สิ่งที่เป็นความรู้เกี่ยวกับตนเองที่แท้จริง และสิ่งที่สามารถได้มาจากการนั้น

วันที่ 27 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือทั้งหลาย ว่าด้วยประวัติศาสตร์ และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานนำพาให้ออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์ และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และว่ามโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาต่อเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นก็ตามเขายังคงปรารถนาที่จะได้รับพระพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นก็ตามเขายังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์ เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น? เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร? มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ! เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง! สำหรับบรรดาพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพระพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาหนึ่งบานแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งที่จำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่? เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพระพรหรือไม่? ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก เจ้ากำลังหลอกตัวเอง! มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และเขาได้รับการสอน ณ “สถาบันอุดมศึกษา” การคิดล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาเพื่อการดำรงชีวิตที่น่ารังเกียจ การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง ผลก็คือ มนุษย์ยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ อุปนิสัยของมนุษย์กลายมาเป็นชั่วช้ามากขึ้นในแต่ละวัน และไม่มีสักคนหนึ่งที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนหนึ่งที่จะเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนหนึ่งที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยเว้นแต่ไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้า ต่อให้พวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม มนุษย์คนหนึ่งที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร? มนุษย์คนหนึ่งที่เสื่อมโทรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

การรู้จักตัวเจ้าเองคือการรู้จักทุกคำพูดและความประพฤติของเจ้า ทุกความเคลื่อนไหวและการกระทำของเจ้า นั่นคือการรู้จักจิตใจและความคิดของเจ้า สิ่งจูงใจของเจ้า และมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของเจ้า นั่นคือกระทั่งการรู้จักปรัชญาสำหรับการดำเนินชีวิตของเจ้าที่เป็นของโลกเสียด้วยซ้ำ และพิษต่างๆ ของซาตานภายในตัวเจ้า ตลอดจนความรู้และการศึกษาที่เจ้าได้รับในโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต้องได้รับการชำแหละ แม้ว่าบุคคลหนึ่งอาจได้ทำงานที่ดีจำนวนมากนับตั้งแต่ที่ได้มาสู่ความเชื่อในพระเจ้า เรื่องมากมายอาจยังคลุมเครือสำหรับพวกเขา และนับประสาอะไรที่พวกเขาอาจได้มาสู่ความเข้าใจความจริง—กระนั้น เพราะงานที่ดีมากมายของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้มาใช้ชีวิตในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และได้นบนอบต่อพระองค์แล้ว และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์มากแล้ว นี่เป็นเพราะเมื่อไม่มีรูปการณ์แวดล้อมที่ไม่เป็นใจเกิดขึ้น เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าถูกบอก เจ้าไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ และเจ้าไม่ต้านทาน เมื่อเจ้าถูกบอกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ นั่นเป็นความยากลำบากที่เจ้าสามารถแบกรับได้ และเจ้าไม่เสนอคำร้องทุกข์ และเมื่อเจ้าถูกบอกให้วิ่งมาตรงนี้และตรงนั้น หรือให้ใช้แรงงาน เจ้าก็ทำเช่นนั้น เพราะการแสดงเหล่านี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริง กระนั้น หากคนผู้หนึ่งจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและถามว่า “ท่านคือบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่? ท่านคือบุคคลที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่? บุคคลที่มีอุปนิสัยเปลี่ยนแปลงแล้ว?” เช่นนั้นแล้ว เมื่อถูกถามดังนั้น เมื่อถูกนำมาอิงกับความจริงเพื่อการพินิจพิเคราะห์ดังนั้น เจ้า—และอาจพูดได้ว่าผู้ใดก็ตาม—คงจะถูกพบว่าต้องการ และไม่มีบุคคลใดสามารถที่จะปฏิบัติตามความจริงได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อรากเหง้าของการกระทำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์ ตลอดจนธาตุแท้และธรรมชาติของการกระทำของเขา ถูกนำมาอิงกับความจริง ทั้งหมดก็ถูกกล่าวโทษ อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้? นั่นก็คือว่ามนุษย์ไม่รู้จักตัวเขาเอง เขาเชื่อในพระเจ้าในหนทางของเขาเอง ปฏิบัติหน้าที่ของเขาในหนทางของเขาเอง และรับใช้พระเจ้าในหนทางของเขาเองเสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขารู้สึกว่าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อและเหตุผล และในที่สุด เขารู้สึกว่าเขาได้รับมากมายแล้ว โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขามารู้สึกว่าเขากำลังปฏิบัติตนในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ และว่าเขาได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว และกำลังติดตามน้ำพระทัยของพระองค์ หากนี่คือวิธีที่เจ้ารู้สึก หรือหากในหลายปีแห่งการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้เก็บเกี่ยวผลกำไรแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเจ้าเองมากยิ่งกว่าเดิมอีก โดยตรวจดูว่าทั้งหมดที่เจ้าได้ทำไปแล้วและพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่ และว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำไปแล้วได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ จงดูว่าสิ่งใดที่ได้ทำให้พระองค์พึงพอพระทัย ตลอดจนสิ่งใดที่เยาะเย้ยท้าทายพระองค์ เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรชำแหละ

ตัดตอนมาจาก “เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การรู้จักตัวพวกเราเองคือการรู้ว่ามีสิ่งใดในความคิดและทัศนคติของพวกเราที่ต่อต้านพระเจ้า ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับความจริง และที่ไม่บรรจุความจริง ตัวอย่างเช่น ความโอหัง ความคิดว่าตนเองชอบธรรม คำโกหก และเล่ห์ลวงของมนุษย์ เป็นแง่มุมภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนรู้โดยง่าย เจ้าสามารถมาสู่ความรู้บางอย่างเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเพียงโดยการสามัคคีธรรมความจริงสองสามครั้ง หรือโดยการสามัคคีธรรมบ่อยครั้ง หรือโดยการให้บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าชี้ชัดถึงสภาวะของเจ้า นอกจากนี้ ทุกคนครองความโอหังและความเต็มไปด้วยการหลอกลวง แม้ว่าจะมีระดับที่แตกต่างกันก็ตาม อย่างไรก็ตาม ความคิดและทัศนคติของผู้คนไม่ง่ายที่จะรู้ สิ่งเหล่านนั้นไม่ง่ายดังเช่นการรู้จักอุปนิสัยของผู้คน เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่หยั่งรากลึก ดังนั้น เมื่อเจ้าได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในพฤติกรรมและความประพฤติภายนอกของเจ้า ยังคงมีแง่มุมมากมายของการคิด มโนคติที่หลงผิด ทัศนคติ และการศึกษาวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของเจ้าที่เจ้าได้รับไว้ซึ่งต่อต้านพระเจ้า และซึ่งเจ้ายังไม่ได้พลิกแผ่นดินให้เจอ เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่หยั่งรากลึกที่นำไปสู่ความเป็นปฏิปักษ์ของพวกเราต่อพระเจ้า ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งที่ไม่คล้อยตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า หรือบางสิ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เจ้าจินตนาการว่าพระเจ้าจะทรงกระทำ เจ้าจะต้านทานและต่อต้านสิ่งนั้น เจ้าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นนั้น และแม้ว่าเจ้าอาจปรารถนาจะนบนอบ เจ้าก็จะพบว่าตัวเจ้าเองไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบได้? เหตุใดจึงมีการต้านทานและการต่อต้านเช่นนั้น? เหตุผลก็คือ มีบางสิ่งภายในความคิดและทรรศนะของมนุษย์ที่ไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้า และที่ไม่เป็นมิตรต่อหลักธรรมซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระองค์และต่อแก่นแท้ของพระองค์ ความคิดและทรรศนะเหล่านี้ลำบากยากเย็นสำหรับมนุษย์ที่จะรู้

ตัดตอนมาจาก “เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การรู้จักตัวเจ้าเองมีอะไรบ้าง? ก่อนอื่น เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยใดในคำพูดและความประพฤติของเจ้า บางครั้งอุปนิสัยนั้นเป็นความโอหัง บางครั้งเป็นความเจ้าเล่ห์ และบางครั้งก็เป็นความชั่ว เมื่อเจ้าเผชิญปัญหา เจ้าจำต้องรู้เช่นกันว่าเหตุจูงใจของเจ้าล้มเหลวที่จะอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือสอดคล้องกับความจริง เจ้าต้องรู้ด้วยว่าท่าทีที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของเจ้า เป็นท่าทีของการแบกรับภาระหรือของการอุทิศตนหรือไม่ และเจ้าจริงใจในการสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าหรือว่าการที่เจ้าทำเช่นนั้นเป็นไปในเชิงซื้อขายแลกเปลี่ยน เจ้ายังต้องรู้ด้วยว่าเจ้ามีข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้าหรือไม่ เจ้ามีหัวใจแห่งการนบนอบหรือไม่ และเจ้าสามารถแสวงหาความจริงในยามที่เผชิญหน้าสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงหรือไม่ จงรู้ด้วยว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่รักความจริงหรือไม่ เจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์จำพวกใด และเจ้าครองมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ เจ้าดำรงอยู่ภายในสภาวะของการใช้เหตุผลตัดสินและสภาวะของการต่อรองหรือไม่เวลาที่เจ้าเผชิญประเด็นปัญหา หรือสามารถแสวงหาความจริงและปล่อยวางมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของเจ้าเอง ปล่อยวางความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และแผนการของเจ้าได้ และเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่แสวงหาความจริงหรือไม่ กระนั้น อีกแง่มุมหนึ่งของการรู้จักตัวเจ้าเองก็คือการเข้าใจบุคลิกลักษณะของเจ้า โดยรู้ว่าเจ้าเป็นบุคคลที่เที่ยงธรรมหรือไม่ และเจ้ามีมโนธรรมและหัวใจที่เมตตาหรือไม่ ในวิธีที่เจ้าใช้เข้าหาสภาพแวดล้อม บุคคล เหตุการณ์ และสิ่งของทุกชนิด เจ้าสามารถมองเห็นบุคลิกลักษณะของเจ้าเองได้ และเจ้าสามารถมารู้ได้ว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่รักความจริงและมีความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้าหรือไม่ จงมองดูด้วยเช่นกันว่าเจ้ามีท่าทีจำพวกใดในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระเจ้า กล่าวคือ การอ้างอิงถึงพระองค์ พระนามทั้งหลายของพระองค์ การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์—เจ้ามีความเคารพและเจ้านบนอบหรือไม่? พวกเจ้าว่ามีอะไรอื่นอีกหรือไม่? (การรู้จักขอบเขตของขีดความสามารถของพวกเรา) (การเข้าใจทัศนะที่พวกเรามีต่อชีวิต ค่านิยมของพวกเรา และสิ่งที่พวกเราใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต การรู้ว่ากิจของพวกเราคืออะไร พวกเรากำลังเดินบนเส้นทางใด) เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งซึ่งผู้คนควรเข้าใจ โดยรวมแล้ว การรู้จักตัวเจ้าเองในทุกแง่มุมโดยแก่นแท้แล้วมีดังนี้ การรู้จักขีดความสามารถของเจ้า การรู้จักบุคลิกภาพของเจ้า การรู้ว่าเจ้ารักความจริงหรือไม่ การรู้จักเส้นทางที่เจ้ากำลังเดินอยู่ การรู้จักทัศนะที่เจ้ามีต่อชีวิตและค่านิยมของเจ้า และการรู้จักท่าทีทุกชนิดที่เจ้ามีต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนถูกรวมเอาไว้ด้วย

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (2)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

หากการรู้จักตนเองของเจ้าเกี่ยวข้องกับการระลึกได้แบบคร่าวๆ ของสิ่งผิวเผินทั้งหลายเท่านั้น—หากเจ้าเพียงแค่พูดว่าเจ้าโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ว่าเจ้ากบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระเจ้า—เช่นนั้นแล้วการนี้ย่อมไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง แต่เป็นคำสอน เจ้าต้องรวมข้อเท็จจริงทั้งหลายเข้าไว้ในการนี้ กล่าวคือ เจ้าต้องเปิดเผยแรงจูงใจภายในตัวเจ้าออกมาเพื่อการสามัคคีธรรมและการชำแหละในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้ายึดถือทรรศนะที่เป็นเหตุผลวิบัติหรือความคิดเห็นที่ถูกนำไปในทางที่ผิดเอาไว้ การนี้เท่านั้นคือการครองความรู้อย่างแท้จริง เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่การรู้จักแรงจูงใจของเจ้าและแหล่งกำเนิดของแก่นแท้ของเจ้า เจ้าไม่ควรได้รับความเข้าใจจากการกระทำของเจ้าเพียงอย่างเดียว เจ้าต้องจับความเข้าใจประเด็นสำคัญของการนั้นและแก้ไขรากเหง้าของปัญหา เมื่อได้ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เจ้าต้องทบทวนตัวเอง และสรุปว่าเจ้าได้แก้ไขปัญหาใดไปบ้างแล้ว ปัญหาใดยังคงอยู่ และวิธีที่ควรจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เจ้าต้องแสวงหาความจริงด้วยเช่นกัน เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ผู้อื่นนำทางเจ้าเสมอ เจ้าต้องมีเส้นทางของเจ้าเองเพื่อการเข้าไปสู่ชีวิต เจ้าต้องตรวจสอบตัวเองอยู่เนืองนิจ กล่าวคือ อะไรคือสิ่งที่เจ้ากำลังทำผิดและไม่ลงรอยกับความจริง คำพูดและแรงจูงใจใดของเจ้าที่ผิด เจ้ากำลังเปิดเผยอุปนิสัยใด หากนี่คือวิธีที่เจ้าเข้าไปสู่อย่างสม่ำเสมอ และเจ้าทำข้อเรียกร้องอันเคร่งครัดต่อตัวเอง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะได้รับความเข้าใจมากขึ้นในด้านนี้อย่างช้าๆ แต่ทว่าแน่นอน ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าย่อมจะผูกทุกอย่างเข้าด้วยกันและเห็นว่าเจ้าก็แค่ไม่มีอะไรดีเลย เมื่อวันที่เจ้ามีความรู้เช่นนั้นอย่างแท้จริงมาถึง เจ้าย่อมจะไม่สามารถโอหังได้อีกต่อไป บัดนี้สิ่งใดเล่าที่สำคัญยิ่งยวด? หลังการสามัคคีธรรมและการชำแหละ ผู้คนตระหนักรู้ถึงและรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่พวกเขายังไม่รู้จักตัวเอง บางคนพูดว่า “ฉันจะไม่สามารถรู้จักตัวเองได้อย่างไร? ฉันตระหนักรู้ถึงเรื่องทั้งหลายที่ความโอหังของฉันเปิดเผยอยู่ในเรื่องเหล่านั้น” หากเจ้าตระหนักรู้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ตระหนักรู้ได้อย่างไรว่าอุปนิสัยของเจ้าโอหัง? เหตุใดจึงมีหลายครั้งที่เจ้าแสวงหาความก้าวหน้าส่วนบุคคล ที่เจ้าใฝ่หาสถานะและความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร? การนี้หมายความว่าธรรมชาติอันโอหังของเจ้ายังไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคน! ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มต้นจากแรงจูงใจ ทรรศนะ และความคิดเห็นเบื้องหลังการกระทำของเจ้า พวกเจ้ายอมรับรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ผู้คนพูดส่วนใหญ่แล้วทิ่มแทงและมีพิษ ว่ามีองค์ประกอบของความโอหังในน้ำเสียงของพวกเขา? คำพูดของพวกเขาพกพาแรงจูงใจและความคิดเห็นส่วนบุคคลของพวกเขามาด้วย การนี้สามารถเห็นได้จากสิ่งที่พวกเขาพูด มีพวกที่มีการพูดและการแสดงออกในลักษณะเฉพาะบางอย่างในยามที่พวกเขาไม่หลุดเผยความโอหังออกมา แต่การแสดงตัวของพวกเขาแปรเปลี่ยนเมื่อความโอหังของพวกเขาแสดงตัวมันเองออกมาให้เห็น—ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของซาตานได้แสดงตัวมันเองให้เห็นแล้ว ทุกคนเก็บงำแรงจูงใจ ลองดูพวกที่เจ้าเล่ห์เป็นตัวอย่าง กล่าวคือ พวกเขากระซิบกระซาบและหลิ่วตาเสมอในขณะที่พูด มีแรงจูงใจอยู่ในการนี้ ผู้คนบางคนพูดด้วยเสียงต่ำอย่างลับๆ ล่อๆ คำพูดของพวกเขามีกลอุบาย แต่พวกเขาไม่เผยอะไรออกมาเลยทางน้ำเสียงหรือโฉมหน้า ผู้คนเช่นนั้นยิ่งคิดคดทรยศมากกว่าเสียด้วยซ้ำ และลำบากยากเย็นมากที่จะช่วยให้รอด

ตัดตอนมาจาก “วิธีข้ามเข้าไปสู่ยุคใหม่” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

บัดนี้พวกเจ้าค่อนข้างมีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเปิดเผย—สิ่งอันเสื่อมทรามใดที่พวกเจ้ายังคงหมิ่นเหม่ที่จะเปิดเผย สิ่งใดที่พวกเจ้ายังคงหมิ่นเหม่ที่จะทำ ทั้งหมดนี้ พวกเจ้ารู้ กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ลำบากยากเย็นที่สุดก็คือการมีความสามารถที่จะควบคุมตัวพวกเจ้าเองได้ พวกเจ้าไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะทำบางสิ่งหรือว่าพวกเจ้าสามารถทำสิ่งอันหนักหนาใดได้ บางทีอาจมีสิ่งที่พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันทำหรือคำพูดที่พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันพูด แต่ในเวลาหรือสภาพแวดล้อมที่กำหนด พวกเจ้าได้ทำหรือได้พูดสิ่งเหล่านั้นจริงๆ ผู้คนไม่มีความสามารถที่จะควบคุมสิ่งที่ไม่คาดคิดเหล่านี้ได้ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ของตนอย่างถี่ถ้วน ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับการนี้ลึกไม่พอ ดังนั้นการนำความจริงไปสู่การปฏิบัติจึงเหนื่อยยากยิ่งสำหรับพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนค่อนข้างเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่ซื่อสัตย์ในคำพูดและความประพฤติ กระนั้นก็ตาม หากเจ้าถามพวกเขาว่าความเสื่อมทรามของพวกเขารุนแรงที่สุดในด้านใด พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเล็กน้อย” พวกเขาจะพูดเพียงแค่ว่าพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่พูดว่าธรรมชาติของพวกเขาโดยตัวมันเองแล้วคือเล่ห์ลวง และพวกเขาไม่พูดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขาไม่มองธรรมชาติของพวกเขาเองอย่างลึกซึ้งไปหมดขนาดนั้น และไม่มองธรรมชาตินั้นว่าเป็นบางสิ่งที่ร้ายแรงขนาดนั้น อีกทั้งไม่ถี่ถ้วนขนาดนั้น ดังเช่นผู้อื่น ผู้อื่นมองว่าบุคคลผู้นี้เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงยิ่งนักและคดโกงยิ่งนัก ว่ามีการฉ้อโกงในทุกๆ คำพูดของพวกเขา ว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย—แต่พวกเขาไม่สามารถมองเข้าไปในตัวเองได้อย่างลึกซึ้งเช่นนั้น ความรู้อันใดที่พวกเขาบังเอิญมีเป็นเพียงแค่ผิวเผิน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดและกระทำการ พวกเขาจะเปิดเผยบางสิ่งในธรรมชาติของพวกเขา แต่ทว่าพวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ พวกเขาคิดว่าพวกเขาซื่อสัตย์ในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ และว่าเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความจริง นั่นกล่าวได้ว่า ผู้คนมีความเข้าใจผิวเผินเกินไปเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเอง และมีความขัดแย้งใหญ่หลวงระหว่างการนี้กับพระวจนะแห่งการพิพากษาและวิวรณ์ของพระเจ้า นี่ไม่ใช่การเข้าใจผิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย แต่ในทางตรงกันข้ามเป็นการขาดพร่องความเข้าใจอันลุ่มลึกของมนุษย์เกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเอง ผู้คนไม่มีความเข้าใจพื้นฐานหรือความเข้าใจที่เป็นแก่นสารเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขามุ่งความสนใจและอุทิศพลังงานของพวกเขาไปที่การกระทำและการแสดงออกภายนอกของพวกเขา ต่อให้ใครบางคนได้พูดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการเข้าใจตัวพวกเขาเองเป็นครั้งคราว นั่นก็คงจะไม่ลุ่มลึกมากนัก ไม่มีผู้ใดเลยได้เคยคิดว่าพวกเขาคือบุคคลชนิดนี้หรือมีธรรมชาติชนิดนี้เนื่องจากได้เคยทำสิ่งแบบนี้หรือได้เคยเปิดเผยบางสิ่งมาแล้ว พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษยชาติ แต่พวกมนุษย์เข้าใจว่าวิธีการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและวิธีการพูดของพวกเขานั้นมีตำหนิและมีข้อเสียหาย ดังนั้น นั่นจึงเป็นภารกิจที่เหนื่อยยากอย่างหนึ่งสำหรับผู้คนที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ ผู้คนคิดว่าความเข้าใจผิดของพวกเขาเป็นเพียงการสำแดงชั่วขณะที่ถูกเปิดเผยอย่างไม่ระมัดระวังแทนที่จะเป็นวิวรณ์ของธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนที่คิดในหนทางนี้ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงว่าคือความจริงและไม่กระหายความจริง ดังนั้น เมื่อนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาเพียงทำตามกฎเกณฑ์อย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น ผู้คนไม่มองธรรมชาติของพวกเขาเองว่าเสื่อมทรามเกินไป และเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้แย่ถึงขนาดที่พวกเขาควรถูกทำลายหรือถูกลงโทษ พวกเขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยที่จะโกหกเป็นครั้งคราว และพิจารณาตัวพวกเขาเองว่าดีกว่าที่พวกเขาเคยเป็นในอดีตมาก อย่างไรก็ตาม ในข้อเท็จจริงแล้วพวกเขาไม่ใกล้กับการเป็นไปตามมาตรฐานเลย เพราะผู้คนเพียงมีการกระทำบางอย่างที่ไม่ละเมิดความจริงให้เห็นภายนอกเท่านั้น ในเมื่ออันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้กำลังนำความจริงไปปฏิบัติ

ตัดตอนมาจาก “การทำความเข้าใจธรรมชาติของคนเราและการนำความจริงไปปฏิบัติ” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจอันผิวเผินมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง พวกเขายังไม่ได้มารู้จักอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนของธรรมชาติของพวกเขาเลยทั้งสิ้น พวกเขาเพียงมีความรู้เกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่กี่อย่าง เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ หรือข้อบกพร่องไม่กี่อย่างของพวกเขาเท่านั้นเอง และนี่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขารู้จักตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ไม่กี่อย่าง มั่นใจว่าพวกเขาไม่ทำผิดพลาดในด้านเฉพาะใดๆ และหลีกเลี่ยงการกระทำการล่วงละเมิดเฉพาะอย่างได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็พิจารณาว่าตัวพวกเขานั้นครองความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และทึกทักไปว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นจินตนาการแบบมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ หากเจ้ายึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะกลายเป็นมีความสามารถที่จะงดเว้นจากการกระทำการล่วงละเมิดอันใดจริงหรือ? เจ้าจะได้บรรลุการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในอุปนิสัยแล้วกระนั้นหรือ? เจ้าจะกำลังใช้ชีวิตในสภาพเสมือนของมนุษย์คนหนึ่งจริงหรือ? เจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างจริงแท้แบบนั้นได้หรือ? แน่นอนเลยว่าไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง การเชื่อในพระเจ้าได้ผลเพียงเมื่อคนเรามีมาตรฐานสูง และได้บรรลุความจริงและการแปลงสภาพบางอย่างในอุปนิสัยของชีวิตคนเราแล้วเท่านั้น ดังนั้น หากความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองนั้นตื้นเขินเกินไป พวกเขาก็จะพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ปัญหาทั้งหลาย และอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาก็ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จึงจำเป็นที่ต้องรู้จักตัวเราเองในระดับที่ลุ่มลึก ซึ่งหมายถึงการรู้จักธรรมชาติของตัวเราเองว่า องค์ประกอบใดที่รวมอยู่ในธรรมชาตินั้น สิ่งเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างไร และสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด ที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้ามีความสามารถที่จะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือไม่? เจ้าได้เห็นดวงจิตอันอัปลักษณ์ของเจ้าเองกับธรรมชาติชั่วของเจ้าแล้วหรือไม่? หากเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าเองแล้วไซร้ เจ้าย่อมเริ่มที่จะเกลียดตัวเอง เมื่อเจ้าเกลียดตัวเจ้าเอง แล้วจากนั้นก็นำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าก็จะสามารถตัดขาดจากเนื้อหนังและมีความแข็งแกร่งที่จะดำเนินความจริงจนเสร็จสิ้นโดยปราศจากความลำบากยากเย็น เหตุใดเล่าผู้คนมากมายจึงทำตามความเลือกชอบทางเนื้อหนังของพวกเขา? ก็เพราะพวกเขาพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองช่างดีงามนัก พลางรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกต้องและเป็นธรรม รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความผิดเลย และรู้สึกกระทั่งว่า พวกเขาถูกต้องอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนไปด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ข้างพวกเขา เมื่อคนเราระลึกได้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของคนเราเป็น—อัปลักษณ์อย่างไร น่าดูหมิ่นอย่างไร และน่าเวทนาอย่างไร—เมื่อนั้นคนเราก็จะไม่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างเกินขนาด ไม่โอหังอย่างลำพองเหลือเกิน และไม่ยินดีกับตัวเองเหลือเกินดังก่อนหน้านี้ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกว่า “ฉันต้องจริงจังตั้งใจและติดดิน และนำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติบ้าง หาไม่แล้ว ฉันย่อมจะไม่ดีพอที่จะไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และจะอดสูที่จะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” เช่นนั้นแล้ว คนเราจึงมองเห็นตัวเองอย่างแท้จริงว่าไม่มีความสลักสำคัญ ไร้นัยสำคัญอย่างแท้จริง ณ เวลานี้ ย่อมกลับกลายเป็นง่ายที่คนเราจะดำเนินความจริงให้เสร็จสิ้น และคนเราจะปรากฏเป็นเหมือนที่มนุษย์ควรเป็นอยู่บ้าง มีเพียงเมื่อผู้คนเกลียดตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะตัดขาดจากเนื้อหนัง หากพวกเขาไม่เกลียดตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะตัดขาดจากเนื้อหนังได้ การที่คนเราเกลียดชังตัวเองอย่างแท้จริงนั้นประกอบด้วยสองสามสิ่ง กล่าวคือ สิ่งแรก การรู้จักธรรมชาติของตัวคนเราเอง และสิ่งที่สอง การมองเห็นตัวคนเราเองอัตคัดขัดสนและน่าเวทนา การมองเห็นตัวคนเราเองเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างสุดขั้ว และการมองเห็นดวงจิตอันสกปรกและน่าเวทนาของคนเราเอง เมื่อคนเราเห็นสิ่งที่คนเราเป็นอย่างแท้จริงโดยครบถ้วน และได้สัมฤทธิ์บทอวสานนี้แล้ว ถึงตอนนั้น คนเราจึงจะสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวคนเราเองอย่างแท้จริง และสามารถพูดได้ว่า คนเราได้มารู้จักตัวคนเราเองอย่างครบถ้วนแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตัวคนเราเองได้อย่างแท้จริง โดยไปไกลถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง และรู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกจนถึงขนาดที่คนเราไม่สามารถแม้กระทั่งมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่ง เมื่อการคุกคามแห่งความตายปรากฏขึ้น บุคคลเช่นนั้นย่อมจะคิดว่า “นี่คือการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้ ฉันควรตายจริง!” ณ จุดนี้ เขาจะไม่ยื่นเรื่องร้องทุกข์ นับประสาอะไรที่จะติเตียนพระเจ้า ด้วยรู้สึกเพียงว่า เขาช่างขัดสนและน่าเวทนายิ่งนัก โสมมและเสื่อมทรามยิ่งนักจนเขาสมควรแล้วที่จะถูกกวาดล้างโดยพระเจ้า และดวงจิตเช่นของเขานั้นไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ณ จุดนี้ บุคคลผู้นี้จะไม่ต้านทานพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะทรยศพระเจ้า หากใครคนหนึ่งไม่รู้จักตัวเอง และยังคงพิจารณาตัวเองว่าดีมาก เช่นนั้นแล้วเมื่อความตายมาเคาะประตู บุคคลนี้จะคิดว่า “ฉันได้ทำดีเหลือเกินในความเชื่อของฉัน ฉันได้แสวงหาหนักเพียงใด! ฉันได้ให้มากมายเหลือเกิน ฉันได้ทนทุกข์มากมายเหลือเกิน กระนั้นในที่สุดแล้ว ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงขอให้ฉันตาย ฉันไม่รู้ว่าความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดพระองค์จึงกำลังทรงขอให้ฉันตาย? หากแม้กระทั่งบุคคลหนึ่งเช่นฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้วใครเล่าจะได้รับการช่วยให้รอด? เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มาถึงบทอวสานหรอกหรือ?” อย่างแรก บุคคลนี้มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ประการที่สอง บุคคลนี้กำลังพร่ำบ่น และไม่ได้กำลังแสดงให้เห็นการนบนอบใดๆ แต่อย่างใดเลย นี่เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล กล่าวคือ เมื่อเขากำลังจะตาย เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และเมื่อถึงเวลาที่การลงโทษของพระเจ้าใกล้มาถึง นั่นก็สายเกินไปแล้วที่จะกลับใจ

ตัดตอนมาจาก “การรู้จักตัวเองโดยหลักแล้วคือการรู้จักธรรมชาติมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

สิ่งที่เปโตรได้แสวงหาคือ การมารู้จักตัวเขาเองและมองเห็นว่าสิ่งใดที่ได้ถูกเปิดเผยในตัวเขา โดยผ่านทางกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า และภายในบททดสอบนานาสารพันซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสำหรับเขา เมื่อเขาได้มาเข้าใจตัวเขาเองอย่างแท้จริง เปโตรจึงได้ตระหนักว่า เหล่ามนุษย์นั้นเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเพียงใด พวกเขาช่างไร้ค่าและไม่ควรค่าที่จะรับใช้พระเจ้าเพียงใด และว่าพวกเขาไม่สมควรที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ จากนั้นเปโตรจึงทรุดลงหมอบราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็คิดว่า “การรู้จักพระเจ้าคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด! หากฉันตายไปก่อนที่จะรู้จักพระองค์ นั่นคงจะเป็นความน่าเวทนาเสียจริง ฉันรู้สึกว่าการรู้จักพระเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มีความหมายที่สุดที่มีอยู่ หากมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมไม่มีชีวิตและไม่สมควรที่จะดำรงชีวิตอยู่” เมื่อถึงเวลาที่ประสบการณ์ของเปโตรได้ไปถึงจุดนี้ เขาได้มีความรู้มากขึ้นพอสมควรในเรื่องของธรรมชาติของเขาเอง และได้รับความเข้าใจค่อนข้างดีเกี่ยวกับธรรมชาติของเขาเอง ถึงแม้ว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้มีความสามารถที่จะอธิบายการนั้นได้อย่างถ้วนทั่ว ในด้านซึ่งน่าจะสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้คนทุกวันนี้จินตนาการ แต่เปโตรก็ได้ไปถึงสภาวะนี้แล้วโดยแท้ ดังนั้น เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาชีวิตและการบรรลุการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า จึงเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งความเข้าใจอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของคนเราเองจากภายในถ้อยดำรัสของพระเจ้า ตลอดจนการจับใจความแง่มุมทั้งหลายของธรรมชาติของคนเราและบรรยายธรรมชาติของคนเราเป็นคำพูดอย่างถูกต้องแม่นยำ การเข้าใจชีวิตเดิมของคนเราอย่างถ้วนทั่ว—ชีวิตซึ่งมีธรรมชาติเดิมเยี่ยงซาตานนั้น—หมายถึงการที่ได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ซึ่งพระเจ้าทรงพึงประสงค์ หากความรู้ของเจ้ายังไม่ได้ไปถึงจุดนี้ แต่เจ้ากล่าวอ้างว่ารู้จักตัวเจ้าเองและพูดว่าเจ้าได้รับชีวิตแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ได้เพียงแค่กำลังคุยโวหรอกหรือ? เจ้าไม่รู้จักตัวเจ้าเอง อีกทั้งเจ้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าคือสิ่งใดเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ว่าเจ้าได้บรรจบกับมาตรฐานของการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่าเจ้ายังคงมีองค์ประกอบเยี่ยงซาตานกี่อย่างภายในตัวเจ้า เจ้ายังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับว่าเจ้าเป็นของใคร และเจ้าไม่มีการรู้จักตนเองแต่อย่างใดเลยเสียด้วยซ้ำ—ดังนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถครองเหตุผลเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร? เมื่อเปโตรกำลังไล่ตามเสาะหาชีวิตอยู่นั้น เขามุ่งเน้นไปที่การเข้าใจตัวเขาเองและการแปลงสภาพอุปนิสัยของเขาตลอดครรลองแห่งบททดสอบของเขา และเขาเพียรพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า และสุดท้ายแล้ว เขาก็คิดว่า “ผู้คนต้องแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าในชีวิต การรู้จักพระองค์คือสิ่งสำคัญวิกฤติที่สุด หากฉันไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ฉันก็ย่อมไม่สามารถหยุดพักอย่างสันติสุขได้เมื่อฉันตาย ทันทีที่ฉันรู้จักพระองค์ หลังจากนั้นหากพระเจ้าทรงให้ฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมจะยังคงรู้สึกปลาบปลื้มที่สุดที่จะทำเช่นนั้น ฉันจะไม่ร้องทุกข์คร่ำครวญแม้แต่น้อย และทั้งชีวิตของฉันย่อมจะได้รับการทำให้ลุล่วงไปแล้ว” เปโตรไม่มีความสามารถที่จะได้รับความเข้าใจระดับนี้ หรือไปถึงจุดนี้ได้ทันทีหลังจากที่เขาได้เริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า เขาจำเป็นที่จะต้องก้าวผ่านบททดสอบมากมายมหาศาลเสียก่อน ประสบการณ์ของเขาจำเป็นที่จะต้องไปถึงหลักชัยเฉพาะ และเขาจำเป็นที่จะต้องเข้าใจตัวเขาเองอย่างครบบริบูรณ์ ก่อนที่เขาจะสามารถสำนึกรับรู้คุณค่าของการรู้จักพระเจ้า เพราะฉะนั้น เส้นทางที่เปโตรรับเอาไว้นั้น จึงเป็นเส้นทางของการได้รับชีวิตและของการถูกทำให้มีความเพียบพร้อม นี่คือแง่มุมซึ่งมุ่งเน้นที่การปฏิบัติแบบเฉพาะเจาะจงของเขาเป็นหลัก

ตัดตอนมาจาก “วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ขณะที่เราพิพากษาพวกเจ้าด้วยประการฉะนี้ในวันนี้ พวกเจ้าจะมีความเข้าใจระดับใดในที่สุด? พวกเจ้าจะกล่าวว่า ถึงแม้ว่าสถานะของพวกเจ้านั้นไม่สูง แต่อย่างไรก็ตามพวกเจ้าก็ได้ชื่นชมกับการยกให้สูงขึ้นของพระเจ้า เพราะพวกเจ้ามีกำเนิดที่ต่ำต้อยพวกเจ้าจึงไม่มีสถานะ แต่พวกเจ้าได้รับสถานะเพราะพระเจ้าทรงยกพวกเจ้าให้สูงขึ้น—นี่คือบางสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า วันนี้เจ้ามีความสามารถที่จะรับการฝึกฝนของพระเจ้า การตีสอนของพระองค์ และการพิพากษาของพระองค์ได้ด้วยตนเอง นี่คือการยกให้สูงขึ้นของพระองค์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้ามีความสามารถที่จะรับการชำระให้บริสุทธิ์และการแผดเผาของพระองค์ได้ด้วยตนเอง นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตลอดหลายยุคหลายสมัยไม่เคยมีสักคนหนึ่งที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการแผดเผาของพระองค์ และไม่มีสักคนหนึ่งที่มีความสามารถที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้โดยพระวจนะของพระองค์ บัดนี้พระเจ้ากำลังตรัสกับพวกเจ้าแบบเผชิญหน้ากัน ทรงชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ ทรงเปิดเผยความเป็นกบฏภายในของพวกเจ้า—นี่คือการยกให้สูงขึ้นของพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนมีความสามารถใด? กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรของดาวิดหรือพงศ์พันธุ์ของโมอับ ผู้คนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรค่าแก่การอวดตัว ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า พวกเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง ไม่มีข้อพึงประสงค์อื่นจากพวกเจ้า นี่คือวิธีที่พวกเจ้าควรอธิษฐาน: “โอ พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว หากสถานะของข้าพระองค์สูง นั่นก็เป็นเพราะการยกให้สูงขึ้นของพระองค์ และหากมันต่ำต้อย นั่นก็เป็นเพราะการลิขิตของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีทั้งตัวเลือกใดๆ และการพร่ำบ่นใดๆ พระองค์ได้ทรงลิขิตว่าข้าพระองค์จะถือกำเนิดในประเทศนี้และท่ามกลางผู้คนนี้ และว่าทั้งหมดที่ข้าพระองค์ควรทำก็คือการเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิต ข้าพระองค์ไม่ได้นึกถึงสถานะ จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงวางข้าพระองค์ในบาดาลลึก ในบึงไฟและกำมะถัน ข้าพระองค์ก็ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม กระนั้นข้าพระองค์ก็ยังเป็นสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งที่ทรงสร้างขนาดจิ๋วสิ่งหนึ่งซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงสร้างขึ้น ก็แค่สิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งท่ามกลางพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งมวล เป็นพระองค์นั่นเองที่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้น และตอนนี้พระองค์ได้ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำกับข้าพระองค์ตามที่พระองค์จะทรงทำ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์และตัวประกอบเสริมความเด่นของพระองค์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ทุกสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์” เมื่อเวลานั้นมาถึงที่เจ้าจะไม่นึกถึงสถานะอีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าจะเป็นอิสระจากมัน เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแสวงหาได้อย่างมั่นใจและอย่างกล้าหาญ และเมื่อนั้นเท่านั้นหัวใจของเจ้าจึงจะกลายเป็นอิสระจากข้อจำกัดใดๆ ทันทีที่ผู้คนได้ถูกทำให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาจะไม่มีความกังวลอีกต่อไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่เป็น “การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและติดตามพระเจ้า”

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้”...

ติดต่อเราผ่าน Messenger