6. พวกเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปมากมาย  พระวจนะเหล่านั้นครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และพระวจนะเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าจริงๆ  ทว่าพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสกล่าวว่า ในพระคัมภีร์เขียนว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์  แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป” (กาลาเทีย 1:6-8)  โดยอาศัยคำพูดเหล่านี้ที่เปาโลพูดไว้ พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสกล่าวว่า การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพวกเรานั้นไถลห่างจากพระนามขององค์พระเยซูเจ้า และจากหนทางขององค์พระเยซูเจ้า  พวกเขากล่าวว่า พวกเราเชื่อในอีกข่าวประเสริฐหนึ่ง และว่านี่คือการละทิ้งความเชื่อ การทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  แม้พวกเรารู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นผิด แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะกล่าวอย่างแน่ใจได้ว่าพวกเขาผิดในหนทางใด  กรุณาสามัคคีธรรมกับพวกเราเกี่ยวกับการนี้เถิด

ตอบ:

บนพื้นฐานของคำพูดเหล่านี้ของเปาโล พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพูดว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการหันไปจากพระนามขององค์พระเยซูเจ้า การเชื่อในอีกข่าวประเสริฐ และการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า  แต่การตีความของพวกเขาเกี่ยวกับคำพูดของเปาโลนั้นถูกต้องหรือไม่?  หลังจากที่อ่านพระคัมภีร์ ผู้คนมากมายไม่แสวงหาความจริง และโดยที่ไม่ใส่ใจต่อบริบท ณ เวลานั้น พวกเขาบังคับใช้กฎเกณฑ์ด้วยความหูหนวกตาบอดอย่างที่สุดโดยโอนไปเอนมาและทำตามอำเภอใจ ซึ่งหลอกผู้คนและทำให้ผู้คนเข้าใจผิดโดยง่าย  หากพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสอ้างพระคัมภีร์โดยปราศจากบริบท ก็เป็นการง่ายที่พวกเขาจะหว่านความงุนงงสับสนท่ามกลางบรรดาผู้ที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง  ในข้อเท็จจริงแล้ว มีบริบทหนึ่งอยู่ในคำพูดของเปาโล กล่าวคือ  ในยุคพระคุณ มีข่าวประเสริฐเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือข่าวประเสริฐของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า  เมื่อผู้คนแพร่กระจายหนทางอื่นๆ—ข่าวประเสริฐทั้งหลายที่ไม่เหมือนข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า—เหล่านี้คือ “ข่าวประเสริฐอีกข่าว” ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐทั้งหลายที่หลอกลวงผู้คน  และผู้คนที่ถูกหลอกลวงให้ติดตามข่าวประเสริฐอีกข่าวหลังจากยอมรับพระนามขององค์พระเยซูเจ้าแล้วก็ได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า  เมื่อเปาโลพูดคำพูดเหล่านี้ พระเจ้ายังไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย ทั้งยังไม่มีใครเลยที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้าย  เช่นนั้นแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า “ข่าวประเสริฐอีกข่าว” ซึ่งเปาโลได้พูดถึงนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ข่าวประเสริฐแห่งการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย แต่เป็นข่าวประเสริฐเหล่านั้นซึ่งประกาศโดยพวกพระคริสต์เทียมเท็จที่ได้อุบัติขึ้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปรากฏและกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์  การศึกษาทางประวัติศาสตร์อันใดก็ตามในเวลานั้นจะเปิดเผยสถานการณ์เช่นนั้นอย่างแน่นอน  ในข้อเท็จจริงแล้ว เปาโลไม่เคยพูดว่าการประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมานั้นผิด นับประสาอะไรที่เขาจะกล้าพูดว่า หากผู้คนได้ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา—พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—พวกเขาย่อมจะกำลังทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า  กระนั้นก็ตามพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสแห่งโลกศาสนาใช้คำพูดของเปาโลที่พูดกับคริสตจักรทั้งหลายของยุคพระคุณ เพื่อกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย  ในการนี้ พวกเขากำลังตีความพระคัมภีร์ผิดและอ้างพระคัมภีร์โดยปราศจากบริบทเท่านั้น ซึ่งไร้สาระน่าขันและไร้เหตุผลอย่างแท้จริง!  เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสกำลังลองพยายามที่จะหลอกลวงผู้คน ลองพยายามที่จะหยุดยั้งพวกเขาจากการแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง  หากเป็นอย่างที่พวกเขาได้พูด เช่นนั้นแล้ว เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงพระราชกิจ และหลายคนที่ได้เชื่อในพระยาห์เวห์ได้เริ่มที่จะติดตามองค์พระเยซูเจ้าหลังจากได้มองดูการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระองค์ และได้ยอมรับความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้คนเหล่านี้ที่ได้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าจะได้ทรยศพระยาห์เวห์และทำการละทิ้งความเชื่อเรื่อยมาหรือไม่?  เป็นที่ชัดเจนว่า พวกเขาไม่ได้กำลังทรยศพระยาห์เวห์ แต่กำลังติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า—พวกเขากำลังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  ในขณะเดียวกัน พวกเหล่านั้นที่ได้เกาะติดธรรมบัญญัติอย่างดื้อดึงและไม่ได้ยอมรับความรอดขององค์พระเยซูเจ้า อาจได้ปรากฏให้เห็นว่ารักษาพระนามของพระยาห์เวห์ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว พวกเขาได้กบฏต่อพระองค์และได้ต้านทานพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ทั้งนี้ พวกเขาได้ยึดตามพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำแล้วเสร็จในอดีตเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า และพวกเขาไม่ได้ยอมรับหรือเชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า—เป็นพวกเขานั่นเองที่เป็นผู้ละทิ้งความเชื่อที่แท้จริง เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและทรงปฏิเสธ

พวกเราที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามีความซาบซึ้งอันลึกซึ้งว่า ถึงแม้ว่าความเชื่อของพวกเราในองค์พระผู้เป็นเจ้าหมายความว่าบาปของพวกเรานั้นได้รับการยกโทษ แต่พวกเราก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่พวกเราทำบาปในระหว่างกลางวันและสารภาพบาปของพวกเราในตอนกลางคืน  เมื่อถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเราควบคุม บ่อยครั้งที่พวกเราเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเรา อาทิ ความโอหังและเล่ห์ลวง ความคดโกงและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ความเห็นแก่ตัวและความต่ำศักดิ์ ทั้งนี้ พวกเราอดไม่ได้เลยที่จะโกหกและทำบาป กบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระเจ้า และพวกเราก็ยังไม่ได้หลีกหนีข้อผูกมัดและเครื่องจองจำแห่งบาป  พวกเหล่านั้นที่ไม่บริสุทธิ์ไม่สามารถพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้นพระเจ้าจะทรงสามารถอนุญาตให้พวกเหล่านั้นที่เปี่ยมล้นไปด้วยอุปนิสัยของซาตานและหมิ่นเหม่ที่จะกบฏต่อพระองค์และต้านทานพระองค์ เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้อย่างไรกัน?  ดังนั้นแล้ว ด้วยการมาถึงของยุคราชอาณาจักรในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะที่ใหม่กว่าและสูงกว่าบนรากฐานของพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า นั่นก็คือ พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ในระหว่างยุคสุดท้าย  ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อทรงแก้ไขธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ โดยทรงทำให้มนุษย์สามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายให้จบสิ้นเสียที และเป็นการทรงนำพาเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า  นี่เป็นการลุล่วงคำเผยวจนะของพระคัมภีร์ ความว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13)  “ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)  “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17)  ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายจึงไม่ใช่กำลังทรยศองค์พระเยซูเจ้าหรือทำการละทิ้งความเชื่อ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดก ทั้งนี้ มีเพียงผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่เป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา และเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับการยกขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้เข้าร่วมงานเลี้ยงของพระองค์

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื่องจากมนุษย์เชื่อในพระเจ้า เขาจึงต้องติดตามย่างพระบาทของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เขาควร ‘ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใดก็ตาม’  มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้แสวงหาหนทางที่แท้จริง มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนที่ติดตามความหมายตามตัวอักษรและหลักข้อเชื่อราวกับทาสคือพวกที่ได้เคยถูกพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์กำจัด  ในแต่ละยุค พระเจ้าจะทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ และในแต่ละยุคจะมีการเริ่มต้นใหม่ท่ามกลางมนุษย์  หากมนุษย์เพียงยึดถือความจริงที่ว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า’ และ ‘พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์’ ซึ่งก็คือความจริงที่ใช้เฉพาะกับยุคนั้นๆ ของพวกเขาเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมนุษย์ย่อมจะไม่มีวันตามทันพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะไม่สามารถได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดไปได้  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร มนุษย์ก็ติดตามโดยปราศจากความสงสัยแม้แต่น้อย และเขาย่อมติดตามอย่างใกล้ชิด  ในหนทางนี้ มนุษย์จะถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกำจัดได้อย่างไร?  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ตราบเท่าที่มนุษย์มั่นใจว่านั่นคือพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และให้ความร่วมมือในพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยไม่มีความขุ่นข้องใจใดๆ และพยายามทำให้ถึงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเขาจะถูกลงโทษได้อย่างไร?  พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีวันยุติ ย่างพระบาทของพระองค์ไม่มีวันหยุดยั้ง และก่อนที่พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์จะครบบริบูรณ์ พระองค์ได้ทรงยุ่งอยู่เสมอและไม่เคยทรงหยุด  แต่มนุษย์นั้นแตกต่างออกไป กล่าวคือ หลังจากที่ได้รับเพียงส่วนเล็กน้อยของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาก็ปฏิบัติต่อพระราชกิจเสมือนว่าพระราชกิจจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หลังจากที่ได้รับความรู้เล็กน้อย เขาก็ไม่ได้เดินหน้าเพื่อติดตามรอยพระบาทของพระราชกิจที่ใหม่กว่าของพระเจ้า  หลังจากที่ได้มองเห็นพระราชกิจของพระเจ้าเพียงเล็กน้อย เขาก็กำหนดทันทีว่าพระเจ้าทรงเป็นหุ่นไม้จำเพาะตัวหนึ่ง และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอยู่ในรูปร่างนี้ที่เขาเห็นตรงหน้าเขาเสมอ เขาเชื่อว่าในอดีตมันเป็นแบบนี้และจะเป็นดังนี้เสมอในอนาคต  หลังจากที่ได้รับความรู้เพียงผิวเผินแล้ว มนุษย์ก็ช่างภูมิอกภูมิใจจนเขาลืมตัวเอง และเริ่มประกาศอย่างมัวเมาถึงพระอุปนิสัยและสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นซึ่งก็ไม่ได้มีอยู่เลย  และหลังจากที่ได้กลายเป็นมั่นใจเกี่ยวกับช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าบุคคลที่ประกาศพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจะเป็นบุคคลประเภทใดก็ตาม มนุษย์ก็ไม่ยอมรับพระราชกิจนั้น  เหล่านี้คือผู้คนที่ไม่สามารถยอมรับพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาหัวโบราณเกินไปและไม่สามารถยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้  ผู้คนเช่นนั้นคือพวกที่เชื่อในพระเจ้า แต่ก็ปฏิเสธพระเจ้าเช่นกัน  มนุษย์เชื่อว่าคนอิสราเอลผิดที่ ‘เชื่อแต่ในพระยาห์เวห์และไม่เชื่อในพระเยซู’ ถึงกระนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็แสดงบทบาทที่พวกเขา ‘เชื่อแต่ในพระยาห์เวห์และปฏิเสธพระเยซู’ และ ‘ถวิลหาการทรงกลับมาของพระเมสสิยาห์ แต่ต่อต้านพระเมสสิยาห์ที่ทรงได้รับเรียกว่าพระเยซู’  เช่นนั้นแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานหลังจากที่ยอมรับช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และยังคงไม่ได้รับพระพรของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ผลของการเป็นกบฏของมนุษย์หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงให้พวกเราเห็นว่า พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และว่าพระราชกิจของพระองค์แห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไม่หยุดเคลื่อนไปข้างหน้าเลย  ในยุคใหม่ หากพวกเรายังคงเกาะติดพระราชกิจในอดีตของพระเจ้าและไม่ยอมที่จะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า พวกเราก็ย่อมจะกลายเป็นพวกเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าทว่าต้านทานพระองค์ได้อย่างง่ายดายมาก และกลายเป็นผู้ที่ถูกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กำจัดทิ้ง  หลายศตวรรษมาแล้ว เนื่องจากพวกฟาริสีได้เกาะติดพระราชกิจของพระเจ้าในยุคของภาคพันธสัญญาเดิม เนื่องจากพวกเขาได้ต้านทานและได้กล่าวโทษพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า และได้ตอกตรึงพระองค์กับกางเขน—บาปที่เลวร้าย—พวกเขาจึงได้ประสบกับคำสาปแช่งและการลงโทษจากพระเจ้า  ดังนั้น ตอนนี้พวกเราควรเข้าหาพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายอย่างไรหรือ?  พวกเราทั้งหมดควรพิจารณาการนี้อย่างระมัดระวัง!

ก่อนหน้า: 5. ในยุคทั้งหลายของทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่นั้น พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจในประเทศอิสราเอล  องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงเผยพระวจนะไว้ว่า พระองค์จะทรงกลับมาในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับมา พระองค์ควรเสด็จมาถึงในประเทศอิสราเอล  แต่พวกคุณก็ยังให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาเรียบร้อยแล้ว ว่าพระองค์ได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์และกำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในประเทศจีน  ประเทศจีนเป็นชนชาติที่ถูกปกครองโดยพรรคการเมืองที่เป็นอเทวนิยม  ไม่มีในประเทศใดเลยที่มีการต้านทานพระเจ้าและการข่มเหงคริสตชนที่ใหญ่หลวงกว่านี้  การทรงกลับมาของพระผู้เป็นเจ้าจะสามารถเป็นการมายังประเทศจีนได้อย่างไรกัน?

ถัดไป: 7. ในพระคัมภีร์เขียนว่า “คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน” (1 เธสะโลนิกา 4:16)  พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว แต่พวกเรายังไม่ได้ยินเสียงโห่ร้อง หรือเสียงของหัวหน้าทูตสวรรค์ หรือเสียงแตรของพระเจ้าเลย อีกทั้งเราก็ไม่ได้เห็นเหล่าธรรมิกชนที่ตายแล้วกลับเป็นขึ้นมาอีก  ดังนั้นจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger