วิธีที่คนเราสามารถสัมฤทธิ์การรู้จักตนเองที่แท้จริงได้
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักตัวพวกเขาเอง พระเจ้าทรงใช้วิธีการต่างๆ มากมาย พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนมารู้จักตัวพวกเขาเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยผ่านทางประสบการณ์ ไม่ว่าพระองค์จะทรงใช้การทดสอบ การพิพากษา หรือการตีสอน ด้วยพระวจนะหรือด้วยข้อเท็จจริง พระเจ้าก็ทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนมีประสบการณ์อยู่เนืองนิตย์ มีประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน และการบ่มวินัยของพระวจนะของพระเจ้า และมีประสบการณ์กับความรู้แจ้งและความกระจ่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนระลึกรู้ความเสื่อมทราม การเป็นกบฏ และธรรมชาติของพวกเขาเอง ดังนั้นแล้ว เป้าหมายท้ายสุดของพระเจ้าในการทรงทำการนี้คือสิ่งใด? คือการเปิดโอกาสให้ทุกบุคคลที่กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ารู้จักสิ่งที่มนุษย์เป็น “สิ่งที่มนุษย์เป็น” รวมถึงสิ่งใดบ้าง? รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้คนระลึกรู้อัตลักษณ์ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของพวกเขาเอง เป็นการปล่อยให้เจ้ารู้ว่ามนุษย์เป็นผู้ใด และตัวเจ้าเองเป็นผู้ใด นี่คือเป้าหมายท้ายสุดของการที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักตัวพวกเขาเอง
ตัดตอนมาจาก “พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
กุญแจสู่การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคือการรู้จักธรรมชาติของคนเราเอง และการนี้ต้องเกิดขึ้นโดยสอดคล้องกับวิวรณ์จากพระเจ้า มีเพียงในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ใครคนหนึ่งสามารถรู้จักธรรมชาติอันน่าขยะแขยงของตนเองได้ ระลึกได้ถึงพิษอันหลากหลายของซาตานในธรรมชาติของตนเอง ตระหนักว่าตนนั้นโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน และระลึกได้ถึงองค์ประกอบที่อ่อนแอและเป็นด้านลบในธรรมชาติของตน หลังจากที่สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างครบถ้วนแล้ว และเจ้าสามารถเกลียดชังตัวเจ้าเองและละทิ้งเนื้อหนังได้อย่างแท้จริง ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างสม่ำเสมอ และมีเจตจำนงที่จะนบนอบต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางของเปโตรแล้ว เมื่อปราศจากพระคุณของพระเจ้า และปราศจากความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คงจะเป็นการยากที่จะเดินบนเส้นทางนี้ เนื่องเพราะผู้คนไม่ครองความจริงและไร้ความสามารถที่จะทรยศตนเองได้ โดยหลักแล้วการเดินบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมของเปโตรอยู่บนพื้นฐานของการมีความตั้งใจแน่วแน่ การมีความเชื่อ และการพึ่งพาพระเจ้า ที่มากยิ่งกว่าคือ คนเราต้องนบนอบต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทุกสรรพสิ่ง คนเราไม่สามารถทำโดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้าได้ เหล่านี้คือแง่มุมสำคัญ ซึ่งไม่มีแง่มุมใดที่สามารถถูกล่วงละเมิดได้ การได้ทำความรู้จักตนเองโดยผ่านทางประสบการณ์เป็นเรื่องลำบากยากเย็นมาก เมื่อปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ยิ่งยากมากที่จะเข้าสู่การนี้ได้
ตัดตอนมาจาก “การรู้จักตัวเองโดยหลักแล้วคือการรู้จักธรรมชาติมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เพื่อที่จะรู้จักตัวเอง เจ้าต้องรู้จักการแสดงออกทั้งหลายของความเสื่อมทรามของเจ้าเอง จุดอ่อนที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเจ้าเอง อุปนิสัยของเจ้า และธรรมชาติแก่นแท้ของเจ้า เจ้าต้องรู้จักสิ่งเหล่านั้น—สิ่งจูงใจทั้งหลายของเจ้า มุมมองทั้งหลายของเจ้า และท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับทุกๆ สิ่ง—ที่ถูกเปิดเผยในชีวิตประจำวันของเจ้าให้ลึกลงไปถึงรายละเอียดท้ายสุดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้าน ตอนที่เจ้ากำลังอยู่ในการชุมนุม ตอนที่เจ้ากำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือในทุกๆ ประเด็นปัญหาที่เจ้าเผชิญ เจ้าต้องมารู้จักตัวเองโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะรู้จักตัวเจ้าในระดับที่ลึกขึ้น เจ้าต้องรวมพระวจนะของพระเจ้าเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เฉพาะโดยการรู้จักตัวเองบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้ ในตอนที่กำลังรับการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้า พวกเราต้องไม่เกรงกลัวความทุกข์ และไม่ควรกลัวความเจ็บปวด และนับประสาอะไรที่พวกเราควรเกรงกลัวว่าพระวจนะของพระเจ้าจะเสียดแทงหัวใจของพวกเรา พวกเราควรอ่านถ้อยดำรัสของพระองค์ให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ทรงพิพากษาและตีสอนพวกเรา และเปิดโปงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเรา พวกเราต้องอ่านถ้อยดำรัสเหล่านี้และเชิดชูตัวพวกเราให้ขึ้นไปถึงถ้อยดำรัสเหล่านี้ให้มากขึ้น จงอย่าเปรียบเทียบผู้อื่นกับถ้อยดำรัสเหล่านี้—พวกเราต้องเปรียบเทียบตัวเรากับถ้อยดำรัสเหล่านี้ พวกเราไม่ขาดพร่องแม้เพียงสักอย่างของสิ่งเหล่านี้ พวกเราทุกคนสามารถเทียมทันถ้อยดำรัสเหล่านี้ หากเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็จงไปรับประสบการณ์เรื่องนี้ด้วยตัวเจ้าเอง หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้คนบางคนไม่มีความสามารถที่จะนำพระวจนะเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับตัวเอง พวกเขาคิดว่า ส่วนทั้งหลายของพระวจนะเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่เกี่ยวกับผู้คนอื่นๆ ต่างหาก ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงผู้คนว่าเป็นพวกมากชู้และแพศยา พี่น้องหญิงบางคนก็รู้สึกว่า เพราะพวกเธอได้มีความสัตย์ซื่อต่อสามีของพวกเธออย่างไม่มีผิดพลาด พระวจนะเหล่านั้นต้องไม่มีอะไรอ้างอิงถึงพวกเธอ พี่น้องหญิงบางคนรู้สึกว่า เนื่องจากพวกเธอไม่ได้แต่งงาน และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ พระวจนะเหล่านั้นต้องไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเธอด้วยเช่นกัน พี่น้องชายบางคนรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พวกผู้หญิงเท่านั้น และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ผู้คนบางคนเชื่อว่า พระวจนะเช่นนั้นของพระเจ้าฟังดูไม่น่ายินดีเท่าใดนัก จึงปฏิเสธที่จะยอมรับพระวจนะเหล่านี้ ในบางตัวอย่างถึงกับมีกระทั่งผู้คนที่กล่าวว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นผิด นี่เป็นท่าทีอันถูกต้องที่ควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือ? ผู้คนไม่มีความสามารถที่จะคิดทบทวนตัวเองบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า คำว่า “มากชู้” และ “แพศยา” ตรงนี้อ้างอิงถึงความเสื่อมทรามของผู้คนในเรื่องความมักมาก ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สมรสหรือไม่สมรส ทุกคนถูกความเสื่อมทรามในเรื่องของความมักมากครอบงำทั้งนั้น—ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่นั่นจะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า? พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย คนเรามีความเสื่อมทรามที่ระดับเดียวกัน นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใด พวกเราจำเป็นต้องตระหนักว่า พวกเราต้องยอมรับทุกคำของพระวจนะที่พระเจ้าตรัส ไม่ว่าถ้อยดำรัสเหล่านี้ฟังดูน่ายินดีหรือไม่ และไม่ว่าถ้อยดำรัสเหล่านี้ให้ความรู้สึกขมขื่นหรือหวานชื่น เช่นนั้นเองคือท่าทีที่พวกเราควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้า นี่คือท่าทีชนิดใดหรือ? นี่คือท่าทีอันศรัทธา ท่าทีอันอดทน หรือท่าทีของการโอบกอดความทุกข์ไว้กันเล่า? เราบอกพวกเจ้าเลยว่านี่ไม่ใช่อันใดในท่าทีเหล่านี้เลย ในความเชื่อของพวกเรานั้น พวกเราต้องธำรงรักษาไว้อย่างหนักแน่นว่า พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้คือความจริงโดยแท้ พวกเราควรยอมรับพระวจนะเหล่านี้อย่างมีเหตุผล ไม่ว่าพวกเรามีความสามารถที่จะระลึกรู้หรือยอมรับการนี้หรือไม่ ท่าทีแรกที่พวกเราควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นท่าทีแห่งการยอมรับโดยสมบูรณ์ ทุกๆ บรรทัดของพระวจนะของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับสภาวะหนึ่งซึ่งเฉพาะเจาะจง นั่นก็คือ ไม่มีบรรทัดใดของถ้อยดำรัสของพระองค์ที่เกี่ยวกับการปรากฏภายนอก นับประสาอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ภายนอก หรือรูปแบบอันเรียบง่ายของพฤติกรรมในตัวผู้คน ไม่มีถ้อยดำรัสใดที่เป็นเช่นนั้นเลย หากเจ้ามองเห็นทุกบรรทัดที่พระเจ้าดำรัสเป็นการเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมประเภทเรียบง่ายของมนุษย์หรือการปรากฏภายนอก เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่มีความเข้าใจเชิงจิตวิญญาณเลย และเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร พระวจนะของพระเจ้านั้นลุ่มลึก พระวจนะเหล่านี้ลุ่มลึกอย่างไรหรือ? ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัส ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผยนั้นเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน และสิ่งทั้งหลายที่หยั่งรากลึกเป็นสาระสำคัญอยู่ภายในชีวิตของพวกเขา ไม่ใช่การปรากฏภายนอก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่พฤติกรรมภายนอก
ตัดตอนมาจาก “ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอน นับประสาอะไรที่เขาจะมุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งความรู้ทางเทววิทยา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาจดจ่ออยู่กับการจับใจความความจริงและการจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ตลอดจนการสัมฤทธิ์ความเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และความดีงามของพระองค์ เปโตรยังได้พยายามที่จะเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์จากพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ตลอดจนธรรมชาติอันเสื่อมทรามและข้อบกพร่องจริงแท้ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำตามแง่มุมทั้งหมดของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์เพื่อที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เปโตรมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากมายเหลือเกินที่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนี้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และนั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถร่วมมือได้ในขณะที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อได้รับประสบการณ์กับการทดสอบหลายร้อยครั้งจากพระเจ้า เปโตรได้ตรวจสอบตัวเขาเองอย่างเข้มงวดโดยอิงทุกพระวจนะแห่งการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้า ทุกพระวจนะแห่งวิวรณ์เกี่ยวกับมนุษย์ของพระเจ้า และทุกพระวจนะแห่งข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อมนุษย์ และเพียรพยายามที่จะหยั่งลึกความหมายของพระวจนะเหล่านั้น เขาพยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะไตร่ตรองและจดจำทุกพระวจนะที่พระเยซูตรัสกับเขา และได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีมาก โดยผ่านทางการปฏิบัติลักษณะนี้ เขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาเองจากพระวจนะของพระเจ้า และเขาไม่เพียงมาเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมาเข้าใจแก่นแท้ ธรรมชาติ และข้อบกพร่องทั้งหลายของมนุษย์เช่นกัน นี่คือความหมายของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง
ตัดตอนมาจาก “วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เมื่อมาถึงเรื่องการรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่จะมองเห็นการนั้นจากมุมมองของทรรศนะทางโลกของมนุษย์ ทรรศนะชีวิต และค่านิยมทั้งหลาย พวกที่เป็นมารร้ายล้วนดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง โดยหลักแล้วทรรศนะชีวิตและคำคมทั้งหลายของพวกเขามาจากคติพจน์ของซาตาน อาทิ “ทุกคนจงทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารร้ายพาไปตามยถากรรม” คำพูดสารพัดที่กล่าวโดยพวกกษัตริย์มาร พวกตัวที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย และบรรดานักปรัชญาของแผ่นดินโลกนั้นได้กลายมาเป็นชีวิตจริงของมนุษย์ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดส่วนใหญ่ของขงจื๊อผู้ซึ่งประชาชนชาวจีนกล่าวขวัญถึงในฐานะ “ปราชญ์” นั้น ได้กลายมาเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ทั้งยังมีสุภาษิตที่มีชื่อเสียงของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า และคติพจน์อมตะของพวกบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงหลากหลายที่ถูกยกมาอ้างบ่อยครั้งอีกเช่นกัน เหล่านี้ล้วนเป็นเค้าโครงของปรัชญาทั้งหลายของซาตานและธรรมชาติของซาตาน สิ่งเหล่านี้ยังเป็นการแสดงตัวอย่างและคำอธิบายที่ดีที่สุดของธรรมชาติของซาตาน พิษเหล่านี้ที่ถูกซึมซาบเข้าสู่หัวใจของมนุษย์ล้วนมาจากซาตาน ไม่มีแม้สักนิดของพิษเหล่านั้นที่มาจากพระเจ้า คำพูดฝ่ายผีปีศาจเช่นนั้นอยู่ในการต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าโดยตรงเช่นกัน มันชัดเจนอย่างสมบูรณ์ว่า ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งหลายนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และพวกสิ่งที่เป็นลบทั้งหลายซึ่งเป็นพิษต่อมนุษย์นั้นมาจากซาตาน เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถหยั่งรู้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และหยั่งรู้ว่าเขาเป็นของใครได้ ก็จากทรรศนะชีวิตและค่านิยมทั้งหลายของเขา ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว “ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีอันประณีตของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า ลองจินตนาการถึงการถามคำถามต่อไปนี้กับใครบางคนที่ได้มีบทบาทแข็งขันในสังคมมาหลายทศวรรษว่า “ด้วยความที่ท่านได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกเป็นเวลานานเหลือเกินและสัมฤทธิ์ผลไปมากมายยิ่งนัก อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่ท่านใช้ดำรงชีวิต?” เขาอาจกล่าวว่า “คติพจน์ที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย’” คำพูดเหล่านี้มิใช่เป็นตัวแทนของธรรมชาติของบุคคลนั้นหรอกหรือ? การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของเขา และการเป็นข้าราชการคือสิ่งที่ให้ชีวิตแก่เขา ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน พวกข้าราชการทั้งหมด พวกที่กุมอำนาจ และพวกที่สำเร็จลุล่วงนั้น มีเส้นทางและความลับในการที่จะประสบความสำเร็จของตัวพวกเขาเอง ความลับทั้งหลายดังกล่าวไม่ใช่เป็นตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ? พวกเขาได้ทำสิ่งใหญ่โตทั้งหลายเช่นนั้นในโลก และไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุกลอุบายและเล่ห์กลทั้งหลายที่วางอยู่เบื้องหลังพวกเขาได้ นี่ก็แค่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นคิดร้ายและเคลือบแฝงเพียงใด มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า ธรรมชาติของมนุษย์สามารถเป็นที่รู้ทั่วกันได้หากได้ถูกชำแหละในหนทางนี้
ตัดตอนมาจาก “วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า “เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม”—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานทำก็เพื่อตัวมันเอง มันปรารถนาที่จะข้ามผ่านพระเจ้า หลุดพ้นจากพระองค์ และกวัดแกว่งอำนาจด้วยตัวมันเอง และเพื่อที่จะครองสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงของพระเจ้า เพราะฉะนั้นธรรมชาติของมนุษย์ก็คือธรรมชาติของซาตานนั่นเอง ในข้อเท็จจริงนั้น คติประจำใจของผู้คนจำนวนมากสามารถเป็นตัวแทนและสะท้อนธรรมชาติของพวกเขาได้ ไม่สำคัญว่าผู้คนพยายามที่จะอำพรางตัวพวกเขาอย่างไร ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำและในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูด พวกเขาไม่สามารถซ่อนเร้นผู้ซึ่งพวกเขาเป็นได้ มีบางคนที่ไม่เคยพูดความจริงและเก่งในการเสแสร้ง แต่ทันทีที่ผู้อื่นได้มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาสักระยะหนึ่ง ธรรมชาติอันหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์อันครบบริบูรณ์ของพวกเขาก็ถูกค้นพบ ในที่สุด ผู้อื่นก็ลงความเห็นดังต่อไปนี้ ความว่า บุคคลนั้นไม่เคยพูดความจริงสักคำ และเป็นผู้คนที่หลอกลวง ถ้อยแถลงนี้เป็นตัวแทนความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของบุคคลเช่นนั้น นั่นคือภาพประกอบและข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดของธรรมชาติแก่นแท้ของพวกเขา ปรัชญาของพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตคือการไม่บอกความจริงแก่ใครเลย ตลอดจนการไม่ไว้วางใจใครเลย ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์บรรจุปรัชญานี้มากมาย บางครั้งเจ้าเองก็ไม่แม้แต่จะตระหนักรู้การนั้นและไม่เข้าใจสิ่งนั้น ถึงกระนั้น ทุกชั่วขณะของชีวิตของเจ้าก็มีพื้นฐานอยู่บนสิ่งนั้น ที่มากกว่านั้น เจ้าคิดว่าปรัชญานี้ค่อนข้างถูกต้องและมีเหตุผล และไม่มีการเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่า ปรัชญาของซาตานได้กลายเป็นธรรมชาติของผู้คน และว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับการนั้นอย่างสมบูรณ์ โดยไม่ได้เป็นกบฏต่อการนั้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น พวกเขากำลังเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่เนืองนิตย์ และในทุกแง่มุม พวกเขาใช้ชีวิตไปตามปรัชญาของซาตาน ธรรมชาติของซาตานคือชีวิตของมนุษยชาติ
ตัดตอนมาจาก “วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เจ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างไรหรือ? ตามจริงแล้ว การเข้าใจธรรมชาติของเจ้านั้นหมายถึงการชำแหละส่วนลึกในดวงจิตของเจ้า นั่นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในชีวิตเจ้า นั่นคือตรรกะของซาตานและทัศนคติของซาตานที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด นั่นก็คือ ชีวิตของซาตานนั่นเองที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด เฉพาะด้วยการพลิกแผ่นดินให้เจอส่วนทั้งหลายที่อยู่ลึกลงไปในดวงจิตของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของเจ้าได้ จะพลิกแผ่นดินหาสิ่งเหล่านี้เจอได้อย่างไรหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกชำแหละและพลิกแผ่นดินหาจนเจอได้โดยผ่านทางแค่หนึ่งหรือสองเหตุการณ์ นั่นก็คือ หลายคราว หลังจากที่เจ้าทำบางสิ่งบางอย่างแล้วเสร็จ เจ้าก็ยังคงไม่ได้มาถึงความเข้าใจหนึ่งเลย อาจสามารถใช้เวลาสามถึงห้าปีกว่าที่เจ้าจะมีความสามารถได้รับแม้แค่เสี้ยวเล็กจิ๋วของการตระหนักและการเข้าใจ ในสถานการณ์มากมาย เจ้าต้องทบทวนตัวเองและมารู้จักตัวเอง และเฉพาะเมื่อเจ้าฝึกฝนปฏิบัติในการขุดลึกลงไปเท่านั้น เจ้าจึงจะมามองเห็นผลลัพธ์ ขณะที่ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเติบโตลุ่มลึกมากขึ้นทุกที เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักธรรมชาติแก่นแท้ของตัวเจ้าเองโดยผ่านทางการทบทวนตัวเองและความรู้จักตัวเอง เพื่อที่จะรู้จักธรรมชาติของเจ้า เจ้าต้องทำบางสิ่งสองสามอย่างให้บรรลุผลสำเร็จลุล่วง สิ่งแรกก็คือ เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าชอบ นี่มิใช่อ้างอิงถึงสิ่งที่เจ้าชอบกินหรือชอบสวมใส่ แต่ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงสิ่งประเภททั้งหลายที่เจ้าชื่นชม สิ่งทั้งหลายที่เจ้าริษยา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าแสวงหา และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าให้ความสนใจในหัวใจของเจ้า ชนิดของผู้คนที่เจ้าชื่นชมในการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย ชนิดของสิ่งที่เจ้าชอบทำ และชนิดของผู้คนที่เจ้าชื่นชูในหัวใจ ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบผู้คนที่มีจุดยืนยิ่งใหญ่ ผู้คนซึ่งมีความงามสง่าอยู่ในกิริยาท่าทางและวาทะของพวกเขา หรือชอบพวกที่พูดคำยกยอแบบมีวาทศิลป์ หรือพวกที่แสร้งสวมบทบาท ที่พาดพิงถึงไปก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนใดที่พวกเขาชอบมีปฏิกิริยาด้วย สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชมนั้น สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการเต็มใจทำสิ่งเฉพาะบางอย่างที่ทำได้ง่ายดาย การชื่นชมในสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นคิดว่าดี และที่คงจะเป็นเหตุให้ผู้คนขับร้องคำสรรเสริญและให้คำชม ในธรรมชาติทั้งหลายของผู้คนนั้นมีคุณลักษณะเฉพาะธรรมดาทั่วไปของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบอยู่ นั่นก็คือ พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นรู้สึกอิจฉาโดยเนื่องมาจากรูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่มองดูสวยงามและหรูหรา และพวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่ทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขาโดยเนื่องมาจากรูปลักษณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ผู้คนชื่นชอบนั้นยิ่งใหญ่ ละลานตา งามหรู และโอฬาร ผู้คนล้วนเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ สามารถเห็นได้ว่า ผู้คนไม่ครองความจริงอันใดเลย ทั้งพวกเขายังไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์แท้อีกด้วย ไม่มีนัยสำคัญแม้ระดับน้อยนิดที่สุดอยู่ในการเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ ทว่าผู้คนก็ยังชอบสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ที่ผู้คนชอบดูเหมือนว่าดีเป็นพิเศษสำหรับพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และพวกเขาเต็มใจเป็นพิเศษที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้…การทะเยอทะยานต่อสิ่งเหล่านี้คือการเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับผู้คนทางโลก การนี้เป็นที่รังเกียจโดยพระเจ้า การนี้ขาดพร่องความจริง การนี้ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ และการนี้เป็นเยี่ยงซาตาน การพลิกแผ่นดินหาธรรมชาติของบุคคลจากภายในความเลือกชอบของพวกเขาก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ความเลือกชอบของผู้คนมองเห็นได้ในหนทางที่พวกเขาแต่งกาย กล่าวคือ ผู้คนบางคนเต็มใจที่จะสวมเสื้อผ้าที่ดึงดูดความสนใจหลากสีสัน หรือชุดที่แปลกประหลาด พวกเขาจะพกเครื่องประดับที่ไม่มีใครคนอื่นได้พกมาก่อนติดตัวไปด้วย และพวกเขารักสิ่งทั้งหลายที่สามารถดึงดูดเพศตรงข้าม การที่พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านั้น แสดงให้เห็นถึงความเลือกชอบที่พวกเขามีให้กับสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของพวกเขาและลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขา สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบไม่ได้มีเกียรติหรือว่าดี สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นของบุคคลที่จริงแท้อย่างแท้จริง ในความชอบที่พวกเขามีต่อสิ่งเหล่านั้น มีความไม่ชอบธรรมอยู่ ทัศนะของพวกเขาแน่นอนว่าเป็นอย่างเดียวกับทัศนะของผู้คนทางโลก คนเราไม่สามารถมองเห็นความจริงในสิ่งเหล่านั้นได้แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น สิ่งที่เจ้าชอบ สิ่งที่เจ้ามุ่งเน้น สิ่งที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งที่เจ้าอิจฉา และสิ่งที่เจ้าคิดในหัวใจของเจ้าทุกวันล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนธรรมชาติของเจ้า นั่นเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าธรรมชาติของเจ้าชื่นชอบความไม่ชอบธรรม และในสถานการณ์ที่รุนแรง ธรรมชาติของเจ้านั้นชั่วและไม่สามารถเยียวยารักษาได้ เจ้าควรวิเคราะห์ธรรมชาติของเจ้าในหนทางนี้ กล่าวคือ จงตรวจสอบว่าเจ้าชื่นชอบสิ่งใดและเจ้าละทิ้งสิ่งใดในชีวิตของเจ้า เจ้าอาจจะดีต่อใครบางคนเป็นครั้งคราว แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าชื่นชอบพวกเขา แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าชื่นชอบอย่างแท้จริงก็คือสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติของเจ้า ต่อให้กระดูกของเจ้าหัก เจ้าก็คงจะยังคงชื่นชมมันและไม่มีวันจะสามารถละทิ้งมันได้ นี่ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง จงดูการหาคู่เป็นตัวอย่าง หากผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรักกับใครบางคนจริงๆ เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเธอได้ ต่อให้ขาทั้งสองของเธอถูกหัก เธอก็คงจะยังคงต้องการอยู่กับเขา เธอก็คงจะต้องการสมรสกับเขาต่อให้นั่นหมายถึงการที่เธอต้องตาย นี่สามารถเป็นไปได้อย่างไรกัน? นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผู้คนมีอยู่ลึกๆ ภายในตัวพวกเขาเองได้ ต่อให้บุคคลหนึ่งต้องตาย ดวงจิตของเขาก็คงจะยังคงชอบสิ่งเดิมๆ นั่นคือ สิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนแก่นแท้ของบุคคล สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบบรรจุไปด้วยความไม่ชอบธรรมอยู่บ้าง บางคนก็ชัดเจนในความชื่นชอบของพวกเขาที่มีต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ในขณะที่บางคนไม่ชัดเจน บางคนมีความชอบอย่างแรงกล้าต่อสิ่งเหล่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มี ผู้คนบางคนมีการควบคุมตัวเอง ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมตัวพวกเขาเองได้ ผู้คนบางคนหมิ่นเหม่ที่จะจมลงไปสู่สิ่งมืดทั้งหลาย ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ครองแม้กระทั่งเสี้ยวกระผีกของชีวิต หากผู้คนมีความสามารถที่จะไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นยึดครองและจำกัดควบคุม นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของพวกเขาได้รับการแปลงสภาพไปแล้วเล็กน้อย และว่าพวกเขามีวุฒิภาวะเล็กน้อย ผู้คนบางคนเข้าใจความจริงบางอย่างและรู้สึกว่าพวกเขามีชีวิตและรู้สึกว่าพวกเขารักพระเจ้า โดยแท้จริงแล้ว การนั้นยังคงเร็วเกินไป และการก้าวผ่านการแปลงสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย ธรรมชาติของคนเราง่ายที่จะเข้าใจกระนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าเข้าใจมันเล็กน้อย ธรรมชาตินั้นก็คงจะไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คือพื้นที่ของความลำบากยากเย็นสำหรับผู้คน ไม่ว่าผู้คน เรื่องราว หรือสิ่งของทั้งหลายรอบตัวเจ้าอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และไม่ว่าโลกอาจพลิกกลับหัวอย่างไร หากความจริงกำลังนำทางเจ้าจากภายใน หากสิ่งนั้นได้ฝังรากอยู่ภายในตัวเจ้าแล้ว และพระวจนะของพระเจ้านำทางชีวิตของเจ้า การเลือกชอบของเจ้า ประสบการณ์ของเจ้า และการดำรงอยู่ของเจ้า ณ จุดนั้นเจ้าจะได้แปลงสภาพไปแล้วอย่างแท้จริง บัดนี้ การแปลงสภาพที่ว่านี้เป็นแค่การที่ผู้คนให้ความร่วมมือเล็กน้อยและมีความกระตือรือร้นและความเชื่อสักนิดหน่อย แต่นี่ไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นการแปลงสภาพได้ และมันไม่ได้พิสูจน์ว่าผู้คนมีชีวิต นั่นเป็นแค่การเลือกชอบของผู้คน—ไม่มีสิ่งใดมากกว่านั้น
นอกเหนือจากการพลิกแผ่นดินค้นหาสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนโปรดปรานในธรรมชาติของพวกเขา แง่มุมอื่นๆ อันเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของพวกเขายังจำเป็นต้องถูกพลิกแผ่นดินค้นหาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ทัศนคติของผู้คนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย วิธีการและเป้าหมายในชีวิตของผู้คน คุณค่าชีวิตและทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตของผู้คน ตลอดจนทรรศนะเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความจริง เหล่านี้คือสรรพสิ่งทั้งมวลลึกลงไปภายในดวงจิตของผู้คน และสิ่งเหล่านั้นมีสัมพันธภาพโดยตรงกับการแปลงสภาพของอุปนิสัย เช่นนั้นแล้ว ทรรศนะชีวิตของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือสิ่งใด? สามารถกล่าวได้ว่านั่นเป็นดังนี้ นั่นคือ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ผู้คนทั้งปวงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง หากจะพูดอย่างชัดแจ้งขึ้น พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพื่อเนื้อหนัง พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพียงเพื่อใส่อาหารเข้าในปากของพวกเขาเท่านั้น การดำรงอยู่แบบนี้แตกต่างจากการดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายอย่างไร? ไม่มีคุณค่าอันใดเลยในการดำรงชีวิตเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงความหมายอันใด ทรรศนะชีวิตของคนเราเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าพึ่งพาเพื่อดำรงชีวิตในโลกนี้ สิ่งที่เจ้าดำรงชีวิตเพื่อมัน และวิธีที่เจ้าดำรงชีวิต—และเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของธรรมชาติแบบมนุษย์ โดยผ่านทางการชำแหละธรรมชาติของผู้คนนั้น เจ้าจะมองเห็นว่าผู้คนล้วนกำลังต้านทานพระเจ้า พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามาร และไม่มีบุคคลที่ดีอย่างจริงแท้เลย มีเพียงโดยการชำแหละธรรมชาติของผู้คนเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถรู้จักแก่นแท้และความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใด ผู้คนขาดพร่องสิ่งใดอย่างแท้จริง พวกเขาควรมีสิ่งใดไว้ติดตัว และพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนของมนุษย์อย่างไร การชำแหละธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถทำได้โดยปราศจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าหรือการมีประสบการณ์ที่แท้จริง
ตัดตอนมาจาก “สิ่งใดที่ควรรู้เกี่ยวกับการแปลงสภาพอุปนิสัยของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
หากผู้คนจะต้องเข้าใจตนเอง พวกเขาก็ต้องเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของพวกเขา แง่มุมสำคัญที่สุดของการเข้าใจสภาวะของตนเองของคนเรานั้นก็คือ การมีการจับความเข้าใจในความคิดและแนวคิดทั้งหลายของตนเองของคนเรา ในทุกช่วงเวลา ความคิดของผู้คนได้ถูกควบคุมโดยสิ่งใหญ่สิ่งหนึ่ง หากเจ้าสามารถได้รับการควบคุมอยู่เหนือความคิดทั้งหลายของเจ้า เจ้าย่อมสามารถได้รับการควบคุมเหนือสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังความคิดเหล่านั้น ผู้คนไม่สามารถควบคุมความคิดและแนวคิดทั้งหลายของเขาได้ แต่พวกเขาจำเป็นต้องรู้จริงๆ ว่า ความคิดและแนวคิดเหล่านี้มาจากไหน สิ่งใดที่เป็นสิ่งจูงใจเบื้องหลังพวกมัน ความคิดและแนวคิดเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นอย่างไร สิ่งใดควบคุมพวกมัน และธรรมชาติของพวกมันคืออะไร หลังจากที่อุปนิสัยของเจ้าได้แปลงสภาพไปแล้ว ความคิดและแนวคิดทั้งหลายของเจ้า ความอยากทั้งหลายที่หัวใจของเจ้าคอยเฝ้าแสวงหา และทัศนคติของเจ้าเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหา—ซึ่งได้ถูกผลิตออกมาจากส่วนทั้งหลายของเจ้าที่ได้ถูกแปลงสภาพไป—จะแตกต่างกันไป ความคิดและแนวคิดเหล่านั้นที่ก่อกำเนิดออกมาจากส่วนทั้งหลายของเจ้าที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เข้าใจชัดเจน และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่ได้วางแทนที่ด้วยประสบการณ์ของความจริงนั้นช่างโสมม สกปรก และอัปลักษณ์ ผู้คนในทุกวันนี้ผู้ซึ่งได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแล้วเป็นเวลาหลายปี พอมีสำนึกรับรู้และความตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง ผู้คนเหล่านั้นที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ นั้นยังไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขายังคงไม่ชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าส้นเท้าของอคิลลีสที่หมายถึงจุดอ่อนของพวกเขานั้นอยู่ตรงไหน หรือว่าในพื้นที่ใดที่พวกเขาจะร่วงลงต่ำได้ง่าย ปัจจุบันนี้ พวกเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด และแม้ว่าผู้คนอื่นๆ สามารถมองเห็นในบางขอบข่ายว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด แต่เจ้าก็ไม่สามารถสำนึกรับรู้มันได้ เจ้าไม่สามารถจำแนกความต่างของความคิดธรรมดาทั่วไปหรือเจตนาของเจ้าอย่างชัดเจนได้ และเจ้าไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นแก่นสารของเรื่องเหล่านี้ ยิ่งเจ้าเข้าใจแง่มุมหนึ่งลึกซึ้งขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะแปลงสภาพในแง่มุมนั้นมากขึ้นเท่านั้น ครั้นเป็นเช่นนั้น สิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำจะเป็นไปโดยสอดคล้องกับความจริง เจ้าจะมีความสามารถที่จะสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้ และเจ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น โดยการแสวงหาในหนทางนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งผลลัพธ์ทั้งหลาย
ตัดตอนมาจาก “ผู้คนซึ่งสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์นั้นเป็นผู้คนที่มีเหตุผลน้อยที่สุด” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
นี่คือกุญแจสำคัญสู่การคิดทบทวนกับตัวเองและการรู้จักตัวเอง กล่าวคือ ยิ่งเจ้ารู้สึกมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าทำได้ดี หรือได้ทำในสิ่งที่ถูกในหลายด้านเฉพาะ และยิ่งเจ้าคิดมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าสามารถสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือมีความสามารถที่จะอวดตัวในหลายด้านเฉพาะ เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้นสำหรับเจ้าที่จะรู้จักตัวเจ้าเองในด้านเหล่านั้น และย่อมคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้นสำหรับเจ้าที่จะขุดลึกลงไปในด้านเหล่านั้นเพื่อดูความมีราคีที่ดำรงอยู่ในตัวเจ้า รวมถึงดูว่าอะไรคือสิ่งทั้งหลายในตัวเจ้าที่ไม่สามารถสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ พวกเราจงมาดูเปาโลเป็นตัวอย่างกันเถิด เปาโลนั้นมีความรู้ดีเป็นพิเศษ และเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายในงานประกาศของเขา เขาได้รับการชื่นชมบูชาเป็นพิเศษจากผู้คนมากมาย ผลลัพธ์ก็คือ ภายหลังจากที่ได้ทำงานมากมายไปจนครบบริบูรณ์แล้ว เขาก็ได้ทึกทักไปว่าคงจะมีมงกุฎพักวางเอาไว้ให้เขา นี่เป็นเหตุให้เขาล่องไปตามเส้นทางที่ผิดไกลขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ ณ เวลานั้น หากเขาได้คิดทบทวนตัวเองและชำแหละตัวเอง เช่นนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่ได้คิดการนั้น กล่าวได้อีกนัยหนึ่งก็คือ เปาโลไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า เขาเพียงเชื่อในมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการทั้งหลายของตัวเขาเองเท่านั้น เขาได้คิดไปว่า ตราบที่เขาได้ทำในสิ่งดีไม่กี่อย่างลงไป และจัดแสดงพฤติกรรมที่ดีงาม พระเจ้าก็คงจะทรงสรรเสริญและประทานบำเหน็จให้แก่เขา ในตอนท้ายนั้น มโนคติอันหลงผิดและจินตนาการทั้งหลายของตัวเขาเองได้ทำให้จิตวิญญาณของเขามืดบอดและบดบังใบหน้าที่แท้จริงของเขา อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่ได้รู้การนี้ และด้วยความที่พระเจ้ามิได้ทรงนำการนี้มาเผย พวกเขาจึงยังคงตั้งเปาโลไว้เป็นมาตรฐานให้เอื้อมไปถึง เป็นตัวอย่างที่จะดำเนินชีวิตตามกันต่อไป และได้คำนึงถึงเขาในฐานะคนที่พวกเขาถวิลหาที่จะเป็นเหมือนกัน และในฐานะวัตถุที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และในฐานะใครบางคนที่ได้รับการเอาอย่าง เรื่องราวเกี่ยวกับเปาโลนี้ทำหน้าที่เป็นคำเตือนหนึ่งสำหรับทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า ซึ่งก็คือว่า เมื่อใดก็ตามที่พวกเรารู้สึกว่าพวกเราได้ทำดีเป็นพิเศษ หรือเชื่อว่าพวกเรานั้นมีพรสวรรค์เป็นพิเศษในบางด้าน หรือคิดว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือจำเป็นต้องได้รับการจัดการในบางด้าน พวกเราก็ควรเพียรพยายามที่จะคิดทบทวนและรู้จักตัวพวกเราเองให้ดีขึ้นในด้านนั้น การนี้สำคัญยิ่งยวด นี่เป็นเพราะ แน่นอนว่า เจ้ายังไม่ได้พลิกแผ่นดินหา ให้ความสนใจ หรือชำแหละแง่มุมทั้งหลายของตัวเจ้าเองซึ่งเจ้าเชื่อว่าดี เพื่อที่จะมองเห็นว่า อันที่จริงแล้ว แง่มุมเหล่านั้นบรรจุสิ่งใดที่ต้านทานพระเจ้าเอาไว้บ้างหรือไม่
ตัดตอนมาจาก “เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เจ้าจะสามารถบอกได้อย่างไรว่า แก่นแท้ของบุคคลหนึ่งคือสิ่งใด? เจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมชาติธาตุแท้ของบุคคลหนึ่งคือสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเขาไม่ทำอะไรเลยหรือตอนที่พวกเขาทำบางสิ่งสัพเพเหระ เหล่านี้แสดงให้เห็นอยู่ในสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยออกมาเป็นประจำ ในสิ่งจูงใจทั้งหลายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา ในเจตนาทั้งหลายเบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาทำ ในความอยากได้อยากมีทั้งหลายที่พวกเขาเก็บงำไว้ และในเส้นทางที่พวกเขาเดิน ที่ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นก็คือ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอยู่ในวิธีที่พวกเขาเกิดปฏิกิริยาเมื่อตอนที่พวกเขาเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า เมื่อตอนที่พวกเขาเผชิญกับบางสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อพวกเขาด้วยพระองค์เอง เมื่อตอนที่พวกเขาถูกทดสอบและถลุง หรือจัดการและตัดแต่ง หรือไม่เช่นนั้นก็ตอนที่พระเจ้าทรงให้ความกระจ่างและนำพวกเขาด้วยพระองค์เอง การนี้ทั้งปวงสัมพันธ์กับสิ่งใดหรือ? การนี้สัมพันธ์กับการกระทำทั้งหลายของบุคคลหนึ่ง หนทางที่พวกเขาดำรงชีวิต และหลักธรรมทั้งหลายที่พวกเขาใช้ประพฤติปฏิบัติตน ทั้งมันยังสัมพันธ์กับทิศทางและเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา และวิถีทางที่พวกเขาใช้ในการไล่ตามเสาะหา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันสัมพันธ์กับเส้นทางที่บุคคลนี้ใช้เดิน วิธีที่พวกเขาดำรงชีวิต สิ่งที่พวกเขาใช้ดำรงชีวิต และสิ่งที่เป็นพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา
ตัดตอนมาจาก “วิธีหยั่งรู้ธรรมชาติและธาตุแท้ของเปาโล” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
พระเจ้าทรงสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ทั้งในแง่มุมด้านบวกและด้านลบ มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาการที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมหรือไม่ หากเจ้าแสวงหาอย่างแท้จริงซึ่งการถูกพระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วด้านลบก็ไม่สามารถทำให้เจ้าทุกข์ทนจากการสูญเสียได้ แต่สามารถนำพาสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงมากกว่ามาให้เจ้า และสามารถทำให้เจ้ามีความสามารถมากขึ้นที่จะรู้จักสิ่งซึ่งกำลังขาดพร่องภายในตัวเจ้า มีความสามารถมากขึ้นที่จะจับความเข้าใจสภาวะที่เป็นจริงของเจ้า และมองเห็นว่ามนุษย์ไม่มีสิ่งใดเลย และไม่เป็นสิ่งใดเลย หากเจ้าไม่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบ เจ้าก็ย่อมไม่รู้ และจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าอยู่เหนือผู้อื่นและดีกว่าผู้อื่นทุกคน โดยผ่านทางนี้ทั้งหมด เจ้าจะมองเห็นว่าทั้งหมดที่ได้มาก่อนหน้านี้ได้ถูกทำโดยพระเจ้าและได้รับการปกป้องโดยพระเจ้า การเข้าสู่การทดสอบทิ้งให้เจ้าปราศจากความรักหรือความเชื่อ เจ้าขาดพร่องการอธิษฐานและไร้ความสามารถที่จะขับร้องบทเพลงสรรเสริญ และเจ้าก็มารู้จักตัวเจ้าเองในท่ามกลางการนี้โดยที่ไม่ตระหนักถึงมันเลย พระเจ้าทรงมีหลายวิถีทางในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงนำสภาพแวดล้อมทุกลักษณะมาใช้ในการจัดการกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และทรงใช้สิ่งต่างๆ นานาในการตีแผ่มนุษย์ ในแง่หนึ่ง พระองค์ทรงจัดการกับมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงตีแผ่มนุษย์ และในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงเปิดเผยมนุษย์ โดยทรงขุดคุ้ยและเปิดเผย “ความล้ำลึก” ในส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์ และทรงแสดงให้มนุษย์เห็นธรรมชาติของเขาโดยการเปิดเผยสภาวะมากมายของเขาออกมา พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางวิธีการมากมาย—โดยผ่านทางการเปิดเผย โดยผ่านทางการจัดการกับมนุษย์ โดยผ่านทางกระบวนการการถลุงมนุษย์ และการตีสอน—เพื่อที่มนุษย์อาจรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้
ในด้านหนึ่ง ในระหว่างการทดสอบของพระเจ้า มนุษย์ได้มารู้ความขาดตกบกพร่องของเขาและได้มาเห็นว่าเขานั้นไม่สำคัญ น่าเหยียดหยาม และต่ำต้อย ว่าเขาไม่มีสิ่งใดและไม่ใช่สิ่งใดเลย ในอีกด้านหนึ่ง ในระหว่างการทดสอบของพระองค์ พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์มีความสามารถที่จะรับประสบการณ์กับความดีงามของพระเจ้าได้มากขึ้น แม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะใหญ่หลวง และบางครั้งไม่สามารถผ่านพ้นไปได้—กระทั่งถึงระดับของความโศกเศร้าแสนสาหัส—ด้วยการรับประสบการณ์กับมัน มนุษย์มองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าในตัวเขาดีงามเพียงใด และบนรากฐานนี้เท่านั้นที่จะมีความรักแท้จริงสำหรับพระเจ้าเกิดขึ้นในมนุษย์ วันนี้ มนุษย์เห็นว่า ด้วยพระคุณ ความรัก และความปรานีของพระเจ้าอย่างเดียวนั้น เขาไม่สามารถพอที่จะรู้จักตัวเขาเองได้อย่างแท้จริง และนับประสาอะไรที่เขาจะมีความสามารถที่จะรู้จักแก่นแท้ของมนุษย์ได้ โดยผ่านทั้งทางกระบวนการถลุงและการพิพากษาของพระเจ้า และในระหว่างกระบวนการถลุงในตัวมันเองนี้เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถรู้ความขาดตกบกพร่องของเขา และรู้ว่าเขาไม่มีสิ่งใดเลย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น
การที่ได้ล้มเหลวและตกต่ำหลายครั้งไม่ใช่สิ่งที่แย่ อีกทั้งไม่ใช่การถูกเปิดโปง ไม่ว่าเจ้าจะถูกจัดการ ถูกตัดแต่ง หรือถูกเปิดโปง เจ้าต้องจดจำการนี้ไว้ตลอดเวลา กล่าวคือ การถูกเปิดโปงไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังถูกกล่าวโทษ การถูกเปิดโปงเป็นเรื่องที่ดี มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้รู้จักตัวเจ้าเอง มันสามารถนำพาการเปลี่ยนเกียร์มาสู่ประสบการณ์ชีวิตของเจ้า หากปราศจากมันแล้ว เจ้าจะไม่มีทั้งโอกาสเหมาะ ภาวะ อีกทั้งบริบทที่จะสามารถเข้าถึงความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้า หากเจ้าสามารถมารู้จักสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้า แง่มุมเหล่านั้นทั้งหมดที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกภายในตัวเจ้าซึ่งยากลำบากที่จะระลึกได้และลำบากยากเย็นที่จะพลิกแผ่นดินค้นหา เช่นนั้นแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่ดี การที่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะกลับตัวเสียใหม่และกลายเป็นคนใหม่ มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้มาซึ่งชีวิตใหม่ ทันทีที่เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าเมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง และเจ้าจะกระหายความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง นี่ช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจโอกาสเหมาะนี้ และทบทวนตัวเจ้าเองอย่างจริงจังตั้งใจ และได้รับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล้มเหลวหรือตกต่ำ เช่นนั้นแล้ว ในท่ามกลางความเป็นลบและความอ่อนแอ เจ้าจะสามารถกลับขึ้นมายืนได้ ทันทีที่เจ้าได้ข้ามธรณีประตูนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถก้าวครั้งใหญ่ไปข้างหน้าและเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงได้
ตัดตอนมาจาก “การที่จะได้รับความจริง เจ้าต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ