สิ่งที่คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเป็น และวิธีที่พวกเขาสำแดง

วันที่ 27 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

เมื่อผู้คนดำรงชีวิตภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด พวกเขาจะแสร้งสวมบทบาท สร้างภาพให้ตัวเองดูดี และหันไปพึ่งเล่ห์กลใต้โต๊ะ ทั้งนี้ พวกเขาจะใช้เล่ห์ลวงในทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่คุ้มกับการปฏิบัติเล่ห์ลวงและการเล่นกุศโลบาย มีผู้คนที่เก็บงำเล่ห์ลวงแม้ในยามที่ทำบางสิ่งที่ธรรมดาอย่างเช่นการซื้อ ตัวอย่างเช่น บุคคลนี้ซื้อรองเท้าที่ทันสมัยมากคู่หนึ่ง เขาคิดว่า “หากพี่น้องชายหญิงเห็นฉันสวมรองเท้าคู่นี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะพูดว่าฉันไม่ได้ใช้เงินของฉันไปกับสิ่งของที่ควรค่า ดังนั้นฉันจะไม่สวมรองเท้าคู่นี้ต่อหน้าพวกเขา ฉันจะรอสวมรองเท้าคู่นี้เมื่อพวกเราไม่มีการชุมนุม และก่อนที่จะสวมรองเท้าคู่นี้ ฉันจะรอจนกระทั่งรองเท้าคู่นี้ไม่นำสมัยแล้วและไม่ดูเหมือนว่ารองเท้าคู่นี้มีค่าอันใดเลย” ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อการนี้อย่างไร—ไม่ว่าเจ้าจะมองการนี้อย่างไร—เจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติเล่ห์ลวงด้วยกรอบความคิดแบบคิดคำนวณนี้ของเจ้าหรอกหรือ? เจ้าดำรงชีวิตในเล่ห์ลวงอยู่แล้ว เจ้าได้ตระเตรียมที่จะปฏิบัติตนในหนทางนี้อยู่แล้ว ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าเจ้าจึงปฏิบัติเล่ห์ลวง? เจ้ากำลังถูกแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของเจ้าเองควบคุมอยู่หรือไม่? จุดมุ่งหมายเหล่านี้ของเจ้ามีเหตุผลหรือไม่? อะไรคือแก่นแท้ของจุดมุ่งหมายเหล่านี้? เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้านั่นเองที่กำลังควบคุมเจ้าอยู่ ใช่หรือไม่? เจ้ารับเอากลลวงบางอย่างมาใช้และปฏิบัติเล่ห์ลวงเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้า เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? เจ้าปฏิบัติตนในหนทางหนึ่งต่อหน้าผู้คนและในอีกหนทางหนึ่งลับหลังพวกเขา เจ้ากำลังหัวหมอ เล่นบทนกสองหัว—พฤติกรรมจำพวกนี้คือการปฏิบัติเล่ห์ลวง พวกเจ้าจะพูดอะไรกับการนี้หรือ ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นโง่เขลา ใช่หรือไม่? เหตุใดจึงเป็นว่า ทันทีที่ผู้คนบางคนถูกขอให้ชำแหละตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็รู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะอุบายฉลาดแกมโกงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นของพวกเขาปรากฏให้เห็นเป็นโง่เขลา งุ่มง่าม และต่ำศักดิ์—อุบายเหล่านั้นน่าอายเกินกว่าที่จะแสดงให้ผู้อื่นดู อุบายเหล่านั้นเป็นการจัดการอันมีพิรุธน่าสงสัยของผู้คนที่ต่ำช้า กิจการงานของผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อให้ทุกคนเห็นได้เลย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า? เพราะในจังหวะที่พวกเขากำลังจะตีแผ่ตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า “ฉันจะโง่เขลาถึงขนาดที่ทำการนั้นไปได้อย่างไรกัน? ฉันจะน่าขยะแขยงขนาดนั้นไปได้อย่างไรกัน?” แม้กระทั่งพวกเขาก็ยังรู้สึกขยะแขยงตัวเอง แต่เมื่อพวกเขากำลังทำการนั้น พวกเขาไม่สามารถห้ามตัวเองเอาไว้ได้—พวกเขาต้องการที่จะประพฤติตนในหนทางนั้นเสมอ ด้วยเหตุที่พวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงโดยธรรมชาติ และไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใด โดยปกติแล้วพวกเขามักจะเปิดเผยธรรมชาติอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขาออกมา—พวกเขาจะเปิดเผยธรรมชาติอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขาออกมาแม้กระทั่งในเรื่องที่เล็กน้อยมาก พวกเขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย นี่คือจุดตายของพวกเขา…พวกที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอดไม่ได้ที่จะเปิดเผยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขา และที่มากไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาทำเช่นนั้นในทุกที่และทุกเวลา นี่ไม่ใช่บางสิ่งซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ หรือซึ่งพึงต้องได้รับการสอนจากผู้อื่น คนที่ไม่เรียกหาคำโกหกหรือความเคี้ยวคด ในเรื่องหญ้าปากคอกอย่างสมบูรณ์แบบนั้น พวกเขาจะยังคงใช้เส้นทางเดินที่เคี้ยวคด และปั้นแต่งคำโกหกเพื่อเล่นไม่ซื่อกับผู้คน

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ลักษณะเฉพาะหลักๆ ของผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงก็คือ พวกเขาไม่เปิดกว้างเวลาสามัคคีธรรมกับใครก็ตามเป็นอันขาด พวกเขาซ่อนเร้นตัวพวกเขาเองอย่างลึกล้ำยิ่ง นอกจากนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถขบคิดออกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นแท้จริงหรือเท็จ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเก่งกาจในการอวดอ้างและการให้เหตุผลคลาดเคลื่อนเป็นการเฉพาะ พวกเขาเสแสร้งว่าเป็นใครบางคนที่ดี ใครบางคนที่มีคุณธรรม ใครบางคนที่ไร้เล่ห์มายา ใครบางคนซึ่งเป็นที่รักและเคารพของผู้อื่น เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา เจ้าจะไม่มีวันรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ข้างใน พวกเขาไม่บอกผู้ใดว่าทรรศนะหรือท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลายจริงๆ แล้วคืออะไร และแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ใกล้ชิดพวกเขาที่สุดก็ไม่รู้ พวกเขาไม่เปิดหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่เผยสิ่งใด ไม่เพียงแค่นั้น แต่พวกเขายังเสแสร้งด้วยว่าครองสภาวะความเป็นมนุษย์ ว่าเป็นฝ่ายจิตวิญญาณอย่างยิ่ง ว่าไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และปฏิเสธแก่นแท้ของพระคริสต์ (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงต่อผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้ เมื่อขาดความเชื่อที่แท้จริง เจ้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความรักที่แท้จริงขึ้นไปอีก และหากเจ้ามีแนวโน้มที่จะสงสัยในพระเจ้าและคาดเดาพระองค์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าย่อมเป็นผู้ที่หลอกลวงที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งมวล เจ้าคาดเดาว่าพระเจ้าทรงสามารถเป็นเช่นมนุษย์ได้หรือไม่: มีบาปซึ่งไม่สามารถอภัยให้ได้ มีลักษณะนิสัยที่ใจแคบ ไร้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเหตุผล ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม หมกมุ่นในยุทธวิธีที่ชั่วร้าย ทรยศและเจ้าเล่ห์ พอใจในความชั่วและความมืด เป็นต้น เหตุผลที่ผู้คนมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งความรู้ในพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ? ความเชื่อเช่นนั้นไม่ต่างอะไรไปจากบาป! มีกระทั่งบางคนที่เชื่อว่าบรรดาผู้ที่ทำให้เราพอใจก็คือบรรดาผู้ที่ยกยอปอปั้นและเลียแข้งเลียขานั่นเอง และเชื่อว่าบรรดาผู้ที่ขาดทักษะต่างๆ เช่นนั้นจะไม่ได้รับการต้อนรับในพระนิเวศของพระเจ้า และจะสูญเสียที่ของพวกเขาที่นั่น นี่คือความรู้เพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้าได้รับเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ? นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้หรือ? และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์ นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า ความเชื่อเช่นเดียวกับของพวกเจ้านั้นมีแต่จะทำให้พวกเจ้าไถลห่างจากเรามากขึ้นและอยู่ในสภาวะของการต่อต้านเรามากขึ้นเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

ใครบางคนอาจจะไม่เคยเปิดกว้างและสื่อสารสิ่งที่พวกเขาคิดกับผู้อื่น และในทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่เคยปรึกษาผู้อื่น แต่กลับปิดกั้นตนเอง ดูเหมือนว่าจะระแวดระวังผู้อื่นในทุกโอกาส พวกเขาห่อหุ้มตัวพวกเขาเองอย่างแน่นหนาเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่ไม่ใช่บุคคลที่เจ้าเล่ห์หรอกหรือ? ตัวอย่างเช่น พวกเขามีแนวคิดที่พวกเขารู้สึกว่าเฉลียวฉลาด และคิดว่า “ฉันจะเก็บแนวคิดนี้ไว้กับตัวฉันเองในตอนนี้ หากฉันแบ่งปันแนวคิดนี้ พวกคุณอาจใช้แนวคิดนี้และแย่งความสนใจไปจากฉัน ฉันจะระงับไว้ก่อน” หรือหากมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ พวกเขาก็จะคิดว่า “ฉันจะไม่พูดออกมาตอนนี้ แล้วถ้าฉันพูด และใครบางคนพูดบางสิ่งที่อยู่ในระดับสูงกว่าล่ะ ฉันจะไม่ดูเหมือนคนโง่เขลาหรอกหรือ? ทุกคนจะมองฉันทะลุปรุโปร่ง มองเห็นจุดอ่อนของฉันในการนี้ ฉันไม่ควรพูดอะไรเลย” ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะใช้มุมมองหรือการใช้เหตุผลเช่นใด ไม่ว่าสิ่งจูงใจพื้นฐานจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็กลัวว่าทุกคนจะมองพวกเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาเข้าหาหน้าที่ของพวกเขาเองและผู้คน สิ่งทั้งหลาย และเหตุการณ์ ด้วยมุมมองและท่าทีประเภทนี้เสมอ นี่คืออุปนิสัยประเภทใดกัน? อุปนิสัยที่คดโกง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และชั่ว โดยผิวเผินแล้ว ดูเหมือนพวกเขาได้พูดกับผู้อื่นไปแล้วถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำได้ แต่ภายใต้พื้นผิวนั้น พวกเขาหน่วงเหนี่ยวบางสิ่ง พวกเขาไม่พูดสิ่งทั้งหลายที่ไปแตะภาพพจน์และผลประโยชน์ของพวกเขาเลย—ไม่กับใครเลย ไม่แม้แต่กับบิดามารดาของพวกเขา พวกเขาไม่พูดสิ่งเหล่านี้เลย นี่คือความเดือดร้อน!

ตัดตอนมาจาก “คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนบางคนไม่บอกความจริงแก่ใครเลย บางครั้งพวกเขาไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่นั้นจริงหรือเท็จ—พวกเขาทำให้ตัวเองงุนงงสับสน เมื่อพวกเขาพูดกับผู้อื่น พวกเขาคิดอยู่เสมอ และจิตใจของพวกเขาก็ปั่นป่วนอยู่เสมอกับผลสืบเนื่องที่ตามมาจากการพูดบางสิ่งว่าจะเป็นสิ่งใด ก่อนที่พวกเขาพูดบางสิ่ง พวกเขาประเมินผลและคาดการณ์ว่าการพูดสิ่งนั้นในหนทางหนึ่งอาจจะสัมฤทธิ์สิ่งใด และว่าการพูดสิ่งนั้นในอีกหนทางอาจจะสัมฤทธิ์สิ่งใด และสิ่งใดจะหลอกผู้อื่นและกันมิให้พวกเขาเข้าใจความจริงของเรื่องนั้น นี่คืออุปนิสัยใดหรือ? นั่นเป็นความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงง่ายกระนั้นหรือ? ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง ผู้คนบางคน เมื่อได้เปิดเผยบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเองแล้ว คิดว่า “ฉันปล่อยให้พวกเขารู้จักความคิดที่แท้จริงของฉัน นี่ไม่ดี ฉันจำเป็นที่จะต้องหาหนทางที่จะย้อนกลับการนี้—ที่จะพูดการนั้นในหนทางที่แตกต่างออกไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่รู้จักความจริง” นี่คือวิธีที่พวกเขาคิดและวางแผน และเมื่อพวกเขากำลังจะกระทำการ พวกเขาก็เปิดเผยอุปนิสัยแบบหนึ่ง นั่นคือ เล่ห์ลวง พวกเขากำลังจะทำบางสิ่งเยี่ยงมาร แม้กระทั่งก่อนที่จะทำอะไรสักอย่าง พวกเขาก็ได้เปิดเผยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของตนแล้ว นี่คืออุปนิสัยชนิดหนึ่ง ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าได้พูดสิ่งใดหรือไม่ หรือว่าเจ้าได้ทำสิ่งใดหรือไม่—อุปนิสัยนี้อยู่ภายในตัวเจ้าเสมอ ควบคุมเจ้า ทำให้เจ้าเล่นเกมและกระทำเล่ห์เหลี่ยม หยอกเล่นกับผู้คน ปิดบังความจริง และอำพรางตัวเจ้าเองอย่างดี นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงทำสิ่งเฉพาะเจาะจงใด? ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้คนสองคนกำลังสนทนากันอยู่ แล้วคนหนึ่งก็พูดว่า “ฉันได้ก้าวผ่านรูปการณ์แวดล้อมบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ และฉันก็รู้สึกว่าหลายปีมานี้แห่งการที่เชื่อในพระเจ้าได้สูญเปล่าไปจริงๆ ฉันคือความล้มเหลวในฐานะบุคคล! ขัดสน น่าเวทนา! ฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีมาสักพักแล้ว ฉันจะเพียรพยายามที่ชดเชยตัวเองในอนาคต” การที่พวกเขาพูดการนี้จะมีผลกระทบแบบใด? อีกคนได้ยินการนี้แล้วก็คิดว่า “บุคคลนี้ได้กลับใจแล้ว—กลับใจแล้วอย่างถ้วนทั่ว นั่นจริงแท้ ฉันไม่อาจกังขาได้เลย พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาถึงขั้นได้พูดว่าพวกเขาเป็นความล้มเหลวในฐานะมนุษย์ และว่าประเด็นปัญหาที่พวกเขาได้เผชิญเมื่อเร็วๆ นี้ล้วนแต่ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบได้” ในการดึงเอาผลกระทบเช่นนั้นออกมาในตัวผู้ฟัง เป้าหมายของผู้พูดได้สัมฤทธิ์ผลหรือยัง? (สัมฤทธิ์ผลแล้ว) ดังนั้นแล้ว สภาวะที่แท้จริงของพวกเขาเป็นดังที่พวกเขาพูดว่าเป็นอย่างแน่ชัดหรือไม่? ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งที่พวกเขาพูดสัมฤทธิ์ผลเช่นนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้เป็นดังที่พวกเขาพูด ประเด็นของพวกเขาในการพูดการนี้ก็คือหนทางที่พวกเขาพูดการนี้ จุดจบที่พวกเขาต้องการที่จะสัมฤทธิ์ ในการพูด พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะสัมฤทธิ์บางสิ่ง พวกเขามีเหตุจูงใจบางอย่างเสมอ พวกเขาใช้วิธีการเฉพาะบางอย่างหรือคำพูดเฉพาะบางคำเสมอเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? การนี้คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และการนี้เคลือบแฝงโดยแท้! และในความจริงแล้ว พวกเขาไม่ตระหนักเลยแม้แต่น้อยว่าพวกเขาแย่ ขัดสน และน่าเวทนา พวกเขาก็แค่ใช้ภาษาและคำพูดฝ่ายจิตวิญญาณบางคำเพื่อให้ได้ความโปรดปรานจากเจ้า เพื่อให้เจ้าได้รับความคิดเห็นที่ดีเกี่ยวกับพวกเขา เพื่อที่เจ้าจะได้รู้สึกว่าพวกเขาได้เข้าใจตัวเองและกลับใจแล้ว การสัมฤทธิ์ผลเช่นนั้นไม่ใช่ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงหรอกหรือ?

ตัดตอนมาจาก “ต้องทำความเข้าใจหกแง่มุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเพื่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เมื่อผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขากระทำเล่ห์ลวงหรือไม่? การนำความจริงไปปฏิบัติพึงประสงค์ให้พวกเขาจ่ายราคา ให้ปล่อยวางผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ให้ตีแผ่ตัวพวกเขาเองต่อผู้อื่น แต่พวกเขาก็หน่วงเหนี่ยวบางสิ่ง เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาเผยเพียงครึ่งเท่านั้น และยึดมั่นส่วนที่เหลือ ผู้อื่นจำเป็นที่จะต้องเดาเสมอว่าสิ่งเหล่านั้นหมายถึงอะไร จำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อจุดอยู่เสมอเพื่อแปลความความหมายของสิ่งเหล่านั้น พวกเขาให้พื้นที่ที่จะหลบหลีกแก่ตัวพวกเขาเองเสมอ พวกเขาให้โอกาสที่จะทำการใดๆ บางอย่างแก่ตัวพวกเขาเองเสมอ ทันทีที่ผู้อื่นมองเห็นว่า พวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขาไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น พวกเขาระมัดระวังไว้ก่อนเสมอเมื่อจัดการกับคนเหล่านั้น และไม่เชื่ออะไรที่คนเหล่านั้นพูดเลย โดยฉงนฉงายว่าสิ่งที่พวกเขาได้พูดนั้นจริงหรือเท็จ และการนั้นมากเพียงใดที่ถูกทำให้เจือจาง และดังนั้น ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนจึงสูญเสียความไว้วางใจในตัวพวกเขาบ่อยครั้ง พวกเขาแบกน้ำหนักเล็กน้อยมากในหัวใจของพวกเขา หรือไม่แบกน้ำหนักแม้แต่น้อยเลย เช่นนั้นคือสถานะของเจ้าและน้ำหนักที่เจ้าแบกไว้ในหัวใจของผู้คน และดังนั้นแล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาจากพระเจ้าในการทรงสถิตของพระองค์อย่างไร? เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ พระเจ้าทรงมองผู้คนอย่างถูกต้องแม่นยำมากกว่า อย่างหลักแหลมมากกว่า และอย่างเป็นจริงมากกว่า

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เจ้าคิดถึงเนื้อหนังและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเองเสมอ เจ้าต้องการที่จะทำให้ความทุกข์จากเนื้อหนังทุเลาเบาบางลงเสมอ ที่จะสร้างความพยายามให้น้อยลง ที่จะอุทิศให้น้อยลง ที่จะจ่ายราคาให้น้อยลง และเจ้าให้พื้นที่กับตัวเองในการยักย้ายถ่ายเทเสมอ—และนี่คือท่าทีที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้า ยามที่เจ้าสละเพื่อพระเจ้า เจ้าก็ยังคิดแล้วคิดอีกด้วยเช่นกัน โดยพูดว่า “ออ! อุทิศตัวฉันเองแด่พระเจ้าน่ะหรือ? ฉันยังคงจำเป็นที่จะต้องทำมาหากินอย่างมีรายได้ที่ดีพอ ฉันจะทำอย่างไรหากพระราชกิจของพระเจ้าไม่สิ้นสุด? ดังนั้นฉันจะไม่ให้ทั้งหมดของฉัน พวกเราไม่รู้ว่าเมื่อใดพระวจนะของพระเจ้าจะได้รับการทำให้ลุล่วง ดังนั้นฉันจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวัง ฉันต้องคิดแล้วคิดอีกให้ดี ทันทีที่ฉันได้จัดการเตรียมการชีวิตครอบครัวของฉันแล้ว และทันทีที่ฉันได้จัดการเตรียมการความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของฉันและจัดระบบระเบียบเตรียมพร้อมให้กับความสำเร็จเหล่านั้นแล้ว ฉันจึงจะทุ่มเทอุทิศตัวเองแด่พระเจ้า” การสงวนท่าทีเช่นนั้นยังเป็นการหลอกลวงด้วยเช่นกัน และเป็นการปฏิบัติตนท่ามกลางการหลอกลวง และนั่นไม่ใช่ท่าทีที่ซื่อสัตย์ เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของพวกเขา ผู้คนบางคนกลัวว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นจะค้นหาจนพบความลำบากยากเย็นภายในหัวใจของพวกเขา และว่าพี่น้องชายหญิงจะมีบางสิ่งให้พูดเกี่ยวกับพวกเขาหรือดูแคลนพวกเขา เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาลองพยายามอยู่เสมอที่จะมอบความประทับใจว่าพวกเขากระตือรือร้นจริงๆ ว่าพวกเขาต้องการพระเจ้าจริงๆ และใจจดใจจ่อจริงๆ ที่จะได้นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาอ่อนแอและนิ่งเฉยอย่างสุดขั้ว พวกเขาเสแสร้งว่าแข็งแกร่ง เพื่อที่จะไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง นี่ก็เป็นเล่ห์ลวงด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร—ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตของเจ้า การรับใช้พระเจ้า หรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—หากเจ้านำเสนอใบหน้าเทียมเท็จต่อผู้คนและใช้ใบหน้านั้นเพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจผิด เพื่อทำให้พวกเขาคิดกับเจ้าอย่างสูงส่งหรือไม่ดูแคลนเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

พวกเจ้าจะว่าอย่างไรกับการนี้เล่า การดำรงชีวิตเคียงข้างไปกับผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นน่าเหน็ดเหนื่อย ใช่หรือไม่? (ใช่แล้ว) นั่นน่าเหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกเขาหรือ? นั่นก็น่าเหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกเขาเช่นกัน เพราะการที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงแตกต่างไปจากการที่ซื่อสัตย์ บุคคลที่ซื่อสัตย์นั้นเรียบง่าย—การคิดของพวกเขาไม่ซับซ้อนไปเสียหมดขนาดนั้น แต่ในกรณีของบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขาจำเป็นที่จะต้องพูดในหนทางที่วกวนเสมอ ไม่ซื่อตรงเปิดเผยเลยในทุกสิ่งที่พวกเขาพูด นั่นก็น่าเหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกเขาอีกด้วยเช่นกัน การเล่นเล่ห์กลและปิดบังคำโกหกของพวกเขาอยู่เป็นนิตย์นั้นน่าเหนื่อยล้า พวกเขาเค้นสมองและกรำความคิดของพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ เกรงกลัวว่าจะหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกไปในชั่วขณะของความสะเพร่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คนบางคนจะไปไกลเพียงใดในการเล่นเล่ห์กลของพวกเขา? พวกเขาเข้าไปแข่งขันกับทุกคน พวกเขาดิ้นรนต่อสู้จนถึงจุดที่ล้มป่วยทางจิตใจ และไม่สามารถแม้แต่จะหลับลงได้ในยามค่ำคืน จากการนี้คนเราสามารถมองเห็นระดับของความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขาได้ การดำเนินชีวิตเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์นั้นไม่น่าเหน็ดเหนื่อย กล่าวคือ บุคคลที่ซื่อสัตย์พูดสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา พวกเขาเปิดเผยสิ่งใดก็ตามที่พวกเขากำลังคิด และพวกเขาปฏิบัติตนโดยขึ้นอยู่กับสิ่งใดก็ตามที่พวกเขากำลังคิด โดยแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างและปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพียงแต่ว่าอาจมีจุดที่พวกเขาไม่รู้เท่าทัน ดังนั้นในอนาคตพวกเขาจึงต้องมีปัญญามากขึ้น และต้องไม่หยุดเติบโตเป็นอันขาด แต่ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่ได้เป็นเช่นนี้ พวกเขาใช้ชีวิตบนพื้นฐานของปรัชญาของซาตาน และบนธรรมชาติและแก่นแท้อันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขาเอง พวกเขาจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเพื่อมิให้ผู้อื่นมีหลักฐานเอาผิดกับพวกเขาได้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการของพวกเขาเอง และอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคดโกงของพวกเขาเอง เพื่อปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ด้วยกลัวว่าในไม่ช้าพวกเขาจะแบไต๋ตัวเองออกมา—และเมื่อพวกเขาเผลอทำลายเกราะกำบังของพวกเขาเองไปแล้ว พวกเขาก็จำเป็นต้องลองพยายามที่จะพลิกสิ่งทั้งหลายให้กลับคืนมา มีหลายคราวที่ไม่ง่ายขนาดนั้น ในขณะที่พวกเขากำลังลองพยายามที่จะกอบกู้ซากเกราะกำบังของพวกเขาคืนมา และสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็หงุดหงิดหัวเสียไปหมด ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง และเมื่อการนั้นเกิดขึ้น พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาได้เสียหน้าต่อหน้าผู้อื่นแล้ว และเช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องคิดถึงบางสิ่งที่จะพูดเพื่อพลิกสถานการณ์นั้นกลับคืนมา การที่ทั้งหมดนี้กลับไปกลับมา—พวกเขาจะไม่พบว่าการนี้น่าเหนื่อยล้าหรอกหรือ? สมองของพวกเขาหมุนติ้วอยู่เป็นนิตย์ ก็ถ้าหากสมองพวกเขาไม่หมุนติ้ว แล้วคำพูดทั้งหมดของพวกเขาจะมาจากที่ใดกันเล่า? หากเจ้าซื่อสัตย์และปลอดเหตุจูงใจแอบแฝงในคำพูดและความประพฤติ เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะแล้วเสร็จเมื่อตอนที่เจ้าได้ทำสิ่งนั้นเสร็จไปแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องกังวลกับการเผลอปล่อยให้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแสดงออกมา เจ้าสามารถเหนื่อยล้าได้อย่างไรกัน? แต่เบื้องหลังสิ่งที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงทั้งหลายที่ผู้คนพูดและทำนั้นมีเหตุจูงใจแอบแฝงเสมอ และทันทีที่การนั้นปรากฏขึ้น พวกเขาก็ตะเกียกตะกายคิดหาหนทางที่จะซ่อมแซมเกราะกำบังของพวกเขา และแล้วพวกเขาก็จะสร้างฉากหน้าขึ้นมาอีกเพื่อหลอกให้เจ้าคิดว่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต่างออกไปด้วยประการทั้งปวง นี่น่าเหนื่อยล้าเป็นพิเศษสำหรับพวกเขา ในการมีปฏิสัมพันธ์ของเจ้ากับพวกเขา เจ้าสำนึกรับรู้ได้ว่า การที่พวกเขาจะปฏิบัติตนในหนทางนี้นั้น ช่างเป็นการโง่เขลาสักเพียงใด และว่า การที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั้นเป็นการไม่จำเป็นเพียงใด มีบางสิ่งซึ่งอันที่จริงแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย เจ้าจะไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเลย แต่พวกเขาก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาอธิบาย และเริ่มทำการกอบกู้สถานการณ์ จนกระทั่งเจ้าเอียนกับการรับฟังพวกเขา ตัวพวกเขาเองรู้สึกเช่นกันว่า นั่นคงจะไม่น่าเหนื่อยล้ามากมายนัก หากพวกเขาไม่ได้จำเป็นต้องอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง สมองของพวกเขาทำงานอยู่เป็นนิตย์เพื่อขบคิดให้ออกถึงวิธีที่จะกันไม่ให้เจ้าเข้าใจพวกเขาผิด วิธีโน้มน้าวเจ้าว่าไม่มีเจตจำนงชั่วร้ายอยู่เบื้องหลังคำพูดหรือการกระทำของพวกเขา เพื่อที่เจ้าอาจยอมรับและเชื่อพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงครุ่นคิดเรื่องนั้นต่อไป ยามที่พวกเขานอนไม่หลับในตอนกลางคืน พวกเขาก็คิดเกี่ยวกับการนั้น ในระหว่างวัน ยามที่พวกเขากินไม่ลง พวกเขาก็คิดเกี่ยวกับการนั้น หรือเมื่อปรึกษาเรื่องอื่นกับผู้อื่น พวกเขาก็ยังคงพยายามทำการสืบสาวถึงการนี้ พวกเขาจะปั้นหน้าอยู่เสมอเพื่อให้เจ้ารู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่ใช่บุคคลประเภทนั้น ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ดี หรือเพื่อทำให้เจ้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาหมายถึง ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเป็นเยี่ยงนี้เอง

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่ทำกันเพียงแค่ในชั่วขณะของความอ่อนแอเท่านั้น แต่ยืนยงคงอยู่ไปตลอดทั้งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลทำนำกลิ่นของเขาติดมาด้วย นำองค์ประกอบของธรรมชาติของเขาติดมาด้วย ต่อให้องค์ประกอบเหล่านั้นมองเห็นไม่ชัดในบางเวลา องค์ประกอบเหล่านั้นก็ยังมีอยู่ภายในตัวเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงพูดอย่างซื่อสัตย์ในเหตุการณ์หนึ่ง อันที่จริงแล้วยังคงมีวาทะซ้อนอยู่ภายในวาทะของเขา และมีความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงคละเคล้าอยู่ บุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงจะแสดงเล่ห์กลของเขากับใครก็ได้ รวมทั้งญาติพี่น้องของเขา—แม้แต่ลูกหลานของเขาเอง ไม่สำคัญว่าเจ้าตรงไปตรงมากับเขาเพียงใด เขาจะเล่นเกมกับเจ้า นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของธรรมชาติของเขา—เขาเป็นของธรรมชาตินี้ เป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลงและเขาก็เป็นเช่นนั้นตลอดเวลา ผู้คนที่ซื่อสัตย์อาจพูดบางสิ่งที่กลับกลอกและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงในบางครั้ง แต่บุคคลเช่นนั้นมักค่อนข้างซื่อสัตย์ เขาจัดการรับมือกับกิจการงานโดยตรงและไม่เอาเปรียบผู้อื่นแบบไม่เป็นธรรมในการจัดการกับพวกเขาเหล่านั้น ยามที่เขาพูดกับผู้อื่น เขาไม่พูดสิ่งทั้งหลายอย่างมีเจตนาที่จะทดสอบพวกเขาเหล่านั้น เขาสามารถเปิดกว้างหัวใจของเขาและสัมพันธ์สนิทกับผู้อื่นได้ และทุกคนก็พูดว่าเขาค่อนข้างซื่อสัตย์ มีหลายครั้งที่เขาพูดด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอยู่บ้าง นั่นก็เป็นเพียงแค่การสำแดงถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่ได้เป็นตัวแทนธรรมชาติของเขา เพราะเขาไม่ใช่บุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง

ตัดตอนมาจาก “วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ท่ามกลางผู้คนชนชั้นนั้นซึ่งเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ การตีสองหน้าจนติดเป็นนิสัยคือหนึ่งในลักษณะหลักซึ่งเปิดเผยโดยสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา คนเรามองเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ว่าพวกเขาไม่ครองความซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติโดยผ่านทางภาษาของพวกเขา โดยผ่านทางสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพูด และหนทางซึ่งพวกเขาพูดสิ่งเหล่านั้น ลักษณะของพวกเขาในการแสดงออก ความหมายในคำพูดของพวกเขาและแรงจูงใจเบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ การตีสองหน้าจนติดเป็นนิสัยในสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้นั้น ร้ายแรงไปไกลกว่าคำโกหกและการหลอกลวงของผู้คนธรรมดาสามัญ นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทที่ธรรมดาสามัญ หรือเป็นการสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติประเภทธรรมดาสามัญ คำโกหกของพวกเขามาอย่างเต็มใจไม่ลังเลกว่าคำโกหกของผู้คนส่วนใหญ่ และคำโกหกเหล่านั้นก็ถูกปฏิบัติมากกว่า เมื่อผู้คนส่วนใหญ่โกหก พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปั้นแต่งคำโกหก พวกเขาจำเป็นที่จะต้องคิดคำโกหกนั้นอย่างระวัดระวัง แต่บุคคลประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องปั้นแต่งสิ่งใดหรือคิดคำโกหกนั้นเลย กล่าวคือ พอพวกเขาเปิดปากคำโกหกก็ออกมา—และก่อนที่เจ้าจะรู้ เจ้าก็ได้หลงเชื่อคำโกหกนั้นเสียแล้ว คำโกหกและการหลอกลวงของพวกเขานั้นเป็นแบบที่ ผู้คนซึ่งมีปฏิกิริยาตอบโต้ช้าต้องใช้เวลาสองหรือสามวันจึงจะขบคิดสิ่งทั้งหลายออก เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะตระหนักได้ถึงสิ่งที่บุคคลนี้หมายถึง พวกที่หัวช้า หรือพวกที่มีไอคิวต่ำ อาจยังคงขบคิดสิ่งทั้งหลายไม่ออกหลังผ่านไปแล้วหลายปี ในชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาอาจไม่มีวันรู้สิ่งที่เขาหมายถึงจากคำพูดเหล่านั้นเลย พวกศัตรูของพระคริสต์เคยชินกับการโกหก ทั้งนี้ อะไรเล่าคือบุคลิกลักษณะของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา? ชัดเจนว่า นั่นไม่ใช่บางสิ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พูดให้ถูกต้องก็คือ นั่นเป็นธรรมชาติของปีศาจ การตีสองหน้าจนติดเป็นนิสัย คำโกหก และการหลอกลวงของพวกเขา เหล่านี้เป็นหนทางของการทำสิ่งทั้งหลายที่เรียนรู้กันในโรงเรียนหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นผลลัพธ์ของความรู้ที่มากเกินไปหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการสอนและอิทธิพลของบิดามารดาหรือไม่? (ไม่) สิ่งเหล่านี้คือธรรมชาติซึ่งมีมาแต่กำเนิดของพวกเขา พวกเขากำเนิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครบังคับให้พวกเขามีสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งไม่มีใครสอนสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขา นี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ—ตีสองหน้าจนเคยชิน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่เคยรู้สึกละอายใจหรือเดือดร้อนจากคำโกหกของพวกเขาเลย พวกเขาไม่เคยเจ็บปวดรวดร้าวหรือไม่สบายใจเลย ไม่เพียงแค่พวกเขาไม่เดือดร้อนจากคำโกหกของพวกเขาเท่านั้น แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาคิดว่าตัวเองฉลาดแยบยลมาก มีสติปัญญาสูง พวกเขารู้สึกว่าวาสนาดี ภาคภูมิใจ และรื่นเริงยินดีอย่างลับๆ ที่พวกเขาสามารถชักใยและหลอกลวงผู้อื่นได้โดยใช้คำโกหกและกลลวงอื่นๆ พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นผู้คนประเภทที่ใช้คำโกหกอยู่เป็นนิตย์เพื่อชักใยและหลอกลวงผู้อื่น เมื่อพวกเขาได้เสร็จสิ้นการฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรมของผู้อื่นว่าด้วยวิธีกลายเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์แล้ว พวกเขาเดือดร้อนหรือไม่? พวกเขาตำหนิตัวเองหรือไม่? (ไม่) แล้วคนเราสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รู้สึกถึงการติเตียนตัวเองเลย ว่าพวกเขาไม่เดือดร้อน? จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่เคยชำแหละตัวเองเลย พวกเขาไม่เคยเปิดกว้างและตีแผ่คำโกหกของพวกเขาเองเลย อีกทั้งพวกเขาไม่เคยยอมรับรู้เลยว่าพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ นอกจากนี้ พวกเขาเอาแต่โกหกและหลอกลวงผู้คนเรื่อยไปในยามที่และตามที่พวกเขารู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น เช่นนั้นคือธรรมชาติของพวกเขา และไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาตินี้ได้ ธรรมชาตินี้ไม่ใช่การแสดงออกถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ หากจะพูดอย่างถูกต้องเหมาะสม นั่นก็คือธรรมชาติของปีศาจ

ตัดตอนมาจาก “ส่วนเพิ่มเติมส่วนที่สี่: การสรุปบุคลิกลักษณะของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นแท้ของอุปนิสัยของพวกเขา (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger