อุปมาเรื่องแกะหลง

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

มัทธิว 18:12-14 พวกท่านคิดอย่างไร? ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาตัวที่หลงไปนั้นหรือ? เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นพบมัน เขาจะมีความเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย

บทตอนนี้เป็นนิทานอุปมา—บทตอนนี้ให้ความรู้สึกประเภทใดแก่ผู้คน? วิธีการแสดงออก—นิทานอุปมา—ที่ใช้ในที่นี้คือการอุปมาอุปมัยในภาษาของมนุษย์ และดังนั้นจึงอยู่ภายในขอบเขตความรู้ของมนุษย์ หากพระเจ้าตรัสบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันนี้ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนจะรู้สึกว่าพระวจนะนั้นไม่ได้สอดคล้องกับผู้ที่พระเจ้าทรงเป็นอย่างแท้จริง แต่เมื่อบุตรมนุษย์ทรงส่งพระวจนะเหล่านี้ในยุคพระคุณ มันรู้สึกสบายใจ อบอุ่น และสนิทสนมกับผู้คน เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ พระองค์ทรงใช้นิทานอุปมาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่มาจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เอง เพื่อแสดงออกถึงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์ พระสุรเสียงนี้เป็นสิ่งแทนพระสุรเสียงของพระเจ้าเองและพระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำในยุคนั้น และยังเป็นสิ่งแทนท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนในยุคพระคุณด้วย พระองค์ทรงเปรียบเทียบแต่ละบุคคลเป็นแกะ โดยทอดพระเนตรจากมุมมองของท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน หากแกะตัวหนึ่งหายไป พระองค์จะทรงทำไม่ว่าอะไรก็ตามที่จำเป็นเพื่อค้นหามัน นี่เป็นสิ่งแทนหลักการของพระราชกิจของพระเจ้า ณ ขณะนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์เมื่อพระองค์ประทับอยู่ในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงใช้นิทานอุปมานี้เพื่ออธิบายการตัดสินพระทัยแน่วแน่และท่าทีของพระองค์ในพระราชกิจนั้น นี่คือความได้เปรียบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์: พระองค์ทรงใช้ความได้เปรียบของความรู้ของมวลมนุษย์และใช้ภาษาของมนุษย์เพื่อพูดคุยกับผู้คนและแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงอธิบายหรือ “แปล” ภาษาแบบพระเจ้าที่ลุ่มลึกของพระองค์ซึ่งผู้คนดิ้นรนที่จะทำความเข้าใจในภาษามนุษย์ให้กับมนุษย์ในวิธีของมนุษย์ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้คนเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และรู้สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ พระองค์ยังทรงสามารถมีการสนทนากับผู้คนจากมุมมองของมนุษย์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ และทรงสื่อสารกับผู้คนในวิธีที่พวกเขาเข้าใจได้ พระองค์ยังถึงขั้นสามารถตรัสและทรงพระราชกิจโดยใช้ภาษาและความรู้ของมนุษย์เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความใจดีและความใกล้ชิดของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระทัยของพระองค์ได้ พวกเจ้ามองเห็นอะไรในการนี้? มีข้อห้ามใดๆ ในพระวจนะและการกระทำของพระเจ้าหรือไม่? ในความคิดของผู้คนแล้ว ไม่มีวิธีใดที่พระเจ้าจะทรงสามารถใช้ความรู้ ภาษา หรือวิธีการพูดของมนุษย์เพื่อทรงปราศรัยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงต้องประสงค์ที่จะตรัส พระราชกิจที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ หรือเพื่อแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์เอง แต่นี่คือการคิดที่ผิดพลาด พระเจ้าทรงใช้นิทานอุปมาประเภทนี้เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงและความจริงใจของพระเจ้า และมองเห็นท่าทีของพระองค์ต่อผู้คนในระหว่างช่วงเวลานั้น นิทานอุปมานี้ปลุกผู้คนที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติมาเป็นเวลานานให้ตื่นขึ้นจากฝัน และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตในยุคพระคุณรุ่นแล้วรุ่นเล่า ด้วยการอ่านบทตอนของนิทานอุปมานี้ ผู้คนรู้จักความจริงใจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และเข้าใจน้ำหนักและความสำคัญที่มีให้กับมวลมนุษย์ในพระทัยของพระเจ้า

เรามาดูที่ประโยคสุดท้ายในบทตอนนี้กัน: “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” นี่คือพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเอง หรือพระวจนะของพระบิดาในสวรรค์? จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ตรัส แต่น้ำพระทัยของพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าพระองค์เอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงตรัสว่า: “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” ผู้คน ณ ขณะนั้นยอมรับพระบิดาในสวรรค์เป็นพระเจ้าเท่านั้น และเชื่อว่าบุคคลผู้ที่พวกเขามองเห็นต่อหน้าต่อตาของเขานี้เป็นเพียงผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา และไม่สามารถเป็นตัวแทนพระบิดาในสวรรค์ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเพิ่มประโยคนี้ลงในตอนท้ายของนิทานอุปมานี้ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์จริงๆ และรู้สึกถึงความเป็นของแท้และความถูกต้องแม่นยำในสิ่งที่พระองค์ตรัส ถึงแม้ว่าประโยคนี้จะเป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่พระองค์ก็ตรัสด้วยความใส่พระทัยและความรัก และเผยให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยและความซ่อนเร้นขององค์พระเยซูเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือไม่ว่าพระองค์ทรงพระราชกิจในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณหรือไม่ พระองค์ก็ทรงรู้จักหัวใจของมนุษย์ดีที่สุด และทรงเข้าใจสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีดีที่สุด ทรงรู้สิ่งที่ผู้คนกังวลและสิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงทรงเพิ่มประโยคนี้ลงไป ประโยคนี้เน้นให้เห็นถึงปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในมวลมนุษย์: ผู้คนกังขาในสิ่งที่บุตรมนุษย์ตรัส กล่าวคือ เมื่อองค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัส พระองค์ต้องตรัสเพิ่มว่า: “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย” และพระวจนะของพระองค์เกิดผลได้ด้วยข้อสนับสนุนนี้เท่านั้น เพื่อทำให้ผู้คนเชื่อในความถูกต้องแม่นยำของพระวจนะของพระองค์ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของพระวจนะของพระองค์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ปกติธรรมดา พระเจ้าและมวลมนุษย์ก็มีสัมพันธภาพที่น่าอึดอัดอย่างมาก และสถานการณ์ของบุตรมนุษย์ก็น่าอับอายอย่างมาก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสถานะขององค์พระเยซูเจ้าท่ามกลางมนุษย์มีนัยสำคัญเพียงใดในขณะนั้น เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นการตรัสเพื่อบอกผู้คนว่า: พวกเจ้าสามารถวางใจได้—พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งแทนสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราเอง แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า สำหรับมวลมนุษย์ นี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าขันหรือ? ถึงแม้ว่าพระเจ้าผู้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังจะมีข้อได้เปรียบมากมายที่พระองค์ไม่ทรงมีในตัวตนของพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงทานทนต่อความสงสัยและการปฏิเสธของพวกเขา ตลอดจนความด้านชาและความไร้ความรู้สึกของพวกเขา สามารถกล่าวได้ว่ากระบวนการของพระราชกิจของบุตรมนุษย์คือกระบวนการในการได้รับประสบการณ์กับการปฏิเสธของมวลมนุษย์ และการได้รับประสบการณ์กับการที่พวกเขาแข่งขันกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกระบวนการในการทำงานเพื่อให้ได้รับความไว้ใจของมวลมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และเพื่อพิชิตมวลมนุษย์โดยผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยผ่านทางเนื้อแท้ของพระองค์เอง นั่นไม่เชิงว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะทรงทำสงครามบนพื้นดินกับซาตาน แต่เป็นการที่พระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา และเริ่มการต่อสู้ดิ้นรนกับผู้ที่ติดตามพระองค์มากกว่า และในการต่อสู้ดิ้นรนนี้ บุตรมนุษย์ทรงได้ทำพระราชกิจของพระองค์ให้ครบบริบูรณ์ด้วยความถ่อมพระทัยของพระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และด้วยความรักและพระปรีชาญาณของพระองค์ พระองค์ทรงได้รับผู้คนที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ ได้รับพระอัตลักษณ์และสถานะที่พระองค์สมควรจะได้รับ และ “เสด็จกลับ” สู่บัลลังก์ของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ยอห์น 20:26-29 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว...

พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

13. พระเยซูเสวยขนมปังและทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ ลูกา 24:30-32 เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา...

บุตรมนุษย์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแม้กระทั่งเหนือวันสะบาโต (ภาคที่ 1)

1. มัทธิว 12:1 ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2. มัทธิว 12:6-8...

ติดต่อเราผ่าน Messenger