5. พระคัมภีร์เป็นคำพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า  โดยผ่านทางพระคัมภีร์นี่เองที่บรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนรับรู้ว่า ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า  เป็นเพราะพระคัมภีร์นี่เองที่พวกเขาได้มองดูการอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดแห่งกิจการทั้งหลายของพระเจ้า  สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ พระคัมภีร์บรรจุพระวจนะแห่งพระเจ้า และคำพยานเชิงประสบการณ์ของมนุษย์เอาไว้มากมาย ที่สามารถจัดเตรียมเพื่อชีวิตของมนุษย์ได้ และให้ความเจริญอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์  พวกเราสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์จากการอ่านพระคัมภีร์อย่างนั้นหรือ?  หรือว่าพระคัมภีร์ไม่บรรจุหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์เอาไว้?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต” (ยอห์น 5:39-40)

“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ในการอ่านพระคัมภีร์ ผู้คนยังสามารถได้รับวิถีชีวิตมากมายที่ไม่สามารถพบได้ในหนังสือเล่มอื่น  วิถีเหล่านี้คือวิถีชีวิตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ผู้เผยพระวจนะและอัครทูตในยุคอดีตหลายยุคได้รับประสบการณ์ และพระวจนะมากมายมีความล้ำค่าและสามารถให้สิ่งที่ผู้คนต้องการได้  ดังนั้น ผู้คนทั้งหมดจึงชอบอ่านพระคัมภีร์  เพราะมีมากมายเหลือเกินที่ซ่อนเร้นอยู่ในพระคัมภีร์ ทรรศนะของผู้คนต่อพระคัมภีร์จึงไม่เหมือนกับทรรศนะของพวกเขาต่อข้อเขียนของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่  พระคัมภีร์คือบันทึกและการรวบรวมประสบการณ์และความรู้ของผู้คนที่ได้รับใช้พระยาห์เวห์และพระเยซูในยุคเก่าและยุคใหม่ ดังนั้น ชนยุคหลังจึงสามารถได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และเส้นทางให้ปฏิบัติมากมายจากพระคัมภีร์  เหตุผลว่าทำไมพระคัมภีร์จึงสูงส่งกว่าข้อเขียนของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่คนใดๆ นั้นเป็นเพราะว่าข้อเขียนทั้งหมดของพวกเขาล้วนดึงมาจากพระคัมภีร์ ประสบการณ์ของพวกเขาล้วนมาจากพระคัมภีร์ และพวกเขาล้วนอธิบายพระคัมภีร์  และดังนั้น แม้ว่าผู้คนจะสามารถได้รับการจัดเตรียมจากหนังสือของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่คนใดๆ แต่พวกเขาก็ยังคงนมัสการพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์ดูสูงส่งและลึกซึ้งอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา!  ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะรวบรวมหนังสือพระวจนะแห่งชีวิตบางเล่มเข้าด้วยกัน เช่น จดหมายฝากของเปาโลและจดหมายฝากของเปโตร และถึงแม้ว่าผู้คนจะสามารถได้รับการจัดเตรียมและช่วยเหลือจากหนังสือเหล่านี้ แต่หนังสือเหล่านี้ยังคงล้าสมัย หนังสือเหล่านี้ยังคงเป็นของยุคเก่า และไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะดีเพียงใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้มีความเหมาะสมสำหรับช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ชั่วนิรันดร์  เพราะพระราชกิจของพระเจ้ากำลังพัฒนาอยู่เสมอ และไม่สามารถหยุดลงอย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาของเปาโลและเปโตร หรือยังคงอยู่ในยุคพระคุณที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนเสมอไปได้  ดังนั้นแล้ว หนังสือเหล่านี้จึงเหมาะสมสำหรับยุคพระคุณเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับยุคแห่งราชอาณาจักรในยุคสุดท้าย  หนังสือเหล่านี้สามารถจัดเตรียมสำหรับบรรดาผู้เชื่อในยุคพระคุณ ไม่ใช่เหล่าวิสุทธิชนในยุคแห่งราชอาณาจักร และไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะดีเพียงใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้ก็ยังคงคร่ำครึพ้นสมัย  เป็นอย่างเดียวกันกับพระราชกิจการทรงสร้างของพระยาห์เวห์หรือพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอล นั่นคือ  ไม่สำคัญว่าพระราชกิจนี้จะเคยยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม พระราชกิจนี้ก็จะยังคงกลายเป็นล้าสมัย และเวลาที่พระราชกิจนั้นผ่านไปก็จะยังคงมาถึง  พระราชกิจของพระเจ้าก็เป็นอย่างเดียวกัน นั่นคือ  พระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่เวลาที่พระราชกิจนั้นสิ้นสุดลงจะมาถึง พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปท่ามกลางพระราชกิจการทรงสร้าง อีกทั้งไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปท่ามกลางพระราชกิจการตรึงกางเขน  ไม่สำคัญว่าพระราชกิจการตรึงกางเขนจะโน้มน้าวให้เชื่อมากเพียงใดก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระราชกิจนั้นจะมีประสิทธิผลในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้เพียงใดก็ตาม จะว่าไปแล้ว พระราชกิจก็ยังคงเป็นพระราชกิจ และจะว่าไปแล้ว ยุคสมัยก็ยังคงเป็นยุคสมัย  พระราชกิจไม่สามารถคงอยู่บนรากฐานเดียวกันได้ตลอดไป และเวลาก็ไม่สามารถไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีการทรงสร้าง และต้องมียุคสุดท้าย  นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!  ดังนั้น พระวจนะแห่งชีวิตในพันธสัญญาใหม่—จดหมายฝากของอัครทูตและหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม—วันนี้ได้กลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือเหล่านี้ได้กลายเป็นกาลานุกรมเก่า แล้วกาลานุกรมเก่าๆ จะสามารถพาผู้คนเข้าไปสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร?  ไม่สำคัญว่ากาลานุกรมเหล่านี้จะมีความสามารถในการให้ชีวิตกับผู้คนได้เพียงใดก็ตาม ไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะสามารถนำทางผู้คนไปยังกางเขนได้เท่าใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้ไม่ได้ล้าสมัยหรือ?  หนังสือเหล่านี้ไม่ได้สูญสิ้นคุณค่าหรือ?  ดังนั้น เราจึงพูดว่าเจ้าไม่ควรเชื่อกาลานุกรมเหล่านี้แบบไม่ลืมหูลืมตา  หนังสือเหล่านี้เก่าเกินไป หนังสือเหล่านี้ไม่สามารถนำพาเจ้าเข้าไปในพระราชกิจใหม่ และหนังสือเหล่านี้สามารถเพียงเป็นภาระให้เจ้าได้เท่านั้น  ไม่เพียงแต่หนังสือเหล่านี้จะไม่สามารถนำพาเจ้าเข้าไปในพระราชกิจใหม่และเข้าไปในการเข้าสู่ใหม่เท่านั้น แต่หนังสือเหล่านี้ยังพาเจ้าเข้าไปในคริสตจักรของศาสนาเก่า—และหากเป็นกรณีเช่นนั้น เจ้าจะไม่ถอยหลังในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)

ผู้คนมากมายเชื่อว่าความเข้าใจและความสามารถที่จะตีความพระคัมภีร์เป็นสิ่งเดียวกันกับการพบหนทางที่แท้จริง—แต่ในความเป็นจริงแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายดายเช่นนั้นจริงๆ หรือ?  ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์  ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า  ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ  พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ?  การยกสิ่งต่างๆ ในอดีตมากล่าวถึงในวันนี้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นประวัติศาสตร์ และไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเที่ยงแท้หรือเป็นจริงเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นประวัติศาสตร์—และประวัติศาสตร์ไม่สามารถกล่าวถึงปัจจุบันได้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์!  และดังนั้น หากเจ้าเพียงเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิบัติในวันนี้เลย และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจความหมายของการแสวงหาพระเจ้า  หากเจ้าอ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพื่อค้นคว้าประวัติศาสตร์การทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  แต่วันนี้ เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิต เนื่องจากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาไปตามตัวอักษรและคำสอนที่ตายไปแล้วหรือความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ และเจ้าต้องมองหาทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากเจ้าเป็นนักโบราณคดี เจ้าจะสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้—แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าควรจะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าของวันนี้อย่างดีที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)

บางทีสิ่งที่เจ้าพึงปรารถนาในขณะนี้ก็คือการได้รับชีวิต หรือบางทีเจ้าอาจพึงปรารถนาที่จะได้รับความจริง  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เจ้าปรารถนาที่จะพบพระเจ้า พบพระเจ้าผู้ที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้ และเป็นผู้ที่สามารถจัดเตรียมชีวิตนิรันดร์แก่เจ้าได้  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เจ้าต้องเข้าใจถึงแหล่งกำเนิดชีวิตนิรันดร์เสียก่อน และต้องรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใดเสียก่อน  เราได้พูดไว้แล้วว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีชีวิตที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครอบครองหนทางแห่งชีวิต  เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นชีวิตที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นชีวิตนิรันดร์ เนื่องจากพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นหนทางแห่งชีวิต  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าพระองค์เองจึงทรงเป็นหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างแรกเลย เจ้าควรเข้าใจเสียก่อนว่าพระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด และจะได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์นี้ได้อย่างไร  เราลองมาเข้าร่วมสามัคคีธรรมในปัญหาสองข้อนี้โดยแยกต่างหากจากกันเถิด

หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์อย่างแท้จริง และหากเจ้ามีความกระหายในการค้นหาชีวิตเช่นนั้นของเจ้า เช่นนั้นแล้วจงตอบคำถามนี้เสียก่อนว่า พระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใดในวันนี้?  บางทีเจ้าน่าจะตอบว่า “แน่นอนว่า พระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในสวรรค์—พระองค์ไม่น่าที่จะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในบ้านของเจ้า ใช่หรือไม่?”  บางทีเจ้าอาจพูดว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางทุกสรรพสิ่งอย่างเห็นได้ชัด  หรือไม่เจ้าก็อาจพูดว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพในหัวใจของแต่ละคน หรือพูดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราไม่ปฏิเสธเรื่องใดๆ นี้เลย แต่เราต้องชี้แจงปัญหานี้ให้ชัดเจน  มันไม่ถูกต้องทั้งหมดหากจะกล่าวว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพในหัวใจของมนุษย์ แต่มันก็ไม่ผิดทั้งหมดเช่นกัน  นั่นเป็นเพราะ ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า มีพวกที่การเชื่อของตนนั้นเป็นการเชื่อที่แท้จริง และพวกที่การเชื่อของตนนั้นเป็นการเชื่อที่เป็นเท็จ มีพวกที่พระเจ้าทรงรับรองและพวกที่พระเจ้าไม่ทรงรับรอง มีพวกที่ทำให้พระองค์พอพระทัยและพวกที่พระองค์ทรงรังเกียจ และมีพวกที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมและพวกที่พระองค์ทรงกำจัด  และดังนั้นเราจึงพูดว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพในหัวใจของผู้คนไม่กี่คน และผู้คนเหล่านี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือพวกที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกที่พระเจ้าทรงรับรอง พวกที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และพวกที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อม  พวกเขาคือผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า  เนื่องจากพวกเขาได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า พวกเขาจึงเป็นผู้คนที่ได้ยินและได้เห็นหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าแล้ว  พวกที่การเชื่อในพระเจ้าของตนนั้นเป็นความเชื่อที่เทียมเท็จ พวกที่ไม่ได้รับการรับรองจากพระเจ้า พวกที่พระเจ้าทรงรังเกียจ พวกที่ถูกกำจัดโดยพระเจ้า—พวกเขามีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธโดยพระเจ้า มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่โดยปราศจากหนทางแห่งชีวิต และมีแนวโน้มที่จะยังคงไม่รู้เท่าทันเลยว่าพระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด  ในทางตรงกันข้าม บรรดาผู้ที่มีพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในหัวใจของตนรู้ว่าพระองค์สถิตอยู่ ณ แห่งหนใด  พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ และพวกเขาคือผู้ที่ติดตามพระเจ้า  บัดนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด?  พระเจ้าสถิตอยู่ทั้งในหัวใจของมนุษย์และเคียงข้างมนุษย์  พระองค์ไม่ได้สถิตอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณเพียงเท่านั้น และอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งมวล แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังทรงอยู่บนแผ่นดินโลกซึ่งมนุษย์นั้นดำรงอยู่  และดังนั้นการมาถึงของยุคสุดท้ายจึงได้นำขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าเข้าสู่ดินแดนใหม่  พระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงเป็นหลักสำคัญของมนุษย์ในหัวใจของเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงดำรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์  วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พระองค์สามารถนำพาหนทางแห่งชีวิตมาสู่มวลมนุษย์ และนำพามนุษย์เข้าสู่หนทางแห่งชีวิตได้  พระเจ้าได้เสด็จมาสู่แผ่นดินโลก และดำรงพระชนม์ชีพอยู่ท่ามกลางมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับหนทางแห่งชีวิต และเพื่อที่มนุษย์อาจดำรงอยู่  ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทรงบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในจักรวาลด้วยเช่นกัน เพื่อเอื้ออำนวยการให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการที่พระองค์ทรงทำท่ามกลางมนุษย์  และดังนั้น หากเจ้าเพียงรับรู้คำสอนว่าพระเจ้าสถิตในสวรรค์และในหัวใจของมนุษย์เท่านั้น แต่กลับไม่รับรู้ความจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับชีวิต และจะไม่มีวันได้รับหนทางแห่งความจริง

พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน  พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต  หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงตัวอักษร คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น  พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน  หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า  จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับการสักการบูชาประหนึ่งว่าเป็นความจริงได้ และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตก็ไม่สามารถใช้เป็นการเล่าเรื่องราวของพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบัน  มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง ชีวิต น้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์  หากเจ้านำบันทึกพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าระหว่างยุคต่างๆ ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้มาประยุกต์ใช้ นั่นก็จะทำให้เจ้าเป็นนักโบราณคดีคนหนึ่ง และวิธีที่ดีที่สุดในการบรรยายเกี่ยวกับตัวเจ้าก็คือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางประวัติศาสตร์คนหนึ่ง  นั่นเป็นเพราะเจ้าเชื่อในร่องรอยต่างๆ ของพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วเสมอ เชื่อเพียงเงาของพระเจ้าที่ทิ้งไว้จากครั้งที่พระองค์ได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ก่อนหน้านั้นเท่านั้น และเชื่อเพียงหนทางที่พระเจ้าได้ประทานแก่บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ในช่วงเวลาอดีตเท่านั้น  เจ้าไม่เชื่อในการชี้นำของพระราชกิจของพระเจ้า ณ วันนี้ ไม่เชื่อในโฉมพระพักตร์อันเปี่ยมสง่าราศีของพระเจ้าในวันนี้ และไม่เชื่อในหนทางแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงในปัจจุบัน  และดังนั้นเจ้าจึงเป็นผู้ฝันกลางวันคนหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย ผู้ซึ่งห่างจากการติดต่อสัมผัสกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง  หากบัดนี้เจ้ายังคงยึดติดอยู่กับถ้อยคำที่ไม่สามารถนำพาชีวิตมาสู่มนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นตอไม้ที่ตายแล้วไร้สิ้นซึ่งความหวังตอหนึ่ง[ก]  เพราะเจ้านั้นจารีตนิยมเกินไป ดื้อรั้นเกินไป ปิดกั้นเหตุผลมากเกินไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้

เชิงอรรถ:

ก. ตอไม้ที่ตายแล้ว สำนวนจีน หมายถึง “เกินกว่าที่จะช่วยได้”


พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร  ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า  หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์  พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์  นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์  พวกที่ไม่ได้รับการจัดหาน้ำแห่งชีวิตมาให้จะยังคงเป็นซากศพ ของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร?  หากเจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงแค่พยายามเก็บรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่โดยการอยู่นิ่งเฉย และไม่พยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ?  ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย  อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถแก้ต่างให้พระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นว่าเป็นพระเจ้าที่มีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร?  และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร?  ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร?  สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้แต่เพียงการปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้  คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม  ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ?  มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ?  เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ?  หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าสู่สวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ?  เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้  หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้

ก่อนหน้า: 4. ฉันได้ศึกษาพระคัมภีร์มาตลอดระยะเวลายี่สิบปี  ฉันได้เรียนรู้ว่า ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ได้ถูกเขียนโดยผู้เขียนต่างกัน 40 ราย ณ เวลาที่ต่างกัน แต่พระคัมภีร์ก็ไม่มีข้อผิดพลาดบรรจุอยู่สักข้อ  นี่พิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เขียนที่แท้จริงของพระคัมภีร์ และองค์พระคัมภีร์ทั้งหมดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถัดไป: 6. พวกคุณให้คำพยานว่า พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ก็คือหนังสือม้วนเล็กที่ทรงเปิดโดยพระเมษโปดกตามที่ทำนายไว้ในหนังสือวิวรณ์  พวกเราไม่เชื่อเช่นนั้น  พวกเราเชื่อว่า “หนังสือม้วนเล็ก” อ้างอิงถึงพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ก็คือหนังสือม้วนเล็ก และการที่พวกเราเพียงอ่านพระคัมภีร์เท่านั้น มันก็มากพอแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger