เมื่อเราพบเจอเหตุการณ์ควรจะรู้จักการปกครองของพระเจ้าอย่างไร เชื่อฟังการจัดเตรียมจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า

วันที่ 07 เดือน 07 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ในความกว้างใหญ่ของจักรวาลและพื้นฟ้า สรรพสิ่งทรงสร้างเกินคณานับดำรงชีวิตอยู่และสืบพันธุ์ ปฏิบัติตามกฎวัฏจักรแห่งชีวิต และยึดมั่นอยู่กับกฎเกณฑ์เดียวซึ่งคงที่ พวกที่ตายไปนำเอาเรื่องราวของการดำเนินชีวิตติดตัวไปด้วย และผู้ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ก็สร้างประวัติอันน่าเวทนาซ้ำแบบเดียวกับพวกที่ดับสูญไปแล้ว และดังนั้น มวลมนุษย์จึงอดไม่ได้ที่จะถามตัวเขาเองว่า พวกเรามีชีวิตไปทำไม? และทำไมพวกเราจึงต้องตาย? ใครบัญชาโลกนี้? และใครสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา? มวลมนุษย์ถูกสร้างโดยแม่ธรณีจริงหรือ? มวลมนุษย์เป็นผู้ควบคุมชะตากรรมของตัวเขาเองจริงหรือ?…เหล่านี้คือคำถามต่างๆ ที่มนุษย์ได้ตั้งคำถามตลอดมาไม่เคยหยุดเป็นเวลาหลายพันปี โชคร้ายก็คือ ยิ่งมนุษย์กลายเป็นย้ำคิดอยู่กับคำถามเหล่านี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งเกิดความกระหายในวิทยาศาสตร์ขึ้นมามากตามกันเท่านั้น วิทยาศาสตร์ให้ความพึงพอใจเพียงรวบรัดและความชื่นชมยินดีเพียงชั่วคราวของเนื้อหนัง แต่ไม่พอเพียงเลยแม้แต่น้อยที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความอ้างว้างเดียวดาย ความเหงา และแค่พอจะปกปิดความสะพรึงกลัวและความท้อแท้สิ้นหวังลึกๆ ภายในวิญญาณของเขาเท่านั้น มนุษยชาติแค่ใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและเข้าใจได้ด้วยสมองเพื่อทำให้หัวใจของเขาหมดความรู้สึก กระนั้นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดมนุษยชาติจากการสำรวจความล้ำลึกทั้งหลาย มนุษยชาติแค่ไม่รู้ว่าใครคือผู้ครองอธิปไตยเหนือจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรกับเรื่องการเริ่มต้นและอนาคตของมนุษยชาติน้อยเข้าไปอีก มนุษยชาติก็แค่มีชีวิตท่ามกลางกฎนี้อย่างจำยอม ไม่มีใครเลยที่สามารถหลีกหนีได้ และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงกฎนี้ได้ เนื่องเพราะท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลและในฟ้าสวรรค์นั้น มีเพียงองค์หนึ่งเดียวตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลผู้ซึ่งทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้มองเห็น องค์หนึ่งเดียวที่มนุษย์ไม่เคยได้รู้จัก เป็นผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์—กระนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งเป่าลมหายใจเข้าไปในบรรพบุรุษของมนุษยชาติ และให้ชีวิตแก่มนุษยชาติ พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้จัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงมนุษยชาติ ให้โอกาสเขาได้ดำรงอยู่ และพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำมนุษยชาติมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ผู้นี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นองค์หนึ่งเดียวซึ่งมนุษยชาติพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล และปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาล พระองค์ทรงบัญชาฤดูกาลทั้งสี่ และเป็นพระองค์ที่ทรงก่อให้เกิดสายลม น้ำค้างแข็ง หิมะ และสายฝน พระองค์ทรงนำพาแสงแดดมาสู่มนุษยชาติ และนำมาซึ่งราตรีกาล เป็นพระองค์ที่ทรงวางแผนผังฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จัดเตรียมเทือกเขา ทะเลสาบ และแม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในนั้นให้กับมนุษย์ กิจการของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน พระปรีชาญาณของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์แต่ละประการเหล่านี้คือรูปจำแลงของกิจการของพระองค์ และแต่ละประการเผยพระปรีชาญาณและสิทธิอำนาจของพระองค์ ใครกันเล่าที่ตัวพวกเขาสามารถจะได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระองค์? และใครกันเล่าที่สามารถปลดตัวพวกเขาเองออกจากการออกแบบของพระองค์? ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การเขม้นมองของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์ กิจการของพระองค์และฤทธานุภาพของพระองค์ไม่ได้ทิ้งทางเลือกไว้ให้กับมนุษย์ นอกเหนือจากให้รับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่จริงและครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่นอกเหนือจากพระองค์สามารถบัญชาจักรวาลได้ นับประสาอะไรกับการจัดเตรียมให้กับมนุษยชาตินี้อย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าเจ้าสามารถระลึกรู้ถึงกิจการของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่าเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่ ไม่มีข้อกังขาใดว่า ชะตากรรมของเจ้านั้นถูกกำหนดโดยพระเจ้า และไม่มีข้อกังขาเลยว่า พระเจ้าจะทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งเสมอ การดำรงอยู่และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่มนุษย์ระลึกรู้ได้และจับใจความได้หรือไม่ มีเพียงพระองค์ที่รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของมนุษย์ และมีเพียงพระองค์ที่สามารถกำหนดชะตากรรมของมนุษยชาติ ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้หรือไม่ อีกไม่นานนัก มนุษยชาติก็จะเป็นพยานรู้เห็นสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยตาของพวกเขาเอง และนี่คือข้อเท็จจริงที่พระเจ้าจะทรงนำมาปฏิบัติในอีกไม่ช้านาน มนุษยชาติมีชีวิตอยู่และตายไปภายใต้สายพระเนตรของพระเจ้า มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อการบริหารจัดการของพระเจ้า และเมื่อเขาปิดตาลงเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาก็ปิดตาเพื่อการบริหารจัดการนี้ด้วยเช่นกัน มนุษย์มาและไป กลับไปกลับมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมดนั้นเป็นส่วนของอธิปไตยของพระเจ้าและการออกแบบของพระองค์โดยไม่มีข้อยกเว้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น

พระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งและทรงบริหารทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงสร้างทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงบริหารทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงปกครองเหนือทั้งหมดที่มี และพระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับทั้งหมดที่มี นี่คือพระสถานะของพระเจ้า และนั่นคือพระอัตลักษณ์ของพระองค์ สำหรับทุกสรรพสิ่งและทั้งหมดที่มีนั้น พระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าคือพระผู้สร้างและพระผู้ปกครองของสิ่งทรงสร้างทั้งหมด เช่นนั้นคือพระอัตลักษณ์ที่พระเจ้าทรงถือครอง และพระองค์ทรงมีเอกลักษณ์ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า—ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์หรือในโลกฝ่ายวิญญาณ—ที่จะสามารถใช้วิธีการหรือข้ออ้างใดๆ เพื่อปลอมแฝงหรือแทนที่พระอัตลักษณ์และพระสถานะของพระเจ้าได้ เพราะท่ามกลางทุกสรรพสิ่งมีเพียงองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงถือครองพระอัตลักษณ์ ฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และความสามารถในการปกครองเหนือสิ่งทรงสร้าง นั่นก็คือ พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ของพวกเรา พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพและทรงเคลื่อนไปท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสามารถขึ้นสู่ที่สูงที่สุด เหนือทุกสรรพสิ่งได้ พระองค์ทรงสามารถถ่อมพระองค์เองโดยการกลายเป็นมนุษย์ การกลายเป็นผู้ซึ่งอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่มีเลือดเนื้อ การมาประจันหน้ากับผู้คน และการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา ในขณะที่ในเวลาเดียวกันนั้น พระองค์ทรงบัญชาทั้งหมดที่มี โดยทรงตัดสินชะตากรรมของทั้งหมดที่มีและทิศทางใดที่มันทั้งหมดจะเคลื่อนไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงนำชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง และทรงคุมทิศทางของมวลมนุษย์ พระเจ้าดังเช่นนี้ควรจะได้รับการนมัสการ การเชื่อฟัง และการรู้จักโดยสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในกลุ่มหรือชนิดใดท่ามกลางมวลมนุษย์ การที่เชื่อในพระเจ้า การติดตามพระเจ้า การเคารพพระเจ้า การยอมรับการปกครองของพระองค์ และการยอมรับการจัดการเตรียมการของพระองค์ต่อชะตากรรมของเจ้าเป็นเพียงทางเลือกเดียว—ทางเลือกที่จำเป็น—สำหรับบุคคลใดก็ตามและสำหรับสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม ในความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้านั้น ผู้คนมองเห็นว่า สิทธิอำนาจของพระองค์ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ เนื้อแท้ของพระเจ้า และวิธีการทั้งหลายที่พระองค์ทรงใช้จัดเตรียมแก่ทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนเป็นเอกลักษณ์โดยครบบริบูรณ์ ความทรงเอกลักษณ์นี้กำหนดพิจารณาพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง และมันยังกำหนดพิจารณาสถานะของพระองค์ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง หากสิ่งมีชีวิตใดในโลกฝ่ายวิญญาณหรือท่ามกลางมวลมนุษย์ปรารถนาที่จะยืนแทนที่พระเจ้า ความสำเร็จย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ดังเช่นที่จะเป็นไปไม่ได้กับความพยายามใดๆ ที่จะปลอมแฝงพระเจ้า นี่คือข้อเท็จจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์และนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระองค์ พระองค์จะทรงบัญชาทุกสรรพสิ่ง เพื่อที่ทุกสรรพสิ่งจะได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ สิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งหมด รวมถึงสัตว์ พืชพรรณ มวลมนุษย์ ภูเขาและแม่น้ำ และทะเลสาบ—ทั้งหมดล้วนต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ ทุกสรรพสิ่งในท้องฟ้าและบนผืนดินต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีตัวเลือกใดและทั้งหมดต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ การนี้ประกาศกฤษฎีกาโดยพระเจ้า และเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระเจ้าทรงบัญชาทุกสิ่งทุกอย่าง และทรงจัดระเบียบและทรงจัดลำดับทุกสรรพสิ่ง โดยที่แต่ละสิ่งนั้นได้รับการแยกชั้นตามชนิด และได้รับการแบ่งสรรตำแหน่งของพวกมันเองโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่สำคัญว่ามันจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถล้ำเลิศกว่าพระเจ้าได้ ทุกสรรพสิ่งรับใช้มวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และไม่มีสิ่งใดเลยที่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือทำการเรียกร้องใดๆ จากพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

มีหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง ซึ่งยังเป็นหลักการสูงสุดอีกด้วย วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่บนพื้นฐานของแผนการบริหารจัดการของพระองค์และบนพื้นฐานของข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องปรึกษาผู้ใดสักคน อีกทั้งพระองค์ก็ไม่ทรงจำเป็นต้องให้บุคคลใดสักคนเห็นด้วยกับพระองค์ ไม่ว่าพระองค์ควรจะทรงทำสิ่งใด และไม่ว่าพระองค์ควรจะทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร แต่พระองค์ก็ทรงทำ และไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร ทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับหลักการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ สิ่งเดียวที่ต้องทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคือการนบนอบ ไม่ควรมีตัวเลือกอื่นใด การนี้แสดงให้เห็นสิ่งใด? การนี้แสดงให้เห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างจะทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างเสมอ พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพและพระคุณสมบัติที่จะทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงปกครองสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ตามที่พระองค์พอพระทัย และไม่ทรงจำเป็นต้องมีเหตุผลในการทรงทำเช่นนั้น นี่คือสิทธิอำนาจของพระองค์ ตราบเท่าที่พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวท่ามกลางสิ่งมีชีวิตแห่งการทรงสร้างที่จะมีพลังอำนาจหรือมีคุณสมบัติที่จะตัดสินว่าพระผู้สร้างควรทรงปฏิบัติอย่างไร หรือว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำถูกหรือผิด อีกทั้งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเลือกว่าพวกเขาควรได้รับการปกครอง จัดวางเรียบเรียง หรือกำจัดโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเดียวใดมีคุณสมบัติที่จะเลือกวิธีที่พวกเขาได้รับการปกครองและกำจัดโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง นี่คือความจริงสูงสุด ไม่สำคัญว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงทำสิ่งใดกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ และไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ทรงทำสิ่งนั้นอย่างไร พวกมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างควรทำเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือแสวงหา นบนอบ รู้จัก และยอมรับข้อเท็จจริงซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงสถาปนาไว้ ผลสุดท้ายก็จะเป็นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างจะได้ทรงทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์สำเร็จลุล่วงแล้ว และทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว โดยได้ทรงทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์ก้าวหน้าไปโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ขณะเดียวกัน เพราะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ยอมรับกฎและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระองค์ พวกเขาก็จะได้รับความจริงแล้ว เข้าใจน้ำพระทัยของพระผู้สร้างแล้ว และมารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์แล้ว ยังมีหลักการอยู่อีกหนึ่งหลักการที่เราต้องบอกพวกเจ้า นั่นคือ ไม่สำคัญว่าพระผู้สร้างทรงทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงสำแดงอย่างไร และไม่สำคัญว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำเป็นกิจการยิ่งใหญ่หรือการกระทำเล็กๆ พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระผู้สร้าง ในขณะที่มวลมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใดไปแล้ว และโดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาอาจมีความสามารถพิเศษหรือเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใด สำหรับมนุษยชาติทรงสร้างแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้รับพระคุณมากเพียงใดและพระพรมากมายเพียงใดจากพระผู้สร้าง หรือความปรานี ความรักมั่นคง หรือความเมตตากรุณามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ควรเชื่อตัวพวกเขาเองว่ายืนห่างจากผองชน หรือคิดว่าพวกเขาสามารถยืนเสมอพระเจ้าได้ และคิดว่าพวกเขาได้กลายเป็นมีตำแหน่งสูงท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพระเจ้าได้ประทานของประทานให้เจ้ามากเพียงใด หรือพระองค์ได้ทรงให้พระคุณแก่เจ้ามากเพียงใด หรือพระองค์ได้ทรงปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความใจดีมากเพียงใด หรือพระองค์ได้ทรงให้ความสามารถพิเศษแก่เจ้าบ้างแล้วหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีมีสิ่งใดเป็นทรัพย์สินของเจ้าเลย เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และด้วยเหตุนั้น เจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตลอดไป เจ้าต้องไม่คิดว่า “ฉันเป็นที่รักตัวน้อยในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงตีฉัน ท่าทีของพระเจ้าต่อฉันจะเป็นท่าทีแห่งความรัก ความห่วงใย และการลูบไล้อย่างอ่อนโยนเสมอ พร้อมเสียงกระซิบอันอบอุ่นแห่งความชูใจและการหนุนใจ” ในทางตรงกันข้าม ในสายพระเนตรของพระผู้สร้าง เจ้าก็เป็นอย่างเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอื่นๆ ทั้งหมด พระเจ้าทรงสามารถใช้เจ้าได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา และยังทรงสามารถจัดวางเรียบเรียงเจ้าได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาอีกด้วย และพระองค์ทรงสามารถจัดการเตรียมการตามที่พระองค์ทรงปรารถนาเพื่อให้เจ้าเล่นทุกบทบาทท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายทุกชนิด นี่คือความรู้ที่ผู้คนควรมี และคือสำนึกรับรู้สึกที่ดีซึ่งพวกเขาควรครอง

ตัดตอนมาจาก “เพียงโดยการแสวงหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์

ในทุกๆ วัน เจ้าจะไปไหน เจ้าจะทำอะไร ใครหรืออะไรที่พวกเจ้าจะเผชิญ เจ้าจะพูดอะไร จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า—มีอันใดหรือในสิ่งนี้ ที่สามารถคาดทำนายได้? ผู้คนไม่สามารถล่วงรู้การเกิดเหตุทั้งหมดเหล่านี้ได้ นับประสาอะไรที่จะสามารถควบคุมวิธีที่สถานการณ์เหล่านี้จะก่อตัวขึ้นมาได้ ในชีวิตนั้น เหตุการณ์ที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการเกิดเหตุประจำวันทั่วไปอย่างหนึ่ง ความผันผวนรายวันเหล่านี้และวิธีที่พวกมันคลี่คลายตัวออกมา หรือรูปแบบที่พวกมันเกิดขึ้นตามกันนั้นเป็นสิ่งเตือนจำสม่ำเสมอต่อมนุษยชาติ ว่าไม่มีอะไรเลยที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ว่ากระบวนการเกิดของแต่ละเหตุการณ์ ธรรมชาติอันมิอาจหลบหลีกได้ของแต่ละเหตุการณ์นั้นไม่อาจขยับเปลี่ยนได้โดยเจตจำนงของมนุษย์ ทุกการเกิดเหตุสื่อนำการตักเตือนจากพระผู้สร้างมาสู่มนุษยชน และส่งข่าวมาด้วยเช่นกันว่ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ ทุกเหตุการณ์คือการตอบโต้ความป่าเถื่อน ความทะเยอทะยานลมๆ แล้งๆ และความอยากที่จะกุมชะตากรรมของตนไว้ในมือตัวเองของมนุษย์ เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหมือนการฟาดตบอย่างรุนแรงลงบนใบหน้าของมนุษยชาติ ทีละคน บีบให้ผู้คนพิจารณาเสียใหม่ว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ใครกันที่ปกครองและควบคุมชะตากรรมของพวกเขา และเมื่อความทะเยอทะยานและความอยากทั้งหลายของพวกเขาถูกขัดขวางและทำลายจนป่นปี้ จึงเป็นธรรมดาที่มนุษย์ย่อมมาถึงการยอมรับชะตากรรมที่รอท่าอยู่โดยไม่รู้สึกตัว—การยอมรับความเป็นจริง ยอมรับน้ำพระทัยแห่งฟ้าและอธิปไตยของพระผู้สร้าง จากความผันผวนรายวันเหล่านี้สู่ชะตากรรมของชีวิตมนุษย์ทั้งหลายทั้งสิ้น หามีอันใดเลยที่ไม่ได้เปิดเผยแผนการของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์ หามีอันใดเลยที่ไม่ได้ส่งข่าวว่า “สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างนั้นมิอาจก้ำเกินได้” ที่ไม่ได้สื่อนำความจริงอันเป็นนิรันดร์ที่ว่า “สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างนั้นสูงสุด”

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

ในเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิตจริง เจ้าควรรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์อย่างไร? เมื่อเจ้าถูกประจันหน้าด้วยปัญหาเหล่านี้ และไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจ รับมือ และรับประสบการณ์กับมันอย่างไร ท่าทีอะไรที่เจ้าควรนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นจริงถึงเจตนาของเจ้าที่จะนบนอบ ความอยากที่จะนบนอบ และความเป็นจริงของการนบนอบของเจ้าต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า? ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย จากนั้นเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหา แล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบ “การรอคอย” หมายถึงการรอคอยเวลาของพระเจ้า การรอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า การรอคอยน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะค่อยๆ เปิดเผยตัวเองต่อเจ้า “การแสวงหา” หมายถึง การสังเกตและการทำความเข้าใจพระเจตนาอันเปี่ยมด้วยพระดำริของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงวางโครงร่างเอาไว้ การทำความเข้าใจความจริงโดยผ่านทางสิ่งเหล่านั้น การเข้าใจสิ่งที่พวกมนุษย์ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงและหนทางต่างๆ ที่พวกเขาต้องยึดถือไว้ การทำความเข้าใจในผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์และความสำเร็จลุล่วงอะไรที่พระองค์ทรงตั้งใจบรรลุในพวกเขา “การนบนอบ” แน่นอนว่าย่อมอ้างอิงถึงการยอมรับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ การยอมรับในอธิปไตยของพระองค์ และโดยผ่านการยอมรับนี้ มารู้ว่าพระผู้สร้างทรงลิขิตขีดเขียนชะตากรรมมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงจัดหาให้กับมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงพระราชกิจกับความจริงในมนุษย์อย่างไร ทุกสรรพสิ่งภายใต้การจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระเจ้าเป็นไปโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติต่างๆ และหากเจ้าตั้งปณิธานว่าจะยอมให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและลิขิตขีดเขียนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะรอคอย เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหา และเจ้าควรเรียนรู้ที่จะนบนอบ นี่คือท่าทีที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าต้องนำมาใช้ คุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต้องมี เพื่อที่จะมีท่าทีเช่นนั้น เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น เจ้าต้องทำงานหนักขึ้น นี่คือหนทางเดียวที่เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ…เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องให้เจ้าเป็นคำพยาน แม้สิ่งเหล่านั้นอาจดูเหมือนว่าไม่สำคัญจากภายนอก แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพวกมันแสดงให้เห็นว่าเจ้ารักพระเจ้าหรือไม่ หากเจ้ารัก เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์ได้ และหากเจ้าไม่ได้นำการรักพระองค์ไปปฏิบัติ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่นำความจริงไปปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าเจ้าปราศจากความจริง และปราศจากชีวิต แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือแกลบ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คนเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงจำเป็นต้องให้พวกเขาตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระองค์ แม้ไม่มีอะไรที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นกับเจ้า ณ ชั่วขณะนี้และเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุกรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเจ้าก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำพยานต่อพระเจ้า หากเจ้าสามารถได้รับความเลื่อมใสจากบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า บรรดาสมาชิกครอบครัวของเจ้า และทุกๆ คนรอบตัวเจ้า หากวันหนึ่ง บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อมาหา และเลื่อมใสทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และเห็นว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นน่ามหัศจรรย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นคำพยานแล้ว แม้ว่าเจ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและขีดความสามารถของเจ้านั้นต่ำ แต่เจ้าจะสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและใส่ใจน้ำพระทัยของพระองค์ได้โดยผ่านทางการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า โดยแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าพระราชกิจยิ่งใหญ่ใดที่พระองค์ได้ทรงทำไปในผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำที่สุด เมื่อผู้คนได้มารู้จักพระเจ้าและได้กลายเป็นผู้ชนะทั้งหลายต่อหน้าซาตาน จงรักภักดีต่อพระเจ้าเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีความกล้ามากไปกว่าผู้คนกลุ่มนี้ และนี่เป็นคำพยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง

ถึงแม้ว่าโยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าด้วยหูของเขาเอง พระเจ้าก็ทรงมีที่อยู่ในหัวใจของเขา ท่าทีของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร? ท่าทีนั้นเป็นดังที่ได้ถูกอ้างอิงถึงก่อนหน้านี้ว่า “สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” การที่เขาสาธุการต่อพระนามของพระเจ้านั้นไม่มีเงื่อนไข ไม่คำนึงถึงบริบท และไม่ผูกติดกับเหตุผลใด พวกเรามองเห็นว่าโยบได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า โดยยอมให้พระเจ้าทรงควบคุมมัน ทุกอย่างที่เขาคิด ทุกอย่างที่เขาตัดสินใจ และทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้ในหัวใจของเขานั้นถูกวางแผ่ต่อพระเจ้าและไม่ปิดจากพระเจ้า หัวใจของเขาไม่ได้ยืนในทางที่ต่อต้านกับพระเจ้า และเขาไม่เคยขอให้พระเจ้าทรงทำสิ่งใดเพื่อเขาหรือทรงมอบสิ่งใดให้เขา และเขาไม่ได้เก็บงำความอยากได้อยากมีที่ฟุ่มเฟือยว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดจากการนมัสการพระเจ้า โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพระพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงถึงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้ หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม โยบไม่ทำการร้องขอใดๆ ต่อพระเจ้า สิ่งที่เขาร้องขอต่อตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และเชื่อฟังทั้งหมดจากการจัดการเตรียมการที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ในการเชื่อในพระเจ้าของเขา เปโตรได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่าง และได้พยายามเชื่อฟังทั้งหมดที่ได้มาจากพระเจ้า โดยที่ไม่มีการปริบ่นแม้แต่น้อย เขาสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษา ตลอดจนกระบวนการถลุง ความทุกข์ลำบาก และการดำเนินต่อไปโดยความไม่มีสิ่งใดเลยในชีวิตของเขา ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาเหล่านี้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความรักขั้นสูงสุดที่มีแด่พระเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าหรอกหรือ? ไม่ว่าในการตีสอน การพิพากษา หรือความทุกข์ลำบาก เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังจนตายได้เสมอ และนี่คือสิ่งที่ควรสัมฤทธิ์โดยสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือความบริสุทธิ์ของความรักที่มีแด่พระเจ้า หากมนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ผลได้มากขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่มีสิ่งใดเลยที่ทำให้สมดังที่พระผู้สร้างทรงพึงปรารถนาได้ดีกว่า จงจินตนาการว่าเจ้าสามารถทำงานเพื่อพระเจ้าได้ ทว่าเจ้ากลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ในหนทางนี้ ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าคือใครบางคนที่ไม่ครองความจริง ที่ไม่สามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้ และที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เจ้าเพียงใส่ใจกับการทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น และไม่ใส่ใจกับการนำความจริงไปปฏิบัติหรือการรู้จักตัวเจ้าเอง เจ้าไม่เข้าใจหรือรู้จักพระผู้สร้าง และไม่เชื่อฟังหรือรักพระผู้สร้าง เจ้าคือใครบางคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้ามาแต่กำเนิด และดังนั้นแล้วผู้คนเช่นนั้นจึงไม่เป็นที่รักโดยพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

มีเพียงผู้ซึ่งนบนอบต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถบรรลุอิสรภาพที่แท้จริง

เนื่องเพราะผู้คนไม่ระลึกได้ถึงการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญกับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องจากสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว การดิ้นรนนี้ที่ฝังลึกอยู่ในวิญญาณของคนเรานำมาซึ่งความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกดำของคนเราในขณะที่คนเราใช้ชีวิตของพวกเขาทิ้งขว้างไปพลางๆ อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้? มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาอย่างโชคร้าย? เห็นได้ชัดว่า ไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา ผู้คนบางคนอาจไม่ระลึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อเจ้ารู้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้ามาระลึกได้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้เพื่อเจ้า และได้ทรงตัดสินใจเพื่อเจ้านั้นคือผลประโยชน์และการปกป้องอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมรู้สึกว่าความเจ็บปวดของเจ้าเริ่มเบาบางลง และความเป็นอยู่ของเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้นกลายมาเป็นผ่อนคลาย อิสระ และเสรี โดยการตัดสินจากสภาวะของผู้คนส่วนใหญ่ หากกล่าวตามความจริงแล้ว พวกเขาไม่สามารถมาเริ่มทำความเข้าใจอย่างแท้จริงต่อคุณค่าในทางปฏิบัติและความหมายของอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์ แม้จะเป็นในระดับความคิดเห็นส่วนตัว พวกเขาไม่ต้องการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างที่พวกเขาเคยทำมาก่อน และต้องการถูกปลดปล่อยจากความเจ็บปวดของพวกเขา ในแง่ความเป็นจริงพวกเขาไม่สามารถระลึกได้ถึงและนบนอบต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะรู้วิธีแสวงหาและยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกได้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์แล้วไซร้ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกขับเคลื่อนและล่ามติดอยู่กับแนวความคิดที่ว่า “ชะตากรรมของคนเรานั้น อยู่ในมือของคนเราเอง” มันจะยากที่พวกเขาจะสลัดความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระ กลายมาเป็นผู้คนผู้ซึ่งนมัสการพระเจ้า แต่มีหนทางหนึ่งซึ่งเรียบง่ายยิ่งนักที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากสภาวะนี้ซึ่งเป็นการอำลาวิถีชีวิตเดิมของคนเรา เพื่อที่จะกล่าวคำอำลาต่อเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ของพวกเขา เพื่อที่จะสรุปและวิเคราะห์ลีลาชีวิตก่อนหน้านี้ มุมมองของชีวิต กิจกรรมต่างๆ ที่ทำไปตามความชอบ ความอยากได้อยากมี และอุดมคติต่างๆ ของคนเรา และจากนั้นก็เปรียบเทียบสิ่งเหล่านั้นกับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และดูว่ามีสิ่งใดในสิ่งเหล่านั้นที่สอดคล้องเข้ากันได้กับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องของพระเจ้า ดูว่ามีสิ่งใดบ้างในสิ่งเหล่านั้นที่มอบคุณค่าที่ถูกต้องของชีวิต นำทางคนเราไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง และอำนวยให้คนเรามีชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์และรูปสัณฐานของความเป็นมนุษย์ เมื่อเจ้ายังคงเจาะลึกลงไปซ้ำๆ และทำการจำแนกอย่างระมัดระวังในเป้าหมายอันหลากหลายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาในชีวิต และหนทางการดำเนินชีวิตนับหมื่นแสนของพวกเขา เจ้าจะไม่พบแม้สักหนึ่งอย่างที่สอดคล้องกับพระเจตนาดั้งเดิมของพระผู้สร้างที่พระองค์ใช้ในการสร้างมนุษยชาติขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดดึงผู้คนให้ห่างออกจากอธิปไตยและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกับดักที่เป็นเหตุให้ผู้คนกลายเป็นต่ำช้า และเป็นสิ่งที่นำทางพวกเขาไปสู่นรก หลังจากที่เจ้าระลึกได้ในเรื่องนี้ กิจของเจ้าก็คือวางมุมมองเก่าของชีวิตลง อยู่ให้ห่างจากกับดักอันหลากหลาย ยอมให้พระเจ้าเข้ากำกับชีวิตของเจ้าและทำการจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า มันเป็นการพยายามเพียงเพื่อที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการทรงนำของพระเจ้า ที่จะมีชีวิตโดยปราศจากการเลือกของปัจเจกบุคคล และเพื่อที่จะกลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้า นี่ฟังดูง่าย แต่มันเป็นสิ่งซึ่งลำบากที่จะทำ ผู้คนบางคนสามารถทนความเจ็บปวดของมันได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่สามารถทนได้ บ้างก็เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่เต็มใจ พวกที่ไม่เต็มใจขาดความพึงปรารถนาและปณิธานที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาตระหนักรู้ในอธิปไตยของพระเจ้าอย่างชัดเจน รู้ดีอย่างครบถ้วนว่าพระเจ้านี่เองที่ทรงวางแผนการและจัดการเตรียมชะตากรรมมนุษย์ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเตะถีบดิ้นรน และยังคงไม่ยอมประนีประนอมที่จะวางชะตากรรมไว้ในฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคับแค้นใจในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่ต้องการดูด้วยตัวเองเสมอว่า พวกเขามีความสามารถอะไร พวกเขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมด้วยสองมือของพวกเขาเอง หรือที่จะสัมฤทธิ์ซึ่งความสุขโดยพลังอำนาจของพวกเขาเอง ที่จะมองเห็นว่าพวกเขาสามารถก้าวล้ำขอบเขตสิทธิอำนาจของพระเจ้า และผงาดขึ้นไปเหนืออธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่ โศกนาฏกรรมของมนุษย์ไม่ได้อยู่ตรงที่เขาแสวงหาชีวิตที่มีความสุข ไม่ได้อยู่ตรงที่เขาไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชควาสนา หรือดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมของตัวเขาเองผ่านม่านหมอก แต่อยู่ตรงที่หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงว่า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์แล้ว เขายังคงไม่สามารถปรับปรุงพฤติกรรมตนเองให้ดีขึ้น ไม่สามารถชักเท้าขึ้นจากปลักตม แต่ยังคงใจแข็งและดึงดันในความผิดพลาดของเขา เขาเลือกที่จะดิ้นพราดตูมตามอยู่ในโคลนต่อไป แข่งขันชิงดีกับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างหัวชนฝา ฝืนต้านไปจนกว่าจะจบสิ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่มีความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่กระทำไปแม้เพียงเสี้ยวกระผีก เพียงเมื่อเขานอนหมดสิ้นสภาพและโลหิตไหลรินเท่านั้น ที่ในที่สุดเขาตัดสินใจยอมแพ้และหันหลังกลับ ที่คือความโศกเศร้าอันแท้จริงของมนุษย์ ดังนั้น เราพูดเลยว่า บรรดาผู้ที่เลือกนบนอบนั้นมีสติปัญญา และพวกที่เลือกดิ้นรนและหลบหนีนั้นช่างโง่เขลาปัญญาเอาเสียจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่เป็น “การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและติดตามพระเจ้า”

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้”...

ติดต่อเราผ่าน Messenger