2. เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปมากมายและพบว่าพระวจนะเหล่านั้นครองทั้งพลังอำนาจและสิทธิอำนาจ ทุกถ้อยดำรัสของพระองค์เป็นความจริง ถ้อยดำรัสเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าจริงๆ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งฉันไม่เข้าใจคือ ขณะนี้มีผู้คนบางคนแสร้งทำเป็นการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และพวกเขาก็ได้กล่าวคำพูดออกมาด้วยเช่นกัน บางคำพูดของพวกเขาได้ถูกทำเป็นหนังสือ และมีผู้คนจำนวนมากพอควรทีเดียวที่ถูกใช้เล่ห์กลให้ไปติดตามพวกเขา พวกเราจะสามารถบอกได้อย่างไรว่า จริงๆ แล้วคำพูดทั้งหลายของพวกพระคริสต์เทียมเท็จนั้นเป็นสิ่งใดกันแน่?
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ
พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้
บทตัดตอนจากคำเทศนาและการสามัคคีธรรมสำหรับการอ้างอิง
ทุกคนที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายชัดเจนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ แต่ละครั้งที่พระเจ้าทรงพระราชกิจช่วงระยะใหม่ ซาตานและพวกวิญญาณชั่วทุกประเภทติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด โดยเลียนแบบและปลอมแปลงพระราชกิจของพระองค์เพื่อหลอกลวงผู้คน เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ ซาตานและพวกวิญญาณชั่วได้รักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ ทั้งนี้ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงมอบของประทานแห่งภาษาแปลกๆ ให้มนุษย์ พวกวิญญาณชั่วก็ได้ทำให้ผู้คนพูด “ภาษาแปลกๆ” ที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้เลยด้วยเช่นกัน แม้ว่าซาตานและพวกวิญญาณชั่วสามารถทำสิ่งทั้งหลายทุกประเภทที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้—ตัวอย่างเช่น การสำแดงสิ่งเหนือธรรมชาติเฉพาะเพื่อหลอกลวงผู้คน—เพราะซาตานและพวกวิญญาณชั่วสูญสิ้นความจริง พวกเขาจึงไม่มีวันสามารถมอบความจริงให้ผู้คนได้ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นไปได้ที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระคริสต์เที่ยงแท้กับพระคริสต์เทียมเท็จ
ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นเป็นเวลานานหลังจากทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจ ทั้งนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้การเป็นพยานต่อพระคริสต์จนเมื่อพระวจนะของพระองค์ได้ไปถึงจุดสูงสุดของวจนะเหล่านั้นและผู้คนได้รับการพิชิตแล้วเท่านั้น พระคริสต์ไม่เคยทรงแถลงต่อหน้าผู้อื่นว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระองค์ไม่เคยทรงสั่งสอนผู้คนจากตำแหน่งของพระคริสต์ อีกทั้งพระองค์ยังไม่เคยทรงกดดันพวกเขาให้ยอมรับและยอมรับรู้พระองค์ กล่าวคือ พระองค์ถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นเท่านั้น โดยทรงแสดงความจริง จัดเตรียมสิ่งที่ผู้คนต้องการในชีวิต และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขา พระคริสต์ไม่เคยทรงคุยโตหรือทรงอวดตัว กล่าวคือ พระองค์ยังคงถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นมาโดยตลอด ในการนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถเปรียบเทียบได้ พระคริสต์ไม่เคยทรงใช้ตำแหน่งหรือพระอัตลักษณ์ของพระองค์เพื่อทำให้ผู้คนเชื่อฟังและติดตามพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษา ตีสอน และช่วยผู้คนให้รอด โดยวิถีทางซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการช่วยเหลือผู้คนให้รู้จักพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า และให้ได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า—ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าทรงสูงศักดิ์และบริสุทธิ์เพียงใด ในขณะเดียวกัน พระคริสต์เทียมเท็จและพวกวิญญาณชั่วมากมายเหลือคณานั้นเป็นสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นั่นคือ พวกเขาให้การเป็นพยานต่อตัวเองเป็นนิตย์ว่าเป็นพระคริสต์ และถึงขั้นพูดว่าพวกที่ไม่ฟังพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ พวกเขาทำอย่างที่สุดเพื่อคุยโต อวดตัว และสรรเสริญตนเองเพื่อที่จะทำให้ผู้คนมาพบพวกเขา หรือพวกเขาอาจปฏิบัติหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่างเพื่อหลอกลวงผู้คน และทันทีที่ผู้คนถูกหลอกลวง หากไม่มีใครเลยที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและแก้ไขการหลอกลวงนี้ พวกเขาก็ล่มสลาย มีตัวอย่างมากมายเหลือเกินของการนี้ เพราะพระคริสต์เทียมเท็จไม่ใช่ความจริง หนทาง และชีวิต และพวกเขาไม่นำเสนอเส้นทาง พวกที่ติดตามพวกเขาย่อมจะถูกนำพาไปสู่ความอับอายในไม่ช้า ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีความสำคัญมากต่อการจำแนกความต่างระหว่างพระคริสต์เที่ยงแท้กับพระคริสต์เทียมเท็จคือ การระลึกได้ว่ามีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถแสดงความจริงได้ พระคริสต์เทียมเท็จขาดพร่องความจริงอย่างที่สุด พวกวิญญาณชั่วมากมายเหลือคณาก็เช่นกัน และไม่สำคัญว่าพวกเขาพูดมากเพียงใดหรือพวกเขาเขียนหนังสือกี่เล่ม ไม่มีสิ่งใดจากการนั้นเลยที่บรรจุความจริงอันใด—นี่เป็นการแน่นอนที่สุด ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สำหรับบรรดาผู้ที่ติดตามพระคริสต์ ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความจริงกลายเป็นชัดเจนมากขึ้นทุกที และหนทางก็สว่างไสวมากขึ้นทุกที ซึ่งพิสูจน์ว่ามีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ และว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริง พระคริสต์เทียมเท็จสามารถพูดได้เพียงแค่คำพูดที่ลอกแบบมาไม่กี่คำหรือสิ่งที่เป็นเหตุให้ความจริงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เคยเป็น พวกเขาไม่มีความจริง มีเพียงแค่ความมืดมิด ความวิบัติ และงานของพวกวิญญาณชั่วเท่านั้นที่พวกเขานำพามาสู่ผู้คน พวกที่ติดตามพระคริสต์เทียมเท็จจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน กล่าวคือ พวกเขาทำได้เพียงถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึกมากขึ้นเท่านั้น โดยมึนชาและปัญญาทึบมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งพวกเขาถูกทำลาย พวกที่ติดตามพระคริสต์เทียมเท็จเป็นเหมือนผู้คนตาบอดที่ขึ้นเรือโจรสลัด โดยที่ตัวเองนั้นลืมไปเลยเกี่ยวกับเรื่องน้ำ!
—การสามัคคีธรรมจากเบื้องบน
แน่นอนว่าพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงครองการแสดงออกและแก่นแท้ของพระเจ้า หากใครบางคนอ้างว่าเป็นพระคริสต์ ว่าพวกเขาเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว จงปล่อยให้พวกเราตรวจสอบเนื้อแท้ของพวกเขาจากงานของพวกเขา คำพูดของพวกเขา และอุปนิสัยที่พวกเขาเปิดเผย เพื่อกำหนดพิจารณาว่าพวกเขาเป็นพระคริสต์จริงๆ หรือไม่ ว่าพวกเขาเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ โดยการใช้การหยั่งรู้ของพวกเราจากแง่มุมหลายแง่มุมเหล่านี้ พวกเราจะพบคำตอบที่ถูกต้อง ทั้งนี้ หากพวกเราไม่ใช้การหยั่งรู้ของพวกเราจากแง่มุมเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะถูกหลอกลวงโดยง่าย ดังนั้นแล้ว พวกเราควรบอกความแตกต่างโดยเฉพาะเจาะจงอย่างไรหรือ? ประการแรก สามารถหยั่งรู้พวกเขาได้จากแง่มุมของงานของพวกเขา หากนั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะมีความสามารถที่จะแสดงพระวจนะแห่งพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้ หากนั่นเป็นงานของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะมีความสามารถที่จะพูดถึงสิ่งที่มนุษย์มีและเป็น รวมทั้งประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ กล่าวคือ พวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะพูดอะไรได้เลยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น อีกทั้งยังไม่มีความสามารถที่จะพูดอะไรได้เลยเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงขอต่อมนุษย์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะมีความสามารถที่จะพูดถึงแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและความล้ำลึกของพระราชกิจของพระองค์ได้ นี่คือการมองดูสิ่งทั้งหลายในแง่ของงาน ประการที่สอง สามารถหยั่งรู้พวกเขาได้จากแง่มุมของสิ่งที่พวกเขาพูด มีความแตกต่างที่มีแก่นสารระหว่างคำพูดของมนุษย์กับพระวจนะแห่งพระเจ้า นั่นคือ พระวจนะแห่งพระเจ้าเป็นตัวแทนสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ในขณะที่คำพูดของมนุษย์เป็นตัวแทนสิ่งที่มนุษย์มีและเป็น ทั้งนี้ พระวจนะของพระเจ้าเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในขณะที่คำพูดของมนุษย์เป็นตัวแทนสภาวะความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ กล่าวคือ พระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือความจริง ในขณะที่คำพูดของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง นี่คือการแยกความแตกต่างบนพื้นฐานของคำพูด ประการที่สาม สามารถหยั่งรู้พวกเขาได้จากแง่มุมของอุปนิสัยของพวกเขา พระราชกิจของพระเจ้าสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ ในขณะที่งานของมนุษย์ไม่สามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ และทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างได้เพียงบุคลิกลักษณะของมนุษย์เท่านั้น แล้วอะไรหรือบรรจุอยู่ภายในบุคลิกลักษณะของมนุษย์? มีความชอบธรรม บารมี และความโกรธหรือไม่? มีความจริงหรือไม่? บุคลิกลักษณะของมนุษย์ไม่ให้หมายสำคัญอันใดถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และดังนั้นแล้ว งานของมนุษย์จึงไม่สัมพันธ์อย่างสิ้นเชิงกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า การใช้แง่มุมเหล่านี้เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้ากับมนุษย์ทำให้เป็นไปได้ที่จะกำหนดพิจารณาว่าใครเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า และใครไม่เป็น หากผู้คนไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ ย่อมกลับกลายเป็นง่ายที่พวกเขาจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จหลอกลวง
—คำเทศนาและการสามัคคีธรรมเรื่องการเข้าสู่ชีวิต
ใครก็ตามที่แสร้งทำเป็นพระคริสต์เพื่อพูดหลอกลวงผู้คนเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ พระคริสต์เทียมเท็จทั้งหมดถูกครอบงำโดยเหล่าวิญญาณชั่ว และพวกเขาเป็นผู้หลอกลวง เจ้าสามารถหยั่งรู้พระคริสต์เทียมเท็จที่กำลังพูดอยู่เนืองนิตย์เพื่อที่จะหลอกลวงผู้คนได้อย่างไร? หากเจ้าเพียงแค่มองดูที่คำพูดของพวกเขาบางคำ บางทีเจ้าอาจจะเกาศีรษะของเจ้า และเจ้าจะไม่มีความสามารถที่เข้าใจได้อย่างถ้วนทั่วว่าวิญญาณชั่วตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ หากเจ้าสะกดรอยวิญญาณชั่วนี้ต่อไปและหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้พูดโดยรวม ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายมากที่จะมองเห็นว่าพวกเขาเป็นสิ่งจำพวกใดจริงๆ พวกเขากำลังทำอะไร พวกเขากำลังพูดอะไรจริงๆ พวกเขากำลังวางอุบายที่จะทำอะไรกับผู้คน และพวกเขากำลังเสนอเส้นทางใดให้ผู้คน การหยั่งรู้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องง่าย พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าโดยแก่นแท้แล้ว คุณลักษณะเฉพาะอย่างเดียวกันมีอยู่ในคำพูดของเหล่าวิญญาณชั่ว พวกเขาสามารถเพียงแค่เลียนแบบพระวจนะและการทรงแสดงออกของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้ามีบริบทหนึ่งและจุดประสงค์หนึ่ง จุดประสงค์และผลลัพธ์สูงสุดของถ้อยดำรัสของพระเจ้าชัดเจนมาก และผู้คนสามารถมองเห็นได้ว่าพระวจนะของพระองค์ครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ ว่าพระวจนะเหล่านั้นสามารถสะเทือนหัวใจของคนเราและขับเคลื่อนดวงจิตของคนเราได้ แต่คำพูดของเหล่าวิญญาณชั่วและของซาตานไม่มีทั้งบริบทและผลลัพธ์—คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนสระน้ำที่หยุดนิ่ง และผู้คนรู้สึกขุ่นมัวในหัวใจของพวกเขาหลังจากอ่านคำพูดเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้รับอะไรจากพวกมัน ดังนั้นแล้ว เหล่าวิญญาณชั่วทุกประเภทจึงขาดพร่องความจริงทั้งสิ้น และภายในก็ขุ่นมัวและมืดมิดอย่างแน่นอน คำพูดของพวกเขาไม่สามารถนำความสว่างมาให้ผู้คน และไม่สามารถแสดงให้พวกเขาเห็นเส้นทางที่พวกเขาควรติดตามได้ เหล่าวิญญาณชั่วไม่สามารถแถลงจุดมุ่งหมายของพวกเขาอย่างชัดเจนได้ อีกทั้งสิ่งที่พวกเขากำลังพยายามสัมฤทธิ์ ไม่มีการกล่าวถึงสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อแท้ของความจริงหรือรากเหง้า ไม่แม้แต่น้อย ไม่มีสิ่งใดที่ผู้คนควรเข้าใจหรือได้รับสามารถพบได้ในคำพูดของเหล่าวิญญาณชั่ว เพราะฉะนั้น คำพูดของเหล่าวิญญาณชั่วสามารถเพียงแค่หลอกลวงผู้คนและนำความขุ่นมัวและความมืดมิด ความเป็นลบและความหดหู่ใจภายในมาให้พวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถจัดเตรียมเสบียงอาหารใดๆ ให้ผู้คนได้เลย จากการนี้เราสามารถมองเห็นได้ว่าธรรมชาติธาตุแท้ของเหล่าวิญญาณชั่วคือธรรมชาติธาตุแท้แห่งความชั่วและความมืด และว่ามันขาดพร่องความมีชีวิตชีวา แต่กลับคละคลุ้งด้วยความตายแทน พวกมันเป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบที่ควรถูกสาปแช่งอย่างแท้จริง ไม่มีความจริงเลยในวาทะของพวกเขา ทั้งหมดเป็นเรื่องไร้สาระและคำพูดฝ่ายผีปีศาจที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยงและเกลียดชังราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้กินแมลงวันตาย หากผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและครองขีดความสามารถที่จะจับใจความพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะมีความสามารถที่จะหยั่งรู้คำพูดของเหล่าวิญญาณชั่วเมื่อได้อ่านคำพูดเหล่านั้น พวกที่ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณและไม่มีความสามารถที่จะจับใจความพระวจนะของพระเจ้าจะถูกหลอกลวงโดยคำพูดฝ่ายผีปีศาจของเหล่าวิญญาณชั่วอย่างแน่นอน ผู้คนเหล่านั้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงให้ความรู้แจ้งและความกระจ่าง ที่มีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า และที่เข้าใจความจริงบางอย่าง ทั้งหมดจะมีความสามารถโดยธรรมชาติที่จะหยั่งรู้คำพูดฝ่ายผีปีศาจของเหล่าวิญญาณชั่วได้ พวกเขาจะมีความสามารถที่จะมองเห็นในคำพูดใดๆ ที่เหล่าวิญญาณชั่วได้พูดว่าเหล่าวิญญาณชั่วไร้ซึ่งความจริงโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น หรือไร้ซึ่งพลังอำนาจหรือสิทธิอำนาจแม้เพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า ความแตกต่างนั้นคือความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลกอย่างแท้จริง
—การจัดการเตรียมการงาน