พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

10. การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี

มาระโก 3:21-22 เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นี้ ก็ออกไปรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว ส่วนพวกธรรมาจารย์ที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มกล่าวว่า “คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น”

11. พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี

มัทธิว 12:31-32 เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า

มัทธิว 23:13-15 วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม [วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น] วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า

เนื้อหาของสองบทตอนข้างต้นแตกต่างกัน พวกเรามาดูที่บทตอนแรกกันก่อนคือ การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี

ในพระคัมภีร์ การตีราคาพระเยซูพระองค์เองของพวกฟาริสีและสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำนั้นได้แก่ “…พวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว… ‘คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น’” (มาระโก 3:21-22) การตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีไม่ใช่การที่พวกเขาแค่เอาอย่างคำพูดของผู้คนอื่นๆ และไม่ใช่การอนุมานที่ไม่มีพื้นฐานที่มา—มันเป็นข้อสรุปที่พวกเขามีเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าจากสิ่งที่พวกเขามองเห็นและได้ยินเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์ ถึงแม้ว่าข้อสรุปของพวกเขาจะมีขึ้นอย่างโอ้อวดในนามของความยุติธรรมและปรากฏต่อผู้คนเสมือนว่ามันมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง แต่ความโอหังที่พวกเขาใช้ตัดสินองค์พระเยซูเจ้านั้นก็ยากจะเก็บไว้แม้สำหรับพวกเขา พลังงานที่คลุ้มคลั่งของความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูเจ้าได้เปิดโปงความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจของพวกเขาเองและโฉมหน้าเยี่ยงซาตานชั่วของพวกเขา อีกทั้งธรรมชาติที่มุ่งร้ายของพวกเขาที่พวกเขาใช้ต้านทานพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาพูดในการตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกเขาได้รับการขับเคลื่อนจากความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจ ความอิจฉาริษยา และธรรมชาติที่น่าเกลียดและมุ่งร้ายของความเป็นปรปักษ์ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของการกระทำขององค์พระเยซูเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ตรวจสอบเนื้อแท้ของสิ่งที่พระองค์ตรัสหรือทำ แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาที่อยู่ในสภาวะของการปลุกปั่นที่บ้าคลั่ง กลับโจมตีและทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำนั้นเสื่อมเสียด้วยความมุ่งร้ายโดยตั้งใจและอย่างมืดบอด พวกเขายังถึงกับตั้งใจทำให้พระวิญญาณของพระเจ้า นั่นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสื่อมเสียด้วย นี่คือความหมายที่พวกเขาตั้งใจเมื่อพวกเขาพูดว่า “พระองค์เสียสติแล้ว” “ผีเบเอลเซบูล” และ “นายผีนั้น” กล่าวได้ว่าพวกเขาพูดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิงและเป็นนายผี พวกเขาอธิบายลักษณะพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์และทรงสวมพระองค์เองในเนื้อหนังว่าเป็นความบ้า พวกเขาไม่เพียงแต่หมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าว่าเป็นผีเบเอลเซบูลและเป็นนายผี แต่ยังกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า และกล่าวโทษและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย เนื้อแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าของพวกเขาเหมือนกับเนื้อแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ซาตานและปีศาจใชทั้งหมด พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นรูปจำแลงของซาตาน พวกเขาคือช่องทางของซาตานท่ามกลางมวลมนุษย์ และพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตาน เนื้อแท้ของการหมิ่นประมาทของพวกเขาและการทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสื่อมเสียคือการที่พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนกับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับสถานะ การแข่งขันกับพระเจ้าของพวกเขา และการทดสอบพระเจ้าอย่างไม่รู้จบของพวกเขา เนื้อแท้ของการต้านทานพระเจ้าของพวกเขา และท่าทีการเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ของพวกเขา อีกทั้งคำพูดของพวกเขาและความคิดของพวกเขาต่างหมิ่นประมาทและทำให้พระวิญญาณของพระเจ้ากริ้วโดยตรง ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงกำหนดการพิพากษาที่เหมาะสมโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ และพระเจ้าทรงกำหนดว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นบาปแห่งการหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ บาปนี้ไม่อาจให้อภัยได้ทั้งในโลกนี้และโลกที่กำลังจะมาถึง ดังที่ได้รับการสนับสนุนในบทตอนดังต่อไปนี้ของพระคัมภีร์ ความว่า “คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” และ “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” วันนี้ พวกเราจะมาพูดถึงความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” นั่นคือ พวกเรามาขจัดความลึกลับกันว่าพระเจ้าทรงทำให้พระวจนะนี้ลุล่วงได้อย่างไร: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”

ทุกสิ่งที่พวกเราได้กล่าวถึงนั้นสัมพันธ์กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ โดยธรรมชาติแล้ว สองบทตอนข้างต้นก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกเจ้าสังเกตเห็นสิ่งใดในสองบทตอนนี้ในข้อพระคัมภีร์? บางคนพูดว่าพวกเขามองเห็นความกริ้วของพระเจ้าในบทตอนเหล่านี้ บางคนพูดว่าพวกเขามองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในด้านที่ไม่ทนยอมรับการทำให้ขุ่นเคืองของมวลมนุษย์ และหากผู้คนทำบางสิ่งบางอย่างที่หมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับการให้อภัยจากพระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงที่ผู้คนมองเห็นและล่วงรู้ความกริ้วของพระเจ้าและความไม่ทนยอมรับต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมวลมนุษย์ในสองบทตอนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจท่าทีของพระองค์อย่างแท้จริง สิ่งที่บอกเป็นนัยในบทตอนสองบทนี้คือการอ้างอิงที่ซ่อนอยู่เกี่ยวกับท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าและวิธีเข้าหาที่พระองค์ทรงมีต่อผู้ที่หมิ่นประมาทและทำให้พระองค์กริ้ว ท่าทีและวิธีเข้าหาของพระองค์แสดงให้เห็นความหมายที่แท้จริงของบทตอนต่อไปนี้: “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” เมื่อผู้คนหมิ่นประมาทพระเจ้าและเมื่อพวกเขาทำให้พระองค์กริ้ว พระองค์ทรงออกคำพิพากษา และคำพิพากษานี้คือบทอวสานที่พระองค์ทรงกำหนด ในพระคัมภีร์มีการพรรณนาในลักษณะนี้: “เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” (มัทธิว 12:31) และ “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด” (มัทธิว 23:13) อย่างไรก็ตาม มีการบันทึกในพระคัมภีร์หรือไม่ว่าบทอวสานสำหรับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ตลอดจนสำหรับผู้คนที่พูดว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นบ้าหลังจากที่พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้คืออะไร? มีการบันทึกหรือไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์จากการลงโทษใดๆ? ไม่—สิ่งนี้สามารถพูดได้อย่างแน่นอน การพูดว่า “ไม่” ในที่นี้ไม่ใช่การพูดว่าไม่มีการบันทึกเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้วเป็นเพียงว่าไม่มีบทอวสานที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้เท่านั้น การพูดว่า “ไม่มีการบันทึก” เป็นการจาระไนถึงประเด็นเกี่ยวกับท่าทีและหลักการของพระเจ้าในการควบคุมดูแลบางสิ่ง พระเจ้าไม่ได้ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นผู้คนที่หมิ่นประมาทหรือต้านทานพระองค์ หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่ให้ร้ายพระองค์—ผู้คนที่มีเจตนาโจมตี ให้ร้าย และสาปแช่งพระองค์—แต่พระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อพวกเขา พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาในพระทัยของพระองค์ พระองค์ยังแม้กระทั่งประกาศอย่างเปิดเผยว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์ทรงมีท่าทีที่ชัดเจนต่อผู้ที่หมิ่นประมาทพระองค์ และเพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์จะทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขาอย่างไร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้ ผู้คนแทบจะไม่สามารถมองเห็นความจริงว่าพระเจ้าจะทรงควบคุมดูแลผู้คนเหล่านั้นอย่างไร และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังบทอวสานและคำพิพากษาที่พระเจ้าทรงออกให้กับพวกเขา นั่นจึงกล่าวได้ว่า ผู้คนไม่สามารถมองเห็นแนวทางและวิธีการที่เฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าทรงมีเพื่อควบคุมดูแลพวกเขา นี่เกี่ยวข้องกับหลักการในการทำสิ่งต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการจัดการกับพฤติกรรมชั่วของผู้คนบางคน นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงประกาศบาปของพวกเขา และไม่ได้ทรงกำหนดบทอวสานของพวกเขา แต่ทรงใช้อุบัติการณ์ของข้อเท็จจริงในการให้การลงโทษและผลสนองที่ยุติธรรมของพวกเขา เมื่อข้อเท็จจริงเหล่านี้เกิดขึ้น เนื้อหนังของผู้คนคือสิ่งที่ทนทุกข์กับการลงโทษ ซึ่งหมายความว่าการลงโทษคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ เมื่อทรงจัดการกับพฤติกรรมชั่วของผู้คนบางคน พระเจ้าเพียงแค่ทรงสาปแช่งพวกเขาด้วยพระวจนะ และความกริ้วของพระองค์ก็เกิดขึ้นกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่การลงโทษที่พวกเขาได้รับอาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม บทอวสานประเภทนี้อาจร้ายแรงมากกว่าบทอวสานที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้เสียอีก เช่น การถูกลงโทษหรือถูกฆ่า นี่เป็นเพราะภายใต้รูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดแล้วว่าจะไม่ช่วยบุคคลประเภทนี้ให้รอด จะไม่แสดงความปรานีหรือมีการทนยอมรับให้พวกเขาอีกต่อไป และจะไม่จัดเตรียมโอกาสใดๆ แก่พวกเขาอีก เช่นนั้นแล้วท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาคือท่าทีแห่งการละวางพวกเขา “ละวาง” หมายความว่าอย่างไรในที่นี้? ความหมายโดยพื้นฐานของคำนี้คือ “การวางบางสิ่งบางอย่างไว้ข้างหนึ่ง การไม่ให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป” แต่ในที่นี้ เมื่อพระเจ้า “ทรงละวางใครบางคน” ความหมายของวลีนี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันสองประการ ได้แก่ คำอธิบายแรกคือพระองค์ได้ประทานชีวิตของบุคคลผู้นั้นและทุกสิ่งเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นให้ซาตานจัดการไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่ทรงรับผิดชอบบุคคลผู้นั้นอีกต่อไป และจะไม่ทรงบริหารจัดการบุคคลผู้นั้นอีกต่อไป ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะบ้าหรือโง่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะตายหรือมีชีวิตอยู่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะได้ลงนรกเพื่อเป็นการลงโทษของพวกเขาหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้า นั่นจะหมายความว่าสิ่งทรงสร้างเช่นนั้นจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระผู้สร้าง คำอธิบายที่สองคือพระเจ้าได้ทรงกำหนดว่าพระองค์เองทรงต้องประสงค์ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างกับบุคคลผู้นี้ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงใช้ประโยชน์จากการปรนนิบัติของบุคคลผู้นี้ หรือพระองค์จะใช้พวกเขาเป็นสิ่งที่เน้นให้เห็นสิ่งอื่น มีความเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงมีวิธีการพิเศษในการจัดการกับบุคคลประเภทนี้ ซึ่งเป็นวิธีการพิเศษในการปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกับเปาโล เป็นต้น นี่คือหลักการและท่าทีในพระทัยของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการกำหนดการจัดการกับบุคคลประเภทนี้ ดังนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งต้านทานพระเจ้าและให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระองค์ หากพวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์ หรือหากพวกเขาผลักดันพระเจ้าเกินขีดจำกัดการทนยอมรับของพระองค์ เช่นนั้นแล้วผลพวงจะเป็นสิ่งที่น่าตกใจเกินกว่าจะนึกถึง ผลพวงที่รุนแรงที่สุดคือ พระเจ้าทรงยื่นชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาให้แก่ซาตานแบบครั้งเดียวและตลอดไป พวกเขาจะไม่ได้รับการประทานอภัยชั่วนิจนิรันดร์ นี่หมายความว่าบุคคลนี้ได้กลายเป็นอาหารในปากของซาตาน ของเล่นในมือของมันไปแล้ว และจากนั้นเป็นต้นไปพระเจ้าจะไม่ทรงมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก พวกเจ้าสามารถจินตนาการออกหรือไม่ว่ามันเป็นความทุกข์เข็ญใดเมื่อซาตานทดลองโยบ? แม้อยู่ภายใต้สภาวะที่ซาตานไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายชีวิตของโยบ แต่โยบยังคงทนทุกข์เป็นอย่างยิ่ง และมันไม่ได้ยากยิ่งไปกว่าอีกหรือที่จะจินตนาการถึงการทำลายล้างที่ซาตานจะทำให้เกิดขึ้นกับใครบางคนที่ได้ถูกยื่นให้กับซาตานอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่ภายในเงื้อมมือของซาตานอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ได้สูญเสียความใส่พระทัยและความปรานีของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระผู้สร้างอีกต่อไป และผู้ที่ถูกถอดสิทธิที่จะนมัสการพระองค์และสิทธิที่จะเป็นสิ่งทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระเจ้า และผู้ที่สัมพันธภาพของเขากับองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งทรงสร้างถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์? การข่มเหงโยบของซาตานคือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ แต่หากพระเจ้าทรงยื่นชีวิตของบุคคลหนึ่งให้ซาตาน ผลพวงจะเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น บางคนอาจเกิดใหม่เป็นวัวหรือลา ในขณะที่บางคนอาจติดพันและถูกครอบครองด้วยบรรดาวิญญาณชั่วที่มีมลทิน เป็นต้น เช่นนั้นคือบทอวสานของผู้คนบางคนที่พระเจ้าทรงยื่นให้กับซาตาน จากภายนอกนั้นดูเหมือนว่าผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งได้เยาะหยัน ให้ร้าย กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทนทุกข์กับผลพวงใดๆ อย่างไรก็ตาม ความจริงคือพระเจ้าทรงมีแนวทางในการจัดการกับทุกสิ่ง พระองค์อาจไม่ทรงใช้ภาษาที่ชัดเจนในการตรัสบอกผู้คนถึงผลลัพธ์ว่าพระองค์ทรงจัดการบุคคลทุกประเภทอย่างไร บางครั้งพระองค์อาจไม่ตรัสโดยตรง แต่ทรงกระทำการโดยตรงแทน การที่พระองค์ไม่ตรัสถึงมันไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีบทอวสาน—อันที่จริง ในกรณีเช่นนั้น มีความเป็นไปได้ที่บทอวสานจะร้ายแรงมากกว่าอีก จากภายนอกอาจดูเหมือนว่ามีบางคนที่พระเจ้าไม่ตรัสเกี่ยวกับท่าทีของพระองค์อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ กับพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตรเห็นพวกเขาอีกต่อไป เพราะสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาได้ทำและพฤติกรรมของพวกเขา เพราะธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา พระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์เพียงที่จะให้พวกเขาหายไปจากสายพระเนตรของพระองค์ ทรงต้องประสงค์ที่จะยื่นพวกเขาให้ซาตานโดยตรง ที่จะประทานวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของพวกเขาให้กับซาตาน และอนุญาตให้ซาตานทำสิ่งใดก็ตามที่มันต้องการกับพวกเขาได้ เป็นที่ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเขาถึงขอบเขตใด พระองค์ทรงรังเกียจพวกเขาถึงขอบเขตใด หากบุคคลหนึ่งทำให้พระเจ้ากริ้วจนถึงจุดที่พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์แม้แต่จะทอดพระเนตรเห็นพวกเขาอีกและทรงตระเตรียมที่จะหยุดคาดหวังในตัวพวกเขาอย่างสมบูรณ์ จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์แม้แต่จะจัดการกับพวกเขาด้วยพระองค์เอง—หากมันไปถึงจุดที่พระองค์จะทรงยื่นพวกเขาให้กับซาตานเพื่อให้มันทำตามที่มันต้องการ เพื่ออนุญาตให้ซาตานควบคุม กินผลาญ และปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางใดก็ตามที่มันพอใจ—เช่นนั้นแล้วบุคคลนี้ก็ถึงจุดจบโดยสิ้นเชิง สิทธิในการเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ถูกเพิกถอนไปอย่างถาวรแล้ว และสิทธิในการเป็นสิ่งทรงสร้างหนึ่งจากการทรงสร้างของพระเจ้าของพวกเขาได้มาถึงบทอวสานแล้ว นี่ไม่ได้เป็นการลงโทษชนิดที่รุนแรงที่สุดหรอกหรือ?

ทั้งหมดข้างต้นคือคำอธิบายที่ครบบริบูรณ์ของพระวจนะที่ว่า: “จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” และมันยังทำหน้าที่เป็นคำบรรยายง่ายๆ เกี่ยวกับบทตอนเหล่านี้จากข้อพระคัมภีร์ บัดนี้เราเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ยอห์น 20:26-29 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว...

ติดต่อเราผ่าน Messenger