สิ่งที่เป็นความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรากับการทำการปรนนิบัติ
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
อันที่จริง ผลการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นความสำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ เป็นเวลานี้เองที่หน้าที่ของเขาได้กระทำให้ลุล่วงแล้ว ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์ พวกผู้ที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขี้ขลาดที่สุดของคนทั้งหมด หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับเล่นไปเรื่อยเปื่อยและเสแสร้งแสดงท่าทาง พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น “คนที่มีคุณภาพปานกลาง” พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามซึ่งสุกใสที่ด้านนอกแต่เน่าเสียที่ด้านในหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์
อะไรหรือคือความแตกต่างระหว่างการให้การปรนนิบัติกับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา? การให้การปรนนิบัติหมายความว่า เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการทำ อย่างน้อยที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นไม่ทำความขุ่นเคืองให้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้า ตราบเท่าที่ไม่มีผู้ใดเจาะลึกการกระทำของเจ้า และตราบเท่าที่สิ่งที่เจ้าทำนั้นพอเหมาะพอควร เช่นนั้นแล้ว นั่นก็ดีพอแล้ว เจ้าไม่ให้ตัวเองเป็นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย กับการทำสิ่งทั้งหลายให้สอดคล้องกับหลักการแห่งความจริง กับการทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า และแม้กระทั่งกับวิธีที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หรือกับวิธีที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีและให้คำอธิบายถึงหน้าที่นั้นต่อพระเจ้า เจ้าไม่ให้ความใส่ใจกับสิ่งใดๆ ทั้งหลายเหล่านี้ และนี่คือสิ่งที่เรียกว่าการทำงานปรนนิบัติ การทำงานปรนนิบัติเกี่ยวกับการทุ่มเทกำลังตนเองด้วยทั้งหมดที่เจ้ามีและการทำงานราวกับว่าเจ้าเป็นทาส ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงกลางคืน หากเจ้าถามบุคคลเช่นนี้ว่า “ตลอดหลายปีแห่งความขมขื่นนี้ งานหนักที่ท่านได้จมจ่อมตัวเองอยู่ในนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อสิ่งใด?” เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะตอบว่า “เหตุใด ก็เพื่อที่ฉันอาจจะได้รับพระพร” หากเจ้าถามพวกเขาว่า อุปนิสัยของพวกเขาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่อันเป็นผลจากตลอดหลายปีแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ว่าพวกเขาได้กลายเป็นเชื่อมั่นถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าแล้วหรือไม่ ว่าพวกเขามีความเข้าใจที่แท้จริงบางระดับ หรือได้รับประสบการณ์กับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือไม่ คำตอบต่อคำถามเหล่านี้ทั้งหมดก็จะเป็น “ไม่” อย่างแน่นอน และพวกเขาจะไร้ความสามารถที่จะพูดถึงสิ่งใดๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อไม่มีการปรับปรุงหรือความก้าวหน้าในเครื่องบ่งชี้ใดๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ผู้คนเช่นนั้นก็แค่ทำการปรนนิบัติเป็นเนืองนิตย์ สมมติว่าบุคคลหนึ่งทำงานปรนนิบัติมาเป็นเวลาหลายปี และได้มาเข้าใจโดยไม่รู้ตัวว่าพวกเขาครองอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ว่าพวกเขามักจะกบฏต่อพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ว่าพวกเขามักจะเปล่งถ้อยคำคร่ำครวญร้องทุกข์บ่อยครั้ง ว่าพวกเขามักจะไร้ความสามารถในการเชื่อฟังพระเจ้าบ่อยครั้ง ว่าพวกเขานั้นเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง ว่าไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงบอกให้พวกเขานบนอบต่อพระองค์อย่างไร พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งตัวเอง แต่การนี้ไม่เป็นผล อีกทั้งไม่ได้สาปแช่งตัวพวกเขาเองหรือกล่าวคำสาบาน ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบว่า “มนุษย์นั้นครองอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอย่างแท้จริง และนั่นคือเหตุผลที่เขาสามารถกบฏต่อพระเจ้าได้ เมื่อใดก็ตามที่บางอย่างเกิดขึ้นผู้คนก็จะมีความอยากได้อยากมีของตัวเองอยู่เสมอ และพวกเขากำลังค้นคว้าการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเต็มใจทุ่มเทกำลังตัวเอง แต่ชั่วขณะที่บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวพันกับอุปนิสัยของพวกเขาและความทะเยอทะยานกับความอยากได้อยากมีที่ดิบเถื่อน เจตนาและความปรารถนาของพวกเขา พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งเหล่านั้นหรือปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป พวกเขาต้องการที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ทำให้ตัวเองพึงพอใจอยู่เสมอ นี่คือฉัน และฉันเป็นคนที่ยากจะจัดการอย่างแท้จริง! จะสามารถทำสิ่งใดได้?” หากพวกเขาเริ่มใคร่ครวญสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็มีความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเกี่ยวกับหนทางทั้งหลายแบบมนุษย์แล้ว หากในบางครั้งผู้คนที่มีส่วนร่วมในการทำงานปรนนิบัติสามารถที่จะรับงานจริงได้ และสามารถที่จะจดจ่อจิตใจของพวกเขาอยู่กับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ได้รับความเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาก็มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามด้วยเช่นกัน ว่าพวกเขาเองก็เป็นคนโอหังและไร้ความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าด้วย และว่ามันจะไม่มีประโยชน์ที่จะดำเนินต่อไปในหนทางนี้ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาสามารถคิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อนั้นพวกเขาจะได้เริ่มหันตัวเองกลับและมีความหวังว่าอุปนิสัยของพวกเขาอาจจะเปลี่ยนแปลง และว่าพวกเขาอาจจะบรรลุถึงความรอด หากใครบางคนไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย หากทั้งหมดที่เขารู้คือวิธีที่จะใช้แรงงาน โดยคิดว่าการทำงานในมือให้เสร็จสิ้นคือทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้พระบัญชาของพระเจ้าครบบริบูรณ์ และคิดว่าทันทีที่เขาได้เสร็จสิ้นการทุ่มเทกำลังตนเองแล้วพวกเขาก็จะได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว โดยไม่เคยคิดเกี่ยวกับว่าข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าคือสิ่งใด เกี่ยวกับว่าความจริงคือสิ่งใด หรือเกี่ยวกับว่าพวกเขาอาจจะถูกนับว่าเป็นใครบางคนที่เชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาไม่เคยใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้เลย ใครบางคนที่ปฏิบัติกับหน้าที่ในหนทางเช่นนี้จะสามารถบรรลุถึงความรอดได้หรือไม่? คำตอบก็คือไม่ พวกเขายังไม่ได้ก้าวเท้าไปบนเส้นทางสู่การบรรลุถึงความรอดหรือบนร่องครรลองแห่งการเชื่อในพระเจ้าเลย อีกทั้งพวกเขายังไม่ได้กำหนดความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับพระเจ้า และพวกเขายังคงไม่ได้ทุ่มเทกำลังตนเองและมีส่วนร่วมในการทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า บุคคลประเภทนี้ทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า และพระเจ้าทรงดูแลและปกป้องคุ้มครองพวกเขา แต่พระองค์มิได้ทรงวางแผนที่จะช่วยพวกเขาให้รอด อีกทั้งพระองค์มิได้ทรงจัดการกับพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา อีกทั้งมิได้ทรงพิพากษาและตีสอนพวกเขา อีกทั้งมิได้ทรงให้พวกเขาอยู่ภายใต้การทดสอบหรือกระบวนการถลุง พระองค์เพียงแค่ทรงอนุญาตให้พวกเขาได้รับพระพรบางระดับในชั่วชีวิตนี้เท่านั้น และไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น หากถึงเวลาที่ผู้คนรู้จักที่จะทบทวนสิ่งทั้งหลายเหล่านี้และเข้าใจบทเทศนาที่พวกเขาได้ยิน พวกเขาจะตระหนักว่า “ดังนั้น นี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการที่เชื่อพระเจ้า ถ้าเช่นนั้นแล้ว ฉันต้องพยายามที่จะบรรลุถึงความรอดให้ได้ หากฉันทำไม่ได้ และกลับทำให้ตัวเองพึงพอใจด้วยการทำงานปรนนิบัติ เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย” ต่อจากนั้นพวกเขาก็ใคร่ครวญว่า “ฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามในแง่มุมใดบ้าง? ที่จริงแล้วสิ่งนี้ อุปนิสัยที่เสื่อมทรามนี้คืออะไร? ไม่สำคัญว่าจะเป็นอะไร ก่อนอื่นฉันต้องนบนอบต่อพระเจ้า!” สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับความจริงและสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และมีความหวังสำหรับพวกเขา
ตัดตอนมาจาก “โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ไม่สำคัญว่าเจ้าลุล่วงหน้าที่ใด เจ้าต้องพยายามที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเข้าใจว่าข้อพึงประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะรับมือกับเรื่องราวสารพันในหนทางซึ่งมีหลักธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แน่นอนที่สุดว่า เจ้าไม่สามารถทำไปตามการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า โดยการแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าประสงค์จะทำ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าคงจะมีความสุขและชูใจที่จะทำ หรือสิ่งใดก็ตามที่คงจะทำให้เจ้าดูดี หากเจ้านำการเลือกชอบส่วนบุคคลของเจ้ามาบังคับใช้กับพระเจ้า หรือฝึกฝนปฏิบัติการเลือกชอบเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง ถือปฏิบัติการเลือกชอบเหล่านั้นราวกับพวกมันเป็นความจริงหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้จะไม่ได้รับการจดจำโดยพระเจ้า ผู้คนบางคนไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่รู้ว่าการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงไปด้วยดีนั้นหมายถึงสิ่งใด พวกเขารู้สึกว่าในเมื่อพวกเขาได้ใส่หัวใจและทุ่มความพยายามเข้าไปในการทำหน้าที่นั้น ละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขาและทนทุกข์ เช่นนั้นแล้ว การลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาก็ควรขึ้นไปถึงมาตรฐาน—แต่แล้วเหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่พึงพอพระทัยอยู่เสมอ? ผู้คนเหล่านี้ได้ทำผิดไปตรงไหนหรือ? ความผิดของพวกเขาก็คือการไม่แสวงหาให้พบข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปฏิบัติตนไปตามแนวคิดของตัวพวกเขาเอง พวกเขาปฏิบัติต่อความอยากได้อยากมี การเลือกชอบ และสิ่งจูงใจแบบเห็นแก่ตัวทั้งหลายของพวกเขาเองประหนึ่งเป็นความจริง และพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรัก ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พวกเขามองสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง ดีงาม และสวยงามว่าเป็นความจริง การนี้ผิด ในข้อเท็จจริงแล้ว แม้บางคราวผู้คนอาจจะคิดว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูก และว่ามันสอดคล้องกับความจริง นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า มันสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งผู้คนคิดว่าบางสิ่งถูกต้องมากเท่าไร พวกเขาก็ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาควรแสวงหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังคิดนั้นบรรจบกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือไม่ หากมันเกิดวิ่งสวนทางกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์และสวนทางกับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนั่นก็ยอมรับไม่ได้ต่อให้เจ้าคิดว่ามันถูก มันก็เป็นแค่เพียงความคิดแบบมนุษย์ และมันจะไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความจริงโดยไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่ามันถูกต้องเพียงใดก็ตาม การกำหนดพิจารณาของเจ้าในเรื่องถูกและผิดนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น และไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าบางสิ่งบางอย่างถูกต้องเพียงใดก็ตาม เจ้าต้องทิ้งขว้างมันไป เว้นเสียแต่ว่ามีมูลฐานสำหรับมันอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า หน้าที่คืออะไรหรือ? มันก็คือพระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่ผู้คน ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างไรหรือ? ก็โดยการปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการมีพื้นฐานของพฤติกรรมของเจ้าอยู่บนความจริงหลักธรรมมากกว่าที่จะอยู่บนความอยากได้อยากมีตามความชอบส่วนตัวของมนุษย์ ในหนทางนี้ การลุล่วงของเจ้าในหน้าที่ทั้งหลายของเจ้าย่อมขึ้นไปถึงมาตรฐาน
ตัดตอนมาจาก “โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ไม่ว่าคนเราจะมีความสามารถพิเศษ พรสวรรค์ หรือทักษะจำพวกใดก็ตาม หากพวกเขาแค่ลงมือกระทำและทุ่มเทตัวพวกเขาเองไปในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด ก็พึ่งพาจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา หรือพึ่งพาสัญชาตญาณของพวกเขาเองในขณะที่พวกเขาทุ่มเทตัวพวกเขาเอง และไม่เคยแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่มีมโนทัศน์หรือความต้องการที่จำเป็นอันใดในหัวใจของพวกเขาที่กล่าวว่า “ฉันต้องนำความจริงมาปฏิบัติ ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ของฉัน” และแรงผลักดันเดียวของพวกเขาก็คือการทำการงานของพวกเขาให้ดีและทำกิจของพวกเขาจนครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ดำรงชีวิตอยู่โดยทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ความสามารถ และทักษะหรอกหรือ? ผู้คนเช่นนั้นมีอยู่มากมายหรือไม่? ในความเชื่อนั้น พวกเขาคิดถึงแค่เพียงการทุ่มเทตัวพวกเขาเอง การขายแรงงานของพวกเขาเอง และการขายทักษะของพวกเขาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ามอบงานทั่วไปให้ผู้คนทำ ส่วนใหญ่จะใช้มุมมองเช่นนั้นในการทำงานนั้น ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือการทุ่มเทตัวพวกเขาเอง บางครั้งนั่นหมายถึงการใช้ปากของพวกเขาเพื่อพูดจานิดหน่อย บางครั้งนั่นหมายถึงการใช้มือและเรี่ยวแรงทางกายของพวกเขา และบางครั้งนั่นหมายถึงการใช้ขาของพวกเขาวิ่งไปทั่ว เหตุใดจึงมีการกล่าวว่า การพึ่งพาสิ่งเหล่านั้นในการดำรงชีวิตคือการใช้เรี่ยวแรงของคนเรา แทนที่จะเป็นการนำความจริงไปปฏิบัติ? เมื่อใครบางคนได้ยอมรับกิจหนึ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าได้มอบให้พวกเขาแล้ว พวกเขาคิดถึงแค่เพียงวิธีที่จะทำให้กิจนั้นครบบริบูรณ์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถบอกเล่าแก่บรรดาผู้นำของพวกเขาได้และได้รับการสรรเสริญที่มีต่อพวกเขา พวกเขาอาจจะวางเค้าโครงแผนการแบบทีละขั้นตอน และพวกเขาอาจปรากฏให้เห็นว่าจริงจังตั้งใจมากทีเดียว แต่พวกเขามุ่งเน้นเพียงการทำให้ภารกิจนั้นครบบริบูรณ์เพื่อที่คนอื่นอาจมองเห็นเท่านั้น หรือเมื่อพวกเขากำลังทำการนั้น พวกเขากำหนดมาตรฐานของพวกเขาเองเพื่อตัดสินผลการปฏิบัติงานของพวกเขา บนพื้นฐานของวิธีที่พวกเขาสามารถกระทำได้จนกระทั่งพวกเขาอาจจะมาถึงซึ่งการมีความสุขและความพอใจ และสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมในระดับที่พวกเขาเพียรพยายามให้ได้มา ไม่สำคัญว่าพวกเขากำหนดมาตรฐานใดให้ตัวพวกเขาเอง หากมาตรฐานเหล่านั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับความจริง และพวกเขาไม่แสวงหาความจริง หรือพยายามที่จะเข้าใจและยืนยันสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากพวกเขาก่อนที่จะลงมือกระทำ โดยกลับกระทำอย่างมืดบอด ด้วยความสับสนว้าวุ่นแทน เช่นนั้นแล้ว สิ่งพวกเขากำลังทำอยู่ก็คือแค่การทุ่มเท พวกเขากำลังกระทำไปตามความปรารถนาของพวกเขาเอง โดยอาศัยความคิดจิตใจของพวกเขาเองหรือพรสวรรค์ของพวกเขา หรือด้วยกำลังอิทธิพลจากความสามารถหรือทักษะของพวกเขาเอง อะไรคือผลสืบเนื่องจากการที่กระทำในหนทางนี้? กิจนั้นอาจได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วง และบางทีอาจไม่มีผู้ใดพบความผิดกับกิจนั้น และเจ้าอาจรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง—แต่ในครรลองแห่งการทำกิจนั้น ประการแรกเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และประการที่สอง เจ้าไม่ได้กระทำด้วยใจทั้งหมดของเจ้า ความคิดจิตใจทั้งหมดของเจ้า และเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า—เจ้าไม่ได้ทุ่มเททั้งหัวใจของเจ้าในกิจนั้น หากเจ้าได้แสวงหาความจริงหลักธรรม และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงจะได้ทำกิจนั้นสำเร็จลุล่วงไปแล้วเก้าในสิบส่วน และเจ้าก็คงจะได้มีความสามารถที่จะเข้าไปสู่ความจริงความเป็นจริงแล้วด้วยเช่นกัน และสามารถที่จะเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจ้ากระทำไปอย่างประมาทเลินเล่อและอย่างส่งเดช ถึงแม้ว่ากิจนั้นจะทำเสร็จแล้ว ในใจของเจ้าก็คงจะหารู้ไม่ว่ากิจนั้นทำเสร็จไปได้ดีเพียงใด เจ้าคงจะไม่มีเกณฑ์มาตรฐาน และเจ้าคงจะไม่รู้ว่าการนั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น ในการพรรณนาถึงผลงานการปฏิบัติหน้าที่ใดในสภาวะเช่นนี้นั้น สองคำก็คงจะเพียงพอแล้ว—นั่นก็คือ การทุ่มเทตัวเจ้าเอง
ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีเท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยได้ และมีเพียงโดยการทำกิจทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาจนครบบริบูรณ์เท่านั้น ผลงานการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราจึงจะเป็นที่น่าพึงพอใจ การทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงนั้นมีมาตรฐานอยู่ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน” การรักพระเจ้าคือหนึ่งแง่มุมของสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อผู้คน ในความจริงนั้น ตราบเท่าที่พระเจ้าได้ทรงมอบพระบัญชาแก่ผู้คน และตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อในพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ต่อพวกเขา กล่าวคือ ให้พวกเขาปฏิบัติตนด้วยสุดใจของพวกเขา และด้วยสุดจิตของพวกเขา และด้วยสุดความคิดของพวกเขา และด้วยสุดกำลังของพวกเขา หากมีเจ้าอยู่แต่ไม่มีหัวใจของเจ้า—หากมีความทรงจำและความคิดในจิตใจของเจ้าอยู่ แต่ไม่มีหัวใจของเจ้า—และหากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายให้สำเร็จลุล่วงโดยวิถีทางที่เป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง เจ้ากำลังทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงหรือไม่? ดังนั้น สิ่งใดหรือคือมาตรฐานที่เจ้าต้องทำตามเพื่อที่จะลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า และเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีและโดยจงรักภักดี? นั่นคือการทำหน้าที่ของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้า หากเจ้าพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีโดยไม่มีหัวใจที่รักพระเจ้า การนั้นก็จะไม่ได้ผล หากความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเติบโตแข็งแกร่งมากขึ้นและจริงแท้มากขึ้นตลอดเวลา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้าไปโดยธรรมชาติเอง
ตัดตอนมาจาก “สิ่งที่ผู้คนพึ่งพาอย่างแท้จริงมาโดยตลอดในการดำรงชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในสภาวะจิตใจเช่นนี้ “หากใครบางคนนำทาง ฉันจะติดตาม ฉันจะติดตามพวกเขาไปไม่ว่าที่ใดก็ตามที่พวกเขาจะนำทางไป และทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาขอให้ฉันทำ” ในอีกแง่หนึ่ง การรับความรับผิดชอบหรือความใส่ใจหรือการให้ความสนใจเป็นพิเศษเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้และเป็นราคาที่พวกเขาไม่เต็มใจจะจ่าย พวกเขามีส่วนร่วมในการใช้แรงกาย แต่พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในความรับผิดชอบ นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแท้จริง เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเอาใจใส่หน้าที่ของเจ้า หากคนเรามีหัวใจ เขาต้องสามารถใช้มันได้ หากใครบางคนไม่เคยใช้หัวใจของเขา นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีหัวใจ และคนที่ไม่มีหัวใจไม่สามารถบรรลุถึงความจริงได้! เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถบรรลุถึงความจริงได้? พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะเอาใจใส่ในการล่วงรู้การประทานความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า หรือวิธีที่จะเอาใจใส่ในการพินิจพิจารณา หรือในการแสวงหาความจริง หรือในการแสวงหา การทำความเข้าใจและแสดงการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเจ้ามีสภาวะเหล่านั้นที่พวกเจ้าสามารถสงบใจอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้บ่อยครั้ง และในสภาวะซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและไม่ว่าหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งใด พวกเจ้าก็สามารถที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้บ่อยครั้ง และใช้หัวใจของพวกเจ้าพินิจพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า และเอาใจใส่ในการแสวงหาความจริงและการพินิจพิจารณาว่าหน้าที่ของพวกเจ้าควรได้รับการปฏิบัติเช่นไรหรือไม่? มีเวลาอย่างนั้นมากมายหลายครั้งหรือไม่? พวกเจ้าจำเป็นต้องทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อการเอาใจใส่หน้าที่ของพวกเจ้าและการสามารถรับผิดชอบ—การเพียงแค่พูดถึงมันนั้นไม่พอ หากพวกเจ้าไม่ได้เอาใจใส่หน้าที่ของพวกเจ้า แต่กลับต้องการที่จะใช้แรงกายแทนอยู่ตลอด เช่นนั้นแล้วหน้าที่ของพวกเจ้าก็ย่อมจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเป็นแน่แท้ พวกเจ้าจะทำพอให้แล้วเสร็จไปแต่เพียงเท่านั้น และพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างดีเพียงใด หากเจ้าเอาใจใส่มัน เจ้าก็จะค่อยๆ มาเข้าใจความจริง หากเจ้าไม่เอาใจใส่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่เข้าใจ เมื่อเจ้าเอาใจใส่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อนั้นเจ้าก็กลายเป็นค่อยๆ สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ สามารถค้นพบความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเจ้าเองได้ และสามารถเป็นนายเหนือสภาวะอันหลากหลายทั้งหมดของเจ้าได้ หากเจ้าไม่ใช้หัวใจของเจ้าเพื่อตรวจสอบตัวเจ้าเอง และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความพยายามภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะค้นพบสภาวะอันแตกต่างกันซึ่งเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้า และปฏิกิริยาทั้งหมดที่เจ้ามีต่อสภาพแวดล้อมภายนอกซึ่งแตกต่างกัน หากเจ้าไม่ใช้หัวใจของเจ้าเพื่อตรวจสอบตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว ย่อมจะเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาในหัวใจของเจ้า ดังนั้น เจ้าจึงต้องใช้หัวใจของเจ้าและความซื่อสัตย์ของเจ้าในการสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า ในการใช้หัวใจและความซื่อสัตย์ของเจ้าในการนมัสการพระเจ้านั้น เจ้าต้องมีหัวใจที่สงบและจริงใจ ในส่วนลึกที่ลึกที่สุดของหัวใจของเจ้า เจ้าต้องรู้จักที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าและความจริง และเจ้าต้องพินิจพิจารณาว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีได้อย่างไร พินิจพิจารณาว่ามีส่วนใดของหน้าที่ของเจ้าที่เจ้ายังไม่เข้าใจและว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร โดยการคิดถึงสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้งในหัวใจของเจ้าเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง หากสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพินิจพิจารณาอยู่บ่อยครั้งในหัวใจของเจ้า และหัวใจของเจ้ากลับเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายของจิตใจหรือสิ่งภายนอกทั้งหลาย วุ่นวายอยู่กับสิ่งเหล่านั้นที่ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการใช้หัวใจและความซื่อสัตย์ของเจ้าในการนมัสการพระเจ้า—ไม่มีสิ่งใดเลยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ว่านี้—เช่นนั้นแล้วเจ้าสามารถได้มาซึ่งความจริงกระนั้นหรือ? เจ้ามีสัมพันธภาพกับพระเจ้ากระนั้นหรือ?
ตัดตอนมาจาก “โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เราจะดูทีว่าเราสามารถทำได้น้อยนิดเพียงใด สิ่งใดที่เราสามารถหลบพ้นได้ เมื่อท่าทีของพวกเจ้าที่มีต่อหน้าที่ของพวกเจ้าก็คือ เจ้าเดินลากเท้าโดยไม่คำนึงว่าเจ้าเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าไปนานเท่าใด แต่หากพวกเจ้าได้จริงจังต่อสิ่งทั้งหลาย เจ้าก็คงจะทำมันเสร็จลงไปแล้วโดยไม่ได้ใช้เวลามากมายแต่อย่างใดเลย มีบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้น เราจึงให้คำแนะนำที่ตรงชัดแก่พวกเจ้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิด เจ้าแค่จำเป็นต้องรับฟังและนำมันไปสานต่อ—แต่ทว่า แม้แต่การนั้นก็ยังเกินไปสำหรับพวกเจ้า ความจงรักภักดีของพวกเจ้าอยู่ที่ใดหรือ? ไม่สามารถพบเห็นมันได้ที่ใดเลย! พวกเจ้าล้วนดีแต่พูดและไม่มีหัวใจ แม้แต่ในยามที่หัวใจของเจ้าเข้าใจ เจ้าก็ไม่ทำอะไรเลย นี่คือใครบางคนผู้ซึ่งไม่รักความจริง! หากเจ้าสามารถมองเห็นมันได้ด้วยสองตาของเจ้าและรู้สึกถึงมันได้ในหัวใจของเจ้าแต่ก็ยังคงไม่ทำอะไรเลย เช่นนั้นแล้ว จะมีหัวใจสักดวงไปไยเล่า? เศษมโนธรรมของเจ้าไม่บริหารปกครองการกระทำของเจ้า มันไม่ชี้นำความคิดทั้งหลายของเจ้า—ดังนั้น มโนธรรมของเจ้ามีประโยชน์อันใดหรือ? มันไม่นับเป็นสิ่งใดเลย มันเป็นแค่สิ่งประดับประดาเท่านั้น ความเชื่อของมนุษย์นั้นช่างน่าสังเวชอย่างแท้จริง! และสิ่งใดหรือที่น่าสังเวชเกี่ยวกับมัน? แม้แต่เมื่อเขาเข้าใจความจริงโดยแท้ เขาก็ไม่นำไปสู่การปฏิบัติ แม้เมื่อเขาเห็นปัญหา เขาก็ไม่พยายามและยอมที่จะรับผิดชอบต่อปัญหานั้น เขารู้ว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเขา แต่เขาก็ไม่ใส่ใจกับปัญหานั้น หากเจ้าไม่ยอมรับความรับผิดชอบทั้งหลายที่อยู่ภายในกำมือของเจ้า อะไรเล่าคือคุณค่าของความรับผิดชอบอันขาดแคลนเหล่านั้นที่เจ้ารับภาระหน้าที่อยู่? ความรับผิดชอบเหล่านั้นส่งผลอันใดหรือ? เจ้าก็แค่กำลังใช้ความพยายามแบบขอไปที โดยการกล่าวสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งความพยายามนั้น เจ้าไม่ทุ่มหัวใจเข้าไปในความพยายามนั้น แล้วนับประสาอะไรที่เจ้าจะทุ่มกำลังวังชาทั้งหมดเข้าไป นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปจนถึงมาตรฐานที่ยอมรับได้ ไม่มีความจงรักภักดีเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เจ้าก็แค่กำลังดำรงชีวิตอยู่โดยการอาบเหงื่อต่างน้ำ เอาตัวรอดไปให้ได้ในฐานะผู้ติดตามของพระเจ้า ความเชื่อเช่นนี้มีนัยสำคัญอันใดอยู่บ้างหรือไม่? ความเชื่อเช่นนั้นช่างขี้ปะติ๋วยิ่งนัก—มันมีค่าคู่ควรอันใดหรือ? เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องจ่ายราคา เจ้าต้องจริงจังกับมัน การจริงจังต่อการปฏิบัติหน้าที่หมายถึงสิ่งใดหรือ? การจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่มิใช่หมายถึงการใช้ความพยายามเล็กน้อยหรือการทนทุกข์กับความทรมานทางกายบางอย่าง สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือว่า ในหัวใจของเจ้ามีพระเจ้าและมีภาระหนึ่งอยู่ ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าต้องให้น้ำหนักความสำคัญของหน้าที่ของเจ้า และจากนั้นก็พกพาภาระและความรับผิดชอบนี้ไปในทุกสิ่งที่เจ้าทำและใส่หัวใจเข้าไปในสิ่งนั้น เจ้าต้องทำให้ตัวเองมีค่าคู่ควรต่อภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปเพื่อเจ้า และความหวังทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงมีต่อเจ้า เฉพาะการทำดังนั้นเท่านั้นจึงเป็นการมีความจริงจัง ไม่มีประโยชน์ในการที่เจ้าแสร้งทำท่าขยับเคลื่อนไหวตบตา เจ้าอาจใช้เล่ห์เพทุบายกับผู้คนได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ หากไม่มีราคาจริงและไม่มีความจงรักภักดีในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงมาตรฐาน หากเจ้าไม่จริงจังกับความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าแสร้งทำท่าขยับเคลื่อนไหวตบตาอยู่เสมอและแค่ขอไปทีในการกระทำทั้งหลายของเจ้าอย่างที่ผู้ไม่เชื่อคนหนึ่งกำลังทำงานให้กับนายของพวกเขา นั่นคือ หากเจ้าเพียงใช้ความพยายามพอเป็นพิธี โดยการอาศัยโชคช่วยให้ผ่านไปในแต่ละวันที่มาถึง เพิกเฉยต่อปัญหายุ่งเหยิงทั้งหลายเมื่อเจ้ามองเห็นปัญหาเหล่านั้น เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และมองผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองไปอย่างไม่เลือกหน้า—เช่นนั้นแล้ว นี่มิใช่ความเดือดร้อนหรอกหรือ? ใครบางคนเช่นนี้สามารถเป็นสมาชิกของครัวเรือนของพระเจ้าได้หรือ? ผู้คนเช่นนั้นเป็นพวกคนนอก พวกเขาไม่ใช่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าย่อมชัดเจนเกี่ยวกับการที่ว่าเจ้ากำลังจริงจัง กำลังจริงแท้หรือไม่ในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำบัญชีไว้เช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าเคยจริงจังต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าเคยนำมันมาใส่ในหัวใจบ้างหรือไม่? เจ้าได้ปฏิบัติต่อมันอย่างเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เป็นภาระผูกพันของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าได้รับสภาพความเป็นเจ้าของของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าเคยพูดขึ้นบ้างหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้ค้นพบปัญหาในยามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า? หากเจ้าไม่เคยพูดขึ้นเลยหลังจากที่ค้นพบปัญหา และไม่แม้แต่จะคิดพยายามที่จะทำ หากเจ้าไม่ยอมทำให้ตัวเองเป็นกังวลอยู่กับสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น และคิดว่ายิ่งปัญหาน้อยก็ยิ่งดี—หากนั่นเป็นหลักธรรมที่เจ้าใช้กับสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือ เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่โดยอาบเหงื่อต่างน้ำ เจ้ากำลังทำงานปรนนิบัติ พวกคนทำงานปรนนิบัติไม่ใช่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นลูกจ้าง นั่นคือ หลังเสร็จงานของพวกเขา พวกเขาก็รับเงินของพวกเขาและจากไป แต่ละคนไปตามหนทางของตัวเองและกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน นั่นคือสัมพันธภาพของพวกเขากับพระนิเวศของพระเจ้า สมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้านั้นต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขารับความเจ็บปวดเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาเข้ารับความรับผิดชอบ สองตาของพวกเขามองเห็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็เก็บกิจเหล่านั้นไว้ในใจเสมอ พวกเขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาคิดและมองเห็น พวกเขามีภาระ พวกเขามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบ—เหล่านี้คือสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าได้เอื้อมถึงจุดนี้หรือยัง? (ยัง) เช่นนั้นแล้ว หนทางของพวกเจ้าก็ยังอีกยาวไกล ดังนั้นเจ้าจึงต้องคอยไล่ตามเสาะหาต่อไป! หากเจ้าไม่พิจารณาว่าตัวเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า—เจ้านับตัวเจ้าว่าอยู่นอกพระนิเวศของพระองค์—เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงมองเจ้าอย่างไรหรือ? พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าดั่งเป็นคนนอก เป็นตัวเจ้านั่นเองที่วางตัวเจ้าเลยพ้นประตูของพระองค์ไป ดังนั้นพูดตามจริงก็คือ เจ้าไม่อยู่ในพระนิเวศของพระองค์ การนี้มีอันใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือกำหนดพิจารณาหรือไม่? เป็นเจ้านั่นเองที่ได้วางปลายทางและตำแหน่งของเจ้าไว้ภายนอกพระนิเวศของพระเจ้า—ตรงนั้นมีใครอื่นให้ตำหนิหรือ?
ตัดตอนมาจาก “การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีอย่างน้อยที่สุดพึงต้องมีมโนธรรม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
จากภายนอก ผู้คนบางคนไม่ได้ดูเหมือนว่ามีปัญหาร้ายแรงอันใด พวกเขาไม่เป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักหรือความไม่สงบ หรือทำสิ่งที่คนเลวทำ และพวกเขาไม่เดินบนเส้นทางของพวกศัตรูของพระคริสต์ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่มีความผิดพลาดหรือปัญหาอันใดเกี่ยวกับหลักธรรมเกิดขึ้น แต่กระนั้น โดยไม่ได้ตระหนัก พวกเขากลับถูกเปิดโปง เหตุใดนี่จึงเป็นเช่นนั้นเล่า? ผู้คนไม่สามารถมองเห็นประเด็นปัญหาได้ แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนในสุดของพวกเขา และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นปัญหานั้น เมื่อเวลาผ่านไปและพวกเขายังคงไม่กลับใจ พวกเขาควรที่จะถูกเปิดโปง การยังคงไม่กลับใจหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าพวกเขาปฏิบัติตนด้วยท่าทีที่ผิด ท่าทีแห่งความสะเพร่าและการขอไปที ท่าทีลำลองตามสบาย และพวกเขาไม่มีมโนธรรมเลย นับประสาอะไรที่จะอุทิศตน พวกเขาอาจทุ่มความพยายามเล็กน้อย แต่พวกเขาก็แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธี พวกเขาไม่ทุ่มเททั้งหมดของพวกเขาให้กับการนั้น และการฝ่าฝืนของพวกเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุด จากตำแหน่งที่ได้เปรียบของพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทอดพระเนตรเห็นพวกเขากลับใจหรือทอดพระเนตรเห็นพวกเขาเปลี่ยนแปลงท่าทีที่สะเพร่าและขอไปทีของพวกเขา—นั่นคือ พวกเขาไม่ปล่อยวางความชั่วในมือของพวกเขาและกลับใจต่อพระองค์ พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เห็นท่าทีแห่งการกลับใจใหม่ในตัวพวกเขา และพระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นการพลิกกลับในท่าทีของพวกเขา พวกเขายืนกรานในการคำนึงถึงหน้าที่ของพวกเขาและพระบัญชาของพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นนั้นและวิธีการเช่นนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดในอุปนิสัยอันดื้อดึงและหัวแข็งนี้โดยตลอด และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่เคยรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า ไม่เคยรู้สึกว่าความสะเพร่าและการขอไปทีของพวกเขาเป็นการฝ่าฝืน การทำชั่ว ในหัวใจของพวกเขา ไม่มีความเป็นหนี้เลย ไม่มีความรู้สึกผิดเลย ไม่มีการตำหนิตนเองเลย และนับประสาอะไรที่จะมีการกล่าวหาตนเอง และเมื่อเวลาผ่านไปนาน พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าบุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนากี่คำหรือพวกเขาเข้าใจความจริงมากเพียงใด หัวใจของพวกเขาไม่ได้รับการดลใจและท่าทีของพวกเขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนหรือกลับตัว พระเจ้าจึงตรัสว่า “ไม่มีความหวังใดเลยสำหรับบุคคลผู้นี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดสัมผัสหัวใจของพวกเขา และไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดที่ทำให้พวกเขากลับตัว ไม่มีวิถีทางในการเปลี่ยนแปลงพวกเขา บุคคลนี้ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่เหมาะที่จะให้การปรนนิบัติในบ้านของเรา” แล้วเหตุใดนี่จึงเป็นเช่นนั้น? นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงาน ไม่สำคัญว่าจะหยิบยื่นความอดกลั้นและความอดทนให้พวกเขามากเพียงใด นั่นไม่มีผลใดเลยและไม่สามารถทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้ นั่นไม่สามารถทำให้พวกเขาดีขึ้นได้ นั่นไม่สามารถเปิดโอกาสให้พวกเขาเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงได้ บุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาว่าบุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา พระองค์จะยังคงทรงควบคุมเขาอย่างเข้มงวดหรือไม่? พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงปล่อยพวกเขาไป ผู้คนบางคนขอร้องอยู่เสมอว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างเบามือเถิด อย่าทรงทำให้ข้าพระองค์ทนทุกข์เลย อย่าทรงบ่มวินัยข้าพระองค์เลย ขอทรงโปรดมอบอิสรภาพให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด! ขอทรงโปรดปล่อยให้ข้าพระองค์ทำสิ่งทั้งหลายอย่างสะเพร่าและขอไปทีสักเล็กน้อยเถิด! ขอทรงโปรดปล่อยให้ให้ข้าพระองค์เหลวแหลกสักหน่อยเถิด!” พวกเขาไม่ต้องการที่จะถูกเหนี่ยวรั้ง พระเจ้าตรัสว่า “เนื่องจากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว เราจะปล่อยเจ้าไป เราจะให้อิสระอย่างเต็มที่แก่เจ้า จงไปทำสิ่งที่เจ้าต้องการ เราจะไม่ช่วยเจ้าให้รอด ด้วยเหตุที่เจ้าเกินกว่าจะเยียวยา” พวกที่เกินกว่าจะเยียวยามีสำนึกมโนธรรมอันใดหรือไม่? พวกเขามีสำนึกถึงความเป็นหนี้อันใดหรือไม่? พวกเขามีสำนึกถึงการกล่าวหาอันใดหรือไม่? พวกเขามีความสามารถที่จะสำนึกถึงการตำหนิ การบ่มวินัย การเฆี่ยนตี และการพิพากษาของพระเจ้าได้หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงการนั้นได้ พวกเขาไม่ตระหนักถึงสิ่งอันใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เลือนรางในหัวใจของพวกเขา หรือแม้กระทั่งไม่มีอยู่ เมื่อบุคคลได้มาถึงช่วงระยะนี้ โดยที่พระเจ้าไม่ทรงอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป พวกเขายังคงสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่? นั่นยากลำบากที่จะพูด เมื่อความเชื่อของคนเราได้มาถึงจุดดังกล่าว พวกเขาก็เดือดร้อน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร พวกเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร และพวกเจ้าควรเลือกเส้นทางใด เพื่อหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องที่ตามมานี้และประกันว่าสภาวะเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อันดับแรกต้องเลือกเส้นทางที่ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ ณ ปัจจุบันให้ดี นี่เองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สะท้อนข้อผูกมัดซึ่งเชื่อมโยงเจ้ากับพระเจ้าโดยตรงและสามารถรู้สึกได้ที่สุดก็คือ วิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อเรื่องทั้งหลายซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าและกิจทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้เจ้า และท่าทีที่เจ้ามี สิ่งที่เป็นที่สังเกตเห็นได้โดยตรงที่สุดคือประเด็นปัญหานี้ เมื่อเจ้าได้จับความเข้าใจจุดสำคัญยิ่งยวดนี้และปฏิบัติพระบัญชาที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าลุล่วงแล้ว สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะเป็นปกติ หากเมื่อพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายกิจหนึ่งให้เจ้า หรือตรัสบอกเจ้าให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะอย่างหนึ่ง ท่าทีของเจ้านั้นเป็นแบบลวกๆ และไม่แยแส และเจ้าไม่มองการนั้นเป็นลำดับความสำคัญ การนี้ไม่ตรงกันข้ามกับการมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าอย่างแน่นอนหรอกหรือ? ดังนั้นแล้ว ท่าทีของเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจึงมีความสำคัญยิ่งยวด วิธีการและเส้นทางที่เจ้าเลือกก็เช่นกัน สิ่งใดคือผลลัพธ์ของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างลวกๆ และรีบเร่ง และการปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้า อย่างไม่สลักสำคัญ? นั่นเป็นการปฏิบัติงานที่แย่ต่อหน้าที่ของเจ้า แม้ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดีได้ก็ตาม—การปฏิบัติงานของเจ้าจะไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และพระเจ้าจะไม่พึงพอพระทัยกับท่าทีของเจ้าที่มีต่อหน้าที่ของเจ้า หากเดิมทีเจ้าได้แสวงหาและร่วมมืออย่างเป็นปกติ หากเจ้าได้อุทิศความคิดทั้งหมดของเจ้าแก่หน้าที่นั้น หากเจ้าได้ใส่ หัวใจและดวงจิตของเจ้าเข้าไปในการทำหน้าที่นั้น และทุ่มความพยายามทั้งหมดของเจ้าให้กับหน้าที่นั้น และได้อุทิศการตรากตรำของเจ้าในช่วงเวลาหนึ่ง การเพียรพยายามของเจ้า และความคิดของเจ้าให้หน้าที่นั้น หรือได้อุทิศเวลาบางส่วนให้กับวัสดุอ้างอิง และหมายมั่น หมดทั้ง จิตใจและกายของเจ้ากับหน้าที่นั้น หากเจ้าได้มีความสามารถที่จะให้ความร่วมมือเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าคงจะทรงอยู่เบื้องหน้าเจ้าและนำทางเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทพละกำลังมากมาย เมื่อเจ้าใช้ความพยายามทั้งหมด ในการร่วมมือ พระเจ้าย่อมจะทรงได้จัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้าไว้แล้ว หากเจ้าหัวหมอ และคิดคดทรยศ และเมื่อผ่านการงานไปได้ครึ่งทาง เจ้ามีการเปลี่ยนใจและหลงเจิ่น เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงความสนพระทัยในตัวเจ้า เจ้าจะได้เสียโอกาสเหมาะนี้ไปแล้ว และพระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าไม่ดีพอ เจ้าไร้ประโยชน์ จงหลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง เจ้าชอบการเกียจคร้าน ไม่ใช่หรือ? เจ้าชอบการมีเล่ห์ลวงและฉลาดแกมโกงไม่ใช่หรือ? เจ้าชอบการหยุดพักหรือ? เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็จงหยุดพัก” พระเจ้าจะทรงให้พระคุณและโอกาสเหมาะนี้แก่บุคคลถัดไป พวกเจ้าจะพูดอะไรเล่า นี่คือความพ่ายแพ้หรือชัยชนะ? นี่คือความพ่ายแพ้อันใหญ่หลวง!
ตัดตอนมาจาก “วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
สำหรับผู้คนบางคน ไม่สำคัญว่า ประเด็นปัญหาใดที่พวกเขาอาจจะเผชิญเมื่อกำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติตนไปตามความคิด มโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความอยากได้อยากมีทั้งหลายของพวกเขาเสมอ พวกเขากำลังสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขานั้นก็มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือการกระทำของพวกเขาเสมอ แม้ว่าพวกเขาอาจทำหน้าที่ของพวกเขาครบบริบูรณ์ตามที่พวกเขาได้ถูกมอบหมาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับความจริงอันใดเลย ดังนั้นอะไรเล่าคือสิ่งที่ผู้คนดังกล่าวพึ่งพาตอนที่พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา? พวกเขาไม่ได้กำลังพึ่งพาทั้งความจริงและพระเจ้า ความจริงน้อยนิดที่พวกเขาเข้าใจจริงๆ ไม่ได้เริ่มต้นอำนาจอธิปไตยในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังพึ่งพาพรสวรรค์และความสามารถทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง พึ่งพาความรู้อันใดก็ตามที่พวกเขาหามาได้ และพึ่งพาความสามารถพิเศษของพวกเขา ตลอดจนพลังใจ หรือเจตนาดีทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง เพื่อที่จะทำหน้าที่เหล่านี้ให้ครบบริบูรณ์ นี่คือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่แตกต่างไปมิใช่หรือ? แม้ว่าบางคราวเจ้าอาจพึ่งพาความเป็นธรรมชาติ จินตนาการ มโนคติที่หลงผิด ความรู้และการเรียนรู้ของเจ้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง แต่ก็ไม่มีประเด็นปัญหาในเรื่องของหลักธรรมผุดขึ้นในบางสิ่งที่เจ้าทำเลย โดยผิวเผินแล้ว ดูราวกับว่าเจ้ายังไม่ได้ใช้เส้นทางที่ผิด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถถูกมองข้าม นั่นคือ ในช่วงระหว่างกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ ความอยากส่วนบุคคลทั้งหลายของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและไม่เคยได้รับการแทนที่ด้วยความจริง และหากการกระทำและความประพฤติของเจ้านั้นไม่เคยทำไปโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วบทอวสานสุดท้ายจะเป็นอย่างไร? เจ้าก็จะกลายเป็นคนปรนนิบัติคนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์อย่างตรงชัดว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23) เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงเรียกผู้คนเหล่านี้ผู้ทุ่มเทความพยายามและผู้ทำการปรนนิบัติว่า “เจ้าผู้ทำความชั่ว”? มีประเด็นหนึ่งที่พวกเราสามารถแน่ใจได้ และนั่นก็คือว่า ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้ทำหน้าที่หรืองานอะไร แรงจูงใจ แรงกระตุ้น เจตนา และความคิดทั้งหลายของพวกเขาย่อมเกิดขึ้นโดยทั้งหมดทั้งสิ้นจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขานั้น โดยรวมแล้วมีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดกับผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง และความคำนึงถึงและแผนการของพวกเขานั้นก็วนเวียนอยู่กับความมีหน้ามีตา สถานะ ความไร้ค่า และความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขา ลึกลงไปนั้น พวกเขาไม่ครองความจริงอยู่เลย และพวกเขาก็ไม่ปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว สิ่งใดหรือที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับพวกเจ้าที่จะต้องแสวงหาในตอนนี้? (พวกเราควรแสวงหาความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า) สิ่งใดหรือที่พวกเจ้าควรทำอย่างเฉพาะเจาะจงในตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเจ้าอยู่โดยสอดคล้องไปกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า? เมื่อคำนึงถึงเจตนาและแนวคิดทั้งหลายของเจ้าในตอนที่กำลังทำบางสิ่งบางอย่าง เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะหยั่งรู้ว่าเจตนาและแนวคิดเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ ตลอดจนหยั่งรู้ว่าเจตนาและแนวคิดทั้งหลายของเจ้านั้นถูกออกแบบมาเพื่อการลุล่วงความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวเจ้าเองหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า หากเจตนาและแนวคิดทั้งหลายของเจ้านั้นสอดคล้องไปกับความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมสามารถทำหน้าที่ของเจ้าไปในแนวเดียวกับการคิดของเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจตนาและแนวคิดเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องหันหลังกลับและทิ้งเส้นทางนั้นอย่างรวดเร็ว เส้นทางนั้นไม่ถูก และเจ้าไม่สามารถฝึกฝนปฏิบัติแบบนั้นได้ หากเจ้ายังคงเดินบนเส้นทางนั้นต่อไปแล้วไซร้ เจ้าย่อมจบลงตรงการกระทำความชั่ว
ตัดตอนมาจาก “วิธีได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในหน้าที่ของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เปโตรได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับการจัดการและกระบวนการถลุง เขาได้กล่าวว่า “ฉันจะทำให้สมดังที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาตลอดเวลา ในทั้งหมดที่ฉันทำฉันเพียงพยายามที่จะทำให้สมดังที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาเท่านั้น และไม่ว่าฉันจะถูกตีสอนหรือถูกพิพากษาหรือไม่ก็ตาม ฉันยังคงมีความสุขที่จะทำเช่นนั้น” เปโตรได้มอบทั้งหมดของเขาแด่พระเจ้า และงาน คำพูด และชีวิตทั้งชีวิตของเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการรักพระเจ้า เขาเป็นใครบางคนที่ได้แสวงหาความบริสุทธิ์ และยิ่งเขาได้รับประสบการณ์มากขึ้นเท่าใด ความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าลึกลงไปภายในหัวใจของเขาก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เปาโลทำงานภายนอกเท่านั้น และแม้ว่าเขาได้ทำงานหนักเช่นกัน การตรากตรำของเขาก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการทำงานของเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมและด้วยเหตุนี้จึงได้รับบำเหน็จ หากเขาได้รู้ว่าเขาจะไม่ได้รับบำเหน็จใด เขาคงจะละทิ้งงานของเขาไปแล้ว สิ่งที่เปโตรใส่ใจคือความรักจริงแท้ภายในหัวใจของเขา และสิ่งซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสามารถสัมฤทธิ์ได้ เขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับการที่เขาจะได้รับบำเหน็จหรือไม่ แต่เกี่ยวกับการที่อุปนิสัยของเขาจะสามารถได้รับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เปาโลใส่ใจกับการทำงานหนักขึ้นทุกที เขาใส่ใจกับงานภายนอกและการเฝ้าเดี่ยว และกับคำสอนที่ผู้คนปกติไม่ได้รับประสบการณ์ เขาไม่ใส่ใจเลยสำหรับการเปลี่ยนแปลงลึกลงไปภายในตัวเขา อีกทั้งความรักจริงแท้ที่มีแด่พระเจ้า ประสบการณ์ของเปโตรนั้นเป็นไปเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความรักที่แท้จริงและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า ประสบการณ์ของเขาเป็นไปเพื่อที่จะได้รับสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดขึ้นกับพระเจ้า และเพื่อที่จะมีการดำเนินชีวิตที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง งานของเปาโลกระทำไปเพราะการนั้นที่พระเยซูได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขา และเพื่อที่จะได้รับสิ่งทั้งหลายที่เขาได้ถวิลหารอคอย กระนั้นเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวโยงกับความรู้ของเขาเกี่ยวกับตัวเขาเองและพระเจ้า งานของเขาเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการหลีกหนีการตีสอนและการพิพากษาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่เปโตรได้แสวงหาคือความรักบริสุทธิ์ และสิ่งที่เปาโลได้แสวงหาคือมงกุฎแห่งความชอบธรรม เปโตรได้รับประสบการณ์กับหลายปีแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้มีความรู้อันสัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับพระคริสต์ ตลอดจนความรู้อันลุ่มลึกเกี่ยวกับตัวเขาเอง และดังนั้น ความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าจึงบริสุทธิ์ หลายปีแห่งกระบวนการถลุงได้ยกระดับความรู้ของเขาเกี่ยวกับพระเยซูและชีวิต และความรักของเขาเป็นความรักอันปราศจากเงื่อนไข เป็นความรักที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเขาไม่ได้ขออะไรเป็นการตอบแทน อีกทั้งไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดเลย เปาโลได้ทำงานเป็นเวลาหลายปี กระนั้นเขาก็ไม่ได้ครองความรู้อันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับพระคริสต์ และความรู้ของเขาเกี่ยวกับตัวเขาเองก็น้อยนิดอย่างน่าสมเพชเช่นกัน เขาแค่ไม่มีความรักแด่พระคริสต์ และงานของเขาและครรลองที่เขาได้โลดแล่นไปนั้นก็เพื่อที่จะได้รับพวงมาลัยเกียรติยศสุดท้าย สิ่งที่เขาได้แสวงหานั้นคือมงกุฎอันประณีตงดงามที่สุด ไม่ใช่ความรักบริสุทธิ์ เขาไม่ได้แสวงหาอย่างแข็งขัน แต่อย่างนิ่งเฉย เขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขา แต่ถูกบีบให้ทำการไล่ตามเสาะหาของเขาหลังจากที่ได้ถูกเกาะกุมด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดังนั้น การไล่ตามเสาะหาของเขาจึงไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เปโตรต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ของเขา มนุษย์คิดว่าบรรดาทั้งหมดที่มีส่วนร่วมสนับสนุนแด่พระเจ้าควรได้รับบำเหน็จ และว่ายิ่งส่วนร่วมสนับสนุนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งถือเป็นของตายได้มากขึ้นเท่านั้นว่าพวกเขาควรได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า แก่นแท้ของทัศนคติของมนุษย์นั้นเป็นไปในเชิงธุรกรรม และเขาไม่พยายามอย่างแข็งขันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า สำหรับพระเจ้านั้น ยิ่งผู้คนแสวงหาความรักที่แท้จริงที่มีให้พระเจ้าและความเชื่อฟังโดยครบบริบูรณ์ต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด ซึ่งหมายถึงการพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าด้วยเช่นกัน พวกเขาก็จะยิ่งสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ทัศนคติของพระเจ้าก็คือเพื่อทรงเรียกร้องให้มนุษย์ฟื้นคืนหน้าที่และสถานะดั้งเดิมของเขา มนุษย์คือสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และดังนั้นแล้วมนุษย์จึงไม่ควรล้ำเส้นด้วยตัวเขาเองโดยการเรียกร้องอันใดจากพระเจ้า และไม่ควรทำสิ่งใดมากไปกว่าปฏิบัติหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า บั้นปลายของเปาโลและเปโตรนั้นประเมินตามการที่พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ใช่ตามขนาดของการมีส่วนร่วมสนับสนุนของพวกเขา บั้นปลายของพวกเขานั้นกำหนดพิจารณาตามสิ่งซึ่งพวกเขาได้แสวงหาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่ตามการที่ว่าพวกเขาได้ทำงานไปมากเพียงใด หรือการประเมินพวกเขาโดยผู้คนอื่น และดังนั้นแล้ว การพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างแข็งขันในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าจึงเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ การแสวงหาเส้นทางแห่งความรักที่แท้จริงแด่พระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด การแสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยดั้งเดิมของคนเรา และการแสวงหาความรักอันบริสุทธิ์ที่มีแด่พระเจ้า คือเส้นทางสู่ความสำเร็จ เส้นทางสู่ความสำเร็จเช่นนั้นคือเส้นทางของการฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมตลอดจนการปรากฏดั้งเดิมของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นั่นเป็นเส้นทางแห่งการฟื้นคืน และนั่นยังเป็นจุดมุ่งหมายของพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนจบด้วยเช่นกัน หากการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์นั้นด่างพร้อยไปด้วยข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อส่วนตัวและการถวิลหาอันไร้เหตุผล เช่นนั้นแล้วผลที่สัมฤทธิ์ได้ก็ย่อมจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของมนุษย์ การนี้ไม่ลงรอยกันกับพระราชกิจแห่งการฟื้นคืน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันไม่ใช่พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติ และดังนั้นแล้วนี่จึงพิสูจน์ว่าการไล่ตามเสาะหาประเภทนี้ไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาที่ไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้านั้นมีนัยสำคัญอันใดเล่า?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน
ทั้งหมดที่เปโตรได้แสวงหานั้นได้เป็นไปสมดังพระทัยของพระเจ้า เขาได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งที่พึงปรารถนา และโดยไม่คำนึงถึงความทุกข์และความทุกข์ยาก เขายังคงเต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งที่พึงปรารถนา ไม่มีการไล่ตามเสาะหาโดยผู้เชื่อในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แล้ว สิ่งที่เปาโลได้แสวงหานั้นด่างพร้อยโดยเนื้อหนังของเขาเอง โดยมโนคติที่หลงผิดของเขาเอง และโดยแผนและกลอุบายของเขาเอง เขาไม่ใช่สิ่งที่ทรงสร้างซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมสิ่งหนึ่งของพระเจ้าในวิถีทางใดเลย ไม่ใช่ใครบางคนที่ได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งที่พึงปรารถนา เปโตรได้พยายามที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และแม้ว่างานที่เขาได้ทำนั้นไม่ยิ่งใหญ่ แต่แรงจูงใจเบื้องหลังการไล่ตามเสาะหาของเขาและเส้นทางที่เขาได้เดินนั้นถูกต้อง แม้ว่าเขาไม่สามารถได้รับผู้คนมากมาย แต่เขาก็สามารถที่จะไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งความจริง เพราะการนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมสิ่งหนึ่งของพระเจ้า วันนี้ ต่อให้เจ้าไม่ใช่คนงาน เจ้าก็ควรจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าและพยายามที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงทั้งมวลของพระเจ้าได้ เจ้าควรจะสามารถเชื่อฟังสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส และได้รับประสบการณ์กับทุกลักษณะของความทุกข์ลำบากและกระบวนการถลุง และแม้ว่าเจ้านั้นอ่อนแอ ในหัวใจของเจ้านั้นเจ้ายังคงควรจะสามารถรักพระเจ้าได้ บรรดาผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อชีวิตของพวกเขาเองนั้นเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และทัศนคติของผู้คนเช่นนั้นเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาเป็นทัศนคติที่ถูกต้อง เหล่านี้คือผู้คนที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมี หากเจ้าได้ทำงานไปมากมาย และผู้อื่นได้รับการสอนจากเจ้า แต่เจ้าเองไม่ได้เปลี่ยนแปลง และไม่ได้เป็นคำพยานใดๆ หรือไม่มีประสบการณ์แท้จริงอันใด จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อสิ้นสุดชีวิตของเจ้า ยังคงเป็นว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าได้ทำไปที่เป็นคำพยาน เช่นนั้นแล้วเจ้าเป็นใครบางคนที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่? เจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? ในกาลสมัยนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงใช้งานเจ้า แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงใช้งานเจ้า พระองค์ได้ทรงใช้ส่วนของเจ้าที่สามารถใช้เพื่อทำงานได้ และพระองค์ไม่ได้ทรงใช้ส่วนของเจ้าที่ไม่สามารถใช้งานได้ หากเจ้าได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงจะค่อยๆ ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในช่วงระหว่างกระบวนการของการถูกใช้งาน กระนั้นก็ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงยอมรับความรับผิดชอบใดสำหรับการที่เจ้าจะได้ถูกรับไว้ในท้ายที่สุดหรือไม่ และการนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของการไล่ตามเสาะหาของเจ้า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยส่วนตัวของเจ้า เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ทัศนคติของเจ้าที่มีต่อการไล่ตามเสาะหานั้นผิด หากเจ้าไม่ได้รับบำเหน็จใด เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นปัญหาของเจ้าเอง และเพราะเจ้าเองยังไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติและไม่สามารถที่จะทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งที่พึงปรารถนาได้ และดังนั้นแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่ไปกว่าประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้า และไม่มีสิ่งใดที่วิกฤติไปกว่าการเข้าสู่ส่วนตัวของเจ้าแล้ว! ผู้คนบางคนจะลงเอยด้วยการกล่าวว่า “ข้าพระองค์ได้ทำงานมากมายเหลือเกินเพื่อพระองค์ และแม้ว่าข้าพระองค์อาจไม่ได้ผลสัมฤทธิ์อันขึ้นชื่อลือนามใดๆ แต่ข้าพระองค์ก็ยังคงขยันหมั่นเพียรในความพยายามของข้าพระองค์เสมอมา พระองค์แค่ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์เพื่อกินผลไม้แห่งชีวิตไม่ได้หรอกหรือ?” เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเรื่องที่มิอาจยอมผ่อนปรนได้ต่อธรรมบัญญัติแห่งฟ้าที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา! ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้เสนอช่องทางอันง่ายดายสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้! เจ้าต้องแสวงหาชีวิต วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง และผู้ที่เต็มใจที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากเจ้าเพียงมุ่งหวังบำเหน็จ และไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า—นี่คือความจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้อย่างหนึ่ง!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ