การมองให้ออกว่าพระเจ้าพระองค์เดียวทรงราชกิจสามระยะอย่างไร

วันที่ 27 เดือน 12 ปี 2021

วันนี้หัวข้อการสามัคคีธรรมของเราก็คือ “การมองให้ออกว่าพระเจ้าพระองค์เดียวทรงราชกิจสามระยะอย่างไร” หัวข้อนี้สำคัญ และเกี่ยวโยงกับบทอวสานและบั้นปลายของเราโดยตรง มันยังเกี่ยวโยงด้วยว่าเราเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้หรือไม่ ถ้าเราเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้จักงานของพระเจ้า มันก็อันตรายได้มาก เราเสียความรอดของพระเจ้าได้ ซึ่งนำไปสู่หายนะ แล้วทำไมเราถึงพูดแบบนี้? เมื่อสองพันปีก่อน เราได้รู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงมาไถ่มนุษย์ พระองค์ตรัสว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) พระองค์ทรงแสดงความจริงและปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมาย ซึ่งพิสูจน์ว่าพระองค์ ก็คือพระเมสสิยาห์ แต่สำหรับศาสนายิว พระนามองค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่เมสสิยาห์ และมิได้บังเกิดในราชวัง และพระองค์ก็ไม่ได้นำพวกเขาพ้นการปกครองของโรมัน พระองค์จึงไม่ใช่พระเมสสิยาห์อย่างแน่นอน ดังนั้น ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงความจริง หรือแสดงปาฏิหาริย์มากเท่าไร ก็ไม่มีใครยอมรับว่าพระองค์คือพระเจ้า ทุกคนพากันตรึงกางเขนพระองค์ตามพวกผู้นำศาสนายิว ผลคืออะไรคะ? อิสราเอลถูกกวาดล้างมาเกือบสองพันปีแล้ว แล้วบทเรียนอันเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ผู้คนไม่แสวงหาการรู้จักงานของพระเจ้า พวกเขายืนกรานในมโนคติอันหลงผิด และกล่าวโทษงานของพระเจ้า บัดนี้ องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงแสดงความจริงนับล้านๆ และทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อชำระมนุษย์ และช่วยให้รอด ว่าแต่โลกศาสนาล่ะ? เมื่อเห็นว่าพระนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่เยซู อีกทั้งไม่ได้เสด็จมาบนเมฆ ก็ไม่ยอมรับว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา อีกทั้งต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามพวกศิษยาภิบาล ซึ่งเท่ากับตรึงกางเขนพระเจ้าอีกครั้ง บางคนอาจจะถามว่า “ทำไมแต่ละครั้งที่พระเจ้าทรงปรากฏเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ผู้เชื่อในพระองค์ และเฝ้ารอการทรงปรากฏจึงกล่าวโทษและปฏิเสธพระองค์เสมอเลย?” นี่เป็นเพราะผู้คนนั้นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักเกินไป พวกเขาจึงเกลียด และชังความจริง และมีธรรมชาติต่อต้านพระเจ้า อีกเหตุผลคือผู้คน ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า จึงมีแต่มโนคติอันหลงผิดเรื่องงานของพระเจ้า คือว่า เมื่อพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานในยุคธรรมบัญญัติ บรรดาคนในศาสนายิวเชื่อว่า งานของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว และจะไม่ทรงพระราชกิจเพิ่มเติมอีก พวกเขาเฝ้ารอพระเมสสิยาห์ผู้จะทรงช่วยกู้พวกเขาจากระบอบปกครองโรมัน แต่ไม่ยอมรับงานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า จึงเสียความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าไป เมื่อพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานในยุคพระคุณ เหล่าผู้เชื่อ ในทุกนิกายคิดว่าในเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์แล้ว งานช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าก็เสร็จสิ้น จะไม่มีงานใหม่อีก และพอพระองค์กลับมา ก็จะนำเราตรงสู่อาณาจักรสวรรค์ วันนี้ ขณะที่มหาวิบัติมาถึง หลายคนยังคงรอให้พระองค์เสด็จมาบนเมฆ และไม่ยอมรับงานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจึงพลาดการต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอด และตกลงสู่ความวิบัติ พวกเขาต่างคิดว่าเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเสร็จสิ้นงาน งานช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าก็เสร็จสิ้นแล้ว และจะไม่มีพระราชกิจเพิ่มเติมอีก มาคิดเรื่องนี้กันค่ะ งานช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้ามันง่ายอย่างที่ผู้คนนึกจริงหรือ? ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเผยความล้ำลึกแห่งงานของพระเจ้า เราต่างก็เห็นแล้วว่า หลังจากซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม พระเจ้าก็ทรงเริ่มแผนสามระยะแห่งความรอด ก่อนอื่น พระองค์ทรงงานในยุคธรรมบัญญัติภายใต้พระนามเยโหวาห์ แล้วทรงปรากฏในรูปมนุษย์เป็นองค์พระเยซูเจ้าและทรงงานแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ พระเจ้า ทรงมาอีกครั้งในยุคสุดท้าย เป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อทรงงานพิพากษาในยุคราชอาณาจักร งานสามระยะนี้คือแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ แม้ว่าพระเยโฮวาห์ องค์พระเยซูเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ์ฤทธิ์เป็นคนละพระนาม งานที่แต่ละพระองค์ทรงทำในแต่ละยุคก็ต่างกัน ทั้งสามระยะนี้ก็เกี่ยวโยงและต่อยอดงานก่อนหน้า และผลลัพธ์คือการช่วยมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์ และนำพวกเขาสู่ยุคใหม่ นี่พิสูจน์ว่าท่านคือพระเจ้าองค์เดียวซึ่งทำงานต่างกันในแต่ละยุค ดังนั้น เราจะมองออกได้อย่างไรว่างานทั้งสามระยะนี้ทำโดยพระเจ้าพระองค์เดียว? การเข้าใจความจริงด้านนี้คือกุญแจสู่การได้รับความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักร ต่อไป เรามาสามัคคีธรรมถึงประเด็นนี้ตามพระวจนะกันค่ะ

ก่อนอื่น ฉันจะอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แผนการจัดการทั้งหมดของเรา ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีนั้นประกอบด้วยสามระยะ หรือสามยุค ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติปฐมกาล ยุคพระคุณ (ซึ่งเป็นยุคแห่งการทรงไถ่ด้วยเช่นกัน) และยุคแห่งราชอาณาจักรแห่งยุคสุดท้าย งานของเราในสามยุคดังกล่าวแตกต่างกันในด้านเนื้อหาตามลักษณะของแต่ละยุค ทว่าในแต่ละระยะ งานส่วนนี้จะมีความเหมาะสมกับความจำเป็นของมนุษย์ หรือกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้นได้ว่า ถูกกระทำไปโดยสอดรับกับเล่ห์เพทุบายที่ซาตานนำมาใช้ในสงครามที่เราต้องเข้าต่อกรด้วย วัตถุประสงค์แห่งงานของเราคือเพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เพื่อสำแดงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่สิ้นสุดของเราให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเปิดโปงเล่ห์เพทุบายทั้งสิ้นของซาตาน และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการช่วยเผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งมวลซึ่งอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานให้รอด ทั้งหมดก็เพื่อแสดงถึงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของเรา และเพื่อเผยให้เห็นความน่าขยะแขยงเกินจะทานทนของซาตาน และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่วได้ เพื่อจะรับรู้ได้ว่าเราคือผู้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง เพื่อให้ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งว่าซาตานคือศัตรูแห่งมนุษยชาติ เป็นผู้ที่เสื่อม เป็นมารชั่วร้าย และเพื่อให้พวกเขาสามารถบอกกล่าวด้วยความเชื่อมั่นเต็มหัวใจถึงข้อแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว ความจริงและความลวง ความบริสุทธิ์และความโสมม รวมถึงสิ่งใดยิ่งใหญ่เลอค่าและสิ่งใดไร้เกียรติควรเหยียดหยาม ด้วยเหตุนี้มนุษย์ผู้ไม่รู้เท่าทันจึงจะสามารถเป็นประจักษ์พยานฝ่ายเราได้ว่า ไม่ใช่เราที่เป็นผู้บ่อนทำลายมนุษยชาติให้เสื่อมทราม และมีแต่เรา—พระผู้สร้าง—เท่านั้น ที่สามารถช่วยมนุษยชาติให้อยู่รอด ที่สามารถมอบสิ่งต่างๆ ซึ่งให้ความสุขแก่พวกเขาได้ จนกระทั่งพวกเขาได้ตระหนักรู้ว่าเราคือผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง และซาตานเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งดำรงอยู่ที่เราได้สร้างขึ้นมาและซึ่งต่อมากลับผันแปรพักตร์ไปจากเรา แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีของเราแบ่งออกเป็นสามระยะ และด้วยเหตุนั้นเราได้ดำเนินงานเพื่อให้บรรลุผลในการทำให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถเป็นพยานต่อเราได้ เข้าใจเจตนาของเราได้ และรู้ได้ว่าเราคือความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่) เราเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่างานช่วยให้รอดของพระเจ้าถูกแบ่งเป็นสามระยะ ระยะแรกคืองานแห่งยุคธรรมบัญญัติโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าเมื่อสามพันกว่าปีก่อน ระยะสองคืองานแห่งยุคพระคุณโดยองค์พระเยซูเจ้าเมื่อสองพันปีก่อน และระยะที่สามคือตอนนี้ งานพิพากษาโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคราชอาณาจักร ปลายทางยุคสุดท้าย แม้ว่าเนื้อหาของสามระยะนี้จะต่างกัน แต่ละระยะลงลึกและคืบหน้าไปจากระยะก่อน ทั้งสามยังเกี่ยวโยงกันมากด้วย และบรรลุความรอดของมวลมนุษย์โดยสมบูรณ์ในท้ายที่สุด งานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สิ้นสุดยุคพระคุณและเริ่มยุคแห่งราชอาณาจักร และงานระยะนี้ก็กำหนดชะตากรรมของมวลมนุษย์ ถ้าเราไม่เข้าใจงานของพระเจ้า ก็ง่ายที่จะพลาดโอกาสสุดท้ายของความรอดและการทำให้เพียบพร้อม ซึ่งจะเป็นความเสียใจชั่วชีวิต

นี่แปลว่ายิ่งจำเป็นมากขึ้นที่ต้องอธิบาย ว่าพระราชกิจทั้งสามระยะคืออะไร มาพิจารณากันค่ะ “ทำไมขั้นแรกในการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าคือการทรงงานเพื่อประกาศธรรมบัญญัติ?” เพราะในตอนแรก มนุษย์ก็เหมือนเด็กทารก พวกเขาไม่รู้วิธีนมัสการพระเจ้า ไม่รู้วิธีใช้ชีวิต แม้แต่หลักศีลธรรมพื้นฐาน เช่นที่ว่า การฆาตกรรมและการขโมยเป็นบาป ก็ไม่เข้าใจ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเพื่อสอนเรื่องการใช้ชีวิตบนโลก และบอกผู้คนไม่ให้ฆ่า ขโมย ล่วงประเวณี และอื่นๆ เพื่อที่พวกเขาจะมีแนวคิดพื้นฐานเรื่องบาป รู้ว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร รู้จักการรักษาธรรมบัญญัติและวันสะบาโต ผู้รักษาธรรมบัญญัติก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า ผู้ล่วงละเมิดถูกกล่าวโทษและต้องถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อลบมลทิน เมื่อผู้คนลวงละเมิดธรรมบัญญัติและข้อบังคับใด พระยาห์เวห์จะทรงพิโรธลงโทษพวกเขาโดยให้ถูกขว้างหินหรือถูกไฟสวรรค์เผา ชนชาวอิสราเอลได้ลิ้มรสพระบารมีและพระพิโรธของพระเจ้า รวมถึงความห่วงใยและพระกรุณาของพระองค์ พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว ดังนั้น พวกเขาจึงกลัวพระยาห์เวห์และเชื่อฟังธรรมบัญญัติ ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติและนมัสการพระเจ้าบนแผ่นดินโลก และใช้ชีวิตในการทรงสถิตได้ นี่คือผลลัพธ์ที่งานของพระเจ้าสัมฤทธิ์ไปในยุคธรรมบัญญัติ ถ้าอย่างนั้น จุดจบของงานในยุคธรรมบัญญัติของพระเจ้าแปลว่างานช่วยมนุษย์ให้รอดของพระองค์เสร็จสิ้นแล้วหรือ? ไม่ใช่เลยค่ะ แม้ว่าผู้คนในยุคธรรมบัญญัติจะรู้ว่าบาปคืออะไร จะพลีอุทิศ ล้างมลทิน และนมัสการพระเจ้าอย่างไร เพราะถูกซาตานทำเสื่อมทราม บ่อยครั้งผู้คนจึงไม่รักษาธรรมบัญญัติ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของยุคธรรมบัญญัติ คนทำบาปบ่อยขึ้น และไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปมากพอที่จะลบมลทิน ถ้างานของพระเจ้าหยุดไปในยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนก็จะถูกธรรมบัญญัติสำเร็จโทษเพราะบาปทั้งหมดของพวกเขา และมวลมนุษย์ก็จะถูกกวาดทิ้งจนสิ้น ดังนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงใช้ผู้เผยพระวจนะมาบอกคนอิสราเอลว่า พระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ใจความว่า “ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า ‘ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช’(อิสยาห์ 9:6)และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาป ของเราทุกคนลงบนตัวท่าน(อิสยาห์ 53:6)เมื่อชีวิตของท่านเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป(อิสยาห์ 53:10) แล้วพระเจ้าก็ทรงมาปรากฏในรูปมนุษย์เป็นองค์พระเยซูเจ้าตามพระสัญญา เพื่อทรงงานแห่งการไถ่มวลมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายท่ามกลางผู้คน สอนให้คนสารภาพบาปและกลับใจ ให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดความคิด หัวใจ และวิญญาณ รักเพื่อนบ้านเท่าตัวเอง นมัสการพระเจ้าในจิตวิญญาณในความจริง และอื่นๆ ความจริงเหล่านี้ทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ และให้เส้นทางปฏิบัติใหม่แก่ผู้คน พระองค์ยังทรงรักษาคนป่วย ขับผี อภัยบาปของผู้คน ประทานพระพรและพระคุณ และสุดท้ายก็ถูกตรึงกางเขนในฐานะมนุษย์ที่ปลอดบาป พระองค์ทรงรับบาปของทุกคนและไถ่มวลมนุษย์ หลังจากนั้น ผู้คนก็ไม่ต้องถวายสัตวบูชาเมื่อทำบาป ตราบเท่าที่พวกเขาอธิษฐานและสารภาพ ก็ถูกอภัยและชื่นชมพระพรและพระคุณของพระเจ้า ผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระอุปนิสัยอันเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับพระเจ้าก็แนบแน่น ชัดเจน ว่างานขององค์พระเยซูเจ้า ลุล่วงคำเผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมโดยสมบูรณ์ โดยช่วยให้ผู้คนพ้นโซ่ล่ามแห่งธรรมบัญญัติ สิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ และนำมวลมนุษย์เข้าสู่ยุคพระคุณ นี่พิสูจน์ว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเมสสิยาห์ผู้เสด็จมา งานแห่งการไถ่และความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดง คือการแสดงออกของพระอุปนิสัยและสิ่งที่ทรงมีทรงเป็น และเปิดเผยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างเต็มที่ ซึ่งพิสูจน์ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และองค์พระเยซูเจ้าและพระยาห์เวห์คือพระวิญญาณเดียวและพระเจ้าองค์เดียว ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา(ยอห์น 14:10)เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(ยอห์น 10:30) งานแห่งการไถ่และงานแห่งยุคธรรมบัญญัติ เป็นงานสองระยะที่แตกต่างกันในยุคที่ต่างกันโดยพระเจ้าองค์เดียวกัน ดังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “พระราชกิจที่พระเยซูทำเป็นตัวแทนพระนามของพระเยซู และเป็นตัวแทนยุคพระคุณ ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็เป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจของทั้งสองพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวในสองยุคที่แตกต่างกัน… เป็นเพราะพระเยซูได้เสด็จมาและสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระยาห์เวห์ สานต่อพระราชกิจของพระยาห์เวห์ และยิ่งไปกว่านั้น ได้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์เองซึ่งเป็นพระราชกิจใหม่โดยแท้ จึงพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือยุคใหม่และพระเยซูคือพระเจ้าพระองค์เอง ทั้งสองพระองค์ทรงพระราชกิจสองช่วงระยะที่แตกต่างกันอย่างชัดแจ้ง ช่วงระยะหนึ่งดำเนินการในพระวิหาร และอีกช่วงระยะหนึ่งดำเนินการนอกพระวิหาร ช่วงระยะหนึ่งเป็นไปเพื่อนำวิถีชีวิตมนุษย์ให้สอดคล้องกับธรรมบัญญัติ และอีกช่วงระยะหนึ่งเป็นไปเพื่อมอบถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป พระราชกิจสองช่วงระยะนี้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด การนี้แบ่งแยกยุคใหม่ออกจากยุคเก่า และย่อมถูกต้องที่สุดที่จะกล่าวว่าทั้งสองคือสองยุคที่แตกต่างกัน ที่ตั้งของพระราชกิจของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่าง และเนื้อหาของพระราชกิจของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่าง และวัตถุประสงค์ของพระราชกิจของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่างกัน เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พระราชกิจจึงสามารถแบ่งออกได้เป็นสองยุค กล่าวคือ พันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม ซึ่งหมายถึงยุคใหม่และยุคเก่า… ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์มีสองพระนามที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกันที่ทำให้พระราชกิจทั้งสองช่วงระยะสำเร็จลุล่วงไป และพระราชกิจที่ทำไปนั้นก็ดำเนินต่อเนื่องกัน เมื่อพระนามแตกต่างกัน และเนื้อหาของพระราชกิจแตกต่างกัน ยุคจึงแตกต่างกัน เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จมา นั่นคือยุคของพระยาห์เวห์ และเมื่อพระเยซูเสด็จมา นั่นก็คือยุคของพระเยซู และดังนั้น ด้วยการเสด็จมาแต่ละครั้ง พระเจ้าจึงใช้พระนามหนึ่ง พระองค์ทรงแทนยุคหนึ่ง และพระองค์ทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ และในเส้นทางใหม่แต่ละเส้นทางนั้น พระองค์ก็ใช้พระนามใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และแสดงให้เห็นว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีวันหยุดเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) ยุคพระคุณยาวนานสองพันปี และผู้เชื่อเกือบทุกคนก็คิดว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดก็เสร็จสิ้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในยุคสุดท้าย เพื่อยกผู้เชื่อตรงขึ้นสู่สวรรค์ เช่นนั้น ความคิดนี้ถูกต้องจริงหรือ? ก็จริงที่ผู้เชื่อได้รับการอภัยบาปแล้ว แต่ธรรมชาติเปี่ยมบาปของผู้คนก็ยังไม่ถูกแก้ไข เรายังถูกธรรมชาติเปี่ยมบาปควบคุม โกหกและทำบาปโดยไม่ตั้งใจบ่อยครั้ง เราสู้เพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน เราอิจฉา โอหัง ถือดี และไม่เชื่อฟัง เราไม่มีความสามารถจะอดกลั้น เรารักเพื่อนบ้านดุจรักตัวเองไม่ได้ ยิ่งให้รักเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยิ่งยากไปใหญ่ กว่าสองพันปี ผู้เชื่อทุกคนติดอยู่ในวังวนการทำบาปตอนกลางวัน และสารภาพบาปตอนกลางคืน ผ่านประสบการณ์ลึกๆ กับความทุกข์ความเจ็บปวดอยู่ในบาป นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ บรรดาคนที่อยู่ในบาปแบบนี้ถูกช่วยให้รอดแล้วหรือ? พวกเขาเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ไหม? องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34-35)เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45)ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14) พระเจ้าทรงชอบธรรม และบริสุทธิ์ แล้วจะทรงยอมให้คนทำบาปต่อต้านพระองค์เข้าสู่ราชอาณาจักรได้อย่างไร? ดังนั้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่ พระองค์ประกาศว่าจะเสด็จมาอีก เพื่อทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์อย่างทั่วถึง และช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักร ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง(ยอห์น 17:17)ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48) ในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏตามสัญญา เป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อแสดงความจริงทั้งมวลซึ่งจำเป็นเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และทรงงานพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศ ซึ่งแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของผู้คนอย่างสิ้นเชิง และถูกพระเจ้าช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่แสดงให้พวกเราเห็นว่า ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือ “พระวิญญาณแห่งความจริง” คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงปรากฏและทรงงานในยุคสุดท้าย

มาดูพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางบทตอนเพื่อความกระจ่างกัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้เป็นการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าซึ่งตามหลังพระราชกิจของพระเยซูมา แน่นอนว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเอกเทศ แต่เป็นช่วงระยะที่สามของพระราชกิจหลังยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงริเริ่มช่วงระยะใหม่ของพระราชกิจ จะต้องมีการเริ่มต้นใหม่เสมอและจะต้องนำยุคใหม่มาเสมอ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันในพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในลักษณะของการทรงพระราชกิจของพระองค์ ในที่ตั้งของพระราชกิจของพระองค์และในพระนามของพระองค์อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคใหม่ได้ยาก แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์จะถูกมนุษย์ต่อต้านอย่างไร พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจของพระองค์เสมอและทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงไปข้างหน้าเสมอ เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

พระราชกิจของวันนี้ทำให้พระราชกิจของยุคพระคุณเดินหน้าต่อ กล่าวคือ พระราชกิจภายใต้แผนการบริหารจัดการทั้งหกพันปีได้เดินหน้าต่อ แม้ว่ายุคพระคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่พระราชกิจของพระเจ้าก็ยังมีความก้าวหน้า เหตุใดกันเล่า เราจึงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระราชกิจระยะนี้ต่อยอดมาจากยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ? ก็เพราะพระราชกิจของวันนี้เป็นการสานต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคพระคุณ และเป็นความก้าวหน้าต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้เชื่อมโยงกันและกันอย่างแน่นแฟ้น โดยที่ข้อต่อแต่ละข้อในสายโซ่เชื่อมต่อกับข้อถัดไปอย่างสนิทแนบแน่น แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นกันว่าพระราชกิจของช่วงระยะนี้จึงต่อยอดจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำจนแล้วเสร็จไป? สมมุติว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่ได้ต่อยอดจากพระราชกิจที่พระเยซูทรงได้กระทำจนแล้วเสร็จไป จะต้องมีการตรึงกางเขนเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงระยะนี้ และจะต้องมีการดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของช่วงระยะก่อนหน้าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง สิ่งนี้จะไร้ความหมาย และดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าพระราชกิจได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ยุคได้เดินหน้าต่อ และระดับของพระราชกิจได้ยกสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจในช่วงระยะนี้สร้างขึ้นโดยใช้ยุคธรรมบัญญัติเป็นรากฐาน และต่อยอดจากพระศิลาของพระราชกิจของพระเยซู พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการสร้างขึ้นเป็นช่วงระยะ และช่วงระยะนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นใหม่ เพียงการผสานรวมกันของพระราชกิจสามระยะเท่านั้นที่อาจถือเป็นแผนการบริหารจัดการหกพันปี(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์) พระวจนะนั้นชัดเจนมาก งานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าเพียงแค่อภัยบาปให้ผู้คน แต่ไม่ได้กำจัดธรรมชาติเปี่ยมบาปของผู้คนออกไป หรือช่วยผู้คนจากบาปโดยสมบูรณ์ งานช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าจึงยังไม่เสร็จ งานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าแผ้วถางทางให้งานพิพากษาในยุคสุดท้าย งานพิพากษา ชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอดโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นแผนการบริหารจัดการระยะสุดท้ายของพระเจ้า และเป็นงานระยะที่สำคัญที่สุดด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากหลาย ซึ่งเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหมดในพระคัมภีร์ รวมถึงความล้ำลึกทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า รวมถึงจุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการ ความจริงเบื้องลึกของงานสามระยะ ความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าทรงงานพิพากษาเพื่อช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร บทอวสานและบั้นปลายของผู้คนทุกประเภท ราชอาณาจักรของพระคริสต์จะเป็นจริงขึ้นบนโลกอย่างไร และอีกมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงเปิดเผยและพิพากษารากเหง้าบาปและการต่อต้านของผู้คน ซึ่งเป็นธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในผู้คน พระองค์ยังแสดงความจริงทุกด้านที่ผู้คนต้องปฏิบัติและเข้าไปสู่ในการเชื่อในพระเจ้า เหมือนมุมมองที่เหมาะสมเพื่อเชื่อในพระเจ้า จะมีความสัมพันธ์ปกติกับพระเจ้าอย่างไร จะเป็นคนซื่อสัตย์ได้อย่างไร จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างไร และจะบรรลุการเชื่อฟังพระเจ้า รักพระเจ้ายังไง และอื่นๆ ผู้คนต้องเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงเพื่อทิ้งความเสื่อมทราม และถูกพระเจ้าช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ การพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง จัดการ บททดสอบ และกระบวนการถลุงในพระวจนะ สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลายคน ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ เข้าใจและเกลียดอุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเอง เพื่อตระหนักว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ ชอบธรรม และมิอาจล่วงเกินได้ เพื่อก่อเกิดความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจและกลับใจอย่างแท้จริง ชำระอุปนิสัยเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง และบรรลุการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเจอการข่มเหง ความทุกข์ลำบาก บททดสอบ หรือกระบวนการถลุงอะไร พวกเขาก็ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เผยแผ่และเป็นพยานยืนยันให้ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร และสร้างคำพยานอันงดงามแห่งชัยชนะเหนือซาตานมากมายได้ คำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขามีเผยแพร่ออนไลน์ และเป็นพยานให้แก่คนทั้งโลกถึงการทรงปรากฏและงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คนเหล่านี้คือเหล่าผู้ชนะที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ก่อนมหาวิบัติ และพวกเขาก็คือดอกผลแรก ซึ่งลุล่วงคำเผยพระวจนะในหนังสือวิวรณ์ที่ว่า “เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก(วิวรณ์ 14:4) และดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะมาถึงบทอวสานจะมีกลุ่มของพวกที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าถูกสร้างขึ้นกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มของบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดจะรู้จักพระเจ้า และจะมีความสามารถที่จะนำความจริงสู่การปฏิบัติได้ พวกเขาจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกรับรู้ และทั้งหมดจะรู้จักพระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า นี่คือพระราชกิจที่จะทรงทำให้สำเร็จลุล่วงในบทอวสาน และผู้คนเหล่านี้คือการตกผลึกของพระราชกิจแห่ง 6,000 ปีของการบริหารจัดการ และเป็นคำพยานที่ทรงพลังที่สุดต่อการเอาชนะซาตานครั้งสุดท้าย บรรดาผู้ที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าจะมีความสามารถที่จะได้รับพระสัญญาและพระพรของพระเจ้าได้ และจะเป็นกลุ่มที่เหลืออยู่ในบทอวสาน เป็นกลุ่มที่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า และเป็นคำพยานต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงและลุล่วงงานอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเปิดเผยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างเต็มที่ และนี่พิสูจน์ว่าพระองค์ก็คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้าคือพระวิญญาณเดียว ดังนั้น มาถึงจุดนี้ มันพิจารณากันว่า นอกจากพระเจ้า ใครจะสามารถแสดงความจริงและเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการได้คะ? ใครจะเปิดโปงรากเหง้าของการต่อต้านและบาปของมนุษย์ได้คะ? นอกจากพระเจ้า ใครจะพิพากษาความเสื่อมทรามของผู้คน และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์ได้? ใครจะแสดงพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระเจ้าที่ไม่ทนต่อการล่วงเกินได้? ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวผู้เป็นจุดเริ่มต้นและปลายทางของสรรพสิ่ง!

ตอนนี้ ทุกคนเข้าใจอย่างกระจ่างชัดหรือยังคะ? งานทั้งสามระยะ ในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร เป็นงานของพระเจ้าสามระยะที่แตกต่างกันเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในยุคที่ต่างกัน งานแห่งธรรมบัญญัติสอนมนุษย์เรื่องบาป งานแห่งการไถ่ก็ไถ่บาปให้พวกเขา และงานพิพากษาก็ช่วยให้พวกเขากำจัดบาปออกไป งานทั้งสามระยะนี้เกี่ยวโยงกันสนิท ต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้าย คนก็ถูกช่วยให้รอดจากซาตานโดยสมบูรณ์และเข้าสู่ราชอาณาจักร นี่คือกระบวนการทั้งหมด เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ดำเนินโดยพระเจ้าองค์เดียวตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าพระนามพระเจ้าจะต่างกัน และวิธีการและงานของพระองค์ก็ต่างกัน แก่นแท้กับพระอุปนิสัย รวมถึงสิ่งที่ทรงมีและทรงเป็นนั้นเหมือนเดิม และไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถ้าเราดูพระวจนะที่พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสในยุคธรรมบัญญัติ พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณ และของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคราชอาณาจักร พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมด ทั้งหมดคือการแสดงออกและการเปิดเผยของพระอุปนิสัยและสิ่งที่ทรงมีและทรงเป็น มาจากแห่งเดียวกัน และคือเสียงและพระวจนะของพระวิญญาณหนึ่งเดียว นี่คือข้อพิสูจน์ว่างานทั้งสามระยะกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เดียว ดังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “จากพระราชกิจของพระยาห์เวห์จนถึงพระราชกิจของพระเยซู และจากพระราชกิจของพระเยซูมาจนถึงพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน สามช่วงระยะนี้ครอบคลุมแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าให้เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกัน และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว นับตั้งแต่การสร้างโลก พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์อยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงเป็นปฐมและอวสาน และพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุคหนึ่งและองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสิ้นสุดยุคนั้น พระราชกิจสามช่วงระยะในยุคที่แตกต่างกันและในสถานที่ที่แตกต่างกันนั้น คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ พวกที่แยกช่วงระยะทั้งสามนี้ออกจากกันล้วนยืนต่อต้านพระเจ้า บัดนี้จำเป็นที่เจ้าจะต้องเข้าใจว่าพระราชกิจทั้งหมดจากช่วงระยะแรกจนถึงทุกวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว พระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว ไม่อาจมีข้อสงสัยในการนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) “พระองค์คือพระเจ้า ทรงเปี่ยมด้วยความปรานีและความรักมั่นคง พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์และเป็นผู้เลี้ยงของมนุษย์ แต่ก็ยังทรงเป็นการพิพากษา การตีสอน และการสาปแช่งมนุษย์ด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงสามารถนำทางมนุษย์ให้ใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกเป็นเวลาถึงสองพันปี และพระองค์ยังสามารถไถ่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจากบาปด้วยเช่นกัน ในวันนี้ พระองค์ยังสามารถพิชิตมวลมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระองค์ และปราบพวกเขาให้หมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาทั้งหมดนบนอบต่อพระองค์อย่างสุดใจ ในท้ายที่สุด พระองค์จะทรงเผาผลาญทุกสิ่งที่เป็นมลทินและไม่ชอบธรรมภายในผู้คนทั่วทั้งจักรวาลทิ้งไป เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้มีความรักและเปี่ยมความปรานีเท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ทรงมีพระปรีชาญาณและการอัศจรรย์เท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามนุษย์ด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร?

ผู้คนต่างตระหนักแล้วว่าความวิบัติครั้งใหญ่มาถึงเราแล้ว ผู้ที่คาดหวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาบนเมฆก็รอคอยด้วยลมหายใจที่แผ่วลง...

การแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จออกจากพระคริสต์แท้จริง

วันนี้ผมขอพูดถึง การแยกแยะพระคริสต์เทียมจากพระคริสต์แท้ บางคนอาจถามว่า มันเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของเรายังไง เกี่ยวค่อนข้างมากครับ...

องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงงานพิพากษาเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย

สองพันปีก่อน องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปของมวลมนุษย์ ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger