1. ตอนนี้ คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนได้รับการทำให้ลุล่วงไปแล้วเป็นส่วนมาก และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็อาจทรงอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้วเป็นอย่างดี  พวกเรามองเห็นว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังให้คำพยานออนไลน์อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และผู้คนมากมายจากทุกศาสนาและนิกายซึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็ได้หวนคืนสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว  พวกเราประสงค์จะรู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นใช่การทรงปรากฏของพระเจ้าหรือไม่กันแน่

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1)

“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏของพระเจ้าหมายถึงการทรงมาถึงของพระองค์บนโลกเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระองค์เอง ด้วยพระอัตลักษณ์และพระอุปนิสัยของพระองค์เอง และในวิธีที่เป็นมาโดยกำเนิดในพระองค์ พระองค์เสด็จลงมาท่ามกลางมวลมนุษย์เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจของการเริ่มต้นยุคหนึ่งและสิ้นสุดยุคหนึ่ง  การทรงปรากฏเช่นนี้ไม่ใช่รูปแบบของพิธีการ ไม่ใช่เครื่องหมาย รูปภาพ การอัศจรรย์ หรือนิมิตยิ่งใหญ่อะไรสักอย่าง และยิ่งมีโอกาสน้อยกว่านั้นที่จะเป็นกระบวนการทางศาสนา  แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นจริงและแท้จริงที่ไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสและมองเห็นได้  การทรงปรากฏแบบนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเสแสร้งทำ หรือเพื่อการงานระยะสั้นอะไรสักอย่าง หากแต่เป็นไปเพื่อการงานระยะหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระองค์  การทรงปรากฏของพระเจ้ามีความหมายเสมอและมีความสัมพันธ์กับแผนการบริหารจัดการของพระองค์เสมอ  สิ่งที่เรียกว่าการทรงปรากฏในที่นี้นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก “การทรงปรากฏ” ในแบบที่พระเจ้าทรงใช้แนะนำ นำทาง และให้ความรู้แจ้งแก่มนุษย์  พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระองค์ระยะหนึ่งในแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์  พระราชกิจนี้แตกต่างจากพระราชกิจของยุคอื่นใด  เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ และมนุษย์ไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งนี้มาก่อน เป็นพระราชกิจที่เริ่มต้นยุคใหม่และสิ้นสุดยุคเก่า และเป็นรูปแบบใหม่ที่ดีขึ้นของพระราชกิจเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพระราชกิจที่นำพามวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ นี่คือความหมายของการทรงปรากฏของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่

เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น  ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่  ในการค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า “พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต” และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงจึงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบรอยพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า  เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก!  การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ และพระเจ้ายิ่งไม่สามารถจะปรากฏโดยคำขอของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำการเลือกและทรงทำแผนการของพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ของพระองค์เองและวิธีการของพระองค์เอง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใด พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องหารือกับมนุษย์หรือหาคำแนะนำของเขา นับประสาอะไรที่จะต้องทรงแจ้งให้ทุกๆ คนรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นควรได้รับการยอมรับจากทุกคน  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเสียก่อน  เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่ได้ครอบครองความจริง เขาจึงควรแสวงหา ยอมรับ และเชื่อฟัง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่

ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน  เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน  เราทำให้มนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตด้วยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และนบนอบต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว  ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา?  ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ?  ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา?  ใครบ้างไม่คะนึงหาความดีงามของเรา?  ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง?  ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน?  ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่?  ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในฤทธานุภาพ?  เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เราจะเผชิญหน้าประชากรที่เราเลือกสรรและกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก  เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมพละกำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน  ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา  ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก  วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน  มนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี เฉลิมฉลองการมาของเราราวกับว่าทารกคนหนึ่งเพิ่งจะได้ถือกำเนิด  ด้วยเสียงของเรา เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา  นับจากนั้นเป็นต้นไป เราจะเข้าสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์อย่างเป็นทางการเพื่อที่พวกเขาจะได้มานมัสการเรา  ด้วยสง่าราศีที่เราแผ่รัศมีและวจนะในปากของเรา เราจะทำเช่นนั้นจนมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออก และเห็นว่าเรายังได้ลงมาสู่ “ภูเขามะกอกเทศ” แห่งทิศตะวันออกเช่นกัน  พวกเขาจะเห็นว่าเราได้อยู่บนแผ่นดินโลกนานมาแล้ว ไม่ใช่ในฐานะบุตรของชาวยิวอีกต่อไป แต่ในฐานะฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก  ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว และจากนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางมนุษย์  เราคือพระองค์ผู้ทรงได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้ว และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้วเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน!  ให้ทั้งหมดนั้นจงมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของเราและเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ได้ยินเสียงของเรา และเฝ้ามองกิจการของเรา  นี่คือเจตจำนงครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา มันคือจุดสิ้นสุดและจุดสุดยอดของแผนการของเรา รวมทั้งจุดประสงค์ของการบริหารจัดการของเรา กล่าวคือ การให้ทุกชนชาตินมัสการเรา ทุกภาษายอมรับเรา มนุษย์ทุกคนมอบความเชื่อของเขาในตัวเรา และผู้คนทุกคนอยู่ภายใต้การกะเกณฑ์โดยเรา!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล

ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก  ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก  เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้  เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ  เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ?  เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ?  เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ?  พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ  พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร  และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่  มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย  กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ  เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย  แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ  และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์  แต่ถึงกระนั้น  เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์  เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก  เชื่อฟัง เคารพ  และรักพระเจ้า  นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง  แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร  และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น  ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน  และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย  พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล  และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร  พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย  และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย  หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้  หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้  แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง  ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด  และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว?  ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ?  เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้  เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?

พระเจ้าทรงเปล่งถ้อยดำรัสของพระองค์ต่อไป โดยใช้วิธีการและมุมมองต่างๆ นานา เพื่อเตือนสอนพวกเราเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราควรทำ ในขณะเดียวกันก็ทรงเก็บพระสุรเสียงไว้แต่ภายในพระหทัยของพระองค์ พระวจนะของพระองค์นำพาพลังชีวิต แสดงให้พวกเราเห็นหนทางที่พวกเราควรเดิน และทำให้พวกเราสามารถเข้าใจว่าอะไรคือความจริง  พวกเราเริ่มถูกดึงดูดด้วยพระวจนะของพระองค์ พวกเราเริ่มจดจ่อกับพระกระแสเสียงและลักษณะที่พระองค์ตรัส และในจิตใต้สำนึก พวกเราเริ่มให้ความสนใจในความรู้สึกที่อยู่ภายในที่สุดของบุคคลซึ่งแสนจะธรรมดาผู้นี้  พระหทัยของพระองค์แทบกลั่นออกมาเป็นโลหิตในการทรงพระราชกิจแทนพวกเรา บรรทมไม่สนิทและเสวยไม่ได้เพื่อพวกเรา ทรงกันแสงเพื่อพวกเรา ทรงทอดถอนพระหทัยเพื่อพวกเรา ทรงพระประชวรเทวษเพื่อพวกเรา ทรงทนทุกข์กับการเหยียดหยามเพื่อประโยชน์ของบั้นปลายและความรอดของพวกเรา และความด้านชาและความเป็นกบฏของพวกเรารินพระอัสสุชลและพระโลหิตจากพระหทัยของพระองค์  การเป็นและการมีในแบบนี้ไม่ได้เป็นของบุคคลธรรมดาทั่วไป และไม่สามารถถูกครอบครองหรือบรรลุได้โดยมนุษย์ผู้เสื่อมทรามคนใด  พระองค์แสดงให้เห็นถึงความยอมผ่อนปรนและความอดทนที่ไม่มีบุคคลธรรมดาสามัญคนใดจะมีได้ และความรักของพระองค์ไม่ใช่บางสิ่งที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างใดๆ จะมีได้  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่จะสามารถรู้ความคิดทั้งหมดของพวกเรา หรือมีความเข้าใจอย่างชัดเจนและบริบูรณ์ในธรรมชาติและธาตุแท้ของพวกเรา หรือตัดสินความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ หรือตรัสกับพวกเราและทรงพระราชกิจกับพวกเราเช่นนี้ในนามของพระเจ้าในสวรรค์  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่ทรงมีสิทธิอำนาจ พระปรีชาญาณ และพระเกียรติภูมิของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นถูกนำมาแสดงไว้อย่างบริบูรณ์ในพระองค์  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถบอกทางให้พวกเราและนำพาแสงสว่างมาให้พวกเรา  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายที่พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยตั้งแต่การทรงสร้างจวบจนวันนี้  ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่สามารถช่วยพวกเราให้รอดจากพันธนาการของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวพวกเราเอง  พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้า  พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระหทัยส่วนในสุดของพระเจ้า คำเตือนสติของพระเจ้า และพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระองค์ได้ทรงเริ่มยุคใหม่ ยุคสมัยใหม่ และทรงนำมาซึ่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแห่งใหม่และพระราชกิจใหม่ และพระองค์ได้ทรงนำพาความหวังมาให้พวกเรา ยุติชีวิตที่พวกเราได้ดำเนินมาในความคลุมเครือและทรงทำให้ความเป็นตัวตนทั้งหมดของพวกเราได้มองดูเส้นทางสู่ความรอดอย่างแจ่มชัดเต็มตา  พระองค์ได้ทรงพิชิตความเป็นตัวตนทั้งหมดของพวกเราและทรงได้หัวใจของพวกเราไป  นับแต่ชั่วขณะนั้นเป็นต้นมาจิตใจของพวกเราก็กลายเป็นรู้สึกตัวขึ้นมาและจิตวิญญาณของพวกเราก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนมา บุคคลธรรมดาไร้ความสำคัญผู้นี้ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเราและถูกพวกเราปฏิเสธมาเนิ่นนาน—นี่ไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้าผู้ซึ่งอยู่ในความคิดของพวกเราตลอดเวลา ทั้งในยามตื่นหรือยามฝัน และคือผู้ที่พวกเราถวิลหาทั้งกลางคืนและกลางวันหรอกหรือ?  เป็นพระองค์นั่นเอง!  เป็นพระองค์นั่นเองจริงๆ!  พระองค์คือพระเจ้าของพวกเรา!  พระองค์คือความจริง หนทางและชีวิต!  พระองค์ได้ทรงทำให้พวกเราสามารถมีชีวิตอีกครั้งและเห็นความสว่าง และหยุดหัวใจพวกเราไม่ให้ร่อนเร่เฉไฉ  พวกเราได้กลับสู่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเราได้กลับสู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ พวกเราได้เผชิญหน้ากันกับพระองค์ พวกเราได้เป็นพยานโฉมพระพักตร์ของพระองค์ และพวกเราได้เห็นถนนที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า  ในเวลานี้หัวใจของพวกเราถูกพระองค์ทรงพิชิตโดยครบบริบูรณ์ พวกเราไม่สงสัยอีกต่อไปว่าพระองค์เป็นใคร ไม่ต่อต้านพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์อีกต่อไป และพวกเราหมอบศิโรราบเฉพาะพระพักตร์พระองค์  พวกเราไม่ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเรา และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระองค์ และตอบแทนพระคุณของพระองค์และตอบแทนความรักของพระองค์ที่มีต่อพวกเรา และเชื่อฟังการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราสามารถทำได้เพื่อทำสิ่งที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้พวกเราจนเสร็จสิ้นครบถ้วน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 4: มองดูการทรงปรากฏของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์

หากผู้คนยังคงติดอยู่ในยุคพระคุณแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และยิ่งไม่มีทางรู้จักพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้าเลย  หากผู้คนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณที่ล้นเหลือเสมอ แต่ไม่มีหนทางแห่งชีวิตที่เปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักกับพระเจ้าหรือทำให้พระองค์สมดังพระทัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันได้รับพระองค์อย่างแท้จริงในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา  การเชื่อประเภทนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง  เมื่อเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคแห่งราชอาณาจักร เจ้าจะรู้สึกว่าบรรดาความอยากได้อยากมีที่เจ้ามีมานานหลายปีได้กลายเป็นจริงในที่สุด  เจ้าจะรู้สึกว่าบัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้เห็นพระเจ้าแบบเผชิญหน้าอย่างแท้จริง  บัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้จ้องมองโฉมพระพักตร์ของพระองค์ ได้ยินถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระองค์ ได้ตระหนักถึงพระปรีชาญาณของพระราชกิจของพระองค์และได้สำนึกรับรู้อย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงเป็นจริงและทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไร  เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนในอดีตกาลไม่เคยได้เห็นหรือครอบครอง  ณ เวลานี้ เจ้าจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้าและอะไรคือการปฏิบัติให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  แน่นอนว่าหากเจ้าเกาะติดกับมุมมองของอดีตและบอกปัดหรือปฏิเสธข้อเท็จจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงมือว่างเปล่า ไม่ได้รับอะไรมาเลย และในท้ายที่สุด เจ้าจะถูกประกาศว่ามีความผิดในการต่อต้านพระเจ้า  บรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังความจริงและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการอ้างสิทธิ์ภายใต้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พวกเขาจะสามารถยอมรับการทรงนำส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้รับความจริงมากขึ้นและสูงส่งขึ้น ตลอดจนชีวิตที่เป็นจริง  พวกเขาจะได้เห็นนิมิตที่ไม่เคยมีผู้คนในอดีตเคยได้เห็นมาก่อน กล่าวคือ “แล้วข้าพเจ้าก็หันกลับมาดูตรงที่พระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้านั้น  และเมื่อหันกลับมาแล้วข้าพเจ้าก็เห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคัน ในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์ยาวคลุมพระบาท และทรงคาดแถบทองคำที่พระอุระ  พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย  พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า” (วิวรณ์ 1:12-16)  นิมิตนี้เป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ยังเป็นการแสดงออกของพระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันของพระองค์ด้วยเช่นกัน  ในกระแสเชี่ยวกรากของการตีสอนและการพิพากษา บุตรมนุษย์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์โดยอาศัยถ้อยดำรัส อนุญาตให้ทุกคนที่ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้เห็นพระพักตร์แท้จริงของบุตรมนุษย์ ซึ่งเป็นภาพพรรณนาอันสัตย์จริงของพระพักตร์ของบุตรมนุษย์ตามที่ยอห์นได้เคยเห็น  (แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับพวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร)  พระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพอย่างครบถ้วนได้โดยใช้ภาษามนุษย์ และดังนั้นพระเจ้าจึงใช้วิธีที่พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์เพื่อแสดงพระพักตร์แท้จริงของพระองค์ต่อมนุษย์  ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทุกคนที่ซึ้งคุณค่าในพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของบุตรมนุษย์ย่อมได้เห็นพระพักตร์แท้จริงของบุตรมนุษย์แล้ว เพราะพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เกินไปและไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพอย่างครบถ้วนได้โดยใช้ภาษามนุษย์  เมื่อมนุษย์ได้รับประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร เช่นนั้นแล้วเขาก็จะรู้ความหมายแท้จริงของคำพูดของยอห์นเมื่อตอนที่เขาพูดถึงบุตรมนุษย์ท่ามกลางคันประทีปว่า “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย  พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า”  ณ เวลานั้น เจ้าจะรู้สิ้นเกินความสงสัยทั้งมวลว่าเนื้อหนังธรรมดานี้ซึ่งได้กล่าวไว้มากมายนั้นคือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองอย่างไม่อาจปฏิเสธได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะสำนึกรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าเจ้าได้รับพรมากเพียงใดและรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุด เจ้าไม่ได้กำลังเต็มใจยอมรับพรนี้หรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

ก่อนหน้า: 2. ขณะนี้ ปรากฏว่าหลากหลายนิกายทางศาสนายึดปฏิบัติตามพิธีทางศาสนาอย่างเป็นหน้าที่ แต่พวกศิษยาภิบาลกลับมุ่งเน้นเพียงการประกาศพระวจนะและวลีทั้งหลายจากพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยาเท่านั้น และความรู้แจ้งกับความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นก็หายไปโดยสิ้นเชิง  ชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลายดำเนินไปโดยไม่ได้รับการจัดเตรียมให้โดยสิ้นเชิง  พวกเขามีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแต่ก็ไม่รู้เท่าทันความจริงและไร้ความสามารถที่จะนำพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ  ความเชื่อของพวกเขาในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กลายเป็นอะไรเลยนอกจากการเชื่อทางศาสนา  ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมคริสตจักรทั้งหลายในทุกวันนี้ได้ลดต่ำลงไปเป็นศาสนา

ถัดไป: 2. ดังที่พวกเราเข้าใจกัน ผู้ชำนาญการและนักวิชาการทางศาสนานานาชาติผู้มีชื่อเสียงเกียรติยศหลายรายได้ระลึกรู้ว่า คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเป็นคริสตจักรคริสเตียนกำเนิดใหม่แห่งหนึ่ง อะไรหรือคือความแตกต่างระหว่างคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับศาสนาคริสต์ดั้งเดิม?  

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger