บาปของเราได้รับการอภัยแล้ว—เมื่อทรงกลับมาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะนำเราตรงเข้าสู่ราชอาณาจักรหรือไม่

วันที่ 03 เดือน 10 ปี 2021

ความวิบัติก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเหล่าผู้เชื่อ ต่างรอคอยการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยใจจดจ่อ โหยหาที่จะถูกยกขึ้นไปบนฟ้ายามหลับ เพื่อพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และหลีกหนีความทุกข์ระทมแห่งความวิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นในวันนี้ ทำไมพวกเขาถึงมั่นใจที่จะรอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมา และรับพวกเขาขึ้นไปพบพระองค์อย่างนั้น พวกเขาเชื่อว่า ในเมื่อได้รับการอภัยบาปผ่านความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ไม่ทรงมองว่าพวกเขามีบาปอีก พวกเขามีทุกสิ่งที่จำเป็น และจะถูกพาเข้าสู่ราชอาณาจักร เมื่อพระองค์เสด็จมา แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนสับสน คือความวิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่เสด็จมา หลายคนเริ่มแปลกใจ ว่าพระองค์จะเสด็จมาจริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริง จะไม่แปลว่าพวกเขาอาจร่วงลงสู่ความวิบัติ และตายได้ทุกเมื่อหรือ เหล่าศิษยาภิบาล บอกว่าพระองค์จะเสด็จมาระหว่าง หรือเมื่อสิ้นสุดความวิบัติ ไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นอื่นยังไง แต่เรื่องนั้นถูกต้องไหม โลกศาสนายังไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แปลว่ายังไม่เสด็จมาหรือ พวกเราต่างรู้ว่า พระองค์ทรงสัญญาว่าคริสตจักรฟีลาเดลเฟีย จะถูกรับขึ้นไปก่อนความวิบัติ และจะทรงคุ้มครองพวกเขา จากความทุกข์ในความวิบัติ พระองค์ ทรงผิดสัญญาจริงหรือ ไม่ใช่เลยครับ จริงอยู่ ที่พระองค์ยังไม่เสด็จมาบนก้อนเมฆเพื่อรับเหล่าผู้เชื่อขึ้นสู่สวรรค์อย่างที่คนคิด แต่เราก็ต่างรู้ว่า ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานมาเสมอ ว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ผู้ที่รักความจริงจากทุกนิกาย ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และหันเข้าสู่พระองค์ ถูกพาขึ้นไปเบื้องพระบัลลังก์ กินดื่มพระวจนะทุกวัน และเข้าร่วมพิธีเสกสมรสของพระเมษโปดก พวกเขาประสบกับการพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และมีคำพยานที่ดังกึกก้อง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ และสรรเสริญพระองค์อย่างชื่นบาน เทียบกับความกลัวไม่สิ้นสุดของโลกศาสนาเรื่องความวิบัติ ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวทีเดียว ผู้เชื่อหลายคนกำลังคิดว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยาน คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาหรือ พระองค์กำลังทรงงานขั้นพิพากษาในยุคสุดท้ายจริงหรือ แต่หลายคนยังกังขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยให้บาปของฉัน และไม่ทรงมองว่าฉันเป็นคนบาปแล้ว พระองค์ก็ควรพาฉันตรงขึ้นสู่สวรรค์เมื่อทรงกลับมาสิ ทำไมพระองค์ถึงไม่ทรงยกฉันขึ้นไป แต่กลับทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายแทน” วันนี้ เรามาสำรวจหัวข้อนี้กันสักนิดครับ การที่บาปถูกอภัย แปลว่าเราเข้าสู่ราชอาณาจักรได้หรือ

ก่อนอื่น เรามาดูกัน แนวคิดที่ว่าคนที่ได้รับการอภัยจะเข้าสู่ราชอาณาจักรได้นั้น มีมูลฐานในพระคัมภีร์บ้างไหม มีพระวจนะใดสนับสนุนแนวคิดนี้ไหม องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้เมื่อไหร่ ว่าคนที่ได้รับการอภัยบาปแล้ว ตรงเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เอง ก็ไม่ได้ตรัสว่าจะอนุญาตให้ใครตรงเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ในเมื่อไม่มีมูลฐานทางพระคัมภีร์ หรือพระวจนะมาเป็นข้อพิสูจน์ ทำไมผู้คนถึงมั่นใจนัก ว่าจะถูกรับขึ้นไปเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา มันไม่สมเหตุสมผลเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชี้แจงไว้ชัดเจน ว่าใครเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ได้ “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้(มัทธิว 7:21) จากพระวจนะ เราก็แน่ใจได้ว่า การถูกอภัยเพียงอย่างเดียว ไม่พอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร ทำไมการถูกอภัยถึงยังไม่พออีก หลักๆ คือ การถูกอภัยในบาป ไม่ได้แปลว่าเราถูกชำระให้บริสุทธิ์ ว่าเรานบนอบต่อพระเจ้า หรือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราต่างเห็นกันอย่างชัดเจน ว่าขนาดผู้เชื่อที่ได้รับการอภัยบาปแล้ว ก็ยังโกหก ปลิ้นปล้อน คดโกง และหลอกลวงอยู่เสมอ พอมีความรู้ทางพระคัมภีร์เข้าหน่อย พวกเขาก็โอหัง และไม่ฟังใคร พวกเขาสู้เพื่ออำนาจ ผลประโยชน์ และใช้ชีวิตอยู่ในบาปที่ไม่อาจหลุดพ้นได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าแม้จะได้รับการอภัยแล้ว ผู้คนก็ยังโสมม เสื่อมทราม และทำบาปอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการยอมรับและนบนอบต่อความจริง แต่พวกเขายังตัดสิน และต่อต้านพระเจ้าด้วย เหมือนกับพวกฟาริสี พวกเขากล่าวโทษ ตัดสิน และหมิ่นประมาทองค์พระผู้เป็นเจ้า และถึงขั้นตรึงกางเขนพระองค์อีก สิ่งนี้พิสูจน์ว่า บาปของมวลมนุษย์อาจได้รับการอภัย แต่เรายังคงโสมมและเสื่อมทราม และแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเรา ก็เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า พระวจนะกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45)ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14) ดังนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตในบาปก็ไม่ควรค่ากับราชอาณาจักร นี่คือสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย และถูกกำหนดโดยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เชื่อคนไหนกล้าอ้างว่าตนเป็นอิสระจากบาป ไม่ทำบาปอีก และบรรลุความบริสุทธิ์แล้วบ้าง ไม่มีเลยสักคน ขนาดคนทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง ผู้เขียนบทความทางจิตวิญญาณมากมาย ยังไม่กล้าพูดว่าพวกเขาละทิ้งบาปและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ที่จริง ผู้เชื่อทุกคนต่างก็เหมือนกัน ต่างใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ทำบาปตอนกลางวัน สารภาพบาปตอนกลางคืน ดิ้นรนขมขื่นอยู่ในบาป พวกเขาล้วนติดอยู่ในพันธนาการแห่งบาป และประสบกับความเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร มันแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับการอภัยบาปแล้ว ก็ยังหนีไม่พ้นบาปและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เราจึงพูดได้เต็มปากว่า พวกเขาไม่ควรค่ากับราชอาณาจักรสวรรค์ เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34-35) จะเห็นว่า ไม่มีมูลฐานทางพระคัมภีร์เรื่องการเข้าสู่ราชอาณาจักรเพราะบาปถูกอภัยแล้วเลย นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ล้วนๆ

พอถึงจุดนี้ คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจของใครหลายคนคือ ถ้าเรื่องนั้นทำให้เราเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้ แล้วอะไรล่ะ อะไรคือเส้นทางไปสู่ราชอาณาจักร องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” นี่คือความประสงค์ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แล้วเราจะบรรลุการทำตามน้ำพระทัย และเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ยังไง ที่จริง องค์พระเยซูเจ้าทรงชี้ทางนั้นให้เราเมื่อนานมาแล้ว เรามาดูคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้ากันครับ จะได้เข้าใจมากขึ้น องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง(ยอห์น 17:17)เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร(ยอห์น 5:22) องค์พระเยซูเจ้า ทรงเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาอยู่หลายครั้ง และข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ก็เป็นคำเผยพระวจนะ เรื่องงานที่พระองค์จะทรงทำเมื่อทรงกลับมา ซึ่งคือการแสดงความจริงมากมาย เพื่อทรงงานแห่งการพิพากษา ทรงนำผู้คนไปสู่ความจริงทั้งปวง ช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป และกองกำลังซาตานโดยสมบูรณ์ ท้ายที่สุดคือพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักร ให้เราได้มีบั้นปลายอันงดงาม นั่นคือเหตุผล ที่เราต้องยอมรับงานแห่งการพิพากษา เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา ถ้าไม่ได้รับความจริง ความเสื่อมทรามก็ไม่อาจถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ และธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเรา ก็ไม่อาจถูกแก้ไข นั่นเป็นทางเดียวที่จะละทิ้งบาป กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ และควรค่าแก่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา ต้องถูกชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเราโดยสมบูรณ์ เราต้องละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เพื่อเป็นอิสระจากกองกำลังซาตาน เพื่อนบนอบ และปฏิบัติน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่อย่างนั้น เราจะไม่มีสิทธิ์เข้าสู่ราชอาณาจักร เราจึงแน่ใจได้ว่า มีเพียงคนที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านการทรงพิพากษาและตีสอนในยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่จะกลายเป็นผู้ปฏิบัติน้ำพระทัยของพระเจ้า สิ่งนี้พิสูจน์ว่า การยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย คือทางเดียวที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร เรามาอ่านพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้สักสองสามบทตอนนะครับ “คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์)แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นชัดเจนมาก องค์พระเยซูเจ้าทรงงานแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ แค่เพื่ออภัยบาปของมนุษย์ และเสร็จสิ้นงานแห่งความรอดเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น มีเพียงงานแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ได้ ผู้คนต้องยอมรับความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง รวมถึงการทรงพิพากษาและตีสอน ความเสื่อมทรามของพวกเขา จึงอาจชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง พวกเขาอาจเป็นผู้ที่เชื่อฟัง และปฏิบัติน้ำพระทัยได้ และควรค่ากับราชอาณาจักรของพระองค์ พูดอีกอย่างคือ พวกเขามีหนังสือเดินทางเข้าราชอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง พูดได้ว่า งานแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นขั้นตอนที่สลักสำคัญอย่างยิ่งยวด ในงานช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และเป็นขั้นตอนที่จะกำหนดการเข้าสู่ราชอาณาจักรของบุคคล การพลาดขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไป การพลาดการพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หมายถึงการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในความเชื่อ ไม่ว่าคุณจะเชื่อมานานแค่ไหน ทำงานหนัก หรือยอมทิ้งอะไรมากมายเพียงใด ถ้าคุณบอกปัดพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทุกอย่างล้วนสูญเปล่า เป็นการยอมแพ้ไปครึ่งทาง คุณจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร และจะเสียใจไปทั้งชีวิต!

แล้วพระเจ้าทรงงานพิพากษา ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ ช่วยเราให้รอด เพื่อพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักรอย่างไร เรามาอ่านพระวจนะกันดูนะครับ “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) ผู้ที่ประสบกับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ล้วนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าหากพระวจนะไม่เปิดโปงแก่นแท้และความเสื่อมทรามของเรา เราจะไม่มีวันเห็นว่า ตัวเองเสื่อมทรามลึกซึ้ง หรือร้ายแรงแค่ไหน หากไม่ถูกพระเจ้าพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง จัดการ และบ่มวินัย เราคงไม่มีวันละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ คงถึงกับต้องดิ้นรนเพื่อให้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้เชื่อมากมาย อดไม่ได้ที่จะทำบาปและสารภาพบาปอยู่ร่ำไป โดยไม่เห็นถึงรากเหง้าแห่งบาป ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งได้ พวกเขายังเชื่อแบบผิดๆ ว่าตรงเข้าสู่สวรรค์ได้เพราะได้รับการอภัยแล้ว นี่คือคนมืดบอดและโง่เง่า แถมยังไร้ความรู้ตัวอย่างแท้จริง การกลับใจที่แท้จริง มาจากการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น อีกทั้งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ก็มาจากการรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมเท่านั้น ตอนนั้นเท่านั้น เราถึงนมัสการ นบนอบต่อพระเจ้า และกลายเป็นผู้ปฏิบัติน้ำพระทัยได้ คุณรู้เรื่องนี้ได้ หลังประสบการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และถูกชำระให้บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น

มาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าเราเข้าใจชัดเจนแล้ว ว่าเส้นทางเข้าสู่ราชอาณาจักรเป็นรูปธรรม และสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก มันไม่ใช่แค่ได้รับการอภัย รอให้องค์พระผู้เป็นเจ้ารับเราขึ้นไป แล้วถูกพาตรงเข้าสู่สวรรค์ เรื่องนั้นมันเหนือจริง เป็นแค่ความฝันเลื่อนลอย ถ้าเราอยากเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ สิ่งสำคัญที่สุด คือการยอมรับการทรงพิพากษาและตีสอน ความเสื่อมทรามของเราจึงถูกชำระให้บริสุทธิ์ และเราก็ปฏิบัติน้ำพระทัยได้ จากนั้นเราถึงจะคู่ควรกับการได้รับพระสัญญาและพระพรของพระเจ้า และถูกพาเข้าสู่ราชอาณาจักร ถ้าเราปฏิเสธที่จะยอมรับงานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราก็จะไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิต หรือชำระความเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์ การถวิลหาให้องค์พระผู้เป็นเจ้านำเราเข้าสู่สวรรค์ในทางนี้ เป็นกิจของคนโง่ คนเหล่านั้นคือหญิงพรหมจารีโง่ ผู้จะร่วงลงสู่ความวิบัติ และร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดได้ว่า การยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือการถูกยกชูขึ้นสู่เฉพาะพระบัลลังก์ เรายังต้องยอมรับความจริงที่ทรงแสดง รวมถึงการทรงพิพากษาและตีสอน ละทิ้งความเสื่อมทราม และถูกชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงคุ้มครองรักษาเราผ่านความวิบัติ และได้เข้าสู่บั้นปลายงดงามที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ การปรนนิบัติด้วยปากว่ายอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ไม่ยอมรับความจริง ไม่นบนอบต่อการทรงพิพากษาและตีสอน ไม่ใช่ความเชื่อแท้จริง นั่นไม่ใช่คนที่รักความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาจะลงเอยด้วยการถูกเปิดโปงและกำจัด เรามา สรุปกันด้วยพระวจนะอีกบทตอนนะครับ “พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่ตรัสโดยพระคริสต์คือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งนำพามาโดยพระคริสต์เป็นคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดไปตลอดกาล พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้ อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์ เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้ พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้ หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ทำไมเราจึงต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เพียงด้วยการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้น?

ตอนนี้ ผู้เชื่อทุกคนต่างเฝ้ารอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนเมฆ เพราะภัยพิบัติเริ่มรุนแรงขึ้น และพวกโรคระบาดต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger