เหตุที่คนเราไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและความรอดโดยปราศจากการรู้จักตนเองได้

วันที่ 27 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์เริ่มต้นด้วยความรู้เกี่ยวกับเนื้อแท้ของเขาและโดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ธรรมชาติ และทัศนะทางจิตใจของเขา—โดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทั้งหลาย ในหนทางนี้เท่านั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงทั้งหลายจะได้สำเร็จลุล่วงในอุปนิสัยของมนุษย์ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ก่อเกิดขึ้นมาจากการที่เขาถูกซาตานวางยาพิษและทำให้ด่างพร้อย จากอันตรายมหันต์ที่ซาตานได้ทำให้ก่อเกิดขึ้นกับการคิด ศีลธรรม ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา นั่นเป็นเพราะสิ่งพื้นฐานทั้งหลายของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วอย่างแน่นอน และไม่เหมือนอย่างที่สุดกับวิธีการที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง มนุษย์จึงต่อต้านพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของมนุษย์จึงควรเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา ซึ่งจะเปลี่ยนความรู้ของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและความรู้ของเขาเกี่ยวกับความจริง พวกที่เกิดมาในดินแดนที่เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกที่สุดในบรรดาดินแดนทั้งหมดนั้นไม่รู้เท่าทันในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น หรือความหมายของการเชื่อในพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งผู้คนเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรู้จักการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น และสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขาก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือความเสื่อมทรามของเขาโดยซาตาน เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน มโนธรรมของมนุษย์จึงได้ด้านชามากขึ้น เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อม และเขามีทัศนะทางจิตใจที่ล้าหลัง ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ได้ติดตามพระเจ้าโดยธรรมชาติและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านั้น เขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ภายหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้สูญเสียความเชื่อฟังและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏของเขาต่อพระเจ้าก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ระลึกถึงการนี้ได้ และเพียงต่อต้านและเป็นกบฏอย่างหูหนวกตาบอด อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้ทึบเขลายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า หากสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขาก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการสอดคล้องกันกับน้ำพระทัยพระเจ้า หากสำนึกรับรู้ของมนุษย์ไม่น่าไว้ใจ เขาก็ย่อมไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า “สำนึกรับรู้ที่ปกติ” หมายถึงการเชื่อฟังและการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า หมายถึงการโหยหาในพระเจ้า หมายถึงการมีความสมบูรณ์ต่อพระเจ้า และหมายถึงการมีมโนธรรมต่อพระเจ้า นั่นหมายถึงการเป็นหัวใจและจิตใจหนึ่งเดียวต่อพระเจ้า และการไม่ต่อต้านพระเจ้าโดยจงใจ การมีสำนึกรับรู้ที่ผิดปกติวิสัยไม่ได้เป็นเช่นนี้ เนื่องจากมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขาจึงได้คิดมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา และเขาไม่เคยมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือการโหยหาในพระองค์เลย โดยยังไม่ได้พูดถึงมโนธรรมที่มีต่อพระเจ้าเลย มนุษย์ต่อต้านพระเจ้าและตัดสินพระองค์โดยจงใจ และยิ่งไปกว่านั้น ยังกล่าวคำผรุสวาทใส่พระองค์ลับหลังพระองค์ มนุษย์ตัดสินพระเจ้าลับหลังพระองค์ ด้วยความรู้อันชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มนุษย์ไม่มีเจตนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และเพียงสร้างข้อเรียกร้องและคำร้องขอแบบไม่ลืมหูลืมตาจากพระองค์ ผู้คนเช่นนั้น—ผู้คนผู้ซึ่งมีสำนึกรับรู้อันผิดปกติวิสัย—ไม่สามารถที่จะรู้จักพฤติกรรมของพวกเขาเองหรือที่จะเสียใจในความเป็นกบฏของพวกเขา หากผู้คนสามารถรู้จักตัวเองได้ พวกเขาก็ย่อมได้รับเอาสำนึกรับรู้ของพวกเขากลับมาแล้วเล็กน้อย ยิ่งผู้คนผู้ซึ่งไม่สามารถรู้จักตัวเองมีความเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีสำนึกรับรู้ที่ถูกต้องน้อยลงเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ทุกๆ สิ่งที่ดำรงอยู่ในหัวใจของพวกเรานั้นอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า นี่รวมถึงสิ่งทั้งหลายที่พวกเราคิดว่าดี และแม้แต่สิ่งเหล่านั้นที่พวกเราเชื่อเรียบร้อยแล้วว่าเป็นบวก พวกเราได้ทำบัญชีรายการสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นความจริง เป็นส่วนของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเป็นสิ่งที่เป็นบวก อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของพระเจ้า พวกมันเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด ความห่างระหว่างสิ่งที่พวกเราคิดกับความจริงที่ตรัสโดยพระเจ้านั้นมิอาจประเมินวัดได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงต้องรู้จักตัวของพวกเรา นับจากแนวคิด ทัศนคติ และการกระทำของพวกเราไปจนถึงการศึกษาเชิงวัฒนธรรมที่พวกเราได้รับมา แต่ละสิ่งนั้นคุ้มค่าแก่การซอกซอนลึกเข้าไปและการชำแหละอย่างทะลุปรุโปร่ง สิ่งเหล่านี้บางอย่างมาจากสภาพแวดล้อมทางสังคม บ้างก็มาจากครอบครัว บ้างก็มาจากการศึกษาในโรงเรียน และบ้างก็มาจากหนังสือทั้งหลาย บ้างก็มาจากมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของพวกเราด้วยเช่นกัน สิ่งจำพวกเหล่านี้น่าขวัญผวาที่สุด เพราะพวกมันผูกมัดและควบคุมคำพูดและการกระทำของพวกเรา ครอบงำจิตใจของพวกเรา และนำสิ่งจูงใจ เจตนา และเป้าหมายของพวกเราในสิ่งที่พวกเราทำ หากพวกเราไม่ขุดค้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา พวกเราจะไม่มีวันยอมรับพระวจนะของพระเจ้าภายในตัวพวกเราอย่างเต็มที่ และพวกเราจะไม่มีวันยอมรับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยปราศจากข้อสงสัยและนำข้อพึงประสงค์เหล่านั้นไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ ตราบที่เจ้าเก็บงำแนวคิดกับทัศนคติของตัวเจ้าเอง และความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องเอาไว้ เจ้าย่อมจะไม่มีวันยอมรับพระวจนะของพระเจ้าอย่างเต็มที่หรืออย่างไม่สงวนความสงสัย ทั้งเจ้ายังจะไม่ฝึกฝนปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้นในรูปแบบดั้งเดิมของพระวจนะเหล่านั้น แน่นอนว่า เจ้าจะนำพระวจนะเหล่านั้นไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติก็เฉพาะหลังจากที่ได้ทำการประมวลผลพระวจนะเหล่านั้นในจิตใจของเจ้าเสียก่อนเท่านั้น นี่จะเป็นวิธีที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย และจะเป็นหนทางที่เจ้าใช้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เจ้าอาจจะยังคงสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า แต่เจ้าก็จะมีความมีราคีของตัวเจ้าเองผสมปนเปมาด้วยเสมอ และเจ้าย่อมจะคิดว่า นี่คือความหมายของการฝึกฝนปฏิบัติความจริง ว่าเจ้าได้เข้าใจความจริงแล้ว และว่าเจ้ามีครบทุกอย่างแล้ว สภาวะของมนุษย์ไม่น่าเวทนาหรอกหรือ? มันไม่น่าตกใจกลัวหรอกหรือ? วจนะหนึ่งหรือสองคำไม่สามารถเพียงพอที่จะบอกสิ่งเหล่านี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ หรือทำให้สิ่งเหล่านั้นเรียบง่ายได้ แน่นอนว่ามีสิ่งอื่นๆ มากมายในชีวิต อาทิ พิษของซาตานมากกว่าหนึ่งร้อยพิษที่ได้สรุปไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าได้เข้าใจวจนะ แต่เจ้าประเมินตัวเจ้าเองกับวจนะเหล่านั้นอย่างไร? สิ่งใดคือการปฏิบัติในชีวิตของเจ้า? เจ้าไม่มีส่วนร่วมในพิษเหล่านี้ด้วยหรือ และเจ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านั้นหรือ? เจ้ายังปฏิบัติตนโดยวางใจในพิษเหล่านี้ด้วยหรือไม่? เจ้าต้องขุดลึกลงไปในประสบการณ์ส่วนบุคคลของเจ้าและประเมินสิ่งนั้นกับวจนะเหล่านั้น พวกเราอาจแค่แสดงรายการนั้นเกี่ยวกับพิษของซาตานในที่สาธารณะและอ่านรายการนั้นอย่างเรื่อยเปื่อย หรือแค่กวาดตามองรายการนั้นผ่านๆ จากนั้นก็วางรายการนั้นลง หรือพวกเราอาจอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่มีรากฐาน เตรียมตัวพวกเราเองให้พร้อมสรรพด้วยสิ่งใดก็ตามที่บทตอนบางบทกล่าว และยึดติดกับจดหมายและข้อบังคับทั้งหลายจากพระวจนะของพระเจ้าในการปฏิบัติของพวกเรา โดยเชื่อว่าพวกเรากำลงปฏิบัติความจริง—แต่การนั้นเรียบง่ายเช่นนั้นหรือ? ผู้คนคือสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดมีความคิด และภาพหลอกลวงภายในความคิดของพวกเขาหยั่งรากในหัวใจของพวกเขา เมื่อบุคคลหนึ่งกระทำการ ภาพหลอกลวงเหล่านี้จะโผล่ขึ้นมาแน่นอน ด้วยเหตุที่สิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นชีวิตของบุคคลนั้นไปแล้ว ดังนั้น ในแต่ละสิ่งที่เจ้าทำ มีทัศนคติหนึ่งและหลักการหนึ่งที่ควบคุมวิธีที่เจ้าทำสิ่งนั้น ที่นำทางครรลองของเจ้า เมื่อเจ้าปฏิบัติตน เจ้าจะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นดำรงอยู่ภายในตัวเจ้าหรือไม่ บัดนี้ แน่นอนว่า ขณะที่เจ้าตรวจสอบความคิดและทรรศนะของเจ้า เจ้ารู้สึกราวกับว่าไม่มีสิ่งใดตรงนั้นที่ไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าซื่อสัตย์และจงรักภักดี ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของเจ้า สามารถทำการพลีอุทิศและสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าได้ และว่าเจ้าค่อนข้างแข็งแกร่งในทุกด้าน กระนั้น หากพระเจ้าจะทรงทดสอบความกล้าหาญของเจ้า หรือให้เจ้าเข้ารับภารกิจหนึ่ง หรือหากพระเจ้าจะทรงทำบางสิ่งที่บังเกิดกับเจ้า เจ้าจะรับมือกับการนั้นอย่างไร? ในเวลาเช่นนั้น ความคิดและทรรศนะของเจ้าจะถาโถมไปข้างนอกอย่างไม่สามารถทำให้สงบลงได้ ราวกับว่าประตูระบายน้ำแตกแล้ว สิ่งเหล่านั้นคงจะอยู่พ้นการควบคุมของเจ้า—เจ้ารับมือไม่อยู่—และหากจะเกลียดสิ่งเหล่านั้นอย่างที่เจ้าจะเกลียด ไม่ว่าจะอย่างไรเสียสิ่งเหล่านั้นจะถาโถมไปข้างนอก แรงถาโถมของสิ่งทั้งหลายที่ล้วนแต่ต้านทานพระเจ้า เมื่อเจ้าพูดว่า “เหตุใดฉันจึงไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้เลย? ฉันไม่ต้องการต้านทานพระเจ้า ดังนั้นเหตุใดฉันจึงจะต้านทานเล่า? ฉันไม่ต้องการตัดสินพระเจ้า และฉันไม่ต้องการมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ดังนั้นแล้วฉันสามารถมีมโนคติที่หลงผิดเช่นนั้นได้อย่างไร?”—นั่นเป็นเวลาที่เจ้าควรอุตสาหะพยายามที่จะรู้จักตัวเจ้าเอง ที่จะตรวจสอบว่ามีสิ่งใดภายในตัวเจ้าที่ต้านทานพระเจ้า และว่าสิ่งใดในตัวเจ้าที่ไม่เป็นมิตรและเป็นปรปักษ์ต่อพระราชกิจที่พระองค์กำลังทรงกระทำอยู่ในปัจจุบัน

ตัดตอนมาจาก “เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

มีสภาวะบางอย่างภายในผู้คนซึ่งหากพวกเขาไม่เข้าใจสภาวะเหล่านั้นและไม่รู้สึกว่าสภาวะเหล่านั้นผิด เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาอย่างจริงจังตั้งใจเพียงใด หรือพวกเขากระตือรือร้นเพียงใด วันหนึ่งพวกเขาอาจล่มสลาย จะว่าไปแล้ว มีผู้คนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถได้มาซึ่งความจริง การเข้าใจความจริงไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย การเข้าใจแม้กระทั่งความจริงเล็กน้อยนั้นใช้เวลานาน ใช้เวลานานในการที่จะได้รับความรู้จากประสบการณ์เล็กน้อย ในการที่จะบรรลุบางสิ่งที่เป็นความเข้าใจอันถ่องแท้หรือได้รับความสว่างเล็กน้อย หากเจ้าไม่แก้ไขราคีทั้งหมดภายในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความสว่างเล็กน้อยนั้นก็ย่อมสามารถจมน้ำได้ในทุกเวลาหรือทุกที่ ความลำบากยากเย็นหลักของมนุษย์ตอนนี้ก็คือ ทุกบุคคลมีการจินตนาการ มโนคติอันหลงผิด และความอยากได้อยากมี และอุดมคติอันว่างเปล่าบางอย่างภายในตัวพวกเขา ซึ่งพวกเขาไร้ความสามารถที่จะค้นพบได้ด้วยตัวพวกเขาเอง สิ่งเหล่านี้ไปพร้อมกับผู้คนอยู่เป็นนิตย์ในฐานะสิ่งเจือปนภายในตัวพวกเขา แท้จริงแล้วนี่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และผู้คนก็หมิ่นเหม่ที่จะเปล่งเสียงความคับข้องใจได้ทุกชั่วขณะ มีสิ่งเจือปนมากมายเหลือเกินภายในตัวมนุษย์ ถึงแม้ว่าผู้คนอาจมีความทะเยอทะยานที่ดี โดยปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและที่จะเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจ แต่พวกเขาก็ยังไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การนั้น สิ่งประเภทนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในประสบการณ์ของแต่ละบุคคล กล่าวคือ พวกเขาเผชิญเรื่องเล็กน้อย และผู้อื่นคิดว่าพวกเขาควรมีความสามารถที่จะปล่อยวางเรื่องนั้นได้โดยง่าย เหตุใดเล่าพวกเขาจึงไม่สามารถ? เหตุใดเล่าพวกเขาผู้ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างมีประสบการณ์ ผู้ซึ่งสำหรับผู้อื่นแล้วดูค่อนข้างแข็งแกร่ง และผู้ซึ่งสมองใส จึงล่มสลายเมื่อพวกเขาเผชิญเรื่องเล็กน้อย และล่มสลายรวดเร็วเหลือเกิน? มนุษย์ตกอยู่ภายใต้ความแปรผันของโชคลาภอย่างแท้จริง เขาอาจจะสามารถคาดทำนายการนั้นได้อย่างไร? ในทุกบุคคล มีบางสิ่งซึ่งพวกเขาเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาและได้มา และทุกคนมีความเลือกชอบของพวกเขาเอง ปกติแล้ว ผู้คนไม่สามารถล่วงรู้การนี้ได้ด้วยตัวพวกเขาเอง หรือไม่ก็พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ดีอยู่แล้ว ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่ผิดปกติกับพวกเขา แล้ววันหนึ่ง บางสิ่งเช่นนี้ก็เกิดขึ้นและพวกเขาก็สะดุด พวกเขากลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ และพวกเขาไม่สามารถกลับขึ้นมาได้ พวกเขาอาจไม่รู้ตัวเองว่าปัญหานั้นคืออะไร โดยรู้สึกว่าพวกเขานั้นมีเหตุมีผล และรู้สึกว่าเป็นพระเจ้านั่นเองที่ได้ทรงกระทำผิดต่อพวกเขา หากผู้คนไม่เข้าใจตัวเอง พวกเขาย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะรู้ว่าความลำบากยากเย็นของพวกเขาเองนั้นอยู่ตรงไหนได้เลย หรือว่าพวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะล้มเหลวและล่มสลายในด้านใด พวกเขานั้นน่าเวทนา เพราะฉะนั้น ผู้คนที่ไม่เข้าใจตัวเองจึงอาจล่มสลาย ล้มเหลว และทำให้ตัวเองพังทลายทุกชั่วขณะ

ตัดตอนมาจาก “มีเพียงโดยการเข้าใจสภาวะของตัวเจ้าเองเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเริ่มเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในปัจจุบัน นี่คือสภาวะที่ผู้คนส่วนใหญ่ดำรงอยู่ภายใน ช่วงระยะของวุฒิภาวะที่พวกเขามี กล่าวคือ พวกเขายอมรับรู้ว่าหนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลายมีข้อตำหนิ ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่แย่ ว่าพวกเขาคือมารซาตาน แต่พวกเขาแทบจะไม่ยอมรับเลยว่า ขีดความสามารถของพวกเขาด้อยและความเข้าใจของพวกเขาเฉไฉ หรือว่าด้านใดของธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขาตรงกับสิ่งที่ได้ถูกพระเจ้าทรงเปิดเผยแล้ว นี่คือการขาดพร่องการรู้จักตนเองที่แท้จริง แล้วพวกที่ไม่รู้จักตัวเองอย่างแท้จริงสามารถยอมรับรู้ได้หรือไม่ว่าพวกเขาเสื่อมทราม? (ไม่) การให้ผู้คนยอมรับรู้ว่าพวกเขาเสื่อมทรามไม่ใช่กิจที่ง่ายเลย พฤติกรรมที่สม่ำเสมอในหมู่ผู้คนก็คือ หลังจากที่ทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ระลึกได้ว่าพวกเขาได้ทำความผิดพลาดไปแล้ว แต่หากเจ้าถามพวกเขาเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเขาในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พวกเขาก็พูดว่าสองอย่างนี้ไม่เกี่ยวกัน พวกเขาอ้างว่านั่นเป็นแค่การพลั้งเผลอชั่วครู่ชั่วยาม ว่าพวกเขาไม่ได้พิจารณาสิ่งทั้งหลายอย่างระมัดระวัง พวกเขากระทำการตามแรงกระตุ้น และนั่นไม่ได้เป็นการตั้งใจ การพูดว่านั่นเป็นการพลั้งเผลอชั่วครู่ชั่วยามหรือบางสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ ควบคู่ไปกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ บ่อยครั้งก็คือโล่และข้ออ้างสำหรับการไม่ยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเอง นี่เป็นการยอมรับรู้อันจริงแท้ถึงอุปนิสัยของพวกเขาเองหรือไม่? หากเจ้าสร้างข้อแก้ตัวอยู่เป็นนิตย์หรือมองหาทางหนีทีไล่ให้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเปิดเผย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่มีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองได้อย่างแท้จริงหรือยอมรับรู้อุปนิสัยนั้นได้อย่างจริงแท้ นับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะรู้จักอุปนิสัยนั้นได้…บางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ไม่สำคัญว่าผู้คนจะพูดว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำนั้นผิดอย่างไร หรือว่าผลสืบเนื่องที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด เจ้าก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่ายอมรับอย่างเสียไม่ได้ว่าเจ้าได้ทำความผิดพลาด เจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับรู้ว่า นี่คือผลสืบเนื่องที่ตามมาอันเป็นผลลัพธ์จากการเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าเต็มใจที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้องเพียงเท่านั้น แต่ไม่เคยเต็มใจที่จะยอมรับรู้การดำรงอยู่ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเลย และดังนั้นแล้ว เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหาเดียวกันอีก แม้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของเจ้าและวิธีที่เจ้าเข้าหาสิ่งทั้งหลาย อุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอย่างที่สุด นี่คือความลำบากยากเย็นของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของบุคคล หากเจ้ายอมรับรู้ว่าสิ่งที่เจ้าได้เปิดเผยเป็นเพราะเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ซึ่งส่งผลลัพธ์ในการที่เจ้าทำไปตามที่เจ้ายินดี การประพฤติตนอย่างเป็นอิสระไม่สนใจกฎหมาย การล้มเหลวที่จะทำงานให้ดีกับผู้อื่น และความหยิ่งยโสของเจ้า หากเจ้ายอมรับรู้ว่าการนี้เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง สิ่งใดหรือที่จะเป็นผลประโยชน์สำหรับเจ้า? ต่อไปข้างหน้า เจ้าจะเผยข้อเท็จจริงเหล่านี้และทุ่มความพยายามให้กับการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ถูกเปิดเผยในตัวเจ้า แต่ผลสืบเนื่องที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากเจ้าเพียงแค่ยอมรับอย่างเสียมิได้ว่าทำบางสิ่งผิด? เจ้าจะมุ่งเน้นไปที่และทุ่มความพยายามให้กับหนทางที่เจ้าปฏิบัติตนเท่านั้น เจ้าจะแก้ไขวิธีที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย และที่ภายนอกนั้น นั่นจะดูเหมือนว่าเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นตามที่เหมาะที่ควร เจ้าจะบดบังการเปิดเผยอุปนิสัยของเจ้า ในการทำเช่นนั้น เจ้าจะกลายเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกที และเทคนิคของเจ้าสำหรับการหลอกลวงผู้อื่นก็ก้าวหน้าขึ้นทุกที เจ้าจะคิดว่า “เหตุผลที่ทุกคนได้เป็นประจักษ์พยานความผิดพลาดของฉันครั้งนี้ เป็นเพราะฉันระมัดระวังไม่มากพอ สิ่งที่ฉันได้พูดไปนั้นเด็ดขาดชัดเจนเกินไป และฉันได้เปิดโอกาสให้พวกเขาเห็นจุดอ่อนของฉันและพบบางสิ่งที่ใช้ต่อต้านฉัน ฉันจะไม่ทำความผิดพลาดเดียวกันอีก—ฉันจะคลุมเครือมากกว่านี้ ฉันจะให้ตัวเองมีพื้นที่อิสระในการเปลี่ยนใจหรือกลับคำได้มากกว่านี้” เจ้าได้เปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าปฏิบัติตน และเจ้าได้ปกปิดอุปนิสัยของเจ้า โดยกลายเป็นปลิ้นปล้อนมากขึ้น หลบๆ ซ่อนๆ มากขึ้น เป็นฟาริสีให้มากขึ้น เจ้ามุ่งเน้นไปที่และทำงานบนหนทางของเจ้าในการทำสิ่งทั้งหลายหรือพูดสิ่งทั้งหลาย ไม่มีปัญหาใดสามารถตรวจจับได้ที่ภายนอก ไม่มีใครสามารถหาความผิดได้ นั่นไร้ข้อตำหนิ อย่างไรก็ตาม ในอุปนิสัยภายในของเจ้านั้นยังไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย หากปราศจากการยอมรับและการยอมรับรู้การนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลง

ตัดตอนมาจาก การสามัคคีธรรมของพระเจ้า

อุปนิสัยอันเสื่อมทรามง่ายที่จะแก้ไขหรือไม่? การนี้เกี่ยวข้องกับธรรมชาติแก่นแท้ของคนเรา ผู้คนมีแก่นแท้นี้ รากเหง้านี้ และนั่นต้องถูกขุดออกไปทีละน้อยๆ ต้องถูกขุดออกไปจากทุกสภาวะ จากความตั้งใจเบื้องหลังทุกคำพูดที่เจ้ากล่าว ต้องถูกชำแหละและทำความเข้าใจจากคำพูดที่เจ้ากล่าว เมื่อการตระหนักรู้เช่นนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และจิตวิญญาณของเจ้าแหลมคมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงได้ การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามพึงต้องมีความใส่ใจและความขยัน เจ้าต้องให้ความสนใจเป็นอย่างมากและตรวจสอบเจตนาและสภาวะของเจ้าทีละน้อยๆ เมื่อเจ้าตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เป็นนิตย์ก็ย่อมจะมาถึงวันที่จู่ๆ เจ้าก็พลันมาตระหนักเกี่ยวกับหนทางที่เจ้ามักจะพูด นั่นคือ “นี่คือความชั่ว และไม่ใช่การแสดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ นั่นไม่ลงรอยกับความจริง และฉันจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีที่ฉันพูด” จากวันที่เจ้าครองการตระหนักรู้นี้ เจ้าจะรู้สึกถึงความรุนแรงสาหัสของอุปนิสัยชั่วนี้อย่างชัดเจนขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำสิ่งใดต่อไปเล่า? จงตรวจสอบโดยไม่หยุดยั้งในเจตนาทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่ในหนทางเดียวกับที่เจ้าพูด และโดยผ่านทางกระบวนการของการพลิกแผ่นดินให้เจออันไม่หยุดหย่อนของเจ้า เจ้าก็จะมีความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะกำหนดพิจารณาได้อย่างถูกต้องแม่นยำและอย่างแท้จริงว่า เจ้ามีแก่นแท้และอุปนิสัยจำพวกนี้ เมื่อมาถึงวันที่เจ้าสามารถยอมรับอย่างจริงแท้ต่อตัวเจ้าเองว่า เจ้ามีอุปนิสัยชั่ว เจ้าก็ย่อมจะมีความสามารถที่จะเกลียดและรังเกียจการนั้นในที่สุด เมื่อใครคนหนึ่งเริ่มจากการที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ดี ว่าพวกเขาปฏิบัติตนอย่างเที่ยงธรรมและอย่างยุติธรรม ว่าพวกเขากำเนิดมาพร้อมคุณลักษณะของสำนึกแห่งความยุติธรรม ว่าพวกเขาทรงเกียรติและไร้เล่ห์มายา ไปสู่การระลึกได้ถึงธรรมชาติแก่นแท้ของพวกเขาว่าเป็นการโอหัง แข็งกระด้าง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เลว และไม่มีความรักให้กับความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะรู้จักที่ทางของพวกเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และที่จะรู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรกันแน่ ด้วยความที่แค่ยอมรับรู้หรือระลึกได้อย่างไม่อนาทรร้อนใจว่า พวกเขามีการสำแดงและสภาวะเช่นนั้นอยู่ พวกเขาจึงไร้ความสามารถที่จะเกลียดชังอย่างแท้จริง ทั้งนี้ การเกลียดชังอย่างแท้จริงนั้น บรรลุได้ในทันทีที่พวกเขาระลึกได้แล้วในการกระทำของพวกเขา ว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้เหล่านี้เท่านั้น…

มีเพียงเมื่อผู้คนมีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงสภาวะอันหลากหลายซึ่งสร้างขึ้นโดยอุปนิสัยอันหลากหลายเท่านั้น จึงจะมีการเริ่มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา หากผู้คนไม่ระลึกได้ถึงสภาวะเหล่านี้ หากพวกเขาไม่สามารถซึมซับสภาวะเหล่านี้และนำสภาวะเหล่านี้ไปใช้กับตัวพวกเขาเองได้ จะสามารถมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้หรือไม่? (ไม่ได้) การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเริ่มจากการระลึกได้ถึงสภาวะอันหลากหลายซึ่งสร้างขึ้นโดยอุปนิสัยอันหลากหลาย หากคนเรายังไม่ได้เริ่มที่จะระลึกได้ถึงการนี้ หากคนเรายังไม่ได้เข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องไปถามหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเราเลย ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องไปถามหา ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าคือบทบาทที่แสดงโดยผู้คนส่วนใหญ่ตลอดครรลองแห่งการทำหน้าที่ของพวกเขา? นั่นคือการทุ่มเทตัวพวกเขาเอง โดยการทำให้ตัวพวกเขาเองติดธุระอยู่กับกิจทั้งหลาย พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการใช้แรงงานไปแบบเสียเปล่า บางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ดีพวกเขาก็ทุ่มให้กับหน้าที่ของพวกเขามากขึ้น และเมื่อพวกเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีเช่นนั้น พวกเขาก็ทุ่มให้กับหน้าที่ของพวกเขาน้อยลง ภายหลังข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาคิดทบทวนข้อเท็จจริงนั้นและรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มพลังงานเพิ่มเป็นพิเศษอีกเล็กน้อยและรู้สึกว่าพวกเขาได้กลับใจแล้ว ในข้อเท็จจริงนั้น นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง นี่ไม่ใช่การกลับใจใหม่ที่แท้จริง การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นจากพฤติกรรมของเจ้า หากมีการแปรเปลี่ยนในพฤติกรรมของเจ้า เจ้าย่อมมีความสามารถที่จะละทิ้งตัวเองได้และไม่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้นอีกต่อไป การกระทำของเจ้าปรากฏให้เห็นว่าอยู่ในแนวเดียวกันกับหลักธรรมทั้งหลาย และเจ้าก็บริหารจัดการจนมีหลักธรรมได้สำเร็จทั้งในคำพูดและความประพฤติ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ตัดตอนมาจาก “เฉพาะเมื่อเจ้ารู้จักตนเองเท่านั้น เจ้าจึงสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ยิ่งเจ้าสามารถค้นพบความเสื่อมทรามของเจ้าเองได้มากขึ้นเท่าใด ยิ่งการค้นพบนี้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าสามารถรู้จักธาตุแท้ของเจ้าเองมากขึ้นเท่าใด เช่นนั้นแล้ว ก็ยิ่งมีแววว่าเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าจะยิ่งเข้ามาใกล้ความรอดมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าไม่สามารถค้นพบปัญหาของเจ้ามากขึ้นเท่าใด ยิ่งเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ดี บุคคลที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าใด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ยิ่งห่างไกลจากเส้นทางแห่งความรอดมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าจะยังคงอยู่ในอันตรายที่ใหญ่หลวง ผู้ใดก็ตามที่ใช้เวลาทั้งวันในการเดินอวดตัวเอง—โอ้อวดความสำเร็จของพวกเขา โดยกล่าวว่าพวกเขาพูดโน้มน้าวเก่ง มีเหตุมีผล ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและมีความสามารถในการทำการพลีอุทิศเมื่อพวกเขาปฏิบัติความจริงนั้น—เป็นผู้มีวุฒิภาวะน้อยเป็นพิเศษ บุคคลประเภทใดที่มีความหวังที่จะได้รับความรอดยิ่งใหญ่กว่า และมีความสามารถในการเดินบนเส้นทางแห่งความรอด? บรรดาผู้ที่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาอย่างแท้จริง ยิ่งความรู้ของพวกเขาล้ำลึกมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้ความรอดมากขึ้นเท่านั้น การรู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า การรู้ว่าเจ้าไม่มีความหมายใด ไร้ประโยชน์ ว่าเจ้าคือซาตานที่มีชีวิต—เมื่อเจ้ารู้จักธาตุแท้ของเจ้าอย่างแท้จริง นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอีกต่อไป นี่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี มีผู้ใดบ้างที่กลายเป็นคิดลบมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยคิดกับตัวพวกเขาเองว่า “มันจบแล้ว การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้ตกมาถึงฉันแล้ว มันคือการลงโทษและการลงทัณฑ์อันสาสม พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ฉันแล้ว และฉันไม่มีหวังที่จะได้ความรอดแล้ว”? ผู้คนเหล่านี้จะมีภาพมายาเช่นนั้นหรือไม่? โดยแท้จริงแล้ว ยิ่งผู้คนระลึกได้ว่าพวกเขาสิ้นหวังมากขึ้นเพียงใด ความหวังสำหรับพวกเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเพียงนั้น พวกเขาไม่ควรคิดลบและพวกเขาไม่ควรเลิกล้ม การรู้จักตัวเองเป็นสิ่งที่ดี—นั่นคือเส้นทางที่ต้องเดินไปสู่ความรอด หากเจ้าไม่อาจมีสำนึกรับรู้โดยสิ้นเชิงถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าเองและธาตุแท้ของเจ้า ซึ่งมีมากมายเหลือเกินที่อยู่ในการต่อต้านพระเจ้า และหากเจ้ายังไม่มีแผนใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังมีปัญหา ผู้คนเช่นนั้นได้กลายเป็นมึนชาไปแล้ว พวกเขาตายแล้ว คนตายสามารถถูกทำให้กลับมามีชีวิตได้หรือไม่? พวกเขาตายไปแล้ว—พวกเขาไม่สามารถ

ตัดตอนมาจาก “เฉพาะเมื่อเจ้ารู้จักตนเองเท่านั้น เจ้าจึงสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ท่ามกลางบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิต เปาโลเป็นใครบางคนที่ไม่ได้รู้จักแก่นแท้ของเขาเอง เขาไม่ได้ถ่อมใจหรือเชื่อฟังโดยวิถีทางใดเลย อีกทั้งเขาไม่ได้รู้จักธาตุแท้ของเขา ซึ่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า และดังนั้นแล้ว เขาจึงเป็นใครบางคนที่ไม่ได้ก้าวผ่านประสบการณ์โดยละเอียด และเป็นใครบางคนที่ไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติ เปโตรนั้นแตกต่างออกไป เขาได้รู้จักความไม่เพียบพร้อม จุดอ่อน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และดังนั้นแล้วเขาจึงได้มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติซึ่งใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเขา เขาไม่ใช่หนึ่งในพวกที่มีเพียงคำสอนแต่ไม่ได้ครองความเป็นจริง บรรดาผู้ที่เปลี่ยนแปลงคือผู้คนใหม่ๆ ที่ได้รับการช่วยให้รอดแล้ว พวกเขาคือบรรดาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือพวกที่ล้าสมัยโดยธรรมชาติ พวกเขาคือพวกที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด นั่นคือ พวกที่พระเจ้าทรงรังเกียจและทรงปฏิเสธ พวกเขาจะไม่เป็นที่จดจำโดยพระเจ้าโดยไม่สำคัญว่างานของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อเจ้าเปรียบเทียบการนี้กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะเป็นบุคคลประเภทเดียวกับเปโตรหรือเปาโลก็ควรจะมีหลักฐานชัดเจนอยู่ในตัวเอง หากยังคงไม่มีความจริงในสิ่งที่เจ้าแสวงหา และหากแม้กระทั่งในวันนี้ เจ้าก็ยังคงโอหังและสามหาวเหมือนเปาโล และยังคงกะล่อนและชอบอวดตัวเหมือนเขา เช่นนั้นแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าก็เป็นคนเสื่อมคนหนึ่งที่ล้มเหลว หากเจ้าแสวงหาอย่างเดียวกับเปโตร หากเจ้าแสวงหาการปฏิบัติและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และไม่โอหังหรือดื้อรั้น แต่พยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่สามารถสัมฤทธิ์ชัยชนะได้ เปาโลไม่ได้รู้จักธาตุแท้หรือความเสื่อมทรามของเขาเอง นับประสาอะไรที่เขาจะได้รู้จักความไม่เชื่อฟังของเขาเอง เขาไม่เคยได้เอ่ยถึงการเยาะเย้ยท้าทายเชิงดูหมิ่นของเขาเกี่ยวกับพระคริสต์ อีกทั้งเขาไม่ได้เสียใจจนเกินควร เขาเพียงได้เสนอคำอธิบายสั้นๆ ไว้เท่านั้น และลึกลงไปในหัวใจของเขานั้น เขาไม่ได้นบนอบต่อพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ แม้ว่าเขาจะได้ล้มลงบนถนนสู่ดามัสกัส เขาก็ไม่ได้มองลึกภายในตัวเขาเอง เขาพอใจเพียงแค่ได้ทำงานต่อไป และเขาไม่ได้พิจารณาการรู้จักตัวเขาเองและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแต่เดิมของเขาว่าเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด เขาพึงพอใจกับแค่การพูดความจริง กับการจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่นเป็นสิ่งบรรเทาความรู้สึกผิดสำหรับมโนธรรมของเขาเอง และกับการไม่ข่มเหงบรรดาสาวกของพระเยซูอีกต่อไป เพื่อที่จะปลอบใจตัวเขาเองและยกโทษให้ตัวเขาเองสำหรับบาปทั้งหลายในอดีตของเขา เป้าหมายที่เขาได้ไล่ตามเสาะหานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามงกุฎในอนาคตและงานที่ไม่ยั่งยืน เป้าหมายที่เขาได้ไล่ตามเสาะหานั้นคือพระคุณอันอุดม เขาไม่ได้แสวงหาความจริงที่เพียงพอ อีกทั้งเขาไม่ได้พยายามที่จะก้าวหน้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นสู่ความจริงที่เขาไม่ได้เข้าใจก่อนหน้านั้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับตัวเขาเองนั้นเป็นเท็จ และเขาไม่ได้ยอมรับการตีสอนหรือการพิพากษา การที่เขาสามารถทำงานได้นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาได้ครองความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติหรือธาตุแท้ของเขาเอง จุดมุ่งเน้นของเขาคือการปฏิบัติภายนอกเท่านั้น ที่มากกว่านั้น สิ่งที่เขาได้เพียรพยายามเพื่อให้ได้มาไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง แต่เป็นความรู้ งานของเขาเป็นผลลัพธ์ของการทรงปรากฏของพระเยซูบนถนนสู่ดามัสกัสโดยสมบูรณ์ นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่เขาได้ปลงใจที่จะทำโดยดั้งเดิม อีกทั้งนั่นไม่ใช่งานที่ได้เกิดขึ้นภายหลังจากที่เขาได้ยอมรับการตัดแต่งอุปนิสัยเดิมของเขา ไม่สำคัญว่าเขาจะได้ไปทำงานอย่างไร อุปนิสัยเดิมของเขาก็หาได้เปลี่ยนแปลงไม่ และดังนั้นงานของเขาจึงไม่ได้ลบมลทินบาปทั้งหลายในอดีตของเขา แต่แค่ได้มีบทบาทบางอย่างท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายของกาลสมัยนั้น สำหรับใครบางคนเช่นนี้ ผู้ซึ่งอุปนิสัยเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง—กล่าวคือ ผู้ที่ไม่ได้รับความรอด และถึงขั้นปราศจากความจริงมากขึ้นไปอีก—เขาไม่สามารถที่จะกลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระเยซูเจ้าอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger