จริงหรือที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนก้อนเมฆ?

วันที่ 01 เดือน 12 ปี 2021

ตอนนี้ เรากำลังเห็นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า กับโรคระบาดล้างโลก ผู้เชื่อรอคอยอย่างเร่งด่วนให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนเมฆ และพาพวกเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า ช่วยให้พวกเขารอดจากความวิบัติ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พวกเขาเอาแต่จ้องท้องฟ้า เฝ้าอธิษฐานรอให้ได้เห็นพระองค์บนก้อนเมฆ ไม่กล้าหันมองไปทางอื่น กลัวพระองค์จะเสด็จมา กลัวพวกเขาจะถูกทิ้งให้อยู่กับความวิบัติ แต่พวกเขากลับต้องรู้สึกผิดหวังตลอดมา เพราะความวิบัติมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ต้อนรับองค์พระเยซูเจ้าจากท้องฟ้าเลย หลายคนต่างพากันสงสัยว่า พระองค์กำลังเสด็จมาจริงหรือเปล่า บางคนก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าตัวเอง อาจถูกพระองค์ทรงทิ้งให้อยู่กับความวิบัติแล้ว ด้วยความสิ้นหวัง ศิษยาภิบาลหลายคนจึงเปลี่ยนเรื่องราว กล่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า จะเสด็จมาระหว่าง หรือหลังความวิบัติ บางคนถึงกับกล้าดีที่จะอ้างว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในปี 2028 หรือปี 2030 การตีความองค์พระคัมภีร์พวกนี้ อาจลงเอยด้วยการส่งผู้เชื่อเข้าสู่ความวิบัติ ด้วยความมั่นใจว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี แต่ไม่ว่าพวกเขา เชื่อและทำงานหนักมานานแค่ไหน ก็ยังไม่ได้ต้อนรับพระองค์ เราคงพอจินตนาการได้ว่า เรื่องนี้มันยากแค่ไหน ผู้คนที่เชื่อต่างรู้ดีถึงสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว รู้ว่าการตกสู่ความวิบัติ ร่ำไห้กัดฟันนั้นคือความอัปยศ และการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนความวิบัติ บอกความสำเร็จหรือความล้มเหลว แล้วทำไม คนในโลกศาสนา ถึงยังไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับตกลงสู่ความวิบัติล่ะ? เป็นไปได้ไหมว่า พระองค์ทรงไม่สัตย์ซื่อ จึงยังไม่ทรงปรากฏ? ไม่ใช่เลยค่ะ โลกศาสนาไม่ได้ต้อนรับ ไม่ได้แปลว่าพระองค์ยังไม่ทรงกลับมา อันที่จริง พระองค์ทรงปรากฏและทรงงานในฐานะบุตรมนุษย์มานานแล้ว คนจากทุกนิกาย ต่างได้ยินเสียงของพระเจ้า และได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่คนในศาสนาที่ยึดติดอยู่กับการเสด็จมาบนก้อนเมฆนั้นยังคงไม่ได้ต้อนรับ องค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ย้อนไปในปี 1991 ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเริ่มเป็นพยาน ให้การทรงปรากฏและงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นั่นคือคำพยานตลอดสามทศวรรษของพวกเขา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงพระวจนะนับล้าน และคนจากทุกนิกายผู้ซึ่งรักความจริง ต่างอ่านพระวจนะ และรับรู้ว่านั่นคือความจริงล้วนๆ พวกเขาได้ยินเสียงพระเจ้า มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ความจริงที่ทรงแสดง ถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์มานานแล้ว สาดจากตะวันออกสู่ตะวันตกดุจความสว่างยิ่งใหญ่ ให้ความกระจ่างทั้งโลก ซึ่งทำให้พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏทรงงานจนโลกสะเทือน กองกำลังศัตรูพระคริสต์ในโลกศาสนา ก็ตัดสิน กล่าวโทษ ต่อต้านฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาตลอด ไม่ตรวจสอบการทรงปรากฏและราชกิจเลย เกณฑ์เดียวที่พวกเขาใช้ก็คือ องค์พระเยซูเจ้าที่ไม่เสด็จมาบนก้อนเมฆนั้นเทียมเท็จ และองค์พระผู้เป็นเจ้าในรูปมนุษย์ ย่อมเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ เราต่างเห็นได้ว่า ที่โลกศาสนาไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ตกสู่ความวิบัติ เป็นเพราะในการต้อนรับพระองค์ พวกเขาไม่ทำตามคำเผยพระวจนะ แต่กลับเชื่อในมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง ตัดสินกันเอง ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องทรงกลับมาบนเมฆ และถวิลหา ให้พระองค์เสด็จมาพาพวกเขาตรงขึ้นสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ โดยไม่นำพระวจนะไปสู่การปฏิบัติ การทำผิดพลาดร้ายแรงในเรื่องสำคัญอย่างการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงการเสียโอกาสที่จะถูกรับขึ้นไป และจะตกสู่ความวิบัติ จนร่ำไห้กัดฟัน พระวจนะจึงลุล่วงด้วยเหตุนี้ “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้(โฮเชยา 4:6)

การจะรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆ หรือจะทรงปรากฏเพือทรงงานในฐานะบุตรมนุษย์ไหม ก่อนอื่น เราต้องหายใจเข้าลึกๆ และคิดจริงจัง ถึงคำเผยพระวจนะบางส่วนเรื่องการเสด็จมาเป็นครั้งที่สอง เราอาจรู้สึกได้ถึงความรู้แจ้งจริงจัง มาดูบางข้อกันค่ะ “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25) “เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44)เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:37)เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6) “เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน(วิวรณ์ 3:3)นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20) จะเห็นได้ว่าคำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรื่องการทรงกลับมานั้น มักพูดถึง “บุตรมนุษย์” “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” “บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” “บุตรมนุษย์ในวันของพระองค์” “เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น” องค์พระเยซูเจ้าตรัสถึง “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” ซึ่งสำคัญต่อเราในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้าย แล้วคำที่ว่า “บุตรมนุษย์” หมายถึงอะไรคะ? ก็หมายถึงพระวิญญาณพระเจ้าที่นุ่งห่มเนื้อหนังในฐานะบุตรมนุษย์ นี่แค่เกี่ยวกับการปรากฏในรูปมนุษย์เท่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสไว้หลายครั้ง ว่าจะทรงกลับมา “เหมือนอย่างขโมย” แล้วคำว่า “เหมือนอย่างขโมย” แปลว่าอะไร ก็แปลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอย่างลับๆ ในยามที่ผู้คนไม่รู้ พระเจ้าทรงมาบังเกิดในฐานะบุตรมนุษย์ เพื่อตรัสและทรงงานอย่างลับๆ เราจึงมั่นใจได้ว่า ในยุคสุดท้ายนี้ ทรงมาในฐานะบุตรมนุษย์ ในยามที่โลกอยู่ในจุดที่มืดมนที่สุดก่อนความวิบัติ “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’(มัทธิว 25:6) ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตั้งแต่ปี 1991 จนถึงปีนี้ 2021 และตลอดสามทศวรรษ พวกเขาประสบกับการกดขี่ การจับกุม และการทำร้ายที่ไร้สติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทางพรรค ถึงกับใช้กลไกโฆษณาชวนเชื่อทั่วประเทศ เผยแพร่ชื่อ “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานไปทั่วโลก ทำให้เป็นชื่อที่ทุกครัวเรือนต่างคุ้นเคย นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25) หลังจากที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เป็นพยานมาหลายปี ผู้คนที่รักความจริงจากทุกนิกาย ได้อ่านพระวจนะของพระองค์ และรับรู้ว่าเป็นความจริง เป็นสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย พวกเขาก็ได้ยินเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างชื่นบาน เป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา ที่ถูกยกขึ้นเบื้องพระบัลลังก์ ร่วมงานฉลองขององค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่คนที่เคยตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่ได้มาอ่านพระวจนะในภายหลัง ก็ลงเอยด้วยการได้ยินเสียงของพระเจ้า และมาเฉพาะพระพักตร์ แล้วพวกเขา ก็ได้เป็นผู้ชนะซึ่งเสียใจที่เคยต้านทานและกล่าวโทษพระองค์ เหล่าหญิงพรหมจารีมีปัญญาที่กำลังร่วมพิธีเสกสมรสของพระเมษโปดก ต่างเป็นพยานว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงปรากฏ และการลงมาของบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย แต่คนที่ยึดติดอยู่กับตัวอักษรในองค์พระคัมภีร์ ยอมรับเพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จมาบนเมฆนั้น เป็นหญิงพรหมจารีโง่ ผู้กำลังตกลงสู่ความวิบัติ พวกเขาทำได้แค่รอเห็นองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏบนก้อนเมฆหลังมหาวิบัติ เหตุผลหลักที่พวกเขาจะไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า คือพวกเขาเชื่อแต่คำเผยพระวจนะจากมนุษย์ในพระคัมภีร์ ไม่ใช่จากพระโอษฐ์พระองค์ พวกเขาจะยอมรับแค่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จมาบนก้อนเมฆ ทว่าบอกปัดข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงปรากฏและทรงงานในฐานะบุตรมนุษย์ พวกเขาเข้าใจผิด และโง่เขลาอย่างเหลือเชื่อ! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกล่าวถึง “บุตรมนุษย์” อยู่หลายครั้ง เมื่อตรัสถึงการทรงกลับมา แต่ศิษยาภิบาลและนักวิชาการด้านพระคัมภีร์ผู้ “ปราดเปรื่อง” และ “มีปัญญา” ได้ทำผิดมหันต์ด้วยการทำให้แนวคิดเรื่องบุตรมนุษย์ยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขา ตกเป็นเหยื่อความปราดเปรื่องของตัวเอง! พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย แต่ก็ยังถูกปฏิเสธว่าไม่ใช่บุตรมนุษย์ นั่นไม่ใช่แค่ความหูตามืดบอดหรือ? หากไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แล้วจะทรงแสดงความจริงได้อย่างไร? พวกเขายังคง ยึดติดอยู่กับแนวคิด ว่ายอมรับได้แค่องค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จลงมาบนก้อนเมฆเท่านั้น พวกเขา จึงเสียโอกาสที่จะถูกรับขึ้นไป และร่วงหล่นสู่ความวิบัติ มันจะเป็นความเสียใจไปชั่วนิรันดร์

พวกเรา ต่างก็เห็นได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์เพื่อทรงงาน นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง และไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่หลายคน กลับถามถึงคำว่า “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ” ในวิวรณ์บทที่ 1 ข้อที่ 7 คิดว่าต้องหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาบนหมู่เมฆ คำว่าจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และจะเสด็จมาเป็นบุตรมนุษย์ ไม่ย้อนแย้งหรอกหรือ? อาจจะดูเป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย นี่เป็นเพียงความท้าทายต่อความเข้าใจของมนุษย์ ทุกคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์จะถูกทำให้ลุล่วง แต่มันมีกระบวนการ มีขั้นตอนบางอย่าง บุตรมนุษย์ทรงปรากฏ และองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆอย่างมีลำดับ พระองค์จะทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อทรงงานอย่างลับๆ ก่อน แล้วจึงทรงปรากฏอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ แล้วทำไม ถึงเกิดขึ้นเป็นสองขั้นตอน? เกิดอะไรขึ้นในระหว่างนั้น? ในเรื่องนี้มีความล้ำลึกอยู่ค่ะ เรามาดูสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะไว้กันก่อนค่ะ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง(ยอห์น 17:17)เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร… และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์(ยอห์น 5:22, 27)เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) คำเผยพระวจนะของพระองค์ ลุล่วงแล้วทั้งสิ้น บุตรมนุษย์เสด็จมาอย่างลับๆ ในยามที่มนุษย์คาดไม่ถึงที่สุด ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ทรงเป็นพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมาสู่ความจริงทั้งปวง รวมถึงสร้างกลุ่มผู้ชนะจนเสร็จสิ้นก่อนความวิบัติ ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็เผยแผ่ไปทั่วโลก แสดงว่าพระองค์ทรงมีชัยเหนือซาตาน และได้รับพระสิริทั้งปวง ขณะนี้ที่มหาวิบัติเริ่มต้นขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้น และงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ถูกทำให้เสร็จสิ้น หลังความวิบัติ พระเจ้าจะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ แก่ทุกคนและทุกชนชาติ คำเผยพระวจนะเรื่องบุตรมนุษย์ทรงปรากฏ และองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ ก็จะลุล่วงสมบูรณ์ ตั้งแต่ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏ และเริ่มการพิพากษาที่พระนิเวศ เหล่าผู้ที่ยอมรับพระองค์ ก็ได้กินดื่มพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และค่อยๆ พ้นจากบาปและกำลังบังคับของซาตาน ด้วยการยอมรับการพิพากษาและการชำระให้สะอาด พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเป็นผู้ชนะก่อนความวิบัติ พวกเขาคือดอกผลแรก สิ่งนี้ทำให้คำเผยพระวจนะของวิวรณ์ลุล่วง “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก(วิวรณ์ 14:4) นานกว่าสามทศวรรษแล้วที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาอย่างลับๆ เพื่อทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงเปิดเผยทุกความล้ำลึกแห่งพระคัมภีร์ รวมถึงแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า พระองค์ตรัสมากมาย เพื่อพิพากษาและเปิดโปงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมนุษย์ วจนะเหล่านี้ คือหนทางแห่งความจริงที่ทำให้เราได้ละทิ้งบาป และถูกช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ถูกพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง จัดการ ทดสอบ และถลุง จนเห็นและอับอายในความเสื่อมทรามของตนอย่างไร้ที่หลบซ่อน และกราบไหว้เฉพาะพระพักตร์ด้วยความเสียใจ ชิงชังและรังเกียจตัวเอง และได้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่มิทนต่อการล่วงเกิน และเกิดความยำเกรงขึ้นมา ค่อยๆ มายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว กลับใจและเปลี่ยนแปลงโดยแท้จริง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะซึ่งเป็นดอกผลแรกเสร็จสิ้นก่อนความวิบัติ คำพยานเหล่านี้ของผู้ชนะ ถูกสร้างเป็นวีดิทัศน์และภาพยนตร์ออนไลน์ เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดแก่ผู้ที่ได้รับชม ชัดเจนอย่างที่สุดว่า นี่คือการทรงปรากฏและงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก แต่ทั่วทั้งจักรวาล พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปลี่ยนโลก นำจุดจบมาสู่ยุคเก่า และเริ่มต้นยุคใหม่ ยุคราชอาณาจักรได้เริ่มขึ้นแล้ว นี่พิสูจน์ว่า พระองค์คือการทรงปรากฏของบุตรมนุษย์ เป็นองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทรงปรากฏและทรงงานอยู่! งานพิพากษาซึ่งเริ่มต้นที่พระนิเวศนั้น เกือบเสร็จสิ้นแล้ว และนั่นทำให้มหาวิบัติเกิดขึ้น บอกได้เลยว่ามหาวิบัติกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว และมีแต่จะใหญ่โตขึ้นเท่านั้น เหล่าคนทำชั่วและกองกำลังชั่วผู้ต้านทานพระเจ้า ล้วนจะถูกลงโทษและทำลายในความวิบัติ ส่วนผู้ที่ถูกพิพากษาและตีสอนแห่งยุคสุดท้าย ซึ่งถูกชำระให้สะอาด จะได้รับการทรงอารักขาและพิทักษ์รักษาจนผ่านความวิบัติ เมื่อความวิบัติสิ้นสุดลง โลกอันชั่วร้ายของซาตานจะถูกทำลายล้าง แล้วพระเจ้า ก็จะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ ต่อมนุษย์ทุกคน นี่ทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์บทที่ 1 ข้อที่ 7 ลุล่วง “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์” แล้วทำไมมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ถึงจะคร่ำครวญล่ะ? ก็เพราะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่พวกเขาไม่ยอมตรวจสอบ แต่ยังร่วมกับกองกำลังศัตรูของพระคริสต์กล่าวโทษ ตัดสิน และหมิ่นประมาทพระองค์ พวกเขาล่วงเกินพระอุปนิสัย และได้ตกลงสู่ความวิบัติ พวกเขาจะเพียงลงเอยด้วยการตีอกชกตัว ร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งจะทำให้คำเผยพระวจนะอันแสนเศร้า ของวิวรณ์ที่ว่า “มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์” ลุล่วง คนที่ยอมรับการพิพากษาตีสอน และถูกชำระให้สะอาดจนเพียบพร้อมแล้ว จะได้เห็นพระเจ้าทรงปรากฏอย่างเปิดเผย และจะได้เต้นรำด้วยความปิติยินดีอันไร้ขอบเขต สรรเสริญพระมหิทธิฤทธิ์ พระปัญญา และความชอบธรรมของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่ได้ไปเยือนคนเลว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ บรรดาผู้ที่ได้กระทำความเลวในทุกลักษณะ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์ เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะนำพาการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่พวกเขา อันเป็นสิ่งซึ่งเราจะเพลิดเพลินที่ได้เห็น บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่องานพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อการชำระให้สะอาดและความรอด นี่คือโอกาสเดียวที่มนุษย์จะถูกช่วยให้รอด และได้เข้าสู่ราชอาณาจักร และเป็นโอกาสเดียวในชั่วชีวิตหนึ่ง มหาวิบัติกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว เหล่าผู้ที่ตื่นและตรวจสอบงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยไม่รีรอก็จะทันเวลา เพราะพระองค์ตรัสว่า “เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26) เราจะเห็นได้ว่า บางคนจะได้ยินเสียง ได้เห็นกิจการของพระเจ้า และมาเฉพาะพระพักตร์ แล้วได้รับความรอดของพระองค์ในห้วงของความวิบัติ นี่คือการถูกยกขึ้นไปในความวิบัติ และนี่คือโอกาสสุดท้ายของพวกเขา อีกทั้งเป็นพระกรุณาอันใหญ่หลวงต่อมนุษย์ เหล่าผู้ปราดเปรื่อง จะรู้ว่าตัวเองควรเลือกทางไหน ส่วนผู้ที่เฝ้าฝันให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆนั้น ย่อมจะมีจุดจบอันเป็นที่ประจักษณ์ในตัวเอง เรามาดูพระวจนะบทตอนสุดท้ายของวันนี้กัน “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร? การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การมองให้ออกว่าพระเจ้าพระองค์เดียวทรงราชกิจสามระยะอย่างไร

วันนี้หัวข้อการสามัคคีธรรมของเราก็คือ “การมองให้ออกว่าพระเจ้าพระองค์เดียวทรงราชกิจสามระยะอย่างไร” หัวข้อนี้สำคัญ...

เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับมาพระองค์จะยังทรงถูกเรียกว่าพระเยซูไหม?

ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแล้ว ทรงแสดงความจริง ปรากฏและทรงงานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ตั้งแต่เผยแพร่หนังสือ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger