล่น รถของเล่น และตุ๊กตา นั่นจึงเป็นปกติ  เมื่อพวกเขาเล่นจนเหนื่อยแล้ว พวกเขาก็ควรพักผ่อน มีสุขภาพดี และมีความสุข  เมื่อพวกเขาทำตัวเอาแต่ใจหรือไม่รับฟังเหตุผล หรือจงใจสร้างปัญหา ผู้ใหญ่ก็ควรอบรมสั่งสอนพวกเขาว่า “ลูกไม่คำนึงถึงคนอื่น  เด็กดีไม่ควรทำตัวแบบนี้  พระเจ้าไม่โปรดเช่นนี้ แล้วแม่กับพ่อก็ไม่ชอบเหมือนกัน”  นี่คือความรับผิดชอบของพ่อแม่ที่จะให้คำปรึกษาแก่ลูกๆ ไม่ใช่ใช้วิธีการและความเข้าใจเชิงลึกแบบผู้ใหญ่ของตนเอง รวมถึงความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของผู้ใหญ่ มาปลูกฝังหรือยัดเยียดบางสิ่งบางอย่างให้กับพวกเขา  ไม่ว่าลูกจะอายุเท่าใด ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงต่อลูกของตนก็มีเพียงให้การชี้นำ การอบรมสั่งสอน และการกำกับดูแลในทางที่เป็นบวก จากนั้นจึงให้คำปรึกษา  เมื่อพ่อแม่เห็นลูกๆ แสดงความคิด การปฏิบัติ และพฤติกรรมบางอย่างที่สุดโต่ง พวกเขาก็ควรให้การแนะแนวและชี้นำที่เป็นบวกเพื่อที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง ทำให้ลูกรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรเป็นบวกและอะไรเป็นลบ  นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  เมื่อทำดังนี้ ภายใต้วิธีการอบรมสั่งสอนและชี้นำที่ถูกควรของพ่อแม่ ลูกๆ ก็จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนโดยไม่รู้ตัว  ดังนั้น เมื่อผู้คนยอมรับหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นบวกและเรียนรู้ถูกผิดบ้างตั้งแต่เด็ก ดวงจิตและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็จะเป็นปกติและเป็นอิสระ—ดวงจิตของพวกเขาจะไม่ได้รับความเสียหายหรือถูกกดขี่แต่อย่างใด  ไม่ว่าสุขภาพร่างกายของพวกเขาจะเป็นเช่นใด อย่างน้อยสุขภาพจิตใจก็สมบูรณ์และไม่บิดเบี้ยว เพราะพวกเขาโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี ไม่ได้โตมาภายใต้การกดดันในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย  เมื่อลูกๆ เติบโตขึ้น ความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พ่อแม่ควรลุล่วงก็คือการไม่กดดันลูกของตน ไม่พันธนาการ หรือแทรกแซงตัวเลือกของพวกเขา เพิ่มภาระให้ครั้งแล้วครั้งเล่า  ในทางกลับกัน ขณะที่ลูกๆ กำลังเติบโต ไม่ว่าลูกจะมีบุคลิกและขีดความสามารถเช่นใด ความรับผิดชอบของพ่อแม่ก็คือการชี้นำพวกเขาในทิศทางที่ดีและเป็นบวก  เมื่อลูกมีการใช้ภาษา พฤติกรรม หรือความคิดที่ชอบกลและไม่ถูกควร พ่อแม่ก็ควรให้การแนะนำฝ่ายวิญญาณ รวมทั้งการชี้นำและการแก้ไขทางด้านพฤติกรรมอย่างทันท่วงที  ส่วนเรื่องที่ว่าลูกๆ จะเต็มใจเล่าเรียนหรือไม่ เรียนดีเพียงใด มีความสนใจในการเรียนรู้ทักษะและหาความรู้มากเพียงใด และพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อโตขึ้น เหล่านี้ควรปรับให้เหมาะกับความสามารถตามธรรมชาติ ความชอบส่วนตัว และแนวทางความสนใจของเด็ก เพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีสุขภาพที่ดี แข็งแกร่ง และเป็นอิสระในระหว่างขั้นตอนของการอบรมเลี้ยงดู—นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นท่าทีที่พ่อแม่ควรมีต่อการเติบโต การเล่าเรียน และอาชีพการงานของลูกๆ ไม่ใช่ยัดเยียดความปรารถนา ความใฝ่ฝัน ความชอบส่วนตน และแม้กระทั่งความอยากได้อยากมีของตนเองให้ลูกๆ ทำให้เป็นจริง  ด้วยวิธีนี้ ในด้านหนึ่ง พ่อแม่ก็ไม่ต้องเสียสละอะไรเพิ่มเติม และอีกด้านหนึ่ง ลูกๆ ก็สามารถเติบโตได้อย่างอิสระและได้รับสิ่งที่พวกเขาพึงเรียนรู้จากการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องและเหมาะสมของพ่อแม่  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือให้พ่อแม่ปฏิบัติต่อลูกอย่างถูกต้องตามความสามารถ ความสนใจ และความเป็นมนุษย์ของเด็ก ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อลูกตามหลักธรรมที่ว่า “ชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” เช่นนั้นแล้วผลสุดท้ายย่อมจะดีอย่างไม่ต้องสงสัย  การปฏิบัติต่อลูกตามหลักธรรมที่ว่า “ชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” ไม่ใช่การกีดกันไม่ให้เจ้าดูแลจัดการลูกๆ เจ้าควรบ่มวินัยในยามที่จำเป็นต้องบ่มวินัย และเข้มงวดเท่าที่จำเป็น  ไม่ว่าจะเข้มงวดหรือผ่อนปรน หลักธรรมของการปฏิบัติต่อลูกย่อมเป็นดังที่พวกเราเพิ่งกล่าวไปคือ เปิดโอกาสให้พวกเขาเดินไปตามครรลองธรรมชาติของตน ให้การชี้นำและความช่วยเหลือที่เป็นบวก จากนั้นจึงให้การช่วยเหลือและเกื้อหนุนทางด้านทักษะ ความรู้ หรือกำลังทรัพย์อย่างสุดความสามารถของเจ้าและตามรูปการณ์จริงของเด็ก  นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง ไม่ใช่บีบบังคับให้ลูกทำสิ่งที่พวกเขาไม่เต็มใจทำหรือทำสิ่งใดก็ตามที่ขัดกับความเป็นมนุษย์  สรุปแล้ว สิ่งที่คาดหวังจากลูกๆ ไม่ควรอิงการแข่งขันและความต้องการในสังคมปัจจุบัน กระแสนิยมหรือคำกล่าวอ้างในสังคม หรือแนวคิดต่างๆ ในสังคมที่ว่าผู้คนควรปฏิบัติต่อลูกของตนอย่างไร  เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่คาดหวังจากลูกควรเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมที่ว่า “ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำอย่างที่สุด  ส่วนเรื่องที่ว่าลูกๆ ของคนเราจะเติบโตเป็นคนแบบไหนในอนาคต จะเลือกงานประเภทใด และชีวิตทางวัตถุของพวกเขาจะเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้อยู่ในมือของใคร?  (พระหัตถ์ของพระเจ้า)  สิ่งเหล่านี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่อยู่ในมือของพ่อแม่และใครอื่น  ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ พวกเขาจะสามารถควบคุมชะตากรรมของลูกๆ ได้หรือ?  ถ้าผู้คนไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเอง พ่อแม่ของพวกเขาจะสามารถควบคุมได้กระนั้นหรือ?  ดังนั้น ในฐานะพ่อแม่ เวลาจัดการเรื่องการเล่าเรียนและอาชีพการงานของลูกๆ ผู้คนไม่ควรทำสิ่งที่เบาปัญญา  พวกเขาควรปฏิบัติต่อลูกของตนอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ทำให้ความคาดหวังของตนกลายเป็นภาระของลูกๆ ทำให้ความเสียสละ ค่าใช้จ่าย และความยากลำบากของตนกลายเป็นภาระของลูก และไม่ทำให้ครอบครัวกลายเป็นแดนชำระของลูก  นี่คือข้อเท็จจริงที่พ่อแม่ควรเข้าใจ  พวกเจ้าบางคนอาจถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ลูกๆ ควรมีสัมพันธภาพเช่นใดกับพ่อแม่ของตน?  พ่อแม่ควรปฏิบัติต่อลูกอย่างมิตร อย่างเพื่อนร่วมงาน หรือรักษาสัมพันธภาพฉันผู้อาวุโสกับผู้เยาว์เอาไว้?”  เจ้าสามารถจัดการตามที่เจ้าเห็นควร  ปล่อยให้ลูกๆ เลือกสิ่งที่พวกเขาชอบและจงทำสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีที่สุด  เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญทั้งสิ้น

ลูกๆ ควรรับมือความคาดหวังของพ่อแม่อย่างไร?  ถ้าเจ้าพบเจอพ่อแม่ที่ข่มขู่ลูกทางอารมณ์ ถ้าเจ้าเผชิญหน้าพ่อแม่ที่ไร้เหตุผลและเหมือนปีศาจเยี่ยงนั้น เจ้าจะทำอย่างไร?  (ข้าพระองค์คงจะเลิกฟังคำสอนของพวกเขา และจะมองสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า)  ในด้านหนึ่ง เจ้าต้องรับรู้ว่าวิธีการอบรมสั่งสอนของพวกเขาผิดในแง่หลักธรรม และวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าก็เป็นภัยต่อความเป็นมนุษย์ของเจ้า ทั้งยังลิดรอนสิทธิมนุษยชนของเจ้าอีกด้วย  ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าเองก็ควรเชื่อว่าชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สิ่งที่เจ้าอยากเรียน สิ่งที่เจ้าทำได้ดีเยี่ยม หรือสิ่งที่ขีดความสามารถแบบมนุษย์ของเจ้าสัมฤทธิ์ได้—พระเจ้าได้ทรงลิขิตสิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  แม้พ่อแม่ของเจ้าจะให้กำเนิดเจ้า พวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพ่อแม่จะเรียกร้องให้เจ้าทำสิ่งใด ถ้าเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำได้ ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ หรือไม่อยากทำ เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้  เจ้ายังสามารถให้เหตุผลกับพวกเขา จากนั้นก็ชดเชยเรื่องนี้ในด้านอื่น เพื่อเป็นการบรรเทาความวิตกกังวลที่พวกเขามีต่อเจ้า  เจ้าพูดว่า “ใจเย็นๆ ชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ลูกจะไม่เดินบนเส้นทางที่ผิดเป็นแน่ ลูกจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน  ด้วยการทรงนำของพระเจ้า ลูกย่อมจะเป็นคนที่แท้จริง เป็นคนดีอย่างแน่นอน  ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังในสิ่งที่คาดหวังจากลูก และจะไม่ลืมความเมตตาของพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาจนเติบโต”  พ่อแม่จะมีปฏิกิริยาเช่นใดหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้?  ถ้าพ่อแม่เป็นผู้ไม่มีความเชื่อหรือเป็นพวกมาร พวกเขาย่อมจะโกรธเกรี้ยว  เพราะเมื่อเจ้ากล่าวว่า “ลูกจะไม่ลืมที่พ่อแม่เมตตาเลี้ยงลูกมาจนโต และจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง” นี่เป็นเพียงคำพูดที่ลอยๆ เท่านั้น  เจ้าทำให้สิ่งที่กล่าวมานี้สำเร็จลุล่วงแล้วหรือยัง?  เจ้าทำสิ่งที่พวกเขาขอแล้วหรือ?  เจ้าสามารถโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันหรือไม่?  เจ้าสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือร่ำรวยเพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีได้หรือ?  เจ้าสามารถช่วยให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์ที่จับต้องได้หรือ?  (ยัง)  นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นความไม่แน่นอนทั้งสิ้น  ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสุข จะโกรธ หรือสู้ทนไปเงียบๆ เจ้าควรมีท่าทีเช่นไร?  ผู้คนมายังโลกนี้เพื่อลุล่วงภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขา  ผู้คนจึงไม่ควรดำเนินชีวิตเพื่อตอบสนองความคาดหวังของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เป็นสุข นำความรุ่งเรืองมาให้พ่อแม่ หรือเพื่อให้พ่อแม่มีชีวิตอันทรงเกียรติเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น  นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า  พวกเขาเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ ไม่ว่าจะเสียอะไรไปบ้าง พวกเขาก็ทำด้วยความเต็มใจ  การเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของพวกเขา  ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาฝากความคาดหวังในตัวเจ้ามากแค่ไหน พวกเขาทนทุกข์มากเพียงใดเพราะความคาดหวังเหล่านี้ ใช้เงินไปเท่าใด ถูกผู้คนปฏิเสธและดูแคลนพวกเขามากขนาดไหน และพวกเขาเสียสละไปมากเพียงใด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปด้วยความสมัครใจ  เจ้าไม่ได้ขอให้ทำ เจ้าไม่ได้ทำให้พวกเขาทำเช่นนั้น และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงขอหรือทรงทำให้พวกเขาทำเช่นกัน  พวกเขามีแรงจูงใจของตนเองในการทำเช่นนั้น  จากมุมมองของพวกเขา พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อตนเองทั้งสิ้น  ภายนอกแล้วนั่นก็เพื่อให้เจ้ามีชีวิตที่ดีและมีโอกาสที่ดีในอนาคต แต่อันที่จริง นั่นเป็นไปเพื่อนำความรุ่งเรืองมาสู่พวกเขาและไม่ทำให้พวกเขาเสื่อมเสีย  เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องตอบแทนพวกเขา และไม่ต้องเติมเต็มความปรารถนาและความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงไม่มีภาระผูกพันนี้?  เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงให้เจ้าทำ นี่ไม่ใช่ภาระผูกพันที่พระองค์ประทานแก่เจ้า  ความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาคือการทำสิ่งที่ลูกๆ ควรทำเมื่อพวกเขาต้องการเจ้า ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าให้ดีที่สุดในฐานะลูก  แม้พวกเขาเป็นคนให้กำเนิดเจ้าและเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ แต่ความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาก็มีเพียงซักผ้า หุงหาอาหาร และทำความสะอาดเมื่อพวกเขาต้องการให้เจ้าดูแลพวกเขา และอยู่เฝ้าไข้ข้างเตียงเวลาพวกเขาเจ็บป่วย  เท่านั้นเอง  เจ้าไม่จำเป็นต้องทำทุกสิ่งที่พวกเขาบอก และไม่จำเป็นต้องเป็นทาสของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสานต่อความปรารถนาที่ยังไม่ลุล่วงของพวกเขาด้วย ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)

ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งก็คือการสืบทอดธุรกิจของครอบครัวหรืออาชีพของบรรพชน  ตัวอย่างเช่น บางครอบครัวเป็นครอบครัวจิตรกร กฎเกณฑ์ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเขาก็คือแต่ละรุ่นต้องมีใครสักคนสืบทอดกิจการของครอบครัวและสานต่อประเพณีในครอบครัว  สมมุติว่าในรุ่นของเจ้า บทบาทนี้ตกอยู่กับเจ้า แต่เจ้าไม่ชอบการวาดภาพและไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ เจ้าอยากเรียนวิชาที่ง่ายกว่านั้น  ในสถานการณ์ดังกล่าว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ  เจ้าไม่จำเป็นต้องสืบทอดประเพณีต่างๆ ของครอบครัว และไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องสืบทอดธุรกิจของครอบครัวหรืออาชีพของบรรพบุรุษ เช่น ศิลปะการต่อสู้ งานฝีมือหรือทักษะจำเพาะ และอื่นๆ  เจ้าไม่จำเป็นต้องสานต่อสิ่งที่พวกเขาขอให้เจ้าสืบทอด  ในครอบครัวอื่นบางครอบครัว คนทุกรุ่นร้องงิ้ว  ในรุ่นของเจ้า พ่อแม่ของเจ้าให้เจ้าหัดร้องงิ้วตั้งแต่อายุน้อยๆ  เจ้าก็หัดร้อง แต่ลึกลงไปในหัวใจ เจ้าไม่ชอบการร้องงิ้วเลย  ด้วยเหตุนี้ ถ้าเจ้าได้รับการขอให้เลือกอาชีพ เจ้าจะไม่มีทางทำงานใดที่เกี่ยวข้องกับอุปรากรอย่างเด็ดขาด  เจ้าไม่ชอบอาชีพนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ ในกรณีดังกล่าว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ  เพราะชะตากรรมของเจ้าไม่ได้อยู่ในมือของพ่อแม่—งานที่เจ้าเลือก ทิศทางความสนใจของเจ้า สิ่งที่เจ้าอยากทำ และรูปแบบของเส้นทางที่เจ้าอยากเดิน ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้าและแน่นอนว่าไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้า  บทบาทที่พ่อแม่มีในชีวิตของลูกคือการเป็นผู้ปกครอง ดูแลเอาใจใส่ และอยู่เคียงข้างระหว่างที่ลูกเติบโตขึ้นเท่านั้น  ในกรณีที่ดีกว่านั้น พ่อแม่สามารถให้การชี้นำ อบรมสั่งสอน และให้แนวทางที่เป็นบวกแก่ลูกของตน  นี่คือบทบาทเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาสามารถลุล่วงได้  เมื่อเจ้าเติบโตและพึ่งตนเองได้แล้ว บทบาทของพ่อแม่ก็มีเพียงการเป็นเสาหลักทางอารมณ์และที่พึ่งทางอารมณ์เท่านั้น  วันที่เจ้าพึ่งพาตนเองได้ในด้านความคิดและรูปแบบการใช้ชีวิตก็คือวันที่พ่อแม่ของเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขามีต่อเจ้า ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับพวกเขาจึงเปลี่ยนจากสัมพันธภาพระหว่างครูผู้สอนกับศิษย์ ผู้ปกครองกับผู้เยาว์ไปแล้ว  จริงๆ แล้วเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนมีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เชื่อในพระเจ้า  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  นี่เกี่ยวข้องกับการลิขิตของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเลือกเจ้า ไม่ใช่พวกเขา พระเจ้าทรงใช้มือของพวกเขาเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ จากนั้นก็ทรงนำเจ้าเข้ามาในครอบครัวของพระเจ้า  ในฐานะลูก ท่าทีที่เจ้าควรมีต่อความคาดหวังของพ่อแม่ก็คือการใช้วิจารณญาณแยกแยะถูกผิด  ถ้าวิธีที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ตรงตามพระวจนะของพระเจ้าหรือข้อเท็จจริงที่ว่า “ชะตากรรมของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” เจ้าก็สามารถปฏิเสธความคาดหวังของพวกเขา และให้เหตุผลกับพ่อแม่ของเจ้าเพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจ  ถ้าเจ้ายังคงเป็นผู้เยาว์และพวกเขาใช้กำลังข่มเจ้า บีบให้เจ้าทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา เจ้าก็ทำได้เพียงอธิษฐานถึงพระเจ้าไปเงียบๆ และปล่อยให้พระองค์ทรงเผยทางออกแก่เจ้าเท่านั้น  แต่ถ้าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเจ้าย่อมสามารถกล่าวแก่พวกเขาว่า “ไม่ ลูกไม่ต้องใช้ชีวิตตามหนทางที่พ่อแม่วางไว้ให้  ลูกไม่ต้องเลือกเส้นทางชีวิต วิถีความเป็นอยู่ และเป้าหมายที่จะไล่ตามเสาะหาตามหนทางที่พ่อแม่วางไว้ให้  พ่อแม่ลุล่วงภาระผูกพันในการเลี้ยงดูลูกให้เติบโตแล้ว  ถ้าพวกเราสามารถไปด้วยกันได้ มีการไล่ตามเสาะหาและเป้าหมายร่วมกัน เช่นนั้นสัมพันธภาพของพวกเราก็สามารถคงอยู่อย่างที่เคยเป็นมาได้ แต่ถ้าพวกเราไม่มีความใฝ่ฝันและเป้าหมายร่วมกันอีกต่อไป เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่กล่าวคำอำลากันไปก่อนเท่านั้น”  ฟังดูเป็นเช่นไร?  พวกเจ้าจะกล้ากล่าวดังนี้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตัดสัมพันธ์กับพ่อแม่ของเจ้าอย่างเป็นทางการเช่นนี้ แต่อย่างน้อยที่สุด ในส่วนลึกของหัวใจ เจ้าก็ควรมองเห็นประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า แม้พ่อแม่ของเจ้าจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเจ้าที่สุด แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่พวกเขาที่เป็นผู้มอบชีวิตให้แก่เจ้า ทำให้เจ้าสามารถเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และทำให้เจ้าเข้าใจหลักธรรมทั้งปวงของการประพฤติปฏิบัติตน  เป็นพระเจ้าต่างหาก  พ่อแม่ของเจ้าไม่สามารถจัดเตรียมความจริงให้แก่เจ้าหรือให้คำแนะนำที่ถูกต้องใดๆ เกี่ยวกับความจริงได้  ดังนั้น ในเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับพ่อแม่ ไม่ว่าพวกเขาได้ทุ่มเทให้กับเจ้าไปมากเท่าใด หรือหมดเงินและใช้ความอุตสาหะไปกับเจ้ามากเพียงใด เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับความรู้สึกผิดใดๆ ไว้เอง  เพราะเหตุใด?  (เพราะนี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พ่อแม่มี  ถ้าพ่อแม่ทำทั้งหมดนี้เพื่อให้ลูกของตนสามารถโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันและเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของพ่อแม่เอง เหล่านี้ย่อมเป็นเจตนาและแรงจูงใจของพวกเขาเอง ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตให้พวกเขาทำ  เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิดใดๆ)  นี่เป็นเพียงแง่หนึ่งเท่านั้น  อีกแง่หนึ่งคือเวลานี้เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง และกำลังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่ควรรู้สึกผิดต่อพวกเขา  ความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงต่อเจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการจัดเตรียมการของพระเจ้า  ถ้าเจ้ามีความสุขในช่วงที่พวกเขาเลี้ยงดูเจ้ามา นั่นคือความโปรดปรานเจ้าเป็นพิเศษ  ถ้าเจ้าไม่มีความสุข แน่นอนว่านั่นก็เป็นการจัดเตรียมการของพระเจ้าเช่นกัน  เจ้าควรขอบคุณที่วันนี้พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เจ้าจากไปและยอมให้เจ้ามองเห็นแก่นแท้ของพ่อแม่ของเจ้าอย่างชัดเจน รวมทั้งเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นคนเช่นใด  เจ้าควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องทั้งหมดนี้จากเบื้องลึกของหัวใจ พร้อมทั้งมีหนทางแก้ไขและวิธีจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  ในหนทางนี้ ลึกลงไปเจ้าย่อมรู้สึกสงบลงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าสงบลง เช่นนั้นก็วิเศษ  ไม่ว่าอย่างไร ในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเคยมีข้อเรียกร้องอันใดต่อเจ้ามาก่อนหรือมีข้อเรียกร้องอันใดในปัจจุบัน เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า เมื่อเจ้าเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดว่าผู้คนควรทำ—รวมทั้งผลสืบเนื่องที่ความคาดหวังของพ่อแม่นำมาสู่เจ้า—เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นภาระอีกต่อไปไม่ว่าในทางใด  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้สึกว่าเจ้าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง หรือรู้สึกว่าเป็นเพราะเจ้าเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าจึงไม่สามารถมอบชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่พ่อแม่ของเจ้า ไม่อาจอยู่เคียงข้างพวกเขาและลุล่วงความรับผิดชอบด้วยการกตัญญูต่อพวกเขาได้ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่างเปล่าทางอารมณ์  ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องรู้สึกผิดในเรื่องนี้  เหล่านี้คือภาระที่พ่อแม่นำมาสู่ลูก และเป็นสิ่งที่เจ้าควรปล่อยมือทั้งสิ้น  ถ้าเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเชื่อว่า ประเด็นที่ว่าตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากเพียงใดและมีความสุขแค่ไหน ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน  ไม่ว่าเจ้าจะกตัญญูหรือไม่ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด—พ่อแม่ของเจ้าจะไม่ทนทุกข์น้อยลงเพราะเจ้ากตัญญู และพวกเขาจะไม่ทนทุกข์มากขึ้นเพราะเจ้าไม่กตัญญู  พระเจ้าทรงลิขิตชะตากรรมของพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว และทั้งหมดนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะท่าทีที่เจ้ามีต่อพวกเขาหรือเพราะความรู้สึกอันลึกซึ้งระหว่างพวกเจ้า  พวกเขามีชะตากรรมของตนเอง  ไม่ว่าพวกเขาจะยากจนหรือร่ำรวยตลอดทั้งชีวิต สิ่งต่างๆ จะราบรื่นสำหรับพวกเขาหรือไม่ หรือพวกเขาจะมีคุณภาพชีวิต มีผลประโยชน์ทางวัตถุ มีสถานะทางสังคม และมีภาวะความเป็นอยู่เช่นใด ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้ามากนัก  ถ้าเจ้ารู้สึกผิดต่อพวกเขา ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เจ้าติดค้างพวกเขา และควรอยู่เคียงข้างพวกเขา แม้เจ้าอยู่เคียงข้างพวกเขา แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไป?  (ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป)  มโนธรรมของเจ้าอาจจะแจ่มชัดและปราศจากความรู้สึกผิด  แต่ถ้าเจ้าอยู่เคียงข้างพวกเขาทุกวัน เห็นพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก ร่วมบทสนทนาและการนินทาสัพเพเหระ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะสบายใจหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเจ้าสามารถเปลี่ยนพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าสามารถช่วยพวกเขาให้รอดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าพวกเขาล้มป่วย และเจ้ามีลู่ทางที่จะดูแลพวกเขาอยู่ข้างเตียง บรรเทาความทุกข์ของพวกเขาลงบ้าง ให้ความชูใจบางอย่างแก่พวกเขาในฐานะลูก เช่นนั้นแล้ว เมื่อพวกเขาหายดี พวกเขาก็จะรู้สึกสบายกายไปด้วย  แต่ถ้าเจ้าเอ่ยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะสามารถย้อนเจ้าด้วยความเห็นแย้งสักแปดหรือสิบอย่าง อ้างเหตุผลวิบัติที่น่าสะอิดสะเอียนมากพอที่จะทำให้เจ้านึกรังเกียจไปสองช่วงชีวิต  ภายนอกแล้ว มโนธรรมของเจ้าอาจมีสันติสุข และเจ้าก็อาจรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เลี้ยงเจ้ามาเสียเปล่า เจ้าไม่ใช่คนเนรคุณที่ไม่ใส่ใจ และเจ้าก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนบ้านมีเรื่องไว้หัวเราะเยาะเจ้า  แต่เพียงเพราะมโนธรรมของเจ้ามีสันติสุข นั่นหมายความว่าเจ้ายอมรับแนวคิด ทัศนะ วิถีชีวิต และทัศนคติต่างๆ ที่พวกเขามีต่อชีวิตอย่างแท้จริงจากส่วนลึกในหัวใจของเจ้ากระนั้นหรือ?  เจ้าเข้ากันได้กับพวกเขาจริงหรือ?  (ไม่จริง)  ผู้คนสองจำพวกที่เดินไปบนเส้นทางที่ต่างกันและมีทัศนะที่ต่างกัน ไม่ว่าพวกเขาจะมีสัมพันธภาพหรือความเชื่อมโยงทางกายหรือทางอารมณ์ต่อกันหรือไม่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของกันและกันได้  ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ได้หารือสิ่งต่างๆ ร่วมกันก็ไม่เป็นไร แต่ทันทีที่พวกเขาหารือกัน พวกเขาย่อมเริ่มโต้เถียงกัน เกิดความขัดแย้ง และพวกเขาก็จะเกลียดกัน เอือมระอากัน  แม้ภายนอกพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ภายในแล้วพวกเขาเป็นศัตรูกัน ผู้คนสองประเภทที่เข้ากันไม่ได้ดุจน้ำกับไฟ  ในกรณีนั้น ถ้าเจ้ายังคงอยู่เคียงข้างพวกเขา เจ้ากำลังทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร?  เจ้ากำลังหาเรื่องให้ตัวเองหงุดหงิดหรือว่ามีเหตุผลอย่างอื่นกันแน่?  เจ้าจะรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่เจ้าพบหน้าพวกเขา และนี่เรียกว่าการทำให้ตัวเองทุกข์ทรมาน  บางคนคิดว่า “ฉันไม่ได้พบหน้าพ่อแม่มาหลายปีมากแล้ว  ในอดีตพ่อแม่ทำสิ่งที่น่าชังบางอย่าง หมิ่นประมาทพระเจ้า และต่อต้านการเชื่อในพระเจ้าของฉัน  ตอนนี้พวกเขาแก่ตัวลงไปมากแล้ว ป่านนี้พวกเขาต้องเปลี่ยนไปแล้ว  ดังนั้น ฉันก็ไม่ควรถือสาเรื่องไม่ดีที่พวกเขาเคยทำเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ลืมเรื่องส่วนใหญ่ไปแล้ว  นอกจากนี้ทั้งในด้านอารมณ์และมโนธรรม ฉันก็คิดถึงพวกเขา นึกสงสัยว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง  ดังนั้น ฉันเลยคิดจะกลับไปดูพวกเขา”  แต่กลับไปบ้านวันเดียว ความขยะแขยงที่เจ้าเคยรู้สึกต่อพวกเขาในอดีตก็ย้อนกลับมา และเจ้าก็นึกเสียใจว่า “นี่หรือที่เรียกว่าครอบครัว?  นี่หรือพ่อแม่ของฉัน?  พวกเขาไม่ใช่ศัตรูหรอกหรือ?  เมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นอย่างนี้ แล้วตอนนี้ลักษณะนิสัยของพวกเขาก็ยังคงเหมือนเดิม พวกเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด!”  พวกเขาจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร?  เดิมทีพวกเขาเคยเป็นเช่นไร พวกเขาก็จะเป็นเช่นนั้นเสมอ  เจ้านึกหรือว่าเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น พวกเขาคงจะเปลี่ยนแปลงไป และพวกเจ้าจะสามารถไปกันได้?  ไม่มีหรอกที่จะไปกันได้กับพวกเขา  ทันทีที่เจ้าเข้าบ้านเมื่อกลับไปถึง พวกเขาก็จะมองว่าเจ้าถืออะไรอยู่ในมือเพื่อดูว่าเป็นของแพงอย่างหอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล หูฉลาม หรือกระเพาะปลาหรือเปล่า บางทีอาจจะเป็นกระเป๋าและเสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือเครื่องประดับทองคำและเงิน  ทันทีที่พวกเขาเห็นเจ้าถือถุงพลาสติกมาสองใบ ใบหนึ่งบรรจุซาลาเปานึ่งและอีกใบมีกล้วยสองผล พวกเขาก็จะมองเห็นว่าเจ้ายังคงยากจนอยู่ แล้วก็จะเริ่มบ่นว่า “ลูกสาวของคนนั้นคนนี้ ไปเรียนเมืองนอกและแต่งงานกับคนต่างชาติ  สร้อยข้อมือที่เธอซื้อมาให้พ่อแม่เป็นทองคำบริสุทธิ์ และพวกเขาก็ใส่อวดทุกครั้งที่มีโอกาส  ลูกชายของคนนั้นคนนี้ ซื้อรถยนต์ และทุกครั้งที่เขาว่างก็จะพาพ่อแม่เดินทาง รวมทั้งท่องเที่ยวต่างประเทศ  ทุกคนล้วนมีความสุขกับความรุ่งเรืองของลูกๆ!  ลูกสาวของคนนั้นคนนี้ไม่เคยมาบ้านมือเปล่า  เธอซื้ออ่างแช่เท้าและเก้าอี้นวดให้พ่อแม่ แล้วเสื้อผ้าที่เธอซื้อมาถ้าไม่ใช่ผ้าไหมก็เป็นผ้าขนสัตว์  พวกเขามีลูกที่กตัญญูจริงๆ  การดูแลเอาใจใส่ของพวกเขาล้วนไม่สูญเปล่า!  ลูกที่พวกเราเลี้ยงดูมามีแต่คนอกตัญญูที่ไม่ใส่ใจครอบครัว!”  นี่คือการตบหน้ากันมิใช่หรือ?  (ใช่)  กล้วยและซาลาเปานึ่งของเจ้าไม่อยู่ในความรับรู้ของพวกเขาด้วยซ้ำ และเจ้าก็ยังคงคิดที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะลูกกตัญญู  พ่อแม่ของเจ้าชอบซาลาเปานึ่งและกล้วยมาก เจ้าไม่ได้พบหน้าพวกเขามาหลายปีแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงซื้อสิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้พวกเขาตื้นตันและเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดในมโนธรรมของเจ้า  แต่พอกลับไปถึง ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้ชดเชยความรู้สึกผิดนี้เท่านั้น แต่เจ้ายังทนทุกข์กับคำวิพากษ์วิจารณ์อีกด้วย  เจ้าจึงวิ่งออกจากบ้านด้วยความเศร้าใจ  การที่เจ้ากลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่มีประโยชน์อันใดหรือไม่?  (ไม่มี)  เจ้าไม่ได้กลับบ้านนานมากแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงเจ้า พวกเขาไม่พูดว่า “แค่ลูกกลับมาก็พอแล้ว  ลูกไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรมาหรอก  ได้เห็นลูกอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง มีชีวิตที่สมบูรณ์แข็งแรง และปลอดภัยในทุกๆ ด้านก็ดีแล้ว  การได้พบหน้ากันและสนทนากันด้วยความรู้สึกจากหัวใจก็น่าพึงพอใจมากแล้ว”  พวกเขาไม่ใส่ใจว่าหลายปีมานี้เจ้าสบายดีหรือไม่ เผชิญความยุ่งยากหรือมีเรื่องเดือดร้อนอะไรที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากพ่อแม่หรือเปล่า  พวกเขาไม่กล่าววาจาที่ชูใจสักคำ  แต่ถ้าพวกเขาพูดอะไรแบบนั้นออกมาจริงๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าคงไม่สามารถจากมาใช่หรือไม่?  หลังจากที่พวกเขาดุว่าเจ้าแล้ว เจ้าย่อมลุกขึ้นและรู้สึกว่าตนเองชอบด้วยเหตุผลโดยสมบูรณ์ ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ พลางคิดในใจว่า “ฉันต้องไปจากที่นี่ นี่คือแดนชำระโดยแท้!  พวกเขาจะถลกหนังฉัน กินเนื้อฉัน และยังจะอยากดื่มเลือดของฉันด้วย”  ความสัมพันธ์กับพ่อแม่คือสัมพันธภาพที่ยากที่สุดที่ใครจะจัดการทางอารมณ์ได้ แต่อันที่จริง ก็ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้เลย  ผู้คนจะสามารถปฏิบัติต่อเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อเข้าใจความจริงเท่านั้น  จงอย่าเริ่มจากมุมมองของความรู้สึก และอย่าเริ่มจากความเข้าใจหรือมุมมองของผู้คนทางโลก  แต่จงปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าในลักษณะที่ถูกควรตามพระวจนะของพระเจ้า  แท้จริงแล้วพ่อแม่มีบทบาทเช่นไร อันที่จริงลูกๆ มีความหมายเช่นไรต่อพ่อแม่ ลูกควรมีท่าทีเช่นใดต่อพ่อแม่ และผู้คนควรจัดการและแก้ไขสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ลูกอย่างไร?  ผู้คนไม่ควรมองเรื่องเหล่านี้ตามความรู้สึก และไม่ควรถูกแนวคิดที่ผิดหรือความรู้สึกนึกคิดที่ใช้กันทั่วไปครอบงำ พวกเขาควรใช้แนวทางที่ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบใดๆ ที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ได้ในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ให้ หรือถ้าเจ้าไม่มีบทบาทอันใดในชีวิตของพวกเขาเลย นั่นคือการอกตัญญูกระนั้นหรือ?  มโนธรรมของเจ้าจะกล่าวหาเจ้าหรือไม่?  เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมชั้น และญาติพี่น้องของเจ้าจะพากันต่อว่าและวิพากษ์วิจารณ์เจ้าลับหลัง  พวกเขาจะเรียกเจ้าว่าลูกอกตัญญู พลางกล่าวว่า “พ่อแม่ของเธอเสียสละเพื่อเธอไปตั้งมากมาย อุตส่าห์ทุ่มเทความพยายามเพื่อเธอมากมายนัก และทำอะไรต่ออะไรให้เธอมากมายตั้งแต่เธอยังเล็ก ส่วนเธอที่เป็นลูกอกตัญญูกลับเอาแต่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ส่งข่าวมาด้วยซ้ำว่าตัวเองปลอดภัย  ไม่เพียงไม่กลับมาในช่วงปีใหม่เท่านั้น แม้แต่โทรศัพท์มาคุยหรือส่งข้อความมาอวยพรพ่อแม่ เธอก็ไม่ทำ”  ทุกครั้งที่เจ้าได้ฟังคำพูดพวกนี้ มโนธรรมของเจ้าก็ร่ำไห้และเลือดไหลซิบๆ เจ้ารู้สึกว่าถูกกล่าวโทษ  “โอ พวกเขาพูดถูก”  หน้าเจ้าแดงและร้อนผ่าว หัวใจของเจ้าสั่นระริกราวกับมีเข็มคอยทิ่มแทง  เจ้าเคยมีความรู้สึกประเภทนี้บ้างหรือไม่?  (เมื่อก่อนนี้เคยมี)  เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของเจ้าพูดถูกหรือไม่ว่าเจ้าอกตัญญู?  (ไม่ถูก ข้าพระองค์ไม่ได้อกตัญญู)  จงอธิบายเหตุผลของเจ้ามาเถิด  (แม้ในช่วงหลายปีมานี้ข้าพระองค์จะไม่เคยอยู่เคียงข้างพ่อแม่ หรือสามารถตอบสนองความปรารถนาของพวกเขาเหมือนอย่างที่ผู้คนทางโลกทำกัน แต่การเดินไปบนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเราก็ได้รับการลิขิตจากพระเจ้าไว้ล่วงหน้าแล้ว  นี่คือเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่เหมาะควรแล้ว  นั่นคือเหตุผลที่ข้าพระองค์กล่าวว่าข้าพระองค์ไม่ได้อกตัญญู)  การให้เหตุผลของพวกเจ้ายังคงอิงคำสอนตามที่ผู้คนเคยเข้าใจกันในอดีต เจ้าขาดคำอธิบายและความเข้าใจที่แท้จริง  มีใครอื่นอยากแบ่งปันความคิดของตนอีกบ้าง?  (ข้าพระองค์จำได้ว่าตอนไปต่างประเทศครั้งแรก ทุกครั้งที่ข้าพระองค์นึกว่าครอบครัวของข้าพระองค์ไม่รู้ว่าข้าพระองค์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำอะไร พวกเขาอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ข้าพระองค์และบอกว่าข้าพระองค์ไม่กตัญญู เป็นลูกสาวเนรคุณที่ไม่อยู่ดูแลพ่อแม่—ข้าพระองค์รู้สึกว่าถูกความคิดเหล่านี้พันธนาการและบีบคั้น  ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ข้าพระองค์รู้สึกว่าตนเองติดค้างพ่อแม่  แต่ด้วยสามัคคีธรรมของพระเจ้าในวันนี้ ข้าพระองค์รู้สึกว่าการที่พ่อแม่ดูแลเอาใจใส่ข้าพระองค์ก่อนหน้านั้นคือการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะพ่อแม่ ความเมตตาที่พวกเขามีต่อข้าพระองค์คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า และข้าพระองค์ควรขอบคุณพระเจ้าและตอบแทนความรักของพระองค์  บัดนี้เมื่อข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้าและเดินอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะควร ข้าพระองค์ก็ไม่ควรรู้สึกติดหนี้พ่อแม่  นอกจากนี้ไม่ว่าพ่อแม่ของข้าพระองค์จะมีลูกๆ คอยดูแลเอาใจใส่อยู่ข้างกายหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน  หลังจากที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ข้าพระองค์ก็สามารถปล่อยมือจากความรู้สึกติดค้างในหัวใจข้าพระองค์ได้บ้าง)  ดีมาก  ก่อนอื่นผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจากบ้านมาปฏิบัติหน้าที่ของตน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงครอบคลุมอยู่ ซึ่งทำให้พวกเขาจำเป็นที่จะต้องผละจากพ่อแม่ของตน ไม่อาจอยู่ข้างกายพ่อแม่เพื่อดูแลและอยู่เป็นเพื่อนได้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเต็มใจเลือกที่จะจากพ่อแม่มา นี่คือเหตุผลตามความเป็นจริง  อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวตามความรู้สึกส่วนตัวแล้ว เจ้าออกมาปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ใช่เพราะเจ้าอยากผละจากพ่อแม่และหนีความรับผิดชอบของเจ้า แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเรียก  เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากผละจากพ่อแม่ของตนเพื่อที่จะให้ความร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้า ยอมรับการทรงเรียกของพระองค์ และปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่อาจอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนพวกเขาและดูแลเอาใจใส่พวกเขาได้  เจ้าไม่ได้ผละจากพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ถูกต้องหรือไม่?  การจากพวกเขามาเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของเจ้า กับการต้องจากพวกเขาเพื่อตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—สองสิ่งนี้มีธรรมชาติที่ต่างกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในหัวใจของเจ้า เจ้าย่อมมีความคิดและความผูกพันทางอารมณ์ต่อพ่อแม่ ความรู้สึกของเจ้าไม่ได้ว่างเปล่า  ถ้ารูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงเปิดโอกาสให้ และเจ้าสามารถอยู่เคียงข้างพวกเขาพลางปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปด้วยได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเต็มใจที่จะอยู่ข้างกายพวกเขา ดูแลพวกเขาเป็นประจำและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  แต่เพราะรูปการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เจ้าจึงต้องจากพวกเขามา ไม่สามารถอยู่ข้างกายพวกเขาได้  ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะลูกของพวกเขา แต่เป็นเพราะเจ้าทำไม่ได้  นี่มีธรรมชาติที่ต่างกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการกตัญญูและการลุล่วงความรับผิดชอบของตน นั่นย่อมอกตัญญูและไร้ความเป็นมนุษย์  พ่อแม่ของเจ้าเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ แต่เจ้ากลับรอไม่ไหวที่จะสยายปีกของตนและออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยเร็ว  เจ้าไม่อยากพบหน้าพ่อแม่ และไม่ให้ความสนใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาได้เผชิญเรื่องยุ่งยากบางอย่าง  ต่อให้เจ้ามีลู่ทางที่จะช่วย เจ้าก็ไม่ทำ เจ้าเอาแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและปล่อยให้ผู้อื่นพูดถึงเจ้ากันตามใจชอบ—เจ้าแค่ไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตนเท่านั้น  นี่คือการอกตัญญู  แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนมากมายออกจากเทศมณฑล เมืองใหญ่ มณฑล หรือแม้กระทั่งประเทศของตนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาอยู่ห่างบ้านเกิดของตนไปไกลแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะติดต่อครอบครัวของตนด้วยเหตุผลนานาประการ  บางครั้งบางคราวพวกเขาก็ถามไถ่สถานการณ์ปัจจุบันของพ่อแม่จากผู้คนที่มาจากภูมิลำเนาเดียวกัน และรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ฟังว่าพ่อแม่ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงและยังอยู่ดี  อันที่จริง เจ้าไม่ได้อกตัญญู เจ้ายังไม่ถึงขั้นไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ไม่อยากดูแลพ่อแม่หรือลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่  การที่เจ้าต้องเลือกทางนี้ก็ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาตามสภาพความเป็นจริง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ได้อกตัญญู  เหตุผลก็มีอยู่สองประการนี้  และยังมีอีกประการหนึ่งด้วยคือ ถ้าพ่อแม่ของเจ้าไม่ใช่ผู้คนประเภทที่ข่มเหงเจ้าหรือขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเป็นพิเศษ ถ้าพวกเขาเกื้อหนุนการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า หรือถ้าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในพระเจ้าเหมือนเจ้า เป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมีพวกเจ้าคนใดบ้างที่ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เงียบๆ เวลานึกถึงพ่อแม่ของตนอยู่ลึกๆ ในใจ?  มีพวกเจ้าคนใดบ้างที่ไม่ฝากพ่อแม่ของตน—รวมทั้งสุขภาพ สวัสดิภาพ และสิ่งจำเป็นทั้งปวงที่พวกเขาต้องมีในชีวิต—ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า?  การวางใจฝากพ่อแม่ของเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าคือหนทางที่ดีที่สุดที่จะแสดงความเคารพและกตัญญูต่อพวกเขา  เจ้าไม่คาดหวังให้พวกเขาเผชิญเรื่องยุ่งยากสารพัดชนิดในชีวิต และเจ้าก็ไม่ได้หวังให้พวกเขามีชีวิตที่ไม่ดี กินไม่ดี หรือทนทุกข์กับสุขภาพที่ย่ำแย่  ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าย่อมหวังว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองพวกเขาและดูแลให้พวกเขาปลอดภัย  ถ้าพวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเองและหวังให้พวกเขาสามารถตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาได้  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะมนุษย์ของคนเรา ผู้คนสัมฤทธิ์ได้เพียงเท่านี้ด้วยความเป็นมนุษย์ของตนเอง  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและฟังความจริงไปมากมาย อย่างน้อยที่สุด ผู้คนก็มีความเข้าใจและความตระหนักรู้อยู่บ้างว่า ชะตากรรมของมนุษย์มีฟ้าสวรรค์เป็นผู้กำหนด มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และการมีพระเจ้าดูแลและคุ้มครองย่อมสำคัญกว่าการมีลูกของตนอยู่เคียงข้าง ห่วงใย และกตัญญูมากนัก  เจ้าไม่รู้สึกโล่งใจหรอกหรือที่พ่อแม่ของเจ้าอยู่ภายใต้การดูแลและคุ้มครองของพระเจ้า?  เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของพวกเขา  ถ้าเจ้ากังวล นั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่ไว้ใจพระเจ้า เจ้ามีความเชื่อในพระองค์น้อยเกินไป  ถ้าเจ้ากังวลและเป็นห่วงพ่อแม่ของเจ้าจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าบ่อยๆ ฝากพวกเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าจัดวางเรียบเรียงและจัดเตรียมการทุกสิ่ง  พระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงปกครองทุกวันของพวกเขา และทุกสิ่งที่เกิดกับพวกเขา แล้วเจ้ายังเป็นกังวลเรื่องใดอีก?  เจ้าไม่สามารถควบคุมชีวิตของเจ้าเองได้ด้วยซ้ำไป[ก] ตัวเจ้าเองก็มีเรื่องยุ่งยากมากมาย แล้วเจ้าจะสามารถทำอะไรเพื่อให้พ่อแม่ของเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวันได้?  สิ่งที่เจ้าทำได้มีแต่ฝากทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเท่านั้น  ถ้าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ ก็จงขอให้พระเจ้าทรงนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดในท้ายที่สุด  ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อ ก็จงปล่อยให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางใดก็ตามที่พวกเขาอยากเดิน  สำหรับพ่อแม่ที่เมตตากว่านั้นและมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง เจ้าสามารถอธิษฐานให้พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข  ส่วนพระเจ้าจะทรงพระราชกิจอย่างไร พระองค์ย่อมมีการจัดเตรียมการของพระองค์เอง และผู้คนก็ควรนบนอบสิ่งเหล่านั้น  ดังนั้น โดยรวมแล้วผู้คนมีความตระหนักรู้อยู่ในมโนธรรมของตนถึงความรับผิดชอบต่อพ่อแม่ที่พวกเขาพึงลุล่วง  ไม่ว่าความตระหนักรู้นี้จะทำให้คนเรามีท่าทีเช่นใดต่อพ่อแม่ของตน ไม่ว่าจะเป็นความห่วงใยหรือการเลือกที่จะอยู่เคียงข้างพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้คนก็ไม่ควรรู้สึกผิดหรือมีมโนธรรมที่รู้สึกผิด เพราะพวกเขาไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อพ่อแม่ได้เนื่องจากได้รับผลจากรูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง  ปัญหาเหล่านี้และปัญหาอื่นๆ ในทำนองเดียวกันไม่ควรกลายเป็นความเดือดร้อนในชีวิตของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน พวกเขาจึงควรปล่อยมือเสีย  เมื่อพูดถึงหัวข้อต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับการลุล่วงความรับผิดชอบที่คนเรามีต่อพ่อแม่นี้ ผู้คนควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเหล่านี้ และไม่ควรรู้สึกถูกบีบคั้นอีกต่อไป  นัยหนึ่ง เจ้าก็รู้อยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่าเจ้าไม่ได้อกตัญญู และไม่ได้บ่ายเบี่ยงหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตน  อีกนัยหนึ่ง พ่อแม่ของเจ้าก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นยังมีอะไรให้วิตกกังวลอยู่อีก?  ความวิตกกังวลใดๆ ที่คนเราอาจมีย่อมเกินการ  แต่ละคนย่อมจะดำรงชีวิตอย่างราบรื่นตามอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้าจวบจนวาระสุดท้าย ลุถึงปลายทางของตนโดยไม่มีความเบี่ยงเบนอันใด  ดังนั้น ผู้คนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้อีกต่อไป  ไม่ว่าเจ้าจะกตัญญูหรือไม่ ลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่หรือยัง ควรตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่หรือไม่—เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรคิดถึง นี่คือสิ่งที่เจ้าควรปล่อยมือต่างหาก  ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)

สำหรับหัวข้อเรื่องความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนนั้น พวกเราสามัคคีธรรมถึงแง่มุมของการเล่าเรียนและอาชีพการงานไปแล้ว  ผู้คนควรเข้าใจข้อเท็จจริงใดในเรื่องนี้บ้าง?  ถ้าเจ้าฟังพ่อแม่ของเจ้าและขยันเรียนเป็นพิเศษตามความคาดหวังของพวกเขา นั่นหมายความหรือไม่ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างมากแน่นอน?  การทำเช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้าได้จริงหรือ?  (ไม่จริง)  เช่นนั้นแล้วสิ่งที่รอเจ้าอยู่ในภายภาคหน้าคืออะไร?  คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ให้เจ้า—ชะตากรรมที่เจ้าพึงมี ตำแหน่งที่เจ้าควรมีในหมู่ผู้คน เส้นทางที่เจ้าควรเดิน และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เจ้าควรมี  พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ให้เจ้านานแล้ว  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องความคาดหวังของพ่อแม่ เจ้าจึงไม่ควรแบกภาระอันใดเอาไว้  ถ้าเจ้าทำตามที่พ่อแม่ร้องขอ ชะตากรรมของเจ้าย่อมคงเดิม ถ้าเจ้าไม่ทำตามความคาดหวังของพ่อแม่และทำให้พวกเขาผิดหวัง ชะตากรรมของเจ้าก็ยังคงเดิมอยู่ดี  ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นเช่นไร ก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงลิขิตเส้นทางของเจ้าเอาไว้แล้ว  ในทำนองเดียวกัน ถ้าเจ้าทำได้ตามความคาดหวังของพ่อแม่ ทำให้พวกเขาพอใจ และไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง นั่นหมายความหรือไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น?  นั่นจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาที่ทนทุกข์และถูกกระทำได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  บางคนคิดว่าพ่อแม่ของพวกเขาเมตตาพวกเขามากเหลือเกินที่เลี้ยงพวกเขาให้เติบใหญ่ และในระหว่างนั้นพ่อแม่ของพวกเขาก็ทนทุกข์นักหนา  ดังนั้นพวกเขาจึงอยากหางานที่ดี จากนั้นก็สู้ทนความทุกข์ยาก ยอมตรากตรำ ขยันหมั่นเพียร และทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินมากๆ และเป็นการสร้างความมั่งคั่ง  จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือการมอบชีวิตที่สะดวกสบายให้แก่พ่อแม่ในอนาคต อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ ขับรถสวย และกินดื่มอย่างดี  แต่หลังจากรีบเร่งทำงานหนักอยู่หลายปี แม้รูปการณ์และภาวะความเป็นอยู่ของพวกเขาจะดีขึ้น แต่พ่อแม่กลับมาจากไปโดยที่ไม่ได้สุขสำราญกับความเจริญรุ่งเรืองนั้นสักวันเดียว  เรื่องนี้จะโทษใครได้?  ถ้าเจ้าปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองของมัน ยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง และไม่แบกภาระนี้เอาไว้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกผิดเมื่อพ่อแม่ของเจ้าจากไป  แต่ถ้าเจ้าตรากตรำทำงานหนักเพื่อหาเงินมาตอบแทนพ่อแม่และช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่แล้วพวกเขากลับเสียชีวิต เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  ถ้าเจ้าถ่วงเวลาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและประวิงเวลาที่จะได้รับความจริง เจ้าจะยังคงสามารถดำรงชีวิตอย่างสุขสบายในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่หรือไม่?  (ไม่)  ชีวิตของเจ้าย่อมจะได้รับผลกระทบ และเจ้าก็จะแบกภาระของการ “ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง” อยู่ตลอดเวลาไปชั่วชีวิต  บางคนบากบั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะทำงาน พากเพียร และหาเงินเพื่อจะได้ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังและตอบแทนพ่อแม่ที่เมตตาเลี้ยงดูตนมา  หลังจากนั้น เมื่อพวกเขามั่งคั่งและมีเงินทองที่จะซื้อหาอาหารดีๆ พวกเขาก็เชิญพ่อแม่ไปกินอาหารกันสักมื้อ สั่งอาหารดีๆ มาเต็มโต๊ะพลางกล่าวว่า “ลงมือกินเลย  ลูกจำได้ว่าเมื่อลูกยังเด็ก พ่อแม่โปรดปรานอาหารเหล่านี้ ตักเลย!”  อย่างไรก็ดี เนื่องจากพ่อแม่พวกเขาอายุมากขึ้น ฟันส่วนใหญ่หลุดร่วง และตอนนี้ก็ไม่ค่อยเจริญอาหาร ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกอาหารที่อ่อนนุ่มและย่อยง่าย เช่น ผักและบะหมี่ และพอกินเข้าไปเพียงไม่กี่คำก็อิ่ม  เจ้าจึงรู้สึกเศร้าใจเมื่อเห็นอาหารที่ยังไม่ได้กินวางเต็มโต๊ะตัวใหญ่เช่นนั้น  แต่พ่อแม่ของเจ้ากลับรู้สึกดีมากทีเดียว  เมื่ออายุมากขนาดนั้น พวกเขาก็ควรกินเพียงเท่านั้น เป็นเรื่องปกติ พวกเขาไม่ได้ขออะไรมาก  เจ้ารู้สึกไม่มีความสุขอยู่ภายใน แต่ไม่มีความสุขในเรื่องใด?  การทำเรื่องเหล่านี้ย่อมเกินการสำหรับเจ้า  มีการกำหนดไว้นานแล้วว่าพ่อแม่ของเจ้าจะมีประสบการณ์เป็นความสุขและความทุกข์ยากมากเท่าใดในชีวิตของพวกเขา  นี่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงตามความปรารถนาของเจ้าได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองความรู้สึกของเจ้า  พระเจ้าทรงลิขิตเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ดังนั้นไม่ว่าผู้คนจะทำสิ่งใดย่อมเกินการ  ข้อเท็จจริงเหล่านี้บอกอะไรแก่ผู้คน?  สิ่งที่พ่อแม่พึงทำก็คือเลี้ยงดูเจ้าและปล่อยให้เจ้าเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงและราบรื่น ปล่อยให้เจ้าออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้า และที่จริงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้าได้ เพียงแต่มีบทบาทคอยส่งเสริมและชี้นำ เลี้ยงดูให้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่และพาเจ้าเข้าสู่เส้นทางชีวิตที่ถูกต้องเท่านั้น  สิ่งที่เจ้าไม่ควรทำก็คือการใช้มือของเจ้าสร้างความสุขให้กับพ่อแม่ เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขา หรือทำให้พวกเขาสุขสำราญกับเงินทองมากมาย รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มดีๆ  เหล่านี้เป็นความคิดที่เบาปัญญา  ภาระนี้ไม่ใช่ภาระที่เจ้าควรแบกรับ เป็นภาระที่เจ้าควรปล่อยมือเสีย  เจ้าไม่ควรเสียสละอย่างไร้ประโยชน์หรือทำสิ่งใดที่เปล่าประโยชน์เพื่อตอบแทนพ่อแม่ของเจ้า เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถได้รับพรมากขึ้นและทนทุกข์น้อยลง เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวตามมโนธรรมหรือความรู้สึกของเจ้า และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้พวกเขาผิดหวัง  นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรครุ่นคิด  พ่อแม่ควรลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อลูกตามเงื่อนไขของตนเอง รวมทั้งตามเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้  สิ่งที่ลูกควรทำเพื่อพ่อแม่ของตนย่อมเป็นไปตามเงื่อนไขที่พวกเขาสามารถทำได้และตามสภาพแวดล้อมของพวกเขาเอง ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้น  ทุกสิ่งที่พ่อแม่หรือลูกๆ ทำนั้นไม่ควรมีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของอีกฝ่ายด้วยกำลังอำนาจหรือความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตน เพื่อให้อีกฝ่ายสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นสุขขึ้น และตรงตามอุดมคติมากขึ้นด้วยความอุตสาหะของตน  ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกๆ ทุกคนก็ควรปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามครรลองธรรมชาติภายในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ให้ ไม่ใช่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายด้วยความมานะหรือความตั้งใจแน่วแน่ของตน  ชะตากรรมของพ่อแม่เจ้าจะไม่เปลี่ยนไปเพราะเจ้ามีความคิดแบบนี้ในเรื่องของพวกเขา—พระเจ้าทรงลิขิตชะตากรรมของพวกเขาเอาไว้นานแล้ว  พระเจ้าทรงลิขิตให้เจ้ามีชีวิตอยู่ในขอบข่ายชีวิตของพวกเขา ถือกำเนิดจากพวกเขา มีพวกเขาเลี้ยงดู และมีสัมพันธภาพเช่นนี้กับพวกเขา  ดังนั้นความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาก็คือการอยู่เคียงข้างพวกเขาตามเงื่อนไขของเจ้าเองและปฏิบัติตามภาระผูกพันบางอย่างเท่านั้น  ส่วนเรื่องที่อยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันของพ่อแม่หรืออยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นล้วนเกินการทั้งสิ้น  หรือการทำให้เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องยกย่องนับถือเจ้า นำเกียรติมาให้พ่อแม่ของเจ้า ทำให้พ่อแม่มีเกียรติในวงศ์ตระกูล—นี่ยิ่งไม่จำเป็นเข้าไปใหญ่  นอกจากนี้ยังมีแม่หรือพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ถูกคู่ครองของตนทิ้งไปและเลี้ยงดูเจ้าจนโตเป็นผู้ใหญ่ตามลำพัง  เจ้าจึงยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าพวกเขาลำบากกันเพียงใด และเจ้าก็อยากใช้ทั้งชีวิตของเจ้าตอบแทนพวกเขาและชดเชยให้แก่พวกเขา ถึงขั้นทำทุกสิ่งที่พวกเขาบอกให้ทำ  สิ่งที่พวกเขาขอจากเจ้า สิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากเจ้า รวมทั้งสิ่งที่เจ้าเต็มใจทำด้วยตนเอง ทั้งหมดกลายเป็นภาระของเจ้าในชีวิตนี้—ซึ่งไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย  ในการสถิตของพระผู้สร้าง เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งที่เจ้าควรทำในชีวิตนี้ไม่ใช่เพียงลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ของเจ้าเท่านั้น แต่ยังลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกด้วย  เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงเท่านั้น ไม่ใช่ทำทุกสิ่งให้พวกเขาตามความต้องการทางอารมณ์หรือความต้องการทางมโนธรรมของเจ้า  แน่นอนว่าการลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้ามีต่อพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงยังเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกด้วย นี่คือความรับผิดชอบที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์  การลุล่วงความรับผิดชอบนี้ย่อมอิงพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ความต้องการของมนุษย์  ดังนั้นเจ้าก็สามารถปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้าได้โดยง่าย ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้ามีต่อพวกเขา  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง  นี่ทำได้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  เหตุใดจึงทำได้ง่าย?  แก่นแท้ในที่นี้ รวมทั้งหลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรยึดถือ มีความชัดเจนยิ่ง  แก่นแท้ก็คือทั้งพ่อแม่และลูกต่างก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของกันและกันได้  ไม่ว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักหรือไม่ เต็มใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่ นั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของอีกฝ่ายได้  การที่เจ้ามีพวกเขาอยู่ในหัวใจหรือไม่นั้นเป็นเพียงความแตกต่างในด้านความต้องการทางอารมณ์เท่านั้น และจะไม่เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงใดๆ  ดังนั้น สำหรับผู้คนแล้ว สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดก็คือการปล่อยมือจากภาระต่างๆ ที่ความคาดหวังของพ่อแม่นำมาให้  อันดับแรก เจ้าควรมองเรื่องทั้งหมดนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า และอันดับที่สอง เจ้าควรจัดการและปฏิบัติต่อสัมพันธภาพที่มีกับพ่อแม่ตามพระวจนะของพระเจ้า  เรื่องง่ายเช่นนั้นเอง  นี่ก็ง่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้ายอมรับความจริง เรื่องทั้งหมดนี้ก็จะง่าย และในระหว่างที่เจ้าผ่านประสบการณ์อยู่ เจ้าก็จะรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ  ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนคนหนึ่งได้ ชะตากรรมของคนเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะพยายามมากเพียงใดก็จะไม่เป็นผล  แน่นอนย่อมจะมีบางคนพูดว่า “สิ่งที่พระองค์ตรัสมาล้วนเป็นข้อเท็จจริง แต่ข้าพระองค์รู้สึกว่าการปฏิบัติตนแบบนี้ไร้ความอบอุ่นแบบมนุษย์มากเกินไป  มโนธรรมของข้าพระองค์รู้สึกว่าถูกติเตียนอยู่ตลอดเวลา ข้าพระองค์ทนไม่ได้”  ถ้าเจ้าทนไม่ได้ เช่นนั้นแล้วก็จงตอบสนองความรู้สึกของตนก็พอ อยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่และเคียงข้างพวกเขา ดูแลพวกเขา กตัญญู และทำตามที่พวกเขาบอกไม่ว่าพวกเขาจะถูกหรือผิดก็ตาม—กลายเป็นผู้ติดตามตัวน้อยและผู้ช่วยของพวกเขา แค่นี้ก็ดีแล้ว  แบบนี้ก็จะไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์เจ้าลับหลัง และแม้แต่ครอบครัวใหญ่ของเจ้าก็จะพูดกันว่าเจ้ากตัญญูขนาดไหน  อย่างไรก็ดี ในที่สุดคนเดียวที่จะทนทุกข์กับความสูญเสียก็จะคือเจ้าเท่านั้น  เจ้ารักษาความมีหน้ามีตาของตนเองในฐานะลูกกตัญญูเอาไว้ เจ้าตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของตนแล้ว มโนธรรมของเจ้าไม่เคยถูกกล่าวหา และเจ้าก็ตอบแทนความเมตตาของพ่อแม่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าละเลยและสูญเสียไปก็คือ เจ้าไม่ได้จัดการและปฏิบัติต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าก็ได้สูญเสียโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปแล้ว  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้ากตัญญูต่อพ่อแม่มาโดยตลอด แต่กลับทรยศพระเจ้า  เจ้าแสดงความกตัญญูและตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ให้แก่เนื้อหนังของพ่อแม่ แต่เจ้ากลับกบฏต่อพระเจ้า  เจ้าพอใจที่จะเลือกการเป็นลูกกตัญญูมากกว่าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือการไม่เคารพพระเจ้าอย่างที่สุด  พระเจ้าจะไม่ตรัสว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบพระองค์หรือมีความเป็นมนุษย์เพียงเพราะเจ้าเป็นลูกกตัญญู เจ้าไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เจ้ามีมโนธรรม และลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะลูก  ถ้าเจ้าตอบสนองแต่ความต้องการทางด้านมโนธรรมของเจ้าและความต้องการทางอารมณ์ของเนื้อหนังของเจ้า แต่ไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าหรือยอมรับความจริงมาเป็นหลักการและหลักธรรมสำหรับจัดการและปฏิบัติต่อเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นกบฏต่อพระเจ้าอย่างที่สุด  ถ้าเจ้าอยากมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าก็ต้องมองและทำทุกสิ่งตามพระวจนะของพระเจ้าเสียก่อน  นี่จึงเรียกว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม มีความเป็นมนุษย์ และมีมโนธรรม  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นหลักธรรมและหลักการสำหรับจัดการหรือปฏิบัติต่อเรื่องนี้ และเจ้าก็ไม่ยอมรับการที่พระเจ้าทรงเรียกเจ้าออกมาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือเจ้ายอมประวิงเวลาหรือยอมถูกริบโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่ออยู่ข้างกายพ่อแม่ของเจ้า เป็นเพื่อนพวกเขา นำความสุขมาให้พวกเขา ทำให้พวกเขาสุขสำราญกับวัยสนธยา และตอบแทนความเมตตาของพวกเขา เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะตรัสว่าเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีความเป็นมนุษย์หรือมโนธรรม  เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเจ้า

เมื่อพูดถึงการรับมือกับความคาดหวังของพ่อแม่ ชัดเจนหรือไม่ว่าควรปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดและควรปล่อยมือจากภาระใดบ้าง?  (ชัดเจน)  ดังนั้น แท้จริงแล้วภาระที่ผู้คนแบกรับเอาไว้ในที่นี้คืออะไร?  พวกเขาต้องรับฟังพ่อแม่ของตนและทำให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดี ทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำก็เพื่อให้พวกเขาได้ดี และพวกเขาต้องทำสิ่งที่พ่อแม่บอกจึงจะเป็นคนกตัญญู  นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใหญ่ ลูกๆ ต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อพ่อแม่ ตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ กตัญญูต่อพวกเขา อยู่เคียงข้างพวกเขา ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจหรือผิดหวัง ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี และทำทุกสิ่งที่ตนสามารถเพื่อบรรเทาความทุกข์ของพวกเขาให้เหลือน้อยที่สุดหรือถึงกับกำจัดความทุกข์นั้นไปโดยสิ้นเชิง  ถ้าเจ้าสัมฤทธิ์ดังนี้ไม่ได้ เจ้าก็เป็นคนที่ไม่รู้คุณ อกตัญญู สมควรถูกฟ้าผ่าและถูกผู้อื่นรังเกียจเดียดฉันท์ และเจ้าก็เป็นคนเลว  เหล่านี้คือภาระของเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในเมื่อสิ่งเหล่านี้คือภาระของผู้คน  ผู้คนก็ควรยอมรับความจริงและเผชิญหน้าสิ่งเหล่านี้อย่างถูกควร  ด้วยการยอมรับความจริงเท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงและปล่อยมือจากภาระ จากความคิดและทัศนะที่ผิดเหล่านี้ได้  ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความจริง ยังมีอีกเส้นทางให้เจ้าใช้หรือไม่?  (ไม่มี)  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยมือจากภาระในครอบครัวหรือของเนื้อหนัง ก็ล้วนเริ่มต้นจากการยอมรับความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง และยอมรับความจริง  เมื่อเจ้าเริ่มยอมรับความจริง เจ้าก็จะค่อยๆ รื้อถอน แยกแยะ และรู้เท่าทันความคิดและทัศนะที่ผิดภายในตัวเจ้า จากนั้นก็จะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ  ระหว่างที่อยู่ในกระบวนการรื้อถอน แยกแยะ แล้วจากนั้นก็ปล่อยมือและปฏิเสธความคิดกับทัศนะที่ผิดเหล่านี้ เจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีและแนวทางที่เจ้ามีต่อเรื่องเหล่านี้  ความคิดที่มาจากมโนธรรมหรือความรู้สึกแบบมนุษย์ของเจ้าจะค่อยๆ อ่อนแรง และจะไม่สร้างความเดือดร้อนหรือพันธนาการเจ้าเอาไว้ลึกๆ ในจิตใจ ควบคุมหรือครอบงำชีวิตของเจ้า หรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป  ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้ายอมรับความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง และยอมรับความจริงในแง่นี้แล้ว เมื่อเจ้าได้ยินข่าวการตายของพ่อแม่ เจ้าก็จะแค่หลั่งน้ำตาให้พวกเขาเท่านั้น โดยไม่คิดว่าในช่วงหลายปีมานี้ เจ้ายังไม่ได้ตอบแทนความเมตตาของพวกเขาที่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ เจ้าทำให้พวกเขาทุกข์ทนมากมายเพียงใด เจ้าไม่ได้แทนคุณพวกเขาแม้แต่น้อย หรือเจ้าไม่ได้ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดี  เจ้าจะไม่โทษตัวเองในเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป—แต่เจ้าจะมีการแสดงออกที่เป็นปกติอันเกิดจากความต้องการทางด้านความรู้สึกของมนุษย์ตามปกติ เจ้าจะหลั่งน้ำตาแล้วจากนั้นก็มีประสบการณ์กับการถวิลหาพวกเขาบ้าง  ในไม่ช้าสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาและปกติ และเจ้าจะกลับมาจดจ่ออยู่กับชีวิตตามปกติและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างรวดเร็ว เจ้าจะไม่เดือดร้อนเพราะเรื่องนี้  แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าได้ข่าวว่าพ่อแม่ของเจ้าเสียชีวิต เจ้าก็จะร้องไห้ไม่รู้จบ  เจ้าจะรู้สึกสงสารพ่อแม่ว่าทั้งชีวิตพวกเขาไม่เคยสบาย และพวกเขาก็เลี้ยงลูกอกตัญญูอย่างเจ้ามา เมื่อพวกเขาเจ็บป่วย เจ้าก็ไม่ได้อยู่เฝ้าไข้ข้างเตียง และพอพวกเขาตาย เจ้าก็ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญในงานศพของพวกเขาหรือไว้ทุกข์ให้ เจ้าทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ เจ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง และเจ้าก็ไม่ได้ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดี  เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่กับการสำนึกผิดเช่นนี้ไปอีกนาน และเมื่อใดก็ตามที่เจ้านึกถึงเรื่องนี้ เจ้าก็จะร้องไห้และรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญรูปการณ์หรือผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เชื่อมโยงกัน เจ้าก็จะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ การสำนึกผิดเช่นนี้อาจติดตัวเจ้าไปตลอดชีวิต  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  เป็นเพราะเจ้าไม่เคยยอมรับความจริงหรือความคิดและทัศนะที่ถูกต้องมาเป็นชีวิตของเจ้า แต่ความคิดและทัศนะเดิมๆ ของเจ้ากลับครอบงำเจ้าต่อไป และมีอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า  ดังนั้นเจ้าย่อมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในความเจ็บปวดจากการที่พ่อแม่ของเจ้าเสียชีวิต  ความทุกข์อย่างต่อเนื่องนี้จะส่งผลที่หนักหนากว่าความเจ็บปวดทางเนื้อหนังมากนัก และจะส่งผลต่อชีวิตของเจ้า ท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ท่าทีที่เจ้ามีต่องานของคริสตจักร ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ตลอดจนท่าทีที่เจ้ามีต่อคนหรือเรื่องใดๆ ที่มากระทบดวงจิตของเจ้า  เจ้าอาจท้อแท้และเสียกำลังใจในเรื่องราวอื่นๆ อีกด้วย กลายเป็นคนสิ้นหวังและนิ่งเฉย สูญสิ้นความเชื่อในชีวิต สูญเสียความกระตือรือร้นและแรงจูงใจที่จะทำสิ่งใดๆ เป็นต้น  ในที่สุด ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่แต่ในชีวิตประจำวันอันเรียบง่ายของเจ้าเท่านั้น แต่จะส่งผลไปถึงท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าใช้ในชีวิตอีกด้วย  เรื่องนี้อันตรายมาก  ผลที่เกิดจากอันตรายนี้อาจทำให้เจ้าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ดีพอ และอาจถึงกับเลิกปฏิบัติหน้าที่ของตนกลางคันหรือมีอารมณ์และท่าทีที่ต้านทานหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ  สรุปแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยไป สถานการณ์เช่นนี้จะแย่ลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้อารมณ์ ความรู้สึก และวิธีนึกคิดของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้าย  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ในวันนี้ ด้านหนึ่งบอกให้เจ้ามีความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง ซึ่งที่มาของความคิดและทัศนะที่ถูกต้องย่อมเป็นไปตามแก่นแท้ของเรื่องราวเหล่านี้  ด้วยเหตุที่รากเหง้าและแก่นแท้เป็นเช่นนั้น ผู้คนจึงควรตระหนักรู้รากและแก่นแท้ และไม่ควรถูกการนำเสนอเหล่านี้หรือความคิดและทัศนะที่เกิดจากความรู้สึกและความมุทะลุนี้หลอกลวงเอา  นี่คือแง่หนึ่ง  อีกแง่หนึ่งคือ ต่อเมื่อผู้คนทำเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ทางอ้อมและเบี่ยงเบนทั้งหลายได้ และในทางกลับกันก็ใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงปกครองและจัดวางเรียบเรียง  สรุปแล้ว ด้วยการยอมรับความคิดและทัศนะที่ถูกต้องและยอมให้สิ่งเหล่านี้ชี้นำเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถทิ้งภาระที่มาจากพ่อแม่ของพวกเขาได้ ปล่อยมือจากภาระเหล่านี้ และสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระเจ้า  ด้วยการทำดังนี้ คนเราจึงจะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้นและไม่ถูกควบคุม มีสันติสุขและความเบิกบาน แทนที่จะถูกผลจากความมุทะลุ ความรู้สึก หรือมโนธรรมคอยขับเคลื่อนอยู่เป็นนิจ  หลังจากที่เสวนากันมามากมายเช่นนี้แล้ว คราวนี้เจ้าก็เข้าใจเรื่องของภาระที่เกิดจากความคาดหวังของพ่อแม่บ้างแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตอนนี้เจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องบ้างแล้ว วิญญาณของพวกเจ้าย่อมรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระขึ้นอีกมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจที่แท้จริง มีการยอมรับและนบนอบที่แท้จริง วิญญาณของเจ้าย่อมจะได้รับการปลดปล่อย  ถ้าเจ้ายังคงต้านทานและปฏิเสธต่อไป หรือปฏิบัติต่อความจริงเหล่านี้เหมือนเป็นทฤษฎีเท่านั้น แทนที่จะมองเรื่องราวเหล่านี้ตามข้อเท็จจริง เช่นนั้นแล้วก็เป็นการยากที่เจ้าจะปล่อยมือ  เจ้าจะได้แต่กระทำการตามการจัดวางเรียบเรียงของความคิดและความรู้สึกของเนื้อหนังเท่านั้นในการรับมือกับเรื่องเหล่านี้ ในที่สุดเจ้าก็จะใช้ชีวิตอยู่ในบ่วงของความรู้สึกเหล่านี้ บ่วงซึ่งมีแต่ความเจ็บปวดและความเศร้า และไม่มีใครจะสามารถช่วยเจ้าให้รอดได้  เวลาเผชิญเรื่องราวทั้งหลายที่ติดพันอยู่ในบ่วงอารมณ์นี้ ผู้คนย่อมไร้ทางออก  เจ้าจะเป็นอิสระจากเรื่องพัวพันและเครื่องผูกมัดของความรู้สึกทั้งหลายได้ก็ด้วยการยอมรับความจริงเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)

นอกจากความคาดหวังและแนวทางต่างๆ ของพ่อแม่ในเรื่องการเล่าเรียนและอาชีพการงานที่ลูกเลือกแล้ว พวกเขายังมีความคาดหวังต่างๆ นานาในเรื่องการแต่งงานอีกด้วยมิใช่หรือ?  ความคาดหวังเหล่านี้มีอะไรบ้าง?  จงบอกมาเถิด  (ปกติแล้ว พ่อแม่จะบอกลูกสาวของตนว่าอย่างน้อยสามีในอนาคตของลูกต้องร่ำรวย มีบ้านและรถยนต์ และสามารถดูแลฝ่ายหญิงได้  นั่นคือ ฝ่ายชายควรที่จะสามารถตอบสนองความต้องการทางวัตถุของลูกสาวได้และมีสำนึกรับผิดชอบด้วย  เหล่านี้คือหลักเกณฑ์ของการเลือกคู่ครอง)  บางสิ่งที่พ่อแม่กล่าวนั้นมาจากประสบการณ์ของตนเอง และแม้ในจิตใจของพวกเขาจะนึกถึงประโยชน์สูงสุดของเจ้า แต่ก็ยังคงมีปัญหาบางอย่างอยู่  พ่อแม่มีความคิดเห็นและความชอบของพวกเขาเองในเรื่องความคาดหวังที่พวกเขามีต่อการแต่งงานของเจ้าเช่นกัน  พวกเขาต้องการให้ลูกๆ หาคู่ครองที่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีเงิน มีสถานะ มีความสามารถ และเป็นคนที่น่าเกรงขาม เพื่อจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแกเวลาอยู่นอกบ้าน  และถ้าผู้อื่นรังแกเจ้า คนคนนี้ก็ต้องสามารถแข็งขืนต่อพวกเขาและปกป้องเจ้าได้  เจ้าอาจจะกล่าวว่า “ลูกไม่สนใจ  ลูกไม่ได้เป็นคนที่วัตถุนิยมขนาดนั้น  ลูกแค่อยากเจอคนที่รักลูกและลูกก็รักเขาด้วย”  ซึ่งพ่อแม่ของเจ้าก็จะตอบคำเจ้าว่า “ทำไมลูกถึงหัวทึบอย่างนี้?  ทำไมคิดง่ายๆ อย่างนี้?  ลูกยังสาวและไม่มีประสบการณ์ ไม่เข้าใจความทุกข์ยากของชีวิต  เคยได้ยินไหมคำกล่าวที่ว่า ‘ทุกสิ่งผิดพลาดไปหมดเมื่อสามีภรรยายากจน’?  ในชีวิต ลูกต้องใช้เงินทำนั่นทำนี่ ลูกคิดหรือว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ดีถ้าไม่มีเงิน?  ลูกต้องหาคนที่ร่ำรวยและมีความสามารถ”  เจ้าจึงตอบว่า “แต่กระทั่งผู้คนที่ร่ำรวยและมีความสามารถก็ใช่ว่าจะพึ่งพาได้”  พ่อแม่ของเจ้าก็ตอบว่า “ต่อให้พวกเขาพึ่งพาไม่ได้ ลูกก็ต้องดูแลความต้องการพื้นฐานของตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน  ลูกจะได้มีทุกสิ่งที่ลูกอยากกินและอยากสวมใส่ มีอาหารดีๆ กินและได้แต่งตัวดีๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนย่อมจะอิจฉา”  เจ้าจึงตอบว่า “แต่ดวงจิตของลูกจะไม่มีความสุข”  ซึ่งพ่อแม่ของเจ้าก็จะตอบคำว่า “ดวงจิตคืออะไรกันแน่?  อยู่ที่ไหน?  แล้วถ้าดวงจิตของลูกไม่มีความสุขเล่า จะเป็นอย่างไร?  ตราบใดที่ลูกสุขสบายทางกาย แค่นั้นแหละที่สำคัญ!”  มีบางคนที่อยากอยู่เป็นโสดต่อไปตามรูปการณ์ของชีวิตในปัจจุบันของพวกเขา  แม้อายุจะค่อนข้างมากแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อยากคบหาใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่ชีวิตสมรส  นี่ทำให้พ่อแม่ของพวกเขาร้อนใจ ดังนั้นพ่อแม่จึงเฝ้ารบเร้าให้พวกเขาแต่งงานเสีย  จัดแจงนัดบอดและแนะนำคนที่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่ครองให้  พวกเขาทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อที่จะหาคนที่เหมาะสมและน่านับถือให้ลูกของตนแต่งงานด้วยโดยเร็ว ต่อให้พวกเขาไม่เหมาะสมกันนัก อย่างน้อยที่สุดคุณสมบัติของอีกฝ่ายก็ต้องดี เช่น เรียนจบระดับมหาวิทยาลัย มีปริญญาโทหรือปริญญาเอก หรือมิฉะนั้นก็เรียนต่างประเทศมา  บางคนทนให้พ่อแม่ของตนจ้ำจี้จ้ำไชไม่ไหว  ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเยี่ยมมากที่พวกเขาเป็นโสดและมีแต่ตัวเองให้ดูแล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยุ่งมากกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกวัน และไม่มีเวลานึกคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คบหาใครและจะไม่แต่งงานในอนาคต  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่อาจผ่านพ้นการพินิจพิเคราะห์ของพ่อแม่ไปได้  พ่อแม่ของพวกเขาไม่เห็นด้วย คอยรบเร้าและกดดันพวกเขาอยู่เสมอ  เมื่อใดก็ตามที่พบหน้าลูก พ่อแม่ก็เริ่มจี้ถามว่า “ลูกคบหาใครอยู่ไหมหรือ?  มีคนที่ชอบบ้างหรือเปล่า?  รีบพามาที่บ้าน พวกเราจะได้ช่วยดูให้ลูกได้  ถ้าเหมาะสมกับลูก ก็แต่งงานกันไปเลยเถอะ ลูกไม่เด็กแล้วนะ!  ผู้หญิงไม่แต่งงานหลังอายุสามสิบ และผู้ชายก็ไม่หาคู่หลังอายุสามสิบห้ากันหรอก  ลูกกำลังพยายามทำอะไรอยู่ จะพลิกโลกให้กลับหัวลงมาหรือไร?  ถ้าไม่แต่งงาน แล้วใครจะดูแลลูกเวลาลูกแก่ตัว?”  พ่อแม่กังวลและยุ่งอยู่กับเรื่องนี้เสมอ อยากให้เจ้าเสาะหาคนแบบนี้หรือแบบนั้น ผลักดันให้เจ้าแต่งงานและหาคู่ครอง  และหลังจากที่เจ้าแต่งงานแล้ว พ่อแม่ก็เฝ้าเซ้าซี้เจ้าว่า “รีบมีลูกตอนที่แม่ยังอายุไม่มากเถิด  แม่จะได้เลี้ยงลูกให้”  เจ้าจึงกล่าวว่า “ลูกไม่ต้องการให้แม่เลี้ยงเด็กๆ ให้  อย่ากังวลไปเลย”  พวกเขาจึงตอบว่า “ที่บอกว่า ‘อย่ากังวล’ นี่หมายความว่าอย่างไร?  รีบมีลูกไวๆ!  พอเด็กเกิดมาแล้ว แม่จะเลี้ยงให้เอง  แล้วพอหลานโตขึ้นมาหน่อย ลูกค่อยเอาไปเลี้ยงต่อ”  ไม่ว่าพ่อแม่จะมีความคาดหวังอันใดกับลูก—ไม่ว่าพ่อแม่จะมีท่าทีเช่นใดหรือว่าความคาดหวังเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่—ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาระแก่ลูกๆ อยู่เสมอ  ถ้าลูกฟังพ่อแม่ พวกเขาก็จะรู้สึกอึดอัดและไม่มีความสุข  ถ้าพวกเขาไม่ฟังพ่อแม่ พวกเขาก็จะรู้สึกผิดในมโนธรรมว่า “พ่อแม่ไม่ผิด  พวกท่านอายุมากแล้ว และไม่ได้เห็นฉันแต่งงานหรือมีลูก  พวกท่านรู้สึกเศร้า ก็เลยรบเร้าให้ฉันแต่งงานและมีลูก  นี่เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่เช่นกัน”  ดังนั้น เมื่อพูดถึงการรับมือกับความคาดหวังของพ่อแม่ในเรื่องนี้ ลึกลงไปผู้คนมีความรู้สึกรางๆ อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นภาระ  ไม่ว่าพวกเขาจะรับฟังหรือไม่ นั่นก็ดูเหมือนจะผิด และไม่ว่าในทางใด พวกเขาก็รู้สึกว่าการไม่ทำตามข้อเรียกร้องหรือความต้องการของพ่อแม่เป็นเรื่องเสื่อมเสียและไร้ศีลธรรมอย่างยิ่ง  นี่เป็นเรื่องที่กดให้มโนธรรมของพวกเขาหนักอึ้ง  พ่อแม่บางคนถึงกับแทรกแซงชีวิตของลูกว่า “รีบแต่งงานและมีลูกเสีย  ให้แม่มีหลานชายตัวโตแข็งแรงสมบูรณ์ก่อน”  ในลักษณะนี้ พวกเขาถึงกับพยายามก้าวก่ายเรื่องเพศของทารกอีกด้วย  พ่อแม่บางคนกล่าวด้วยว่า “ลูกมีลูกสาวคนหนึ่งแล้ว รีบมีหลานชายให้พ่อแม่เร็วเข้า พวกเราอยากได้ทั้งหลานชายและหลานสาว  ลูกกับคู่ครองมัวยุ่งกับการเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองทั้งวัน  ไม่ทำเรื่องที่ควรทำ การมีลูกเป็นเรื่องใหญ่  ไม่รู้หรือว่า ‘ในสามอกตัญญู การไม่มีทายาทเลวร้ายที่สุด’?  ลูกคิดว่าแค่มีลูกสาวก็พอแล้วกระนั้นหรือ?  ลูกควรรีบมีหลานชายให้แม่ด้วย!  ลูกเป็นลูกคนเดียวในครอบครัวของพวกเรา ถ้าไม่มีหลานชายให้แม่ เชื้อสายตระกูลของพวกเราก็จะไม่สิ้นสุดลงหรือ?”  เจ้าจึงไตร่ตรองว่า “ถูกแล้ว ถ้าเชื้อสายวงศ์ตระกูลสิ้นสุดลงที่ฉัน ฉันก็จะทำให้บรรพชนผิดหวังไม่ใช่หรือ?”  ดังนั้น การไม่แต่งงานเป็นเรื่องผิด และการแต่งงานแต่ไม่มีลูกก็ผิดเช่นกัน แต่การมีลูกสาวก็ยังไม่ดีพออีกด้วย เจ้าต้องมีลูกชาย  บางคนมีลูกชายก่อน แต่พ่อแม่ของพวกเขาก็ยังกล่าวว่า “คนเดียวไม่พอ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร?  มีอีกคนเถิด พวกเขาจะได้เป็นเพื่อนกัน”  เมื่อพูดถึงลูกๆ แล้ว วาจาของพ่อแม่คือกฎและพ่อแม่ก็อาจไร้เหตุผลได้โดยสิ้นเชิง สามารถพรรณนาตรรกะที่บิดเบี้ยวที่สุดออกมา—ลูกๆ จึงได้แต่อับจนหนทางว่าจะรับมือพวกเขาอย่างไร  พ่อแม่แทรกแซงและวิพากษ์วิจารณ์ชีวิต การงาน การแต่งงานของลูก รวมทั้งท่าทีที่ลูกมีต่อสิ่งต่างๆ  ลูกๆ จึงได้แต่กลืนความโกรธลงไป  ไม่สามารถหลบหน้าพ่อแม่หรือสลัดพ่อแม่ออกได้  พวกเขาไม่อาจดุว่าหรือสั่งสอนพ่อแม่ของตน—แล้วพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง?  พวกเขาสู้ทนไป พยายามพบหน้าพ่อแม่ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ และหลีกเลี่ยงการหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาถ้าต้องพบเจอกันด้วยประการทั้งปวง  และถ้ามีการหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา พวกเขาก็จะตัดบททันทีและไปซ่อนตัวที่ไหนสักแห่ง  อย่างไรก็ดี มีบางคนที่ยอมตกลงทำตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่เพื่อให้เป็นไปตามที่พ่อแม่คาดหวังและไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง  เจ้าอาจจะรีบคบหา แต่งงาน และมีลูกทั้งที่ไม่เต็มใจ  แต่การมีลูกคนหนึ่งนั้นไม่เพียงพอ เจ้าจึงต้องมีหลายๆ คน  เจ้าทำเช่นนี้เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของพ่อแม่และทำให้พวกเขามีความสุขและชื่นบาน  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถตอบสนองความปรารถนาของพ่อแม่ได้หรือไม่ ข้อเรียกร้องของพวกเขาย่อมจะสร้างปัญหาให้ไม่ว่ากับลูกคนใด  พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมาย และเจ้าก็ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา พูดคุยเรื่องนี้กับใครอื่น หรือใช้เหตุผลกับพวกเขาได้  ระหว่างที่เจ้าเทียวไปเทียวมาอยู่เช่นนี้ เรื่องราวก็กลายเป็นภาระสำหรับเจ้า  เจ้ารู้สึกอยู่เสมอว่าตราบใดที่เจ้าไม่อาจทำตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่เรื่องการแต่งงานและมีลูกได้ เจ้าก็จะไม่สามารถเผชิญหน้าพ่อแม่และบรรพชนของเจ้าด้วยมโนธรรมที่ชัดเจนได้  ถ้าเจ้าทำตามสิ่งที่พ่อแม่เรียกร้องไม่ได้—กล่าวคือ เจ้ายังไม่ได้คบหาใคร ไม่ได้เข้าสู่ชีวิตแต่งงาน และยังไม่มีลูก ไม่ได้สืบสายวงศ์ตระกูลอย่างที่พวกเขาร้องขอ—เจ้าก็จะรู้สึกกดดันอยู่ภายใน  เจ้าจะผ่อนคลายได้บ้างก็ต่อเมื่อพ่อแม่ของเจ้ากล่าวว่าพวกเขาจะไม่แทรกแซงเรื่องเหล่านี้ ให้เจ้ามีอิสระที่จะรับมือสิ่งต่างๆ ตามที่เกิดขึ้น  อย่างไรก็ดี ถ้าการตอบรับของสังคมซึ่งมาจากญาติพี่น้องของเจ้า เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมงาน และคนอื่นๆ คือการกล่าวโทษเจ้าและพูดถึงเจ้าลับหลัง เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นภาระแก่เจ้าด้วย  เมื่อเจ้าอายุครบ 25 ปีและยังไม่แต่งงาน เจ้าย่อมไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญมากนัก แต่พออายุถึง 30 เจ้าจะเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยดีเท่าใดแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงหลีกเลี่ยงญาติๆ และสมาชิกครอบครัวเหล่านี้ และไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา  และถ้าเจ้ายังคงไม่แต่งงานเมื่ออายุ 35 ปี ผู้คนก็จะพูดว่า “ทำไมถึงไม่แต่งงาน?  เธอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?  เธอเป็นคนแปลกๆ ใช่หรือเปล่า?”  ถ้าเจ้าแต่งงาน แต่ไม่อยากมีลูก พวกเขาก็จะพูดว่า “ทำไมแต่งงานแล้วยังไม่มีลูก?  คนอื่นเขาแต่งงานและมีลูกสาว จากนั้นก็มีลูกชาย หรือมีลูกชายแล้วก็ลูกสาว  ทำไมเธอถึงไม่อยากมีลูก?  มีปัญหาอะไรหรือ?  เธอไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์หรอกหรือ?  เธอยังเป็นคนปกติอยู่หรือเปล่า?”  ไม่ว่าจะมาจากพ่อแม่หรือสังคม ประเด็นเหล่านี้ก็กลายเป็นภาระของเจ้าในสภาพแวดล้อมและภูมิหลังที่ต่างกัน  เจ้ารู้สึกว่าตนผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงวัยอย่างเจ้า  ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าอยู่ในวัยระหว่างสามสิบถึงห้าสิบปี และยังไม่แต่งงาน เจ้าจึงไม่กล้าพบปะผู้คน  พวกเขาย่อมกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนั้นทั้งชีวิตยังไม่เคยแต่งงานเลย เป็นสาวแก่ทึนทึก ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครจะแต่งงานด้วย”  “ผู้ชายคนนั้นทั้งชีวิตยังไม่เคยมีภรรยา”  “ทำไมพวกเขาถึงไม่แต่งงาน?”  “ใครจะไปรู้ บางทีพวกเขาอาจจะมีบางอย่างผิดปกติ”  เจ้าก็นึกใคร่ครวญว่า “ฉันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ  แล้วทำไมฉันถึงยังไม่ได้แต่งงานล่ะ?  ฉันไม่ฟังพ่อแม่และทำให้พวกเขาผิดหวัง”  ผู้คนต่างกล่าวว่า “ผู้ชายคนนั้นไม่แต่งงาน ผู้หญิงคนนั้นไม่แต่งงาน  ดูสิว่าตอนนี้พ่อแม่ของพวกเขาน่าเวทนาขนาดไหน  พ่อแม่คนอื่นมีหลานมีเหลนกันแล้ว แต่พวกเขายังคงเป็นโสด  บรรพชนของพวกเขาต้องทำอะไรไม่ดีเอาไว้แน่เลย ว่าไหม?  นี่เลยทำให้ครอบครัวไร้ทายาทไม่ใช่หรือ?  พวกเขาจะไม่มีลูกหลานสืบสกุล  เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนั้น?”  ไม่ว่าท่าทีของเจ้าในปัจจุบันจะเด็ดเดี่ยวเพียงใด ตราบใดที่เจ้าเป็นคนเดินดินธรรมดาและไม่มีความจริงมากพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าย่อมจะเดือดร้อนและถูกเรื่องนี้รบกวนจิตใจ  ทุกวันนี้มีคนวัย 34 หรือ 35 ปีที่ยังไม่แต่งงานอยู่มากมายในสังคม ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่โต  อย่างไรก็ดี พออายุ 35 หรือ 36 ปีขึ้นไปก็มีผู้คนที่ยังไม่แต่งงานน้อยลง  ถ้าดูตามช่วงวัยของคนที่ยังไม่แต่งงานในปัจจุบัน ถ้าเจ้าอายุต่ำกว่า 35 เจ้าก็อาจจะคิดว่า “การไม่แต่งงานเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้  ถ้าพ่อแม่ของฉันอยากพูดอะไรก็ปล่อยพวกเขาพูดไป  ฉันไม่กลัว”  แต่เมื่อเจ้าเลยวัย 35 ไปแล้ว ผู้คนย่อมจะมองเจ้าด้วยสายตาที่ต่างออกไป  พวกเขาจะพูดว่าเจ้ายังโสด เป็นชายโสด หรือเป็นหญิงที่ขึ้นคาน และเจ้าก็จะไม่สามารถทนรับได้  เรื่องนี้จะกลายเป็นภาระของเจ้า  ถ้าเจ้าไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนหรือหลักธรรมที่แน่ชัดสำหรับปฏิบัติในเรื่องนี้ ไม่ช้าก็เร็วนี่จะกลายเป็นเรื่องกวนใจเจ้า หรือขัดขวางชีวิตของเจ้าในช่วงเวลาพิเศษ  นี่เกี่ยวข้องกับความจริงบางประการที่ผู้คนควรเข้าใจมิใช่หรือ?  (ใช่)

ในเรื่องของการแต่งงานและมีลูก ผู้คนควรเข้าใจความจริงข้อใดบ้างเพื่อปล่อยมือจากภาระที่เรื่องเหล่านี้นำมาให้?  ก่อนอื่น การเลือกคู่สมรสมีเจตจำนงของมนุษย์เป็นตัวกำหนดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ใช่ว่าแค่ออกไปเจ้าก็สามารถเจอคนแบบที่เจ้าปรารถนาเลย และใช่ว่าพระเจ้าจะทรงเตรียมคนในแบบที่เจ้าต้องการไว้ให้อย่างแน่นอน  แต่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้แล้วว่าคู่สมรสของเจ้าเป็นใคร ไม่ว่าคู่ของเจ้าจะเป็นใคร ก็ย่อมจะเป็นคนนั้น  เจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับผลจากการแทรกแซงใดๆ ที่เกิดจากความต้องการของพ่อแม่หรือเงื่อนไขที่พวกเขาวางเอาไว้  นอกจากนี้ คู่สมรสที่ทั้งมั่งคั่งและมีสถานะสูงส่งซึ่งพ่อแม่ขอให้เจ้าหานั้น สามารถกำหนดความมั่งคั่งและสถานะในภายภาคหน้าของเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นั่นไม่สามารถได้  มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แต่งงานเข้าสู่ตระกูลที่มั่งคั่งเพียงเพื่อที่จะถูกขับออกมาและจำต้องลดตัวไปคุ้ยขยะตามถนน  แม้จะพยายามเสาะหาการไต่เต้าทางสังคมไปสู่ความมั่งคั่งและเกียรติยศอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเธอก็ลงเอยด้วยความย่อยยับพร้อมกับชื่อเสียงที่ป่นปี้ เลวร้ายยิ่งกว่าผู้คนทั่วไปเสียอีก  พวกเธอใช้เวลาแต่ละวันหอบหิ้วถุงซักรีดราคาถูกเที่ยวรวบรวมขวดพลาสติกและกระป๋องอะลูมิเนียม แล้วนำไปแลกได้เงินไม่เท่าไร ท้ายที่สุดก็ซื้อกาแฟในร้านกาแฟเพื่อให้ตนเองรู้สึกได้ว่ายังคงใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวยอยู่  ช่างน่าสังเวชเสียจริง!  การแต่งงานเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของคนคนหนึ่ง  เช่นเดียวกับที่คนเราถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะมีพ่อแม่แบบใด การแต่งงานจึงไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของพ่อแม่หรือครอบครัวของเจ้า อีกทั้งไม่ได้เป็นไปตามรสนิยมและความชอบส่วนตัวของเจ้า แต่อยู่ในการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าทุกประการ  เจ้าจะพบเจอคนที่ใช่เมื่อถึงเวลาที่ใช่ เจ้าจะพบเจอคนที่เหมาะสมกับเจ้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  การจัดเตรียมการทั้งปวงโดยโลกที่ลึกลับมองไม่เห็นนี้อยู่ภายใต้การควบคุมและอธิปไตยของพระเจ้า  จึงไม่มีความจำเป็นที่ผู้คนจะต้องใส่ใจการจัดแจงของผู้อื่นในเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นชี้นำ หรือให้พวกเขาบงการและครอบงำ  ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงาน ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะมีความคาดหวังเช่นใด และไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอย่างไร เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของพ่อแม่และไม่ควรให้แผนการของเจ้าเองมาครอบงำเจ้า  เรื่องนี้ควรเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ  ไม่ว่าเจ้ากำลังมองหาคู่ครองอยู่หรือไม่ย่อมไม่สำคัญ—ต่อให้เจ้ามองหาใครอยู่ก็ตาม นั่นก็ควรเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ตามข้อเรียกร้องหรือความต้องการของพ่อแม่ และไม่ใช่ตามความคาดหวังของพวกเขา  ดังนั้นในเรื่องของการแต่งงาน ความคาดหวังของพ่อแม่ไม่ควรกลายเป็นภาระของเจ้า  การหาคู่สมรสเป็นเรื่องของการรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของตนและรับผิดชอบต่อคู่ครอง นี่เป็นเรื่องของการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระเจ้า  ไม่ใช่การทำตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่หรือลุล่วงความคาดหวังของพวกเขา  เจ้าจะหาคู่ครองหรือไม่ และหาคู่ครองแบบใด ก็ไม่ควรเป็นไปตามความคาดหวังของพ่อแม่  พ่อแม่ของเจ้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมเจ้าในเรื่องนี้ พระเจ้าไม่ได้ประทานสิทธิ์ในการจัดแจงเรื่องการแต่งงานของเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบให้แก่พ่อแม่  ถ้าเจ้ากำลังมองหาคู่สมรส ก็ต้องทำตามพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเจ้าเลือกที่จะไม่มองหาใคร นั่นเป็นอิสรภาพของเจ้า  เจ้ากล่าวว่า “ทั้งชีวิตของฉัน ไม่ว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่หรือไม่ ฉันชอบที่จะอยู่เป็นโสดเท่านั้น  การอยู่ตัวคนเดียวเป็นอิสระอย่างยิ่ง—เหมือนนก แค่กระพือปีกทีเดียว ฉันก็โผบินได้แล้ว  ไม่มีครอบครัวเป็นภาระ และฉันไปไหนมาไหนคนเดียว  มันเยี่ยมมาก!  ฉันอยู่ลำพังแต่ไม่เหงา  ฉันมีพระเจ้าอยู่กับฉัน คอยเคียงข้างฉัน ฉันเลยไม่ค่อยเหงา  บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนตัดขาดจากสิ่งรอบข้างทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ  การเลิกสนใจสิ่งรอบข้างอย่างสิ้นเชิงสักครู่หนึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดี  เวลาที่ฉันรู้สึกว่างเปล่าหรือเหงาขึ้นมาเป็นครั้งคราว ฉันจะมาเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพื่อเปิดใจพูดคุยกับพระองค์สักสองสามคำ  ฉันจะอ่านพระวจนะของพระองค์ เรียนรู้เพลงนมัสการ ดูวิดีโอคำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต และดูภาพยนตร์จากพระนิเวศของพระเจ้า  นั่นเยี่ยมมาก และหลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป  ฉันไม่ใส่ใจว่าฉันจะเหงาในภายหลังหรือไม่  ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด ตอนนี้ฉันไม่เหงา มีพี่น้องชายหญิงมากมายรอบตัวที่ฉันสามารถสนทนาได้จากหัวใจ  การหาคู่สมรสอาจเป็นเรื่องที่กวนใจมาก  มีผู้คนที่ปกติไม่มากนักที่สามารถมีชีวิตที่ดีได้อย่างจริงจัง ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องการมองหาใคร  ถ้าฉันพบเจอใครสักคน แล้วพวกเราไปด้วยกันไม่ได้ จนต้องหย่าร้างกัน แล้วความวุ่นวายทั้งหมดนั้นจะทำไปเพื่ออะไร?  เมื่อได้เห็นเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ฉันไม่หาคู่จะดีกว่า  ถ้าจุดประสงค์ของการหาใครสักคนมาแต่งงานด้วยเป็นไปเพื่อความสุขและความชื่นบานเพียงชั่วครู่ และต้องลงเอยด้วยการหย่าร้างอยู่ดี นั่นก็เป็นแค่เรื่องวุ่นวายเท่านั้น และฉันก็ไม่เต็มใจที่จะอดทนกับเรื่องวุ่นวายแบบนั้น  ส่วนเรื่องการมีลูก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง—และไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือผลิตทายาท—การสืบตระกูลไหนๆ ก็ไม่ใช่ทั้งความรับผิดชอบและภาระผูกพันของฉัน  ใครอยากสืบสานวงศ์ตระกูลก็สามารถทำได้เลย  ไม่มีนามสกุลใดเป็นของคนเพียงคนเดียว”  สำคัญนักหรือถ้าสายสกุลขาดลง?  นี่เป็นแค่เรื่องนามสกุลของเนื้อหนังเท่านั้นมิใช่หรือ?  ดวงจิตทั้งหลายไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน ไม่มีการสืบทอดหรือสืบเนื่องระหว่างกันให้พูดถึง  มวลมนุษย์มีบรรพบุรุษร่วมกัน ทุกคนคือผู้สืบเชื้อสายของบรรพบุรุษคนนั้น ดังนั้นเรื่องของการสิ้นสุดเชื้อสายของมวลมนุษย์ย่อมไม่มี  การสืบเชื้อสายจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า  การเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การใช้ชีวิตอย่างอิสระและเสรี และการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงคือสิ่งที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  การเป็นเครื่องจักรในการเพิ่มจำนวนมนุษย์ไม่ใช่ภาระที่เจ้าควรแบกรับ  การมีลูกหรือสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลเพื่อประโยชน์ของบางครอบครัวก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้าเช่นกัน  พระเจ้าไม่ได้ประทานความรับผิดชอบนี้แก่เจ้า  ใครอยากมีลูกก็สามารถมีลูกได้เลย ใครอยากสืบเชื้อสายของตนก็สามารถทำดังนั้นได้ ใครเต็มใจรับผิดชอบเรื่องนั้นย่อมสามารถรับไปได้ ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  ถ้าเจ้าไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้และไม่เต็มใจที่จะลุล่วงภาระผูกพันนี้ก็ไม่เป็นไร นั่นคือสิทธิ์ของเจ้า  เช่นนี้จึงเหมาะสมมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าพ่อแม่ของเจ้าพร่ำเซ้าซี้ เจ้าก็สามารถบอกพวกเขาได้ว่า “ถ้าพ่อแม่ไม่พอใจที่ลูกไม่มีลูกไว้สืบสกุลให้พ่อแม่ เช่นนั้นก็คิดหาวิธีที่จะมีลูกอีกคนและให้ลูกคนนั้นสืบสกุลต่อไปเถิด  ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับลูก พ่อแม่ยกให้ใครทำก็ได้ตามต้องการ”  หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้ว พ่อแม่ของเจ้าย่อมจะไม่มีวาจาตอบกลับมิใช่หรือ?  ในเรื่องการแต่งงานและการมีลูกของบุตรหลานนั้น ไม่ว่าพ่อแม่จะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ก็ควรรู้ด้วยความสูงวัยของตนว่า ความมั่งคั่งหรือยากไร้ของคนคนหนึ่ง จำนวนลูกหลาน และสถานภาพสมรสในชีวิตของพวกเขาล้วนมีฟ้าสวรรค์เป็นผู้กำหนด ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถตัดสินใจได้  เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่เรียกร้องสิ่งต่างๆ จากลูกของตนด้วยการบีบบังคับแบบนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือพ่อแม่ที่ไม่รู้ความ เบาปัญญา และไม่รู้ประสา  เวลารับมือกับพ่อแม่ที่เบาปัญญาและไม่รู้ประสา จงปฏิบัติต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวเหมือนแค่สายลมพัดผ่าน จงปล่อยให้เข้าหูข้างหนึ่งแล้วทะลุออกหูอีกข้างหนึ่งไปเสีย และจบแค่นั้น  ถ้าพวกเขาบ่นมากเกินไป เจ้าก็สามารถกล่าวว่า “เอาละ ลูกสัญญากับพ่อแม่ว่าลูกจะแต่งงานพรุ่งนี้ มีลูกวันมะรืน และให้พ่อแม่ได้อุ้มเหลนวันมะเรื่อง  ฟังดูเป็นอย่างไร?”  แค่บอกปัดกลายๆ แล้วก็หันหลังเดินจากไป  นั่นคือการรับมืออย่างสงบสำรวมมิใช่หรือ?  อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องรับรู้เรื่องนี้ให้รอบด้าน  ในเรื่องของการแต่งงานนั้น พวกเราพักข้อเท็จจริงที่ว่าการแต่งงานได้รับการลิขิตจากพระเจ้าเอาไว้ก่อน  ท่าทีของพระเจ้าต่อเรื่องนี้ก็คือประทานสิทธิ์ให้ผู้คนเลือกด้วยตนเอง  เจ้าสามารถเลือกที่จะเป็นโสด หรือเลือกเข้าสู่การแต่งงานก็ได้ เจ้าสามารถเลือกใช้ชีวิตคู่อยู่กันสองคนหรือเลือกมีครอบครัวใหญ่ก็ได้  นี่คือเสรีภาพของเจ้า  ไม่ว่าเจ้ามีหลักในการเลือกสิ่งเหล่านี้อย่างไรหรือจุดประสงค์หรือผลลัพธ์ที่เจ้าอยากสัมฤทธิ์คืออะไร โดยสรุปแล้ว พระเจ้าประทานสิทธิ์นี้แก่เจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือก  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันยุ่งกับงานปฏิบัติหน้าที่ของตนเหลือเกิน ฉันยังหนุ่มยังสาว และไม่อยากแต่งงาน  ฉันอยากเป็นโสด สละตนเพื่อพระเจ้าเต็มเวลา และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  ฉันจะจัดการกับเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานในภายหลัง—เมื่อฉันอายุห้าสิบปีและรู้สึกเหงา เมื่อฉันมีอะไรจะพูดมากมาย แต่ไม่มีใครให้คุยด้วย เมื่อนั้นฉันจะหาใครสักคน” นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน และพระเจ้าจะไม่กล่าวโทษเจ้า  ถ้าเจ้าบอกว่า “ฉันรู้สึกเหมือนความอ่อนเยาว์ของตนเองกำลังหายไป ฉันต้องคว้าความเยาว์วัยช่วงสุดท้ายของตนเอาไว้  ระหว่างที่ฉันยังหนุ่มยังสาว มีหน้าตาพอดูได้ และมีเสน่ห์อยู่บ้าง ฉันควรรีบหาคู่มาอยู่เคียงข้างไว้คุยด้วย ใครสักคนที่ชื่นชูและรักฉัน เป็นคนที่ฉันสามารถใช้ชีวิตและแต่งงานด้วย” นี่ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าเช่นกัน  แน่นอนว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งคือ ถ้าเจ้าตัดสินใจเข้าสู่การแต่งงาน ก่อนอื่นเจ้าจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าตอนนี้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่อะไรอยู่ในคริสตจักรบ้าง เจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าได้รับเลือกเข้ารับการบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้ารับงานหรือหน้าที่ที่สำคัญไปทำหรือไม่ ปัจจุบันเจ้ารับกิจใดไปทำบ้าง และรูปการณ์ในปัจจุบันของเจ้าเป็นเช่นใด  ถ้าเจ้าเข้าสู่การแต่งงาน นั่นจะมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่?  นั่นจะมีอิทธิพลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าหรือไม่?  จะส่งผลต่องานของเจ้าในฐานะผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่?  จะส่งผลต่อการได้รับความรอดของเจ้าหรือไม่?  เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่เจ้าจำเป็นต้องพิจารณาทั้งสิ้น  แม้พระเจ้าจะประทานสิทธิ์ดังกล่าวให้แก่เจ้า แต่เมื่อเจ้าใช้สิทธิ์นี้ เจ้าก็จำเป็นต้องพิจารณาสิ่งที่เจ้ากำลังจะเลือกและผลสืบเนื่องที่ทางเลือกนี้อาจนำมาให้อย่างรอบคอบ  ไม่ว่าผลที่ตามมาอาจจะเป็นเช่นใด เจ้าก็ไม่ควรโทษผู้อื่น และไม่ควรโทษพระเจ้า  เจ้าควรรับผิดชอบผลสืบเนื่องที่เกิดจากตัวเลือกของเจ้าเอง  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เพียงจะแต่งงานเท่านั้น แต่ฉันอยากมีลูกหลายคนอีกด้วย  หลังจากที่มีลูกชายแล้ว ฉันก็จะมีลูกสาว และพวกเราก็จะใช้ชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต เป็นเพื่อนของกันและกันอย่างเบิกบานและกลมเกลียว  พอฉันแก่ตัวลง ลูกๆ ของฉันก็จะรวมตัวรายล้อมเพื่อดูแลฉัน และฉันก็จะสุขสำราญกับความผาสุกของชีวิตครอบครัว  นั่นจะวิเศษขนาดไหน!  ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน การไล่ตามเสาะหาความจริง และการได้รับความรอด ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องรอง  ฉันไม่ห่วงเรื่องเหล่านั้นในตอนนี้  ฉันจะจัดการเรื่องมีลูกให้เรียบร้อยเสียก่อน”  นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าเช่นกัน  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเลือกจะนำผลเช่นใดมาสู่เจ้าในท้ายที่สุด ไม่ว่าผลที่ตามมาจะขมหรือหวาน เปรี้ยวหรือฝาด เจ้าก็ต้องทนรับไว้กับตัวเอง  ไม่มีใครจะจ่ายในสิ่งที่เจ้าเลือกแทนเจ้าหรือรับผิดชอบในสิ่งที่เจ้าเลือก รวมถึงพระเจ้าด้วย  เข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว  ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น เจ้าควรปล่อยมือจากภาระที่เจ้าพึงปล่อยมือเสีย  การเลือกที่จะเป็นโสดคือเสรีภาพของเจ้า การเลือกที่จะเข้าสู่การแต่งงานก็เป็นเสรีภาพของเจ้าเช่นกัน และการเลือกที่จะมีลูกหลายคนก็เป็นเสรีภาพของเจ้าด้วย  ไม่ว่าเจ้าจะเลือกสิ่งใด นั่นก็คือเสรีภาพของเจ้า  ด้านหนึ่ง การเลือกเข้าสู่ชีวิตแต่งงานไม่ได้หมายความว่าเมื่อทำเช่นนั้น เจ้าก็ได้ตอบแทนความใจดีเมตตาของพ่อแม่หรือลุล่วงหน้าที่ในการกตัญญูของเจ้าแล้ว และแน่นอนว่าการเลือกที่จะเป็นโสดก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังท้าทายพ่อแม่ของเจ้าเช่นกัน  อีกด้านหนึ่ง การเลือกที่จะเข้าสู่การแต่งงานหรือมีลูกหลายคนก็ไม่ใช่การกบฏต่อพระเจ้า และไม่ได้ท้าทายพระองค์  เจ้าจะไม่ถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนั้น  นอกจากนี้ การเลือกที่จะเป็นโสดย่อมจะไม่ใช่เหตุผลที่พระเจ้าจะประทานความรอดแก่เจ้าในท้ายที่สุดด้วย  สรุปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นโสด แต่งงาน หรือมีลูกหลายคน พระเจ้าก็จะไม่ทรงกำหนดตามเหตุปัจจัยเหล่านี้ว่าเจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดในท้ายที่สุดหรือไม่  พระเจ้าไม่ทรงดูภูมิหลังด้านการสมรสหรือสถานะการสมรสของเจ้า พระองค์ทรงดูเพียงว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่ ท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นเช่นไร เจ้าได้ยอมรับและนบนอบความจริงไปมากเท่าใดแล้ว และเจ้ากระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือไม่  ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าจะทรงวางสถานะการสมรสของเจ้าลงเพื่อตรวจดูเส้นทางในชีวิต หลักธรรมที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิต และกฎเกณฑ์ที่เจ้าเลือกใช้ในการมีชีวิตรอด เพื่อกำหนดว่าเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่  แน่นอนว่ามีข้อเท็จจริงอยู่ข้อหนึ่งที่พวกเราต้องเอ่ยถึง  สำหรับคนที่เป็นโสดหรือหย่าร้าง ซึ่งก็คือคนที่ไม่เคยแต่งงานหรือคนที่ออกจากชีวิตสมรสย่อมมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องรับผิดชอบใครหรืออะไรภายในกรอบของชีวิตสมรส  พวกเขาไม่ต้องแบกความรับผิดชอบและภาระผูกพันเหล่านี้เอาไว้บนบ่า ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างเป็นอิสระมากกว่า  พวกเขามีเสรีภาพมากกว่าในแง่ของเวลา บริบูรณ์กว่าในแง่ของพละกำลัง และมีเสรีภาพส่วนบุคคลมากขึ้นในระดับหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น ในฐานะผู้ใหญ่ เวลาเจ้าออกไปข้างนอกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ไม่มีใครสามารถยับยั้งเจ้าได้—แม้กระทั่งพ่อแม่ของเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์นี้  เจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยตนเอง พระองค์จะทรงจัดเตรียมการสิ่งต่างๆ ให้แก่เจ้า และเจ้าก็สามารถเก็บกระเป๋าแล้วจากไป  แต่ถ้าเจ้าแต่งงานมีครอบครัว เจ้าก็ไม่มีอิสระเหมือนเดิม  เจ้าต้องรับผิดชอบพวกเขา  ก่อนอื่น ในแง่ภาวะความเป็นอยู่และทรัพยากรทางการเงิน อย่างน้อยเจ้าต้องจัดเตรียมอาหารและเสื้อผ้าให้พวกเขา และเมื่อครั้งที่ลูกๆ ของเจ้ายังเล็ก เจ้าก็ต้องส่งพวกเขาไปโรงเรียน  เจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบเหล่านี้  ในสถานการณ์เหล่านี้ ผู้คนที่แต่งงานแล้วไม่มีอิสระเพราะพวกเขามีภาระผูกพันทางสังคมและทางครอบครัวที่ต้องทำให้ลุล่วง  ส่วนคนที่ไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูกนั้นย่อมง่ายดายกว่า  เวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะไม่หิวโหยหรือเหน็บหนาว พวกเขาจะมีทั้งอาหารและที่พักพิง  พวกเขาไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นหาเงินและทำงานเพื่อสิ่งจำเป็นต่างๆ ในชีวิตครอบครัว  นั่นคือความแตกต่าง  ในที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงาน ประเด็นก็ยังคงเหมือนเดิมคือ เจ้าไม่ควรแบกรับภาระใดๆ  ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของพ่อแม่ ทัศนะดั้งเดิมของสังคม หรือความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อของเจ้าเอง เจ้าไม่ควรแบกรับภาระใดๆ  เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกเป็นโสดหรือเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน และเป็นสิทธิ์ของเจ้าที่จะตัดสินใจว่าเมื่อใดจะสละโสดและเมื่อใดจะเข้าสู่การแต่งงานเช่นกัน  พระเจ้าไม่ได้ทรงตัดสินเด็ดขาดในเรื่องนี้  ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะมีลูกกี่คนหลังจากเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน พระเจ้าได้ทรงลิขิตเรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เจ้าก็สามารถเลือกด้วยตนเองเช่นกันตามรูปการณ์ที่แท้จริงและการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงบังคับใช้กฎเกณฑ์กับเจ้า  สมมุติว่าเจ้าเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือมหาเศรษฐีพันล้าน และเจ้ากล่าวว่า “การมีลูกแปดหรือสิบคนไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน  การเลี้ยงดูลูกหลายคนจะไม่บั่นทอนพละกำลังในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน”  ถ้าเจ้าไม่กลัวความยุ่งยาก เช่นนั้นก็จงเดินหน้ามีลูกได้เลย พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อความรอดของเจ้าตามท่าทีที่เจ้ามีต่อการแต่งงาน  เรื่องย่อมเป็นเช่นนั้น  ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  ยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง นั่นก็คือ ถ้าเจ้าเลือกที่จะเป็นโสดในตอนนี้ เจ้าต้องไม่รู้สึกว่าเหนือกว่าเพียงเพราะเจ้าเป็นโสด โดยกล่าวว่า “ฉันเป็นสมาชิกของอภิสิทธิ์ชนคนโสดและมีสิทธิ์ที่จะได้รับความรอดก่อนใครในการสถิตของพระเจ้า”  พระเจ้าไม่ได้ประทานอภิสิทธิ์นี้แก่เจ้า เข้าใจหรือไม่?  เจ้าอาจกล่าวว่า “ฉันแต่งงานแล้ว  นั่นทำให้ฉันด้อยกว่าคนอื่นใช่ไหม?”  เจ้าไม่ด้อยกว่าแต่อย่างใด  เจ้ายังคงเป็นสมาชิกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม เจ้าไม่ได้ถูกด้อยค่าหรือเหยียบย่ำเพราะเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน และเจ้าก็ไม่ได้เสื่อมทรามมากขึ้น ช่วยให้รอดยากขึ้น หรือทำร้ายพระทัยของพระเจ้ามากกว่าผู้อื่น อันเป็นเหตุให้พระเจ้าไม่ประสงค์จะช่วยเจ้าให้รอด  เหล่านี้คือความคิดและทัศนะที่ผิดของผู้คนทั้งสิ้น  สถานภาพสมรสของคนคนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา และไม่เกี่ยวกับการที่พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ในท้ายที่สุด  แล้วการได้รับความรอดเกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  (เป็นไปตามท่าทีที่คนเรามีต่อการยอมรับความจริง)  ถูกต้อง นั่นเป็นไปตามท่าทีที่คนคนหนึ่งใช้ปฏิบัติต่อความจริงและยอมรับความจริง และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการหรือไม่  นี่คือหลักการพื้นฐานที่ใช้ประเมินจุดจบของคนคนหนึ่งในท้ายที่สุด  ตอนนี้พวกเราได้มาถึงจุดนี้ในสามัคคีธรรมแล้ว โดยทั่วไปเจ้าย่อมสามารถปล่อยมือจากภาระที่เกิดจากเรื่องของการแต่งงานได้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  การสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  ถ้าเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ เจ้าสามารถถามคนที่แต่งงานแล้วได้ว่าความหวังที่พวกเขาจะได้รับความรอดเป็นเช่นใด แล้วพวกเขาก็จะตอบว่า “ฉันแต่งงานมานานหลายปีและได้หย่าร้างกันเพราะเชื่อในพระเจ้า  ฉันคงไม่กล้าพูดหรอกว่าฉันจะได้รับความรอด”  เจ้าสามารถถามคนหนุ่มสาวที่อายุมากขึ้นมาหน่อยซึ่งอยู่ในวัยสามสิบกว่าและยังไม่ได้แต่งงาน แต่ในช่วงหลายปีที่พวกเขาเชื่อนั้น พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ  เจ้าสามารถถามพวกเขาว่า “คุณสามารถได้รับการช่วยให้รอดด้วยการเชื่อในพระเจ้าแบบนี้หรือไม่?”  พวกเขาก็จะไม่กล้าตอบเช่นกันว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)

เหล่านี้คือความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งงาน  หัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปนั้นไม่มีหัวข้อใดที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ  มีข้อเท็จจริงต่างๆ มากมายที่ควรถูกชำแหละ รวมทั้งรูปการณ์ของผู้คนนานาประเภท  เมื่อดูตามรูปการณ์ต่างๆ เหล่านี้แล้ว ความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจย่อมไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้  ในทุกปัญหาย่อมมีความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ รวมทั้งมีความเป็นจริงตามข้อเท็จจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ และมีกระทั่งความคิดและทัศนะคลาดเคลื่อนที่ผู้คนเก็บงำเอาไว้ ซึ่งก็ควรทำความเข้าใจเช่นกัน  แน่นอนว่าความคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือเสีย  เมื่อเจ้าปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ความคิดและทัศนะที่เจ้ามีต่อเรื่องเรื่องหนึ่งก็จะค่อนข้างเป็นบวกและค่อนข้างเที่ยงตรง  จากนั้นเมื่อเจ้าเผชิญหน้าเรื่องแบบนี้อีก เจ้าก็จะไม่ถูกมันตีกรอบเอาไว้อีกต่อไป เจ้าจะไม่ถูกความคิดและทัศนะบางอย่างที่คลาดเคลื่อนและไร้สาระตีกรอบและครอบงำเอาไว้  เจ้าจะไม่ถูกเรื่องนี้พันธนาการหรือรบกวน เจ้าจะสามารถเผชิญหน้าเรื่องนี้ได้อย่างถูกควร และเจ้าจะประเมินผู้อื่นหรือตัวเองได้ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำ  นี่คือผลลัพธ์ที่เป็นบวกซึ่งสามารถเกิดขึ้นในตัวผู้คนเมื่อพวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง  เอาละ สิ้นสุดสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้แต่เพียงเท่านี้  ลาก่อน!

1 เมษายน ค.ศ. 2023

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความเดิมคือ “เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเจ้าเองได้ด้วยซ้ำไป”

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (15)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger