การยกโทษเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ดและความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

4. ยกโทษเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด

มัทธิว 18:21-22 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”

5. ความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มัทธิว 22:37-39 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’”

ในสองบทตอนนี้ บทหนึ่งพูดถึงการให้อภัยและอีกบทหนึ่งพูดถึงความรัก สองหัวข้อนี้เน้นถึงพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะดำเนินการในยุคพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงนำพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งมาพร้อมกับพระองค์ด้วย ซึ่งคือพระราชกิจเฉพาะและพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกในยุคนี้ ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งที่บุตรมนุษย์ทรงทำนั้นวนเวียนอยู่กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติในยุคนั้น พระองค์ไม่ทรงทำมากกว่านั้นและไม่ทรงทำน้อยกว่านั้น ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ตรัสและพระราชกิจทุกประเภทที่พระองค์ทรงดำเนินการล้วนเกี่ยวข้องกับยุคนี้ ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งนี้ในวิธีของมนุษย์ด้วยภาษาของมนุษย์หรือโดยผ่านทางภาษาของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติเช่นนั้นในวิธีใดหรือจากมุมมองใดก็ตาม เป้าหมายของพระองค์คือการช่วยผู้คนให้เข้าใจว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำอะไร น้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร และข้อพึงประสงค์ของพระองค์จากผู้คนคืออะไร พระองค์อาจจะทรงใช้วิถีทางที่หลากหลายและมุมมองที่แตกต่างเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและรู้น้ำพระทัยของพระองค์ และเพื่อทำความเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ดังนั้น ในยุคพระคุณ เราจึงมองเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับมวลมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น เรามองเห็นพระองค์จากมุมมองของผู้ชี้ทางธรรมดาที่พูดคุยกับผู้คน ที่จัดเตรียมเพื่อความต้องการของพวกเขา และที่ช่วยพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้ร้องขอ ในยุคธรรมบัญญัติที่มาก่อนยุคพระคุณนั้นไม่เห็นว่ามีการทรงพระราชกิจในวิธีนี้ พระองค์ทรงกลับกลายเป็นสนิทสนมมากขึ้นและสงสารเห็นใจมากขึ้นกับมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบและลักษณะ การอุปมาเกี่ยวกับการให้อภัยผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้งทำให้ประเด็นนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง จุดประสงค์ที่ตัวเลขในการอุปมานี้ทำให้สัมฤทธิ์ผลคือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูเจ้า ณ เวลาที่พระองค์ตรัสสิ่งนี้ เจตนารมณ์ของพระองค์ก็คือว่าผู้คนควรให้อภัยผู้อื่น—ไม่ใช่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง และไม่แม้กระทั่งเจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง ภายในแนวคิดของคำว่า “เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง” มีแนวคิดแบบใดอยู่? แนวคิดนี้คือการทำให้ผู้คนทำให้การให้อภัยเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาเอง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาต้องเรียนรู้ และเป็น “วิธี” ที่พวกเขาต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่การอุปมา แต่การอุปมานี้ก็ทำหน้าที่เน้นถึงประเด็นที่สำคัญยิ่ง การอุปมานี้ช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงหมายถึง และพบวิธีที่ถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติ และหลักการและมาตรฐานของการปฏิบัติ การอุปมานี้ช่วยผู้คนให้เข้าใจอย่างชัดเจน และให้พวกเขาได้มีมโนคติที่ถูกต้อง–ว่าพวกเขาควรเรียนรู้การให้อภัยและให้อภัยไม่ว่าจะกี่ครั้งโดยไม่มีเงื่อนไข แต่โดยมีท่าทีของการทนยอมรับและความเข้าใจผู้อื่น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ มีสิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์? พระองค์มีพระดำริถึงจำนวน “เจ็ดสิบคูณเจ็ด” จริงๆ หรือ? ไม่ใช่ พระองค์ไม่มีพระดำริเช่นนั้น มีจำนวนครั้งที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยมนุษย์หรือไม่? มีผู้คนมากมายที่มีความสนใจเป็นอย่างยิ่งใน “จำนวนครั้ง” ที่กล่าวถึงในที่นี้ ผู้ที่ต้องการจะเข้าใจจุดกำเนิดและความหมายของตัวเลขนี้จริงๆ พวกเขาต้องการเข้าใจว่าเหตุใดจำนวนนี้จึงออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวเลขนี้มีความหมายโดยนัยที่ลึกซึ้งลงไปอีก แต่อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเพียงการอุปมาอุปมัยของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ ความหมายโดยนัยหรือความหมายใดๆ นั้นต้องทำความเข้าใจพร้อมกับข้อพึงพระสงค์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ เมื่อพระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสมากนัก เพราะพระวจนะของพระองค์มาจากเทวสภาพอย่างสมบูรณ์ มุมมองและบริบทของสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจเอื้อมถึงสำหรับมวลมนุษย์ สิ่งนี้ได้รับการแสดงออกจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถก้าวผ่านอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้ แต่หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์จากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ และพระองค์เสด็จออกจากและผ่านขอบเขตของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัย น้ำพระทัย และท่าทีที่แบบพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ ที่พวกมนุษย์สามารถจินตนาการได้ สิ่งต่างๆ ที่พวกเขามองเห็นและประสบพบเจอในชีวิตของพวกเขา และโดยใช้วิธีการที่พวกมนุษย์สามารถยอมรับได้ ในภาษาที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และด้วยความรู้ที่พวกเขาสามารถจับความเข้าใจได้ เพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้า เพื่อจับใจความเจตนารมณ์ของพระองค์และมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ภายในขอบเขตของขีดความสามารถของพวกเขา และจนถึงระดับที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือวิธีการและหลักการของพระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วหนทางของพระเจ้าและหลักการของพระองค์ในการทรงพระราชกิจในเนื้อหนังสัมฤทธิ์ผลด้วยการใช้หรือโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ก็สัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริงในผลลัพธ์ที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้โดยการทรงพระราชกิจในเทวสภาพโดยตรง พระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์นั้นเป็นรูปธรรม เป็นของแท้ และมุ่งเป้าหมายมากกว่า วิธีการต่างๆ มีความยืดหยุ่นมากกว่ามาก และในรูปร่างนั้นเกินหน้าจากพระราชกิจที่ทรงดำเนินการในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ

อันดับต่อไป พวกเรามาพูดถึงการรักองค์พระผู้เป็นเจ้าและการรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเองกันเถิด นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่มีการแสดงออกโดยตรงในเทวสภาพหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่บุตรมนุษย์ได้ตรัสถึงในสภาวะความเป็นมนุษย์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างเช่น “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง จงรักผู้อื่นเหมือนกับที่เจ้าทะนุถนอมชีวิตของเจ้าเอง” การพูดลักษณะเช่นนี้เป็นของมนุษย์แต่เพียงเท่านั้น พระเจ้าไม่เคยตรัสในลักษณะเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าไม่ทรงมีภาษาประเภทนี้ในเทวสภาพของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องมีหลักความเชื่อประเภทนี้ที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง” เพื่อวางระเบียบความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พวกเจ้าเคยได้ยินพระเจ้าตรัสอะไรเช่นว่า “เรารักมวลมนุษย์เหมือนที่เรารักตัวเราเอง” เมื่อใดกัน? พวกเจ้าไม่เคยได้ยิน เพราะความรักอยู่ในเนื้อแท้ของพระเจ้าและในสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ และท่าทีของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนคือการแสดงออกและการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องจงพระทัยทำสิ่งนี้ในลักษณะเฉพาะใดๆ หรือจงพระทัยทำตามวิธีการเฉพาะใดๆ หรือหลักศีลธรรมเพื่อสัมฤทธิ์ผลในการรักเพื่อนบ้านของพระองค์เหมือนรักพระองค์เอง—พระองค์ได้ทรงครอบครองเนื้อแท้ประเภทนี้อยู่แล้ว เจ้ามองเห็นอะไรในสิ่งนี้? เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์ วิธีการ พระวจนะ และความจริงมากมายของพระองค์ได้รับการแสดงออกด้วยวิธีของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และน้ำพระทัยของพระองค์ได้รับการแสดงออกเพื่อให้ผู้คนรู้จักและทำความเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาได้มารู้จักและเข้าใจคือเนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งแทนพระอัตลักษณ์และสถานะโดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นจึงกล่าวได้ว่า บุตรมนุษย์ในเนื้อหนังแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้โดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เองจนถึงขอบเขตสูงสุดที่เป็นไปได้ และอย่างถูกต้องแม่นยำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่เพียงสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุตรมนุษย์จะไม่เป็นเครื่องกีดขวางหรืออุปสรรคต่อการสื่อสารและการโต้ตอบกับพระเจ้าในสวรรค์ของมนุษย์เท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วยังเป็นช่องทางเดียวและสะพานเชื่อมเดียวที่มวลมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ บัดนี้ ในจุดนี้พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามีความคล้ายคลึงกันมากมายระหว่างธรรมชาติและวิธีการของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติในยุคพระคุณกับพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน? พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันนี้ก็ใช้ภาษาของมนุษย์มากมายเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และภาษาและวิธีมากมายจากชีวิตประจำวันของมวลมนุษย์และความรู้ของมนุษย์ในการแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าพระองค์เองเช่นเดียวกัน เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองของมนุษย์หรือมุมมองของพระเจ้า ภาษาและวิธีการแสดงออกมากมายของพระองค์ออกมาโดยผ่านทางสื่อกลางคือภาษาและวิธีการของมนุษย์ นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เจ้าจะมองเห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และรู้จักแง่มุมจริงๆ ของพระเจ้าทุกแง่มุม เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ขณะที่พระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้น พระองค์ได้ทรงมาเข้าใจ เรียนรู้ และจับความเข้าใจกับความรู้ สามัญสำนึก ภาษา และวิธีการแสดงออกบางอย่างของมวลมนุษย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงครอบครองสิ่งเหล่านี้ซึ่งมาจากมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในเนื้อหนังเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์ และทำให้พระองค์ทรงสามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าเรื่องยิ่งขึ้น เป็นของแท้ยิ่งขึ้น และถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์กำลังทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ จากมุมมองของมนุษย์ และโดยใช้ภาษาของมนุษย์ นี่ทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าถึงได้มากขึ้นและเข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ หากพระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังในวิธีนี้จะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าหรือ? นี่ไม่ใช่พระปรีชาญาณของพระเจ้าหรือ? เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจที่พระองค์มีพระประสงค์จะดำเนินการ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงแสดงออกอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ และนั่นก็เป็นเวลาที่พระองค์ทรงสามารถเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการในฐานะบุตรมนุษย์เช่นเดียวกัน นี่หมายความว่าไม่มี “ช่องว่างของยุคสมัย” ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์อีกต่อไป ว่าพระเจ้าจะทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์ในการสื่อสารโดยผ่านทางผู้ส่งสารในอีกไม่นาน และว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงสามารถแสดงออกถึงพระวจนะและพระราชกิจในเนื้อหนังทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ได้ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังหมายความด้วยว่าผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น ว่าพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ได้เข้าสู่ดินแดนใหม่แล้ว และว่ามวลมนุษย์ทั้งหมดกำลังจะได้เผชิญกับยุคใหม่

ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์ต่างรู้ว่ามีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าประสูติ เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นก็คือการที่พระองค์ทรงถูกล่าโดยกษัตริย์แห่งมาร ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สุดขั้วจนเด็กทุกคนในเมืองที่มีอายุตั้งแต่สองปีลงไปถูกสังหาร เห็นได้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงได้รับความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่จากการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ท่ามกลางหมู่มนุษย์ ราคาที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อทำการบริหารจัดการของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดให้ครบบริบูรณ์ก็เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีให้กับพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ในเนื้อหนังก็เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ได้ พระองค์ทรงรู้สึกเช่นไร? ผู้คนควรจะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นได้ถึงระดับหนึ่ง ไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญเพราะพระองค์ทรงสามารถเริ่มดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงได้รับบัพติศมาและได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในการทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงอย่างเป็นทางการ พระทัยของพระเจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นบาน เพราะหลังจากช่วงเวลาหลายปีแห่งการรอคอยและการตระเตรียม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงสามารถสวมเนื้อหนังของมนุษย์ปกติและเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ในรูปร่างของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ผู้ซึ่งผู้คนสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงสามารถตรัสกับผู้คนได้อย่างซึ่งหน้าและอย่างเปิดพระทัยโดยผ่านทางอัตลักษณ์ของมนุษย์ ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงสามารถมาเผชิญกับมวลมนุษย์โดยผ่านทางสื่อกลางคือวิธีของมนุษย์และภาษาของมนุษย์ พระองค์ทรงสามารถจัดเตรียมเพื่อมวลมนุษย์ ประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขา และช่วยพวกเขาให้รอดโดยใช้ภาษาของมนุษย์ พระองค์ทรงสามารถเสวยร่วมโต๊ะและดำรงพระชนม์ในพื้นที่เดียวกับพวกเขาได้ พระองค์ยังสามารถทอดพระเนตรมนุษย์ ทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ และทอดพระเนตรทุกสิ่งในวิธีที่มนุษย์มองเห็น และแม้กระทั่งโดยผ่านทางดวงตาของพวกเขาเอง สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น นี่เป็นชัยชนะแรกของพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง นอกจากนี้ยังสามารถกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จลุล่วงอย่างหนึ่งของพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่—แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญที่สุด นับตั้งแต่นั้น พระเจ้าทรงรู้สึกเป็นครั้งแรกถึงความสบายแบบหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและช่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก และความสบายที่พระเจ้าทรงรู้สึกช่างจริงแท้ยิ่งนัก สำหรับมวลมนุษย์แล้วนั้น แต่ละครั้งที่พระราชกิจในช่วงระยะใหม่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และแต่ละครั้งที่พระเจ้ารู้สึกพอพระทัย นั่นคือเวลาที่มวลมนุษย์สามารถเข้าใกล้พระเจ้าและความรอดได้มากขึ้น สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น นี่ยังเป็นการเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์อีกด้วย ซึ่งก้าวไปข้างหน้าในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น เวลาเหล่านี้ยังเป็นเวลาที่เจตนารมณ์ของพระองค์เข้าใกล้ความลุล่วงที่ครบบริบูรณ์ด้วย สำหรับมวลมนุษย์ การมาถึงของโอกาสดังกล่าวช่างเป็นโชคดีและเป็นสิ่งที่ดีมาก สำหรับทุกคนที่รอความรอดของพระเจ้า นี่คือข่าวที่น่าชื่นบานยินดีและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจในช่วงระยะใหม่ เมื่อนั้นพระองค์ทรงมีจุดเริ่มต้นใหม่ และเมื่อพระราชกิจใหม่และจุดเริ่มต้นใหม่นี้ได้รับการเปิดตัวและแนะนำให้รู้จักท่ามกลางมวลมนุษย์ นั่นคือเวลาที่บทอวสานของพระราชกิจในช่วงระยะนี้ได้รับการกำหนดและสำเร็จลุล่วงแล้ว และพระเจ้าทรงเห็นผลกระทบและดอกผลสุดท้ายแล้ว นี่ยังเป็นเวลาที่ผลกระทบเหล่านี้ทำให้พระเจ้ารู้สึกพึงพอพระทัย และแน่นอนว่าคือเวลาที่พระทัยของพระองค์ก็เกษมสำราญ พระเจ้ารู้สึกวางพระทัย เพราะในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นและได้ทรงกำหนดผู้คนที่พระองค์กำลังทรงมองหาแล้ว และทรงได้รับผู้คนกลุ่มนี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จและนำความพึงพอพระทัยมาให้กับพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงละวางความกังวลของพระองค์ลงได้ และพระองค์ทรงรู้สึกเกษมสำราญ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ท่ามกลางมนุษย์และพระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องทำโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง และเมื่อพระองค์ทรงรู้สึกว่าทั้งหมดได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เมื่อนั้นแล้ว สำหรับพระองค์ จุดสิ้นสุดก็อยู่ในสายพระเนตรแล้ว เพราะสิ่งนี้ พระองค์พึงพอพระทัย และพระทัยของพระองค์ก็เกษมสำราญ พระเกษมสำราญของพระเจ้าได้รับการแสดงออกอย่างไร? พวกเจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าคำตอบอาจเป็นอะไร? พระเจ้าอาจทรงกันแสงหรือไม่? พระเจ้าทรงสามารถกันแสงได้หรือไม่? พระเจ้าสามารถปรบพระหัตถ์ของพระองค์ได้หรือไม่? พระเจ้าทรงสามารถลีลาศได้หรือไม่? พระเจ้าทรงสามารถร้องเพลงได้หรือไม่? ถ้าได้ พระองค์จะทรงร้องสิ่งใด? แน่นอนว่าพระเจ้าอาจทรงร้องเพลงที่ไพเราะและดลใจ เพลงที่สามารถแสดงออกถึงความชื่นบานและพระเกษมสำราญในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงสามารถร้องเพลงนั้นเพื่อมวลมนุษย์ เพื่อพระองค์เอง และเพื่อทุกสรรพสิ่ง พระเกษมสำราญของพระเจ้าสามารถแสดงออกในวิธีใดก็ได้—ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะพระเจ้าทรงมีความชื่นบานและความโทมนัส และความรู้สึกต่างๆ ของพระองค์สามารถแสดงออกได้ในวิธีที่หลากหลาย นี่คือสิทธิของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดที่สามารถเป็นปกติและถูกต้องเหมาะสมไปมากกว่า ผู้คนไม่ควรคิดถึงสิ่งอื่นใดก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่ควรพยายามใช้ “คาถารัดเกล้า”[ก] กับพระเจ้าโดยบอกพระองค์ว่าพระองค์ไม่ควรทรงทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ พระองค์ไม่ควรทรงกระทำการในวิธีนี้หรือวิธีนั้น และจำกัดความเกษมสำราญของพระองค์หรือความรู้สึกใดๆ ที่พระองค์อาจมีด้วยวิธีนี้ ในหัวใจของผู้คน พระเจ้าไม่สามารถมีพระเกษมสำราญ ไม่สามารถหลั่งน้ำพระเนตร ไม่ทรงสามารถกันแสง—พระองค์ไม่ทรงสามารถแสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ โดยผ่านทางสิ่งที่เราได้สื่อสารในระหว่างการสามัคคีธรรมสองหัวข้อนี้ เราเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มองเห็นพระเจ้าในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไป แต่จะให้พระเจ้าสามารถมีอิสรภาพและการปลดปล่อยบ้าง นี่คือสิ่งที่ดีมาก ในอนาคต หากพวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงความโทมนัสของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ยินว่าพระองค์ทรงโทมนัส และพวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเกษมสำราญของพระองค์ได้อย่างแท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ยินว่าพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ เมื่อนั้นอย่างน้อยเจ้าจะสามารถรู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดทำให้พระเจ้าทรงพระเกษมสำราญ และสิ่งใดทำให้พระองค์ทรงโทมนัส เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกเสียใจเพราะพระเจ้าทรงโทมนัสและรู้สึกมีความสุขเพราะพระเจ้าทรงพระเกษมสำราญ พระองค์จะได้รับหัวใจของเจ้าอย่างเต็มที่แล้ว และจะไม่มีอุปสรรคใดๆ ระหว่างตัวเจ้าเองและพระองค์อีก เจ้าจะไม่พยายามที่จะจำกัดพระเจ้าด้วยการจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และความรู้ของมนุษย์อีกต่อไป ณ เวลานั้น พระเจ้าจะทรงพระชนม์และแจ่มแจ้งในหัวใจของเจ้า พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิตของเจ้า และเป็นองค์เจ้านายของทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้า พวกเจ้ามีความทะเยอทะยานประเภทนี้หรือไม่? พวกเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าพวกเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้ได้?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

เชิงอรรถ:

ก. “คาถารัดเกล้า” คือ คาถาที่พระถังซัมจั๋งใช้ในนิยายจีนเรื่องไซอิ๋ว เขาใช้คาถานี้เพื่อควบคุมซุนหงอคง ด้วยการรัดห่วงโลหะรอบศีรษะของฝ่ายหลัง ซึ่งทำให้เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาตกอยู่ภายใต้การควบคุม นั่นได้กลายเป็นคำอุปมาเพื่อพรรณนาถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผูกมัดบุคคลหนึ่งไว้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี

10. การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี มาระโก 3:21-22 เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นี้ ก็ออกไปรั้งพระองค์ไว้...

บุตรมนุษย์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแม้กระทั่งเหนือวันสะบาโต (ภาคที่ 1)

1. มัทธิว 12:1 ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2. มัทธิว 12:6-8...

พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

13. พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ลูกา 24:30-32 เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา...

ติดต่อเราผ่าน Messenger