สิ่งที่คนซื่อสัตย์เป็น และเหตุที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนซื่อสัตย์

วันที่ 27 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าทรงโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์ ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์ สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก แต่สำหรับพวกเจ้า มันลำบากยากเข็ญเป็นเท่าทวีคูณ ผู้คนมากมายเลือกที่จะถูกประณามสาปแช่งให้ไปลงนรกดีกว่าให้พูดและกระทำด้วยความซื่อสัตย์ จึงไม่ต้องประหลาดใจที่เรามีวิธีปฏิบัติอีกแบบซึ่งเตรียมไว้สำหรับรับมือกับคนพวกที่ไม่มีความซื่อสัตย์ แน่นอนว่า เรารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่ามันลำบากยากเย็นแค่ไหนสำหรับพวกเจ้าที่จะมีความซื่อสัตย์ เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนแยบยลนัก เก่งมากในเรื่องการวัดผู้คนด้วยไม้บรรทัดอันเล็กจิ๋วของเจ้าเอง นี่ทำให้งานของเรายิ่งมีความเรียบง่ายขึ้น และด้วยความที่พวกเจ้าแต่ละคนล้วนกกกอดความลับแนบไว้กับอก เช่นนั้นก็ดีแล้ว เราจะส่งพวกเจ้าไปสู่ความวิบัติเรียงทีละคน ให้ “เข้าโรงเรียน” ด้วยเพลิงอัคคี เพื่อที่หลังจากนั้น พวกเจ้าอาจมั่นใจได้อย่างสิ้นเชิงต่อการเชื่อของเจ้าในวจนะของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราจะกระชากเอาคำว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความสัตย์ซื่อ” ออกมาจากปากของพวกเจ้า ทันทีหลังจากนั้น พวกเจ้าจะตีอกชกหัวและพิลาปรำพันว่า “ที่เคี้ยวคดนั่น คือหัวใจของมนุษย์!” จิตใจของพวกเจ้าจะอยู่ในสภาวะใดหรือ ณ เวลานี้? เราจินตนาการว่า เจ้าจะไม่รู้สึกมีชัยดังที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ และนับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความ “ลุ่มลึกและยากที่จะเข้าใจ” ดังที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในการสถิตของพระเจ้านั้น ผู้คนบางคนช่างสงบเสงี่ยมสำรวมไปเสียทั้งหมด พวกเขาอุตสาหะต่อการเป็นผู้ “ประพฤติดี” กระนั้น พวกก็ยังแยกเขี้ยวและเงื้อง่ากรงเล็บใส่กันในการสถิตของพระวิญญาณ พวกเจ้าจะจัดอันดับผู้คนแบบนี้ให้อยู่ท่ามกลางลำดับชั้นของคนซื่อสัตย์อย่างนั้นหรือ? หากเจ้าเป็นคนประเภทหน้าซื่อใจคดคนหนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีทักษะใน “สัมพันธภาพระหว่างบุคคล” เมื่อนั้นเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ช่างพยายามล้อเล่นกับพระเจ้าโดยแน่แท้ หากคำพูดของเจ้าพรุนไปด้วยข้อแก้ตัวกับเหตุผลข้ออ้างที่ไร้คุณค่า เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ลังเลไม่เต็มใจจะนำความจริงมาปฏิบัติ หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะบรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย หากการแสวงหาหนทางแห่งความจริงสร้างความยินดีให้กับเจ้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครบางคนที่อาศัยอยู่ในความสว่างตลอดเวลา หากเจ้าเปรมปรีดิ์มากเหลือเกินที่ได้เป็นคนปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานอย่างขยันขันแข็งและมีมโนธรรมอยู่เพียงเบื้องหลังไม่เสนอหน้า เป็นผู้ให้เสมอและไม่เคยเป็นผู้รับเลย เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือวิสุทธิชนผู้จงรักภักดี เพราะเจ้าไม่แสวงหาบำเหน็จ และเป็นเพียงบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนซื่อตรงเปิดเผย หากเจ้าเต็มใจที่จะสละทั้งหมดที่เป็นของเจ้า หากเจ้าสามารถพลีอุทิศชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานของเจ้า และหากเจ้ามีความซื่อสัตย์จนถึงจุดที่เจ้ารู้เพียงการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และไม่มัวพิจารณาตัวเจ้าเอง หรือรับไว้เพื่อตัวเจ้าเองเช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า ผู้คนเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงในความสว่าง และเป็นผู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดกาลในราชอาณาจักรแห่งนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ

เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงต่อผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้ เมื่อขาดความเชื่อที่แท้จริง เจ้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความรักที่แท้จริงขึ้นไปอีก และหากเจ้ามีแนวโน้มที่จะสงสัยในพระเจ้าและคาดเดาพระองค์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าย่อมเป็นผู้ที่หลอกลวงที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งมวล เจ้าคาดเดาว่าพระเจ้าทรงสามารถเป็นเช่นมนุษย์ได้หรือไม่: มีบาปซึ่งไม่สามารถอภัยให้ได้ มีลักษณะนิสัยที่ใจแคบ ไร้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเหตุผล ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม หมกมุ่นในยุทธวิธีที่ชั่วร้าย ทรยศและเจ้าเล่ห์ พอใจในความชั่วและความมืด เป็นต้น เหตุผลที่ผู้คนมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งความรู้ในพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ? ความเชื่อเช่นนั้นไม่ต่างอะไรไปจากบาป! มีกระทั่งบางคนที่เชื่อว่าบรรดาผู้ที่ทำให้เราพอใจก็คือบรรดาผู้ที่ยกยอปอปั้นและเลียแข้งเลียขานั่นเอง และเชื่อว่าบรรดาผู้ที่ขาดทักษะต่างๆ เช่นนั้นจะไม่ได้รับการต้อนรับในพระนิเวศของพระเจ้า และจะสูญเสียที่ของพวกเขาที่นั่น นี่คือความรู้เพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้าได้รับเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ? นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้หรือ? และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์ นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า ความเชื่อเช่นเดียวกับของพวกเจ้านั้นมีแต่จะทำให้พวกเจ้าไถลห่างจากเรามากขึ้นและอยู่ในสภาวะของการต่อต้านเรามากขึ้นเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

เราได้ยึดมนุษย์ไว้กับมาตรฐานที่เคร่งครัดมาโดยตลอด หากความจงรักภักดีของเจ้ามาพร้อมกับเจตนาและสภาพเงื่อนไขนานาสารพัน เช่นนั้นแล้วเราน่าจะอยู่โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าความจงรักภักดีของเจ้าจะดีเสียกว่า เพราะเราชิงชังพวกที่หลอกลวงเราผ่านเจตนาทั้งหลายของพวกเขาและบีบคั้นเราด้วยสภาพเงื่อนไขนานาสารพัน เราหวังเพียงให้มนุษย์นั้นจงรักภักดีต่อเราอย่างบริบูรณ์ และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์—และเพื่อพิสูจน์—คำๆเดียว นั่นก็คือความเชื่อ เราดูหมิ่นการใช้คำประจบสอพลอทั้งหลายของพวกเจ้าเพื่อพยายามทำให้เราชื่นบาน เพราะเรานั้นปฏิบัติต่อพวกเจ้าด้วยความจริงใจเสมอมา และดังนั้นจึงหวังให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อเราด้วยความเชื่อที่แท้จริงเช่นเดียวกัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

สิ่งใดคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์? ประเด็นหลักของเรื่องคือการปฏิบัติความจริงในทุกสรรพสิ่ง หากเจ้าพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักจะเก็บพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้ก่อน และทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการเสมอ เช่นนั้นแล้วนี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ? เจ้าพูดว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ แต่ฉันซื่อสัตย์ที่ใจ” อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่ตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวความทุกข์ หรือกลัวว่าหากเจ้าไม่ทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างดี เจ้าก็จะต้องแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นเจ้าจึงทำการแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่นั้น และแนะนำผู้อื่นให้ทำหน้าที่นั้น นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ? ชัดเจนว่าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร? พวกเขาควรยอมรับและเชื่อฟัง และจากนั้นก็ทุ่มเทอุทิศอย่างถึงที่สุดในการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดความสามารถของพวกเขา โดยเพียรพยายามที่จะประจวบพ้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า การนี้ได้รับการแสดงออกในหลายหนทาง หนทางหนึ่งคือเจ้าควรยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด และไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ จงอย่าวางอุบายเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ อีกหนทางหนึ่งคือการทุ่มเทเรี่ยวแรงและหัวใจของเจ้าทั้งหมดลงไปในหน้าที่นั้น เจ้าพูดว่า “นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะนำทั้งหมดนี้มาใช้ และทุ่มเทอุทิศมันอย่างครบบริบูรณ์แด่พระเจ้า” นี่ไม่ใช่การแสดงออกของความซื่อสัตย์หรือ? เจ้าทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามีและทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้—นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามี หากเจ้าซ่อนเร้นและซุกซ่อนมันไว้ และปลิ้นปล้อนในการกระทำทั้งหลายของเจ้า เลี่ยงหนีหน้าที่ของเจ้า และให้ผู้อื่นทำ เพราะเจ้ากลัวที่จะต้องแบกรับผลสืบเนื่องจากการไม่ทำการงานอย่างดี เช่นนั้นแล้วนี่คือการเป็นคนซื่อสัตย์หรือ? ไม่ นั่นไม่ใช่ เพราะฉะนั้น การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์จึงไม่เพียงแค่เป็นเรื่องของการมีความพึงปรารถนา หากเจ้าไม่นำมันไปปฏิบัติเมื่อสิ่งต่างๆบังเกิดแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์ เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหา เจ้าต้องปฏิบัติความจริง และมีการแสดงออกที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นี่เป็นหนทางเดียวในการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และเหล่านี้เท่านั้นเป็นการแสดงออกของหัวใจที่ซื่อสัตย์ ผู้คนบางคนรู้สึกว่า เพื่อที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เพียงแค่การพูดความจริงและไม่พูดโกหกก็เพียงพอแล้ว คำจำกัดความของการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นแคบเหลือเกินจริงๆ หรือ? ไม่จริงโดยสิ้นเชิง เจ้าต้องเปิดเผยหัวใจของเจ้า และถวายให้กับพระเจ้า นี่คือท่าทีที่บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรจะมี เพราะฉะนั้น ความซื่อสัตย์จึงล้ำค่ามากเหลือเกิน สิ่งใดคือความหมายโดยนัยตรงนี้? คือการที่หัวใจนี้มีความสามารถที่จะควบคุมพฤติกรรมของเจ้าและควบคุมสภาวะของเจ้าได้ หัวใจดวงนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนัก หากเจ้ามีความซื่อสัตย์ชนิดนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าควรดำรงชีวิตในสภาวะชนิดนี้ แสดงพฤติกรรมชนิดนี้ และมีการสละชนิดนี้

ตัดตอนมาจาก “เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

หากเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และยิ่งมีผู้คนมามาติดต่อกับเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเท่านั้น—ซื่อสัตย์ในคำพูดของเจ้า ซื่อสัตย์กับผู้อื่น และซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือ เจ้าเป็นบุคคลที่ชัดเจนและโปร่งใส โปร่งใสในคำพูดและความประพฤติของเจ้า และโดยผ่านทางสิ่งที่เจ้าพูดและทำ โดยผ่านทางทรรศนะที่เจ้าแสดงออก โดยผ่านทางหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ และโดยผ่านทางท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้าเมื่อเจ้าพูดคุยกับผู้อื่น ผู้อื่นสามารถมองหัวใจของเจ้า บุคลิกลักษณะของเจ้า และอุปนิสัยและการไล่ตามเสาะหาของเจ้า รวมทั้งความใฝ่สูงและเป้าหมายทั้งหลายในส่วนในสุดของเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และเห็นว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าได้เชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ผู้คนรู้สึกว่าเจ้าไม่โปร่งใสในวาทะของเจ้าและไม่สามารถบอกทรรศนะของเจ้าได้อย่างแน่ชัด และเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหัวใจของเจ้าหรือเจตนาและจุดประสงค์ส่วนในสุดของเจ้าได้ และเจ้าเป็นบุคคลที่มีความลับ เก่งมากในการปกปิดตัวเอง ในการห่อหุ้มตัวเอง ในการปลอมแปลงตัวเองและสร้างบรรจุภัณฑ์ให้ตัวเองอย่างดี และผู้อื่นที่ได้ติดต่อกับเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ยังคงไม่สามารถมองหัวใจของเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งได้ แต่เพียงแค่สามารถรับรู้ความรู้สึกในกระแสอารมณ์และบุคลิกลักษณะของเจ้าได้เท่านั้น และรู้ว่าเจ้ามีกระแสอารมณ์ที่เดือดพล่านหรือไร้อารมณ์ หรือว่าเจ้าเป็นคนประเภทนายว่าขี้ข้าพลอยหรือไม่—หากพวกเขาสามารถมองเห็นได้เพียงแค่บุคลิกลักษณะของเจ้าเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งใดคือแก่นแท้ของอุปนิสัยส่วนลึกที่สุดของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเดือดร้อน การนี้พิสูจน์สิ่งใด? การนี้พิสูจน์ว่าหัวใจของเจ้ายังคงถูกซาตานควบคุม ว่าเจ้ายังไม่ได้รับความจริงแม้แต่เล็กน้อย และว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย เป็นการยากลำบากมากที่บุคคลเช่นนั้นจะได้รับการช่วยให้รอด ทั้งที่มีข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขานั้นหลบหลีกเก่งและสามารถพูดดักทางผู้อื่นได้ และฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบ และพวกเขาก็เก่งในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ใครก็ตามที่ทำงานกับพวกเขาได้รับความรู้สึกถึงความไม่แน่นอน ถึงความไม่น่าเชื่อถือ ถึงความไม่น่าไว้วางใจเสมอ—สำนึกที่ว่าต้องไม่ไว้วางใจพวกเขา ผู้คนที่ทำงานกับพวกเขารู้สึกว่าเหมือนพวกเขามีอะไรมากกว่าที่ผู้อื่นรู้เห็น เป็นบางสิ่งที่ไม่อาจพินิจพิเคราะห์ได้ นี่ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงเน้นย้ำเสมอว่าผู้คนควรซื่อสัตย์? เพราะการนั้นสำคัญมาก และการนั้นสัมพันธ์โดยตรงกับการที่เจ้าสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันโอหัง มองตนเองชอบธรรมเสมอ ฉันอารมณ์ร้อน ฉันเปิดโปงความเป็นธรรมชาติของฉันบ่อยครั้ง ฉันเป็นคนผิวเผินและถือดี ฉันรักที่จะทำให้ผู้คนหัวเราะ ฉันต้องการการรับรองจากผู้อื่นเสมอ…” เหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย จงอย่าเอาแต่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยเหล่านั้นไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ โดยไม่คำนึงถึงอุปนิสัยหรือบุคลิกภาพของเจ้า ตราบเท่าที่เจ้ามีความสามารถที่จะซื่อสัตย์ดังที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เจ้าย่อมสามารถได้รับการช่วยให้รอด แล้วพวกเจ้าว่าอย่างไรกันเล่า การซื่อสัตย์สำคัญหรือไม่? นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด และดังนั้นจึงเป็นว่า ในบทตอนของพระวจนะของพระเจ้า การตักเตือนสามประการ พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการซื่อสัตย์ ทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงว่า พระเจ้าทรงพูดคุยเกี่ยวกับวิธีดำรงชีวิตในจิตวิญญาณ วิธีดำรงชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณปกติ หรือวิธีดำรงชีวิตคริสตจักรที่ถูกต้องเหมาะสม หรือวิธีดำรงชีวิตไปตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติในบริบทอื่นๆ ไม่มีที่ใดเลยที่พระองค์ทรงบอกแก่ผู้คนอย่างชัดแจ้งว่า จะต้องเป็นบุคคลชนิดใด หรือบอกวิธีปฏิบัติ—แต่ในการพูดคุยเกี่ยวกับการซื่อสัตย์ พระองค์ทรงแสดงเส้นทางแก่ผู้คน และทรงบอกแก่พวกเขาถึงวิธีนำเส้นทางนั้นไปสู่การปฏิบัติ การนี้ชัดแจ้งเป็นอย่างมาก พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะบรรลุความรอดโดยง่าย” การซื่อสัตย์สัมพันธ์กับการบรรลุความรอด พวกเจ้าว่าอย่างไรกันเล่า การซื่อสัตย์สำคัญหรือไม่? (สำคัญ) สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือผู้คนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าสามารถที่จะโกหกและหลอกลวง เจ้าย่อมเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง คดโกง และมีลับลมคมนัย และไม่ใช่บุคคลซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่ใช่บุคคลซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ย่อมไม่มีโอกาสที่พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอด และเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด เจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นใครคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์ และเจ้าพูดว่าเจ้าเปี่ยมศรัทธาเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ว่าเจ้าไม่โอหังหรือมองตนเองชอบธรรมเสมอ ว่าเจ้ามีความสามารถเป็นอย่างดีที่จะจ่ายราคา หรือว่าเจ้าสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐและนำพาผู้คนมากมายมาสู่พระเจ้า แต่เจ้าไม่ซื่อสัตย์ และเจ้ายังคงเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เจ้าสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? (ไม่สามารถ) และดังนั้นแล้ว พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าย้ำเตือนพวกเราแต่ละคนว่า เพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด ก่อนอื่นพวกเราต้องซื่อสัตย์โดยสอดคล้องกับพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า พวกเราต้องเปิดกว้างตัวพวกเราเอง ตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา มีความสามารถที่จะตีแผ่เหตุจูงใจและความลับของพวกเรา และค้นหาหนทางแห่งความสว่าง

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนซื่อสัตย์ย่อมพิสูจน์ว่า โดยแท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเกลียดพวกที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และว่าพระองค์ไม่ทรงโปรดผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ไม่ทรงโปรดผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นหมายความว่า พระองค์ทรงไม่ชอบการกระทำ อุปนิสัย และแรงจูงใจทั้งหลายของพวกเขา นั่นก็คือ พระองค์ไม่ทรงโปรดหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้น หากพวกเราจะทำให้พระเจ้าทรงยินดี ก่อนอื่น พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำของพวกเราและหนทางที่พวกเราดำรงอยู่ในนั้นเสียก่อน ก่อนหน้านี้ พวกเราได้พึ่งพาคำโกหกและข้ออ้างเพื่อดำรงชีวิตท่ามกลางผู้คน โดยใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุนของพวกเราและเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่ ชีวิต และรากฐานซึ่งพวกเราใช้ในการประพฤติตัวเอง นี่เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่น ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในโลก หากเจ้าไม่รู้วิธีมีเล่ห์เหลี่ยมและมีเล่ห์ลวง เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นการลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าที่จะตั้งมั่น เจ้าจะสามารถแค่เพียงบอกคำโกหก กระทำเล่ห์เหลี่ยม และใช้วิธีการอันเป็นการสมคบคิดและเคลือบแฝง เพื่อปกป้องและพรางตัวเจ้าเองเพื่อที่จะได้มาซึ่งชีวิตที่ดีกว่าเท่านั้น ในพระนิเวศของพระเจ้า แน่นอนว่านั่นเป็นตรงกันข้าม กล่าวคือ ยิ่งเจ้ามีเล่ห์ลวงมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าใช้การมีเล่ห์เหลี่ยมอันซับซ้อนมากขึ้นเท่าใดเพื่อเสแสร้งและอำพรางตัวเจ้าเอง เจ้าก็ยิ่งมีความสามารถที่จะตั้งมั่นน้อยลงเท่านั้น และพระเจ้าก็ยิ่งทรงดูหมิ่นและทรงบอกปัดเจ้ามากขึ้นเท่านั้น พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าว่า มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ หากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ และหากในชีวิตของเจ้า การปฏิบัติของเจ้าไม่มุ่งตรงไปยังการซื่อสัตย์ และเจ้าไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันมีโอกาสอันใดที่จะได้รับพระราชกิจหรือการสรรเสริญของพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

พระเจ้าตรัสบอกผู้คนไม่ให้เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง แต่ให้ซื่อสัตย์ ให้พูดอย่างซื่อสัตย์ และทำสิ่งทั้งหลายที่ซื่อสัตย์ นัยสำคัญของการที่พระเจ้าตรัสการนี้คือ การเปิดโอกาสให้ผู้คนมีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง เพื่อให้พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนของซาตานที่พูดเหมือนงูเลื้อยไปตามพื้น พูดกำกวมอยู่เสมอ บดบังความจริงในเรื่องนั้น กล่าวคือ พระเจ้าตรัสบอกเช่นนั้นเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและเที่ยงตรงได้ทั้งในคำพูดและความประพฤติ โดยปราศจากด้านมืด ปราศจากสิ่งที่น่าอับอาย ด้วยหัวใจที่สะอาด ด้วยสิ่งภายนอกที่สอดคล้องกับสิ่งภายใน พวกเขาพูดสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่เล่นไม่ซื่อกับผู้ใดหรือเล่นไม่ซื่อกับพระเจ้า โดยไม่ปิดบังสิ่งใด ด้วยหัวใจดุจดังผืนดินที่บริสุทธิ์ของพวกเขา นี่คือวัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์

ตัดตอนมาจาก “มนุษย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เฉพาะเมื่อผู้คนพยายามซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถรู้ว่าพวกเขาเสื่อมทรามลึกเพียงใด และพวกเขามีความเหมือนมนุษย์ใดๆ หรือไม่ มีเพียงเมื่อพวกเขากำลังปฏิบัติความซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นตระหนักรู้ว่าพวกเขาพูดโกหกกี่ครั้งและความหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ลึกเพียงใด ในขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถค่อยๆ มารู้จักความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเอง และระลึกรู้แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเอง และเมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจึงจะสามารถชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์ได้ เฉพาะในระหว่างที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากำลังถูกชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์เท่านั้นที่ผู้คนจะมีความสามารถที่จะได้รับความจริง จงใช้เวลาของพวกเจ้าตามสบายในการมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงรับเจ้าไว้ ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย หากเจ้าไม่สามารถได้รับพระเจ้า และเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วนี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้า เจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า และหากพระเจ้าไม่ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถบรรลุความรอดได้ หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความรอดได้ เจ้าก็จะเป็นศัตรูที่ขมขื่นของพระเจ้าตลอดไป และบทอวสานของเจ้าก็จะถูกกำหนด ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ มีหมายสำคัญหนึ่งซึ่งบ่งบอกถึงบรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงรับไว้ในท้ายที่สุด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด? สิ่งนี้ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ว่า “และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ” “พวกเขา” คือผู้ใด? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมและทรงรับไว้ และได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าทรงพรรณนาผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร? สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะและการแสดงออกของการกระทำของพวกเขา? (พวกเขาไม่มีตำหนิ พวกเขาไม่พูดโกหก) พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจและจับความเข้าใจว่าการไม่พูดโกหกหมายถึงสิ่งใด กล่าวคือ หมายถึงการเป็นคนซื่อสัตย์ สิ่งใดคือความหมายของการไม่มีตำหนิ? พระเจ้าทรงนิยามใครบางคนที่ไม่มีตำหนิไว้อย่างไร? บรรดาผู้ที่ไม่มีตำหนิมีความสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ พวกเขาเป็นบรรดาผู้ที่สามารถยึดปฏิบัติตามหนทางของพระเจ้าได้ ผู้คนเช่นนี้มีความเพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่มีตำหนิ

ตัดตอนมาจาก “หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger