ใครเล่าที่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและปฏิวัติโชคชะตาของพวกเรา?

วันที่ 10 เดือน 10 ปี 2021

ในเรื่องโชคชะตา คนส่วนใหญ่ต่างก็อยาก มีเงินทอง สถานะ ประสบความสำเร็จ ด้วยโชคชะตาที่ดี คิดว่าคนจนไร้ชื่อเสียง ประสบหายนะ ลำบากและถูกดูแคลน นั้นมีโชคชะตาที่ไม่ดี ดังนั้น เพื่อเปลี่ยนโชคชะตา พวกเขาร้อนรนไล่ตามเสาะหาความรู้ โดยหวังว่าจะช่วยให้ได้รับความมั่งคั่ง สถานะ และเปลี่ยนชะตากรรมพวกเขา จริงหรือว่าการมีเงินทองสถานะ และความสำเร็จคือโชคชะตาที่ดี? จริงหรือว่าการประสบหายนะ ความโชคร้าย คือโชคชะตาที่ไม่ดี? คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ และยังไล่ตามเสาะหาความรู้อย่างคร่ำเคร่งเพื่อเปลี่ยนชะตากรรม ว่าแต่ความรู้เปลี่ยนโชคชะตาของบุคคลหนึ่งได้หรือ? ใครหรือที่ปฏิวัติโชคชะตาและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้จริงๆ? วันนี้ เรามาเจาะลึกคำถามข้อนี้กันครับ

ในชีวิตประจำวันเราเห็นได้ว่า คนมากมายพอมีความรู้ก็พลอยมีเงินมีสถานะไปด้วย ทั้งเจริญรุ่งเรือง และอาจถึงขั้นเป็นที่นับหน้าถือตา ประสบความสำเร็จโด่งดัง เหมือนมีโชคชะตาดีเยี่ยม แต่นั่นเป็นความจริงแน่หรือครับ? พวกเขามีความสุขจริงๆ หรือ? พวกเขาอาจมีอำนาจและอิทธิพล และดูเหมือนโด่งดัง แต่ก็ยังรู้สึกว่างเปล่าและระทมทุกข์ สูญเสียประกายชีวิต บางคนถึงขั้นเสพยาหรือฆ่าตัวตาย และบางคนก็ ใช้ประโยชน์จากอำนาจและอิทธิพลทำตามใจ ทำเรื่องผิดเรื่องชั่ว และไปจบลงในคุก เสื่อมเสียชื่อเสียง คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนไม่ใช่หรือ? ทำไมคนที่ดูมีเหตุผล เข้าใจกฎหมาย ถึงทำสิ่งที่เลวร้ายอะไรแบบนี้กันล่ะ? ทำไมพวกเขาถึงทำสิ่งที่ไร้สาระอะไรแบบนี้? ทำไมสิ่งต่างๆ ถึงเป็นแบบนั้นไปได้? ทุกวันนี้ทุกคนต้องการการศึกษา ทุกคนไล่ตามความรู้ อีกทั้ง ชนชั้นปกครองในทุกประเทศ ทุกคนต่างเป็นปัญญาชน พวกเขาทั่วโลกเป็นพวกที่ครองอำนาจและปกครองแบบนิยมความรู้ความสามารถ นั่นยืนยันเหตุผล ว่าเมื่อปัญญาชนครองอำนาจ โลกก็ควรมีอารยธรรมและมีความรักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กันแน่? มันร่วงลงสู่ความอลหม่าน โดยมีผู้คนที่คดโกง ต่อสู้ หรือถึงกับเข่นฆ่ากันเอง พวกเขาล้วนต้านทานไม่ยอมรับพระเจ้า เกลียดชังความจริง ยกย่องความชั่ว ไม่อยากกลับใจ ยั่วยุพระพิโรธพระเจ้า และความคับแค้นของมนุษย์ เกิดความวิบัติซ้ำๆ และสงครามปะทุได้ทุกเมื่อ มันชัดเจนว่า ปัญญาชนที่มีอำนาจ และการปกครองแบบนิยมความรู้ความสามารถไม่ทำให้สังคมสงบสุข แต่กลับนำความวิบัติและความทุกข์มาให้เรามากขึ้นเรื่อยๆ โรคระบาดเพิ่มสูงขึ้น สงครามปะทุไม่หยุด ตามมาด้วยแผ่นดินไหวและความอดอยาก ผู้คนหวาดกลัว ราวกับจุดจบของโลกมาถึงแล้ว เหตุผลแท้จริงของเรื่องนี้คืออะไร? ทำไมเมื่อผู้คนได้รับความรู้ ได้รับอำนาจ และสถานะ พวกเขาก็ทำเรื่องเลวร้ายมากมาย? ทำไมการมีเหล่าปัญญาชนกับการปกครองแบบนิยมความรู้ความสามารถ ถึงนำความวิบัติมากมายมาสู่ประเทศและผู้คนกันล่ะ? เรื่องนี้สมควรพิจารณามากครับ! การได้รับความรู้ทำให้เราดีขึ้นและพ้นจากบาปได้ไหม? การได้รับความรู้ทำให้เราจิตใจดี เลิกทำสิ่งไม่ดีได้ไหม? ความรู้ช่วยผู้คนให้รอดจากบาป และช่วยให้รอดจากกองกำลังของซาตานได้ไหม? ผมสงสัยมากขึ้นทุกที ว่าความรู้จะเปลี่ยนโชคชะตาได้มากแค่ไหน ทำไมหลังจากได้รับความรู้และสถานะ คนส่วนใหญ่ถึงโอหังและถือดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมยิ่งพวกเขารู้มากขึ้น ก็ยิ่งสำคัญตนมากขึ้นอีก? พออยู่ในอำนาจ พวกเขาก็หลงผิดและเผด็จการ ก่อหายนะ สร้างภัยพิบัติ ดูเหมือนว่า การศึกษาและวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าขึ้น ควรมาพร้อมกับการปกครองประเทศที่ดีขึ้น ผู้คนมีอารยะ แข็งแรงเป็นสุขมากขึ้น แต่ประเทศแบบนั้นมีอยู่จริงๆ หรือ? ไม่เคยมีเลยครับ นั่นทำให้ผู้คนต้องเกาศีรษะจริงๆ! ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “เป็นเพราะการประดิษฐ์คิดค้นทางศาสตร์สังคมต่างๆ ของมวลมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ได้กลับกลายเป็นถูกจับจองด้วยศาสตร์และความรู้ จากนั้นวิชาและความรู้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองมวลมนุษย์ และไม่มีพื้นที่พอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะนมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และไม่มีสภาพเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการนมัสการพระเจ้าอีกแล้ว ฐานะของพระเจ้าได้จมต่ำลงทุกทีในหัวใจของมนุษย์ เมื่อปราศจากพระเจ้าในหัวใจเขา โลกภายในของมนุษย์ย่อมมืดมน สิ้นหวัง และว่างเปล่า ภายหลังบรรดานักสังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักการเมืองมากมายได้ออกมาเปิดตัว แสดงทฤษฎีทางศาสตร์สังคมต่างๆ ทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการมนุษย์ และทฤษฎีอื่นๆ สารพัดซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทรงเติมหัวใจและจิตใจให้แก่มวลมนุษย์ และเช่นนี้เอง ผู้คนซึ่งเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับกลายน้อยลงตลอดเวลา และบรรดาผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการกลับมีจำนวนมากขึ้นตลอดเวลา ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับงานของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในระหว่างยุคแห่งพันธสัญญาเดิมราวกับเป็นนิทานปรัมปราและตำนานมากขึ้นทุกที ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนกลับกลายเป็นไม่แยแสต่อความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ต่อหลักความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่และทรงอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล ความอยู่รอดของมวลมนุษย์และชะตากรรมของประเทศต่างๆ และชนชาติต่างๆ ไม่มีความสำคัญกับพวกเขาอีกต่อไป และมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกอันกลวงเป็นโพรงที่กังวลใส่ใจเพียงเรื่องการกิน การดื่ม และการวิ่งไล่ตามความหรรษายินดี… มีผู้คนน้อยนิดที่คิดได้เองในการที่จะเสาะแสวงว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติงานของพระองค์อยู่ ณ ที่ใด หรือมองดูว่า พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและเป็นประธานเหนือบั้นปลายของมนุษย์อย่างไร และเช่นนี้เอง อารยธรรมของมนุษย์จึงกลายเป็นว่าสามารถสอดรับกับความปรารถนาของมนุษย์ได้น้อยลงทุกที โดยที่มนุษย์มิได้รู้ตัวเลย และมิหนำซ้ำยังมีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่า พวกเขามีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกแบบนี้น้อยกว่าบรรดาผู้ที่ตายจากไปแล้วเสียอีก แม้แต่ประชาชนของประเทศต่างๆ ที่เคยมีอารยธรรมสูงส่งก็ยังออกมาแสดงความคับข้องใจดังกล่าว ด้วยความที่ปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าบรรดานักปกครองและนักสังคมศาสตร์ จะขบคิดกันจนสมองแทบแตกอย่างไร ในอันที่จะรักษาอารยธรรมของมนุษย์เอาไว้ ก็เป็นการไร้ประโยชน์ ไม่มีใครสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของมนุษย์ได้ เพราะไม่มีใครสามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่มีทฤษฎีเชิงสังคมข้อไหนที่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความว่างเปล่าที่เขากำลังทนทรมาน ทั้งวิชา ความรู้ อิสรภาพ ประชาธิปไตย ความสบาย ความสะดวก เหล่านี้ล้วนนำการปลอบประโลมมาสู่มนุษย์ได้เพียงชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ยังคงมีบาปและคร่ำครวญถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความอยากและความต้องการของมนุษย์ในการที่จะสำรวจค้นคว้าได้… ไม่ว่าจะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถมาแทนที่ตำแหน่งและชีวิตของพระเจ้าได้ มวลมนุษย์ไม่เพียงพึงต้องมีสังคมที่ยุติธรรมซึ่งทุกคนถูกบำรุงบำเรออย่างดี และมีอิสรภาพและความเสมอภาคเท่านั้น สิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีคือ ความรอดของพระเจ้าและการจัดเตรียมชีวิตของพระองค์ที่มีให้แก่พวกเขา มีเพียงยามที่มนุษย์ได้รับการจัดเตรียมชีวิตของพระเจ้าและความรอดของพระองค์แล้วเท่านั้น ที่ความต้องการต่างๆ ความโหยหาที่จะค้นคว้าเปิดเผย และความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณของมนุษย์จะสามารถได้รับการแก้ไข หากประชาชนของประเทศหนึ่งหรือชนชาติหนึ่ง ไม่สามารถได้รับความรอดและความเอาใจใส่ของพระเจ้าแล้วไซร้ ประเทศหรือชนชาติดังกล่าวก็จะต้องย่ำเท้าไปบนถนนสู่ความเสื่อมถอย ตรงสู่ความมืดมิด และจะถูกทำลายล้างโดยพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)

พระวจนะนั้นถูกต้องมาก และนั่นเปิดเผยความจริงของเรื่องนี้จริงๆ อันที่จริงแล้วความรู้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรหรือครับ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันมาจากผู้คนที่ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยกย่องสรรเสริญตลอดประวัติศาสตร์ มีลัทธิขงจื๊อ ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ของมาร์กซ์และทฤษฎีคอมมิวนิสต์ อเทวนิยม วัตถุนิยม และทฤษฎีวิวัฒนาการ ทั้งหมดมาจาก ความคิดและทฤษฎีที่คนดังเหล่านี้เขียนในหนังสือ และเป็นรากฐานของศาสตร์และทฤษฎีสมัยใหม่ คำสอนและทฤษฎีเหล่านี้ ได้ถูกส่งเสริมโดยชนชั้นปกครองตลอดทุกยุคสมัย พวกเขาเอาใส่ในตำราเรียน และสอนในชั้นเรียน และกลายเป็นคติธรรมของมนุษยชาติ พวกเขา สั่งสอน กัดกร่อน และทำให้คนหลายรุ่นมึนงง กลายเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง เพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม มนุษย์ทั้งปวง ได้เสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การศึกษาและอิทธิพลของความรู้และวิทยาศาสตร์ และดังนั้นสังคมก็มืดมนลงและโกลาหลมากขึ้น จนถึงจุดที่พระเจ้าและมนุษย์เดือดดาล ตอนนี้ ความวิบัติเกิดบ่อยขึ้นทุกที พิบัติภัยก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สงครามใหญ่ปะทุได้ทุกเมื่อ ผู้คนอยู่ในความหวาดกลัว ราวกับกำลังเผชิญจุดจบของโลก นี่ทำให้พวกเราสงสัยกันจริงๆ ว่าจริงๆ แล้วศาสตร์และความรู้ใช่ความจริงหรือไม่ ผู้คนไล่ตามเสาะหาและยอมรับพวกมันมากขึ้นทุกที แต่พวกเขาไม่สามารถหนีจากบาป หรือเป็นสุขได้ และกลับกลายเป็นว่ายิ่งชั่วและเสื่อมทรามมากขึ้น จมลงสู่บาป และความเจ็บปวดที่หนีไม่พ้น ขอให้เรามาดู ที่แก่นแท้ที่แท้จริงของบรรดาผู้ที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ซึ่งทุกคนบูชา พวกเขาเป็นอเทวนิยม เป็นนักวิวัฒนาการผู้ไม่ยอมรับพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ หรือเชื่อว่าพระองค์ทรงครองสรรพสิ่ง โดยเฉพาะไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง ในวาทกรรมทั้งหมดของพวกเขา ไม่มีสักคำเดียวเปิดโปงความมืดมิดของสังคม ไม่มีสักคำที่เปิดโปงแก่นแท้และความเป็นจริงที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ไม่มีแม้สักคำที่เปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้ที่ชั่วของชนชั้นปกครอง หรือเป็นพยานให้แก่การดำรงอยู่และพระราชกิจของพระเจ้า หรือเป็นพยานให้แก่กิจการและความรักของพระองค์ หรือสอดคล้องกับความจริงในพระวจนะ ทุกถ้อยคำนั้นนอกรีตและเป็นเหตุผลวิบัติที่ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า ดูโดยรวมแล้ว วาทกรรมทั้งหมดเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นปกครอง นำให้หลงผิด เสื่อมทราม และทำอันตรายแก่มวลมนุษย์ และผลก็คือพวกเขานำทางมนุษย์ไปบนเส้นทางที่ชั่วและมืดมน มนุษย์กลายเป็นพวกเดียวกับซาตานซึ่งทรยศพระเจ้า บุคคลจำพวกไหนกันแน่ที่อยู่ในระดับชนชั้นปกครอง? พวกเขามีสมองและคุณธรรมหรือ? ไม่เลยสักนิด ไม่มีผู้มีคุณธรรมและมีปัญญาเลยแม้แต่คนเดียว สิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมและปัญญาของพวกเขานั้น ถูกแสดงให้เห็นแล้วว่าคืออะไร และอาชญากรรมที่พวกเขาทำอยู่หลังฉาก ก็ถูกเผยออกมาจนหมดแล้ว มีหลักฐานว่า ตลอดประวัติศาสตร์ที่ซาตานทำมนุษย์เสื่อมทรามนั้น ไม่มีผู้ปกครองที่ดีมีปัญญาเลย และผู้มีอำนาจก็จำแลงมาจากซาตานและปีศาจ แนวคิดและทฤษฎีไหนของพวกเขาหรือ ที่ได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามดิ่งลึกที่สุด? อเทวนิยม วัตถุนิยม ทฤษฎีวิวัฒนาการและคอมมิวนิสต์ พวกเขาเผยแพร่ความนอกรีตและเหตุผลวิบัตินับไม่ถ้วน ซึ่งรวมถึง “ไม่มีพระเจ้าแต่อย่างใดเลย” “ไม่เคยมีผู้ช่วยให้รอด” “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” และ “ความรู้สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเจ้าได้” สิ่งเหล่านี้หยั่งรากในหัวใจผู้คนจากวัยเยาว์และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผลสืบเนื่องคืออะไรงั้นหรือครับ? ผู้คนเริ่มปฏิเสธพระเจ้าและทุกอย่างที่มาจากพระองค์ แม้แต่เรื่องที่พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ โลก และปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับ อีกทั้งบิดเบือนความจริง โดยกล่าวว่ามนุษย์มาจากลิง ราวกับมนุษย์อยู่ชั้นเดียวกับสัตว์ ทฤษฎีไร้สาระ และเหตุผลวิบัติเหล่านี้เข้าครองจิตใจผู้คน เกาะกุมหัวใจและกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาจึงปฏิเสธพระเจ้า ออกห่างจากพระองค์ ยากที่จะยอมรับความจริง ชั่ว โอหัง และเสื่อมทรามขึ้นตลอดเวลา ขาดมโนธรรมและเหตุผล สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์เกินกว่าจะได้รับความรอด ซาตานทำมนุษย์เสื่อมทรามจนกลายเป็นปีศาจแบบนี้เอง นี่ก็คือจุดจบอันเลวร้ายของการที่ผู้คนไล่ตามและใช้ความรู้มาเปลี่ยนโชคชะตา ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่า วิชาความรู้ไม่ใช่ความจริงและเป็นชีวิตของเราไม่ได้ แต่ว่า พวกมันตรงกันข้ามกับความจริง และพวกมันไม่ลงรอยสอดคล้องกับความจริงเลย ได้แค่ทำให้เสื่อมทราม ทำร้าย และทำลายมนุษย์

แล้วทำไมจึงพูดว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง? นั่นเป็นเพราะความรู้ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม มันมาจากพวกคนที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ซึ่งมนุษย์ที่เสื่อมทรามชื่นชม เราจึงแน่ใจได้ว่า ความรู้ไม่ใช่ความจริง ข้อแรก ความรู้ไม่สามารถช่วยให้คนรู้จักตนเองหรือแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตัวเองได้ ข้อสอง ความรู้ไม่สามารถชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนให้บริสุทธิ์ แต่กลับทำให้คนโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น ข้อสาม ความรู้ไม่สามารถช่วยมนุษย์จากบาปและชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ ข้อสี่ ความรู้ไม่สามารถช่วยคนให้รู้ความจริง อีกทั้งรู้จักและนบนอบต่อพระเจ้าได้ ข้อห้า ความรู้ไม่สามารถช่วยคนให้ได้รับความสุขที่แท้จริงหรือให้ความสว่าง และให้บั้นปลายที่งดงามแก่พวกเขาได้ และดังนั้น ความรู้ไม่ใช่ความจริง และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาปหรือกำลังบังคับของซาตานไม่ได้ ดังนั้นเรามั่นใจได้ว่า ความรู้เปลี่ยนชะตาของคนไม่ได้ สิ่งที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นคือความจริง มีเพียงพระวจนะเป็นความจริง ความจริงเท่านั้นที่เป็นชีวิตของผู้คนได้ และชำระความเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์ได้ ให้พวกเขาพ้นจากบาป กลายเป็นบริสุทธิ์ มีเพียงความจริงที่เปิดโอกาสให้คนฟื้นฟูมโนธรรมและเหตุผลของพวกเขา และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง มีเพียงความจริงที่ให้ทิศทางและเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงแก่ผู้คนได้ และมีเพียงความจริงที่ช่วยให้ผู้คนรู้จักพระเจ้า ได้รับพระพร และได้รับบั้นปลายอันงดงามได้ นั่นเองจึงมีเพียงความจริงที่พระเจ้าในเนื้อหนังทรงแสดง ที่ช่วยมนุษย์จากกำลังบังคับของซาตาน ให้หันเข้าหาพระเจ้าได้ มีเพียงพระผู้ช่วยให้รอดที่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และปฏิวัติโชคชะตา ให้บั้นปลายอันวิเศษแก่เราได้ ก็แล้วทำไมความรู้ช่วยมนุษย์ให้รอดไม่ได้ล่ะ? นั่นเป็นเพราะมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักเกินไป ด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ใช้ชีวิตในอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ทำบาปและทำความชั่วอยู่เนืองๆ พวกเขาทำชั่วอะไรก็ได้ในสถานการณ์ที่ประจวบเหมาะ ทันทีที่ได้อำนาจ ก็เผยโฉมหน้า และพล่านไปทั่ว และความรู้มาจากมนุษย์ที่เสื่อมทราม มาจากซาตาน ดังนั้นความรู้ไม่ใช่ความจริง ไม่ว่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามจะเรียนรู้มากแค่ไหน ก็รู้แก่นแท้และความจริงของความเสื่อมทรามในตนไม่ได้ ไม่อาจกลับใจและหันหาพระเจ้าได้จริง ไม่มีความรู้ใด แก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของคนคนหนึ่งได้ ยิ่งเปลี่ยนอุปนิสัยเสื่อมทรามยิ่งไม่ได้เลย ไม่ว่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามจะรู้มากแค่ไหน ก็หนีบาป หรือกำลังของซาตาน และกลายเป็นบริสุทธิ์ไม่ได้ โดยไม่มีการยอมรับความจริง และนบนอบต่อพระเจ้า และไม่อาจแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของตนได้เลย ยิ่งมนุษย์มีความรู้สูงขึ้น ก็ยิ่งยอมรับความจริงยากขึ้น และยิ่งต้านทานพระเจ้าได้มากขึ้น เมื่อคนไล่ตามความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งโอหังและเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทะเยอทะยานมากขึ้น อดไม่ได้ที่จะก้าวไปบนเส้นทางแห่งบาป เพราะฉะนั้น ความรู้ได้แค่ทำให้เสื่อมทราม ทำอันตราย และทำลายคน คนมากมายไม่อาจเห็นแก่นแท้ของความรู้ หรือเห็นว่าจริงๆ แล้วมันดีสำหรับอะไร พวกเขาไม่อาจเห็นแหล่งกำเนิดที่มาของความรู้ แต่หลับหูหลับตาบูชาและไล่ตามมัน แทนที่จะไล่ตามความจริง ทำไมคนดังพวกนั้นทำชั่วมากนัก นำความทุกข์สู่ผู้คนและทำร้ายประเทศหลังจากได้อำนาจ ก่อภัยพิบัติทุกรูปแบบ กระทำเรื่องเลวร้ายเกินจะได้รับการไถ่ นั่นคือผลสืบเนื่องของการบูชาและไล่ตามความรู้ นี่แสดงว่า ความรู้ไม่อาจเปลี่ยนชะตาของบุคคลได้ และไม่ว่าใครมีความรู้สูงแค่ไหน พระเจ้าก็ช่วยให้รอดไม่ได้ หากไม่ยอมรับความจริง ไม่มีความเชื่อ พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพร หรือไม่มีโชคชะตาที่ดี ไม่ว่าความรู้จะสูงแค่ไหน แต่จะลงนรกเมื่อตาย พระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์ทรงกำหนดชะตามนุษย์ ดังนั้น ใครที่พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบ หรืออวยพร ไม่อาจมีโชคชะตาที่ดีได้ แต่ถูกสาปให้ย่อยยับ พินาศ ตกนรก

ตอนนี้ ผู้มีปัญญาหยุดยกย่องสรรเสริญความรู้แล้ว แต่รอให้พระผู้ช่วยให้รอด องค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์ เสด็จลงมาช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่มีใครหวังว่าคนเด่นดังจะช่วยมนุษย์ให้รอด พวกเขาช่วยตัวเองให้รอดยังไม่ได้ แล้วจะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ยังไง ข้อเท็จจริงเหล่านี้เผยว่า ความรู้รับประกันโชคชะตาที่ดีไม่ได้ และพัฒนาการผ่านความรู้ก็ไร้สาระ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป และกำลังของซาตานได้ พระผู้ช่วยให้รอดซึ่งแสดงความจริงเท่านั้น ที่นำทางเราบนเส้นทางแห่งความสว่างได้ การยอมรับความจริงทั้งมวลที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงเท่านั้น ทำให้เราเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามของซาตานจนพระเจ้าช่วยเราให้รอดได้ และได้ความเห็นชอบและพระพรจากพระองค์ นี่เป็นทางเดียวที่เปลี่ยนโชคชะตาของเราโดยสมบูรณ์ ชัดเจน ว่าการเปลี่ยนชะตาคน เกิดเมื่อยอมรับงานและการทรงปรากฏของพระผู้ช่วยให้รอด เกิดขึ้นโดยการยอมรับความจริงที่พระผู้ช่วยให้รอดแสดงในยุคสุดท้าย และโดยการถูกชำระให้สะอาดผ่านการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย พูดให้เรียบง่ายก็คือ ทางเดียวที่จะปฏิวัติโชคชะตาของใครก็คือการยอมรับความจริง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นสถาปนิกแห่งวัฒนธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปลอบประโลมมวลมนุษย์นี้ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงดูแลเอาใจใส่มวลมนุษย์นี้ทั้งคืนและวัน พัฒนาการและความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นไม่สามารถแยกออกจากอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าได้ และประวัติศาสตร์และอนาคตของมวลมนุษย์เองก็หาได้พ้นไปจากการออกแบบของพระเจ้า หากเจ้าเป็นคริสตชนแท้คนหนึ่ง เจ้าย่อมจะเชื่ออย่างแน่นอนว่า ความรุ่งเรืองและความตกต่ำของประเทศใดหรือชนชาติใดก็ตามอุบัติขึ้นตามการออกแบบของพระเจ้า พระเจ้าแต่เพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงรู้ชะตากรรมของประเทศหรือชาตินั้น และพระเจ้าเพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงควบคุมครรลองของมวลมนุษย์นี้ หากมวลมนุษย์ปรารถนาจะมีชะตากรรมที่ดี หากประเทศหนึ่งปรารถนาจะมีชะตากรรมที่ดี มนุษย์ก็จะต้องกราบไหว้พระเจ้าเพื่อนมัสการ กลับใจ และสารภาพต่อพระพักตร์ของพระเจ้า หรือหากไม่เช่นนั้น ชะตากรรมและปลายทางของมนุษย์ก็จะต้องเป็นมหันตภัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)

ตอนนี้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ปัญญาชนช่วยตัวเองให้รอดยังไม่ได้ จะช่วยมนุษย์ให้รอดได้ยังไง? มีเพียงพระผู้ช่วยให้รอดที่ช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ และนำความสว่าง ความสุข และบั้นปลายอันงดงามมาสู่มวลมนุษย์ แล้วใครคือพระผู้ช่วยให้รอดล่ะ? ไม่มีข้อสงสัย ว่าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เสด็จมาเพื่อทรงงานแห่งความรอด คือพระผู้ช่วยให้รอด เราพูดได้ ว่าพระผู้ช่วยให้รอดคือร่างจำแลงของพระเจ้า นุ่งห่มเนื้อหนังมนุษย์ นั่นคือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมา พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์สองครั้งเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดเพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ สองพันปีก่อน ทรงบังเกิดเป็นองค์พระเยซูเจ้า และเทศนา “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) ทรงแสดงความจริงมากมาย และสุดท้ายก็ถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่ให้มวลมนุษย์ เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้มนุษย์ แสดงถึงความรักของพระเจ้าชัดเจน ผู้คนจากทั่วโลกยอมรับองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด สารภาพและกลับใจ และได้รับการยกโทษบาป พวกเขาชื่นชมสันติสุขที่พระเจ้าประทานให้ พร้อมกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพื่อองค์พระเยซูเจ้าเสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่ ได้ทรงเผยพระวจนะว่า “เราจะมาในเร็วๆ นี้” และ “บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” “เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44) นั่นเอง ทุกคนที่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้า ต่างเฝ้ารอพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาในยุคสุดท้าย เพื่อพาไปยังอาณาจักรสวรรค์ องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง(ยอห์น 17:17) ตามคำเผยพระวจนะ พระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย และแสดงความจริงเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาด เพื่อนำมวลมนุษย์เข้าสู่บั้นปลายอันงดงาม ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งปรากฏต่อมนุษย์ แล้วเราควรต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดกันยังไง? องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา(ยอห์น 10:27)ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7) องค์พระเยซูเจ้าทรงย้ำเราซ้ำๆ ว่ากุญแจสู่การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการฟังเสียงของพระเจ้า และยอมรับความจริงที่ทรงแสดงในยุคสุดท้าย บัดนี้ ความวิบัติอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว เราเห็นได้ว่าทั่วโลก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นแสดงความจริงที่ช่วยมนุษย์ให้รอด มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดำรัสความจริง นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา คือพระผู้ช่วยให้รอดที่มาช่วยมนุษย์ให้รอดในยุคสุดท้าย นี่เป็นข่าวดีอย่างใหญ่หลวงครับ ทางเดียวที่เราจะเปลี่ยนโชคชะตาได้คือการยอมรับพระผู้ช่วยให้รอด และยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริง ซึ่งอยู่ในหนังสือพระวจนะอย่างเช่นพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ รวมทั้งสิ้นเป็นล้านๆ คำ เป็นความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่องานพิพากษาในยุคสุดท้าย และรวมกันแล้วมากมายกว่าความจริงที่พระเจ้าได้ทรงแสดงในยุคธรรมบัญญัติ และยุคพระคุณ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เปิดเผยข้อล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์เปิดเผยข้อล้ำลึกของพระคัมภีร์ที่ผู้คนไม่เคยเข้าใจ และได้เปิดเผยความจริงแห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์และธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าของเรา นี่ทำให้เราเห็นรากเหง้าของความเปี่ยมบาปและความจริงของความเสื่อมทรามของเรา ผู้คนเชื่อสนิทใจเมื่อเผชิญข้อเท็จจริงนี้ และเริ่มเกลียดตัวเอง เกิดความเสียใจ และกลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้า ยังแสดงความจริงทั้งมวลด้วยว่าผู้คนต้องปฏิบัติและเข้าไปสู่ เพื่อให้อยู่ได้โดยพระวจนะ และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์และสภาพเสมือนความจริง นั่นเป็นทางเดียวที่จะได้รับพระสัญญาและพระพร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงมากมาย เพื่อชำระให้มนุษย์บริสุทธิ์จากความเสื่อมทราม และให้รอดจากกำลังบังคับของซาตาน เราจะได้หันเข้าหาและรู้จักพระเจ้า ความจริงเหล่านี้เป็นหลักการแท้จริงเดียวสำหรับชีวิตและคำสอนเพื่อได้รับความรอด และเพียงพอจะเปลี่ยนโชคชะตาตั้งแต่มูลฐาน ให้ผู้คนได้รับการเข้าสู่บั้นปลายอันงดงาม ราชอาณาจักร เหล่าความวิบัติครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทางเดียวให้ความหวังที่ดีเป็นจริงคือการยอมรับการปรากฏและงานของพระผู้ช่วยให้รอด ยอมรับความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงคือทางเดียวให้ได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า เพื่อรับการทรงอารักขาและพระพรให้รอดผ่านความวิบัติครั้งใหญ่ และเข้าสู่ราชอาณาจักร หากผู้คนไม่ยอมรับความจริงที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดง แต่รอให้พระเจ้าเทียมเท็จในความคิด หรือวิญญาณชั่วมาช่วยให้รอดจากความวิบัติ นั่นเป็นเพียงมายา พวกเขาจะจบลงด้วยมือเปล่า ไม่ได้รับอะไรจากความพยายาม พระเจ้าเท็จ วิญญาณชั่วช่วยคนไม่ได้ มีเพียงพระเจ้าในเนื้อหนัง พระผู้ช่วยให้รอดที่ช่วยมนุษย์ให้รอดได้ และเป็นทางเดียวให้ผู้คนได้รับโชคชะตาและบั้นปลายที่ดี พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่ตรัสโดยพระคริสต์คือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งนำพามาโดยพระคริสต์เป็นคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดไปตลอดกาล พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้ อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์ เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้ พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้ หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงงานพิพากษาเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย

สองพันปีก่อน องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปของมวลมนุษย์ ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป...

พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร?

ผู้คนต่างตระหนักแล้วว่าความวิบัติครั้งใหญ่มาถึงเราแล้ว ผู้ที่คาดหวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาบนเมฆก็รอคอยด้วยลมหายใจที่แผ่วลง...

องค์พระเยซูเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เมื่อพระองค์ตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว”?

คริสตชนเชื่อว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสบนไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” คือการตรัสว่าพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว...

ติดต่อเราผ่าน Messenger