สิ่งที่เป็นหน้าที่ และวิธีที่คนเราควรคำนึงถึงการนั้น

วันที่ 27 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และคริสตชนผู้เปี่ยมศรัทธา พวกเราทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ที่จะต้องถวายร่างกายและจิตใจเพื่อเติมเต็มพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเหตุที่การเป็นอยู่ของพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า หากร่างกายและจิตใจของเรามิได้มีไว้เพื่อพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ได้เป็นไปเพื่อเหตุอันชอบธรรมของมวลมนุษย์แล้วไซร้ ดวงวิญญาณของพวกเราจะไม่มีค่าพอต่อผู้คนซึ่งได้ยอมพลีชีพเพื่อพระบัญชาของพระเจ้าเลย และยิ่งไม่มีค่าพอต่อพระเจ้าผู้ได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้กับพวกเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง

ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพระพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพระพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้า: การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงจะถูกกำจัดในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกสาปแช่ง ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกนั้นชั่วร้าย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

หน้าที่คืออะไร? หน้าที่ไม่ได้รับการบริหารจัดการโดยเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้าเองหรืองานของเจ้าเอง ตรงกันข้าม นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าพึงประสงค์ความร่วมมือของเจ้า ซึ่งทำให้เกิดหน้าที่ของเจ้าขึ้นมา พระราชกิจของพระเจ้าในส่วนซึ่งมนุษย์ต้องร่วมมือก็คือหน้าที่ของเขา หน้าที่คือส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้า ไม่ใช่กิจการในครอบครัวของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่กิจการส่วนตัวในชีวิตของเจ้าด้วย ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเกี่ยวข้องกับกิจการภายนอกหรือภายในก็ตาม นั่นคือพระราชกิจในพระนิเวศของพระเจ้า นั่นก่อเกิดเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และนั่นคือภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เจ้า นั่นไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า

ตัดตอนมาจาก “โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

หน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร? หากจะพูดกว้างๆ แล้ว มันเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษยชาติ พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ขณะที่พระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าเปิดเผยคลี่คลายท่ามกลางมวลมนุษย์ กิจอันหลากหลายซึ่งจำเป็นต้องทำก็เกิดขึ้น และกิจเหล่านั้นพึงประสงค์ให้ผู้คนให้ความร่วมมือและทำกิจเหล่านั้นให้เสร็จสิ้น การนี้ทำให้เกิดความรับผิดชอบและภารกิจที่ผู้คนจะต้องทำให้ลุล่วง และความรับผิดชอบกับภารกิจเหล่านี้ก็คือหน้าที่ทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์ เพราะฉะนั้น ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น ภารกิจต่างๆ ที่พึงประสงค์ความร่วมมือของผู้คนคือหน้าที่ทั้งหลายที่พวกเขาควรปฏิบัติให้ลุล่วง ดังนั้น มีความแตกต่างระหว่างหน้าที่ทั้งหลายในแง่ที่ว่าดีกว่ากับแย่กว่า สูงส่งกว่ากับต่ำต้อยกว่า หรือยิ่งใหญ่กับเล็กน้อยหรือไม่? ความแตกต่างเช่นนั้นไม่มีอยู่จริง ตราบเท่าที่บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้า เป็นข้อพึงประสงค์ในการที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจนั้นจนเสร็จสิ้น หรือเป็นข้อพึงประสงค์ในพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว นั่นคือหน้าที่ของบุคคลหนึ่ง นี่คือคำจำกัดความและต้นกำเนิดของหน้าที่ หากปราศจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า ผู้คนบนแผ่นดินโลก—โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาดำรงชีวิตอย่างไร—จะมีหน้าที่หรือไม่? (ไม่มี) ตอนนี้เจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนว่า มีสัมพันธภาพโดยตรงระหว่างหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระราชกิจบริหารจัดการแห่งความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้า สามารถพูดได้ว่า หากปราศจากความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้า และหากปราศจากพระราชกิจบริหารจัดการซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดตัวบนแผ่นดินโลก ผู้คนคงจะไม่มีหน้าที่ให้พูดถึงท่ามกลางมนุษย์ เมื่อมองจากมุมมองนี้ หน้าที่นั้นสำคัญสำหรับทุกบุคคลที่ติดตามพระเจ้า ใช่หรือไม่? พูดอย่างกว้างๆ ก็คือ เจ้ากำลังมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พูดให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นก็คือ เจ้ากำลังให้ความร่วมมือกับการงานนานาสารพันชนิดของพระเจ้าที่พึงต้องมีในเวลาที่ต่างกันและท่ามกลางผู้คนกลุ่มที่ต่างกัน นั่นคือพระบัญชาอย่างหนึ่งซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า โดยไม่คำนึงถึงว่าหน้าที่ของเจ้าคืออะไร บางครั้งเจ้าอาจพึงต้องดูแลหรือคุ้มภัยเป้าหมายสำคัญ นี่อาจเป็นเรื่องที่เมื่อเทียบไปแล้วก็ค่อนข้างเล็กน้อยไม่สลักสำคัญอะไร ซึ่งพูดได้เพียงแค่ว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้า แต่นั่นเป็นกิจซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า เจ้าได้รับการนั้นจากพระองค์ หากจะพูดในคำศัพท์ที่มีความหมายกว้างกว่าก็คือ พระเจ้าทรงมอบพระบัญชาอย่างหนึ่งให้เจ้า ซึ่งอาจเป็นการไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือนำทางคริสตจักร หรือนั่นอาจเป็นพระราชกิจซึ่งยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายกว่าและสำคัญกว่าขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่การนั้นเกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้าและงานแห่งพระนิเวศของพระองค์ ผู้คนควรยอมรับการนั้นเป็นหน้าที่จากพระเจ้า หากจะพูดในคำศัพท์ที่ยิ่งมีความหมายกว้างขึ้นไปอีกก็คือ หน้าที่เป็นภารกิจหนึ่งของบุคคล พระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมาย กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นก็คือ นั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า ภาระผูกพันของเจ้า เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่านั่นคือภารกิจของเจ้า พระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อเจ้า และเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า นั่นย่อมไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับกิจการงานส่วนตัวของเจ้า

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

สิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เจ้าดำรงชีวิตภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า เจ้ายอมรับทั้งหมดซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียม ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมาจากพระเจ้า และดังนั้นแล้ว เจ้าจึงควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า—นี่คือหน้าที่ของเจ้า จากการนี้สามารถเห็นได้ว่า สำหรับมวลมนุษย์แล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้านั้นชอบธรรม สวยงาม และสูงศักดิ์กว่าอะไรอื่นใดซึ่งทำจนแล้วเสร็จในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางมวลมนุษย์มีความหมายหรือควรค่ามากกว่า และไม่มีสิ่งใดนำพาความหมายและความควรค่ามาสู่ชีวิตของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า การที่สิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า มีความสามารถที่จะสนองน้ำพระทัยของพระผู้สร้างนั้น เป็นสิ่งที่แสนวิเศษที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์ และเป็นบางสิ่งซึ่งควรได้รับการสรรเสริญท่ามกลางมวลมนุษย์ อะไรก็ตามที่พระผู้สร้างทรงไว้วางใจมอบหมายต่อสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ควรได้รับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยพวกเขา สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่เป็นบางสิ่งซึ่งได้รับการอวยพรและรุ่งโรจน์ และสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดแสนวิเศษหรือควรค่าแก่การฉลองรำลึกมากไปกว่า—นั่นเป็นบางสิ่งด้านบวก และสำหรับเรื่องวิธีที่พระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญากับพวกเขา นี่เป็นเรื่องสำหรับพระผู้สร้าง และไม่ใช่กิจการของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง หากจะพูดตามตรง นี่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เจ้าจะได้สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า และหากพระองค์ไม่ทรงมอบสิ่งใดให้เจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าสามารถพูดเกี่ยวกับการนั้นได้ เมื่อสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้ายอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และร่วมมือกับพระผู้สร้างในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่ย่อมไม่ใช่การแลกเปลี่ยนหรือการค้า สิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าต้องไม่ลองพยายามที่จะใช้ท่าทีหรือสิ่งอันใดเพื่อเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้พระพรหรือพระสัญญาจากพระเจ้า เมื่อพระผู้สร้างทรงไว้วางใจมอบหมายพระราชกิจนี้ต่อพวกเจ้า ก็ย่อมเป็นการถูกและถูกต้องเหมาะสมที่เจ้าจะยอมรับหน้าที่และพระบัญชานี้ ในฐานะสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ไม่มีการแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้องเลย ในด้านของพระผู้สร้าง พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะไว้วางใจมอบหมายพระบัญชานี้ต่อพวกเจ้าแต่ละคน และในด้านของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง ผู้คนควรยินดียอมรับหน้าที่นี้ โดยปฏิบัติต่อหน้าที่นี้เป็นภาระผูกพันของชีวิตของพวกเขา เป็นความควรค่าซึ่งพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามในชีวิตนี้ ไม่มีการแลกเปลี่ยนเลยในที่นี้ นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่เทียบเท่ากัน นับประสาอะไรที่การนั้นจะเกี่ยวข้องกับบำเหน็จอันใดหรือการตีความประเภทใดก็ตาม นี่ไม่ใช่การค้า นั่นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนด้วยราคาที่ผู้คนจ่าย หรือแรงงานที่พวกเขามีส่วนร่วมแบ่งปันเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พระเจ้าไม่เคยได้ตรัสการนั้น และมนุษย์ไม่ควรเข้าใจการนั้นไปตามนั้น

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (7)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้น เป็นเรื่องจริงจังอย่างมาก! หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์และควรถูกลงโทษ มันถูกลิขิตโดยฟ้าและยอมรับรู้โดยแผ่นดินโลกว่าพวกมนุษย์ควรทำพระบัญชาใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่พวกเขาให้ครบบริบูรณ์ นี่เป็นความรับผิดชอบสูงสุดของพวกเขา และสำคัญพอกันกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่แสนสาหัสที่สุด ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง ผู้คนต้องได้รับความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับวิธีที่จะให้ทรรศนะต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่พวกเขา และอย่างน้อยที่สุด ต้องจับใจความว่า พระบัญชาทั้งหลายที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่มนุษยชาตินั้นเป็นการยกย่องและเป็นความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า พระบัญชาเหล่านั้นคือสิ่งที่มีสง่าราศรีที่สุด สิ่งอื่นทุกสิ่งสามารถทอดทิ้งได้ ต่อให้คนเราต้องพลีอุทิศชีวิตของคนเราเอง เขาก็ยังคงต้องทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงไปอยู่ดี

ตัดตอนมาจาก “วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

สิ่งที่สะท้อนข้อผูกมัดซึ่งเชื่อมโยงเจ้ากับพระเจ้าโดยตรงและสามารถรู้สึกได้ที่สุดก็คือ วิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อเรื่องทั้งหลายซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าและกิจทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้เจ้า และท่าทีที่เจ้ามี สิ่งที่เป็นที่สังเกตเห็นได้โดยตรงที่สุดคือประเด็นปัญหานี้ เมื่อเจ้าได้จับความเข้าใจจุดสำคัญยิ่งยวดนี้และปฏิบัติพระบัญชาที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าลุล่วงแล้ว สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะเป็นปกติ หากเมื่อพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายกิจหนึ่งให้เจ้า หรือตรัสบอกเจ้าให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะอย่างหนึ่ง ท่าทีของเจ้านั้นเป็นแบบลวกๆ และไม่แยแส และเจ้าไม่มองการนั้นเป็นลำดับความสำคัญ การนี้ไม่ตรงกันข้ามกับการมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าอย่างแน่นอนหรอกหรือ? ดังนั้นแล้ว ท่าทีของเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจึงมีความสำคัญยิ่งยวด วิธีการและเส้นทางที่เจ้าเลือกก็เช่นกัน สิ่งใดคือผลลัพธ์ของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างลวกๆ และรีบเร่ง และการปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้า อย่างไม่สลักสำคัญ? นั่นเป็นการปฏิบัติงานที่แย่ต่อหน้าที่ของเจ้า แม้ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดีได้ก็ตาม—การปฏิบัติงานของเจ้าจะไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และพระเจ้าจะไม่พึงพอพระทัยกับท่าทีของเจ้าที่มีต่อหน้าที่ของเจ้า หากเดิมทีเจ้าได้แสวงหาและร่วมมืออย่างเป็นปกติ หากเจ้าได้อุทิศความคิดทั้งหมดของเจ้าแก่หน้าที่นั้น หากเจ้าได้ใส่ หัวใจและดวงจิตของเจ้าเข้าไปในการทำหน้าที่นั้น และทุ่มความพยายามทั้งหมดของเจ้าให้กับหน้าที่นั้น และได้อุทิศการตรากตรำของเจ้าในช่วงเวลาหนึ่ง การเพียรพยายามของเจ้า และความคิดของเจ้าให้หน้าที่นั้น หรือได้อุทิศเวลาบางส่วนให้กับวัสดุอ้างอิง และหมายมั่น หมดทั้ง จิตใจและกายของเจ้ากับหน้าที่นั้น หากเจ้าได้มีความสามารถที่จะให้ความร่วมมือเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าคงจะทรงอยู่เบื้องหน้าเจ้าและนำทางเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทพละกำลังมากมาย เมื่อเจ้าใช้ความพยายามทั้งหมด ในการร่วมมือ พระเจ้าย่อมจะทรงได้จัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้าไว้แล้ว หากเจ้าหัวหมอ และคิดคดทรยศ และเมื่อผ่านการงานไปได้ครึ่งทาง เจ้ามีการเปลี่ยนใจและหลงเจิ่น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงความสนพระทัยในตัวเจ้า เจ้าจะได้เสียโอกาสเหมาะนี้ไปแล้ว และพระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าไม่ดีพอ เจ้าไร้ประโยชน์ จงหลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง เจ้าชอบการเกียจคร้าน ไม่ใช่หรือ? เจ้าชอบการมีเล่ห์ลวงและฉลาดแกมโกงไม่ใช่หรือ? เจ้าชอบการหยุดพักหรือ? เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็จงหยุดพัก” พระเจ้าจะทรงให้พระคุณและโอกาสเหมาะนี้แก่บุคคลถัดไป พวกเจ้าจะพูดอะไรเล่า นี่คือความพ่ายแพ้หรือชัยชนะ? นี่คือความพ่ายแพ้อันใหญ่หลวง!

ตัดตอนมาจาก “วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนบางคนมองการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงว่าเป็นทุน บางคนมองการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงว่าเป็นภารกิจส่วนตัวของพวกเขาเอง และบางคนมองว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงเป็นงาน การประกอบการ หรือเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเอง หรือมองหน้าที่ว่าเป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง สิ่งบันเทิงใจ หรืองานอดิเรกเพื่อฆ่าเวลา กล่าวสั้นๆ คือ ไม่สำคัญว่าจ้ามีท่าทีแบบใดต่อหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าไม่รับสิ่งนั้นจากพระเจ้า และหากเจ้าไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติกับสิ่งนั้นในฐานะภารกิจหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายในพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าควรจะทำ หรือที่ควรจะให้ความร่วมมือ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ก็ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เหตุใดเราจึงหยิบยกหัวข้อเหล่านี้ขึ้นมา? เรากำลังพยายามที่จะแก้ปัญหาใดโดยการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้? เรากำลังพยายามที่จะแก้ไขท่าทีที่ไม่ถูกต้องที่ผู้คนมีต่อหน้าที่ของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้เข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อหน้าที่ของพวกเขาก็จะค่อยๆ มาอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงและคล้อยตามหลักการทั้งหลายของความจริง ตลอดจนข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าด้วย อย่างน้อยที่สุด มุมมองและท่าทีของเจ้าที่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าก็ควรจะอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า หน้าที่ทั้งหลายคือกิจที่พระเจ้าทรงวางใจมอบหมายให้แก่ผู้คน หน้าที่ก็คือภารกิจสำหรับผู้คนที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหน้าที่นั้นไม่ใช่ธุรกิจที่ได้รับการบริหารจัดการเป็นการส่วนตัวของเจ้าเอง อีกทั้งหน้าที่ก็ไม่ใช่ตัวถ่วงต่อการที่เจ้าจะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน ผู้คนบางคนใช้หน้าที่ของพวกเขาเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของตัวพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อเติมความว่างที่พวกเขารู้สึกภายใน และบางคนใช้เพื่อตอบสนองวิธีการคิดของพวกเขาที่ว่าอะไรควรเกิดมันก็ต้องเกิด โดยคิดว่าตราบเท่าที่พวกเขาลุล่วงในหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาย่อมจะมีส่วนแบ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและในบั้นปลายอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับมนุษย์ ท่าทีทั้งหลายดังกล่าวเกี่ยวกับหน้าที่นั้นไม่ถูกต้อง ท่าทีเช่นนั้นทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

อะไรหรือคือท่าทีที่ถูกต้องต่อหน้าที่ของเจ้า ซึ่งสำแดงว่าเจ้าครองความจริง? ประการแรก เจ้าไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ได้ว่าหน้าที่นั้นจัดการเตรียมการโดยใคร หน้าที่นั้นมอบหมายโดยภาวะผู้นำระดับใด—เจ้าควรยอมรับหน้าที่นั้นจากพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเป็นสิ่งใด จงอย่าเลือกที่รักมักที่ชังระหว่างสูงและต่ำ สมมติว่าเจ้าพูดว่า “แม้ว่ากิจนี้จะเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าและพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า หากข้าพระองค์ทำภารกิจนี้ ผู้คนอาจจะดูแคลนข้าพระองค์ คนอื่นได้ทำงานที่ปล่อยให้พวกเขาโดดเด่น กิจนี้ที่ข้าพระองค์ได้รับมา ซึ่งไม่ได้ปล่อยให้ข้าพระองค์โดดเด่นแต่กลับจะทำให้ข้าพระองค์ทุ่มเทตัวข้าพระองค์อยู่เบื้องหลังฉาก จะสามารถเรียกได้ว่าหน้าที่ได้อย่างไรกัน? นี่คือหน้าที่ที่ข้าพระองค์ไม่สามารถยอมรับได้ นี่ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพระองค์ หน้าที่ของข้าพระองค์ต้องเป็นหน้าที่ที่ทำให้ข้าพระองค์โดดเด่นต่อหน้าคนอื่น และเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์ได้สร้างชื่อให้ตัวข้าพระองค์เอง—และต่อให้ข้าพระองค์ไม่ได้สร้างชื่อให้ตัวข้าพระองค์เองหรือโดดเด่น ข้าพระองค์ก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับประโยชน์จากหน้าที่นั้นและรู้สึกสุขสบายทางกาย” นี่เป็นท่าทีที่ยอมรับได้อยู่หรือ? การเลือกมากคือการไม่ยอมรับสิ่งที่มาจากพระเจ้า มันคือการตัดสินใจโดยสอดคล้องกับการเลือกชอบของเจ้าเอง นี่ไม่ใช่การยอมรับหน้าที่ของเจ้า มันคือการปฏิเสธหน้าที่ของเจ้า ทันทีที่เจ้าพยายามบรรจงเลือก เจ้าย่อมไม่สามารถที่จะยอมรับได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป การเลือกมากเช่นนั้นเจือปนไปด้วยการเลือกชอบและความอยากได้อยากมีแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า เมื่อเจ้าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเจ้าเอง ความมีหน้ามีตาของเจ้า และอื่นๆ ท่าทีของเจ้าต่อหน้าที่ของเจ้าจึงไม่นบนอบ ท่าทีต่อหน้าที่คือตรงนี้ กล่าวคือ ประการแรก เจ้าไม่อาจวิเคราะห์มัน อีกทั้งไม่อาจคิดเกี่ยวกับว่าผู้ใดได้มอบหมายมันให้เจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรยอมรับมันจากพระเจ้า ในฐานะหน้าที่ของเจ้าและในฐานะสิ่งที่เจ้าควรทำ ประการที่สอง จงอย่าเลือกที่รักมักที่ชังระหว่างสูงและต่ำ และจงอย่าเอาตัวเองไปเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของมัน—ไม่ว่ามันจะถูกทำไปต่อหน้าผู้คนหรือนอกสายตาพวกเขา ไม่ว่ามันจะให้เจ้าโดดเด่นหรือไม่ จงอย่าพิจารณาสิ่งเหล่านี้ เหล่านี้คือคุณลักษณะสองประการของท่าทีที่ผู้คนควรใช้ในการเข้าหาหน้าที่ของพวกเขา

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ท่าทีพื้นฐานที่สุดต่อหน้าที่ที่คนเราควรจะมีเป็นอย่างไร? หากเจ้าพูดว่า “ในเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าได้มอบหน้าที่นี้แก่ฉัน หน้าที่นั้นก็เป็นของฉัน และฉันสามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ลุล่วงอย่างไรก็ได้ตามที่ฉันต้องการ” นี่จะเป็นท่าทีที่ยอมรับได้หรือไม่? นั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับได้โดยเด็ดขาด หากเจ้ามีความคิดเช่นนั้น ความคิดเหล่านั้นจะก่อให้เกิดปัญหา และนั่นหมายความว่าเจ้าได้เริ่มลงไปในเส้นทางที่ไม่ดีแล้ว เจ้าต้องไม่คิดในหนทางนี้ ดังนั้นแล้ว หนทางที่ถูกต้องในการคิดคืออะไร? ประการแรก เจ้าต้องแสวงหาความจริงและหลักการทั้งหลาย จงแสวงหาสิ่งเหล่านี้ นั่นก็คือ หน้าที่นี้ควรได้รับการปฏิบัติให้ลุล่วงอย่างไร พระเจ้าทรงพึงประสงค์สิ่งใด หลักการแห่งข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนคือสิ่งใด เจ้าควรทำสิ่งใด ส่วนใดของพระราชกิจนี้ที่เจ้าควรทำให้ครบบริบูรณ์ และเจ้าควรจะกระทำการอย่างไรเพื่อสละอุทิศและรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ลุล่วง ดังนั้น การเฝ้าเดี่ยวควรจะถูกมอบให้แก่ผู้ใด? แด่พระเจ้า—เจ้าควรสละอุทิศต่อพระองค์ รับผิดชอบต่อผู้อื่น และสำหรับตัวเจ้าเองนั้น เจ้าควรยึดติดอยู่กับหลักการและค้ำชูหน้าที่ของเจ้า การยึดติดอยู่กับหลักการหมายความว่าอย่างไร? การยึดติดอยู่ต่อหลักการคือการปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เช่นนั้นแล้ว การค้ำชูหน้าที่หมายความว่าอย่างไร? ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเจ้าได้รับมอบหน้าที่หนึ่งมาเป็นเวลาหนึ่งหรือสองปีแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีผู้ใดตรวจสอบเจ้าเลย เจ้าควรทำอย่างไร? หากไม่มีผู้ใดตรวจสอบเจ้า นั่นหมายความว่าหน้าที่นั้นผ่านพ้นไปแล้วหรือไม่? จงอย่าใส่ใจว่าใครสักคนจะตรวจสอบเจ้าหรือมองว่าเจ้ากำลังทำอย่างไร ภารกิจนี้ถูกมอบความไว้วางใจให้แก่เจ้า และถึงแม้ว่านั่นจะไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า แต่นั่นได้ถูกมอบหมายให้เจ้า และนั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าควรพิจารณาว่าการงานนี้ควรจะถูกทำไปอย่างไร และนั่นสามารถถูกทำให้ดีได้เพียงใด และนั่นก็คือวิธีที่เจ้าควรจะทำสิ่งนั้น หากเจ้ากำลังรอให้ผู้อื่นมาตรวจสอบเจ้าอยู่เสมอ รอให้พวกเขามากำกับดูแลเจ้าและรบเร้าเจ้า นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีในหน้าที่ของเจ้างั้นหรือ? นี่คือท่าทีประเภทใดหรือ? นี่คือท่าทีแบบนิ่งดูดาย ซึ่งไม่ใช่ท่าทีที่เจ้าควรจะนำมาใช้กับหน้าที่ของเจ้า

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

พวกเจ้าแต่ละคนควรทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ ด้วยหัวใจอันเปิดกว้างและซื่อสัตย์ และเต็มใจจะจ่ายราคาใดก็ตามที่จำเป็น ดังที่พวกเจ้าได้พูดกันไว้ว่า เมื่อวันนั้นมาถึง พระเจ้าจะไม่ทรงบกพร่องต่อใครก็ตามที่ได้ทนทุกข์หรือได้ยอมจ่ายราคาเพื่อพระองค์ ความเชื่อมั่นเช่นนี้คือสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดมั่นไว้ และถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าไม่ควรจะลืมมันไป ในหนทางนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถสบายใจได้ในเรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าก็จะเป็นผู้คนที่ทำให้เราไม่อาจสบายใจได้เลยตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นวัตถุทั้งหลายที่เราไม่พิสมัยไปตลอดกาล หากพวกเจ้าทุกคนสามารถทำตามมโนธรรมของตัวเองและทำเพื่อเราอย่างสุดความสามารถโดยไม่เหลือเผื่อแรงเผื่อใจไปจากงานของเรา และอุทิศแรงกายแรงใจของเจ้าให้กับงานข่าวประเสริฐของเราไปชั่วชีวิต เช่นนี้แล้ว มีหรือที่ใจของเราจะไม่ลิงโลดบ่อยครั้งเพราะความชื่นบานในเรื่องของพวกเจ้า? เช่นนี้แล้ว เราจึงจะสามารถโล่งใจในเรื่องของพวกเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ใช่หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ไปสู่บั้นปลาย

วันนี้ สิ่งที่พวกเจ้าพึงต้องสัมฤทธิ์ผลไม่ใช่ข้อเรียกร้องเพิ่มเติม แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั้งหมดควรกระทำ หากพวกเจ้าไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งหน้าที่ของพวกเจ้าหรือไม่สามารถทำมันได้ดี เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าไม่ได้กำลังนำความยากลำบากมาสู่ตัวพวกเจ้าเองหรอกหรือ? พวกเจ้าไม่ได้กำลังเสี่ยงกับความตายอยู่หรือ? พวกเจ้าจะยังคงสามารถคาดหวังที่จะมีอนาคตและความสำเร็จที่มองว่าน่าจะเป็นไปได้ได้อย่างไร? พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการทรงกระทำเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ และความร่วมมือของมนุษย์ก็ได้รับการถวายเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระเจ้า หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงกระทำทุกสิ่งที่พระองค์ควรทรงกระทำแล้ว มนุษย์พึงต้องทุ่มเทในการปฏิบัติของเขาและร่วมมือกับพระเจ้า ในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์ควรทุ่มเทจนสุดความพยายาม ควรมอบถวายความจงรักภักดีของเขา และไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมโนคติที่หลงผิดมากมาย หรือนั่งนิ่งเฉยและรอความตาย พระเจ้าทรงสามารถเสียสละพระองค์เองเพื่อมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถถวายความจงรักภักดีของเขาแด่พระเจ้าเล่า? พระเจ้าทรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถถวายความร่วมมือสักเล็กน้อยบ้างเล่า? พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อมวลมนุษย์ แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถทำหน้าที่บางอย่างของตนเพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเล่า? พระราชกิจของพระเจ้าได้มาไกลถึงขนาดนี้ แม้กระนั้น พวกเจ้าก็ยังเพียงมองเห็นแต่ไม่ลงมือทำ พวกเจ้าได้ยินแต่ไม่ขยับตัว ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่เป้าหมายของความพินาศหรอกหรือ? พระเจ้าได้ทรงอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์แก่มนุษย์ แล้วเหตุใดวันนี้มนุษย์จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงจังจริงใจบ้าง? สำหรับพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์คือลำดับความสำคัญแรกของพระองค์ และพระราชกิจในการบริหารจัดการของพระองค์ย่อมมีความสำคัญที่สุด สำหรับมนุษย์ การนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าลุล่วงคือลำดับความสำคัญแรกของเขา พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจสิ่งนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

อันที่จริง ผลการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นความสำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ เป็นเวลานี้เองที่หน้าที่ของเขาได้กระทำให้ลุล่วงแล้ว ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์ พวกผู้ที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขี้ขลาดที่สุดของคนทั้งหมด หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับเล่นไปเรื่อยเปื่อยและเสแสร้งแสดงท่าทาง พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น “คนที่มีคุณภาพปานกลาง” พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามซึ่งสุกใสที่ด้านนอกแต่เน่าเสียที่ด้านในหรอกหรือ? หากมนุษย์คนหนึ่งเรียกตัวเองว่าพระเจ้า แต่ไร้ความสามารถที่จะแสดงออกถึงการมีเทวสภาพ ทำงานของพระเจ้าพระองค์เอง หรือเป็นตัวแทนของพระเจ้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า เพราะเขาไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยธรรมชาติไม่ดำรงอยู่ในตัวเขา หากมนุษย์สูญเสียสิ่งที่เขาสามารถบรรลุได้โดยธรรมชาติ เขาก็จะไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป และเขาก็จะไม่มีค่าพอที่จะยืนหยัดเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและรับใช้พระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีค่าพอที่จะรับพระคุณของพระเจ้าหรือรับการปกป้อง คุ้มครอง และทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า หลายคนที่ได้สูญเสียความไว้วางใจของพระเจ้ายังคงสูญเสียพระคุณของพระเจ้าต่อไป พวกเขาไม่เพียงไม่ดูหมิ่นการประพฤติผิดของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังเผยแพร่แนวคิดที่ว่าหนทางของพระเจ้านั้นไม่ถูกต้องอย่างโจ่งแจ้ง และบรรดาผู้ที่เป็นกบฏถึงกับปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ที่มีความเป็นกบฏมากเช่นนี้จะสามารถมีสิทธิ์ได้ชื่นชมกับพระคุณของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นเป็นกบฏอย่างยิ่งต่อพระเจ้าและเป็นหนี้พระองค์มากมาย แต่พวกเขาหันหลังกลับและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าพระเจ้าผิด มนุษย์ชนิดนี้จะสามารถมีค่าพอที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่เหตุเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การถูกกำจัดและลงโทษหรอกหรือ? ผู้คนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้านั้นมีความผิดอยู่แล้วต่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด ซึ่งแม้แต่ความตายก็เป็นการลงโทษที่ไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็ยังมีหน้ามาโต้เถียงกับพระเจ้าและเทียบตัวพวกเขากับพระองค์ อะไรคือมูลค่าของการทำให้ผู้คนเช่นนี้เพียบพร้อม? เมื่อผู้คนล้มเหลวในการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วง พวกเขาควรรู้สึกผิดและเป็นหนี้ พวกเขาควรจะดูหมิ่นความอ่อนแอและความไร้ประโยชน์ของพวกเขา การเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น ควรจะมอบชีวิตของพวกเขาให้กับพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีค่าพอที่จะได้ชื่นชมกับพระพรและพระสัญญาของพระเจ้า และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ แล้วส่วนใหญ่ของพวกเจ้านั้นล่ะ? พวกเจ้าจะปฏิบัติต่อพระเจ้าที่ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างไร? พวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์อย่างไร? พวกเจ้าได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าได้ถูกเรียกให้ทำโดยถึงกับต้องสละแม้แต่ชีวิตของเจ้าเองแล้วหรือยัง? พวกเจ้าได้พลีอุทิศอะไรไปบ้าง? พวกเจ้าไม่ได้รับมากมายจากเราแล้วหรอกหรือ? พวกเจ้าสามารถแยกแยะได้หรือไม่? พวกเจ้าจงรักภักดีต่อเราเพียงใด? พวกเจ้าได้รับใช้เราอย่างไร? แล้วทุกสิ่งที่เราได้ประทานให้พวกเจ้าและได้ทำเพื่อพวกเจ้านั้นเล่า? พวกเจ้าได้ทำการประเมินทุกอย่างไว้แล้วหรือยัง? พวกเจ้าทั้งหมดได้ตัดสินและเปรียบเทียบการนี้กับมโนธรรมน้อยนิดที่พวกเจ้ามีอยู่ในตัวพวกเจ้าแล้วหรือยัง? ใครคือผู้ที่คำพูดและการกระทำของพวกเจ้าสามารถมีค่าพอกับเขา? เป็นไปได้ไหมว่าการพลีอุทิศเพียงน้อยนิดของพวกเจ้านั้นมีค่าพอสำหรับทุกสิ่งที่เราได้ประทานให้พวกเจ้า? เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า ภารกิจเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? พวกเจ้าจะสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger