วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล

พวกเจ้าสามัคคีธรรมส่วนของพระวจนะของพระเจ้าที่มีชื่อเรื่องว่า “ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” มาเป็นเวลาค่อนข้างนานแล้ว  พระวจนะส่วนนี้เสวนาประเด็นปัญหาใดและเกี่ยวข้องกับความจริงใด?  (เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่มนุษย์เดินในฐานะผู้เชื่อ)  โดยหลักแล้วหัวข้อนี้วนเวียนอยู่กับเส้นทางที่เปโตรและเปาโลเดิน เราพูดถูกหรือไม่?  หลังจากสามัคคีธรรมมาเป็นเวลานานขนาดนั้น เรามั่นใจว่าพวกเจ้าได้รับบางสิ่งจากสามัคคีธรรมนั้นแล้ว—น่าจะหลายสิ่ง  พวกเจ้าต้องสรุปใจความสำคัญของคำเทศนาที่ได้รับฟังมาในระหว่างช่วงระยะเวลานี้ จากนั้นจึงคัดแยกเรื่องราวหลักที่เชื่อมโยงกันของคำเทศนานี้ออกมา แล้วไปมีประสบการณ์โดยสอดคล้องกับการคิดในหนทางนี้ รวมทั้งสิ่งทั้งหลายและเรื่องราวที่เชื่อมโยงกันที่สำคัญซึ่งพวกเจ้าสรุปย่อไว้แล้ว  การนี้จะช่วยพวกเจ้าในเรื่องวิธีมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า วิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร และวิธีเป็นพยานยืนยันให้ดีในชีวิตจริง  เราหวังว่าหลังจากพวกเจ้าเสร็จสิ้นการสรุปย่อแล้ว การเข้าสู่ชีวิตและวุฒิภาวะฝ่ายวิญญาณของพวกเจ้าจะก้าวไปข้างหน้าครั้งใหญ่  แล้วในยามที่พวกเจ้าสรุปย่อความเป็นจริงความจริงที่พวกเจ้าควรที่จะต้องเข้าใจจากบทนั้น พวกเจ้าจะเริ่มต้นด้วยประสบการณ์ของเปาโล หรือของเปโตร?  (ของเปาโล)  เหตุใดเล่า?  (ด้วยการทบทวนตัวเองตามเหตุผลที่เปาโลล้มเหลว พวกเราจะรู้ว่าพวกเราอยู่บนเส้นทางของเปาโลหรือไม่  จากนั้นพวกเราจะดูว่าเปโตรอยู่บนเส้นทางแบบใด เพื่อที่พวกเราจะได้มีเป้าหมายและทิศทางที่จะใช้ไล่ตามเสาะหา)  อันที่จริงแล้วนั่นคือวิธีที่ควรจะเป็น  จงสรุปบทเรียนและสรุปย่อประสบการณ์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เปาโลผ่านและถนนที่เขาเดิน  จงทำความเข้าใจว่าเขาเดินบนถนนเส้นใด เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเรียกร้องให้ผู้เชื่อเดินตามเส้นทางที่ถูก และเส้นทางที่ถูกเป็นอย่างไร  หากเจ้าสามารถเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าย่อมจะสามารถหลีกเลี่ยงการเดินออกนอกลู่นอกทางในสถานการณ์ในชีวิตจริง ตลอดจนขณะที่เจ้ากำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน  เจ้ายังจะสามารถหลีกเลี่ยงการขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า การพลาดตกลงไปบนเส้นทางที่ผิด หรือการลงเอยด้วยการที่ตัวเจ้าเองถูกลงโทษในท้ายที่สุดเหมือนที่เปาโลเคยเจอ

เมื่อพิจารณาตามประสบการณ์ของเปาโล ตอนนี้พวกเรามาสรุปลักษณะเฉพาะของถนนที่เขาเดิน วิธีที่เขาเชื่อในพระเจ้า รวมทั้งเป้าหมายและทิศทางที่เขาไล่ตามไขว่คว้ากันเถิด  ก่อนอื่นพวกเราจะดูที่คุณภาพของความเป็นมนุษย์ของเปาโลและอุปนิสัยของเขาจากมุมมองเหล่านี้  เมื่อพิจารณาจากชีวิตของเปาโลและเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา มีแง่มุมไม่กี่อย่างเกี่ยวกับอุปนิสัยของเขา กล่าวคือ ความโอหัง ความคิดว่าตนถูก การหลอกลวง ความเกลียดชังความจริง ความเลวร้าย และความดุร้าย  ไม่สำคัญว่าผู้คนสามารถมองเห็นหรือสรุปย่อแง่มุมหลักเกี่ยวกับอุปนิสัยของเปาโลได้กี่แง่มุม หากเจ้าเพียงแค่พูดถึงแง่มุมเหล่านี้เกี่ยวกับอุปนิสัยของเขา เจ้าย่อมน่าจะรู้สึกว่านั่นค่อนข้างกลวงเปล่า เราพูดถูกหรือไม่?  เมื่อเจ้ากล่าวถึงแง่มุมเหล่านี้เกี่ยวกับอุปนิสัยของเขา แง่มุมดังกล่าวเชื่อมโยงกับการไล่ตามไขว่คว้าของเขา ทิศทางชีวิตของเขา และเส้นทางที่เขาเดินในฐานะผู้เชื่อหรือไม่?  เมื่อเจ้าพูดถึงความโอหังของเขา เจ้ามีข้อเท็จจริงใดๆ มารองรับเรื่องนี้หรือไม่?  อะไรทำให้เจ้ามองว่าเขาโอหัง?  อะไรทำให้เจ้ามองว่าเขาหลอกลวง?  อะไรทำให้เจ้ามองว่าเขามีความเกลียดชังความจริง?  หากเจ้าเพียงแค่สรุปย่อแก่นแท้ของแง่มุมเหล่านี้เกี่ยวกับอุปนิสัยของเขาและไม่พูดถึงการไล่ตามเสาะหาของเขา ทิศทางชีวิตของเขา และเส้นทางที่เขาเดินในฐานะผู้เชื่อ เช่นนั้นแง่มุมเหล่านี้ย่อมเป็นคำพูดที่กลวงเปล่า และจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ในเชิงบวกหรือเป็นผลดีสำหรับผู้คนในตอนนี้  การพูดจากมุมมองของการไล่ตามไขว่คว้าของเปาโลและเส้นทางของเขาย่อมจะดีกว่า  การเข้าใจแก่นแท้ของคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  แก่นแท้ธรรมชาติของคนคนหนึ่งไม่สามารถอนุมานได้เมื่อพวกเขาไม่ทำอะไรเลยหรือแค่ทำสิ่งที่ไม่สำคัญไม่กี่อย่างเท่านั้น  เจ้าต้องดูที่วิธีที่พวกเขาเผยตัวเองออกมาเป็นประจำรวมทั้งเจตนาและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา กล่าวคือ ดูที่การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ความพึงปรารถนา และเส้นทางที่พวกเขาเดิน  แง่มุมที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือการดูว่าคนคนหนึ่งรับมืออย่างไรในยามที่เผชิญกับสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงออกแบบให้พวกเขา หรือในยามที่พระเจ้าทรงทำบางสิ่งกับพวกเขาด้วยพระองค์เอง เช่น การทดสอบพวกเขา การถลุงพวกเขา และการตัดแต่งพวกเขา หรือในยามที่พระเจ้าทรงให้ความกระจ่างและทรงนำพวกเขาด้วยพระองค์เอง  พระเจ้าทรงดูที่แง่มุมเหล่านี้เป็นหลัก  แง่มุมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  แง่มุมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมซึ่งคนคนหนึ่งใช้ในการกระทำการ ดำรงชีวิต ประพฤติปฏิบัติตน และมีปฏิสัมพันธ์กับโลก ตลอดจนเป้าหมายและทิศทางที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า เส้นทางที่พวกเขาเดิน วิธีที่พวกเขาดำรงชีวิต สิ่งที่พวกเขาดำรงชีวิตตาม และรากฐานในการดำรงอยู่ของพวกเขา  แง่มุมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการนี้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวว่า หากพวกเราหลีกเลี่ยงสิ่งทั้งหมดนี้และแค่พูดถึงแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโลเท่านั้น ไม่สำคัญว่าพวกเรากล่าวมากเพียงใดหรือพวกเรามีความเข้าใจมากเพียงใด สิ่งเหล่านั้นย่อมเป็นแค่คำพูดที่กลวงเปล่า  หากพวกเราต้องการดูที่แก่นแท้ของเปาโลจากทุกแง่มุมว่าเขาเป็นใคร และช่วยเหลือผู้คนในวันนี้ หรือให้กระจกกับพวกเขาสำหรับใช้ในการมองดูตัวเอง เช่นนั้นก่อนอื่นพวกเราต้องสรุปย่อเส้นทางที่เปาโลเดิน เป้าหมายที่เขาไล่ตามไขว่คว้า รากฐานในการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านั้น และท่าทีที่เขามีต่อพระเจ้า  หากพวกเราชำแหละอุปนิสัยของเขาในทุกแง่มุมด้วยการเข้าหาอุปนิสัยของเขาจากมุมมองเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเราย่อมมีพื้นฐานมิใช่หรือ?  การสามัคคีธรรมและการสรุปย่อในหนทางนี้ส่วนหนึ่งแล้วก็เพื่อที่ว่าเจ้าจะได้สามารถมองเห็นเปาโลได้อย่างชัดเจนขึ้น แต่โดยหลักแล้วก็เพื่อที่ว่าเมื่อผู้คนในวันนี้เผชิญกับความรอดและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจะได้รู้วิธีเข้าหาการนี้รวมทั้งวิธีที่พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถหลีกเลี่ยงการเดินตามย่างก้าวของเปาโลและหลีกเลี่ยงการลงเอยด้วยการถูกลงโทษเหมือนเขา  นี่คือวิธีการที่มีประสิทธิผลมากที่สุด

เมื่อเจ้ามองดูที่หนทางทั้งหมดที่เปาโลนำเสนอตัวเอง เจ้าควรสามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของเขา และสามารถสรุปได้อย่างครบถ้วนว่าทิศทาง เป้าหมาย แหล่งที่มา และแรงจูงใจสำหรับการไล่ตามไขว่คว้าของเขานั้นผิด และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย และถูกพระเจ้าเกลียดชัง  หนทางหลักอย่างแรกที่เปาโลนำเสนอตัวเองเป็นอย่างไร?  (เขาตรากตรำทำงานเพื่อแลกกับมงกุฎ)  พวกเจ้าเห็นเขานำเสนอตัวเองในหนทางนี้หรือเห็นว่าเขาอยู่ในสภาวะนี้ที่ไหน?  (ผ่านทางคำพูดของเขา)  ผ่านทางคำกล่าวที่มีชื่อเสียงของเขา  โดยปกติแล้วคำกล่าวที่มีชื่อเสียงจะเป็นเชิงบวก และมีส่วนช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปณิธาน ความหวัง และความมุ่งมาดปรารถนา คำกล่าวเหล่านี้สามารถหนุนใจและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้คนเช่นนี้ แต่คำกล่าวที่มีชื่อเสียงของเปาโลทำหน้าที่อะไร?  เขามีมากมาย  เจ้าท่องคำกล่าวที่มีชื่อเสียงมากกว่าของเขาสักหนึ่งตอนได้หรือไม่?  (“ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8))  คำพูดเหล่านี้แสดงถึงแง่มุมใดของแก่นแท้ธรรมชาติของเขา?  พวกเราควรให้นิยามแก่นแท้ธรรมชาติของเขาตามความจริงอย่างไร?  (โอหัง คิดว่าตนถูก และเป็นการทำข้อตกลงกับพระเจ้า)  เป็นธรรมชาติอันโอหังของเขานั่นเองที่กระตุ้นเตือนให้เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้—เขาจะไม่วิ่งแข่ง ทำงาน หรือแม้กระทั่งเชื่อในพระเจ้าหากไม่มีมงกุฎเมื่อสิ้นสุดการนั้น  หลังจากรับฟังคำเทศนามากมายยิ่งนัก ตอนนี้ผู้คนก็ควรที่จะสามารถตระหนักถึงการสำแดงนี้และสภาวะนี้ที่เปาโลเผยให้เห็นได้แล้ว แต่พวกเจ้าสามารถให้นิยามการนี้ได้หรือไม่?  เมื่อพวกเรากล่าวว่า “สรุปย่อ” พวกเราหมายถึงการให้นิยามบางสิ่ง คำพูดที่เจ้าใช้เพื่อให้นิยามบางสิ่งคือความเข้าใจที่แท้จริง  เมื่อเจ้าสามารถให้นิยามบางสิ่งได้อย่างถูกต้องแม่นยำ นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามองเรื่องนั้นอย่างชัดเจน เมื่อเจ้าไม่สามารถให้นิยามบางสิ่งและเพียงแค่คัดลอกคำนิยามของคนอื่นเท่านั้น นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่เข้าใจเรื่องนั้นอย่างแท้จริง  กรอบความคิดหรือสภาวะใดกระตุ้นเตือนให้เปาโลกล่าวคำพูดเหล่านั้นในชั่วขณะนั้น?  เจตนาใดทำให้เขากล่าวคำพูดเหล่านั้น?  อะไรคือแก่นแท้ของการไล่ตามไขว่คว้าของเขาที่คำพูดเหล่านี้แสดงให้เจ้าเห็น?  (เพื่อได้รับพร)  เขาเร่งรีบอย่างยิ่ง สละตนเอง และมอบตัวเองมากมายยิ่งนักเนื่องจากเจตนาของเขาคือเพื่อได้รับพร  นั่นคือแก่นแท้ธรรมชาติของเขาและเป็นสิ่งที่อยู่ในที่ที่อยู่ลึกที่สุดของหัวใจของเขา  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวว่าเปาโลกำลังทำข้อตกลงกับพระเจ้าขณะที่พวกเจ้ากำลังชำแหละประเด็นปัญหานี้  การนี้แสดงถึงท่าทีใดในตัวเปาโล?  ในขณะนี้พวกเรากำลังพยายามสรุปย่อท่าทีที่แท้จริงที่สุดที่เปาโลมีต่อมงกุฎ การได้รับพร และการเชื่อในพระเจ้า พวกเราไม่ได้กำลังพยายามสรุปย่อว่าเปาโลกำลังทำข้อตกลงกับพระเจ้าหรือไม่และเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่  จงบอกเราอีกทีสิ  (เขาไม่ได้รักความจริงและชอบดูถูกคน)  นี่ไม่ใช่ท่าทีอย่างหนึ่ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยของเขา  ในขณะนี้พวกเรากำลังพูดถึงท่าทีของเขา  (เขาละโมบ)  นี่คือแง่มุมหนึ่งของแก่นแท้ธรรมชาติของเขา เหมือนกับเจตนาที่จะได้รับพรของเขาและความอยากได้อยากมีของเขา  อะไรคือท่าที?  ตัวอย่างเช่น เรากล่าวว่าการกินของเผ็ดตลอดเวลานั้นไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร และบางคนก็ตอบกลับว่า “ข้าพระองค์รู้ว่าการกินอาหารรสเผ็ดนั้นไม่ดี แต่ข้าพระองค์ก็ชอบกินอาหารรสเผ็ด!  ข้าพระองค์จะกินอะไรได้หากข้าพระองค์ไม่กินอาหารรสเผ็ด?”  เราตอบกลับว่า “เพื่อสุขภาพของเจ้า ตราบที่เจ้าไม่กินอะไรที่เผ็ด เราจะให้เจ้าห้าดอลลาร์ทุกมื้อเพื่อซื้อสิ่งอื่นกิน”  ตอนนั้นพวกเขามีความสุขจริงๆ แล้วก็พูดว่า “ตกลง เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะไม่กินอาหารรสเผ็ด!”  มีการทำข้อตกลงกันและพวกเขาก็รักษาข้อตกลงนั้น  แต่เหตุใดพวกเขาจึงสามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้กินอาหารรสเผ็ดได้?  แท้จริงแล้วเป็นเพราะเงิน  หากเราไม่ได้ให้เงินพวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกเขาคงจะกินอาหารรสเผ็ดเรื่อยไปเหมือนเมื่อก่อน  พวกเขาหยุดกินอาหารรสเผ็ดเพียงเพราะว่ามีบางสิ่งที่จะได้รับจากการหยุดกิน—เงิน  นี่คือท่าทีของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาหยุดกินอาหารรสเผ็ดเพราะพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง ทำดังที่พวกเขาถูกบอก หรือทำเช่นนั้นเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลเหล่านั้นเลย  พวกเขาไม่ได้ยับยั้งตัวเองไม่ให้กินอาหารรสเผ็ดเพราะพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงหรือโดยคำนึงถึงสุขภาพของตน ท่าทีของพวกเขาเป็นแบบสุกเอาเผากินและผิวเผิน พวกเขามองการนี้ว่าเป็นธุรกรรม และทำการนี้เพื่อประจบประแจง  หากพวกเขาไม่สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนและไม่ได้รับเงิน พวกเขาก็จะกลับไปกินสิ่งที่ตนต้องการ และอาจถึงขั้นกินมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ  นี่อาจไม่ใช่ตัวอย่างที่เหมาะที่สุด แต่มีความคล้ายคลึงใดเมื่อพวกเราเปรียบเทียบตัวอย่างนี้กับเปาโล?  (คล้ายคลึงกับวิธีที่เปาโลได้รับแรงจูงใจจากการได้มาซึ่งพรและทำข้อตกลงกับพระเจ้า)  เปาโลมองการต่อสู้อย่างเต็มกำลัง การวิ่งแข่ง การทำงาน การสละตนเอง และแม้กระทั่งการให้น้ำคริสตจักรเป็นเบี้ยที่เขาสามารถใช้แลกเปลี่ยนเป็นมงกุฎแห่งความชอบธรรมและเป็นเส้นทางสู่มงกุฎแห่งความชอบธรรม  ดังนั้นไม่สำคัญว่าเขาทนทุกข์ สละตนเอง หรือวิ่งแข่งหรือไม่ ไม่สำคัญว่าเขาทนทุกข์มากเพียงใด เป้าหมายเดียวในความรู้สึกนึกคิดของเขาคือการได้มาซึ่งมงกุฎแห่งความชอบธรรม  เขาปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรมและการไล่ตามไขว่คว้าพรดังเช่นวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสมในการเชื่อในพระเจ้า และปฏิบัติต่อการทนทุกข์ การสละตนเอง การทำงาน และการวิ่งแข่งดังเช่นเส้นทางสู่มงกุฎแห่งความชอบธรรม  พฤติกรรมที่ดีทั้งหมดของเขาภายนอกนั้นทำไปเพื่อสร้างภาพ เขาทำพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นการได้รับพรในท้ายที่สุด  นี่คือบาปประการแรกในบาปหลักเจ็ดประการของเปาโล

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปาโลพูดและทำ สิ่งที่เขาเผยออกมา เจตนาและเป้าหมายของทั้งงานของเขาและการวิ่งแข่งที่เขาเข้าร่วม ตลอดจนท่าทีที่เขามีต่อทั้งสองอย่างนั้น—มีสิ่งใดบ้างไหมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ที่สอดรับกันกับความจริง?  (ไม่มี ไม่มีเลย)  ไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่สอดรับกันกับความจริง และไม่มีสิ่งใดที่เขาทำเป็นไปตามสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงให้การแนะนำให้ผู้คนทำ แต่เขาได้ทบทวนการนี้หรือไม่?  (ไม่ เขาไม่ได้ทบทวน)  เขาไม่เคยทบทวนการนี้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่แสวงหา แล้วเขามีพื้นฐานใดในการทึกทักเอาว่าการคิดของตนถูกต้อง?  (มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน)  มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะสามารถทำให้บางสิ่งที่ตนจินตนาการเป็นเป้าหมายที่เขาจะไล่ตามไขว่คว้าตลอดชั่วชีวิตของตนได้อย่างไร?  เขาเคยถามตัวเองหรือคำนึงถึงบ้างหรือไม่ว่า “สิ่งที่ฉันคิดถูกต้องหรือไม่?  คนอื่นไม่คิดอย่างนี้ แค่ฉันเท่านั้น  นี่เป็นปัญหาหรือไม่?”  ไม่เพียงแต่เขาไม่มีความกังขาเหล่านี้เท่านั้น แต่เขายังเขียนความคิดของตนในจดหมายและส่งจดหมายเหล่านั้นไปยังคริสตจักรทุกแห่ง เพื่อที่ทุกคนจะสามารถอ่านจดหมายเหล่านั้นได้  ธรรมชาติของพฤติกรรมนี้เป็นอย่างไร?  มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุใดเขาจึงไม่เคยตั้งคำถามว่าความคิดของตนเป็นไปตามความจริงหรือไม่ ไม่เคยแสวงหาความจริง และไม่เคยเปรียบเทียบความคิดของตนกับสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัส?  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนจินตนาการและสิ่งที่เขาคิดว่าถูกในมโนคติอันหลงผิดของตนดังเช่นเป้าหมายที่เขาควรไล่ตามไขว่คว้า  ในที่นี้อะไรคือปัญหา?  เขาปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนจินตนาการและสิ่งที่ตนคิดว่าถูกดังเช่นความจริงและเป้าหมายที่จะไล่ตามไขว่คว้า  นี่ไม่ใช่การโอหังและคิดว่าตนถูกเหลือเกินหรอกหรือ?  พระเจ้ายังทรงมีที่ในหัวใจของเขาหรือไม่?  เขายังคงสามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าดังเช่นความจริงได้หรือไม่?  หากเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าดังเช่นความจริงได้ เช่นนั้นท่าทีที่เขามีต่อพระเจ้าจะเป็นอย่างไร?  เขาต้องการเป็นพระเจ้าเช่นกันหรือไม่?  หากไม่ เขาคงจะไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนจินตนาการในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของตนเองดังเช่นเป้าหมายซึ่งเขาควรไล่ตามไขว่คว้า อีกทั้งเขาคงจะไม่ไล่ตามไขว่คว้ามโนคติอันหลงผิดของตนหรือสิ่งที่ตนจินตนาการราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิดคือความจริงและเป็นไปตามความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เขายังแบ่งปันสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้องกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรด้วย รวมทั้งปลูกฝังสิ่งนั้นในตัวพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น ทำให้ทุกคนยึดปฏิบัติตามสิ่งทั้งหลายที่ไร้สาระน่าขันที่เขากล่าว เขาแทนที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าด้วยคำพูดของตนเอง และใช้คำพูดที่ไร้สาระน่าขันเหล่านี้ของเขาเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  นี่ไม่ใช่บาปหลักประการที่สองที่เปาโลมีหรอกหรือ?  ปัญหานี้รุนแรงอย่างที่สุด!

มีคนมากมายตลอดหลายยุคหลายสมัยที่คล้ายคลึงกับเปาโล แล้วเหตุใดพวกเราจึงใช้เปาโลเป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยม?  เพราะเขาถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติที่เขากล่าวตลอดจนตัวเขาเองมีผลกระทบมากมายต่อคริสตชนผู้ทั้งหมด  เจ้าอาจพูดได้ว่าความเสียหายที่เขาเป็นเหตุให้เกิดขึ้นนั้นใหญ่หลวงเกินไป  มีคนมากมายยิ่งนักที่ถูกเขาวางยาพิษและชักพาให้หลงผิด  ไม่เพียงแต่เขาได้วางยาพิษคนหลายชั่วอายุแล้วเท่านั้น แต่พิษนั้นยังลงลึกด้วย  ลึกแค่ไหน?  (คริสตชนทั้งหมดมองเขาเป็นบุคคลต้นแบบและเอาอย่างเขา พวกเขาปฏิบัติคำพูดของเขาราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้า)  หากเจ้าสามัคคีธรรมพระวจนะของพระคริสต์และพระวจนะของพระเจ้า กลับไม่มีใครเข้าใจเกี่ยวกับสามัคคีธรรมนั้นมากนัก  แต่เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมคำพูดของเปาโล พวกเขากลับนั่งตัวตรงและรับฟังทันที  นี่หมายความว่าอย่างไร?  (ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อเปาโลเหมือนพระคริสต์)  เมื่อผู้คนปฏิบัติต่อเปาโลเหมือนพระคริสต์ เปาโลย่อมเข้าแทนที่ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในหัวใจของพวกเขาแล้ว  นี่ไม่ใช่บาปที่มีสัดส่วนสุดขั้วหรอกหรือ?  (ใช่)  เปาโลเป็นศัตรูของพระคริสต์ตัวฉกาจที่สุดในประวัติศาสตร์!  เจตนาของคำพูดของเขาเห็นได้ชัดเจนเหลือเกิน เป้าหมายและความเคลือบแฝงของเขาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แก่นแท้ของเขาเคลือบแฝงและเป็นพิษเหลือเกิน  ธรรมชาติของเรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างรุนแรง!  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและชำแหละเรื่องนี้  หากเราไม่ทำเช่นนั้น คนก็คงจะถูกเขาชักพาให้หลงผิดต่อไป  อย่างไรก็ตาม หากเราจะชำแหละประเด็นปัญหาของเปาโล เราต้องทำให้เขามีประโยชน์ต่อคนในวันนี้ดียิ่งขึ้น ในฐานะตัวอย่างของสิ่งที่จะต้องไม่ทำ  พวกเราเพิ่งสรุปย่อบาปของเปาโลสองประการ  ประการแรกคืออะไร?  (เปาโลปฏิบัติต่องานและการวิ่งแข่งดังเช่นเบี้ยที่เขาสามารถแลกเปลี่ยนเป็นมงกุฎได้  เขามองการได้มาซึ่งพรและมงกุฎเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องเหมาะสมที่เขาควรไล่ตามไขว่คว้า)  ถูกต้อง  ปัญหาใหญ่ที่สุดของเปาโลก็คือเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ดังเช่นเป้าหมายที่เขาควรไล่ตามไขว่คว้า  ตั้งแต่เริ่มต้น นั่นก็คือธุรกรรมที่แบกความเป็นกบฏและธรรมชาติที่เลวทรามไปกับมันด้วย แต่เปาโลปฏิบัติต่อธุรกรรมดังกล่าวดังเช่นเป้าหมายอันถูกต้องเหมาะสมที่จะไล่ตามไขว่คว้า  นี่คือปัญหาที่รุนแรงที่สุด  ประการที่สองคืออะไร?  (เปาโลปฏิบัติต่อสิ่งที่เขาจินตนาการและสิ่งที่เขาคิดว่าถูกในมโนคติอันหลงผิดของตนดังเช่นความจริง  เขาไม่เคยทบทวนสิ่งนี้หรือแสวงหาเกี่ยวกับสิ่งนี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับชักพาคนให้หลงผิด และทำให้พี่น้องชายหญิงยึดมั่นในคำพูดและทฤษฎีที่ไร้เหตุผลของเขา ทำให้คนปฏิบัติต่อเขาเหมือนพระคริสต์)  นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง  จงจดบันทึกประเด็นปัญหาเหล่านี้ไว้อย่างถูกต้องแม่นยำ หลังจากพวกเราเสร็จสิ้นการสรุปย่อประเด็นปัญหาเหล่านี้แล้ว เจ้าควรเปรียบเทียบตัวเองกับประเด็นปัญหาเหล่านี้  เมื่อพวกเราเสวนาหัวข้อหัวข้อหนึ่ง ก่อนอื่นพวกเราต้องพูดถึงแง่มุมเฉพาะของความจริงนั้น แล้วจึงทำการเปรียบเทียบ  การชำแหละวิธีที่เปาโลแสดงตัวเองทำหน้าที่เป็นการเตือนสำหรับทุกคน ตลอดจนบอกผู้คนว่าพวกเขาควรควรเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง จากนั้นจึงค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำและหลีกเลี่ยงการเดินตามย่างก้าวของเปาโล  เมื่อนั้นเจ้าจึงจะมีประสิทธิผลอย่างครบถ้วน

เปาโลมีบาปที่ร้ายแรงอีกประการ และนั่นก็คือเขาทำงานของตนบนพื้นฐานของขีดความสามารถทางจิตใจ ความรู้ทางวิชาการ ความรู้ทางเทววิทยา และทฤษฎีของตนล้วนๆ  นี่เป็นบางสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของเขา  พวกเจ้าควรสรุปย่อการนี้ จากนั้นจึงตรวจสอบว่าท่าทีของเขาต่อสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างไร  นี่เป็นบาปที่ชี้เป็นชี้ตายและสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นบาปที่ผู้คนต้องเข้าใจ  จงไตร่ตรองสักชั่วขณะหนึ่งว่าบาปนี้เกี่ยวข้องกับการสำแดงใดของเปาโล จงดูว่าแก่นแท้ธรรมชาติของเขาเป็นอย่างไรผ่านทางการสำแดงเหล่านี้ และมองเห็นอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เขาให้ความสำคัญลึกลงไปข้างใน เป้าหมายของเขาคืออะไร  เจตนาและเป้าหมายของเขาคือต้นตอของเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเริ่มต้นบนเส้นทางที่ผิด  นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าจะทำความเข้าใจอย่างชัดเจน  เปาโลมีพรสวรรค์ใดบ้าง?  (เปาโลมีความเข้าใจที่ดีว่าด้วยความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์มากมายจากยุคธรรมบัญญัติ)  มีเพียงภาคพันธสัญญาเดิมเท่านั้นที่มีอยู่ในเวลานั้น  เปาโลคุ้นเคยกับคัมภีร์เหล่านี้ และมีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์เหล่านี้มาก เหมือนครูสอนศาสนศาสตร์ ศิษยาภิบาล ผู้ประกาศ และคุณพ่อในทุกวันนี้  ความรู้ทางเทววิทยาของเขาอาจกว้างขวางกว่าของพวกเขาเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ แต่เขาเรียนรู้ความรู้ทางเทววิทยานี้หลังจากที่เขาถือกำเนิดมาในโลก  เปาโลมีสิ่งใดมาตั้งแต่เกิด?  (ความสามารถโดยกำเนิดของเขา)  เปาโลฉลาดหลักแหลมโดยธรรมชาติ พูดเก่ง ประพฤติตนดี และไม่ตื่นเวที  ตอนนี้พวกเรามามุ่งความสนใจไปที่การพูดถึงความสามารถโดยกำเนิด พรสวรรค์ สติปัญญา ความสามารถของเขา ตลอดจนความรู้ที่เขาเรียนรู้ตลอดชั่วชีวิตของเขากันเถิด  ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาพูดเก่งหมายความว่าอย่างไร?  เขาเผยและนำเสนอตัวเองในหนทางใด?  เขาชอบพูดเพ้อเจ้อถึงทฤษฎีที่สูงส่ง เขาพูดถึงคำสอนฝ่ายวิญญาณที่ลุ่มลึก ทฤษฎีและความรู้ รวมทั้งข้อความและคำกล่าวที่มีชื่อเสียงของเขาที่ผู้คนกล่าวถึงบ่อยๆ อยู่เป็นนิตย์  คำพูดคำเดียวที่สรุปความคำพูดของเปาโลคืออะไร?  (ว่างเปล่า)  คำพูดที่ว่างเปล่านั้นสร้างสรรค์สำหรับผู้คนหรือไม่?  เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขารู้สึกกล้าหาญ แต่หลังจากผ่านไปสักพักความเพลิดเพลินของพวกเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไป  สิ่งทั้งหลายที่เปาโลพูดถึงนั้นคลุมเครือและเป็นภาพมายา เป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถแผ่วางในแง่มุมที่เป็นรูปธรรมได้จริงๆ  ในทฤษฎีที่เขาพูดถึง เจ้าหาเส้นทางสู่การปฏิบัติใดๆ หรือทิศทางที่ใช้ในการปฏิบัติไม่เจอ เจ้าหาสิ่งอันใดที่เจ้าสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้อย่างถูกต้องแม่นยำไม่เจอ—ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีหรือรากฐาน ไม่มีสิ่งใดนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวว่าทฤษฎีทางศาสนาและคำสอนฝ่ายวิญญาณที่เขาพูดถึงนั้นเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เป้าหมายของเปาโลในการพูดถึงสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  บางคนพูดว่า “เขาพูดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอเพราะเขาต้องการดึงดูดคนจำนวนมากขึ้นเข้ามาและทำให้พวกเขาเคารพและยกย่องบูชาเขา  เขาต้องการสวมรอยแทนองค์พระเยซูเจ้าและเอาชนะใจคนจำนวนมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้พร”  นี่ใช่หัวข้อที่พวกเราต้องการพูดถึงในวันนี้หรือไม่?  (ไม่ นี่ไม่ใช่หัวข้อที่พวกเราต้องการพูดถึงในวันนี้)  เป็นเรื่องปกติเหลือเกินที่คนคนหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกตัดแต่ง ยังไม่ถูกพิพากษาหรือตีสอน ยังไม่ผ่านการทดลองหรือการถลุง มีพรสวรรค์เช่นเดียวกับเขา และมีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์จะโอ้อวดเช่นนี้และแสดงพฤติกรรมที่เขาทำออกมาให้เห็น ดังนั้นพวกเราจึงจะไม่เจาะลึกเข้าไปในเรื่องนี้  พวกเรากำลังจะเจาะลึกเข้าไปในสิ่งใด?  แก่นแท้ของปัญหานี้ของเขา สาเหตุรากเหง้า และแรงจูงใจเบื้องหลังการที่เขาทำสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้เขากระทำในหนทางนี้  ไม่สำคัญว่าผู้คนในวันนี้จะมองทุกสิ่งที่เขาพูดถึงเป็นคำสอน ทฤษฎี ความรู้ทางเทววิทยา พรสวรรค์โดยกำเนิด หรือการตีความสิ่งทั้งหลายของเขาเองหรือไม่ พูดโดยทั่วไปแล้ว ปัญหาใหญ่ที่สุดของเปาโลก็คือเขาปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่มาจากเจตจำนงของมนุษย์ดังเช่นความจริง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงกล้าใช้ทฤษฎีทางเทววิทยาเหล่านี้อย่างเป็นการชี้ขาด กล้าแกร่ง และเปิดเผยเพื่อดึงดูดคนจำนวนมากขึ้นเข้ามาและสอนพวกเขา  นี่คือแก่นแท้ของปัญหา  นี่เป็นปัญหาร้ายแรงหรือไม่?  (เป็น เป็นปัญหาร้ายแรง)  เขาปฏิบัติต่อสิ่งใดดังเช่นความจริง?  พรสวรรค์ที่เขาถือกำเนิดมาด้วย ตลอดจนความรู้และทฤษฎีทางเทววิทยาที่เขาเรียนรู้ตลอดชีวิต  ทฤษฎีทางเทววิทยาของเขานั้นเรียนรู้จากครู จากการอ่านคัมภีร์ และยังสร้างขึ้นจากสิ่งที่เขาเข้าใจและจินตนาการอีกด้วย  เขาปฏิบัติต่อมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับความเข้าใจแบบมนุษย์ของเขาดังเช่นความจริง แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด มีปัญหาหนึ่งที่ใหญ่หลวงขึ้นไปอีก  เขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นดังเช่นความจริง แต่ในเวลานั้นเขาคิดหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง?  เขามีมโนทัศน์ว่าความจริงคืออะไรหรือไม่?  (ไม่ เขาไม่มี)  เช่นนั้นเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นดังเช่นอะไร?  (ดังเช่นชีวิต)  เขาปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดดังเช่นชีวิต  เขาคิดว่ายิ่งเขาสามารถประกาศคำเทศนาได้มากขึ้นเท่าใด หรือสูงส่งมากขึ้นเท่าใด ชีวิตของเขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น  เขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นดังเช่นชีวิต  นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงหรือไม่?  (เป็น เป็นเรื่องที่ร้ายแรง)  เรื่องนี้มีผลกระทบใด?  (เรื่องนี้มีผลกระทบต่อเส้นทางที่เขาเดิน)  นี่คือด้านหนึ่งของเรื่องนี้  อะไรอีก?  (เขาคิดว่าการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำความรอดมาสู่เขาและอำนวยให้เขาเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์)  เรื่องนี้ยังคงเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งพร เขาคิดว่ายิ่งชีวิตของเขายิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าใด โอกาสที่เขาจะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์และขึ้นไปสู่สวรรค์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น  การกล่าวคำว่า “การขึ้นไปสู่สวรรค์” อีกวิธีหนึ่งคืออะไร?  (การครองอำนาจและกวัดแกว่งอำนาจเคียงข้างพระเจ้า)  จุดประสงค์ในการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ของเขาคือการครองอำนาจและกวัดแกว่งอำนาจเคียงข้างพระเจ้า แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของเขา เขามีอีกหนึ่ง  เขาพูดถึงเป้าหมายดังกล่าว  เขาพูดว่าอย่างไร?  (“เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิปปี 1:21))  เขาพูดว่า เพราะว่าสำหรับเขา การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร  นี่หมายความว่าอย่างไร?  ว่าเขาจะกลายเป็นพระเจ้าหลังจากเขาตายแล้วใช่หรือไม่?  ความทะเยอทะยานของเขาไม่มีขีดจำกัด!  ปัญหาของเขารุนแรงยิ่งนัก!  แล้วการที่พวกเราจะชำแหละกรณีของเปาโลเป็นเรื่องผิดหรือไม่?  ไม่แม้แต่น้อย  เขาไม่ควรปฏิบัติต่อพรสวรรค์ของเขาและความรู้ที่เขาเรียนรู้ดังเช่นชีวิต  นี่คือบาปหลักประการที่สามของเขา  เจ้าสามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโลได้ในบาปประการใดก็ตามในสามประการนี้  ลักษณะเฉพาะของแก่นแท้ธรรมชาติของเขาถูกเปิดโปงในบาปแต่ละประการเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นหรือถูกปล่อยทิ้งไว้  บาปทั้งหมดนี้เป็นตัวแทนของแก่นแท้ธรรมชาติของเขา

ถัดไปพวกเราจะดูที่ปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและร้ายแรงที่สุดของเปาโล ซึ่งเป็นตัวแทนเขามากที่สุด  ในจดหมายที่เปาโลเขียน เขาใช้คำพูดใดบ่อยครั้ง?  จงไปดูว่าข้อความเดิมของพระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร แล้วพวกเราจะวิเคราะห์และชำแหละข้อความนั้น ดูว่าที่จริงแล้วอะไรอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขา รวมทั้งเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงรังเกียจเดียดฉันท์และทรงเกลียดชังเขา  เหตุใดใครบางคนที่มีชื่อเสียงและเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรยุคแรกอย่างเปาโลจึงลงเอยด้วยการถูกลงโทษ?  พระเจ้าทรงประเมินค่าเปาโลอย่างไรในความรู้สึกนึกคิดของพระองค์?  พระเจ้าทรงมองเขาอย่างไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงประเมินค่าเขาในหนทางนี้และตัดสินโทษอย่างที่พระองค์ทรงทำลงไป?  ในท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าทรงให้นิยามเปาโลและกำหนดจุดจบของเขาบนพื้นฐานใด?  จงระบุรายการสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดออกมาเพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นข้อเท็จจริงว่าเขาขัดขืนพระเจ้าอย่างไร เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่คิดว่าเขาถูกกล่าวโทษอย่างผิดๆ  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่สุดที่จะให้นิยามผู้คนตามรูปลักษณ์ภายนอก  พื้นฐานของผู้คนสำหรับการให้นิยามผู้อื่นตามรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาคืออะไร?  ส่วนหนึ่งของพื้นฐานดังกล่าวก็คือวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและคำสอนทางสังคม  อีกส่วนหนึ่งคือการศึกษาในบ้าน แนวคิดและมโนทัศน์ที่ไม่ขาวก็ดำ รวมทั้งแนวคิดและมโนทัศน์เรื่องถูกและผิด  ยังมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งก็คือการศึกษาในโรงเรียน  เมื่อรวมเข้าด้วยกันสิ่งเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นระบบการศึกษาเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น  ผลที่ตามมาจากการที่ซาตานปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในตัวผู้คนก็คือผู้คนให้นิยามเรื่องนี้ว่าดี เรื่องนั้นว่าไม่ดี เรื่องนี้ว่าถูก และเรื่องนั้นว่าผิด ตามมโนคติอันหลงผิดและความชอบของตนเอง  อะไรคือพื้นฐานสำหรับคำนิยามทั้งหมดนี้ที่ผู้คนมี?  อันที่จริงแล้วคำนิยามเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนทฤษฎีและปรัชญาเยี่ยงซาตาน พื้นฐานเหล่านี้ที่ผู้คนมีแน่นอนว่าไม่ได้มาจากพระเจ้าหรือจากความจริง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ที่เสื่อมทรามจึงคิดผิดโดยไม่สำคัญว่าพวกเขาให้นิยามคนคนหนึ่งหรือเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งอย่างไร—นั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความจริง และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า นั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าทรงตัดสินผู้คนและเหตุการณ์ตามพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์  พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าคืออะไร?  คือความจริง  ความจริงคือการแสดงออกถึงทุกสิ่งที่เป็นบวกรวมทั้งความเป็นจริงของทุกสิ่งที่เป็นบวก  พระเจ้าทรงตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งหมดที่ผู้คนพบเจอโดยสอดคล้องกับความจริง  พระเจ้าทรงใช้แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน สิ่งที่สร้างแรงจูงใจให้กับการกระทำของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขากำลังเดิน และท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งที่เป็นบวกและความจริงเป็นพื้นฐานในคำตัดสินของพระองค์เกี่ยวกับผู้คน  นี่คือพื้นฐานสำหรับข้อสรุปของพระเจ้า  คำตัดสินของพระเจ้าต่อสรรพสิ่งตรงตามความจริง  พื้นฐานของซาตานสำหรับการให้นิยามสรรพสิ่งคืออะไร?  (ตรรกะของมันเอง)  ปรัชญาและตรรกะเยี่ยงซาตาน ซึ่งตรงข้ามกับความจริงทุกประการ  มนุษยชาติทั้งมวลถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  มนุษย์ไม่มีความจริง พวกเขาเป็นตัวแทนซาตานและทำให้ซาตานปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง  พวกเขาให้นิยามสรรพสิ่งตามปรัชญาและตรรกะเยี่ยงซาตาน  เพราะฉะนั้นพวกเขาได้ข้อสรุปใดเมื่อให้นิยามสรรพสิ่ง?  ข้อสรุปที่ต่อต้านและตรงกันข้ามกับความจริงทุกประการ  พวกเจ้าพบคำพูดที่เปาโลใช้บ่อยครั้งในจดหมายของเขาหรือยัง?  จงอ่านออกเสียง  (“เปาโล ผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระทัยของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 1:1))  เห็นหรือไม่?  นี่คือวิธีที่เปาโลจัดลำดับพระเจ้าและพระคริสต์ กล่าวคือ “เปาโล ผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระทัยของพระเจ้า”  เปาโลอยู่ตรงไหนในการจัดลำดับนี้?  (ลำดับที่สาม)  ในความรู้สึกนึกคิดของเปาโล ใครคือหมายเลขหนึ่ง?  (พระเจ้า)  แล้วหมายเลขสองล่ะ?  (องค์พระเยซูเจ้า)  พระเยซูคริสต์  ใครคือหมายเลขสาม?  (ตัวเปาโลเอง)  เป็นตัวเขาเอง  “เปาโล ผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระทัยของพระเจ้า”  เปาโลใช้วลีนี้บ่อยครั้ง และนี่เป็นวลีที่มีข้อมูลมากมาย  เริ่มแรก พวกเรารู้ว่าเปาโลเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  แล้วจากมุมมองของเปาโล องค์พระเยซูคริสต์เจ้าคือใคร?  พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ และทรงเป็นลำดับที่สองรองจากพระเจ้าในสวรรค์  ไม่สำคัญว่าเขาเรียกองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่าองค์เจ้านายหรือเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า จากมุมมองของเปาโล พระคริสต์บนโลกมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า แต่กลับเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถสั่งสอนคนและให้พวกเขาติดตามพระองค์ได้  การทำหน้าที่ของเปาโลในฐานะอัครทูตของมนุษย์คนหนึ่งเช่นนี้คืออะไร?  การแบ่งปันข่าวประเสริฐ แวะไปเยี่ยมเยียนคริสตจักร ประกาศคำเทศนา และเขียนจดหมาย  เขาเชื่อว่าเขากำลังทำสิ่งเหล่านี้ในนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  ในหัวใจของเขานั้น เขาคิดว่า “ข้าพระองค์จะช่วยพระองค์ด้วยการไปยังที่ที่พระองค์ไม่สามารถไปได้ และข้าพระองค์ก็จะดูสถานที่ที่พระองค์ไม่ต้องการไปในนามของพระองค์”  นี่คือแนวคิดเกี่ยวกับอัครทูตของเปาโล  การจัดลำดับในความรู้สึกนึกคิดของเขาก็คือ ทั้งเขาและองค์พระเยซูเจ้าเป็นคนปกติธรรมดา  เขามองตัวเองและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นคนที่เท่าเทียมกัน เป็นมนุษย์  ในความรู้สึกนึกคิดของเขานั้น โดยแก่นสารแล้วไม่มีความแตกต่างระหว่างตำแหน่งของเขากับพระองค์ อีกทั้งไม่มีความแตกต่างในอัตลักษณ์ของเขากับพระองค์ นับประสาอะไรกับพันธกิจของเขากับพระองค์  มีเพียงชื่อ อายุ สภาพการณ์ของครอบครัว และภูมิหลังเท่านั้นที่แตกต่างกัน และเขากับพระองค์ก็มีพรสวรรค์และความรู้ภายนอกที่แตกต่างกัน  ในความรู้สึกนึกคิดของเปาโล เขาเหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในทุกทาง และอาจเรียกว่าบุตรมนุษย์ได้เช่นกัน  เหตุผลเดียวที่เขาเป็นลำดับสองรองจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นเพราะเขาเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูเจ้า เขาใช้ฤทธานุภาพขององค์พระเยซูเจ้า และถูกองค์พระเยซูเจ้าส่งให้แวะไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรและทำงานของคริสตจักร  เปาโลเชื่อว่าตำแหน่งและอัตลักษณ์ของเขาในฐานะอัครทูตเป็นเช่นนี้—นี่คือวิธีที่เขาตีความการนี้  นอกจากนี้คำที่สองตอนเริ่มต้นวลีที่ว่า “เปาโล ผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์” ก็คือ “ได้รับการทรงเรียก”  จากคำคำนี้เราสามารถเห็นความรู้สึกนึกคิดของเปาโลได้  เหตุใดเขาจึงใช้ถ้อยคำทั้งหกคำที่ว่า “ได้รับการทรงเรียก … ตามพระทัยของพระเจ้า”?  เขาไม่ได้คิดว่าตนได้รับการทรงเรียกโดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้เป็นอัครทูตของพระองค์ เขาคิดว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ทรงมีฤทธานุภาพที่จะสั่งให้ฉันทำสิ่งใดๆ  ฉันไม่ทำดังที่พระองค์ได้ทรงบัญชา ฉันไม่ทำอะไรให้พระองค์  ตรงกันข้าม ฉันทำสิ่งเหล่านี้ตามพระทัยของพระเจ้าในสวรรค์  ฉันก็เหมือนองค์พระเยซูคริสต์เจ้า”  นี่บ่งชี้อีกหนึ่งสิ่ง—เปาโลคิดว่าตนเป็นบุตรมนุษย์ เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  ถ้อยคำทั้งหกที่ว่า “ได้รับการทรงเรียก … ตามพระทัยของพระเจ้า” เผยให้เห็นว่าเปาโลไม่ยอมรับและกังขาพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในห้วงลึกของหัวใจของตน  เปาโลพูดว่าตนเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าตามพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าตรัสให้เขาเป็น เขาได้รับการสถาปนาและกำหนดโดยพระเจ้า และเขากลายเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเพราะพระเจ้าทรงเรียกเขาและทรงประสงค์การนี้  ในความรู้สึกนึกคิดของเปาโล นั่นเป็นสัมพันธภาพระหว่างตัวเขาเองกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ส่วนที่แย่ที่สุดของเรื่องนี้ด้วยซ้ำ  อะไรคือส่วนที่แย่ที่สุด?  การที่เปาโลคิดว่าตนเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าตามพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามพระทัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้ทรงเรียกเขา แต่เป็นพระเจ้าในสวรรค์ที่ทรงทำให้เขาทำเช่นนั้น  เขาคิดว่าไม่มีใครมีอำนาจหรือคุณสมบัติที่จะทำให้เขาเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า มีเพียงพระเจ้าในสวรรค์ในเท่านั้นที่มีฤทธานุภาพนั้น เขากำลังได้รับการทรงนำโดยพระเจ้าในสวรรค์โดยตรง  แล้วนี่บ่งชี้สิ่งใด?  ว่าลึกลงไปในหัวใจของเปาโล เขาเชื่อว่าพระเจ้าในสวรรค์ทรงเป็นหมายเลขหนึ่ง และตัวเขาเองคือหมายเลขสอง  แล้วเขาวางองค์พระเยซูเจ้าไว้ตรงไหน?  (ในตำแหน่งเดียวกับตัวเขาเอง)  นี่เป็นปัญหา  เขากล่าวประกาศเองว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ แต่ไม่รับรู้ว่าแก่นแท้ของพระคริสต์คือแก่นแท้ของพระเจ้า เขาไม่เข้าใจสัมพันธภาพระหว่างพระคริสต์กับพระเจ้า  การขาดพร่องความเข้าใจนี้นี่เองเป็นเหตุให้เกิดปัญหาที่รุนแรงเช่นนั้น  ปัญหานั้นรุนแรงอย่างไรหรือ?  (เขาไม่ยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  เขาปฏิเสธองค์พระเยซูเจ้า)  ใช่ นั่นรุนแรงจริงๆ  เขาปฏิเสธว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้เสด็จจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ และองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  นี่ไม่ได้บอกเป็นนัยว่าเปาโลปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าบนโลกมนุษย์หรอกหรือ?  (ใช่ นี่บอกเป็นนัย)  หากเขาปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าบนโลกมนุษย์ เช่นนั้นเขาจะสามารถรับรู้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าได้หรือ?  (ไม่ เขาไม่สามารถ)  หากเขาไม่รับรู้พระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นเขาจะสามารถยอมรับพระวจนะดังกล่าวได้หรือ?  (ไม่ เขาไม่สามารถ)  เขาไม่ยอมรับพระวจนะ คำสอน หรือพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า แล้วเขาจะสามารถยอมรับพระราชกิจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้หรือ?  (ไม่ เขาไม่สามารถ)  เขาไม่ยอมรับพระราชกิจที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำ หรือข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระเจ้า แต่นี่ก็ไม่ใช่ส่วนที่แย่ที่สุด  อะไรคือส่วนที่แย่ที่สุด?  สองพันปีมาแล้ว องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมายังโลกมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพระราชกิจทั้งปวง—พระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ โดยที่พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์และทรงกลายเป็นสภาพเสมือนของเนื้อหนังที่เปี่ยมบาป และทรงถูกตรึงกางเขนเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  นี่เป็นพระราชกิจครั้งใหญ่หรือไม่?  (ใช่ เป็นพระราชกิจครั้งใหญ่)  เป็นพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง และกระทำเสร็จสิ้นโดยพระเจ้าพระองค์เอง แต่กระนั้นเปาโลกลับไม่ยอมรับพระราชกิจนี้อย่างดื้อด้าน  เขาปฏิเสธว่าพระราชกิจแห่งการไถ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงกระทำนั้นกระทำเสร็จสิ้นโดยพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งเป็นการปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงสำเร็จลุล่วงพระราชกิจแห่งการไถ่แล้ว  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงหรือไม่?  ร้ายแรงอย่างที่สุด!  ไม่เพียงแต่เปาโลไม่เสาะแสวงที่จะเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถูกตรึงกางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น แต่เขายังไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนี้อีกด้วย และการไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนี้ก็คือการปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้  เขาไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง อีกทั้งเขายังไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  นี่บอกเป็นนัยว่าเขาไม่ยอมรับว่ามวลมนุษย์ทั้งปวงได้รับการไถ่หลังจากพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ หรือบาปของพวกเขาได้รับการให้อภัย  ในเวลาเดียวกันเขาก็คิดว่าบาปของตนยังไม่ได้รับการให้อภัย  เขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์  จากจุดยืนของเขา ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นได้ถูกลบไปหมดแล้ว  นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด  เราเพิ่งกล่าวถึงว่าเปาโลเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่สำคัญที่สุดในสองพันปีที่ผ่านมา ข้อเท็จจริงนี้ถูกเผยออกมาแล้ว  หากข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และพระเจ้าตรัสว่าเปาโลท้าทายพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนจะเชื่อข้อเท็จจริงนี้หรือไม่?  พวกเขาจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน  โชคดีที่พระคัมภีร์เก็บบันทึกจดหมายของเปาโลไว้ และในที่นี้มีข้อพิสูจน์ที่เป็นไปตามข้อเท็จจริงในจดหมายเหล่านั้น มิฉะนั้นย่อมจะไม่มีอะไรมารองรับสิ่งที่เรากำลังกล่าว และพวกเจ้าก็อาจไม่ยอมรับสิ่งนี้  ทีนี้เมื่อพวกเรานำคำพูดของเปาโลออกมาเผยให้เห็นและอ่านคำพูดเหล่านั้น เปาโลมองสรรพสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสอย่างไร?  เขาคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไม่เท่ากับคำสอนทางศาสนาของเปาโลเองแม้แต่ประการเดียว  ดังนั้นหลังจากองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงผละจากโลกนี้ไปแล้ว แม้เปาโลเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ทำงาน ประกาศ และเป็นผู้เลี้ยงคริสตจักร แต่เขาก็ไม่เคยประกาศพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า นับประสาอะไรที่จะปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับประกาศความเข้าใจเกี่ยวกับภาคพันธสัญญาเดิมของตัวเอง ซึ่งล้าสมัยและเป็นคำพูดที่ว่างเปล่า  เป็นเวลาสองพันปีมาแล้วที่บรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าทำเช่นนั้นโดยสอดคล้องกับพระคัมภีร์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายอมรับคือทฤษฎีที่ว่างเปล่าของเปาโล  ผลก็คือ ผู้คนอยู่ในความมืดมิดมาเป็นเวลาสองพันปี  หากเจ้าพูดกับกลุ่มผู้คนทางศาสนาในวันนี้ว่าเปาโลคิดผิด พวกเขาจะคัดค้านและจะไม่ยอมรับเรื่องนี้ เพราะพวกเขาล้วนยกย่องบูชาเปาโล  เปาโลเป็นรูปเคารพและบิดาผู้ก่อตั้งของพวกเขา และพวกเขาคือบุตรและพงศ์พันธุ์ที่กตัญญูของเปาโล  พวกเขาถูกชักพาให้หลงผิดในระดับใด?  พวกเขายืนอยู่ข้างเดียวกับเปาโลในการต่อต้านพระเจ้าอยู่แล้ว พวกเขามีทรรศนะเดียวกับเปาโล แก่นแท้ธรรมชาติเดียวกัน และวิธีการไล่ตามไขว่คว้าเดียวกัน  พวกเขาเอาอย่างเปาโลแล้วอย่างถ้วนทั่ว  นี่คือบาปหลักประการที่สี่ของเปาโล  เปาโลปฏิเสธพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและปฏิเสธพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในยุคพระคุณหลังจากยุคธรรมบัญญัติ  นี่เป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด  สิ่งที่ร้ายแรงอีกอย่างก็คือเขาวางตัวเองในระดับเดียวกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  ในยุคที่เปาโลมีชีวิตอยู่นั้น เขาได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแต่ไม่ได้มองพระองค์เป็นพระเจ้า ตรงกันข้าม เขากลับปฏิบัติต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าดังเช่นคนปกติธรรมดา ราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นแค่สมาชิกอีกคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์ที่มีแก่นแท้ธรรมชาติเดียวกับเหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทราม  ไม่มีทางที่เปาโลจะปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าดังเช่นพระคริสต์ นับประสาอะไรที่จะปฏิบัติต่อพระองค์ดังเช่นพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก  แล้วเหตุใดเปาโลจึงจะทำเช่นนี้?  (เขาไม่ได้รับรู้ว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิบัติต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าดังเช่นพระเจ้า)  (เขาไม่ได้มองพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเป็นความจริง อีกทั้งไม่ได้มองว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นรูปจำแลงของความจริง)  (ภายนอกนั้นเปาโลประกาศยืนยันว่าเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่เขาเชื่อคือพระเจ้าที่คลุมเครือในสวรรค์)  (เขาไม่ได้แสวงหาความจริง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถระลึกรู้ได้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริงและชีวิต)  ว่าต่อไปสิ  (เปาโลพูดว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  เขาต้องการเป็นพระเจ้าและแทนที่องค์พระเยซูเจ้า)  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดมาสอดคล้องกับข้อเท็จจริง  หนทางแต่ละอย่างที่เปาโลใช้ในการสำแดงตนออกมารวมทั้งบาปแต่ละประการของเขารุนแรงกว่าสิ่งที่มาก่อนหน้านั้น

พวกเรามาวิเคราะห์วลีนี้ที่เปาโลพูดกันเถิด ความว่า “มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า”  นี่คือถ้อยคำที่น่าประทับใจ  จงดูที่ถ้อยคำที่เขาเลือก ซึ่งก็คือ “มงกุฎแห่งความชอบธรรม”  โดยปกติแล้วการใช้คำว่า “มงกุฎ” เป็นเรื่องที่กล้ามากทีเดียว แต่ใครจะอาจหาญใช้ “ความชอบธรรม” เป็นการแสดงคุณลักษณะเพื่อให้นิยามมงกุฎ?  มีเพียงเปาโลเท่านั้นที่จะอาจหาญใช้คำนี้  เหตุใดเขาจึงใช้คำนี้?  คำนี้มีจุดเริ่มต้น และถูกเลือกมาอย่างรอบคอบ มีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งเบื้องหลังคำพูดของเขา!  ความหมายแฝงใด?  (เขากำลังพยายามบังคับพระทัยพระเจ้าด้วยคำคำนี้)  การต้องการบังคับพระทัยพระเจ้าคือแง่มุมหนึ่งของความหมายแฝงดังกล่าว  เจตนาของเขาแน่นอนว่าคือเพื่อทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน และมีองค์ประกอบของการพยายามกำหนดเงื่อนไขกับพระเจ้าให้เข้ากับเจตนานั้นเช่นกัน  นอกจากนี้ มีจุดประสงค์เบื้องหลังเหตุผลที่ทำไมเขาจึงประกาศเกี่ยวกับมงกุฎแห่งความชอบธรรมนี้อยู่เสมอหรือไม่?  (เขาต้องการชักพาคนให้หลงเชื่อ และทำให้พวกเขาคิดว่าหากเขาไม่ได้มงกุฎ พระเจ้าก็ไม่ทรงชอบธรรม)  มีคุณลักษณะที่เป็นการยุยงและชักพาให้หลงผิดกับการที่เขาประกาศเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเรื่องนี้ก็เชื่อมโยงกับความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของเปาโล  เพื่อที่จะลุล่วงและทำให้ความอยากได้มาซึ่งมงกุฎแห่งความชอบธรรมของเขาเป็นจริงขึ้นมาในท้ายที่สุด เขาจึงใช้ชั้นเชิงของการประกาศเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกหนทุกแห่ง  ส่วนหนึ่งนั้น เป้าหมายในการประกาศถ้อยคำเหล่านี้ของเขาคือเพื่อยุยงและชักพาคนให้หลงผิด เพื่อปลูกฝังความคิดบางอย่างในบรรดาผู้ที่รับฟัง กล่าวคือ “ใครบางคนเช่นฉันที่สละตนเองมากมายยิ่งนัก ที่เดินทางไปทั่วมากยิ่งนัก และไล่ตามเสาะหาอย่างที่ฉันทำ ย่อมจะสามารถได้รับมงกุฎแห่งความชอบธรรม”  หลังจากรับฟังการนี้ โดยธรรมชาติแล้วผู้คนย่อมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมก็ต่อเมื่อคนคนหนึ่งดังเช่นเปาโลรับมงกุฎไว้เท่านั้น  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องไล่ตามเสาะหา เดินทางไปทั่ว และสละตนเองดังเช่นที่เปาโลทำ พวกเขาไม่สามารถรับฟังองค์พระเยซูเจ้า และเปาโลคือเกณฑ์มาตรฐาน เขาคือองค์พระผู้เป็นเจ้า และเขาเป็นทิศทางและเป้าหมายซึ่งผู้คนควรเดินเข้าหา  พวกเขายังคิดด้วยว่าหากผู้คนทำสิ่งทั้งหลายอย่างที่เปาโลทำ พวกเขาย่อมจะได้มงกุฎ จุดจบ และบั้นปลายเดียวกับเขา  ในแง่มุมหนึ่ง เปาโลกำลังยุยงและชักพาคนให้หลงผิด  ในอีกแง่มุมหนึ่ง เขามีเป้าหมายที่มุ่งร้ายที่สุด  ลึกลงไปในหัวใจของเขานั้น เขาคิดว่า “ในสภาพการณ์ที่ไม่มีวี่แววว่าฉันจะได้มงกุฎ โดยปรากฏว่าเป็นแค่ความคิดฝันและการเพ้อฝันของฉันเองเท่านั้น นี่ย่อมจะหมายความว่าทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์ รวมถึงตัวฉันเอง ถูกชักพาให้หลงผิดในความเชื่อของตน  นี่ย่อมจะหมายความว่าไม่มีพระเจ้าอยู่บนโลกมนุษย์ และข้าพระองค์ก็จะปฏิเสธการดำรงอยู่ในสวรรค์ของพระองค์ด้วย พระเจ้า และพระองค์ก็จะไม่ทรงสามารถทำสิ่งใดเกี่ยวกับการนั้นได้!”  สิ่งที่เขากำลังบอกเป็นนัยคือ “หากข้าพระองค์ไม่ได้มงกุฎนี้ ไม่เพียงแต่พี่น้องชายหญิงจะปฏิเสธพระองค์เท่านั้น แต่ข้าพระองค์จะกีดกันไม่ให้พระองค์ได้รับผู้คนทั้งหมดที่ข้าพระองค์ได้ยุยงและผู้ที่รู้จักถ้อยคำเหล่านี้ด้วย  ข้าพระองค์ยังจะกีดกันไม่ให้พวกเขาได้รับพระองค์อีกด้วย และในเวลาเดียวกันข้าพระองค์ก็จะปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระองค์ในฐานะพระเจ้าในสวรรค์  พระองค์ไม่ทรงชอบธรรม  หากข้าพระองค์ เปาโล ไม่สามารถได้มงกุฎ ก็ต้องไม่มีใครควรได้!”  นี่คือส่วนที่มุ่งร้ายของเปาโล  นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  นี่คือพฤติกรรมของปีศาจผู้เป็นศัตรูของพระคริสต์ กล่าวคือ การยุยง การชักพาให้หลงผิด และการชักนำคน ตลอดจนการเรียกร้องเอ็ดตะโรจากพระเจ้าอย่างเปิดเผยและการต่อต้านพระองค์  ลึกลงไปในหัวใจของเขานั้น เปาโลคิดว่า “หากฉันไม่ได้มงกุฎ พระเจ้าก็ไม่ทรงชอบธรรม  หากฉันได้มงกุฎ เมื่อนั้นเท่านั้นนั่นจึงเป็นมงกุฎแห่งความชอบธรรม และเมื่อนั้นเท่านั้นความชอบธรรมของพระเจ้าจึงชอบธรรมอย่างแท้จริง”  นี่คือจุดเริ่มต้นของ “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” ของเขา  ด้วยการทำเช่นนี้เขากำลังทำอะไรอยู่?  เขากำลังยุยงและชักพาบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าให้หลงผิดอย่างเปิดเผย  ในเวลาเดียวกันเขาก็กำลังใช้วิธีการเหล่านี้ทำการต่อต้านและเรียกร้องเอ็ดตะโรจากพระเจ้าอย่างเปิดเผย  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พฤติกรรมของเขาเป็นพฤติกรรมของขบถ  ธรรมชาติของพฤติกรรมนี้เป็นอย่างไร?  ภายนอกนั้นถ้อยคำที่เปาโลใช้ดูเหมือนดูเป็นผู้ดีและถูกควร และดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับถ้อยคำเหล่านั้นที่ผิด—ใครเล่าจะไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้มงกุฎแห่งความชอบธรรมและได้รับพร?  อย่างน้อยที่สุดแม้กระทั่งคนที่ไม่มีขีดความสามารถเลยก็ยังเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์  พวกเขาจะมีความสุขต่อให้พวกเขาถูกขอให้กวาดถนนหรือเฝ้าประตูตรงนั้นก็ตาม  การมีเจตนาและวัตถุประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของคนเราสามารถพิจารณาได้ว่าถูกควรและเป็นที่เข้าใจได้  อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์เพียงประการเดียวของเปาโล  เขาทุ่มเทความพยายามมาก ใช้พลังงานมาก และวิตกกังวลอย่างไร้เหตุผลมากเมื่อเป็นเรื่องของการที่เขาประกาศเกี่ยวกับมงกุฎแห่งความชอบธรรมของเขา  สิ่งทั้งหลายที่เปาโลพูดนั้นเปิดโปงธรรมชาติอันมุ่งร้ายของเขา ตลอดจนสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นและมืดมิดลึกภายในตัวเขาเอง  ณ เวลานั้น เปาโลสร้างชื่อเสียงอันโด่งดังให้กับตัวเองและมีคนมากมายที่ชื่นชูเขา  เขาเที่ยวไปประกาศทฤษฎีและแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งเหล่านี้ มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเขา ตลอดจนสิ่งทั้งหลายที่เขาได้เรียนรู้ในการศึกษาของเขา รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่เขาได้อนุมานโดยใช้ความรู้สึกนึกคิดของเขาทุกหนทุกแห่ง  ตอนที่เปาโลประกาศสิ่งเหล่านี้ทุกหนทุกแห่ง การนี้ต้องมีผลกระทบไปแล้วมากเพียงใดต่อผู้คนย้อนกลับไปในตอนนั้น และลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้นการนี้ต้องวางยาพิษและสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาไปแล้วอย่างรุนแรงเพียงใด?  และการนี้ต้องมีผลกระทบไปแล้วมากเพียงใดต่อผู้คนในรุ่นต่อๆ มาที่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากจดหมายของเขา?  คนที่อ่านถ้อยคำของเขาแล้วไม่สามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ไปจากตัวเองได้ไม่สำคัญว่าพวกเขาพยายามนานเพียงใด—พวกเขาถูกวางยาพิษอย่างดิ่งลึกมากเกินไปแล้ว!  ลึกแค่ไหน?  ได้เกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นที่เรียกว่า “ผลกระทบของเปาโล”  ผลกระทบของเปาโลคืออะไร?  มีปรากฏการณ์หนึ่งในศาสนาโดยที่ผู้คนได้รับอิทธิพลจากความคิด ทรรศนะ ข้อโต้แย้งของเปาโล รวมทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เขาเผยออกมา  ปรากฏการณ์นี้กระทบต่อคนที่ครอบครัวเชื่อในพระเจ้ามาหลายชั่วอายุคนโดยเฉพาะ—ครอบครัวที่ติดตามพระคริสต์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ  พวกเขาพูดว่า “ครอบครัวของพวกเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายชั่วอายุคนและไม่ทำตามกระแสนิยมทางโลก  พวกเราอยู่ห่างจากโลกปุถุชน และละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเราเพื่อสละตนเองเพื่อพระเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราทำนั้นเหมือนกับที่เปาโลเคยทำ  หากพวกเราไม่ได้มงกุฎไว้หรือไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์ พวกเราจะมีเรื่องต้องสะสางกับพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมา”  ผู้คนไม่ทำการโต้แย้งนี้หรอกหรือ?  (ทำ พวกเขาทำ)  และกระแสนิยมนี้ก็มีนัยสำคัญมาก  กระแสนิยมนี้มาจากไหน?  (จากสิ่งที่เปาโลประกาศ)  นั่นเป็นผลร้ายจากก้อนเนื้องอกที่เปาโลปลูกฝังไว้  หากเปาโลไม่ได้ยุยงคนเช่นนี้ และไม่ได้พูดเสมอว่า “มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” และ “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” เช่นนั้นหากปราศจากฉากหลังของยุคแห่งประวัติศาสตร์นั้น คนสมัยนี้ก็คงจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น  ต่อให้พวกเขามีวิธีคิดแบบนั้น พวกเขาก็คงจะไม่มีความกล้าดีของเปาโล  ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะการหนุนใจและการยุยงของเปาโล  เมื่อมาถึงวันซึ่งพวกเขาไม่ได้รับพร คนเหล่านี้จะกล้าท้าทายองค์พระเยซูเจ้าอย่างเปิดเผย และจะถึงขั้นต้องการเร่งเดินไปยังสวรรค์ชั้นที่สามและโต้แย้งเรื่องนี้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า  นี่ไม่ใช่โลกศาสนาที่ขบถต่อองค์พระเยซูเจ้าหรอกหรือ?  เป็นที่ชัดเจนว่าโลกศาสนาได้รับผลกระทบจากเปาโลอย่างรุนแรง!  ด้วยบัดนี้เราพูดคุยมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้าสามารถสรุปได้ว่าบาปประการที่ห้าของเปาโลคืออะไรมิใช่หรือ?  เมื่อเป็นเรื่องของการสรุปย่อจุดเริ่มต้นของ “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” ที่เปาโลพูดถึง จุดสนใจนั้นอยู่ที่คำว่า “ความชอบธรรม”  เหตุใดเขาจึงกล่าวถึง “ความชอบธรรม”?  บนแผ่นดินโลก เป็นเพราะเขาต้องการยุยงและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด เพื่อที่พวกเขาจะได้คิดอย่างที่เขาคิด  ในสวรรค์ เขาต้องการบังคับพระทัยของพระเจ้าด้วยถ้อยคำของเขาและเรียกร้องเอ็ดตะโรจากพระเจ้า  นี่คือเป้าหมายของเปาโล  แม้เขาไม่เคยเอ่ยคำนี้ แต่คำว่า “ความชอบธรรม” ก็เผยให้เห็นเป้าหมายและแนวโน้มของเขาที่จะเรียกร้องจากพระเจ้าอย่างครบถ้วนอยู่แล้ว  เรื่องนี้เป็นที่รู้โดยทั่วกันอยู่แล้ว เหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง  ตามข้อเท็จจริงเหล่านี้ แก่นแท้ธรรมชาติของเปาโลสามารถสรุปได้หรือไม่ว่าเป็นเพียงแค่การเป็นคนโอหัง คิดว่าตนถูก หลอกลวง และไม่รักความจริง?  (ไม่ได้)  คำศัพท์เหล่านี้ไม่สามารถสรุปแก่นแท้ธรรมชาติดังกล่าวได้  ด้วยการที่เรากล่าวถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้รวมทั้งการชำแหละ การวิเคราะห์ และการให้นิยามข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมา เจ้าควรสามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโลได้อย่างชัดเจนและถ้วนทั่วมากขึ้น  นี่คือผลกระทบที่สัมฤทธิ์ด้วยการวิเคราะห์แก่นแท้ตามข้อเท็จจริง  ขณะที่เปาโลเรียกร้องเอ็ดตะโรจากพระเจ้า เขาไม่ได้กำลังมีอารมณ์เล็กน้อยเพียงชั่วขณะ อุปนิสัยอันเป็นกบฏเล็กน้อย หรือการไม่สามารถนบนอบเป็นการส่วนตัว  นี่ไม่ใช่ปัญหาทั่วไปเรื่องการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตรงกันข้ามกลับทวีความรุนแรงขึ้นเป็นการใช้วิธีการทุกรูปแบบเพื่อยุยงและชักพาคนให้หลงผิดผ่านทางจดหมายและในที่สาธารณะ เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกันด้วยความโกรธเพื่อต่อต้านและเรียกร้องจากพระเจ้า  ไม่เพียงแต่เปาโลเรียกร้องเอ็ดตะโรจากพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังยุยงทุกคนให้มาเรียกร้องจากพระเจ้าด้วย—เขาไม่ใช่แค่โอหัง เขาเป็นมาร!  บาปนี้ร้ายแรงกว่าบาปล่าสุด  การที่พวกเรากำลังพูดถึงบาปที่ร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่?  (เป็นสิ่งที่ดี)  ดีอย่างไร?  (เพราะพวกเรากำลังได้รับวิจารณญาณเกี่ยวกับเปาโลมากขึ้น)  เมื่อเจ้ามีวิจารณญาณมากขึ้น เจ้าย่อมจะสามารถพลิกแผ่นดินหาการสำแดงนานาของเปาโล การเผยให้เห็นความเสื่อมทราม และโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาได้อย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  ด้วยการทำเช่นนี้เจ้าจะได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเราหรือไม่?  (ไม่ พวกเราจะไม่ได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเรา)  เจ้าควรยอมรับการสำแดงทั้งหมดของเปาโลที่เราสรุปย่อไป ตลอดจนบริบท ประเด็นหลัก และแก่นแท้ของการสำแดงเหล่านั้น แล้วเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นกับตัวเองและผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเจ้า  เมื่อเจ้าได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่ามีความแตกต่างมากเพียงใดระหว่างเส้นทางที่เจ้าเดินกับแก่นแท้ของตัวเองเมื่อเปรียบเทียบกับของเปาโล เจ้าย่อมจะได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์อย่างครบบริบูรณ์ และเจ้าย่อมจะได้สัมฤทธิ์เป้าหมายในการชำแหละเปาโลของพวกเรา  มีบางคนที่พูดว่า “ไม่มีการสำแดงใดถึงการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรมของเปาโลในตัวฉัน”  การสำแดงและแก่นแท้ของเจ้าอาจไม่รุนแรงเท่าการสำแดงและแก่นแท้ของเปาโล แต่ก็มีความคาบเกี่ยวกันอยู่บ้างระหว่างแก่นแท้ของเจ้ากับของเขา  เขามีการสำแดงต่างๆ เช่นนี้ และเจ้าก็มีสภาวะต่างๆ เช่นนี้  อาจกล่าวได้ว่าการสำแดงของเปาโลอยู่ที่ระดับ 10 หรือ 12 บนตราชั่ง แล้วของเจ้าล่ะ?  (ข้าพระองค์อยู่ระดับที่เจ็ดหรือระดับแปด)  เปาโลเผยให้เห็นสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา และเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา  ขณะที่เจ้าอาจไม่เผยให้เห็นสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา เจ้าก็ยังคงเผยให้เห็นสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง  เจ้าน่าจะใช้เวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตของเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ และใช้ชีวิตในสภาวะเหล่านี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าทรงวางเจ้าในบททดสอบ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตัดแต่งเจ้า และเมื่อสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงสำหรับเจ้าไม่ตรงตามความคาดหวังของเจ้า นั่นอาจทำให้เกิดสภาวะจำพวกเหล่านี้ภายในตัวเจ้า เจ้าอาจจะเรียกร้องจากพระเจ้าและต่อต้านพระองค์  ในช่วงเวลาเช่นนั้น การวิเคราะห์ของพวกเราถึงวิธีที่เปาโลยุยงและชักพาคนให้หลงผิดก็อาจเป็นประโยชน์ต่อเจ้า  เพราะเหตุใด?  เพราะว่าในขณะนี้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าตระหนักรู้ว่าการสำแดงของเปาโลโดยธรรมชาติแล้วรุนแรงเพียงใด การสำแดงดังกล่าวไม่ใช่การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาแบบพื้นๆ แต่กลับเป็นแก่นแท้ธรรมชาติเยี่ยงมารที่ต่อต้านพระเจ้า  เมื่อสภาวะต่างๆ เช่นนี้เกิดขึ้นในตัวเจ้า เจ้าย่อมจะรู้ว่าปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด  เช่นนั้นเจ้าก็ควรหันกลับมา กลับใจ และละทิ้งสภาวะที่ไม่ถูกต้องนี้  เจ้าควรเดินออกจากสภาวะที่ไม่ถูกต้องนี้ แสวงหาความจริง และแสวงหาเส้นทางแห่งการนบนอบพระเจ้า  นั่นคือเส้นทางที่แท้จริงที่มนุษย์ควรเดิน และเป็นกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดมั่น  สามัคคีธรรมนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน

เปาโลมีอีกวลีที่โด่งดัง—วลีนั้นคืออะไร?  (“เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิปปี 1:21))  เขาไม่ได้รับรู้พระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ซึ่งทรงดำรงพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลก หรือข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นรูปจำแลงของพระเจ้า  ในทางตรงกันข้าม เปาโลมองตัวเองเป็นพระคริสต์  นั่นไม่ใช่การขบถหรอกหรือ?  (ใช่)  นั่นเป็นการขบถ และแก่นแท้ของปัญหานี้ก็รุนแรงมาก  ในความรู้สึกนึกคิดของเปาโล ใครคือพระคริสต์กันแน่?  พระอัตลักษณ์ของพระองค์คืออะไร?  เปาโลย้ำคิดกับการเป็นพระคริสต์ขนาดนั้นได้อย่างไร?  ในความรู้สึกนึกคิดของเปาโล หากพระคริสต์ทรงเป็นบุคคลธรรมดาสามัญที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือบุคคลที่ไร้นัยสำคัญที่มีบทบาทที่ไม่น่าสนใจจดจำ ไม่มีฤทธานุภาพ ไม่มีพระอัตลักษณ์ที่สูงศักดิ์ และไม่มีความสามารถหรือทักษะที่ล้ำเลิศกว่าความสามารถหรือทักษะของคนธรรมดาสามัญ เปาโลยังจะต้องการเป็นพระคริสต์หรือไม่?  (ไม่ เขาจะไม่ต้องการเป็นพระคริสต์)  เขาจะไม่ต้องการเป็นพระคริสต์อย่างแน่นอน  เขาคิดว่าตนเองมีการศึกษาดี และไม่ต้องการเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ เขาต้องการเป็นยอดมนุษย์ เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ และล้ำเลิศกว่าผู้อื่น—เขาจะปรารถนาที่จะเป็นพระคริสต์ซึ่งคนอื่นพิจารณาว่าถ่อมพระทัยและไร้นัยสำคัญได้อย่างไร?  เมื่อพิจารณาการนี้ พระคริสต์ทรงมีสถานะและบทบาทใดในหัวใจของเปาโล?  คนเราต้องมีอัตลักษณ์และสถานะใด และพวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพ และบุคลิกประจำตัวแบบใดเพื่อที่จะเป็นพระคริสต์?  การนี้เปิดโปงสิ่งที่เปาโลจินตนาการว่าเป็นพระคริสต์ รวมทั้งสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับพระคริสต์ กล่าวคือ วิธีที่เขาให้นิยามพระคริสต์  นี่คือเหตุผลที่เปาโลมีความทะเยอทะยานและความอยากเป็นพระคริสต์  มีเหตุผลบางอย่างที่เปาโลต้องการเป็นพระคริสต์ และเหตุผลนั้นก็ถูกเผยออกมาบางส่วนในจดหมายของเขา  พวกเรามาวิเคราะห์เรื่องหลายเรื่องกันเถิด  เมื่อองค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงพระราชกิจ พระองค์ได้ทรงทำบางสิ่งซึ่งแสดงถึงพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์  สิ่งเหล่านี้ก็คือสัญลักษณ์และมโนทัศน์ที่เปาโลมองว่าพระอัตลักษณ์ของพระคริสต์มีอยู่  สิ่งเหล่านี้คืออะไร?  (การแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์)  ถูกต้องโดยแท้  สิ่งเหล่านั้นก็คือการที่พระคริสต์ทรงรักษาคนที่เจ็บป่วย ทรงขับผีออก และทรงแสดงหมายสำคัญ การอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์  แม้เปาโลยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ แต่ก็เป็นเพียงเพราะหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงแสดง  ดังนั้นเมื่อเปาโลเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า เขาจึงไม่เคยพูดถึงพระวจนะที่องค์พระเยซูเจ้าตรัส หรือสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศ  ในสายตาของเปาโล ผู้ไม่เชื่อ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระคริสต์ทรงสามารถกล่าวมากมายหลายสิ่ง ประกาศมากมาย ปฏิบัติพระราชกิจมากมาย และมีคนจำนวนมากมายติดตามพระองค์ เป็นการเพิ่มเกียรติเฉพาะบางอย่างให้กับพระอัตลักษณ์และสถานะขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงมีพระสิริและความสูงศักดิ์ที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้สถานะขององค์พระเยซูเจ้าท่ามกลางมนุษย์ยิ่งใหญ่และโดดเด่นเป็นพิเศษ  นี่คือสิ่งที่เปาโลเห็น  จากสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสำแดงและทรงเผยให้เห็นขณะทรงพระราชกิจ ตลอดจนพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์ สิ่งที่เปาโลเห็นไม่ใช่แก่นแท้ ความจริง หนทาง หรือพระชนม์ชีพของพระเจ้า และไม่ใช่ความน่ารักหรือพระปัญญาของพระเจ้า  เปาโลเห็นอะไร?  หากจะใช้การใช้คำสมัยใหม่ สิ่งที่เขาเห็นคือประกายแห่งชื่อเสียง และเขาก็ต้องการเป็นคนที่หลงใหลในองค์พระเยซูเจ้า  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสหรือทรงพระราชกิจ มีคนจำนวนมากมายที่ฟัง—นั่นต้องรุ่งโรจน์มากเหลือเกิน!  นี่เป็นบางสิ่งที่เปาโลรอคอยมานานแล้ว เขาละโมบการมาถึงของชั่วขณะนี้  เขาถวิลหาวันที่เขาสามารถประกาศได้โดยไม่มีที่สิ้นสุดดังเช่นองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงมีคนจำนวนมากมายมองดูพระองค์ด้วยความสนใจที่จดจ่อ ด้วยความเลื่อมใสและการถวิลหาในสายตาของพวกเขา ต้องการติดตามพระองค์  เปาโลประหลาดใจมากกับบุคลิกประจำตัวที่น่าประทับใจขององค์พระเยซูเจ้า  ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ประหลาดใจมากอย่างแท้จริงกับการนี้ ตรงกันข้าม เขากลับอิจฉาการมีอัตลักษณ์และบุคลิกประจำตัวที่ผู้คนยกย่องบูชา ให้ความใส่ใจ ชื่นชู และยกย่องนับถือ  นี่คือสิ่งที่เขาอิจฉา  แล้วเขาสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างไร?  เขาไม่ได้เชื่อว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ผ่านทางแก่นแท้และพระอัตลักษณ์ของพระองค์ แต่เชื่อว่าเป็นเพราะพระฉายานามของพระองค์  ดังนั้นเปาโลจึงถวิลหาที่จะเป็นบุคคลสำคัญและมีบทบาท โดยที่เขาสามารถใช้พระนามของพระคริสต์ได้  เปาโลทุ่มเทความพยายามมากให้กับการทำให้ตัวเองเข้าไปมีบทบาทเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เขาใช้ความพยายามมากเพียงใด?  เขาประกาศไปทั่วทุกที่ และแม้กระทั่งแสดงปาฏิหาริย์  ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ใช้วลีวลีหนึ่งให้นิยามตัวเองซึ่งสนองความอยากและความทะเยอทะยานภายในของเขา  เขาใช้วลีใดให้นิยามตัวเอง?  (“เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร”)  การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  นี่คือสิ่งหลักที่เขาต้องการสำเร็จลุล่วง ความอยากหลักของเขาคือการเป็นพระคริสต์ ความอยากนี้มีความเชื่อมโยงใดกับการไล่ตามไขว่คว้าส่วนบุคคลของเขาและเส้นทางที่เขาเดิน?  (เขาเคารพอำนาจ และเสาะแสวงที่จะให้คนยกย่องบูชาเขา)  นี่เป็นทฤษฎี เจ้าควรพูดถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง  เปาโลสำแดงความอยากเป็นพระคริสต์ของตนในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง คำนิยามของเราเกี่ยวกับเขาไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของวลีเดียวที่เขาพูดเท่านั้น  จากรูปแบบ วิธีการ และหลักการของการกระทำของเขา พวกเราสามารถเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำวนเวียนอยู่กับเป้าหมายที่จะกลายเป็นพระคริสต์ของเขา  นี่คือรากเหง้าและแก่นแท้ของเหตุผลที่เปาโลพูดและทำสิ่งทั้งหลายมากมายนัก  เปาโลต้องการเป็นพระคริสต์ และเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อการไล่ตามไขว่คว้าของเขา เส้นทางในชีวิตของเขา และการเชื่อของเขา  อิทธิพลนี้สำแดงออกมาในหนทางใด?  (เปาโลโอ้อวดและเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองในงานและการประกาศทั้งหมดของเขา)  นี่คือหนทางหนึ่ง เปาโลโอ้อวดในทุกโอกาส  เขาอธิบายชัดเจนกับผู้คนว่าเขาได้ทนทุกข์อย่างไร เขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร และเจตนาของเขาคืออะไร เพื่อที่ว่าเมื่อคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาจะได้คิดว่าเขาคล้ายคลึงกับพระคริสต์อย่างสมบูรณ์ และต้องการเรียกเขาว่าพระคริสต์อย่างแท้จริง  นั่นคือเป้าหมายของเขา  หากผู้คนเรียกเขาว่าพระคริสต์จริงๆ อย่างแท้จริง เขาจะได้ปฏิเสธการนั้นหรือ?  เขาจะได้บอกปัดการนั้นหรือ?  (ไม่ เขาจะไม่ทำแบบนั้น)  แน่นอนว่าเขาจะไม่ได้ทำ—เขาจะได้ปลื้มใจอย่างแน่นอน  นี่คือหนทางหนึ่งที่อิทธิพลที่เป้าหมายนี้มีต่อการไล่ตามไขว่คว้าของเขาสำแดงออกมา  มีหนทางอะไรอื่นอีก?  (เขาเขียนจดหมาย)  ใช่ เขาเขียนจดหมายอยู่บ้างเพื่อที่จะได้ถูกส่งต่อตลอดหลายยุคหลายสมัย  ในจดหมายของเขา งาน และตลอดทั่วทั้งกระบวนการของการที่เขาเป็นผู้เลี้ยงคริสตจักร เขาไม่เคยกล่าวถึงพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือทำสิ่งทั้งหลายในนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือยกย่องพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเลยสักครั้ง  การที่เขาทำงานและพูดในหนทางนี้อยู่เสมอมีผลกระทบเชิงลบใด?  เรื่องนี้มีอิทธิพลต่อบรรดาผู้ที่ติดตามองค์พระเยซูเจ้าอย่างไร?  เรื่องนี้ทำให้คนปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และเปาโลก็เข้าแทนที่พระองค์  เขาถวิลหาให้คนถามว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้าคือใคร?  ฉันไม่เคยได้ยินชื่อพระองค์  พวกเราเชื่อในเปาโลผู้เป็นพระคริสต์”  อย่างนั้นเขาคงจะมีความสุข  นั่นคือเป้าหมายของเขา และเป็นหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่เขาตามหา  หนทางหนึ่งที่อิทธิพลนั้นสำแดงออกมาก็คือหนทางที่เขาทำงาน เขาพูดเพ้อเจ้อถึงแนวคิดที่กลวงเปล่า และพูดถึงทฤษฎีที่ว่างเปล่าไม่รู้จบเพื่อทำให้คนมองว่าเขาช่างมีความสามารถและน่าสนใจในงานของเขาเหลือเกิน เขาช่วยเหลือคนมากเพียงใด และเขามีบุคลิกประจำตัวเฉพาะบางอย่าง ราวกับว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงปรากฏขึ้นอีกครั้ง  อีกหนทางหนึ่งที่อิทธิพลนั้นสำแดงออกมาก็คือเขาไม่เคยยกย่ององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและแน่นอนว่าไม่ยกย่องพระนามของพระองค์ และเขายังไม่เป็นพยานยืนยันให้พระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือวิธีที่ผู้คนได้รับประโยชน์จากพระวจนะและพระราชกิจดังกล่าว  เปาโลประกาศคำเทศนาเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนควรกลับใจหรือไม่?  แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น  เปาโลไม่เคยประกาศคำเทศนาเกี่ยวกับพระราชกิจที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงปฏิบัติ พระวจนะที่พระองค์ตรัส หรือความจริงทั้งหมดที่พระองค์ทรงสอนผู้คน—เปาโลปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ในหัวใจของเขา  ไม่เพียงแต่เปาโลปฏิเสธพระวจนะที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสและความจริงที่พระองค์ทรงสอนผู้คนเท่านั้น แต่เขายังปฏิบัติต่อคำพูด งาน และคำสอนของตัวเองดังเช่นความจริงอีกด้วย  เขาใช้สิ่งเหล่านี้แทนที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และทำให้ผู้คนปฏิบัติและยึดถือในคำพูดของเขาราวกับว่าคำพูดของเขาคือความจริง  สิ่งใดกระตุ้นเตือนการสำแดงและการเผยเหล่านี้?  (ความปรารถนาที่จะเป็นพระคริสต์ของเขา)  การสำแดงและการเผยเหล่านี้ถูกกระตุ้นเตือนจากเจตนา ความอยาก และความทะเยอทะยานที่จะเป็นพระคริสต์ของเขา  นี่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติและการไล่ตามไขว่คว้าของเขาอย่างใกล้ชิด  นี่คือบาปประการที่หกของเปาโล  นี่เป็นบาปที่ร้ายแรงหรือไม่?  (เป็น เป็นบาปที่ร้ายแรง)  ที่จริงแล้วบาปทั้งหมดของเขานั้นร้ายแรง  บาปเหล่านั้นนำไปสู่ความตาย

ตอนนี้เราจะสามัคคีธรรมถึงบาปประการที่เจ็ดของเปาโล  บาปประการนี้ร้ายแรงยิ่งขึ้นไปอีก  ก่อนที่เปาโลจะได้รับการทรงเรียกโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นผู้เชื่อในศาสนายิว  ศาสนายิวคือการเชื่อในพระยาห์เวห์พระเจ้า  พวกที่เชื่อในพระยาห์เวห์พระเจ้ามีมโนทัศน์ใดเกี่ยวกับพระเจ้า?  เป็นมโนทัศน์เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ต้นตระกูลของพวกเขาได้รับประสบการณ์เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์ไปสู่ดินแดนอันดีแห่งคานาอัน พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปรากฏแก่โมเสสอย่างไร พระองค์ทรงส่งภัยพิบัติสิบอย่างลงไปบนอียิปต์อย่างไร พระองค์ทรงใช้เสาเมฆและเสาเพลิงนำทางคนอิสราเอลอย่างไร และพระองค์ประทานธรรมบัญญัติของพระองค์ให้กับพวกเขาอย่างไร และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกที่เชื่อในศาสนายิวในเวลานั้นคิดว่าสิ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน มโนคติอันหลงผิด และตำนาน หรือพวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริง?  ณ เวลานั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและบรรดาผู้ที่เป็นผู้ติดตามที่แท้จริงเชื่อและรับรู้ว่าพระเจ้าในสวรรค์ทรงดำรงอยู่และทรงแท้จริง  พวกเขาคิดว่า “ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์นั้นเป็นจริง  ไม่สำคัญว่าการนี้เกิดขึ้นนานเท่าใดแล้ว ข้อเท็จจริงนี้ยังคงเป็นจริง  ไม่เพียงแต่พวกเราต้องเชื่อข้อเท็จจริงนี้เท่านั้น แต่พวกเรายังต้องมั่นใจและแบ่งปันข้อเท็จจริงนี้ด้วย  นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของพวกเรา”  อย่างไรก็ตาม คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้ไม่เชื่อรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีแววว่าจะเป็นแค่ตำนาน  ไม่มีใครพยายามที่จะยืนยันเรื่องราวทั้งหลายหรือค้นคว้าว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นจริงหรือเสกสรรขึ้น พวกเขาแค่เชื่อเรื่องราวดังกล่าวเพียงครึ่งเดียว  เมื่อพวกเขาต้องการพระเจ้า พวกเขาหวังว่าพระองค์ทรงเป็นจริงและทรงสามารถประทานสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา อธิษฐาน และโหยหาให้กับพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าโดยหวังว่าจะได้บางสิ่ง พวกเขาหวังว่าพระเจ้าองค์นี้ทรงดำรงอยู่  ด้วยการทำเช่นนี้พวกเขาก็แค่กำลังปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นเครื่องค้ำยันเชิงจิตวิทยา  พวกเขาไม่เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอด และพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง  นี่ไม่ใช่การเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อแล้ว  คนประเภทที่ด้อยที่สุดสำแดงตนออกมาอย่างไร?  ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือรับใช้พระเจ้าที่คริสตจักร ทำของถวายแด่พระองค์ ทำตามพิธีกรรมทั้งหมด และแม้กระทั่งเชื่อตำนานทุกรูปแบบ  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้สถิตในหัวใจของพวกเขา และพระเจ้าในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาก็คลุมเครือและกลวงเปล่า  คนเช่นนี้เชื่อในสิ่งใด?  ลัทธิวัตถุนิยม  พวกเขาเชื่อในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขามองเห็นได้เท่านั้น  ในสายตาของพวกเขา อะไรต่ออะไรเกี่ยวกับตำนาน สิ่งทั้งหลายที่คลุมเครือ และสิ่งอันใดในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาสัมผัสไม่ได้กับมือ มองไม่เห็นกับตา หรือไม่ได้ยินกับหูย่อมไม่มีอยู่จริง  บางคนพูดว่า “เช่นนั้นพวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขามองไม่เห็นอย่างจุลินทรีย์หรือไม่?”  แน่นอนว่าพวกเขาเชื่อในสิ่งเหล่านั้น  แน่นอนว่าพวกเขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ อิเล็กตรอน จุลชีววิทยา และวิชาเคมี  ผู้ไม่เชื่อเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นแท้จริงมากกว่าสิ่งใดๆ  พวกเขาเป็นผู้นับถือลัทธิวัตถุนิยมที่แท้จริง  พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องนี้เพื่อที่จะวิเคราะห์คนสามประเภทนี้ นั่นคือ ผู้เชื่อที่แท้จริง พวกที่เชื่อครึ่งหนึ่ง และผู้นับถือลัทธิวัตถุนิยมที่ไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าแม้แต่น้อย  บางคนพูดว่า “พระเจ้ามีจริงหรือ?  พระองค์สถิตอยู่ตรงไหน?  พระองค์ทรงมีรูปลักษณ์อย่างไร?  ฉันได้ยินมาว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม  แล้วสวรรค์ชั้นที่สามอยู่สูงขึ้นไปแค่ไหน?  สวรรค์ชั้นที่สามอยู่ห่างออกไปแค่ไหน และใหญ่แค่ไหน?  ผู้คนยังพูดอีกด้วยว่ามีสวรรค์อยู่แห่งหนึ่ง และสวรรค์แห่งนั้นก็ปูด้วยก้อนอิฐทองคำและแผ่นกระเบื้องหยก และกำแพงก็เป็นทองคำเช่นกัน  จะมีสถานที่อันน่ามหัศจรรย์เช่นนั้นได้อย่างไร?  เป็นเรื่องไร้สาระ!  ฉันได้ยินมาว่าในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติของพระองค์ให้กับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร และแผ่นจารึกแห่งธรรมบัญญัติก็ยังคงมีอยู่  ทั้งหมดนั่นน่าจะเป็นเพียงแค่ตำนาน เป็นบางสิ่งที่ชนชั้นปกครองใช้เพื่อควบคุมผองชน”  คนกลุ่มนี้มีการเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่ พวกเขาไม่มี)  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงๆ และไม่เชื่อข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงสร้างเหล่ามนุษย์และทรงนำมวลมนุษย์มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงรับใช้ในคริสตจักร?  (เพราะพวกเขาปฏิบัติต่อการรับใช้พระเจ้าดังเช่นงานและตั๋วอาหาร)  ถูกต้อง  พวกเขามองการนี้เป็นงานและตั๋วอาหาร  แล้วเปาโลเป็นคนประเภทใด?  (ประเภทที่สาม)  การนี้เชื่อมโยงกับแก่นแท้ธรรมชาติของเขา  เปาโลชอบพูดเพ้อเจ้อถึงทฤษฎีที่ว่างเปล่า  เขาชอบสิ่งทั้งหลายที่ว่างเปล่า สิ่งทั้งหลายที่คลุมเครือ และสิ่งทั้งหลายที่เพ้อฝัน  เขาชอบสิ่งทั้งหลายที่ลึกซึ้งและเข้าใจยากและไม่สามารถอธิบายด้วยคำศัพท์ที่เป็นรูปธรรม  เขาชอบคิดเรื่องสิ่งทั้งหลายมากเกินไป เขามีอคติและดื้อด้าน และมีความเข้าใจที่บิดเบือน  คนเยี่ยงนี้ไม่ใช่มนุษย์  นี่คือคนจำพวกที่เขาเป็น  เมื่อดูที่อุปนิสัยและแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล ตลอดจนความชอบ ความหวัง การไล่ตามไขว่คว้า และความมุ่งมาดปรารถนาของเขา แม้เขารับใช้ในคริสตจักรและเป็นนักเรียนของครูผู้มีชื่อเสียง ความรู้ที่เขาเรียนรู้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับเขาเพื่อตอบสนองความอยาก ความทะเยอทะยาน และความทะนงตัวของตัวเอง รวมทั้งเพื่อให้ตัวเองได้ตั๋วอาหาร สถานะ และจุดยืนในสังคม  เมื่อดูที่แก่นแท้ธรรมชาติและการไล่ตามไขว่คว้าของเปาโล เขามีความเชื่อในพระยาห์เวห์มากเพียงใด?  ความเชื่อของเขาไม่ใช่สัญญา เป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า  เขาเป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้ถืออเทวนิยม และผู้นับถือลัทธิวัตถุนิยม  บางคนถามว่า “หากเปาโลเป็นผู้ไม่เชื่อ เหตุใดเขาจึงกลายเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งยุคพระคุณ?”  จงบอกเราที เขาสามารถเดินบนเส้นทางนี้ได้อย่างไร?  สิ่งใดกระตุ้นเตือนเขา?  อะไรคือจุดเปลี่ยนสำหรับเขาที่ทำให้เขารับบทบาทนี้ และทำให้ผู้ไม่เชื่ออย่างเขาสามารถเดินบนเส้นทางเช่นนี้และทำการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงได้?  เรากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดเวลาที่เราพูดถึง “การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง”?  เป็นตอนที่เปาโลถูกบดขยี้จนคว่ำลงไประหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัส—นั่นคือการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงในชีวิตของเขา  เขาได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงสองรูปแบบ รูปแบบหนึ่งก็คือเขาเปลี่ยนสภาพจากการไม่เชื่อในพระเจ้าไปสู่การเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างแน่นอน เพราะองค์พระเยซูเจ้าผู้ที่เดิมทีนั้นเขาได้ข่มเหงมาตลอดทรงปรากฏต่อเขาระหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัส  เปาโลอุทานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นใคร?”  ที่จริงแล้วลึกลงไปภายในนั้น เปาโลไม่เชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าพระองค์นี้ทรงดำรงอยู่ แต่เขาห้ามใจไม่อยู่ที่จะไม่ร้องออกไปว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นใคร?”  องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าอย่างไร?  (“เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง” (กิจการ 9:5))  ชั่วขณะที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนั้น เปาโลก็เชื่อมั่นในข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง กล่าวคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนได้ทรงปรากฏ ไม่สามารถจินตนาการ และทรงฤทธานุภาพมากกว่าที่เขาสามารถจินตนาการได้  เขาเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธานุภาพมากกว่าที่เขาสามารถจินตนาการได้?  เพราะตอนที่เปาโลแทบไม่ได้คาดคิด พระเยซูผู้ที่เขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเป็นพระเจ้าทรงปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา  องค์พระเยซูเจ้าทรงฤทธานุภาพเพียงใด?  เปาโลเชื่อมั่นในขนาดอันมหึมาของฤทธานุภาพของพระองค์เมื่อตาของเขาพร่าเลือนจากความสว่างของพระองค์  ในตอนนั้นเขาจะเชื่อมั่นได้หรือว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงไม่ได้?  (เพราะเปาโลไม่เชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่)  ถูกต้อง เพราะเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าแม้แต่น้อย  ในขณะนี้ พวกเจ้าล้วนมีความเชื่อและรากฐานในหัวใจของพวกเจ้า ดังนั้นหากพระเจ้าจะทรงปรากฏต่อเจ้า ต่อให้เป็นแค่พระสุรเสียงหรือพระปฤษฎางค์ของพระองค์ และหากพระองค์ตรัสกับเจ้าหรือทรงเรียกชื่อเจ้า เจ้าย่อมจะมั่นใจในข้อเท็จจริงข้อหนึ่งว่า “นี่คือพระเจ้าองค์ที่ฉันเชื่อ  ฉันเห็นพระองค์แล้วและได้ยินพระองค์แล้ว  พระเจ้าทรงเข้าหาฉันแล้ว”  เจ้าจะมั่นใจเพราะเจ้ามีความเชื่อในหัวใจของเจ้า เจ้าฝันถึงชั่วขณะนี้ และเจ้าก็ไม่กลัว  แต่นี่ใช่สิ่งที่เปาโลคิดกระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  เขาไม่เคยมีความเชื่อในหัวใจของเขา  ความคิดแรกของเขาคืออะไร?  (ความกลัว)  เขากลัวเพราะบุคคลผู้นี้สามารถบดขยี้เขาจนคว่ำลงไปและคร่าชีวิตเขาได้!  เรื่องนี้ทำให้เขาหวาดกลัวและขวัญผวามากกว่านรก ซึ่งเขาไม่อาจมองเห็นได้  เขาตกใจกลัวอย่างมาก  หัวใจของเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้าแม้แต่น้อย—เจ้าอาจพูดได้ว่าเขาไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับพระเจ้า  ดังนั้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์หรือการประกาศตำเทศนา ไม่สำคัญว่ามีคนจำนวนมากเพียงใดติดตามพระองค์ พระองค์ทรงน่าประทับใจเพียงใด หรือฉากเหตุการณ์นี้ใหญ่เพียงใด ในความรู้สึกนึกคิดของเปาโลแล้ว องค์พระเยซูเจ้าก็เป็นเพียงบุคคลธรรมดาสามัญ  เขาดูแคลนองค์พระเยซูเจ้าและไม่คำนึงถึงพระองค์  แต่ในตอนนี้บุตรมนุษย์ธรรมดาสามัญที่เขาดูแคลนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่อยู่ในร่างของบุคคลธรรมดาสามัญอีกต่อไป และไม่ใช่มีแค่เสียงเท่านั้น แต่เป็นเสาความสว่าง!  สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นชั่วขณะที่เขาจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด  ความสว่างนั้นเจิดจ้ามากจนมองไม่เห็น!  พระเจ้าทรงบดขยี้เปาโลจนคว่ำลงไปอย่างไร?  เมื่อพระเจ้าทรงเข้าหาเปาโล เปาโลมองไม่เห็นในชั่วพริบตาและล้มลงบนพื้น  กำลังเกิดอะไรขึ้นหรือ?  เขาล้มลงอย่างเต็มใจและด้วยการตัดสินใจเลือกของตัวเอง หรือเขาถูกจัดเตรียมสำหรับการนี้?  (ไม่ เขาแค่ทนรับการนี้ไม่ได้)  ร่างกายของมนุษย์เป็นแค่เนื้อหนัง เนื้อหนังทนรับการนี้ไม่ได้  เมื่อพระเจ้าทรงเข้าหาเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์จะไม่สถิตอยู่ในร่างทางกายภาพปกติธรรมดาที่เจ้าเห็นองค์พระเยซูเจ้าสถิตอยู่—น่ายินดีและสามารถเข้าหาได้มาก ถ่อมใจและปกติธรรมดามาก มีเนื้อหนังและโลหิต เป็นใครบางคนที่ดูเหมือนไม่น่าสนใจจดจำสำหรับเจ้าและเจ้าไม่มีความคิดใดๆ ด้วย  เมื่อพระเจ้าทรงเข้าหาเจ้าอย่างแท้จริง ต่อให้พระองค์ไม่ทรงบดขยี้เจ้าจนคว่ำลงไป เจ้าย่อมจะไม่สามารถทนรับการนี้ได้!  ลึกลงไปในหัวใจของเปาโล สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือ “องค์พระเยซูเจ้าผู้ที่ฉันเคยข่มเหงและดูแคลนทรงเข้ามาหาฉัน  ความสว่างนี้ทรงพลังยิ่งนัก!”  พระเจ้าตรัสบอกเขาให้กราบไหว้หรือไม่?  พระองค์ตรัสหรือไม่ว่า “เจ้าควรกราบไหว้”?  (ไม่ พระองค์ไม่ได้ตรัส)  เช่นนั้นเหตุใดเปาโลจึงหน้าคว่ำลงกับพื้น?  (เขาหวาดกลัว)  ไม่ใช่  พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ และพวกเขาก็เล็กน้อยและอ่อนแอมากจนกระทั่งเมื่อความสว่างของพระเจ้าสัมผัสเนื้อหนังพวกเขา พวกเขาก็ช่วยไม่ได้นอกจากจะล้มลงบนพื้น  พระเจ้าทรงใหญ่โตและแข็งแกร่งเกินไป พระองค์ทรงอยู่เกินกว่าที่ความสามารถและความกล้าของพวกเขาจะรับมือได้  เปาโลไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าหรือองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเหตุใดเขาจึงกราบไหว้ด้วยความพร้อมใจของตัวเอง?  เขาล้มลงหน้าคว่ำกับพื้น ทุพพลภาพและเป็นอัมพาตอย่างสิ้นเชิง  ความภาคภูมิใจ ความโอหัง ความอวดดี ความคิดว่าตนถูก และความคิดว่าตนสำคัญแต่เดิมปลาสนาการไปในชั่วพริบตานั้น  พระเจ้าไม่ทรงปรากฏต่อเปาโลในสภาวะบุคคลที่แท้จริงของพระองค์ด้วยซ้ำ เป็นแค่ความสว่างของพระองค์ที่สาดแสงบนตัวเขา และเมื่อเปาโลเห็นความสว่างนี้ นี่ก็คือผลลัพธ์ ผลกระทบที่ความสว่างนี้มีต่อตัวเขามีมากเท่านี้  นี่คือการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงของเปาโล  หากไม่มีบริบทอันเป็นเอกลักษณ์เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงนี้ หรือการนี้ไม่ใช่กรณีพิเศษ เช่นนั้นสำหรับบุคคลปกติธรรมดาที่มีความเป็นมนุษย์และมโนธรรมผู้ที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อคนคนหนึ่งมองเห็นพระเจ้า นั่นย่อมมีอิทธิพลต่อการไล่ตามเสาะหาตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา  เมื่อตัดสินจากสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ตลอดหลายศตวรรษ การที่คนคนหนึ่งจะได้ยินพระเจ้าตรัสพบไม่บ่อยเลย  โยบได้ยินพระเจ้าตรัสกับเขาในพายุหลังจากทรงทดสอบเขา  โยบใช้เวลาทั้งชีวิตเสาะแสวงที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และทำความเข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า แต่โยบไม่เคยเห็นพระเจ้าจนกระทั่งเขาอายุเจ็ดสิบปี เขาได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระองค์เท่านั้น กระนั้นก็ตามโยบมีความเชื่อที่เขามี  เมื่อเขาได้ยินกับหูของตัวเองว่าพระเจ้าตรัสกับเขา นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างมากมายในการเชื่อของตนหรอกหรือ?  (ใช่ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างมากมายในการเชื่อของเขา)  การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงนี้เป็นการยกระดับ เป็นจุดซึ่งความเชื่อของเขาเพิ่มขึ้นมากขึ้นไปอีก  การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงนี้ยืนยันกับเขามากขึ้นไปอีกว่าพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าซึ่งเขาเชื่อและนบนอบทรงปฏิบัติในตัวผู้คนนั้นถูกต้องและดีงาม และผู้คนควรนบนอบพระองค์  นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงเล็กน้อยดังเช่นที่บุคคลปกติทั่วไปได้รับประสบการณ์ โดยที่พวกเขาค่อยๆ ย้ายจากความเชื่อที่น่ากังขาไปสู่ความเชื่อที่แท้จริงที่ไร้ซึ่งความกังขา  ตรงกันข้าม นี่เป็นการยกระดับ ซึ่งความเชื่อของเขาไปถึงระนาบที่สูงขึ้นโดยผ่านทางการยกระดับดังกล่าว  ในส่วนที่เกี่ยวกับเปาโล การทรงปรากฏของพระเจ้าในรูปแบบของการบดขยี้เขาจนคว่ำลงไปควรได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงใด?  แน่นอนว่าไม่ใช่การยกระดับ เพราะเขาไม่เคยเชื่อในพระเจ้าก่อนหน้านั้น ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกได้ว่าการยกระดับ  แล้วการนั้นมีผลกระทบใดกับเขา?  นี่ก็เชื่อมโยงกับการไล่ตามไขว่คว้าของเขาอีก  จงบอกเราที  (เพื่อที่จะรักษาชีวิตของเขาไว้ เปาโลต้องการลงแรงด้วยการแบ่งปันข่าวประเสริฐเพื่อลบมลทินบาปของเขา)  ถูกต้องโดยแท้  เขากลัวความตายเช่นกัน และเขาก็ปลิ้นปล้อนมาก  เมื่อเขาพบว่าพระเยซูที่เขาข่มเหงนั้นที่จริงแล้วคือพระเจ้า เขาหวาดกลัวจับใจ และคิดว่า “ฉันควรทำอย่างไรดี?  ทั้งที่ฉันทำได้คือฟังคำสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นฉันก็จะตาย!”  จากจุดนั้นเป็นต้นมา เขายอมรับพระบัญชาของพระเจ้าและเริ่มลงแรงด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อที่จะลบมลทินบาปของเขา  เขาคิดว่า “หากฉันประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างแท้จริงและองค์พระเยซูเจ้าพึงพอพระทัย ฉันก็อาจจะได้มงกุฎและบำเหน็จด้วยซ้ำ!”  นั่นคือการคิดคำนวณลึกลงไปในหัวใจของเขา  เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็ได้พบโอกาสที่ดียิ่งขึ้นที่จะได้มาซึ่งพระพรแล้ว  เปาโลยอมรับพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อที่จะลบมลทินบาปของเขาและรักษาชีวิตของเขา นั่นคือเจตนาและเป้าหมายเบื้องหลังการที่เขายอมรับและเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า  นับตั้งแต่ที่เขาได้พบองค์พระเยซูเจ้าระหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัสและถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป เขาทำการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับการไล่ตามเสาะหาและชีวิตแห่งการเชื่อในพระเจ้าของเขา  การเริ่มต้นใหม่นี้เป็นเชิงบวกหรือเป็นเชิงลบ?  (เป็นเชิงลบ)  เขาไม่ได้รับรู้ถึงความชอบธรรมของพระเจ้า และเขาก็ยอมรับพระบัญชาขององค์พระเยซูเจ้าโดยใช้วิธีการของธุรกรรมแลกเปลี่ยนที่ยิ่งปลิ้นปล้อน มิอาจพูดออกมาได้ และไม่ซื่อมากขึ้นไปอีกเพียงเพราะเขายำเกรงพระบารมีของพระเจ้าและถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป  นี่น่าขยะแขยงมากขึ้นไปอีก  อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ประเด็นของสามัคคีธรรมของเราวันนี้  จากการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงของเปาโลหลังจากเผชิญกับความสว่างอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและหนทางนานาที่เขาสำแดงตนออกมา พวกเราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเปาโลอยู่บนเส้นทางใด และแก่นแท้ธรรมชาติของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนจำพวกใด  สิ่งเหล่านี้ชัดเจนอย่างสิ้นเชิง

นับตั้งแต่ถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป เปาโลเชื่อว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงดำรงอยู่ และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระเจ้า  พระเจ้าที่เขาเชื่อนั้นได้เปลี่ยนจากพระเจ้าในสวรรค์ไปเป็นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในทันที—เปลี่ยนไปเป็นพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  จากชั่วขณะนั้นเป็นต้นมา เขาไม่อาจปฏิเสธพระบัญชาขององค์พระเยซูเจ้า และเริ่มลงแรงเพื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์—องค์พระเยซูเจ้า—อย่างเด็ดเดี่ยว  แน่นอนว่าเป้าหมายในการลงแรงของเขาส่วนหนึ่งก็เพื่ออภัยบาปของเขา แต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอบสนองความอยากที่จะได้รับพรของเขาและเพื่อได้มาซึ่งบั้นปลายที่เขาต้องการด้วย  เมื่อเปาโลพูดว่า “ตามพระทัยของพระเจ้า” คำว่า “พระเจ้า” อ้างอิงถึงพระยาห์เวห์หรือพระเยซู?  เขากลายเป็นสับสนเล็กน้อยและคิดว่า “ฉันเชื่อในพระยาห์เวห์ แล้วเหตุใดฉันจึงถูกบดขยี้จนคว่ำลงไปโดยพระเยซู?  เหตุใดพระยาห์เวห์จึงไม่ทรงห้ามพระเยซูเมื่อพระเยซูทรงบดขยี้ฉันจนคว่ำลงไป?  สองพระองค์นี้องค์ไหนกันแน่คือพระเจ้า?”  เขาไม่สามารถหาคำตอบได้  ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะไม่มีวันมององค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าของเขา  ต่อให้เขายอมรับพระองค์ด้วยวาจาก็ยังคงมีความกังขาในหัวใจของเขาอยู่ดี  เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อยๆ กลับไปเชื่อว่า “มีเพียงพระยาห์เวห์เท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้า” ดังนั้นในจดหมายทั้งหมดของเปาโลหลังจากนั้น เมื่อเขาเขียนว่า “ตามพระทัยของพระเจ้า” คำว่า “พระเจ้า” มีแววว่าจะอ้างอิงถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าเป็นหลัก  เนื่องจากเปาโลไม่เคยระบุอย่างชัดเจนว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระยาห์เวห์ มององค์พระเยซูเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าเสมอ อ้างอิงถึงพระองค์ว่าพระบุตร และไม่เคยพูดสิ่งใดอย่าง “พระบุตรและพระบิดาทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเปาโลไม่เคยระลึกถึงองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว เขากังขาและเชื่อเรื่องนี้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น  เมื่อดูที่ทรรศนะที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้านี้รวมทั้งวิธีการไล่ตามเสาะหาของเขา เปาโลไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เขาไม่เคยเข้าใจความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ และไม่เคยระลึกถึงองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว  จากการนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะบอกว่าเปาโลเป็นคนที่สักการบูชาอำนาจ อีกทั้งปลิ้นปล้อนและเจ้าเล่ห์  ข้อเท็จจริงที่ว่าเปาโลสักการบูชาความเลวร้าย อำนาจ และสถานะแสดงให้พวกเราเห็นว่าการเชื่อของเขาเป็นอย่างไร?  เขามีการเชื่อที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  เขาไม่มีการเชื่อที่แท้จริงเลย แล้วพระเจ้าที่เขาให้นิยามในหัวใจของตนจริงๆ แล้วทรงดำรงอยู่หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงยังคงเดินทางไปทั่ว สละตนเอง และทำงานให้กับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า?  (เขาถูกเจตนาที่จะได้รับพรของเขาควบคุม)  (เขากลัวว่าจะถูกลงโทษ)  พวกเราวนกลับมาที่จุดนี้อีกครั้ง  เป็นเพราะเขากลัวว่าจะถูกลงโทษ และเพราะเขามีหนามในเนื้อของเขาที่เขาไม่สามารถถอนออกได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางไปทำงานจนทั่วเสมอ เพื่อไม่ให้หนามในเนื้อของเขาทำให้เจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะทนได้  จากการสำแดงเหล่านี้ของเขา จากคำพูดของเขา ปฏิกิริยาที่เขามีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัส และผลกระทบต่อตัวเขาจากการถูกบดขยี้จนคว่ำลงไประหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัสหลังเกิดเหตุนั้นแล้ว พวกเราสามารถเห็นได้ว่าเขาไม่มีการเชื่อในหัวใจของตน คนเราสามารถมั่นใจได้ไม่มากก็น้อยว่าเขาเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ถืออเทวนิยม  มุมมองของเขาก็คือ “ฉันจะเชื่อในตัวใครก็ตามที่มีอำนาจ  ฉันจะเป็นธุระและทำอย่างสุดความสามารถให้ใครก็ตามที่มีอำนาจและสามารถสยบฉันได้  ใครก็ตามที่สามารถให้บั้นปลายกับฉัน ให้มงกุฎกับฉัน และตอบสนองความอยากที่จะได้รับพรของฉันได้ นั่นคือผู้ที่ฉันจะติดตาม  ฉันจะติดตามพวกเขาไปจนถึงปลายทาง”  ใครคือพระเจ้าในหัวใจของเขา?  ไม่ว่าใครก็เป็นพระเจ้าของเขาได้ ตราบที่พวกเขามีอำนาจมากว่าเขาและสามารถสยบเขาได้  นี่ไม่ใช่แก่นแท้ธรรมชาติของเปาโลหรอกหรือ?  (ใช่)  แล้วใครคือบุคคลที่เขาเชื่อในท้ายที่สุดซึ่งสามารถบดขยี้เขาจนคว่ำลงไประหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัส?  (องค์พระเยซูคริสต์เจ้า)  “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า” เป็นชื่อที่เขาใช้ แต่บุคคลที่เขาเชื่อจริงๆ นั้นคือพระเจ้าในหัวใจของเขา  พระเจ้าของเขาสถิตอยู่ตรงไหน?  หากเจ้าจะถามเขาว่า “พระเจ้าของคุณสถิตอยู่ตรงไหน?  พระองค์สถิตอยู่ในฟ้าสวรรค์หรือไม่?  พระองค์สถิตอยู่ท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่ทรงสร้างทั้งหมดหรือไม่?  พระองค์ใช่องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเป็นอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์ทั้งปวงหรือไม่?” เขาคงจะตอบว่า “ไม่ พระเจ้าของฉันทรงอยู่ระหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัส”  นั่นคือผู้ที่เป็นพระเจ้าของเขาจริงๆ  เหตุผลที่เปาโลสามารถเปลี่ยนจากข่มเหงองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นทำงาน สละตนเอง และแม้กระทั่งเสียสละชีวิตของตนเพื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้า—เหตุผลที่เขาสามารถทำการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงครั้งใหญ่ขนาดนั้น—เป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงในการเชื่อของเขาหรือไม่?  เป็นเพราะมโนธรรมของเขาได้ตื่นขึ้นมาหรือไม่?  (ไม่)  แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดการนั้น?  อะไรหรือที่เปลี่ยนแปลงไป?  เครื่องค้ำยันเชิงจิตวิทยาของเขาเปลี่ยนแปลงไป  ก่อนหน้านี้ สิ่งค้ำชูจิตใจของเขาอยู่ในฟ้าสวรรค์ เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าและคลุมเครือ  หากเครื่องค้ำยันเชิงจิตวิทยานี้ถูกแทนที่ด้วยพระเยซูคริสต์ เปาโลคงจะคิดว่าพระองค์ก็ไร้นัยสำคัญเช่นกัน—พระเยซูทรงเป็นแค่บุคคลปกติธรรมดา พระองค์ไม่สามารถทรงเป็นสิ่งค้ำชูจิตใจได้—และเปาโลยิ่งไม่คำนึงถึงบุคคลสำคัญทางศาสนาที่มีชื่อเสียง  เปาโลแค่ต้องการหาใครสักคนที่เขาพึ่งพาได้ ผู้ที่สามารถสยบเขาและทำให้เขาได้รับพร  เขาคิดว่าบุคคลที่เขาเผชิญระหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัสทรงเป็นผู้ทรงฤทธิ์ที่สุด และนั่นคือผู้ที่เขาควรเชื่อ  สิ่งค้ำชูจิตใจของเขาเปลี่ยนแปลงไปในเวลาเดียวกับที่การเชื่อของเขาเปลี่ยนแปลงไป  จากการนี้ เปาโลเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  ตอนนี้พวกเรามาสรุปย่อกันในหนึ่งประโยคถึงสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการไล่ตามไขว่คว้าของเปาโลและถนนที่เขาเดินกันเถิด  (สิ่งค้ำชูจิตใจของเขา)  เช่นนั้นพวกเราควรให้นิยามบาปประการที่เจ็ดของเปาโลอย่างไร?  การเชื่อของเปาโลเป็นสิ่งค้ำชูจิตจิต ว่างเปล่าและคลุมเครือด้วยประการทั้งปวง  เขาเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ถืออเทวนิยมโดยถ้วนทั่ว  เหตุใดผู้ถืออเทวนิยมและผู้ไม่เชื่อเช่นเขาจึงไม่ทิ้งโลกศาสนาไว้เบื้องหลัง?  เหตุผลหนึ่งก็คือ ในความคิดฝันอันคลุมเครือของเขานั้นมีประเด็นปัญหาเรื่องบั้นปลายอยู่  อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ มีประเด็นปัญหาเรื่องการที่เขามีตั๋วอาหารในชีวิต  ชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ และตั๋วอาหารเป็นการไล่ตามไขว่คว้าของเขาในชีวิตนี้ และแนวคิดเรื่องการมีบั้นปลายในโลกที่จะมาถึงหลังความตายเป็นสิ่งชูใจสำหรับเขา  สิ่งเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นทุกรากเหง้าและสิ่งค้ำชูเบื้องหลังสิ่งที่คนเช่นนี้ไล่ตามไขว่คว้าและเผยออกมา รวมทั้งที่เป็นเส้นทางที่พวกเขาเดิน  จากมุมมองนี้ เปาโลเป็นอะไร?  (ผู้ไม่เชื่อ  เขาเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือ)  (ผู้ถืออเทวนิยม)  เป็นเรื่องที่ถูกต้องแม่นยำที่จะกล่าวว่าเขาเป็นผู้ถืออเทวนิยมและผู้ไม่เชื่อและนักฉวยโอกาสที่แฝงตัวอยู่ในศาสนาคริสต์  หากเจ้าเพียงแค่เรียกเขาว่าฟาริสี นั่นไม่ใช่คำกล่าวที่น้อยกว่าความเป็นจริงหรอกหรือ?  หากเจ้าดูที่จดหมายที่เปาโลเขียน และมองว่าภายนอกนั้นจดหมายเหล่านั้นกล่าวว่า “ตามพระทัยของพระเจ้า” เจ้าอาจจะทึกทักเอาว่าเปาโลมองพระเจ้าในสวรรค์เป็นองค์สูงสุด และเป็นเพียงเพราะมโนคติอันหลงผิดของผู้คน หรือเพราะพวกเขาไม่รู้ความและไม่เข้าใจพระเจ้า พวกเขาจึงแบ่งพระเจ้าออกเป็นสามระดับ กล่าวคือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนั่นเป็นแค่ความโง่เขลาของมนุษย์ และไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงมาก เพราะโลกศาสนาทั้งหมดก็คิดแบบนั้นด้วย  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลังจากวิเคราะห์เรื่องนี้แล้ว เป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่ ไม่ใช่เช่นนี้)  เปาโลไม่แม้แต่รับรู้การดำรงอยู่ของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ  นี่คือผู้ถืออเทวนิยมและผู้ไม่เชื่อ และเขาก็ควรถูกจัดเป็นจำพวกเดียวกับผู้ถืออเทวนิยมและผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย

เราได้สรุปย่อบาปเจ็ดประการของเปาโลเสร็จสิ้นแล้ว  สรุปย่อให้เราฟังทีว่าบาปเหล่านี้คืออะไร  (บาปประการแรกก็คือเปาโลปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรมและการไล่ตามไขว่คว้าพรดังเช่นเป้าหมายตามที่เหมาะที่ควร บาปประการที่สองก็คือเปาโลปฏิบัติต่อความคิดฝันของตนและสิ่งทั้งหลายที่เขาคิดว่าถูกในมโนคติอันหลงผิดของตนดังเช่นความจริง รวมทั้งประกาศสิ่งเหล่านี้ในทุกที่ จนชักพาผู้คนให้หลงผิด บาปประการที่สามก็คือเปาโลปฏิบัติต่อพรสวรรค์และความรู้ของตนดังเช่นชีวิต บาปประการที่สี่ก็คือเปาโลไม่ยอมรับพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า และไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า บาปประการที่ห้าก็คือเปาโลประกาศว่า “มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” และยุยงและชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างเปิดเผย ทำให้พวกเขาพยายามบังคับพระทัยของพระเจ้า เรียกร้องเอ็ดตะโรจากพระเจ้า และต่อต้านพระองค์ บาปประการที่หกก็คือเปาโลเชื่อว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์  เขาไม่ยอมรับความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดง แทนที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าด้วยคำพูดของตัวเอง และทำให้ผู้คนปฏิบัติและยึดมั่นในคำพูดเหล่านั้น  บาปประการที่เจ็ดของเปาโลก็คือเขาปฏิบัติต่อการเชื่อในพระเจ้าดังเช่นสิ่งค้ำชูจิตใจ และเป็นผู้ถืออเทวนิยมและผู้ไม่เชื่อโดยถ้วนทั่ว)  การวิเคราะห์ของพวกเราถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้ที่เปาโลมีนั้นมีความละเอียดมากจนกระทั่งสามารถทำให้ทุกคนที่นมัสการเปาโลตั้งสติได้  การนี้มีความหมาย  จากอุปนิสัยและแก่นแท้เหล่านี้ที่เปาโลเผยและสำแดงออกมารวมทั้งวิธีการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของเขา สิ่งใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงอันเห็นได้ชัดกับพวกเจ้า?  (ทั้งหมดในบรรดาสิ่งเหล่านี้มี)  บาปประการแรกคือการปฏิบัติต่อการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรมและการไล่ตามไขว่คว้าพรดังเช่นวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเหมาะสม  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ถูกต้องและผู้คนควรทบทวนและเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติเช่นนี้?  เมื่อเปาโลไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรม ไล่ตามไขว่คว้าพร และเสาะแสวงที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เขาคำนึงถึงการไล่ตามไขว่คว้าประโยชน์เหล่านี้ว่าถูกต้องเหมาะสม  แล้วพวกเจ้ามีการเผยและการสำแดงใดในชีวิตจริงที่ตรงกับสภาวะนี้?  (บางครั้งข้าพระองค์ก็เสาะแสวงที่จะทำงานที่สำคัญและมีส่วนร่วมแบ่งปันให้กับพระนิเวศของพระเจ้า  ข้าพระองค์คิดว่าด้วยการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงทำให้ข้าพระองค์เพียบพร้อมในท้ายที่สุด  ข้าพระองค์ปฏิบัติต่องานที่ข้าพระองค์ทำและหน้าที่ที่ข้าพระองค์ปฏิบัติดังเช่นรายการความสำเร็จ)  นี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องนี้  การปฏิบัติต่อหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติดังเช่นรายการความสำเร็จก็เหมือนกับการไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎแห่งความชอบธรรม เป็นสิ่งจำพวกเดียวกัน เป็นสภาวะเดียวกัน  นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำงานและทนทุกข์เพื่อให้ได้มา  นั่นคือสิ่งที่ชี้นำต้นตอของความทุกข์ของเจ้ารวมทั้งแรงจูงใจสำหรับความทุกข์ของเจ้า  หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ชี้นำเจ้า เจ้าก็คงจะไม่มีพลังงานใดๆ เจ้าคงจะเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด  มีใครมีอะไรอีกหรือไม่?  (การปฏิบัติต่อสถานการณ์ในอดีตตอนที่ข้าพระองค์ละทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตนเอง ทนทุกข์ ถูกจับกุมและใช้เวลาอยู่ในคุก และสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นดังเช่นต้นทุนส่วนบุคคล รวมทั้งพื้นฐานและเหตุผลสำหรับการได้รับพร)  นี่เป็นแค่การอธิบายเท่านั้น  ในที่นี้อะไรคือสภาวะที่เป็นรากฐาน?  สถานการณ์จำพวกใดทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาวะนี้?  เจ้าคงจะไม่เช่นนี้โดยไม่มีเหตุผลใดๆ  ไม่มีทางที่เจ้าจะคิดเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาเมื่อเจ้ากำลังกิน นอนหลับ หรือทำสิ่งทั้งหลายในชีวิตประจำวัน  เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าภูมิหลังและสถานการณ์ใดทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาวะนี้  จงบอกเราที  (เมื่อข้าพระองค์ทำหน้าที่ของข้าพระองค์โดยมีประสิทธิผลเล็กน้อย ข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์ได้เดินทางไปทั่วเพื่อพระเจ้า สละตนเองเพื่อพระองค์ ตรากตรำทำมากมายเพื่อพระองค์  ข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์ได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อพระเจ้าและมีส่วนร่วมแบ่งปันแล้ว เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล  นี่คือเวลาที่ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของข้าพระองค์ปรากฏขึ้นมา)  ที่จริงแล้วเดิมทีนั้นเจ้าไม่ได้ปราศจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี สิ่งเหล่านี้ซ่อนเร้นอยู่ภายในหัวใจของเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มและตอนนี้ก็กำลังผุดขึ้นและเผยตัวเองออกมา  เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น เจ้าไม่ถ่อมใจอีกต่อไป คำพูดของเจ้าไม่อ้อมค้อม และเจ้าก็กลายเป็นอวดดี  ทรรศนะที่ไม่ถูกต้องของเปาโลคือต้นตอของทุกสิ่งที่เขาทำ  เพราะทรรศนะที่เป็นรากฐานของการเชื่อในพระเจ้าของเขานั้นผิด จึงมั่นใจได้ว่าต้นตอของการกระทำของเขาย่อมผิด  อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และถึงขั้นคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นเขาจึงไล่ตามไขว่คว้าในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง  นี่เป็นเหตุให้ผลลัพธ์จากการไล่ตามไขว่คว้าของเขาตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ การไล่ตามไขว่คว้าของเขาไม่ไดมีผลลัพธ์ที่ดี และเขาก็ไม่ได้รับความจริง  ตอนนี้ผู้คนก็เป็นแบบเดียวกัน  หากทรรศนะและทิศทางที่คอยนำการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้านั้นผิดอยู่เสมอ แต่เจ้ายังคงปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นดังเช่นวิธีการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้อง เช่นนั้นเจ้าจะได้รับสิ่งใดในท้ายที่สุด?  นั่นมีแววว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังหรือทำให้ธรรมชาติของเจ้าพองโตขึ้น  ตัวอย่างเช่น หากพระเจ้าทรงอวยพรเจ้าในหนทางพิเศษ หรือประทานบางสิ่งกับเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าย่อมจะคิดว่า “ดูสิ พระเจ้าเปี่ยมพระคุณกับฉัน  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบทุกสิ่งที่ฉันทำ  พระเจ้าทรงยอมรับการนั้นแล้ว  การเสียสละและความพยายามของฉันไม่ได้สูญเปล่า  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม”  นี่คือวิธีที่เจ้าเข้าใจการที่พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม พร และการยอมรับของพระองค์ แต่ความเข้าใจนี้ผิดและบิดเบือน  ตอนนี้กุญแจสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงเจตนา ทรรศนะ และการไล่ตามไขว่คว้าที่ผิดและบิดเบือนเหล่านี้ให้เป็นทรรศนะและความคิดที่ถูกต้องและบริสุทธิ์  มีเพียงการทำสิ่งทั้งหลายตามความคิดและทรรศนะที่ถูกต้องเท่านั้นจึงประกอบขึ้นเป็นการปฏิบัติความจริง และนั่นเป็นหนทางเดียวที่เจ้าสามารถได้รับความจริง  นี่คือกุญแจสำคัญ

ด้วยการฟังคำเทศนาอยู่เนืองนิตย์ ตอนนี้ผู้คนกำลังเริ่มที่จะทบทวนตัวเองและเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขากำลังเริ่มที่จะระลึกรู้ปัญหาที่พวกเขามีในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามารถตรวจพบสภาวะที่ไม่ปกติ ความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อ และการเผยความเสื่อมทรามภายในตัวพวกเขาเองให้เห็น  พวกเขาไม่ได้ไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิง  ปัญหาเดียวก็คือเวลาที่พวกเขาตรวจพบว่าตนอยู่ในสภาวะที่ผิด หรือกำลังเผยความเสื่อมทรามให้เห็น พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะยับยั้งปัญหานั้นได้ และไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น  บางครั้งพวกเขาก็ใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน ไม่ล่วงเกินใคร และคิดว่าตนค่อนข้างดี  อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในหนทางที่แท้จริงใดๆ พวกเขาสูญวันเวลาของตนไปเปล่าๆ อย่างเลื่อนลอย และผลก็คือ ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงใดๆ ให้พูดถึงแม้หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ และรู้สึกละอายใจ  ปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องแก้ไขในตอนนี้คือจะเปลี่ยนทิศทางที่ไม่ถูกต้องในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าอย่างไร  เจ้าเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นถูกต้อง แต่เจ้ากลับยืนกรานในการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ  ปัญหานี้จะสามารถกลับตัวได้อย่างไรเพื่อให้เจ้าสามารถไปอยู่บนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง?  นี่คือปัญหาจริงที่ผู้เชื่อต้องแก้ไข  พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าบ่อยครั้ง และมองว่าใครมีคำพยานจากประสบการณ์เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และคำพยานจากประสบการณ์ของใครดี จากนั้นจึงยอมรับคำพยานดังกล่าวแล้วก็ทำตาม เพื่อที่เจ้าจะได้รับประโยชน์จากคำพยานดังกล่าวและหลุดพ้นจากข้อจำกัดของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  การเดินบนเส้นทางแห่งการปฏิบัติความจริงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย—เจ้าต้องเข้าใจตัวเอง และไม่เพียงแค่เข้าใจการกระทำผิดของตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน สิ่งที่ผิดเกี่ยวกับความชอบและการไล่ตามเสาะหาของตน รวมทั้งอาจเกิดผลที่ตามมาใดได้บ้าง  นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด  ผู้คนส่วนใหญ่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ  ในทุกวันพวกเขาคิดถึงวิธีที่จะกลายเป็นผู้นำ วิธีที่จะทำให้คนอื่นยกย่องบูชาพวกเขา วิธีที่พวกเขาสามารถโอ้อวดได้ และวิธีที่จะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี  หากผู้คนไม่สามารถทบทวนสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของการดำรงชีวิตในหนทางนี้ได้อย่างชัดเจน และทำอะไรอย่างไม่เป็นระบบระเบียบอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งใครจะไปรู้ว่ากี่ปีต่อมาพวกเขาจึงถึงทางตัน สะดุด และได้สติในท้ายที่สุด นั่นจะไม่ทำให้เรื่องที่สำคัญเกี่ยวกับการเติบโตในชีวิตของพวกเขาล่าช้าออกไปหรอกหรือ?  มีเพียงโดยการพิจารณาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างชัดเจนรวมทั้งเส้นทางที่พวกเขาเลือกเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถก้าวลงบนเส้นทางแห่งการปฏิบัติความจริงได้  หากนี่คือผลที่พวกเขาต้องการสัมฤทธิ์ การเข้าใจตัวเองไม่สำคัญยิ่งยวดหรอกหรือ?  บางคนไม่เข้าใจตัวเองแม้แต่น้อย แต่กลับมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่กระจ่างชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดในประเด็นปัญหาของผู้อื่นและแยกแยะได้เป็นพิเศษ  แล้วเวลาที่พวกเขาแยกแยะผู้อื่น เหตุใดพวกเขาจึงไม่ใช้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกดังกล่าวเป็นกระจกที่ใช้ตรวจสอบตัวเอง?  หากเจ้าพูดอยู่เสมอว่าคนอื่นโอหัง คิดว่าตนถูก หลอกลวง และไม่นบนอบความจริง แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าก็เป็นแบบเดียวกัน เช่นนั้นเจ้าก็กำลังตกที่นั่งลำบาก  หากเจ้าไม่เคยรับรู้ปัญหาของตัวเอง และไม่สำคัญว่าเจ้าได้ยินคำเทศนาเกี่ยวกับความจริงมากเท่าใด แม้เจ้าเข้าใจสิ่งที่ตนได้ยิน เจ้าก็ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับความจริงนั้น และไม่เต็มใจที่จะตรวจสอบสภาวะของตน และไม่สามารถแก้ไขและรับมือกับปัญหาของตัวเองได้อย่างจริงจัง เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากผู้คนไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอยู่เสมอ พวกเขาจะไม่มีความรู้สึกที่ว่างเปล่าในหัวใจของตนหรอกหรือ?  พวกเขาจะไม่สำนึกถึงพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติในตัวพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาไม่มีการรับรู้  พวกเขาจะอยู่ในสภาวะสับสนงงงวยเสมอ และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาจะไม่มุ่งเป้าไปสู่วัตถุประสงค์หรือทิศทางที่ถูกต้อง  พวกเขาก็แค่จะไล่ตามไขว่คว้าตามความชอบของตนเองและเดินบนเส้นทางของตนเองเท่านั้น  นี่เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล แค่ให้ความสำคัญกับการไล่ตามไขว่คว้าบำเหน็จและมงกุฎ และไม่ยอมรับหรือปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย  หากความรู้สึกนึกคิดของเจ้าอยู่ในสภาวะที่คลุมเครือเสมอ และเจ้าไม่มีเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้อง เช่นนั้นเจ้าย่อมยังไม่ได้สัมฤทธิ์ผลใดๆ หลังจากรับฟังคำเทศนามาเป็นเวลาหลายปี และหนทางที่แท้จริงก็ไม่เคยหยั่งรากลงในหัวใจของเจ้า  แม้เจ้าอาจรู้วิธีพูดถึงคำสอนมากมาย แต่นั่นก็ไม่สามารถแก้ไขสภาวะที่เป็นลบหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้แม้แต่น้อย  เมื่อเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็นจำพวกใดก็ตาม คำสอนที่เจ้าเข้าใจจะไม่ช่วยให้เจ้าเอาชนะหรือก้าวผ่านความลำบากยากเย็นนั้นได้อย่างราบรื่น และจะไม่ช่วยให้เจ้าเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสภาวะของตน ไม่ปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตด้วยสำนึกถึงมโนธรรม ไม่ให้เจ้ามีอิสรภาพและการปลดปล่อย และไม่หยุดยั้งเจ้าไม่ให้ถูกตีกรอบโดยสิ่งใดๆ  เจ้าไม่เคยอยู่ในสภาวะเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนี่จึงพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยพื้นฐานแล้วเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  หากเจ้าต้องการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า สัมฤทธิ์การเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า รู้จักพระเจ้า และมั่นใจว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง เช่นนั้นเจ้าต้องเปรียบเทียบสภาวะของตนกับพระวจนะของพระเจ้า จากนั้นจึงค้นหาเส้นทางสู่การปฏิบัติและการเข้าสู่ในพระวจนะของพระเจ้า  บางคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและต้องการเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาพยายามหนักเพียงใด พวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบได้  ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงว่าอุปนิสัยของมนุษย์นั้นโอหังเกินไป พวกเขาคิดว่า “ฉันถ่อมใจมากและอยู่เบื้องหลัง  ฉันไม่โอหัง”  ความโอหังที่พระเจ้าตรัสถึงนี้คืออะไร?  เป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่ง ไม่ใช่การสำแดงถึงบุคลิกภาพที่หยิ่งผยองหรือการพูดด้วยเสียงอันดังหรืออย่างอวดดีเป็นพิเศษ  ตรงกันข้าม นี่อ้างอิงถึงบางสิ่งในอุปนิสัยของเจ้า—เป็นอุปนิสัยที่เจ้าไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งใดๆ และชอบดูถูก ดูแคลน และไม่ใส่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง  เจ้าโอหัง ทะนงตน คิดว่าตนถูก คิดอยู่เสมอว่าตนมีความสามารถ และไม่ฟังผู้ใด  ต่อให้เจ้าได้ยินถ้อยคำแห่งความจริงเจ้าก็ไม่ใส่ใจกับถ้อยคำเหล่านั้นและมองความจริงว่าไม่สำคัญ  เจ้าไม่คิดว่าเป็นปัญหาเมื่อเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และถึงขั้นคิดว่าไม่มีใครสามารถเทียบเจ้าได้ คิดอยู่เสมอว่าตนเก่งกว่าทุกคน และเรียกร้องให้ผู้อื่นฟังเจ้า  นี่คือคนที่โอหังและคิดว่าตนถูก  คนเช่นนี้ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตและไม่มีความเป็นจริงความจริง

คนเราควรประเมินค่าอย่างไรว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  แน่นอนว่าต้องมีการประเมินผลที่ถูกต้องแม่นยำตามพระวจนะของพระเจ้า  ก่อนอื่นจงดูว่าเจ้าเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงหรือไม่ และเจ้าเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างแท้จริงหรือไม่  ตัวอย่างเช่น อุปนิสัยของเจ้านั้นใช่อุปนิสัยอันโอหังหรือไม่?  เจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันโอหังขณะทำสิ่งทั้งหลายหรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นคนที่ไม่เข้าใจตัวเอง  หากคนคนหนึ่งไม่สามารถมองเห็นสภาวะของตนได้อย่างชัดเจน ไม่มีความเข้าใจในความเสื่อมทรามที่ตนเผยออกมาแม้แต่น้อย ไม่ใช้ความจริงเป็นพื้นฐานในคำพูดและการกระทำของตน ไม่แยกแยะในสถานการณ์ที่ตนเผชิญ และนำข้อบังคับมาใช้อย่างมืดบอดเมื่อมองดูเรื่องทุกเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าการทำเช่นนั้นถูกหรือผิด เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นคนที่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง  หากเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าจะสามารถเข้าใจตัวเอง รู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันโอหัง สามารถแยกแยะสภาวะที่แท้จริงของตน กลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และรู้วิธีปฏิบัติความจริง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ทบทวนแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คนซึ่งพระเจ้าทรงเปิดโปง หรือไม่เปรียบเทียบตัวเองกับแก่นแท้อันเสื่อมทรามดังกล่าว เช่นนั้นเจ้าย่อมจะเป็นคนที่เลอะเลือนไปตลอดกาล  มีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้าแยกแยะได้ และทำให้เจ้าสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างถูกกับผิดและขาวกับดำได้ มีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้าฉลาดหลักแหลมและมีเหตุผล ให้ปัญญากับเจ้า และให้ความสามารถในการแยกแยะระหว่างอะไรคือสิ่งที่เป็นบวกกับอะไรคือสิ่งที่เป็นลบได้อย่างชัดเจนกับเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะเป็นคนที่เลอะเลือนไปตลอดกาล เจ้าจะอยู่ในสภาวะที่สับสน ไม่รู้เรื่องรู้ราว และผสมปนเปตลอดเวลา  คนเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริง และไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี พวกเขายังคงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  หากการลงแรงของพวกเขาไม่ได้มาตรฐาน เช่นนั้นทั้งหมดที่เหลืออยู่สำหรับพวกเขาก็คือการถูกกำจัดออกไป  ตัวอย่างเช่น บุคคลที่เป็นที่รู้จักอย่างมากทำบางสิ่ง และคนส่วนใหญ่ก็มองสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากใครบางคนที่เข้าใจความจริงมองดูสิ่งนั้น พวกเขาจะมีวิจารณญาณและพิจารณาว่าเจตนาชั่วถูกปกปิดไว้ภายในการกระทำของพวกเขา—สิ่งนั้นเป็นความดีเทียมเท็จ เป็นเล่ห์เหลี่ยม และเป็นการหลอกลวง และมีเพียงคนชั่วหรือกษัตริย์มารเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนั้นได้  พื้นฐานสำหรับการกล่าวเช่นนี้คือสิ่งใด?  แก่นแท้ของ “สิ่งที่ดี” นี้กำหนดพิจารณาไปตามความจริง  ไม่สำคัญว่าคนอื่นพูดอย่างไร มีเพียงการใช้ความจริงเพื่อประเมินค่าสิ่งที่ดีดังกล่าวเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถมองเห็นแก่นแท้ของสิ่งที่ดีดังกล่าวได้อย่างชัดเจน หากสิ่งนั้นดี เช่นนั้นสิ่งนั้นย่อมดี หากสิ่งนั้นไม่ดี เช่นนั้นสิ่งนั้นย่อมไม่ดี  การประเมินค่าสิ่งนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะถูกต้องแม่นยำอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง มโนคติอันหลงผิดจะเกิดขึ้นในตัวเจ้า และเจ้าก็จะพูดว่า “เหตุใดพวกเขาจึงถูกเปิดโปงและกล่าวโทษจากการทำบางสิ่งที่ดี?  พวกเขาไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม!”  นี่คือวิธีที่เจ้าจะประเมินค่าสิ่งนั้น  ความจริงไม่ใช่พื้นฐานสำหรับการประเมินค่าเรื่องนี้ของเจ้า แต่กลับเป็นสิ่งทั้งหลายที่จินตนาการขึ้นมาโดยความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  หากเจ้ามองสิ่งทั้งหลายตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีวันสามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เจ้ามีแต่จะถูกชักพาให้หลงผิดโดยรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น  เมื่อเจ้าไม่มีความจริง ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังมองดูสิ่งใด ทรรศนะของเจ้าย่อมจะมั่วซั่ว พร่ามัว สับสนงุนงง และไม่ชัดเจนตลอดเวลา แต่เจ้ากลับคิดว่าเจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความคิดในห้วงลึก  นี่คือการขาดพร่องการรู้จักตัวเอง  ตัวอย่างเช่น หากพระเจ้าตรัสว่าคนคนหนึ่งชั่วร้ายและควรถูกลงโทษ แต่เจ้าพูดว่าพวกเขาเป็นคนดีและได้ทำสิ่งดีๆ คำพูดของเจ้าไม่ต่อต้านและขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่ชัดหรอกหรือ?  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนไม่เข้าใจความจริงและไม่มีวิจารณญาณ  บางคนเชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปีแต่ก็ไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาไม่ละเอียดลออในเรื่องใดเลย และมีเรื่องต่างๆ มากมายซึ่งพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน  พวกเขาถูกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดอย่างง่ายดาย ไม่สำคัญว่าเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ตราบที่มีคนชั่วที่เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวน พวกเขาล้วนผสมปนเปและพูดอย่างที่คนชั่วจะพูดโดยไม่ตระหนักเลย  มีเพียงเมื่อคนชั่วถูกเปิดโปงและเผยออกมาเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้สติ  คนเช่นนี้มักจะใช้ชีวิตในกรอบความรู้สึกนึกคิดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว และแก่นแท้ของพวกเขาก็คือแก่นแท้ของคนที่เลอะเลือน  คนเช่นนี้ไม่มีขีดความสามารถแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังถูกชักพาให้หลงผิดได้ตลอดเวลา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเลย  คริสตจักรทุกแห่งมีคนเช่นนี้อยู่บ้าง—เมื่อผู้นำเทียมเท็จทำงาน พวกเขาก็ทำตามผู้นำเทียมเท็จ เมื่อศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้คนให้หลงผิด พวกเขาก็ทำตามศัตรูของพระคริสต์  สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเขาจะทำตามผู้นำไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม พวกเขาเป็นดังเช่นสตรีที่ทำตามสามีของเธอในสิ่งใดก็ตามที่เขาทำ  หากผู้นำเป็นคนดี เช่นนั้นพวกเขาก็ทำตามคนดี หากผู้นำเป็นคนไม่ดี เช่นนั้นพวกเขาก็ทำตามคนไม่ดี  พวกเขาไม่มีความคิดเห็นหรือจุดยืนของตัวเอง  ดังนั้นจงอย่าคาดหวังว่าคนจำพวกนี้จะสามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงได้  หากพวกเขาสามารถลงแรงได้สักเล็กน้อยก็ดีอยู่แล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในคนที่รักความจริง  คนที่รักความจริงล้วนเป็นคนที่มีขีดความสามารถซึ่งอย่างน้อยที่สุดสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งเข้าใจคำเทศนาและสามัคคีธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าโลกศาสนาเผยแพร่และแพร่กระจายความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติมากเพียงใด และไม่สำคัญว่ากำลังบังคับที่ชั่วของศัตรูของพระคริสต์สบประมาท กล่าวโทษ และข่มเหงคริสตจักรอย่างไร คนที่รักความจริงก็ยังคงมั่นใจว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเชื่อว่าคำเทศนา สามัคคีธรรม และคำพยานจากประสบการณ์ของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นไปตามความจริงและเป็นคำพยานที่แท้จริง  นี่เองคือความหมายของการมีความสามารถในการทำความเข้าใจ  หากเจ้าตระหนักว่าทั้งหมดที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวนั้นคือความจริงและความเป็นจริงชีวิตที่คนควรมี การตระหนักนี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเข้าใจส่วนหนึ่งของความจริงแล้ว  หากเจ้าเข้าใจว่าทั้งหมดของความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงเป็นสิ่งที่เป็นบวกและความเป็นจริงความจริง และเจ้ามั่นใจว่าเป็นเช่นนี้และรับรู้เต็มร้อยว่าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  การเข้าใจความจริงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย นี่เป็นบางสิ่งที่เฉพาะคนที่ได้รับการทำให้รู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์ได้  บรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงลึกลงไปในหัวใจของตนนั้นรับรู้อยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไปนั้นเป็นไปในเชิงบวก ล้วนเป็นความจริง และล้วนล้ำค่ายิ่งนักต่อมวลมนุษย์  คนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อเป็นไปในเชิงลบ และสวนทางกับความจริง  ไม่สำคัญว่าทฤษฎีของพวกเขาฟังดูดีเพียงใด พวกเขาทำร้ายและชักพาผู้คนให้หลงผิด  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำเป็นไปในเชิงบวก คือความจริง และเป็นความรอดสำหรับผู้คน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานและมารทำเป็นไปในเชิงลบ ผิดพลาด และไร้เหตุผล รวมทั้งทำร้ายและชักพาผู้คนให้หลงผิด เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยสิ้นเชิง  หากเจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เช่นนั้นเจ้าย่อมมีวิจารณญาณ  หากเจ้าก็สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจตัวเองผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าและเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า มองความเสื่อมทรามของตนดังเช่นที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาในทุกสภาพการณ์ที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับเจ้า และในท้ายที่สุดแล้วสามารถเข้าใจไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังสามารถหยั่งรู้ผู้อื่นได้เช่นกัน และสามารถแยกแยะระหว่างผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ที่เป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้ที่เป็นผู้นำเทียมเท็จ ผู้ที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ และผู้ที่ชักพาผู้คนให้หลงผิด—หากเจ้าสามารถประเมินค่าและแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ—นั่นหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงอยู่บ้าง  สมมุติว่า ญาติหรือบิดามารดาของเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และเพราะการทำชั่ว การก่อความไม่สงบ หรือการไม่ยอมรับความจริงใดๆ จึงให้พวกเขาออกไป อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีวิจารณญาณเรื่องของพวกเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด อีกทั้งพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าพระนิเวศของพระเจ้าไร้ซึ่งความรักและไม่เป็นธรรมต่อผู้คน เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริง แล้วจากนั้นจึงประเมินว่าญาติเหล่านี้เป็นผู้คนประเภทใดตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถนิยามพวกเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และเจ้าจะมองเห็นว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นถูกต้อง และเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม แล้วจากนั้นเจ้าย่อมจะไม่มีเรื่องให้พร่ำบ่น จะสามารถนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และจะไม่พยายามปกป้องญาติหรือบิดามารดาของเจ้า ประเด็นในที่นี้คือการไม่รับใช้เครือญาติของพวกเจ้า การนี้เป็นไปเพื่อระบุว่าพวกเขาคือผู้คนประเภทใด และเพื่อทำให้เจ้าหยั่งรู้พวกเขาและรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป  หากสิ่งเหล่านี้ชัดเจนอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า อีกทั้งเจ้ามีทรรศนะที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้าได้ และทรรศนะของเจ้าในเรื่องนี้ย่อมจะสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงหรือมองดูผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าได้ และยังคงเลือกอยู่ข้างสัมพันธภาพและมุมมองทางเนื้อหนังเมื่อมองดูผู้คน เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีวันสามารถสลัดสัมพันธภาพทางเนื้อหนังนี้ทิ้งไปได้ และจะยังคงปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในฐานะเครือญาติของตน—ใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าในคริสตจักรเสียอีก ในกรณีนี้ย่อมจะมีความความไม่ลงรอยกันระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับทรรศนะที่เจ้ามีต่อครอบครัวของตนในเรื่องนี้—เป็นความขัดแย้งที่แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้า และเจ้าจะมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนจะสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า ก่อนอื่นทรรศนะของพวกเขาในเรื่องทั้งหลายต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และสามารถละวางมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดของมนุษย์ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับบุคคลหรือเรื่องอันใด เจ้าก็ต้องสามารถธำรงรักษามุมมองและทรรศนะเดียวกันกับพระเจ้า และมุมมองและทรรศนะของเจ้าก็ต้องลงรอยกับความจริง ในหนทางนี้ ทรรศนะของเจ้าและหนทางที่เจ้าเข้าหาผู้คนก็จะไม่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า และเจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าและเข้ากันได้กับพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้จะไม่สามารถต้านทานพระเจ้าได้อีก พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรับไว้โดยแท้

ขั้นตอนแรกในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงคือทบทวนตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า และเปรียบเทียบสภาวะที่แตกต่างกันทั้งหมดของเจ้ากับพระวจนะของพระองค์  หากเจ้าต้องการเข้าสู่ลึกยิ่งขึ้น เจ้าต้องชำแหละและเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น  เจ้าควรทำเช่นไรหลังจากเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว?  เจ้าควรหาหนทางที่จะปฏิบัติและเข้าสู่ และพิจารณาวิธีปฏิบัติความจริงและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง  บางคนกลายเป็นคิดลบหลังจากได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาคร่ำครวญและสะอื้นที่พวกเขาถูกกำจัดออกไปและเป็นคนรับใช้และตัวประกอบเสริมความเด่น และพวกเขาก็ไม่ต้องการแม้กระทั่งจะทำหน้าที่ของตน  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนแบบไหนกัน?  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนสิ้นคิด และชอบตีโพยตีพาย  แล้วหนทางที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขการนี้คืออะไร?  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาไม่ควรคร่ำครวญหรือทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ควรล้มเลิกหรือพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า  สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาควรทำคือแสวงหาความจริงและทำความเข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จริงแล้วคืออะไร แนวทางปฏิบัติใดมีเหตุผลมากที่สุด และพวกเขาควรเลือกเส้นทางใด นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  เป็นเรื่องง่ายที่สุดที่ผู้คนจะสูญเสียเหตุผลเมื่อพวกเขาถูกเจตนาที่จะได้รับพรควบคุมอยู่เป็นนิตย์  คนที่ขาดพร่องเหตุผลเป็นคนที่น่าเวทนาที่สุด แต่คนที่เลือกที่จะนบนอบพระเจ้าและเสาะแสวงที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งเท่านั้นคือบรรดาผู้ที่มีเหตุผลมากที่สุดและมีมโนธรรมมากที่สุด  เมื่อคนคนหนึ่งถูกพระเจ้าเปิดโปง พวกเขาควรรับมือกับการนั้นอย่างไร และพวกเขาควรใช้ทางเลือกใด?  พวกเขาต้องแสวงหาความจริง และไม่ควรกลายเป็นเลอะเลือนไม่ว่าในสภาพการณ์ใดๆ  เป็นเรื่องที่ดีที่เจ้าจะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และมองเห็นความเสื่อมทรามของตนอย่างที่เป็นอย่างแท้จริง แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดลบ?  พระเจ้าทรงเปิดโปงเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้รับความเข้าใจในตัวเจ้าเอง และเพื่อที่จะทรงช่วยเจ้าให้รอด  ที่จริงแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยให้เห็นมีต้นตอมาจากธรรมชาติของเจ้า  มิใช่ว่าพระเจ้าต้องประสงค์จะเปิดโปงเจ้า แต่หากพระองค์ไม่ทรงเปิดโปงเจ้า เจ้าจะยังคงเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นหรือไม่?  ก่อนที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า พระองค์ยังไม่ได้ทรงเปิดโปงเจ้า แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าใช้ชีวิตตามนั้นมิใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานหรอกหรือ?  เจ้าเป็นใครบางคนที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  เจ้าไม่ควรตกตะลึงโดยสิ่งเหล่านี้มากนัก  เมื่อเจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมาเล็กน้อยนั่นทำให้เจ้าอกสั่นขวัญหาย และเจ้าก็คิดว่าเจ้าจบสิ้นแล้ว พระเจ้าไม่ต้องประสงค์เจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำไปแล้วก็เสียเปล่า  จงอย่ามีปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรงเกินไป  ผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดก็คือมนุษย์ที่เสื่อมทราม ไม่ใช่หุ่นยนต์  ตามที่กล่าวว่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามเราหมายถึงสิ่งใด?  เราหมายถึงคนที่เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน โอหังและคิดว่าตนถูก ไม่ยอมรับความจริง สามารถต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า เป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ และสามารถเดินตามย่างก้าวของเปาโล  นี่คือมนุษย์จำพวกที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด  หากเจ้าต้องการยอมรับความรอดของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความรอด เจ้าต้องเผชิญกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มีอยู่ในหัวใจของเจ้า เผชิญกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยให้เห็นทุกวัน และทุกวันเจ้าต้องแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติวิจารณญาณและการชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยให้เห็น และต่อสู้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าว  บางคนต่อสู้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าวหลายครั้งแต่ก็ถูกพิชิต และกล่าวว่า “เหตุใดฉันจึงเผยให้เห็นความโอหังตลอดเวลา?  เหตุใดคนอื่นจึงไม่?”  โดยข้อเท็จจริงแล้วทุกคนก็เผยให้เห็นความโอหัง  เมื่อคนอื่นเผยให้เห็นความโอหัง เจ้าไม่รู้ แต่พวกเขารู้  หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาเองไม่รู้ในยามที่พวกเขากำลังเผยให้เห็นความโอหัง แต่พระเจ้าทรงรู้  และยังมีอีกหนึ่งประเด็นปัญหาที่คนต้องจดจำ กล่าวคือ  พระเจ้าทรงแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน พระองค์ไม่ทรงแก้ไขหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงเกลียดชังเจตนาชั่วขณะที่เจ้ามีขณะที่กำลังทำบางสิ่ง หรือหนทางเฉพาะในการทำสิ่งทั้งหลาย หรือหากเจ้าเกียจคร้านเป็นครั้งคราวหรือไม่ยอมลำบาก นี่ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  สิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าควรตระหนักรู้ถึงการนั้นด้วยตัวเองก่อนที่พระเจ้าจะทรงบ่มวินัยเจ้า  เจ้าไม่ควรเดาว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้าหรือทรงกำจัดเจ้าออกไปแล้วหรือไม่ เจ้าควรตระหนักรู้ถึงปัญหาของตน จากนั้นจึงแสวงหาว่าเจ้าควรกลับใจอย่างไร รวมทั้งหนทางใดแห่งการปฏิบัติความจริงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  นี่เป็นการสำแดงถึงเหตุผลปกติ  สิ่งที่เจ้าควรตระหนักรู้ถึงเป็นอันดับแรกคือ “ถ้อยคำเหล่านี้ของฉันไม่มีเหตุผลและเผยให้เห็นความโอหัง  ฉันไม่สามารถทำงานนี้ได้ แต่ฉันก็พูดให้กำลังใจตัวเองและกล่าวว่าฉันทำได้ ดังนั้นนั่นไม่เป็นแค่การคุยโตมากหรอกหรือ?  การคุยโตและการพูดให้กำลังใจตัวเองแสดงให้เห็นว่าฉันมีอุปนิสัยอันโอหัง”  พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าด้วยเหตุของการคุยโต แต่นั่นหมายความว่าเจ้าสามารถปล่อยเรื่องนั้นไปได้จริงๆ หรือ?  ไม่ เจ้าไม่สามารถปล่อยเรื่องนั้นไปได้  เจ้าต้องชำแหละการนั้นและกล่าวว่า “เหตุใดฉันจึงพูดให้กำลังใจตัวเองและคุยโตเก่งมาก?  เหตุใดฉันจึงคุยโวเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ฉันไม่สามารถทำได้ หรือสิ่งทั้งหลายซึ่งฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันสามารถทำได้?  เหตุใดฉันจึงมีจุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ นี้?”  นี่ไม่ใช่จุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ  จุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ คือนิสัยที่แย่ในระดับผิวเผิน  การคุยโตเป็นหนึ่งในหนทางที่อุปนิสัยอันโอหังเผยตัวเองออกมา เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้านั่นเองที่ชี้นำเจ้าให้ใช้ชีวิตในสภาวะเช่นนี้—เจ้าถูกอุปนิสัยของเจ้าชี้นำโดยสิ้นเชิง  หากเจ้าสามารถกดการคุยโตเอาไว้ได้ และไม่เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกต่อไปหรือไม่?  นี่หมายความว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่เรียบง่ายขนาดนั้น  แค่ด้วยการเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าทำบางสิ่ง ยึดปฏิบัติตามกฎและประพฤติตนดีภายนอก ไม่อวดดี และมีกิริยามารยาทแบบมีวัฒนธรรม ไม่ทำให้เจ้าไม่โอหัง  สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่หน้ากาก และนอกจากการเป็นคนโอหังแล้วยังเพิ่มปัญหาใหม่ และผลลัพธ์ก็ยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นไปอีก  หากเจ้าต้องการแก้ไขความโอหังของตนรวมทั้งแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกจำพวก เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งนั้นเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน  นี่คือหนทางที่ถูกต้อง  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้นำจัดการให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง และหลังจากฟังเจ้ากล่าวอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ฉันทำหน้าที่เช่นนี้มาก่อน  นี่จะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก!”  แต่ทันทีหลังจากนั้นเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้เผยให้เห็นความโอหังและความคิดในหนทางนี้ผิด และอธิษฐานและปรับความคิดของตนอย่างรวดเร็วโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ได้เผยให้เห็นความโอหังอีกแล้ว  ได้โปรดทรงตัดแต่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ดี” นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าควรทำ  เช่นนั้นเจ้าควรปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนอย่างไร?  เจ้าคิดว่า “ฉันทำการนี้เพื่อพระเจ้า และฉันทำการนี้ในการสถิตของพระองค์ ดังนั้นฉันต้องรับมือกับการนี้อย่างรอบคอบ  ฉันจะทำให้การนี้ยุ่งเหยิงไม่ได้  หากฉันทำ นั่นย่อมจะน่าขายหน้านัก!”  เช่นนั้นเจ้าจะครุ่นคิดเกี่ยวกับการนี้และคิดว่า “ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง  เหตุใดฉันจึงควรกลัวว่าจะทำให้ตัวเองขายหน้า?”  สภาวะนี้ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เจ้าเริ่มที่จะไถลออกห่างจากเส้นทางนี้แล้ว  เจ้าควรแก้ไขสภาวะนี้อย่างไร?  ทิศทางไหนคือหนทางไปที่ถูกต้อง?  เป็นอีกครั้งที่เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  เจ้าควรคิดว่า “ฉันไม่กลัวที่จะทำให้ตัวเองขายหน้า  กุญแจสำคัญก็คือฉันไม่ควรส่งผลเสียต่องานของคริสตจักร” และสภาวะของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น  แต่หากตอนนั้นเจ้าคิดว่า “แล้วถ้าฉันส่งผลเสียต่องานของคริสตจักรและถูกตัดแต่งล่ะ?  ฉันจะไม่มีความภาคภูมิใจเลย” สภาวะของเจ้าย่อมจะไม่ถูกต้องอีก  เรื่องนี้จะแก้ไขได้อย่างไร?  ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าต้องคิดว่า “ฉันไม่เคยให้ความสำคัญใดๆ กับหน้าที่ของฉัน ฉันเกียจคร้านที่จะทำหน้าที่ และฉันก็โอหังยิ่งนัก  ฉันสมควรถูกตัดแต่ง  ฉันต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและยอมให้พระองค์ทรงพระราชกิจ  ฉันเป็นคนที่ยากจะจัดการ แต่พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ ดังนั้นฉันจึงจะพึ่งพาพระเจ้า”  ถูกต้อง นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการปฏิบัติ  พระเจ้าได้ทรงแบ่งความสามารถพิเศษบางอย่างให้กับเจ้าและทรงยอมให้เจ้าได้มาซึ่งความรู้บางอย่าง แต่การได้มาซึ่งความรู้นี้ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าของตนให้ดีได้  นี่ไม่ใช้ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  (ใช่)  คนคนหนึ่งมาถึงข้อสรุปนี้อย่างไร?  (ผ่านทางประสบการณ์)  ประสบการณ์นี้สอนบทเรียนให้เจ้าและให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกกับเจ้า  กล่าวคือ สิ่งซึ่งพระเจ้าประทานให้กับผู้คนไม่ใช่บางสิ่งที่พวกเขามีโดยเนื้อแท้ภายในและไม่ใช่ต้นทุนของพวกเขา พระเจ้าทรงสามารถนำเอาสิ่งที่พระองค์ได้ประทานพวกเขาไปได้ตลอดเวลา  เมื่อพระเจ้าต้องประสงค์จะเปิดโปงเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษกับบางสิ่งเพียงใด เจ้าจะลืมสิ่งนั้นและไม่สามารถใช้สิ่งนั้นได้—เจ้าจะไม่ใช่สิ่งใดเลย  ณ เวลานี้ หากเจ้าอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ใช่สิ่งใดเลย  ข้าพระองค์มีความสามารถนี้เพียงเพราะพระองค์ประทานความสามารถนี้ให้กับข้าพระองค์  ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ประทานเรี่ยวแรงให้กับข้าพระองค์  ได้โปรดทรงอวยพรและทรงนำข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ส่งผลเสียต่อพระราชกิจของพระองค์”  นี่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการอธิษฐานหรือไม่?  (ไม่ ไม่ถูกต้อง)  เจ้าควรทำการเปลี่ยนแปลงใด ณ จุดนี้?  เจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่สามารถคิดว่าข้าพระองค์ถูกต้องตลอดเวลา  แม้ข้าพระองค์รู้สองสามสิ่งเกี่ยวกับงานด้านนี้ และมีความช่ำชองในงานด้านนี้อยู่บ้าง แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าข้าพระองค์จะสามารถทำงานนี้ได้ดี  เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์คือการก่อกวน ข้าพระองค์จึงติดนิสัยทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุกเอาเผากินและฉาบฉวย และไม่ถือจริงจังกับหน้าที่ของข้าพระองค์  ข้าพระองค์ไม่สามารถควบคุมตัวเองและไม่สามารถตั้งสติได้ ข้าพระองค์ร้องขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองข้าพระองค์และทรงนำข้าพระองค์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบพระองค์ ทำดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์จะสามารถทำได้ และถวายพระสิริแด่พระองค์”  หากเจ้าทำหน้าที่ของตนได้ดี และถวายความดีความชอบร้อยละแปดสิบแด่พระเจ้าและให้ตัวเองร้อยละยี่สิบ นั่นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่ ไม่ถูกต้องเหมาะสม)  การแบ่งสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้นไม่ใช่เรื่องที่มีเหตุผล  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจ เจ้าจะทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือ?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด เพราะไม่เพียงแต่เจ้าขาดพร่องความจริงเท่านั้น แต่เจ้ายังมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามด้วย  ไม่สำคัญว่ามีสภาวะที่เสื่อมทรามจำพวกใดในหัวใจของผู้คน พวกเขาต้องทบทวนตัวเองและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะดังกล่าวตลอดเวลา  ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สภาวะของพวกเขาย่อมจะเป็นปกติ

บางครั้งความคิดหรือแนวคิดที่ผิดจะปรากฏขึ้นในหัวใจของคนคนหนึ่ง และนั่นรบกวนหัวใจของพวกเขา  พวกเขาติดอยู่ในสภาวะนั้น และไม่สามารถผุดขึ้นจากสภาวะนั้นเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน  คนคนหนึ่งควรทำอย่างไรในเวลาเช่นนี้?  เจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าควรเข้าใจอย่างชัดเจนถึงวิธีที่ความคิดหรือแนวคิดที่ผิดเกิดขึ้น วิธีที่ความคิดหรือแนวคิดที่ผิดนี้มีอิทธิพลเหนือเจ้า ทำให้เจ้าคิดลบและเก็บกด และทำให้เจ้าเผยให้เห็นความเป็นกบฏและหนทางที่ไม่น่ามองทุกจำพวก  เช่นนั้นเมื่อเจ้าตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าและพระเจ้าทรงเกลียดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ของเจ้า เจ้าก็ควรอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์และทรงปล่อยให้ข้าพระองค์เรียนรู้บทเรียนที่ข้าพระองค์จำเป็นต้องเรียนรู้  ข้าพระองค์ไม่กลัวที่จะถูกเผย และข้าพระองค์ก็ไม่กลัวที่จะขายหน้าหรือเสียหน้า ทั้งหมดที่ข้าพระองค์กลัวคือการที่การกระทำของข้าพระองค์ละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์และทำให้พระองค์ไม่พึงพอพระทัย”  นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง แต่เจ้ามีวุฒิภาวะที่จะเดินบนเส้นทางนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  หากเจ้าไม่มีวุฒิภาวะ นั่นหมายความว่าเจ้าไม่สามารถอธิษฐานในทิศทางนี้ใช่หรือไม่?  ในเมื่อนี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง เจ้าก็ควรอธิษฐานในทิศทางนี้  ขณะนี้วุฒิภาวะของผู้คนนั้นน้อย พวกเขาต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่เนืองนิจ พึ่งพาพระเจ้า และยอมให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพวกเขามากขึ้นและทรงบ่มวินัยพวกเขามากขึ้น  เมื่อวุฒิภาวะของพวกเขาเติบโตขึ้นแล้ว และพวกเขาสามารถแบกรับภาระและทำงานได้มากขึ้น พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงจำเป็นต้องวิตกกังวลมากนัก และย่อมจะไม่ทรงจำเป็นต้องคุ้มครองพวกเขา บ่มวินัยพวกเขา ทดสอบพวกเขา หรือเฝ้าสังเกตพวกเขาอยู่เป็นนิตย์  นี่เป็นเรื่องของหัวใจ และพระเจ้าก็ทรงดูที่หัวใจของผู้คน  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยว่าภายนอกนั้นเจ้าประพฤติตนดีหรือเชื่อฟังเพียงใด พระองค์ทรงดูที่ท่าทีของเจ้า  บางทีเจ้าอาจไม่พูดอะไรเลยทั้งวัน แต่เจ้ามีท่าทีใดในหัวใจของตน?  “ข้าพระองค์ได้รับมอบหน้าที่นี้ ดังนั้นข้าพระองค์จึงมีความรับผิดชอบที่จะทำหน้าที่นี้ให้ดี แต่ข้าพระองค์มีนิสัยเป็นคนไร้การควบคุม และข้าพระองค์ก็ทำตามแต่ข้าพระองค์จะยินดีตลอดเวลา ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์มีประเด็นปัญหานี้ แต่ข้าพระองค์ควบคุมตัวเองไม่ได้  ข้าพระองค์เต็มใจให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมของข้าพระองค์และทรงเอาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวข้าพระองค์ซึ่งอาจก่อกวนข้าพระองค์ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ หรือส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติความจริงของข้าพระองค์ออกไป เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง สามารถยอมรับบททดสอบของพระเจ้า และสามารถยอมรับการบ่มวินัยของพระองค์”  เจ้าต้องมีหัวใจแห่งการนบนอบที่เต็มใจ  เมื่อความคิดเหล่านี้อยู่ในหัวใจของเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นความคิดเหล่านี้ได้อย่างไร?  พระองค์จะไม่ทรงสามารถใส่พระทัยความคิดเหล่านี้ได้อย่างไร?  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงกระทำการ  บางครั้งเมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเจ้า  เมื่อพระองค์ทรงทดสอบงานและความจริงใจของคนคนหนึ่ง พระองค์จะไม่ตรัสอะไรเลย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นผิด  เจ้าไม่ควรทดสอบพระเจ้าไม่ว่าในสภาพการณ์ใดๆ  หากเจ้าทดสอบพระเจ้าอยู่เสมอ และพูดว่า “ข้าพระองค์คิดถูกหรือไม่ในการทำเช่นนี้?  ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นเรื่องนั้นหรอกหรือ?” เช่นนั้นเจ้าก็กำลังตกที่นั่งลำบาก  นี่เป็นสภาวะที่ไม่ถูกต้อง  จงมุ่งความสนใจไปที่การลงมือกระทำการเท่านั้น  ไม่สำคัญว่าพระเจ้ากำลังทรงบ่มวินัยเจ้า ทรงนำเจ้า ทรงทดสอบเจ้า หรือทรงนำทางเจ้า จงอย่าใส่ใจ  จงมุ่งความสนใจไปที่การทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงที่เจ้าเข้าใจและการกระทำการที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น  นั่นก็มากพอแล้ว  ในส่วนที่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วนั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าควรรับผิดชอบต่อสิ่งใด?  การปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ การใช้เวลาที่เจ้าควรใช้ และการยอมลำบากที่เจ้าควรยอมลำบาก  นั่นก็มากพอแล้ว  อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความจริงต้องได้รับการตรวจสอบ และต้องทุ่มเทความพยายามให้กับการทำความเข้าใจสิ่งนั้น  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือผู้คนเดินบนเส้นทางที่พวกเขาควรเดิน  นี่ก็มากพอแล้ว  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ  ในส่วนที่ว่าเจ้ามีวุฒิภาวะระดับใด เจ้าควรก้าวผ่านบททดสอบใด เจ้าควรได้รับประสบการณ์กับการบ่มวินัยใด เจ้าควรได้รับประสบการณ์กับสถานการณ์ใด และพระเจ้าทรงครองอธิปไตยอย่างไรนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจสิ่งเหล่านี้  พระเจ้าจะทรงทำการนั้น  เจ้าพูดว่า “ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะน้อย  ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดอย่าทรงทำให้ข้าพระองค์ก้าวผ่านบททดสอบใดๆ เลย ข้าพระองค์กลัว!”  พระเจ้าจะทรงทำเช่นนั้นหรือ?  (ไม่ พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น)  ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องวิตกกังวล  เจ้าพูดว่า “ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะมาก และมีความเชื่อล้นพ้น  ข้าแต่พระเจ้า เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงอำนวยให้ข้าพระองค์ก้าวผ่านบททดสอบสักสองสามอย่าง?  ได้โปรดทดสอบข้าพระองค์ดังเช่นพระองค์ทรงทำกับโยบและเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีไปเสีย!”  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น  เจ้าไม่รู้จักวุฒิภาวะของตัวเอง แต่พระเจ้าทรงรู้เป็นอย่างดีและเข้าพระทัยอย่างชัดเจนมาก พระองค์ทรงสามารถมองเห็นหัวใจของทุกคน  ผู้คนสามารถมองเห็นพระหทัยของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถ)  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นพระหทัยของพระเจ้า แล้วพวกเขาเข้าใจพระเจ้าและให้ความร่วมมือกับพระองค์อย่างไร?  (ผ่านทางพระวจนะของพระองค์)  ผ่านทางการเข้าใจพระวจนะของพระองค์ การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และการยึดมั่นในตำแหน่งแห่งที่ของตนในฐานะคน  หน้าที่ของคนคืออะไร?  นั่นก็คืองานที่คนควรทำและสามารถทำได้  นี่คืองานที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้า  งานที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้ารวมถึงสิ่งใดบ้าง?  งานด้านที่เจ้ามีความคุ้นเคย งานเหล่านั้นซึ่งคริสตจักรให้กับเจ้า งานเหล่านั้นซึ่งเจ้าควรทำ และงานเหล่านั้นซึ่งอยู่ภายในความสามารถที่จะทำได้ของเจ้า  นี่คือส่วนหนึ่งของงานดังกล่าว  อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต  เจ้าต้องสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า  จงมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติและการเข้าสู่ความจริงเท่านั้น  จงอย่าใส่ใจกับการประเมินค่าเจ้าโดยผู้อื่นหรือวิธีที่พระเจ้าทอดพระเนตรเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้และไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้—นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรเอาตัวเองไปเป็นกังวล  ผู้คนไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรทั้งสิ้นในโชควาสนา โชคร้าย การมีอายุยืนยาวของตน ทุกสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ในชั่วชีวิตของตน โชคของตน หรือชีวิตของตน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน  พระเจ้าทรงเป็นอธิปไตยเหนือสิ่งเหล่านี้  แน่นอนที่สุดว่าผู้คนต้องรับรู้ถึงและเข้าใจเรื่องนี้ในหัวใจของตนอย่างชัดเจน  จงอย่าเอาตัวเองไปเป็นกังวลกับอะไรก็ตามแทนพระเจ้า จงอย่าพยายามตัดสินใจว่าพระเจ้าต้องประสงค์จะทำสิ่งใด  จงมุ่งความสนใจไปที่การรับมือกับสิ่งที่เจ้าควรทำ สิ่งที่เจ้าควรเข้าสู่ และเส้นทางที่เจ้าควรเดินอย่างมีประสิทธิผลเท่านั้น  นั่นก็มากพอแล้ว  ในส่วนที่ว่าบั้นปลายในอนาคตของเจ้าจะเป็นอย่างไรนั้น เจ้ามีสิทธิ์ตัดสินอะไรในเรื่องนี้กระนั้นหรือ?  (ไม่มี)  เช่นนั้นเจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?  ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้ก็ด้วยการทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรทำในแต่ละวันให้ดี รวมทั้งการลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะคนคนหนึ่ง  นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้กับทุกคน  เจ้าได้มาอยู่ในโลกนี้ และพระเจ้าก็ทรงนำเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้—ไม่สำคัญว่าพระองค์ประทานพรสวรรค์จำพวกต่างๆ ให้กับเจ้าหรือทรงเลี้ยงดูเจ้าและประทานความสามารถพิเศษหรือความสามารถให้กับเจ้า นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าประทานพระบัญชาให้กับเจ้า  เป็นที่เห็นได้ชัดมากว่าพระเจ้าประทานพระบัญชาใดให้กับเจ้า และไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าต้องตรัสบอกเจ้าโดยตรง  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ารู้ภาษาอังกฤษ เช่นนั้นแน่นอนว่าพระเจ้าย่อมทรงมีข้อพึงประสงค์สำหรับเจ้าในด้านนี้  นี่คือหน้าที่ของเจ้า  ไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าต้องทรงเรียกลงมาจากสวรรค์และตรัสกับเจ้าโดยตรงว่า “หน้าที่ของเจ้าคือการแปลภาษา และหากเจ้าไม่ทำหน้าที่นี้ เราจะลงโทษเจ้า”  ไม่มีความจำเป็นต้องตรัสเช่นนี้  เรื่องนี้ชัดเจนมากอยู่แล้วสำหรับเจ้าเพราะพระเจ้าประทานความมีเหตุผลที่ปกติ กระบวนการคิดและความคิด ตลอดจนความสามารถในการเข้าใจภาษานี้ให้กับเจ้าแล้ว  นั่นก็มากพอแล้ว  สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้าคือสิ่งที่พระองค์กำลังตรัสบอกเจ้าให้ทำ และในหัวใจของเจ้านั้นเรื่องนี้ชัดเจนมากสำหรับเจ้า  ในระหว่างขั้นตอนของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และในระหว่างขั้นตอนของการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า เจ้าต้องยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำกับเจ้า รวมถึงการทรงนำที่เป็นบวก การให้น้ำ และการจัดเตรียมที่พระองค์ได้ประทานให้กับเจ้า  ตัวอย่างเช่น ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การรับฟังคำเทศนา การดำเนินชีวิตคริสตจักร การสามัคคีธรรมความจริง และการให้ความร่วมมือกับผู้อื่นอย่างปรองดองขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เนืองนิจ  อีกส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้คือผ่านทางการเข้าสู่ชีวิตของแต่ละบุคคล—นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  บางคนต้องการรู้อยู่เสมอว่าพวกเขามีชีวิตหรือไม่ และพวกเขามีประสิทธิผลหรือไม่  การทบทวนสิ่งเหล่านี้เพียงชั่วขณะแต่ไม่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านี้ย่อมดีอยู่แล้ว  ก็เหมือนการปลูกพืชผลทุกปี—ไม่มีเกษตรกรคนใดพูดว่าต้องมีผลผลิตมากเท่าใดในปีนั้น และหากพวกเขาไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์นั้น พวกเขาจะตาย  พวกเขาไม่โง่เขลาขนาดนี้  พวกเขาล้วนหว่านเมล็ดพันธุ์เมื่อเป็นฤดูหว่านเมล็ดพันธุ์ จากนั้นก็ให้น้ำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ให้ปุ๋ยเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น แล้วก็ดูแลเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไปตามปกติ  จากนั้นเมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสมก็รับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้เก็บเกี่ยว  เจ้าต้องมีความเชื่อเช่นนี้ นี่คือความเชื่อแท้จริงในพระเจ้า  จงอย่าคิดคำนวณอย่างนั้นกับพระเจ้าโดยพูดว่า “เมื่อไม่นานมานี้ฉันทุ่มเทความพยายามไปบ้างแล้ว พระเจ้าจะประทานบำเหน็จแก่ฉันหรือไม่?”  การเรียกร้องบำเหน็จตลอดเวลา ดังเช่นพนักงานออฟฟิศที่เรียกร้องเงินค่าจ้างของตนตอนสิ้นเดือนนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับ  การเรียกร้องเงินค่าจ้างตลอดเวลานั้นไม่เป็นที่ยอมรับ  ความเชื่อของผู้คนอ่อนแอเกินไป และพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  ทันทีที่เจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้าคือเส้นทางสู่ความรอด และเป็นชีวิตจริง เป็นเส้นทางที่ถูกต้องซึ่งผู้คนควรเดินตาม และเป็นชีวิตที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี จงมุ่งความสนใจไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเสาะแสวงที่จะเข้าสู่ความเป็นจริง การรับฟังพระวจนะของพระเจ้า และการเดินและกระทำการในทิศทางที่พระเจ้าทรงชี้นำเจ้าเท่านั้น  นี่ย่อมถูกต้องแล้ว  จงอย่าถามพระเจ้าตลอดเวลาว่า “ข้าแต่พระเจ้า อีกนานแค่ไหนข้าพระองค์ถึงจะติดตามพระองค์ไปจนสุดถนน?  ข้าพระองค์จะได้รับการช่วยให้รอดเมื่อใด?  ข้าพระองค์จะได้รับบำเหน็จและได้มงกุฎเมื่อใด?  วันของพระเจ้ามาจะมาถึงเมื่อใด?”  สภาวะเหล่านี้ล้วนเป็นสภาวะที่ผู้คนมี แต่เรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  บางคนพูดว่า “กฎหมายไม่อาจบังคับใช้ได้ในยามที่ทุกคนเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย” แต่คำกล่าวนี้เป็นเหตุผลวิบัติ ไม่มีเหตุผล และไม่เป็นไปตามความจริง  ข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนมีสภาวะเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจึงล้วนต้องแก้ไขปัญหานี้และผ่านพ้นอุปสรรคขวางกั้นนี้ไปให้ได้  เจ้าต้องตรวจสอบตัวเองในหัวใจของตนอยู่เสมอ ไม่มุ่งความสนใจไปกับการดูว่าผู้อื่นเป็นอย่างไร และขณะที่เจ้าตรวจสอบตัวเองนั้น เจ้าต้องแก้ไขสภาวะอันเสื่อมทรามใดๆ ที่เจ้ามีให้ถูกต้อง  ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนนั้นไม่หยุดนิ่ง และคิดอย่างแข็งขันอยู่เสมอ—ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาโอนเอียงไปทางซ้าย และอีกชั่วขณะหนึ่งพวกเขาก็โอนเอียงไปทางขวา วิธีคิดของพวกเขาผิดเล็กน้อยอยู่เสมอ  พวกเขาไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเขายืนกรานที่จะติดตามผู้อื่นรวมทั้งยืนกรานที่จะติดตามกระแสนิยมที่เลวในโลกและเดินบนเส้นทางที่ผิด  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน และพวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมแก่นแท้ธรรมชาตินี้ได้ต่อให้ต้องการก็ตาม  หากเจ้าไม่สามารถควบคุมแก่นแท้ธรรมชาตินี้ได้ เช่นนั้นก็จงอย่าไปควบคุมมัน  เมื่อเจตนาหรือทรรศนะที่ไม่ถูกต้องปรากฏออกมา เช่นนั้นก็จงแก้ไขเจตนาหรือทรรศนะดังกล่าว  ในหนทางนี้ความเสื่อมทรามที่เจ้าเผยให้เห็นย่อมจะค่อยๆ ลดน้อยลง  แล้วเจ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร?  ด้วยการอธิษฐานรวมทั้งการทำความเข้าใจและพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้นอยู่เป็นนิตย์  บางครั้งไม่สำคัญว่าเจ้าพยายามพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้นอย่างไร สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏออกมา ดังนั้นจงอย่าใส่ใจสิ่งเหล่านั้น และแค่ทำสิ่งที่เจ้าควรที่จะต้องทำเท่านั้น  นี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุด  แล้วผู้คนควรที่จะต้องทำสิ่งใด?  ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และรักษาหน้าที่ของตน  เจ้าไม่สามารถปฏิเสธพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้า เจ้าต้องทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้นให้ดี  นอกจากนี้ ในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตของแต่ละบุคคล เจ้าต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริงขณะที่กำลังทำหน้าที่ของตน และทำงานหนักเพื่อสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตในระดับใดก็ตามที่เจ้าสามารถ  การที่ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะได้มาตรฐานหรือไม่นั้นจะถูกตัดสินโดยพระเจ้า  ความรู้สึกและคำตัดสินของผู้คนไม่มีประโยชน์  ผู้คนไม่สามารถตัดสินชะตากรรมของตนเองได้และไม่สามารถประเมินค่าพฤติกรรมของตนหรือกำหนดได้ว่าจุดจบสุดท้ายของตนจะเป็นอย่างไร  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถประเมินค่าและกำหนดสิ่งเหล่านี้ได้  เจ้าต้องวางใจว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม  หากจะยืมคำพูดของผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้าต้องอาจหาญที่จะกระทำการ อาจหาญที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตน อาจหาญที่จะเผชิญกับข้อเท็จจริง และสามารถรับผิดชอบได้  คนที่มีนโนธรรมและเหตุผลควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและรับผิดชอบ

การที่ผู้คนตรวจสอบตัวเองอยู่เนืองนิจเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด และการที่ผู้คนยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด  การที่ผู้คนแสวงหาความจริง พลิกสภาวะและทรรศนะของตนกลับมา และผุดขึ้นมาจากสภาวะและทรรศนะเหล่านั้นก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดเช่นกันในยามที่พวกเขาตรวจสอบตัวเองและค้นพบว่าพวกเขามีสภาวะหรือทรรศนะที่ไม่ถูกต้อง  ในหนทางนี้ เจ้าจะได้รับประสบการณ์กับสภาวะที่ไม่ถูกต้องน้อยลงเรื่อยๆ และเจ้าจะกลายเป็นแยกแยะสภาวะที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เจ้าไม่รู้ตัวเลย  หลังจากเจ้าพลิกสภาวะที่ไม่ถูกต้องของตนกลับมา สิ่งที่เป็นบวกภายในตัวเจ้าจะเพิ่มขึ้น และเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความไร้ราคีที่มากขึ้นเรื่อยๆ  แม้ภายนอกนั้นลักษณะที่เจ้าพูดและบุคลิกภาพของเจ้าจะเป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงแล้ว  เรื่องนี้จะปรากฏชัดในลักษณะใด?  เจ้าจะสามารถติดตามหลักธรรมความจริงเวลาที่ทำสิ่งทั้งหลายและปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะสามารถรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้ เมื่อเจ้าเห็นผู้อื่นทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุกเอาเผากิน เจ้าก็จะโกรธ และเมื่อเจ้าเห็นปรากฏการณ์ที่เลวทราม ตลอดจนการปฏิบัติที่นิ่งเฉย เป็นลบ ไม่ถูกควร และเลวทรามซึ่งเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าก็จะรังเกียจสิ่งเหล่านี้  ยิ่งเจ้ามองดูสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งจะกลายเป็นแยกแยะสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อเจ้าเห็นบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานมากและพูดถึงคำพูดและคำสอนอย่างชัดเจนมาก แต่ไม่ทำงานที่แท้จริงอันใดและขาดพร่องหลักธรรม เจ้าย่อมจะโกรธขึ้นมาและเกลียดเรื่องนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเห็นผู้นำและคนทำงานที่ไม่ทำงานที่แท้จริง พูดถึงคำพูดและคำสอนตลอดเวลา และเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ยังไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าย่อมจะมีวิจารณญาณในเรื่องพวกเขา เจ้าย่อมจะสามารถเปิดโปงและรายงานพวกเขาได้ และเจ้าย่อมจะมีสำนึกถึงความยุติธรรม  ไม่เพียงแต่เจ้าจะเกลียดชังตัวเองเท่านั้น แต่เจ้าก็จะเกลียดชังเช่นกันเวลาที่สิ่งทั้งหลายที่เลวทรามและไม่เที่ยงธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น  นี่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเจ้า  เจ้าจะสามารถมองดูประเด็นปัญหาทั้งหลายและปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวเจ้าจากมุมมองของความจริง จากด้านของพระเจ้า และจากมุมมองของสิ่งที่เป็นบวก—นี่จะแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้า  แล้วเจ้าจะยังจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงประเมินค่าเจ้าหรือไม่?  ไม่—เจ้าจะสามารถสำนึกถึงเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง  ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนหากเจ้าเห็นใครบางคนทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุกเอาเผากิน เจ้าก็คิดว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ  ฉันก็เป็นเหมือนกัน  หากเขาไม่ได้ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้น เช่นนั้นนั่นก็คงจะทำให้ฉันดูเหมือนกำลังทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่สุกเอาเผากิน”  ทุกคนทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่สุกเอาเผากิน ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกว่ากำลังทำได้ดีทีเดียว ณ เวลานั้นเจ้าจะไม่คิดในหนทางนั้นอีกต่อไป  เจ้าจะคิดว่า “การทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่สุกเอาเผากินไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้  งานของพระนิเวศของพระเจ้ามีความสำคัญ  การที่ฉันทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุกเอาเผากินก็เป็นกบฏมากพออยู่แล้ว—เหตุใดพวกคุณจึงเป็นดังเช่นที่ฉันเคยเป็น และทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้นด้วย?”  เจ้าจะคิดว่าเจ้าไม่รู้ความและไม่เป็นผู้ใหญ่มากก่อนหน้านี้ ลักษณะที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลายนั้นน่ารังเกียจและน่าละอายยิ่งนัก และไม่มีทางที่เจ้าจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการนั้นกับพระเจ้า และมโนธรรมของเจ้าก็จะไม่สามารถก้าวข้ามการนั้นไปได้  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าจะสามารถมีความคิดและความรู้สึกเช่นนี้ได้ย่อมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความจริงและพระวจนะของพระเจ้าหยั่งรากและเพาะตัวขึ้นภายในตัวเจ้าแล้ว  มุมมองที่เจ้าใช้มองสิ่งทั้งหลาย และมาตรฐานที่เจ้าใช้ประเมินค่าสิ่งทั้งหลายย่อมจะเปลี่ยนแปลง  เจ้าจะเป็นคนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน ตอนที่เจ้าใช้ชีวิตภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เจ้าจะเปลี่ยนแปลงในหนทางที่แท้จริง  ตอนนี้พวกเจ้าเปลี่ยนแปลงบ้างหรือยัง?  (เล็กน้อย)  ขณะนี้เจ้าเปลี่ยนแปลงแล้วเล็กน้อยและเป็นครั้งคราว เมื่อเจ้าเห็นผู้คนทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่สุกเอาเผากิน ไม่ต้องการปฏิบัติความจริง และปล่อยใจไปกับความชูใจทางภายภาพอยู่เสมอ เจ้าย่อมไม่คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดี  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าได้รับการร้องขอให้ไปช่วยและสนับสนุนพวกเขา ปรัชญาเยี่ยงซาตานย่อมจะยังคงจำกัดควบคุมเจ้า  แม้เจ้าค้นพบปัญหานี้ในตัวผู้คน แต่เจ้าก็ไม่อาจหาญที่จะพูดอะไรด้วยเหตุที่กลัวว่าจะล่วงเกินพวกเขา และถึงขั้นคิดว่า “ไม่มีใครเลือกฉันเป็นผู้นำกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องไปยุ่งในเรื่องของคนอื่น”  เมื่อเจ้าเผชิญกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่ยุติธรรมและเป็นลบเหล่านี้ เจ้าไม่สามารถยืนข้างเดียวกับความจริงในการพูดและการกระทำของตนหรือรับผิดชอบ เจ้าก็แค่แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่และคิดว่านั่นเป็นหนทางที่ดีเยี่ยมในการวางตน โดยอยู่ห่างจากการแก่งแย่งแช่งดี  เจ้าคิดว่า “หากมีอะไรผิดพลาดไป นั่นย่อมจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน  ฉันกำลังหลบกระสุน”  หากเจ้ายังคงมีทรรศนะเช่นนี้ เจ้าจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือ?  เจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  ด้วยทรรศนะเช่นนี้ในหัวใจของเจ้า เจ้าย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อ และไม่สามารถยอมรับความจริงได้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทรรศนะเช่นนี้จึงไม่อาจปล่อยไว้โดยไม่มีการแก้ไข  หากเจ้าต้องการมีการเข้าสู่ชีวิต ในแง่มุมหนึ่งนั้นเจ้าต้องสามารถกำกับดูแลตัวเองได้  ในอีกแง่มุมหนึ่ง โดยหลักแล้วเจ้าจำเป็นต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  หากเจ้าสังเกตเห็นว่ามีการตำหนิภายในหัวใจของตน เจ้าก็ควรทบทวนตัวเองและขบคิดให้ออกว่าการตำหนินี้มาจากที่ใด  หากเจ้าสามารถรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังทรงพินิจพิเคราะห์เจ้า และเจ้าเชื่อว่าพระเจ้ากำลังทรงพินิจพิเคราะห์เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  มีเพียงการรู้สึกสำนึกผิด ว้าวุ่นในหัวใจของตนอยู่เนืองนิจ และรู้สึกว่าเจ้าติดค้างพระเจ้าเพราะการอยู่ในสภาวะเหล่านั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะมีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความจริง  มีมาตรฐานสำหรับการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงรวมทั้งการสำแดงถึงการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ขณะนี้พวกเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วในระดับใด?  (เมื่อเกิดสถานการณ์หนึ่งขึ้น ข้าพระองค์สามารถเห็นข้อบกพร่องหลายอย่างในตัวข้าพระองค์เอง แต่ข้าพระองค์ก็ติดอยู่ในสภาวะนั้นเป็นเวลานาน  ข้าพระองค์ไม่รู้วิธีนำมุมมองของความจริงมาใช้เพื่อชำแหละหรือเข้าใจว่าข้าพระองค์มีประเด็นปัญหาใด ข้าพระองค์ไม่มีวิจารณญาณที่ชัดเจนในเรื่องตัวข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์เห็นตัวข้าพระองค์เองไม่ชัดเจน และข้าพระองค์ก็มักจะไม่สามารถเห็นสภาวะของผู้อื่นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน)  หากเจ้าไม่สามารถเห็นตัวเองได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถเห็นผู้อื่นได้อย่างชัดเจน  คำกล่าวนี้ถูกต้อง  เวลาที่คนอื่นมีประเด็นปัญหา เจ้าคิดว่านั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว สภาวะทั้งหลายนั้นดำเนินต่อเนื่องและเป็นเหมือนกัน  หากเจ้าไม่สามารถเห็นสภาวะของตัวเองได้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาของตนได้ นับประสาอะไรที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาของผู้อื่น  ทันทีที่เจ้าแก้ไขประเด็นปัญหาของตนแล้ว เจ้าจะสามารถเห็นประเด็นปัญหาของผู้อื่นอย่างชัดเจนมากและแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านั้นได้ทันที  หากเจ้าต้องการมีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าต้องยึดปฏิบัติตามสองสิ่งต่อไปนี้ สิ่งหนึ่งก็คือเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และอีกสิ่งก็คือขณะที่เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าต้องตรวจสอบตัวเองอยู่เนืองนิจ แสวงหาความจริงเพื่อพลิกทรรศนะ ความคิด จุดยืน เจตนา และสภาวะที่ไม่ถูกต้องกลับมา และผุดขึ้นมาจากสภาวะที่ไม่ถูกต้องทุกจำพวก  หากเจ้ามีเรี่ยวแรงที่จะผุดขึ้นมาจากสภาวะเหล่านั้น เจ้าย่อมจะเอาชนะซาตานและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะกลับตัวแล้ว  เจ้าจะผุดขึ้นมาจากสภาวะนิ่งเฉยและเป็นลบของตน และจะไม่ถูกสภาวะเหล่านี้ตีกรอบและควบคุม  การนี้โดยตัวของมันเองเป็นการก้าวไปข้างหน้า  พวกเจ้าต้องแก้ไขประเด็นปัญหานี้เสียก่อน  พวกเจ้ามีสภาวะที่เป็นลบหรือสภาวะนิ่งเฉยใดบ้าง?  บางคนคิดว่า “ฉันก็เป็นอย่างนั้นเอง  ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของฉัน  ไม่ว่าในกรณีใดพระเจ้าก็ทรงรู้เกี่ยวกับการนั้น และฉันคิดว่าพระองค์ทรงจำแนกชั้นฉันแล้ว  ฉันได้พยายามมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม  ฉันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”  เจ้ามีทรรศนะที่แย่เกี่ยวกับตัวเอง แต่นี่เป็นสภาวะที่เป็นลบ เป็นกรอบความคิดเล็กๆ ของการปล่อยตัวเองให้อยู่ในความสิ้นหวัง  เจ้ายังไม่ได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหานี้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเจ้าสิ้นหวัง?  ผู้คนใช้ชีวิตในสภาวะเช่นนี้อยู่เนืองนิจ หากมีการเผยความเสื่อมทรามให้เห็นชั่วขณะหนึ่งพวกเขาก็คิดว่าพวกเขาได้รับการจำแนกชั้นแล้วและนี่คือคนประเภทที่พวกเขาเป็น  นี่คือสภาวะที่เป็นลบ ซึ่งควรถูกพลิกกลับมา และเจ้าก็ควรผุดขึ้นมาจากสภาวะนี้  พวกเจ้ามีสภาวะที่เป็นลบหรือสภาวะนิ่งเฉยอื่นใดบ้าง?  (ข้าพระองค์ใช้ชีวิตในสภาวะที่ข้าพระองค์ทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพรสวรรค์และขีดความสามารถของข้าพระองค์อยู่เนืองนิจ และขาดพร่องการเข้าสู่ชีวิต  สภาวะนี้รุนแรงมาก)  เมื่อผู้คนทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพรสวรรค์และขีดความสามารถของตน พวกเขาชอบแข่งขันกับผู้อื่นอยู่เสมอ โดยคิดว่า “ทำไมคุณสามารถทำให้งานนี้เสร็จสิ้นได้แต่ฉันไม่สามารถเล่า?  ฉันจำเป็นต้องทำงานหนักและทุ่มเทความพยายามให้กับงานนี้ ต้องพยายามทำงานนี้ให้ดีกว่าคุณ!”  ธรรมชาติเยี่ยงมารของเจ้าปรากฏออกมาในการนี้  ควรทำสิ่งใดเกี่ยวกับธรรมชาติเยี่ยงมารนี้?  เวลาที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย หากเจ้ามีแรงจูงใจหรือจุดเริ่มต้นนี้ จงอย่าใส่ใจการนี้  นี่เป็นการเผยชั่วขณะหรือเป็นความคิดที่ไม่รู้ความชั่วขณะ  จงอย่ากระทำการตามธรรมชาติเยี่ยงมารนี้ แล้วเจ้าก็จะไม่เป็นไร  เจ้าต้องทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง และในหนทางที่ควรทำสิ่งเหล่านั้น  หากเจ้าเผชิญกับความลำบากยากเย็น จงริเริ่มที่จะดูที่วิธีที่คนอื่นรับมือกับความลำบากยากเย็นดังกล่าว  หากพวกเขารับมือกับความลำบากยากเย็นดังกล่าวด้วยดี จงพูดคุยกับพวกเขาแล้วเรียนรู้จากพวกเขา  ในหนทางนี้เจ้าจะพลิกสภาวะที่ไม่ถูกต้องของตนกลับมา  หากเจ้ามีความคิดเหล่านั้นและเผยให้เห็นความเสื่อมทรามภายในแต่ไม่กระทำการในหนทางนั้น เช่นนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมจะถูกกีดขวาง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ามีความคิดเหล่านั้นและกระทำการในหนทางนั้น และการกระทำของเจ้ารุนแรงกว่าความคิดของเจ้าด้วยซ้ำ เช่นนั้นนี่ย่อมก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อนและจะทำให้สิ่งทั้งหลายยุ่งเหยิง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังมากที่สุด

แนวทางของพระเจ้าต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าซ่อนเร้น ปิดบัง หรืออำพรางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น  ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงอำนวยให้เจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น ทรงเปิดโปงเจ้าและทรงทำให้เจ้าได้รับความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น  ทันทีที่เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นก็จบแค่นั้นหรือ?  ไม่  หลังจากเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นและรู้ว่าการทำสิ่งทั้งหลายตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเป็นเรื่องที่ผิด และนั่นเป็นถนนที่เป็นทางตัน เจ้าต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า รวมทั้งอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งเจ้าและประทานเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องให้กับเจ้า  พระวจนะของพระเจ้าพูดถึงสิ่งที่ผู้คนควรทำ แต่ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และบางครั้งก็ไม่ต้องการทำดังที่พระเจ้าตรัส พวกเขาต้องการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตนเอง  แล้วพระเจ้าทรงทำเช่นใด?  พระเจ้าประทานอิสรภาพให้กับเจ้าและทรงอนุญาตให้เจ้ากระทำการในหนทางนี้สำหรับเวลานี้  ขณะที่เจ้าคล้อยตามโดยกระทำการในหนทางนี้ เจ้าจะถึงทางตันและรู้สึกว่าเจ้าทำความผิดพลาดเสียแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะกลับไปหาพระเจ้าและแสวงหาสิ่งที่เจ้าควรทำ  พระเจ้าจะตรัสว่า “ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าเข้าใจข้อกำหนดของเรา  แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ฟัง?”  แล้วเจ้าก็จะพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า เช่นนั้นได้โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์เถิด”  พระเจ้าจะทรงบ่มวินัยเจ้า และนั่นย่อมจะเจ็บปวด ดังนั้นเจ้าก็จะคิดว่า “พระเจ้าไม่ทรงรักข้าพระองค์  พระองค์ทรงโหดร้ายกับข้าพระองค์ขนาดนี้ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงไร้น้ำใจยิ่งนัก”  พระเจ้าจะตรัสว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นเราจะไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป  จงทำสิ่งทั้งหลายต่อไปไม่ว่าเจ้าจะตั้งใจทำอย่างไร” และเจ้าก็จะกลับไปอยู่บนเส้นทางที่เจ้าเคยอยู่มาก่อน  เจ้าจะทำสิ่งทั้งหลาย ถึงทางตันอีกครั้ง และไตร่ตรองว่า “มีบางสิ่งไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันกำลังทำ  ฉันจำเป็นต้องกลับไปและสารภาพบาปของฉัน  ฉันเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า”  เจ้าจะกลับไปหาพระเจ้าอีกครั้งและอธิษฐานและแสวงหา เข้าใจว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นถูกต้อง จากนั้นจึงทำดังที่พระเจ้าตรัส  แต่เมื่อเจ้ากำลังทำเช่นนั้น เจ้าจะคิดว่า “การทำเช่นนี้จะทำความเสียหายต่อความภาคภูมิใจของฉัน  บางทีฉันก็แค่อาจจะดูแลความภาคภูมิใจของฉันก่อน”  เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะตกที่นั่งลำบากอีกครั้ง และทำไม่ได้อีกครั้ง  เจ้าจะกลับไปกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้เมื่อเวลาผ่านไป  หากผู้คนสามารถทบทวนตัวเอง รับรู้ถึงความเบี่ยงเบนภายในตัวพวกเขาเอง ทบทวนและเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าว เช่นนั้นในระหว่างประสบการณ์นี้ วุฒิภาวะของพวกเขาย่อมจะเติบโตอยู่เป็นนิตย์  สำหรับคนที่มีหัวใจซึ่งเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาจะค่อยๆ มีประสบการณ์กับอุปสรรคขัดขวางและความล้มเหลวที่น้อยลง ส่วนต่างๆ ของพวกเขาซึ่งนบนอบพระเจ้าจะเพิ่มขึ้น และส่วนต่างๆ ของพวกเขาที่รักความจริงก็จะเพิ่มขึ้น  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เจ้าล้มเหลวและกบฏขณะที่เจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์กับความจริง พระองค์ไม่ทรงดูที่สิ่งเหล่านี้  นั่นไม่เหมือนกับว่าพระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์เจ้าอีกต่อไป หรือพระองค์จะทรงส่งเจ้าไปนรกหรือลงโทษประหารชีวิตเจ้าด้วยเหตุที่ไม่รับฟังพระองค์ในโอกาสหนึ่ง  พระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนี้  เหตุใดจึงกล่าวกันว่าความรักของพระเจ้ากว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุดเมื่อพระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด?  ความรักของพระเจ้าสำแดงออกมาตรงนี้นี่เอง  สำแดงออกมาในความยอมผ่อนปรนและความอดทนที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน  พระองค์กำลังทรงทนยอมรับเจ้า แต่ไม่ใช่ตามใจเจ้า  ความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พระองค์ทรงรู้วุฒิภาวะของผู้คน ทรงรู้ความสามารถโดยกำเนิดของพวกเขา ทรงรู้สิ่งที่ผู้คนเผยให้เห็นในสภาพการณ์บางอย่าง รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาสามารถบรรลุบนพื้นฐานของวุฒิภาวะของตน และทรงอนุญาตให้เจ้าเผยให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ประทานพื้นที่ปริมาณหนึ่งให้กับเจ้า และทรงยอมรับเจ้าเมื่อเจ้ากลับมาหาพระองค์และกลับใจอย่างจริงใจ ขณะที่ก็รับรู้ถึงความจริงใจแห่งการกลับใจของเจ้า  ดังนั้นเมื่อเจ้าหวนกลับมาและถามพระเจ้าว่าการกระทำการในหนทางนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ พระเจ้าย่อมจะตรัสบอกและประทานคำตอบให้กับเจ้าต่อไป  พระเจ้าจะตรัสบอกเจ้าอย่างอดทนว่าการกระทำในหนทางนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องและทรงยืนยันความถูกต้องให้แก่เจ้า  แต่เมื่อเจ้าเปลี่ยนใจอีกครั้งและพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการทำเช่นนี้  นั่นไม่เป็นประโยชน์ต่อข้าพระองค์และทำให้ข้าพระองค์ไม่มีความสุขและอึดอัด—ข้าพระองค์ยังคงคิดว่าข้าพระองค์ควรทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของข้าพระองค์เอง ในหนทางนั้นข้าพระองค์จะไม่เสียหน้า ข้าพระองค์จะลื่นไหลและแนบเนียน และข้าพระองค์จะสามารถตอบสนองตัวเองได้ในทุกแง่มุม—ข้าพระองค์จะตอบสนองความอยากส่วนบุคคลของข้าพระองค์เป็นอันดับแรก” พระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าสามารถทำไม่ได้ตามมาตรฐาน แต่ด้วยการทำเช่นนั้น เจ้าย่อมเป็นคนที่ในท้ายที่สุดแล้วจะเสียประโยชน์ ไม่ใช่เรา”  ในยามที่พระเจ้ากำลังทรงช่วยเจ้าให้รอด บางครั้งพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เจ้าดื้อรั้นเช่นนี้ นี่คือความยอมผ่อนปรนของพระองค์ และนี่คือความกรุณาที่พระองค์ทรงแสดงให้ผู้คนเห็น  อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนเห็นความกรุณาของพระองค์ พวกเขาไม่สามารถตามใจตัวเองและปฏิบัติต่อความอดทนและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ดังเช่นความอ่อนแอจำพวกหนึ่ง หรือมองความอ่อนแอดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการกบฏต่อพระองค์และไม่ใส่ใจพระวจนะของพระองค์  นี่คือความเป็นกบฏและความเลวร้ายในส่วนของผู้คน  ผู้คนต้องมองเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ความยอมผ่อนปรนและการอดทนที่พระเจ้าทรงแสดงให้เจ้าเห็นนั้นขยายขอบเขตออกไปโดยไม่มีขีดจำกัด หากเจ้าสามารถสำนึกถึงเจตนารมณ์ที่ตั้งใจจริงของพระเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดี  มิใช่ว่าพระเจ้าไม่ทรงสามารถใช้มาตรการสุดโต่งเพื่อช่วยเจ้าให้รอด—เจ้าต้องเข้าใจว่ามีหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของพระเจ้า  พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลายในหนทางมากมาย แต่พระองค์ไม่ทรงใช้มาตรการสุดโต่ง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เจ้าได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ยาก ความคับข้องใจ และความทุกข์ลำบากทุกประเภท รวมทั้งความล้มเหลวและปัญหาที่ทำให้เกิดการชะงักงันมากมาย ในท้ายที่สุด โดยผ่านทางกระบวนการที่เปิดโอกาสให้เจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าตระหนักว่าทั้งหมดที่พระองค์ตรัสไว้นั้นถูกต้องและคือความจริง ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงทำให้เจ้าตระหนักสิ่งที่คิดและจินตนาการ ตลอดจนมโนคติอันหลงผิด ความรู้ ทฤษฎีเชิงปรัชญา ปรัชญาของเจ้า รวมทั้งสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้ในโลกและซึ่งบิดามารดาของเจ้าสอนเจ้ามานั้นล้วนผิด และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถนำเจ้าไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และไม่สามารถนำทางเจ้าให้เข้าใจความจริงหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้ายังคงใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของความล้มเหลว รวมทั้งเส้นทางของการต้านทานและทรยศพระเจ้า ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจน กระบวนการนี้คือบางสิ่งที่เจ้าต้องประสบ และในหนทางนี้เท่านั้นที่ผลลัพธ์จะสัมฤทธิ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับพระเจ้าที่จะทอดพระเนตร ผู้คนเป็นกบฏและมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทนทุกข์เล็กน้อยและได้รับประสบการณ์กับปัญหาที่ทำให้ชะงักงันเหล่านี้  หากไม่มีความทุกข์นี้ พวกเขาย่อมไร้หนทางที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ หากบุคคลหนึ่งมีหัวใจซึ่งรักความจริงอย่างแท้จริง และเต็มใจที่จะยอมรับวิถีทางนานาแห่งความรอดจากพระเจ้า และเต็มใจที่จะยอมลำบากแล้วไซร้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องทนทุกข์มากนัก ที่จริงแล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ต้องประสงค์จะทำให้ผู้คนทนทุกข์มากมายเช่นนั้น และไม่ต้องประสงค์จะทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์กับอุปสรรคขัดขวางและความล้มเหลวมากมายเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนเป็นกบฏเกินไป พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำตามที่บอกให้ทำ ไม่เต็มใจที่จะนบนอบ และไม่สามารถเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือใช้ทางลัด พวกเขาเพียงเดินไปตามทางของตน กบฏต่อพระเจ้า และต้านทานพระองค์  ผู้คนจึงเป็นสิ่งที่เสื่อมทราม ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำได้คือมอบพวกเขาให้แก่ซาตานและวางพวกเขาไว้ในสถานการณ์ที่หลากหลายเท่านั้น เพื่อทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ทุกประเภทและเรียนรู้บทเรียนทุกประเภท และทำความเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่เลวทรามทุกประเภท หลังจากนั้นเมื่อผู้คนกลับมามองอีกครั้ง พวกเขาย่อมจะตระหนักว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และยอมรับว่าพระเจ้าคือความเป็นจริงของทุกสิ่งที่เป็นบวก และเป็นองค์หนึ่งเดียวที่วิตกกังวลเกี่ยวกับผู้คน รักและสามารถช่วยผู้คนให้รอดโดยแท้ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ผู้คนทนทุกข์มากถึงเพียงนี้ แต่มนุษย์เป็นกบฏเกินไป ต้องการใช้เส้นทางที่ผิด และต้องการก้าวผ่านความทุกข์นี้ พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากวางผู้คนไว้ในสถานการณ์ที่หลากหลายเพื่อทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ผู้คนได้รับการทำให้แข็งแกร่งขึ้นจนถึงขอบข่ายใดในท้ายที่สุด?  จนถึงขอบข่ายที่เจ้าพูดว่า “ฉันได้ผ่านประสบการณ์กับสถานการณ์ทุกประเภทแล้ว และบัดนี้ในท้ายที่สุดฉันเข้าใจแล้วว่า นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีบุคคล เหตุการณ์ หรือเรื่องราวใดที่สามารถทำให้ฉันเข้าใจความจริง ที่สามารถทำให้ฉันชื่นชมความจริง หรือที่สามารถทำให้ฉันเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ถ้าฉันปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างเชื่อฟัง อยู่ในที่ของมนุษย์อย่างเชื่อฟัง ค้ำจุนสถานะและหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างเชื่อฟัง ไม่มีการพร่ำบ่นหรืออยากได้สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อจากพระเจ้า และสามารถนบนอบเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงจะเป็นคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง” เมื่อผู้คนมาถึงระดับนี้ พวกเขาก็กราบไหว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง และพระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงจัดเตรียมสถานการณ์ใดๆ เพิ่มเติมเพื่อให้พวกเขาได้ผ่านประสบการณ์อีก ดังนั้นแล้วเส้นทางใดที่พวกเจ้าปรารถนาที่จะใช้?  ในความพึงปรารถนาส่วนตัวของพวกเขา ไม่มีผู้ใดต้องการทนทุกข์ และไม่มีผู้ใดต้องการผ่านประสบการณ์กับการชะงักงัน ความล้มเหลว ความลำบากยากเย็น ความขัดข้องใจ หรือความทุกข์ยาก แต่ไม่มีหนทางอื่น ผู้คนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน พวกเขาเป็นกบฏมากเกินไป และความคิดและมุมมองของพวกเขาซับซ้อนเกินไป  หัวใจของเจ้ามีความย้อนแย้ง ความดิ้นรน และความยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลาทุกวัน เจ้าเข้าใจความจริงไม่กี่ประการ การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าก็ตื้นเขิน และเจ้าขาดพร่องพลังอำนาจที่จะเอาชนะมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเนื้อหนัง ทั้งหมดที่เจ้าทำได้คือใช้แนวทางปกติของมนุษย์ นั่นคือ การผ่านประสบการณ์กับความล้มเหลวและความคับข้องใจอยู่เนืองนิตย์ การล้มลงอยู่เนืองนิตย์ การถูกความยากลำบากโจมตีซ้ำๆ และการเกลือกกลิ้งไปมาอยู่ในโคลนตม จนกระทั่งวันหนึ่งมาถึงเมื่อเจ้าพูดว่า “ฉันเหนื่อย ฉันเบื่อ ฉันไม่ต้องการมีชีวิตแบบนี้ ฉันไม่ต้องการได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวเหล่านี้ ฉันเต็มใจที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างในการเชื่อฟัง ฉันจะฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส และทำสิ่งที่พระองค์ตรัส นี่เท่านั้นเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต” เฉพาะในวันที่เจ้ายอมเชื่อและยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าได้ทำความเข้าใจบางสิ่งเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากการนี้หรือไม่?  สิ่งใดเป็นท่าทีของพระเจ้าต่อผู้คน?  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด พระองค์ก็ทรงปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงกำหนดสถานการณ์ใด หรือพระองค์ทรงขอให้เจ้าทำสิ่งใด แต่พระองค์ก็ทรงปรารถนาที่จะเห็นผลที่ดีที่สุดเสมอ สมมุติว่าเจ้าก้าวผ่านบางสิ่ง และเผชิญกับปัญหาที่ทำให้ชะงักงันและความล้มเหลว พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็นเจ้าท้อแท้เวลาล้มเหลว คิดว่าเจ้าจบสิ้นแล้วและถูกซาตานคว้าตัวไปแล้ว จากนั้นก็ทอดอาลัย ไม่มีวันลุกขึ้นมาเดินด้วยตัวเองอีก และจมอยู่ในความหดหู่—พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็นสิ่งใด?  การที่ขณะที่เจ้าอาจล้มเหลวในเรื่องนี้ แต่เจ้าก็สามารถแสวงหาความจริงและทบทวนตนเอง หาสาเหตุที่เจ้าล้มเหลว ยอมรับบทเรียนที่ความล้มเหลวนี้ได้สอนเจ้า จำความล้มเหลวนี้ในอนาคตได้  รู้ว่าการทำอะไรในหนทางนี้มันผิดและมีเพียงการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ถูกต้อง และตระหนักว่า “ฉันเป็นคนเลว และฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน มีความเป็นกบฏในตัวฉัน ฉันอยู่ห่างไกลจากผู้คนอันชอบธรรมที่พระเจ้าตรัสถึง และฉันไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า” เจ้ามองเห็นข้อเท็จจริงนี้อย่างชัดเจน เจ้าได้มารับรู้ถึงความจริงของเรื่องนี้แล้ว และโดยผ่านทางปัญหาที่ทำให้เกิดการชะงักงันนี้ ความล้มเหลวนี้ เจ้าจึงได้สติอยู่บ้างรวมทั้งเป็นผู้ใหญ่ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็น การเป็นผู้ใหญ่หมายถึงสิ่งใด?  นี่หมายความว่าพระเจ้าสามารถรับเจ้าไว้ได้ ว่าเจ้าสามารถได้รับการช่วยให้รอด เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเจ้าได้เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วแล้ว พระเจ้าทรงหวังที่จะเห็นผู้คนใช้เส้นทางที่ถูกต้อง พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายด้วยเจตนารมณ์อันตั้งใจจริง และทั้งหมดนี้คือความรักที่ซ่อนเร้นของพระองค์ แต่บ่อยครั้งผู้คนหาได้สำนึกถึงสิ่งนี้ไม่ ผู้คนใจแคบและจุกจิกที่สุด ทันทีที่พวกเขาไม่อาจสุขสำราญกับพระคุณและพรของพระเจ้า พวกเขาก็พร่ำบ่นพระเจ้า เริ่มคิดลบ และเกเรด้วยความโกรธ แต่พระเจ้าไม่ทรงถือโทษโกรธพวกเขา พระองค์เพียงทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเด็กที่ไม่รู้ความ และไม่ทรงจับผิดพวกเขา พระองค์ทรงจัดวางสภาพการณ์สำหรับผู้คนเพื่อให้พวกเขารู้วิธีที่จะได้มาซึ่งพระคุณและพร ให้พวกเขาเข้าใจว่าพระคุณมีความหมายเช่นไรต่อมนุษย์ และมนุษย์สามารถได้รับสิ่งใดจากพระคุณได้ สมมุติว่าเจ้าชอบกินบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าแย่สำหรับสุขภาพของเจ้าเมื่อกินมากเกินไป เจ้าก็ไม่ฟัง และดึงดันที่จะกินสิ่งนั้น และพระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าทำการเลือกตัวเลือกนั้นได้อย่างเป็นอิสระ ผลก็คือ เจ้าเจ็บป่วย หลังจากได้รับประสบการณ์กับการนี้หลายครั้ง เจ้าก็ตระหนักว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสอันที่จริงแล้วถูกต้อง ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นถูกต้อง และว่าเจ้าต้องปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ และว่านี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง แล้วสิ่งใดมาจากการชะงักงัน ความล้มเหลว และความทุกข์ที่เจ้าได้รับประสบการณ์?  เหตุผลหนึ่งก็คือ เจ้าสามารถสำนึกถึงเจตนารมณ์อันตั้งใจจริงของพระเจ้า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ นั่นทำให้เจ้าเชื่อและรู้สึกแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้อง และว่าพระวจนะล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง และความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าก็เติบโต มิหนำซ้ำ โดยผ่านทางการมีประสบการณ์กับช่วงเวลาแห่งความล้มเหลวนี้ เจ้ามารับรู้ถึงความสัตย์จริงและความถูกต้องแม่นยำของพระวจนะของพระเจ้า เจ้ามองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเจ้าเข้าใจหลักการของการปฏิบัติความจริง และดังนั้นจึงเป็นการดีที่เจ้าจะผ่านประสบการณ์กับความล้มเหลว—แม้นี่จะเป็นบางสิ่งที่ทำให้เจ้าทนทุกข์และทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นเช่นกัน แต่หากในท้ายที่สุด การถูกทำให้แข็งแกร่งแบบนั้นทำให้เจ้ากลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้เจ้าเข้าใจพระวจนะของพระองค์และยอมรับพระวจนะเอาไว้ในหัวใจของเจ้าในฐานะความจริง และทำให้เจ้ามารู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วการถูกทำให้แข็งแกร่ง การชะงักงัน และความล้มเหลวที่เจ้ามีประสบการณ์ก็จะไม่สูญเปล่า นี่คือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็น  อย่างไรก็ตาม บางคนพูดว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนผู้คนยิ่งนัก ฉันก็จะแค่ปล่อยตัว ทำสิ่งทั้งหลายตามอำเภอใจ และใช้ชีวิตอย่างที่ฉันต้องการ”  นี่พอได้อยู่หรือไม่?  (ไม่ ไม่เป็นการดี)  สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำคือปฏิบัติตามเส้นทางที่ถูกต้องซึ่งพระเจ้าทรงชี้ให้พวกเขาเห็น และไม่สั่นคลอนจากการปฏิบัติดังกล่าว  หากพวกเขาไม่สามารถตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตราบที่พวกเขาไม่ขัดขืนความจริง และสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า นั่นก็พอได้อยู่  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำ  หากเจ้าไถลออกห่างจากความจริง ไม่อธิษฐาน และไม่แสวงหา เช่นนั้นเจ้าย่อมไถลออกห่างจากพระเจ้าไกลเกินไปแล้ว และข้ามเข้าไปในดินแดนที่เป็นอันตรายแล้ว  เมื่อเจ้าอยู่ห่างจากพระเจ้ามากเกินไป ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักร และผละจากพื้นที่ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดไปแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะหยุดทรงพระราชกิจกับเจ้า และเจ้าย่อมจะไม่มีโอกาส และไม่มีความรอดให้พูดถึง  สำหรับเจ้านั้น ความรักของพระเจ้าเป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า

เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจพระเจ้า เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ รวมทั้งท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจะรู้ว่าในท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้าเข้าใจและเข้าสู่ความจริงใดรวมทั้งเข้าใจว่าเจ้าควรเดินตามเส้นทางใด  หลังจากเจ้ารู้สิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ความร่วมมือกับสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำรวมทั้งสิ่งที่พระองค์ต้องประสงค์จะสำเร็จลุล่วงในตัวเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถให้ความร่วมมืออย่างแท้จริงและพลังและเรี่ยวแรงของเจ้าเหนื่อยล้า เช่นนั้นก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเอง พระเจ้าจะไม่ทรงบังคับผู้คน  อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ผู้คนไม่ทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนให้กับสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าไม่ทุ่มเทเรี่ยวแรงเต็มที่ของตนให้กับการปฏิบัติความจริง แต่ทุ่มเทเรี่ยวแรงเต็มที่ของตนให้กับการได้รับพรและมงกุฎแห่งความชอบธรรม เช่นนั้นเจ้าย่อมไถลออกห่างจากเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว  เจ้าต้องทุ่มเทความพยายามของตนให้กับการปฏิบัติความจริงและการให้ความร่วมมือกับภารกิจและหน้าที่ที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้า เจ้าต้องมอบตัวเองและสละตนเองเพื่อสิ่งเหล่านี้ด้วยสุดหัวใจของตน  เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยต่อคนที่ไม่ใส่ใจหน้าที่ของตนอย่างถูกควร แต่การไม่ใส่พระทัยต่อพวกเขาไม่ได้หมายความว่าไม่มีหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของพระองค์  เมื่อพระเจ้าไม่ใส่พระทัยต่อพวกเขา นั่นแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงยอมผ่อนปรน ยอมรับ และอดทน  พระองค์ทรงรู้ว่าผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายในชีวิตของตน สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านี้สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใดและไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใด ผู้คนบางประเภทสามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใดและไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใดเมื่อถึงวัยหนึ่ง  พระเจ้าทรงมีความชัดเจนมากที่สุดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เป็นเช่นนั้นมากกว่าผู้คนเองยิ่งนัก  อย่างไรก็ตาม เพียงเพราะพระเจ้าเข้าพระทัยอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะพูดได้ว่า “เอาล่ะ ข้าแต่พระเจ้า เช่นนั้นทรงทำดังที่พระองค์ทรงโปรด  ข้าพระองค์ไม่จำเป็นต้องคิดถึงอะไรเลย  ข้าพระองค์สามารถนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรได้ทั้งวันและรอให้มานาร่วงจากฟ้าสวรรค์  ไม่เป็นไรเลยที่พระเจ้าจะทรงรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่าง”  ผู้คนต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการให้ความร่วมมือเมื่อดำเนินการความรับผิดชอบของตน สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาควรทำ สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาควรเข้าสู่ สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาควรปฏิบัติ และสิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในความสามารถโดยกำเนิดที่จะสำเร็จลุล่วงของผู้คน  การพยายามอย่างเต็มที่ในการให้ความร่วมมือหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าต้องทุ่มเทเวลาและพลังให้กับหน้าที่ของตน ทนทุกข์ และยอมลำบากเพื่อการนี้  บางครั้งความภาคภูมิใจ ความถือดี และผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองก็ต้องรับความสูญเสีย และเจ้าต้องปล่อยมือจากการที่เจ้าโหยหาบั้นปลายรวมทั้งความอยากที่จะได้รับพรของเจ้าอย่างสิ้นเชิง  สิ่งเหล่านี้ควรถูกปล่อยมือไป ดังนั้นเจ้าก็ต้องปล่อยสิ่งเหล่านี้ไป  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่า “จงอย่าใฝ่หาความสุขสบายทางเนื้อหนัง ด้วยเหตุที่นั่นไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของเจ้า”  เจ้าไม่สามารถนบนอบพระองค์ และหลังจากได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวหลายครั้ง เจ้าก็คิดว่า “พระเจ้าตรัสถูก  เหตุใดฉันจึงไม่สามารถนำประสบการณ์นี้ไปปฏิบัติและขัดขืนเนื้อหนัง?  ฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้กระนั้นหรือ?  พระเจ้าก็ทรงมองฉันอย่างนี้ใช่ไหม?  พระองค์จะไม่ทรงช่วยฉันให้รอดหรือ?  ฉันสิ้นหวังแล้ว ดังนั้นฉันก็แค่จะเป็นคนลงแรง และลงแรงจนถึงที่สุด”  นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่?  (ไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้)  ผู้คนมักจะอยู่ในสภาวะนี้ พวกเขาเพียงต้องการไล่ตามไขว่คว้าพรและมงกุฎเท่านั้น หรือไม่เช่นนั้น—เมื่อมีประสบการณ์กับความล้มเหลวสักสองสามครั้ง—พวกเขาก็คิดว่าพวกเขาไม่ดีพอสำหรับงานนี้ และคิดว่าพระเจ้าก็ทรงตัดสินโทษพวกเขาแล้วเช่นกัน นี่เป็นเรื่องผิด หากเจ้าสามารถพลิกฟื้นสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้นได้ทันเวลา เปลี่ยนแปลงหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเจ้า ปล่อยมือจากความชั่วที่มือของเจ้ากระทำ หวนคืนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สารภาพและกลับใจกับพระเจ้า ยอมรับรู้ว่าการกระทำของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นผิด และยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง จากนั้นจึงปฏิบัติตามเส้นทางซึ่งพระเจ้าได้ทรงบ่งชี้ให้แก่เจ้า โดยปราศจากการล้มเลิกการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ว่าเจ้านั้นด่างพร้อยเพียงใด เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง ในครรลองแห่งการได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาและการได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนย่อมจำเป็นที่จะต้องเผชิญกับความลำบากยากเย็นมากมาย  ตัวอย่างเช่น การไม่สามารถนบนอบต่อสถานการณ์ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ ความคิด ทรรศนะ การจินตนาการ อุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความรู้ และของประทานนานัปการของพวกเขาเอง หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นปัญหาและความผิดนานัปการของพวกเขาเอง  เจ้าต้องสู้รบกับความลำบากยากเย็นทุกลักษณะ ทันทีที่เจ้าเอาชนะความลำบากยากเย็นและสภาวะมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้แล้ว และการสู้รบในหัวใจของเจ้าจบลงแล้ว เจ้าย่อมจะครองความจริงความจริง เจ้าจะไม่ถูกสิ่งเหล่านี้พันธนาการอีกต่อไป และเจ้าจะหลุดพ้นและเป็นอิสระ ปัญหาหนึ่งที่ผู้คนเผชิญกันบ่อยครั้งในระหว่างกระบวนการนี้ก็คือ ก่อนที่จะค้นพบปัญหาทั้งหลายในตัวพวกเขาเอง พวกเขาคิดว่าพวกเขาดีกว่าทุกคน และจะได้รับการอวยพรต่อให้ไม่มีใครคนอื่นได้รับ ซึ่งเหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล เมื่อพวกเขาค้นพบความลำบากยากเย็นของตน พวกเขาก็คิดว่าตนเองไม่มีคุณค่า และคิดว่าพวกเขาจบสิ้นแล้ว มีความสุดขั้วสองอย่างอยู่เสมอ เจ้าต้องเอาชนะความสุดขั้วทั้งสองอย่างนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่หันเหไปทางใดทางหนึ่ง  เมื่อเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็น ต่อให้เจ้าตระหนักอยู่แล้วว่าปัญหานี้จัดการได้ยากอย่างที่สุด และยากลำบากที่จะแก้ไข แต่เจ้าก็ควรเผชิญหน้าปัญหานี้อย่างถูกควร มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเอ่ยขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในการแก้ไขปัญหานี้ และค่อยๆ ลดปัญหานี้ลงด้วยการแสวงหาความจริงไปทีละนิด เหมือนมดแทะกระดูก และพลิกฟื้นสภาวะนี้  เจ้าต้องกลับใจต่อพระเจ้า การกลับใจคือข้อพิสูจน์ว่าเจ้ามีหัวใจที่ยอมรับความจริงและมีท่าทีของการนบนอบ ซึ่งหมายความว่ามีความหวังที่เจ้าจะได้รับความจริง  และในท่ามกลางการนี้ หากมีความลำบากยากเย็นอันใดปรากฏให้เห็นมากขึ้น จงอย่ากลัว จงอธิษฐานถึงพระเจ้าแล้วพึ่งพาพระองค์โดยเร็ว พระเจ้ากำลังทรงเฝ้าดูและรอคอยเจ้าอยู่อย่างลับๆ และตราบใดที่เจ้าไม่ออกจากสภาพแวดล้อม กระแส และวงเขตแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ ก็ย่อมมีความหวังสำหรับเจ้า—แน่นอนที่สุดว่าเจ้าต้องไม่ล้มเลิก หากทั้งหมดที่เจ้าเผยออกมาคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามตามปกติ เช่นนั้นแล้ว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าวและยอมรับความจริง และปฏิบัติความจริง วันหนึ่งจะมาถึงเมื่อปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข เจ้าต้องมีความเชื่อในการนี้ พระเจ้าคือความจริง—เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นต้องกลัวว่าปัญหาเล็กน้อยของเจ้านี้จะไม่สามารถแก้ไขได้?  นี่ล้วนแต่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นเหตุใดจึงคิดลบ?  พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งเจ้า ดังนั้นเหตุใดจึงหมดหวังในตัวเจ้าเอง?  เจ้าไม่ควรล้มเลิก และเจ้าไม่ควรคิดลบ เจ้าควรเผชิญกับปัญหาอย่างถูกควร  เจ้าต้องรู้ธรรมบัญญัติปกติสำหรับการเข้าสู่ชีวิต และสามารถมองเห็นการเผยให้เห็นและการสำแดงถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตลอดจนความคิดลบ ความอ่อนแอ และความงุนงงสับสนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวว่าเป็นสิ่งปกติ  กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเราเป็นกระบวนการที่ยาวนานและเกิดซ้ำๆ  เมื่อเจ้าเข้าใจจุดนี้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะสามารถเผชิญปัญหาทั้งหลายได้อย่างถูกควร  บางครั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็เผยตัวเองออกมาอย่างรุนแรง และเรื่องนี้ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นขยะแขยง และเจ้าก็เกลียดชังตัวเอง  หรือบางครั้งเจ้าปล่อยปละละเลยเกินไปและถูกพระเจ้าบ่มวินัย  นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องกลัว  ตราบเท่าที่พระเจ้ากำลังทรงบ่มวินัยเจ้า ตราบเท่าที่พระองค์ยังคงใส่พระทัยและคุ้มครองเจ้า ยังคงทรงพระราชกิจในตัวเจ้า และทรงอยู่กับเจ้าเสมอ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งเจ้า แม้เมื่อมีช่วงเวลาที่เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงทิ้งเจ้าไป และรู้สึกว่าเจ้าถูกผลักไสเข้าสู่ความมืดมิด จงอย่าหวาดกลัว ตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่และไม่ได้อยู่ในนรก เจ้ายังคงมีโอกาส อย่างไรก็ตามหากเจ้าเป็นเช่นเปาโลผู้เดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างดื้อดึง และท้ายที่สุดก็เป็นพยานยืนยันว่าสำหรับเขาการมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ ทั้งหมดก็จบสิ้นแล้วสำหรับเจ้า หากเจ้าสามารถเกิดมีสำนึกของเจ้าขึ้นมาได้ เจ้าก็ยังคงมีโอกาส โอกาสที่เจ้ามีคืออะไร?  คือโอกาสที่เจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยังสามารถอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาได้โดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  โปรดทรงให้ความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง และแง่มุมนี้ของเส้นทางของการปฏิบัติด้วยเถิด” ตราบเท่าที่เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระเจ้า เจ้าย่อมมีหวังที่จะได้รับความรอด และสามารถไปถึงปลายทางที่แท้จริงได้ วจนะเหล่านี้ชัดเจนมากพอหรือไม่?  เจ้ายังคงหมิ่นเหม่ที่จะคิดลบหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เส้นทางของพวกเขาย่อมเป็นเส้นทางที่กว้าง หากพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เส้นทางนั้นก็แคบ มีความมืดมิดในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาย่อมไม่มีเส้นทางที่จะย่ำเดิน พวกที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมเป็นดังต่อไปนี้คือ พวกเขาใจแคบ พวกเขาคิดเล็กคิดน้อยอยู่เสมอ และพวกเขาพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและเข้าใจพระเจ้าผิดเสมอ ผลก็คือยิ่งพวกเขาเดินห่างออกไปมากขึ้นเท่าใด เส้นทางของพวกเขาก็ยิ่งปลาสนาการไปมากขึ้นเท่านั้น ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้า หากพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนดังที่พวกเขาจินตนาการ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงจะจบสิ้นไปนานแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้น

บาปเจ็ดประการของเปาโลแสดงถึงการเผยที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม แต่เปาโลเป็นแค่กรณีที่รุนแรงที่สุด  แก่นแท้ธรรมชาติของเขาถูกกำหนดไว้แล้ว—นั่นคือตัวตนของเขา  อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้พบได้ทั่วไปกับมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมด คนทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ในระดับที่ต่างกัน  สภาวะเหล่านี้ล้วนมีต้นตอมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  แม้เจ้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเปาโล แต่เจ้าก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้เช่นกัน เจ้าแค่ไม่สำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ออกมาอย่างรุนแรงเท่ากับที่เขาสำแดงออกมา  ณ เวลาปัจจุบัน สภาวะจำพวกนี้ที่พวกเจ้าส่วนใหญ่มีนั้น พระเจ้าทรงมองเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา  อย่างไรก็ตาม เปาโลไม่ได้แค่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เขาอยู่บนเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้า และปฏิเสธที่จะกลับใจอย่างดื้อด้าน  เขาถูกลงโทษและถูกกล่าวโทษ  เขามีธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ และธรรมชาติเยี่ยงปีศาจซึ่งเกลียดชังความจริงนี้ของเขาก็เกินกว่าจะช่วยเหลือได้  หลังจากนี้ พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมปาฐกถานี้และเปรียบเทียบตัวเองกับปาฐกถานี้  เป้าหมายของเรื่องนี้คือเพื่อรับรู้ถึงความรุนแรงของความผิดพลาดเหล่านี้ซึ่งเปาโลทำไป จากนั้นจึงเปิดเผยสภาวะอันเสื่อมทรามทั้งหมดที่เจ้ามี ซึ่งก็เป็นเหมือนของเปาโล แล้วแก้ไขสภาวะอันเสื่อมทรามดังกล่าวไปทีละขั้น  เหตุผลที่ต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้คือเพื่อทำให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความเข้ากันได้กับพระเจ้าที่เพิ่มขึ้น  มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้เท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง เข้ากันได้กับพระองค์ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง และทำให้พระเจ้าทรงพิจารณาพวกเขาด้วยความพึงพอใจ  พวกเจ้ายกข้อเทียบเคียงขึ้นมาเปรียบกับตัวเองหรือไม่?  (พวกข้าพระองค์ขาดพร่องในแง่มุมนี้เล็กน้อย)  สิ่งที่พวกเจ้าขาดพร่องมากที่สุดคือความจริง  ความจริงคือสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าสู่  พวกเจ้ามีสิ่งทั้งหลายจำนวนมากมายภายในตัวเจ้าในตอนนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเสื่อมทรามและไม่ดี  พวกเจ้ามีความรู้ที่ไร้สาระอยู่บ้าง หยุมหยิมเกินไป คิดถึงการทำธุรกรรมและการแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ มีสิ่งที่เป็นลบมากเกินไป และกลายมาเป็นคิดลบเมื่อเจ้าไม่ทำงานให้ดี หรือรับรู้ความลำบากยากเย็น  เมื่อเจ้าเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้า ภาวะอารมณ์เชิงลบก็เกิดขึ้นในตัวเจ้า และเจ้าก็ต่อต้านและต่อสู้กับพระราชกิจของพระองค์  เมื่อเจ้าสำเร็จลุล่วงผลลัพธ์เล็กน้อยบางอย่างในงานของตน นั่นทำให้เจ้าทะนงตนและเจ้าก็ลืมตัวเอง  เจ้ากลายเป็นโอหังและไม่รู้ตำแหน่งแห่งที่ของตนในจักรวาล คิดว่าเจ้าเหนือคนอื่นขาดลอย และต้องการให้พระเจ้าประทานมงกุฎและบำเหน็จให้กับเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้ายังอาจหาญที่จะไม่ยับยั้งชั่งใจในที่สาธารณะอีกด้วย  สรุปสั้นๆ ก็คือ สภาวะเหล่านี้สอดคล้องกับสภาวะของเปาโล—สภาวะทั้งสองอย่างนี้เป็นเหมือนกัน และพระเจ้าก็ทรงเกลียดสภาวะทั้งสองอย่างนี้

พวกเราได้สรุปย่อและให้นิยามบาปเจ็ดประการของเปาโลแล้ว  ในท้ายที่สุดแล้วเปาโลก็กลายเป็นเป้าหมายของการลงโทษ  เมื่อพระเจ้าทรงตัดสินจุดจบของเปาโล พระองค์ทรงใช้บาปแค่หนึ่งประการของเขาเป็นพื้นฐานในการตัดสินดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่)  ใช้ร่วมกัน นี่คือปลายทางที่เขาควรมี นี่คือหนทางที่เขาควรลงเอย  ข้อเท็จจริงทั้งหลายก็อยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้  หากมีบางคนท่ามกลางพวกเจ้าที่เดินบนถนนเช่นถนนของเปาโลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ สำแดงบาปทั้งหมดเจ็ดประการของเปาโลออกมา และไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขบาปเหล่านั้นได้ จุดจบของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  (อย่างเดียวกับของเปาโล)  เจ้าจะกลายเป็นปีศาจผู้เป็นศัตรูของพระคริสต์เหมือนเปาโล และควรถูกลงโทษ  เมื่อเจ้าถูกลงโทษ จงอย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าไม่ทรงชอบธรรม  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรสรรเสริญความชอบธรรมของพระเจ้า และพูดว่า “พระเจ้าทรงชอบธรรม!  พระเจ้าทรงเปิดโปงบาปเจ็ดประการของเปาโล และพระวจนะของพระองค์อธิบายบาปเหล่านั้นไว้แล้ว  เป็นฉันนั่นเองที่ไม่ได้เข้าสู่พระวจนะของพระองค์!”  ตอนนี้สิ่งทั้งหลายแตกต่างไปจากเมื่อสองพันปีก่อน พระเจ้าตรัสบอกผู้คนเกี่ยวกับความจริงทุกประการอย่างชัดเจนและโปร่งใส และความจริงเหล่านี้ก็เขียนขึ้นเพื่อเจ้า เพื่อให้เจ้าได้ยินและเข้าใจความจริงเหล่านี้ และสามารถเห็นว่านั่นคือวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงทำให้สิ่งทั้งหลายสำเร็จลุล่วงในชีวิตจริงเช่นกัน  หากเจ้ายังคงไม่สามารถเข้าสู่ความจริง และไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามพระวจนะของพระเจ้า จงอย่าติเตียนพระเจ้าที่ทรงลงโทษเจ้าตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ในหนังสือวิวรณ์ พระเจ้าตรัสว่า “นี่แน่ะ เราจะมาในเร็วๆ นี้ และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน” (วิวรณ์ 22:12)  พระเจ้าทรงตอบแทนผู้คนตามสิ่งที่พวกเขาทำ  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรทบทวนตัวเองและเข้าใจตัวเองเมื่อพิจารณาตามพระวจนะของพระเจ้า และเมื่อพิจารณาตามบาปเจ็ดประการของเปาโลที่พระเจ้าทรงเปิดโปง รวมทั้งสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ

14 มิถุนายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: มีเพียงด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้

ถัดไป: มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger