บุตรมนุษย์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแม้กระทั่งเหนือวันสะบาโต (ภาคที่ 2)

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

อันดับต่อไป เรามาดูที่ประโยคสุดท้ายในบทตอนนี้กัน: “เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในประโยคนี้หรือไม่? พวกเจ้าสามารถมองเห็นด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่? ทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นมาจากพระทัยของพระองค์ ดังนั้นแล้ว เหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้? พวกเจ้าเข้าใจประโยคนี้ว่าอย่างไร? พวกเจ้าอาจเข้าใจความหมายของประโยคนี้ในตอนนี้ แต่ ณ เวลาที่พระองค์ตรัสประโยคนี้ มีคนเข้าใจประโยคนี้ไม่มากนัก เพราะมวลมนุษย์เพิ่งออกมาจากยุคธรรมบัญญัติ สำหรับพวกเขา การแยกจากวันสะบาโตเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจว่าวันสะบาโตที่แท้จริงคืออะไร

ประโยคที่ว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” บอกผู้คนว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ได้มีลักษณะทางวัตถุ และถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงสามารถจัดเตรียมเพื่อความต้องการทางวัตถุทั้งหมดของเจ้าได้ แต่ทันทีที่ความต้องการทางวัตถุทั้งหมดของเจ้าได้รับการตอบสนองแล้ว ความพึงพอใจจากสิ่งเหล่านี้จะสามารถแทนที่การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าได้หรือไม่? นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ทั้งพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นที่เราได้สามัคคีธรรมกันคือความจริง คุณค่าของความจริงนี้ไม่สามารถวัดเทียบกับวัตถุที่เป็นสสารได้ ไม่ว่าจะมีค่าเพียงใดก็ตาม อีกทั้งคุณค่าของความจริงนี้ไม่สามารถระบุจำนวนเป็นตัวเงินได้ เพราะความจริงนี้ไม่ใช่วัตถุทางกายที่เป็นสสาร และความจริงนี้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของหัวใจของทุกๆ คน สำหรับทุกคนแล้ว คุณค่าของความจริงที่ไม่อาจจับต้องได้เหล่านี้ควรยิ่งใหญ่กว่าคุณค่าของสิ่งของที่เป็นสสารใดๆ ที่เจ้าอาจให้คุณค่า ไม่ใช่หรือ? คำกล่าวนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าต้องคำนึงถึง ประเด็นสำคัญของสิ่งที่เราได้กล่าวไปคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกบุคคล และไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยวัตถุที่เป็นสสารใดๆ เราจะยกตัวอย่างให้เจ้าดู: เมื่อเจ้าหิว เจ้าจำเป็นต้องมีอาหาร อาหารนี้สามารถเป็นอาหารที่ดีไม่มากก็น้อย หรือเป็นอาหารที่ไม่น่าพึงพอใจไม่มากก็น้อย แต่ตราบเท่าที่เจ้ากินอิ่ม ความรู้สึกหิวที่ไม่น่าพึงใจก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป—มันจะหายไป เจ้าสามารถนั่งอย่างสงบ และร่างกายของเจ้าจะหยุดพัก ความหิวของผู้คนสามารถแก้ได้ด้วยอาหาร แต่เมื่อเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าและรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์ เจ้าจะสามารถแก้ไขความว่างเปล่าในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร? ความว่างเปล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยอาหารหรือไม่? หรือเมื่อเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าและไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ เจ้าสามารถนำสิ่งใดมาใช้ชดเชยความหิวนั้นในหัวใจของเจ้าได้? ในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์ความรอดของเจ้าโดยผ่านทางพระเจ้า ในขณะที่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ หรือไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างยิ่งหรือ? เจ้าจะไม่รู้สึกถึงความหิวโหยและความกระหายอย่างรุนแรงในหัวใจของเจ้าหรือ? ความรู้สึกเหล่านี้จะไม่ขัดขวางเจ้าไม่ให้รู้สึกสบายใจในหัวใจของเจ้าหรือ? แล้วเจ้าจะสามารถชดเชยความหิวโหยในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร—มีวิธีที่จะแก้ไขมันหรือไม่? บางคนออกไปซื้อของ บางคนหาเพื่อนของตนเพื่อปรับทุกข์ บางคนปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการนอนหลับเป็นเวลานาน คนอื่นๆ อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น หรือพวกเขาทำงานให้หนักขึ้น และใช้ความมานะพยายามมากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นจริงๆ ของเจ้าได้หรือ? พวกเจ้าทุกคนเข้าใจการปฏิบัติประเภทเหล่านี้อย่างเต็มที่ เมื่อเจ้ารู้สึกไร้พลัง เมื่อเจ้ารู้สึกถึงความอยากที่จะได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเป็นจริงของความจริงและน้ำพระทัยของพระองค์ เจ้าจำเป็นต้องมีสิ่งใดมากที่สุด? สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีไม่ใช่อาหารเต็มจาน และไม่ใช่พระวจนะที่ใจดีไม่กี่คำ อย่าว่าแต่ความสุขสบายชั่วประเดี๋ยวและความพึงพอใจของเนื้อหนังเลย—สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องมีคือการที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าโดยตรงอย่างชัดเจนว่าเจ้าควรทำอะไรและเจ้าควรทำมันอย่างไร การที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าอย่างชัดเจนว่าความจริงคืออะไร หลังจากที่เจ้าเข้าใจสิ่งนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับความเข้าใจเพียงเล็กน้อย เจ้าจะไม่รู้สึกพึงพอใจในหัวใจของเจ้ามากกว่าเมื่อเทียบกับการที่เจ้าได้กินอาหารดีๆ หรือ? เมื่อหัวใจของเจ้าพึงพอใจแล้ว หัวใจของเจ้าและการเป็นอยู่ทั้งหมดของเจ้าจะไม่ได้รับการหยุดพักที่แท้จริงหรือ? ตอนนี้ พวกเจ้าเข้าใจโดยผ่านทางการอุปมาและการวิเคราะห์นี้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงต้องการแบ่งปันประโยคนี้กับพวกเจ้า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต”? ความหมายของประโยคนี้ก็คือว่า สิ่งที่มาจากพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งรวมถึงสิ่งของหรือบุคคลที่ครั้งหนึ่งเจ้าเชื่อว่าเจ้าทะนุถนอมความล้ำค่ามากที่สุดด้วย นั่นจึงกล่าวได้ว่า หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าหรือหากพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว พวกเขาจะไม่สามารถได้รับการหยุดพักได้ ในประสบการณ์ในอนาคตของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าจะเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงต้องการให้พวกเจ้าดูบทตอนนี้ในวันนี้—บทตอนนี้มีความสำคัญยิ่ง ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือความจริงและชีวิต ความจริงคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถขาดได้ในชีวิตของพวกเขา และคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่มีวันสามารถใช้ชีวิตโดยไม่มีมันได้ เจ้ายังสามารถกล่าวได้ว่าความจริงคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นความจริงหรือสัมผัสความจริงได้ แต่ความสำคัญที่ความจริงมีต่อเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ความจริงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถนำการหยุดพักมาสู่หัวใจของเจ้าได้

ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของพวกเจ้าผสานรวมอยู่กับสภาวะต่างๆ ของเจ้าเองหรือไม่? ในชีวิตจริง อันดับแรกเจ้าต้องคิดว่าความจริงใดที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้พบ เจ้าจะสามารถพบน้ำพระทัยของพระเจ้าท่ามกลางความจริงเหล่านี้ และสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เจ้าได้พบเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์ได้ หากเจ้าไม่รู้ว่าแง่มุมใดของความจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้พบ แต่ไปแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยตรงแทน การทำเช่นนี้คือวิธีเข้าหาที่หูหนวกตาบอดซึ่งไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดๆ หากเจ้าต้องการแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า อันดับแรกเจ้าต้องดูว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นประเภทใด สิ่งเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับความจริงในแง่มุมใด และมองหาความจริงที่เฉพาะเจาะจงในพระวจนะของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ จากนั้น เจ้าจึงมองหาเส้นทางการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับเจ้าในความจริงนั้น ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะสามารถได้รับความเข้าใจโดยอ้อมเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า การค้นหาและการปฏิบัติตามความจริงไม่ใช่การประยุกต์ใช้คำสอนและการทำตามสูตรราวกับเป็นเครื่องจักร ความจริงไม่มีสูตรตายตัว อีกทั้งไม่ได้เป็นกฎ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย—ความจริงคือชีวิตด้วยตัวของมันเอง ความจริงคือสิ่งที่มีชีวิต และความจริงคือกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องปฏิบัติตามในชีวิต และกฎที่มนุษย์ต้องมีในชีวิต นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเข้าใจโดยผ่านทางประสบการณ์ให้ได้มากเท่าที่เป็นไปได้ เจ้าไม่อาจแยกจากพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงได้ไม่ว่าเจ้าได้มาถึงช่วงระยะใดในประสบการณ์ของเจ้าก็ตาม และสิ่งที่เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดต่างได้รับการแสดงออกในพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับความจริงอย่างแยกจากกันไม่ได้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือความจริงโดยตัวมันเอง ความจริงคือการสำแดงที่เป็นของแท้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความจริงทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นเป็นรูปธรรม และความจริงกล่าวอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความจริงบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมามากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าโปรดสิ่งใด พระองค์ไม่โปรดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าทำสิ่งใด และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าทำสิ่งใด พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนใด และพระองค์ทรงปีติยินดีในผู้คนใด เบื้องหลังความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกนั้น ผู้คนสามารถมองเห็นความหรรษายินดี ความกริ้ว ความโทมนัส และความสุขของพระองค์ เช่นเดียวกับเนื้อแท้ของพระองค์—นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ นอกจากการรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นและการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์จากพระวจนะของพระองค์แล้ว สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือความจำเป็นที่จะต้องบรรลุความเข้าใจนี้โดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หากบุคคลหนึ่งนำตัวเองออกจากชีวิตจริงเพื่อให้รู้จักพระเจ้า พวกเขาจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนั้นได้ ถึงแม้ว่ามีผู้คนที่สามารถได้รับความเข้าใจบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้า แต่ความเข้าใจของพวกเขาก็จำกัดอยู่กับทฤษฎีและพระวจนะ และมีความต่างเกิดขึ้นกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าพระองค์เองจริงๆ แล้วทรงเหมือนสิ่งใด

สิ่งที่เรากำลังสื่อสารถึงในตอนนี้ทั้งหมดอยู่ภายในขอบเขตของเรื่องราวทั้งหลายที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์ ผู้คนสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นที่พระองค์ได้ทรงแสดงออกโดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้และโดยผ่านทางการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถรู้ทุกแง่มุมของพระเจ้าได้อย่างกว้างขวางขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ครอบคลุมขึ้น และถ้วนทั่วขึ้น แล้วการรู้จักทุกแง่มุมของพระเจ้ามีวิธีเดียวคือโดยผ่านทางเรื่องราวเหล่านี้หรือ? ไม่ใช่ เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่วิธีเดียว! เนื่องจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำในยุคแห่งราชอาณาจักรสามารถช่วยผู้คนให้รู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ดียิ่งขึ้น และรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าจะเป็นการง่ายกว่าที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นโดยผ่านทางตัวอย่างหรือเรื่องราวบางอย่างที่ได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์ที่ผู้คนคุ้นเคย หากเรานำพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกในวันนี้มาทำให้เจ้ารู้จักพระองค์ด้วยวิธีนี้คำต่อคำ เจ้าจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่น่าสนใจจนเกินไป และบางคนยังอาจรู้สึกกระทั่งว่าพระวจนะของพระเจ้าดูเหมือนเป็นสูตรตายตัว แต่หากเรานำเรื่องราวในพระคัมภีร์มาเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยให้ผู้คนรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาจะไม่พบว่ามันน่าเบื่อ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าในระหว่างการอธิบายตัวอย่างเหล่านี้ รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้า ณ ขณะนั้น—พระอารมณ์หรือความรู้สึกของพระองค์ หรือพระดำริและแนวความคิดของพระองค์—ได้มีการบอกต่อผู้คนในภาษาของมนุษย์ และเป้าหมายของทั้งหมดนี้คือการทำให้พวกเขาสามารถซึ้งคุณค่า สามารถรู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นไม่ได้เป็นสูตรตายตัว มันไม่ได้เป็นตำนานหรือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ มันคือบางสิ่งบางอย่างที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง ที่ผู้คนสามารถรู้สึกและซึ้งคุณค่าได้ นี่คือเป้าหมายสูงสุด เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้นั้นได้รับพร พวกเขาสามารถใช้เรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ได้รับความเข้าใจที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจก่อนหน้าของพระเจ้า พวกเขาสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปแล้ว พวกเขาสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ผ่านพระอุปนิสัยเหล่านี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงออก และเข้าใจการสำแดงอย่างเป็นรูปธรรมถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ และการดูแลเอาใจใส่พวกมนุษย์ของพระองค์ และด้วยวิธีนี้ พวกเขาสามารถบรรลุไปถึงซึ่งความรู้ที่ละเอียดขึ้นและลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เราเชื่อว่าตอนนี้พวกเจ้าทุกคนสามารถรู้สึกถึงสิ่งนี้ได้!

เจ้าสามารถมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นได้ในขอบเขตของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ในยุคพระคุณ แง่มุมนี้ได้รับการแสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังของพระองค์ และผู้คนสามารถมองเห็นและซึ้งคุณค่าในแง่มุมนี้เพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ ผู้คนมองเห็นในบุตรมนุษย์ว่าพระเจ้าในเนื้อหนังดำรงพระชนม์ชีพตามสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์อย่างไร และพวกเขามองเห็นเทวสภาพของพระองค์ซึ่งแสดงออกโดยผ่านทางเนื้อหนังนั้น การแสดงออกสองประเภทนี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระเจ้าจริงๆ และทำให้ผู้คนสามารถสร้างมโนคติที่แตกต่างเกี่ยวกับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงเวลาระหว่างการทรงสร้างโลกและการสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ นั่นคือ ก่อนยุคพระคุณ แง่มุมเดียวเกี่ยวกับพระเจ้าที่ผู้คนมองเห็น ได้ยิน และได้รับประสบการณ์นั้นมีเพียงเทวสภาพของพระเจ้า สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำและตรัสในอาณาจักรที่ไม่ใช่ทางวัตถุ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงแสดงออกจากตัวตนจริงของพระองค์ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ สิ่งเหล่านี้มักทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพระเจ้าทรงสูงส่งในความยิ่งใหญ่ของพระองค์จนพวกเขาไม่อาจเข้าใกล้พระองค์ได้ โดยปกติแล้ว ความประทับใจที่พระเจ้าทรงทำให้เกิดกับผู้คนคือ การที่พระเจ้าทรงปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากความสามารถในการล่วงรู้ของพวกเขา และผู้คนรู้สึกกระทั่งว่าทุกๆ พระดำริและแนวความคิดของพระองค์ช่างลึกลับและยากจะอธิบายจนไม่มีวิธีที่จะเอื้อมถึงสิ่งเหล่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับการพยายามที่จะเข้าใจและซึ้งคุณค่าสิ่งเหล่านั้น สำหรับผู้คนแล้ว ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าช่างไกลห่างอย่างยิ่ง ช่างไกลห่างจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถสัมผัสได้ ดูเหมือนว่าพระองค์ประทับอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้า และดูเหมือนว่าไม่ทรงดำรงอยู่เลย ดังนั้นสำหรับผู้คนแล้ว การเข้าใจพระทัยและจิตใจของพระเจ้า หรือพระดำริใดๆ ของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ และอาจถึงขั้นอยู่ไกลเกินที่พวกเขาจะเอื้อมถึง ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจที่เป็นรูปธรรมอยู่บ้างในยุคธรรมบัญญัติ และพระองค์ยังได้ทรงออกพระวจนะที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้างและได้ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้างเพื่อให้ผู้คนสามารถซึ้งคุณค่าและล่วงรู้ถึงความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ แต่ในท้ายที่สุด การแสดงออกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นเหล่านี้มาจากอาณาจักรที่ไม่ใช่ทางวัตถุ และสิ่งที่ผู้คนเข้าใจ สิ่งที่ผู้คนรู้ยังคงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในแง่มุมที่เป็นเทวสภาพ มวลมนุษย์ไม่สามารถได้รับมโนคติที่เป็นรูปธรรมจากการแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนี้ และความประทับใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงติดอยู่ภายในขอบเขตของ “กายฝ่ายวิญญาณที่ยากจะเข้าใกล้ ที่ปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากการล่วงรู้” เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้วัตถุที่เฉพาะเจาะจงหรือพระฉายาที่เป็นของอาณาจักรทางวัตถุในการทรงปรากฏต่อหน้าผู้คน พวกเขาจึงยังคงไม่สามารถที่จะนิยามพระองค์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ได้ ในหัวใจและจิตใจของผู้คนนั้น พวกเขามักต้องการที่จะใช้ภาษาของพวกเขาเองในการกำหนดมาตรฐานของพระเจ้า ที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นที่จับต้องได้ และที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เสมอ เช่น พระองค์ทรงสูงเท่าใด พระองค์ทรงมีพระกายใหญ่เพียงใด พระองค์ทรงดูเป็นอย่างไร พระองค์ทรงชอบสิ่งใด และบุคลิกของพระองค์เป็นอย่างไรกันแน่ อันที่จริง ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรู้ว่าผู้คนกำลังคิดในลักษณะนี้ พระองค์เข้าพระทัยอย่างชัดเจนยิ่งเกี่ยวกับความต้องการของผู้คน และแน่นอนว่าพระองค์ทรงรู้เช่นกันว่าพระองค์ควรทรงทำสิ่งใด ดังนั้น พระองค์จึงทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในวิธีที่แตกต่างออกไปในยุคพระคุณ วิธีใหม่นี้เป็นทั้งเทวสภาพและเป็นมนุษย์ ในช่วงเวลาที่องค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงพระราชกิจอยู่นั้น ผู้คนสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าทรงมีการแสดงออกแบบมนุษย์มากมาย ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงสามารถเต้นรำ พระองค์ทรงสามารถเข้าร่วมงานแต่งงาน พระองค์ทรงสามารถประชาคมกับผู้คน ตรัสกับพวกเขา และหารือสิ่งต่างๆ กับพวกเขา นอกเหนือจากนั้น องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงทำให้พระราชกิจมากมายที่เป็นสิ่งแทนเทวสภาพของพระองค์ครบบริบูรณ์ด้วย และแน่นอนว่าทั้งหมดของพระราชกิจนี้เป็นการแสดงออกและการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในช่วงระหว่างเวลานี้ เมื่อเทวสภาพของพระเจ้าได้รับการทำให้เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนังธรรมดาในแบบที่ผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ พวกเขาก็ไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระองค์ทรงปรากฏวาบเข้ามาแล้วก็ออกไปจากการล่วงรู้ หรือว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้ ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสามารถพยายามจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือทำความเข้าใจกับเทวสภาพของพระองค์โดยผ่านทางทุกการเคลื่อนไหว โดยผ่านทางพระวจนะ และโดยผ่านทางพระราชกิจของบุตรมนุษย์ บุตรมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาทรงแสดงถึงเทวสภาพของพระเจ้าโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และสื่อสารน้ำพระทัยของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ และพระองค์ยังทรงเผยให้ผู้คนเห็นพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ที่ประทับอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณโดยผ่านทางการแสดงออกของพระองค์ถึงน้ำพระทัยและพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน สิ่งที่ผู้คนมองเห็นคือพระเจ้าพระองค์เองในรูปแบบที่จับต้องได้และมาจากเลือดเนื้อ ดังนั้น บุตรมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาทรงทำให้สิ่งต่างๆ ได้เป็นรูปธรรมและเป็นมนุษย์ขึ้น เช่น พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง สถานะของพระเจ้า พระฉายา พระอุปนิสัย และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ถึงแม้ว่าการทรงปรากฏภายนอกของบุตรมนุษย์จะมีขีดจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับพระฉายาของพระเจ้า แต่เนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดสามารถเป็นสิ่งแทนพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เองได้—มีความแตกต่างอยู่บ้างในรูปของการแสดงออกเท่านั้น พวกเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบุตรมนุษย์ได้ทรงเป็นตัวแทนพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าพระองค์เองทั้งในรูปของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างเวลานี้ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยผ่านทางเนื้อหนัง ตรัสจากมุมมองของเนื้อหนัง และทรงยืนต่อหน้ามวลมนุษย์ด้วยพระอัตลักษณ์และสถานะของบุตรมนุษย์ และนี่ทำให้ผู้คนมีโอกาสได้ประสบและรับประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจที่แท้จริงของพระเจ้าท่ามกลางมวลมนุษย์ นอกจากนี้ยังให้ผู้คนมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทวสภาพของพระองค์และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่ามกลางความถ่อมพระทัย อีกทั้งได้รับความเข้าใจและการจำกัดความในเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นของแท้และความเป็นจริงของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้ครบบริบูรณ์ วิธีการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมุมมองที่พระองค์ตรัสจะแตกต่างจากตัวตนจริงของพระเจ้าในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ แต่ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์ก็ได้เป็นสิ่งแทนพระเจ้าพระองค์เองอย่างแท้จริง ผู้ซึ่งมวลมนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน—นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้! นั่นจึงกล่าวได้ว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปร่างใดก็ตาม ไม่ว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองใดก็ตาม หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเผชิญกับมวลมนุษย์ในพระฉายาใดก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงเป็นตัวแทนสิ่งใดเว้นแต่พระองค์เองเท่านั้น พระองค์ไม่สามารถเป็นตัวแทนมนุษย์คนหนึ่งคนใด หรือมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคนใด พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และนี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ยอห์น 20:26-29 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว...

บุตรมนุษย์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแม้กระทั่งเหนือวันสะบาโต (ภาคที่ 1)

1. มัทธิว 12:1 ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2. มัทธิว 12:6-8...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger