พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

13. พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ลูกา 24:30-32 เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา ตาของเขาทั้งสองก็เปิดออกและเขาก็จำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า “ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?”

14. บรรดาสาวกนำปลาย่างมาให้พระเยซูเสวย

ลูกา 24:36-43 ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระองค์เสด็จมาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม? เพราะอะไรท่านถึงเกิดความคิดสงสัยขึ้นในใจ? จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม?” พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา

อันดับต่อไป พวกเราจะมาดูบทตอนของข้อพระคัมภีร์ข้างต้น บทตอนแรกคือการเล่าถึงการที่พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และบทตอนที่สองคือการเล่าถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยปลาย่าง สองบทตอนนี้ช่วยให้เจ้ารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างไร? พวกเจ้าสามารถจินตนาการประเภทของรูปภาพที่พวกเจ้าได้รับจากคำพรรณนาถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยขนมปังและจากนั้นก็ปลาย่างได้หรือไม่? เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าอาจรู้สึกอย่างไรหากองค์พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าและเสวยขนมปัง? หรือหากพระองค์เสวยพระกระยาหารร่วมโต๊ะเดียวกับพวกเจ้า และเสวยปลาและขนมปังร่วมกับผู้คน เจ้าจะมีความรู้สึกแบบใดในชั่วขณะนั้น? หากเจ้าจะรู้สึกใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมาก ว่าพระองค์ทรงสนิทสนมกับเจ้าเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วความรู้สึกนี้ก็ถูกต้อง นี่แหละคือผลลัพธ์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนจากการเสวยขนมปังและปลาต่อหน้าผู้คนที่รวมตัวกันหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ หากองค์พระเยซูเจ้าเพียงตรัสกับผู้คนหลังจากการคืนพระชนม์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงเนื้อหนังและพระอัฐิของพระองค์ แต่รู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณที่เอื้อมไม่ถึงแทน พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร? พวกเขาจะไม่ผิดหวังหรอกหรือ? ผู้คนที่รู้สึกผิดหวังจะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งขว้างหรอกหรือ? พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาเองและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือ? ระยะห่างนี้จะทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นลบใดกับสัมพันธภาพของผู้คนกับพระเจ้า? แน่นอนว่าผู้คนจะรู้สึกกลัว ว่าพวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้พระองค์ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจะมีท่าทีที่รักษาระยะห่างด้วยความเคารพกับพระองค์ จากนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะตัดขาดสัมพันธภาพที่สนิทสนมกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเขา และกลับไปยังสัมพันธภาพระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้าที่สถิตในสวรรค์เหมือนกับที่เคยเป็นก่อนยุคพระคุณ กายจิตวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถสัมผัสหรือรู้สึกได้จะทำให้เกิดการกำจัดความสนิทสนมกับพระเจ้าของพวกเขา และจะยังเป็นสาเหตุให้สัมพันธภาพที่สนิทสนมซึ่งได้รับการสร้างขึ้นในช่วงระหว่างเวลาที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนังโดยไม่มีระยะห่างระหว่างพระองค์กับพวกมนุษย์นั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไป สิ่งเดียวที่กายจิตวิญญาณก่อขึ้นในผู้คนคือความรู้สึกกลัว การหลีกเลี่ยง และการเพ่งมองอย่างไร้คำพูด อย่าว่าแต่กับการติดตาม เชื่อใจ หรือเคารพยำเกรงพระองค์เลย พวกเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้หรือมีส่วนร่วมในการสนทนากับพระองค์ด้วยซ้ำ พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะมองเห็นความรู้สึกประเภทนี้ที่พวกมนุษย์มีให้กับพระองค์ พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะมองเห็นผู้คนหลีกเลี่ยงพระองค์ หรือนำตัวพวกเขาเองออกจากพระองค์ พระองค์ทรงต้องประสงค์เพียงให้ผู้คนเข้าใจพระองค์ มาอยู่ใกล้ชิดพระองค์ และเป็นครอบครัวของพระองค์ หากครอบครัวของเจ้าเอง บุตรของเจ้าเอง มองเห็นเจ้าแต่ไม่รับรู้ถึงเจ้า และไม่กล้าที่จะมาเข้าใกล้เจ้าแต่หลีกเลี่ยงเจ้าอยู่เสมอ หากเจ้าไม่สามารถได้รับความเข้าใจจากพวกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เจ้าเคยได้ทำให้พวกเขา นั่นจะทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร? นั่นจะไม่เจ็บปวดหรอกหรือ? เจ้าจะไม่ใจสลายหรอกหรือ? นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงรู้สึกเมื่อผู้คนหลีกเลี่ยงพระองค์ ดังนั้น หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงปรากฏต่อผู้คนในรูปร่างที่มีเลือดเนื้อของพระองค์ และยังคงได้เสวยและทรงดื่มร่วมกับพวกเขา พระเจ้าทรงมองผู้คนว่าเป็นครอบครัว และพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะให้มวลมนุษย์มองพระองค์เป็นองค์หนึ่งเดียวผู้เป็นยอดรักสำหรับพวกเขาเช่นกัน พระเจ้าทรงสามารถได้รับผู้คนอย่างแท้จริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น และผู้คนสามารถรักและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น ตอนนี้ พวกเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของเราในการคัดสองบทตอนนี้จากพระคัมภีร์ที่องค์พระเยซูเจ้าเสวยขนมปังและอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และที่สาวกถวายปลาย่างแก่พระองค์เพื่อเสวยได้หรือไม่?

สามารถกล่าวได้ว่ามีการใช้พระดำริอย่างจริงจังจริงใจในลำดับสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสและได้ทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยความใจดีและความรักใคร่ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติ และเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและความใส่พระทัยอย่างพิถีพิถันที่พระองค์ได้ทรงมีให้กับสัมพันธภาพอันสนิทสนมที่พระองค์ทรงได้สร้างขึ้นกับมวลมนุษย์ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนังด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความอาวรณ์และการถวิลหาที่พระองค์ทรงรู้สึกกับชีวิตแห่งการเสวยและการดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบรรดาสาวกของพระองค์ในช่วงระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ผู้คนรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์รู้สึกว่าหลังจากการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สนิทสนมกับผู้คนยิ่งนักอีกต่อไป ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมกับมวลมนุษย์อีกต่อไปเพราะพระองค์ได้เสด็จกลับไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ได้เสด็จกลับไปหาพระบิดาผู้ซึ่งผู้คนไม่มีวันสามารถมองเห็นหรือเอื้อมถึงได้ พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนรู้สึกว่าเกิดความแตกต่างใดๆ ในสถานะระหว่างพระองค์และมวลมนุษย์ เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นผู้คนที่ต้องการติดตามพระองค์แต่รักษาระยะห่างที่เต็มไปด้วยความเคารพกับพระองค์ พระทัยของพระองค์เจ็บปวด เพราะนั่นหมายความว่าหัวใจของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากพระองค์มาก และพระองค์จะได้รับหัวใจของพวกเขาได้ยากยิ่ง ดังนั้น หากพระองค์ทรงปรากฏต่อผู้คนในกายจิตวิญญาณที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ นี่จะทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง และจะนำให้มวลมนุษย์มองพระคริสต์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์อย่างเข้าใจผิดว่าทรงกลายเป็นสูงส่ง เป็นแบบที่แตกต่างไปจากมวลมนุษย์ และเป็นใครบางคนที่ไม่สามารถร่วมโต๊ะและเสวยกับมนุษย์ได้อีกต่อไปเพราะพวกมนุษย์เต็มไปด้วยบาป โสโครก และไม่มีวันสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้ เพื่อที่จะขับไล่ความเข้าใจผิดเหล่านี้ของมวลมนุษย์นั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำหลายสิ่งที่พระองค์เคยทำในเนื้อหนัง ตามที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ว่า: “พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา” พระองค์ยังได้ทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์กับพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยทำในอดีต สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนั้นทำให้ทุกบุคคลที่มองเห็นพระองค์รู้สึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงไป ว่าพระองค์ยังทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิม ถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนและได้ทรงรับประสบการณ์กับความตายมาแล้ว พระองค์ก็ได้คืนพระชนม์ และไม่ได้เสด็จจากมวลมนุษย์ไป พระองค์ได้เสด็จกลับมาอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับพระองค์ที่เปลี่ยนแปลงไป บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนยังคงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิม อากัปกิริยาของพระองค์และวิธีของพระองค์ในการสนทนากับผู้คนก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก พระองค์ยังคงทรงเต็มไปด้วยความรักเมตตา พระคุณ และการทนยอมรับ—พระองค์ยังคงทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เดิมที่ทรงรักผู้อื่นเหมือนที่พระองค์รักพระองค์เอง ที่สามารถประทานอภัยให้กับมวลมนุษย์ได้เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง พระองค์ได้เสวยร่วมกับผู้คนเหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยเป็นมาเสมอ ทรงหารือเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์กับพวกเขา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมาจากเลือดเนื้อและสามารถสัมผัสและมองเห็นได้เหมือนก่อนหน้า บุตรมนุษย์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความสนิทสนมได้ รู้สึกสบายใจ และรู้สึกถึงความชื่นบานของการได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ได้สูญเสียไปกลับคืนมา ด้วยความสบายใจอย่างยิ่งยวด พวกเขาเริ่มต้นวางใจและเคารพยำเกรงอย่างกล้าหาญและมั่นใจในบุตรมนุษย์ผู้นี้ที่ทรงสามารถให้อภัยมวลมนุษย์สำหรับบาปของพวกเขา พวกเขายังเริ่มต้นอธิษฐานด้วยพระนามขององค์พระเยซูเจ้าโดยไม่มีความลังเลอีกด้วย อธิษฐานเพื่อให้ได้รับพระคุณของพระองค์ พระพรของพระองค์ และเพื่อให้ได้รับสันติสุขและความชื่นบานจากพระองค์ เพื่อให้ได้รับความใส่พระทัยและการคุ้มครองปกป้องจากพระองค์ และพวกเขาได้เริ่มต้นเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยและขับไล่ปีศาจด้วยพระนามขององค์พระเยซูเจ้า

ในช่วงระหว่างเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังนั้น บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันพระอัตลักษณ์ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ตรัสได้อย่างเต็มที่ เมื่อพระองค์กำลังทรงเข้าไปใกล้กางเขน ท่าทีของบรรดาผู้ติดตามของพระองค์คือท่าทีของการสังเกต เช่นนั้นแล้ว นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนจนถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกฝังในอุโมงค์ฝังศพ ท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระองค์คือความผิดหวัง ในช่วงระหว่างเวลานี้ ในหัวใจของพวกเขาผู้คนได้เริ่มเปลี่ยนจากการสงสัยในสิ่งต่างๆ ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ในช่วงระหว่างเวลาของพระองค์ในเนื้อหนัง ไปเป็นการปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด จากนั้น เมื่อพระองค์ได้เสด็จพระดำเนินออกจากอุโมงค์ฝังศพและได้ทรงปรากฏต่อผู้คนทีละคน ผู้คนส่วนใหญ่ที่มองเห็นพระองค์ด้วยตาของพวกเขาเองหรือได้ยินข่าวการคืนพระชนม์ของพระองค์จึงได้ค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีของพวกเขาจากการปฏิเสธเป็นความกังขา พวกเขายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์ในเนื้อหนังก็เฉพาะเมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงให้โธมัสวางมือของเขาลงบนพระปรัศว์ของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงหักขนมปังและเสวยมันต่อหน้าฝูงชนหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ และจากนั้นจึงเสวยปลาย่างต่อหน้าพวกเขาเท่านั้น เจ้าสามารถพูดได้ว่ามันเป็นเสมือนว่ากายจิตวิญญาณนี้ของเลือดเนื้อที่ยืนต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นกำลังปลุกพวกเขาทุกๆ คนจากความฝัน: บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนต่อหน้าพวกเขาคือองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้ทรงดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ พระองค์ทรงมีรูปร่างและเนื้อหนังและพระอัฐิ และพระองค์ได้ทรงพระชนม์ชีพและเสวยพระกระยาหารเคียงข้างมวลมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว…ในเวลานี้ ผู้คนรู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นจริงอย่างยิ่ง และช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ในขณะเดียวกัน พวกเขายังชื่นบานและมีความสุข และเต็มไปด้วยอารมณ์ด้วยเช่นกัน การทรงปรากฏอีกครั้งของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความถ่อมพระทัยของพระองค์ได้อย่างแท้จริง รู้สึกถึงความใกล้ชิดและความผูกพันกับมวลมนุษย์ของพระองค์ และรู้สึกว่าพระองค์มีพระดำริเกี่ยวกับพวกเขามากเพียงใด การอยู่ร่วมกันเป็นเวลาสั้นๆ อีกครั้งนี้ทำให้ผู้คนที่มองเห็นองค์พระเยซูเจ้ารู้สึกเสมือนว่าชั่วชีวิตได้ผ่านไป หัวใจที่สูญเสีย สับสน หวั่นเกรง วิตกกังวล โหยหา และด้านชาของพวกเขาได้พบความสบายใจ พวกเขาไม่เคลือบแคลงหรือผิดหวังอีกต่อไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าตอนนี้มีความหวังและมีบางสิ่งบางอย่างให้พึ่งพา จากนั้น บุตรมนุษย์ที่ทรงยืนต่อหน้าพวกเขาจะระวังหลังให้พวกเขาอยู่เสมอ พระองค์จะทรงเป็นปราการที่แข็งแรงของพวกเขา เป็นที่หลบภัยของพวกเขานิจนิรันดร์

ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะได้คืนพระชนม์ แต่พระทัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้จากมวลมนุษย์ไป โดยการทรงปรากฏต่อผู้คน พระองค์ได้ตรัสบอกพวกเขาว่าไม่ว่าพระองค์จะทรงดำรงอยู่ในรูปร่างใดก็ตาม พระองค์จะทรงร่วมทางไปกับผู้คน เสด็จพระดำเนินกับพวกเขา และทรงอยู่กับพวกเขาในทุกที่และทุกเวลา พระองค์ได้ตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมมวลมนุษย์และเลี้ยงดูพวกเขา อนุญาตให้พวกเขามองเห็นและสัมผัสพระองค์ และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันรู้สึกไร้ที่พึ่งอีกในทุกที่และทุกเวลา องค์พระเยซูเจ้ายังทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามลำพังในโลกนี้ มวลมนุษย์มีความใส่พระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา พวกเขาสามารถพึ่งพิงพระเจ้าได้เสมอ และพระองค์ทรงเป็นครอบครัวของผู้ติดตามของพระองค์ทุกๆ คน เมื่อมีพระเจ้าให้พึ่งพิงแล้ว มวลมนุษย์จะไม่เปล่าเปลี่ยวหรือไร้ที่พึ่งอีกต่อไป และผู้ที่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขาจะไม่ถูกผูกมัดในบาปอีกต่อไป ในสายตาของมนุษย์ พระราชกิจส่วนเหล่านี้ของพระองค์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์นั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยอย่างมาก แต่ตามที่เราเห็นนั้น ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำช่างเปี่ยมความหมาย ช่างล้ำค่า ช่างมีความสำคัญและเต็มไปด้วยนัยสำคัญอย่างหนักหน่วง

ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังนั้นจะเต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ พระองค์ก็ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ณ เวลานั้นได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์และเพียบพร้อม โดยผ่านทางการทรงปรากฏในกายจิตวิญญาณของเลือดเนื้อของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์โดยการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงสรุปพันธกิจของพระองค์โดยการทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ในรูปร่างที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์ พระองค์ได้ทรงป่าวประกาศยุคพระคุณ ทรงเริ่มต้นยุคใหม่โดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจในยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงเสริมกำลังและนำผู้ติดตามทั้งหมดของพระองค์ในยุคพระคุณโดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระคริสต์ พระราชกิจของพระเจ้านั้นสามารถกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงเริ่มต้นให้เสร็จสิ้นอย่างแท้จริง มีขั้นตอนและแผนการ และพระราชกิจนั้นเต็มไปด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์ ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ กิจการที่น่าพิศวงของพระองค์ และความรักและความปรานีของพระองค์ แน่นอนว่าเส้นด้ายเส้นสำคัญที่ร้อยผ่านพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าคือความใส่พระทัยที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ สิ่งนี้แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกกังวลของพระองค์ ซึ่งพระองค์ไม่เคยทรงสามารถละวางลงได้เลย ในวรรคเหล่านี้ของพระคัมภีร์ ในทุกๆ สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ความหวังที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าและความกังวลที่ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ได้รับการเผยออกมา เช่นเดียวกับความใส่พระทัยอย่างพิถีพิถันและการทะนุถนอมมวลมนุษย์ของพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดในนี้เคยเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาจนถึงเวลาปัจจุบัน—พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้หรือไม่? เมื่อพวกเจ้ามองเห็นสิ่งนี้ หัวใจของพวกเจ้าไม่ได้เข้าใกล้พระเจ้าโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ? หากพวกเจ้าใช้ชีวิตในยุคนั้น และองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อพวกเจ้าหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ในรูปร่างที่จับต้องได้เพื่อให้พวกเจ้ามองเห็น และหากพระองค์ประทับต่อหน้าพวกเจ้า เสวยขนมปังและปลา และอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้พวกเจ้าฟัง และตรัสกับพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร? เจ้าจะรู้สึกมีความสุขหรือไม่? หรือว่าเจ้าจะรู้สึกผิด? ความเข้าใจผิดและการหลีกเลี่ยงพระเจ้าก่อนหน้านี้ ปัญหาความขัดแย้งและความสงสัยพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้จะไม่แค่หายไปหรอกหรือ? สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้าและมนุษย์จะไม่กลายเป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นหรอกหรือ?

โดยการตีความบทตอนที่จำกัดเหล่านี้ในพระคัมภีร์ พวกเจ้าพบข้อบกพร่องใดๆ ในพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าพบการมีสิ่งเจือปนใดๆ ในความรักของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นการหลอกลวงหรือความชั่วใดๆ ในฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดหรือพระปรีชาญาณของพระเจ้าหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน! ตอนนี้พวกเจ้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์? พวกเจ้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจได้หรือไม่ว่าอารมณ์แต่ละอย่างของพระเจ้าคือการเผยถึงเนื้อแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์? เราหวังว่าหลังจากที่พวกเจ้าได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แล้ว ความเข้าใจที่พวกเจ้าได้รับจากพระวจนะเหล่านี้จะช่วยเจ้าและนำผลประโยชน์มาให้เจ้าในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและความกลัวพระเจ้าของเจ้า และว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดผลในตัวพวกเจ้า ผลที่เติบโตขึ้นในแต่ละวัน เพื่อให้ในขณะที่กำลังทำการไล่ตามเสาะหานี้ พวกเจ้าจะได้รับการนำเข้าไปใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ชิดกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่เบื่อกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และจะไม่รู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเป็นเรื่องยุ่งยากหรือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อได้รับแรงจูงใจจากการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าและเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะถวิลหาความสว่าง ถวิลหาความยุติธรรม มุ่งที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า และเจ้าจะกลายเป็นบุคคลที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้ กลายเป็นบุคคลที่แท้จริง

วันนี้พวกเราได้พูดคุยถึงบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำในยุคพระคุณเมื่อพระองค์ได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์เป็นครั้งแรก จากสิ่งเหล่านี้ พวกเราได้มองเห็นพระอุปนิสัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงออกและทรงเผยออกมาในเนื้อหนัง อีกทั้งทุกแง่มุมเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น แง่มุมเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดเหล่านี้ดูเหมือนเป็นมนุษย์อย่างมาก แต่ความเป็นจริงก็คือว่าเนื้อแท้ของทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเผยและได้ทรงแสดงออกนั้นไม่สามารถแยกจากพระอุปนิสัยของพระองค์เองได้ ทุกๆ วิธีการและทุกๆ แง่มุมของพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ที่แสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์มีความเชื่อมโยงกับเนื้อแท้ของพระองค์เองอย่างแยกจากกันไม่ได้ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่พระเจ้าได้เสด็จมาหามวลมนุษย์โดยใช้วิธีการจุติเป็นมนุษย์ สิ่งที่สำคัญเช่นกันก็คือพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำในเนื้อหนัง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นสำหรับทุกบุคคลที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนัง สำหรับทุกบุคคลที่ใช้ชีวิตในความเสื่อมทราม ก็คือพระอุปนิสัยที่พระองค์ได้ทรงเผยและน้ำพระทัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงออก นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าสามารถเข้าใจได้ใช่หรือไม่? หลังจากที่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้ว พวกเจ้าได้มีข้อสรุปใดๆ ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรหรือไม่? ประการสุดท้าย เพื่อตอบคำถามนี้ เราต้องการให้ข้อเสนอแนะกับเจ้าสามข้อคือ อันดับแรก จงอย่าทดสอบพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์มากเพียงใดก็ตาม จงอย่าได้ทดสอบพระเจ้าโดยเด็ดขาด อันดับที่สอง จงอย่าแก่งแย่งสถานะกับพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานสภาวะประเภทใดให้กับเจ้าก็ตาม หรือพระองค์จะไว้วางพระทัยให้เจ้าทำงานประเภทใดก็ตาม ไม่ว่าพระองค์จะทรงเลี้ยงดูเจ้าเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ประเภทใดก็ตาม และไม่ว่าเจ้าจะได้สละตัวเจ้าเองและพลีอุทิศเพื่อพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม จงอย่าได้แข่งขันสถานะกับพระเจ้าโดยเด็ดขาด อันดับที่สาม จงอย่าแข่งขันกับพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่าเจ้าจะสามารถนบนอบต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงนำมาให้กับเจ้าหรือไม่ก็ตาม จงอย่าได้แข่งขันกับพระเจ้าโดยเด็ดขาด หากเจ้าสามารถปฏิบัติตามข้อเสนอแนะสามข้อนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจึงจะปลอดภัยทีเดียว และเจ้าจะไม่มีแนวโน้มที่จะทำให้พระเจ้ากริ้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ยอห์น 20:26-29 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว...

บุตรมนุษย์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแม้กระทั่งเหนือวันสะบาโต (ภาคที่ 1)

1. มัทธิว 12:1 ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2. มัทธิว 12:6-8...

อุปมาเรื่องแกะหลง

มัทธิว 18:12-14 พวกท่านคิดอย่างไร? ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา...

ติดต่อเราผ่าน Messenger