93. การร่วมมือกันอย่างปรองดองคือกุญแจสำคัญในหน้าที่

โดย แคเธอรีน, ประเทศสหรัฐอเมริกา

ในฤดูร้อน ค.ศ. 2020 พี่น้องหญิงออเดรย์และฉันทำงานวิดีโออยู่ในคริสตจักร  ฉันรับผิดชอบการมอบหมายงานในเวลานั้น  ฉันจึงจัดแจงให้ออเดรย์ทำงานง่ายๆ ส่วนฉันก็ผลิตงานที่สำคัญ  ฉันนึกว่าตัวเองจะจัดการงานเหล่านั้นเองได้ เพราะในอดีตฉันเคยทำงานใหญ่เสร็จด้วยตัวคนเดียวมาตลอด  ฉันผ่านการฝึกฝนมามากกว่าพี่น้องออเดรย์ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าเธอไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับงานเหล่านั้น  นอกจากนี้ถ้าฉันทำคนเดียว ความดีความชอบก็จะตกเป็นของฉัน ซึ่งจะช่วยเน้นให้เห็นความสามารถของฉันและทำให้พี่น้องชายหญิงยอมรับนับถือฉันมากขึ้น  ต่อมางานของฉันมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก ฉันจึงต้องทำงานล่วงเวลาทุกวัน  บางครั้งออเดรย์เข้านอนแต่หัวค่ำ ขณะที่ฉันยังเร่งทำงานอยู่จนดึกดื่น ฉันตื่นแต่เช้าก่อนเธอและรู้สึกเหนื่อยมาก  แต่ฉันไม่ต้องการให้เธอมาแบกรับภาระร่วมกับฉัน  ฉันทำงานของฉันให้เสร็จด้วยตัวเองมาตลอด ดังนั้นถ้าเธอช่วยแบ่งงานของฉันไปทำ พี่น้องชายหญิงก็จะคิดเป็นแน่ว่าความสามารถในการทำงานของฉันนั้นแย่ ซึ่งย่อมจะน่าอับอาย  บางครั้งฉันก็คิดว่าถ้าให้พออเดรย์ช่วย อะไรๆ ก็จะเร็วขึ้น ฉันจะไม่ยุ่งขนาดนี้ และผลลัพธ์ย่อมจะดีกว่าที่ฉันทำคนเดียว  แต่เมื่อฉันคิดถึงการแบ่งปันความดีความชอบกับเธอ ฉันก็รู้สึกไม่พอใจ  และเพราะเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ฉันจึงไม่เคยให้ออเดรย์มีส่วนร่วมในงานของฉัน  ในเวลานั้นฉันไม่ได้ทบทวนตัวเองจนกระทั่งวันหนึ่ง มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกฉันว่าออเดรย์ไม่ได้แบกรับภาระอะไรในหน้าที่ของเธอและขอให้ฉันสามัคคีธรรมกับเธอ  ตอนนั้นฉันคิดว่า “การที่ออเดรย์ไม่ได้แบกรับภาระมีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันหรือเปล่า?  ฉันยุ่งตัวเป็นเกลียวทุกวัน และรู้ว่าเธอมีเวลา แต่ฉันก็ไม่มอบหมายงานใหม่ให้เธอ ซึ่งทำให้เธอไม่มีอะไรทำ”  ฉันตระหนักพอเลาๆ ว่าการทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และฉันจะดึงให้งานของคริสตจักรล่าช้าในท้ายที่สุดด้วยการทำงานอยู่คนเดียว  แต่แล้วฉันก็คิดว่าฉันจัดการได้ถ้าพยายามมากขึ้นอีกหน่อย ดังนั้นฉันจึงปล่อยสิ่งต่างๆ เอาไว้ตามเดิม  แม้จะตระหนักว่าเจตนาของตนนั้นผิด แต่ฉันก็ยังปล่อยมือไม่ได้ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำให้ฉันละทิ้งเจตนาที่ผิดเหล่านี้

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “แม้ผู้นำและคนทำงานจะมีคู่ทำงาน และทุกคนที่ทำหน้าที่ย่อมจะมีคู่ทำงาน แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็เชื่อว่าตนมีขีดความสามารถดีและเก่งกว่าคนทั่วไป ดังนั้นคนทั่วไปย่อมไม่คู่ควรที่จะมาเป็นคู่ทำงานของพวกเขา และล้วนด้อยกว่าพวกเขาทั้งสิ้น  นี่คือสาเหตุที่ศัตรูของพระคริสต์ชอบเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดและไม่ชอบหารือเรื่องต่างๆ กับใครอื่น  พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนั้นทำให้ตนดูเหมือนไร้ความสามารถไม่มีอะไรดีสักอย่าง  นี่เป็นมุมมองแบบไหน?  เป็นอุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยอันโอหังมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าการให้ความร่วมมือและหารือเรื่องทั้งหลายกับผู้อื่น การสอบถามและแสวงหาคำตอบจากผู้อื่นนั้นไม่มีศักดิ์ศรีและเสียเกียรติ เป็นการปรามาสความนับถือตนเองของพวกเขา  ดังนั้นแล้ว เพื่อที่จะอารักขาความนับถือตนเองของพวกเขา พวกเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้มีความโปร่งใสในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่บอกผู้อื่นเกี่ยวกับสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเสวนาสิ่งนั้นกับผู้อื่น  พวกเขาคิดว่าการเสวนากับผู้อื่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวพวกเขาเองไร้สมรรถภาพ ว่าการเที่ยวร้องขอความเห็นของผู้คนอื่นๆ อยู่เสมอหมายความว่าพวกเขานั้นโง่เขลาและไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้ ว่าการทำงานกับผู้อื่นเพื่อทำกิจหนึ่งให้เสร็จหรือแก้ปัญหาบางอย่างทำให้พวกเขาดูไร้ประโยชน์  นี่คือวิธีคิดที่โอหังและไร้สาระของพวกเขามิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขามิใช่หรือ?  ความโอหังและความคิดว่าตนเองถูกภายในตัวพวกเขานั้นชัดเจนจนเกินไป พวกเขาสูญสิ้นเหตุผลตามปกติของมนุษย์ไปหมดแล้ว และออกจะคิดอะไรเพี้ยนๆ  พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนเองมีความสามารถ ทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยตนเอง และไม่มีความจำเป็นต้องร่วมมือกับผู้อื่น  ในเมื่อพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์ความร่วมมือที่กลมกลืนกันได้  พวกเขาเชื่อว่าการร่วมมือกับผู้อื่นคือการทำให้อำนาจของพวกเขาเจือจางลงและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ว่าเมื่อมีการแบ่งงานกับผู้อื่น อำนาจของพวกเขาเองลดน้อยลง และพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเองได้ ซึ่งย่อมหมายความว่าพวกเขาขาดพร่องอำนาจที่แท้จริง ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วเป็นการสูญเสียอย่างมหาศาล  ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาเข้าใจและพวกเขารู้ว่าจะจัดการเรื่องนั้นอย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร พวกเขาย่อมจะไม่หารือเรื่องนั้นกับผู้ใด และพวกเขาจะตัดสินชี้ขาดทั้งหมดเอง  พวกเขาเลือกที่จะทำความผิดพลาดมากกว่าที่จะปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ รู้ พวกเขาเลือกที่จะผิดมากกว่าจะแบ่งปันอำนาจร่วมกับใครคนอื่น และพวกเขาเลือกที่จะถูกปลดแทนการปล่อยให้ผู้อื่นเข้าไปก้าวก่ายงานของพวกเขา  นี่คือศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาสู้ทำอันตรายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า สู้เดิมพันด้วยผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียดีกว่าที่จะแบ่งปันอำนาจของพวกเขากับใครอื่น  พวกเขาคิดว่าเวลาพวกเขากำลังทำงานสักชิ้นหรือกำลังจัดการเรื่องราวบางอย่าง นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นโอกาสนำเสนอตัวเองให้โดดเด่นเหนือผู้อื่น และเป็นโอกาสใช้อำนาจ  เพราะฉะนั้น แม้พวกเขาจะบอกว่าตนจะร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวและจะหารือเรื่องต่างๆ ร่วมกับผู้อื่นเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมา แต่ความจริงก็คือ ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือจากอำนาจหรือสถานะของตน  พวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเข้าใจคำสอนบางอย่างและสามารถทำตามนั้นได้ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใคร พวกเขาคิดว่าควรดำเนินการและทำให้เสร็จโดยลำพัง และนี่เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีความสามารถ  ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเขาไม่รู้ว่าหากพวกเขาละเมิดหลักธรรม พวกเขาก็ไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่สามารถดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้า และเอาแต่ออกแรงทำงานเท่านั้น  เวลาทำหน้าที่ของตน แทนที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริง พวกเขากลับใช้อำนาจตามความคิดและเจตนาของตนเอง อวดตัว และแห่แหนตนเอง  ไม่ว่าคู่ทำงานของพวกเขาจะเป็นใครหรือทำอะไร พวกเขาก็ไม่เคยอยากหารือเรื่องทั้งหลายด้วย พวกเขาอยากลงมือเองอยู่เสมอ และอยากตัดสินชี้ขาดตลอดเวลา  เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเล่นกับอำนาจและใช้อำนาจทำสิ่งต่างๆ  ศัตรูของพระคริสต์รักอำนาจกันทุกคน และเมื่อมีสถานะแล้ว พวกเขาก็อยากได้อำนาจมากขึ้น  เมื่อมีอำนาจ ศัตรูของพระคริสต์ก็มีแนวโน้มที่จะใช้สถานะของตนเพื่ออวดตัวและแห่แหนตนเอง เพื่อให้ผู้อื่นยกย่องนับถือตน และสัมฤทธิ์เป้าหมายของการโดดเด่นเหนือคนอื่นๆ  ด้วยเหตุนี้ศัตรูของพระคริสต์จึงหมกมุ่นอยู่กับอำนาจและสถานะ และจะไม่มีวันปล่อยอำนาจของตนไปเป็นอันขาด(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  ในพระวจนะของพระเจ้า ฉันมองเห็นว่าศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยที่โอหังมากและไม่ร่วมมือกับใคร  พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาแบ่งงานของตนให้คนอื่นทำ พวกเขาก็จะดูไม่มีความสามารถ เกิดการกระจายอำนาจ และคนอื่นจะไม่เลื่อมใสในตัวพวกเขา  ดังนั้นพวกเขาจึงยอมปล่อยให้งานของคริสตจักรได้รับผลกระทบมากกว่าที่จะแบ่งงานให้คนอื่นช่วยทำ  ฉันคิดทบทวนและตระหนักว่าตนเองก็เป็นอย่างเดียวกัน  ฉันไม่อยากให้ออเดรย์เข้ามามีส่วนในงานของฉันเพราะฉันกลัวว่าการมีส่วนร่วมของเธอจะทำให้ฉันดูไร้ความสามารถ และทำลายภาพลักษณ์ของฉัน ดังนั้นฉันจึงทำงานตามลำพัง  ผลก็คือฉันอ่อนล้าและงานก็ล่าช้า  ฉันโอหังและไม่มีเหตุผลเกินไปจริงๆ!  ไม่ว่าจะมีงานอะไรอยู่ในคริสตจักร ก็ไม่มีใครทำงานคนเดียวได้  ทุกคนต้องการคู่ทำงานและความช่วยเหลือ และพี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องทำงานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อให้งานเสร็จสมบูรณ์ เพราะไม่มีใครเพียบพร้อม  ไม่ว่าขีดความสามารถของพวกเขาจะสูงส่งขนาดไหน หรือพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขาจะเป็นอะไร ทุกคนต่างก็มีจุดอ่อนและข้อบกพร่อง และพวกเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากตนเองและให้ความร่วมมือกับคู่ทำงานเพื่อที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี  แต่ฉันมีอุปนิสัยที่โอหังอย่างหนึ่ง  ฉันทะเยอทะยานในหน้าที่เกินไป อยากได้ความดีความชอบทั้งหมด และต้องการให้คนอื่นเลื่อมใสในตัวฉัน  ฉันยอมให้งานของคริสตจักรล่าช้าดีกว่ายอมให้ผู้คนมาร่วมงานหรือก้าวก่ายงานของฉัน  ฉันไม่ได้กำลังสั่งสมความประพฤติดีด้วยการทำหน้าที่ของตนในลักษณะนี้  ฉันกำลังทำชั่ว!  เมื่อตระหนักดังนี้ ฉันก็เศร้ามาก จึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โอหังเกินไป ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลอย่างสิ้นเชิง  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ  ได้โปรดนำข้าพระองค์ให้รู้จักตนเองด้วยเถิด”

วันหนึ่งฉันมองหาพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของตนเอง และได้พบบทตอนนี้ ความว่า “คนเราต้องทำสิ่งใดเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี?  คนเราต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุดหัวใจของตนและสุดกำลังของตน  การใช้หัวใจและกำลังทั้งหมดของตนหมายถึงการทุ่มเทความคิดทั้งหมดของตนให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนและไม่ปล่อยให้สิ่งอื่นมายึดครองความคิด จากนั้นจึงใช้กำลังที่ตนมี ทุ่มเทพลังทั้งมวลของตน และนำขีดความสามารถ พรสวรรค์ จุดแข็งของตน และสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าใจมาทำให้กิจนั้นเกิดผล  หากเจ้ามีความสามารถในการทำความเข้าใจและสามารถเข้าใจได้ และมีแนวคิดที่ดี เจ้าต้องสื่อสารเรื่องนี้กับผู้อื่น  นี่คือความหมายของการร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว  นี่คือวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี วิธีที่เจ้าจะสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างน่าพึงพอใจ  หากเจ้าปรารถนาที่จะทำทุกสิ่งด้วยตนเองเสมอ หากเจ้าต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยลำพังเสมอ หากเจ้าต้องการให้จุดสนใจอยู่ที่ตนเองเสมอ ไม่ใช่ผู้อื่น เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่กระนั้นหรือ?  สิ่งที่เจ้าทำเรียกว่าอัตตาธิปไตย เป็นการแสดงละครตบตา เป็นพฤติกรรมเยี่ยงซาตาน ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่  ไม่ว่าจะมีจุดแข็ง พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอันใด ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำงานทั้งหมดด้วยตนเองได้ พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมืออย่างกลมเกลียวหากพวกเขาคิดจะทำงานของคริสตจักรให้ดี  นั่นคือสาเหตุที่การร่วมมืออย่างกลมเกลียวคือหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ตราบใดที่เจ้าใช้หัวใจและกำลังทั้งหมดของเจ้า ใช้ความจงรักภักดีทั้งหมดของเจ้า และมอบถวายทุกสิ่งที่เจ้าทำได้ เจ้าก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นอย่างดี  หากเจ้ามีความคิดหรือแนวคิด จงบอกผู้อื่น อย่าสะกดกลั้นหรือเก็บงำไว้—หากเจ้ามีคำชี้แนะ จงเสนอออกมา แนวคิดของผู้ใดก็ตามที่สอดคล้องกับความจริงก็ควรได้รับการยอมรับและทำตาม  จงทำเช่นนี้และเจ้าจะสัมฤทธิ์การร่วมมืออย่างกลมเกลียว  นี่คือความหมายของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราด้วยความจงรักภักดี  ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่ต้องทำทุกสิ่งด้วยตนเอง หรือทำงานหนักจนตัวตาย หรือเป็น ‘ดอกไม้ดอกเดียวที่เบ่งบาน’ หรือเป็นอิสรชน ในทางกลับกัน เจ้าต้องเรียนรู้วิธีร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว และทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้ ทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วง ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของเจ้า  นั่นคือความหมายของการปฏิบัติหน้าที่ของตน  การปฏิบัติหน้าที่ของตนคือการใช้พลังและความสว่างทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อสัมฤทธิ์ผล  นั่นเพียงพอแล้ว  จงอย่าพยายามโอ้อวดอยู่เสมอ อย่าพูดสิ่งที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอ อย่าทำสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเจ้าเอง  เจ้าควรเรียนรู้วิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น และเจ้าควรมุ่งเน้นมากขึ้นที่จะรับฟังคำชี้แนะของผู้อื่นและค้นหาจุดแข็งของพวกเขา  ในหนทางนี้ การร่วมมืออย่างกลมเกลียวย่อมกลายเป็นง่าย  หากเจ้าพยายามโอ้อวดและพยายามให้คนทำตามที่เจ้าพูดอยู่เสมอ เจ้าก็ไม่ได้กำลังร่วมมืออย่างกลมเกลียว  เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?  เจ้ากำลังก่อความไม่สงบและบ่อนทำลายผู้อื่น  การก่อความไม่สงบและบ่อนทำลายผู้อื่นคือการเล่นบทบาทของซาตาน ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่  หากเจ้าทำสิ่งที่ก่อความไม่สงบและบ่อนทำลายผู้อื่นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามหรือดูแลเอาใจใส่มากเพียงใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงระลึกถึง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน)  เมื่อฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกละอายใจ  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉัน  ฉันอยากทำงานวิดีโอตามลำพัง ไม่ให้ออเดรย์มีส่วนร่วม ก็เพื่ออวดตนและสถาปนาตัวเอง และให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับนับถือ  ฉันรู้สึกว่าถ้าออเดรย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันจะถูกปล้นเอาความดีความชอบไป  แบบนั้นฉันย่อมจะไม่มีต้นทุนให้อวดตน และจะไม่มีทางเป็นที่เลื่อมใสของคนอื่น  ฉันนึกว่าแบบนั้นตัวเองจะพ่ายแพ้  ฉันรู้ว่าภาระงานนั้นหนัก รู้ว่าฉันจะทำให้เกิดความล่าช้าหลายอย่างถ้าลุยทำคนเดียว และรู้ว่าถ้าออเดรย์เข้ามาร่วมทำ งานจะเสร็จเร็วขึ้นและผลลัพธ์ย่อมจะดีขึ้น  ฉันรู้ด้วยว่างานส่วนใหญ่ของทีมอยู่ในมือฉัน รู้ว่าเธอว่างบ่อยและไม่มีงานทำ และรู้ว่าสภาวะของเธอได้รับผลกระทบ แต่ฉันก็ยังคงไม่ยอมให้เธอแบ่งเบาภาระไปจากฉัน  ฉันต้องการทำงานด้วยตัวเองทั้งเพื่อที่จะอ้างว่าผลงานทั้งหมดเป็นของตนและเพื่อพิสูจน์ให้เห็นอีกด้วยว่าฉันมีทักษะที่ดีในทางเทคนิคและทางสายงาน  ตลอดเวลาฉันคิดถึงแต่สถานะและหน้าตาของตนเท่านั้น  ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลยและไม่ได้สนใจความรู้สึกของพี่น้องหญิงของฉันด้วย  ฉันไม่มีมโนธรรมหรือสภาวะความเป็นมนุษย์จริงๆ!  ดูภายนอก ฉันตื่นแต่เช้าและทำงานหนักทุกวัน เหมือนตัวเองสามารถแบกรับภาระ ทนทุกข์ และยอมลำบากได้ แต่แท้จริงแล้วฉันกำลังมุมานะเพื่อตัวเอง กำลังตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเอง  ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงแต่อย่างใด  ฉันกำลังรบกวนงานของคริสตจักรโดยอ้างการทำหน้าที่ของฉัน และกำลังทำชั่ว  และฉันก็กำลังเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์

ในเวลาต่อมา ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน ความว่า “เมื่อพระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงเป็นอย่างดี พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้พวกเขาทำกิจจำนวนหนึ่งให้เสร็จสิ้นหรือสำเร็จลุล่วงโครงการอันยิ่งใหญ่อันใด หรือทำภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้ผู้คนสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนทางแบบติดดิน และใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เจ้ายิ่งใหญ่หรือสูงศักดิ์ หรือสร้างปาฏิหาริย์อันใด อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นความประหลาดใจซึ่งน่ายินดีอันใดในตัวเจ้า  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อย่างแน่วแน่  ยามที่เจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ ลงมือทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ จดจำสิ่งที่เจ้าได้ฟังให้ขึ้นใจ แล้วจากนั้นเมื่อถึงเวลาปฏิบัติ ก็จงปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  จงยอมให้พระวจนะกลายเป็นชีวิตของเจ้า ความเป็นจริงของเจ้า และแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงจะพึงพอพระทัย  เจ้าแสวงหาความยิ่งใหญ่ ความสูงศักดิ์ และสถานะอยู่เสมอ เจ้าแสวงหาการยกย่องอยู่เสมอ  พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการนี้?  พระองค์ทรงเกลียดการนี้ และพระองค์จะทรงออกห่างจากเจ้า  ยิ่งเจ้าแสวงหาสิ่งทั้งหลายเช่นความยิ่งใหญ่ นั่นคือความสูงศักดิ์และการเหนือกว่าผู้อื่น ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง โดดเด่น และเป็นที่สังเกตจดจำมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและกลับใจ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงชังและละทิ้งเจ้า  จงหลีกเลี่ยงการกลายเป็นคนที่น่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า จงเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรัก  ดังนั้นแล้ว คนเราจะสามารถได้รับความรักจากพระเจ้าได้อย่างไร?  โดยการยอมรับความจริงอย่างเชื่อฟัง ยืนหยัดในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยยืนอยู่บนความเป็นจริง ปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์  นี่ก็เพียงพอแล้ว พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย  ผู้คนต้องแน่ใจว่าไม่ถือครองความทะเยอทะยานหรือฝันเฟื่อง ไม่แสวงหาชื่อเสียง ความได้เปรียบ และสถานะ หรือพยายามโดดเด่นจากฝูงชน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องไม่พยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์ สูงส่งอยู่ท่ามกลางมนุษย์และทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา  นั่นคือความอยากได้อยากมีของสภาวะความเป็นมนุษย์อันเสื่อมทราม และนั่นคือเส้นทางของซาตาน พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด  หากผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะกันอย่างไม่หยุดหย่อนและไม่สำนึกกลับใจ เช่นนั้นแล้ว ย่อมไม่มีวิธีการที่จะเยียวยาพวกเขา และมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ การถูกกำจัดออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน)  “สิ่งใดคือมาตรฐานที่ใช้ตัดสินการกระทำและพฤติกรรมของคนว่าดีหรือชั่ว?  คือการที่ว่าในความนึกคิด สิ่งที่พวกเขาเผยออกมา และการกระทำทั้งหลายของพวกเขานั้น พวกเขามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือใช้ชีวิตตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือคนทำชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  พระเจ้าทรงมองคนทำชั่วว่าอย่างไร?  สำหรับพระเจ้าแล้ว ความคิดและการกระทำภายนอกของเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานให้พระองค์ และไม่ได้ทำให้ซาตานอดสูและปราชัย แต่กลับนำความอับอายมาให้พระองค์ และเต็มไปด้วยเครื่องหมายของการทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติเพราะเจ้า  เจ้าไม่ได้กำลังเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เจ้าไม่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้ามีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับกำลังกระทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าเอง  ความหมายของ ‘เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง’ คือสิ่งใด?  หากจะกล่าวให้แน่ชัด นี่หมายถึงเพื่อซาตาน  เพราะฉะนั้น ในตอนสุดท้าย พระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การกระทำของเจ้าจะไม่ถูกมองว่าเป็นการทำดี ทั้งหมดจะถูกพิจารณาว่าเป็นการทำชั่ว  การกระทำของเจ้าไม่เพียงไม่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเท่านั้น—แต่จะถูกกล่าวโทษอีกด้วย  คนเราหวังจะได้รับสิ่งใดจากการเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?  สุดท้ายแล้วการเชื่อเช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  ที่จริงแล้วข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นเรียบง่าย  พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ผู้คนทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือกระทำการมากมายที่สะเทือนโลก และพระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้พวกเราเป็นคนพิเศษหรือยอดเยี่ยม  พระเจ้าเพียงทรงต้องการให้พวกเรายืนหยัดในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยอยู่กับความเป็นจริง ทำหน้าที่ของพวกเราอย่างสุดความสามารถ และดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ได้ทรงประเมินว่าพวกเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่โดยดูว่าพวกเราประสบความสำเร็จหรือสร้างคุณูปการไว้มากขนาดไหน แต่ทรงประเมินโดยดูว่าแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ ของพวกเราคือการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ และพวกเราทำดีที่สุดแล้วหรือไม่  เฉพาะเมื่อพวกเรามีแรงจูงใจที่ถูกต้องและเลือกเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น พวกเราจึงจะมีคำพยานในหน้าที่ของตน  ถ้าผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนเพียงเพื่อสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทความพยายามขนาดไหนหรือสร้างคุณูปการมากเท่าใด ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกพระเจ้าดูหมิ่นและกำจัดออกไป  ฉันตระหนักว่าตัวเองอยากจะเก็บความดีความชอบทั้งหมดในหน้าที่ของตนเอาไว้กับตัวเสมอ  อุปนิสัยที่โอหังของฉันทำให้ฉันอยากทำงานทั้งหมดเองและไม่ร่วมมือกับคู่ทำงาน  ฉันทำงานหนักและทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าเพื่อที่จะทำให้คนอื่นยกย่องฉัน  ฉันไม่ได้มานะพยายามเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยเลย ทุกอย่างล้วนสนองความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของฉันเอง  ต่อให้ฉันสัมฤทธิ์บางสิ่งบางอย่าง ได้รับความเลื่อมใสและการยอมรับนับถือจากคนอื่น  แล้วจะได้ประโยชน์อะไร?  ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าฉันทำหน้าที่ของตนอย่างมีคุณสมบัติเหมาะสมแต่อย่างใด  ตรงกันข้าม ฉันกลับลงมือตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง เอางานมาทำคนเดียว ชะลอความก้าวหน้าของงานวิดีโอ และรบกวนงานของคริสตจักร  ท้ายที่สุดแล้ว ฉันคงลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าปฏิเสธและกำจัดออกไป  ในความเป็นจริง การร่วมมือกับออเดรย์ย่อมจะชดเชยข้อบกพร่องที่ฉันมีในหน้าที่  เธอตั้งใจเรียนรู้  เต็มใจศึกษา และทักษะของเธอก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ฉันไม่ได้เน้นที่จะเรียนรู้ทักษะ และพึ่งพาประสบการณ์ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่  แม้ฉันจะทำหน้าที่นี้มานาน แต่ทักษะของฉันก็ไม่ได้พัฒนามากนัก  นอกจากนั้นความคิดของคนเราก็มีด้านเดียวเสมอ  ผู้คนที่ตระหนักรู้ตัวเองย่อมละวางตนเองในหน้าที่ของตนได้  และเต็มใจที่จะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อทำหน้าที่ของตนให้ดี  นี่คือเหตุผลที่พวกเราควรจะมีและเป็นวิธีฝึกฝนปฏิบัติที่พวกเราควรใช้  แต่ฉันนั้นโอหัง คิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ และอยากมีสถานะ  ฉันไม่อยากปล่อยมือจากผลประโยชน์ของตนและไม่อยากให้ความร่วมมือกับพี่น้องหญิง  สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความก้าวหน้าและผลของงาน  ถ้าฉันร่วมมือกับเธอเสียแต่เนิ่นๆ แล้วพวกเราคอยช่วยกัน ผลของงานคงออกมาดีกว่าที่เป็นอยู่มาก  ยิ่งฉันคิดทบทวนก็ยิ่งเห็นว่าฉันโอหังเกินไปและไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ และฉันเกลียดตัวเอง รู้สึกเสียใจในการกระทำของตน  ฉันไม่อยากทำหน้าที่ของฉันด้วยเจตนาเหล่านี้  ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทำหน้าที่ของตนด้วยความทะเยอทะยานอยู่เสมอ ทำสิ่งต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตนเอง  ข้าพระองค์ไม่ต้องการไล่ตามไขว่คว้าเช่นนี้อีกแล้ว  ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ ละทิ้งเจตนาที่ผิด และทำงานร่วมกับพี่น้องหญิงเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี”

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยวของฉันในเช้าวันถัดมา ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า “ผู้ที่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ ย่อมสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำได้  เมื่อเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  หากเจ้าเพียงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นอยู่ตลอดเวลา และต้องการที่จะได้รับคำสรรเสริญและความเลื่อมใสจากผู้อื่นอยู่เสมอ และเจ้าไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้ายังคงทรงอยู่ในหัวใจของเจ้ากระนั้นหรือ?  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง  ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก  เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง  รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองๆ และคิดออก ก็ย่อมจะง่ายขึ้นที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือหากเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และเจ้าอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี—แต่เจ้าย่อมจะทำอย่างดีที่สุดแล้ว  เจ้าไม่ตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความชอบอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง  แทนที่จะทำเช่นนั้น เจ้าคำนึงถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ  แม้เจ้าอาจไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของเจ้า แต่หัวใจของเจ้าก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว หากว่านอกจากนี้เจ้ายังสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาในหน้าที่ของเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้าก็ย่อมจะได้มาตรฐาน และพร้อมกันนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  นี่คือความหมายของการมีคำพยาน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  หลังจากไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า  ฉันก็พบเส้นทางปฏิบัติ  ในการทำหน้าที่ คนเราต้องปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตนและคำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักร  ไม่คำนึงว่าหน้าตาหรือสถานะของเราจะเสียหายหรือไม่ สิ่งสำคัญคือการปกป้องงานของคริสตจักรและทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วง  หลังจากที่ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็เลิกคำนึงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับฉัน  ฉันคิดเพียงว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงและทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร  ดังนั้น ฉันจึงแบ่งงานบางส่วนของตัวเองให้ออเดรย์ และเธอก็เห็นด้วยอย่างรวดเร็วมาก  ไม่นาน สภาวะของออเดรย์ก็พลิกกลับ เธอไม่ว่างเหมือนก่อน และพวกเราก็สะสางงานที่คั่งค้างได้สำเร็จ  หลังจากนั้นฉันรู้สึกสบายใจมาก  ฉันได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าการปฏิบัติความจริงและให้ความร่วมมืออย่างปรองดองในหน้าที่ของตนนั้นดีเช่นไร

ผ่านไประยะหนึ่ง พวกเราก็ได้รับงานใหม่  ฉันคิดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจว่า “ถ้าฉันทำงานนี้คนเดียว ก็จะไม่ต้องแบ่งความดีความชอบกับใคร  ด้วยความสามารถของฉัน ฉันทำงานนี้ด้วยตัวเองได้  ฉันไม่จำเป็นต้องให้ออเดรย์เข้ามาข้องเกี่ยว  ฉันจะดูไม่มีความสามารถถ้าเธอมีส่วนในงานนี้ด้วย  พี่น้องชายหญิงทุกคนจะพากันหัวเราะเยาะฉัน”  เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันจึงอยากจัดการงานนี้คนเดียว  ในตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าเจตนาของฉันผิด  ฉันยังคงกระทำการเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ส่วนตน  ฉันหวนนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากในหัวใจของเจ้านั้น เจ้ายังคงยึดติดอยู่กับเกียรติยศและสถานะ ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดและทำให้ผู้อื่นเคารพนับถือเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเจ้ากำลังเดินไปบนเส้นทางที่ผิด  สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาไม่ใช่ความจริงและไม่ใช่ชีวิต แต่เป็นสิ่งที่เจ้ารัก ได้แก่ ชื่อเสียง ความได้เปรียบ และสถานะ—ซึ่งในกรณีนี้ สิ่งที่เจ้าทำนั้นไม่สัมพันธ์กับความจริง นับเป็นการทำชั่วและการออกแรงทำงานทั้งสิ้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, พฤติกรรมอันดีงามไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยของคนเราเปลี่ยนแปลง)  พระวจนะของพระเจ้าปลุกให้ฉันตื่น  ฉันทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวโดยไม่ทันรู้ตัวอยู่เสมอ  ฉันเป็นคนใจแคบและสนใจแต่ตัวเองจริงๆ  ฉันเกลียดตัวเองที่เสื่อมทรามเกินไป และฉันต้องการที่จะละทิ้งเจตนาผิดๆ ของตนและปฏิบัติความจริง  ดังนั้นฉันจึงขอให้ออเดรย์มาร่วมทำงานใหม่กับฉัน  ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงเวลามอบหมายงาน ฉันก็ปรึกษาออเดรย์เสมอและถามความคิดเห็นของเธอ และพอฉันอยากจะรวบงานทุกอย่างไว้เองเพื่อจะเอาความดีความชอบทั้งหมด ฉันก็ใช้สติละทิ้งตนเอง และมอบหมายงานต่างๆ ให้ออเดรย์ตามความจำเป็นของหน้าที่นั้น  เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกมีสันติสุขและสบายใจ

หลังผ่านประสบการณ์นี้มา ฉันในตอนนี้มีความเข้าใจบางอย่างในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนแล้ว  ฉันตระหนักด้วยว่าการร่วมมือกันอย่างปรองดองคือกุญแจสำคัญของการลุล่วงหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี  เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำหน้าที่ของเราให้ดีด้วยตัวเราเอง  ด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดองเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถมีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ก่อนหน้า: 92. ตัวเลือกที่ทุกข์ทรมาน

ถัดไป: 94. ผู้นำต้องไม่ปิดกั้นคนที่มีความสามารถ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger