บุตรมนุษย์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแม้กระทั่งเหนือวันสะบาโต (ภาคที่ 1)

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

1. มัทธิว 12:1 ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว

2. มัทธิว 12:6-8 แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต

อันดับแรกพวกเรามาดูที่บทตอนนี้กัน: “ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว”

เหตุใดเราจึงเลือกบทตอนนี้? บทตอนนี้เชื่อมโยงกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างไร? ในบทตอนนี้ สิ่งแรกที่เรารู้คือวันนั้นเป็นวันสะบาโต แต่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จไปข้างนอกและทรงนำสาวกของพระองค์ผ่านไปทางทุ่งนา สิ่งที่ “เป็นการทรยศ” ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกท่านถึงขั้น “จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว” ในยุคธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้ากำหนดว่าผู้คนไม่อาจออกไปข้างนอกหรือเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ได้ตามใจในวันสะบาโต—มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในวันสะบาโต การกระทำนี้ในส่วนขององค์พระเยซูเจ้าเป็นสิ่งที่น่าฉงนสำหรับบรรดาผู้ที่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติมาเป็นเวลานาน และกระทั่งกระตุ้นให้เกิดการติเตียน ในเรื่องความสับสนของพวกเขาและวิธีการที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูทรงทำนั้น พวกเราจะพักเรื่องนั้นไว้ก่อนในตอนนี้ และอันดับแรกเราจะมาอภิปรายว่าเหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเลือกทำเช่นนี้ในวันสะบาโต เมื่อเทียบกับวันอื่นๆ ทั้งหมด และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติโดยผ่านทางการกระทำนี้ นี่คือการเชื่อมโยงระหว่างบทตอนนี้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราต้องการกล่าวถึง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ทรงใช้การกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์เพื่อบอกผู้คนว่าพระเจ้าทรงออกจากยุคธรรมบัญญัติและทรงได้เริ่มต้นพระราชกิจใหม่แล้ว และว่าพระราชกิจใหม่นี้ไม่กำหนดให้มีการทำตามกฎวันสะบาโต การที่พระเจ้าเสด็จออกจากเขตจำกัดของวันสะบาโตเป็นเพียงการทดลองล่วงหน้าของพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ส่วนพระราชกิจจริงที่ยิ่งใหญ่ยังมาไม่ถึง เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงทิ้ง “เครื่องพันธนาการ” ของยุคธรรมบัญญัติไว้เบื้องหลังแล้ว และได้ทรงฝ่ากฎระเบียบและหลักการของยุคนั้นแล้ว ในพระองค์ไม่มีร่องรอยของสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมบัญญัติ พระองค์ได้ทรงสละมันทิ้งไปทั้งหมดและไม่ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป ดังนั้น ในที่นี้เจ้าจึงมองเห็นองค์พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปในนาในวันสะบาโต และว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ข้างนอกและไม่ได้ทรงหยุดพัก การกระทำนี้ของพระองค์เป็นที่ตกใจสำหรับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน และการกระทำนี้สื่อสารกับพวกเขาว่าพระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป และว่าพระองค์ทรงทิ้งเขตจำกัดของวันสะบาโตไว้เบื้องหลัง และทรงปรากฏต่อหน้ามวลมนุษย์และอยู่ท่ามกลางพวกเขาในพระฉายาใหม่ พร้อมทั้งวิธีใหม่ๆ ในการทรงพระราชกิจ การกระทำนี้ของพระองค์บอกผู้คนว่าพระองค์ทรงได้นำพระราชกิจใหม่มากับพระองค์ พระราชกิจที่เริ่มต้นด้วยการผุดขึ้นจากการอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ และการแยกจากวันสะบาโต เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงยึดติดกับอดีตอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบของยุคธรรมบัญญัติอีกต่อไป พระองค์ไม่ทรงได้รับผลกระทบจากพระราชกิจของพระองค์ในยุคก่อน แต่พระองค์ทรงพระราชกิจในวันสะบาโตเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำวันเว้นวันแทน และเมื่อสาวกของพระองค์หิวโหยในวันสะบาโต พวกเขาก็สามารถเด็ดรวงข้าวมากินได้ ทั้งหมดนี้เป็นปกติอย่างยิ่งในพระเนตรของพระเจ้า สำหรับพระเจ้า การมีจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับส่วนใหญ่ของพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำและพระวจนะใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะตรัสนั้นเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้ เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ พระองค์ไม่ทรงกล่าวถึงพระราชกิจก่อนหน้าของพระองค์ อีกทั้งไม่ทรงดำเนินพระราชกิจนั้นต่อไป เพราะพระเจ้าทรงมีหลักการของพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์จะเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะนำมวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ของพระราชกิจของพระองค์ และคือเวลาที่พระราชกิจของพระองค์จะเข้าสู่ระยะที่สูงกว่า หากผู้คนยังคงปฏิบัติตามคำกล่าวหรือกฎระเบียบเก่าๆ ต่อไป หรือยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นต่อไป พระองค์จะไม่ทรงจดจำหรือรับรองสิ่งนั้น นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ได้ทรงนำพระราชกิจใหม่มาแล้ว และได้ทรงเข้าสู่ระยะใหม่ของพระราชกิจของพระองค์แล้ว เมื่อพระองค์ทรงริเริ่มพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ด้วยพระฉายาใหม่โดยสิ้นเชิง จากมุมใหม่โดยสิ้นเชิง และในวิธีใหม่โดยสิ้นเชิง เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นแง่มุมที่แตกต่างของพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงยึดติดกับสิ่งเก่าๆ หรือทรงดำเนินบนเส้นทางที่คร่ำครึ เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจและตรัส พระองค์ไม่ทรงช่างห้ามปรามอย่างที่ผู้คนจินตนาการไว้ ในพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นอิสระและมีเสรีภาพ และไม่มีข้อห้าม ไม่มีการจำกัดใดๆ—สิ่งที่พระองค์ทรงนำมาสู่มวลมนุษย์คืออิสรภาพและเสรีภาพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่อย่างจริงแท้และแท้จริง พระองค์มิใช่หุ่นกระบอกหรือรูปปั้น และพระองค์ทรงแตกต่างจากรูปเคารพที่ผู้คนวางไว้บนหิ้งบูชาและนมัสการโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงพระชนม์และสว่างไสว และสิ่งที่พระวจนะและพระราชกิจของพระองค์นำมาสู่มวลมนุษย์คือชีวิตและความสว่างทั้งหมด อิสรภาพและเสรีภาพทั้งหมด เพราะพระองค์ทรงยึดถือความจริง ชีวิต และหนทาง—พระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดด้วยสิ่งใดๆ ในพระราชกิจใดๆ ของพระองค์ ไม่ว่าผู้คนจะพูดสิ่งใดและไม่ว่าพวกเขาจะมองเห็นหรือประเมินพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างไรก็ตาม พระองค์จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์โดยปราศจากความหวาดหวั่น พระองค์จะไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับมโนคติที่หลงผิดหรือการชี้นิ้วของผู้ใดก็ตามเกี่ยวกับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ หรือแม้กระทั่งการต่อต้านหรือการต้านทานอย่างรุนแรงของพวกเขาต่อพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ไม่มีผู้ใดท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมดที่สามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ จินตนาการของมนุษย์ ความรู้ หรือหลักศีลธรรมของมนุษย์เพื่อวัดหรือกำหนดนิยามสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ เพื่อทำให้เสื่อมเสีย ขัดขวาง หรือบ่อนทำลายพระราชกิจของพระองค์ได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในพระราชกิจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระราชกิจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงทำจะไม่ถูกจำกัดด้วยมนุษย์ เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ และจะไม่ถูกทำให้หยุดชะงักโดยพลังที่เป็นปรปักษ์ใดๆ เท่าที่เกี่ยวกับพระราชกิจใหม่ของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีชัยเสมอ และพลังที่เป็นปรปักษ์ใดๆ และความนอกรีตและความคิดที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดของมวลมนุษย์ถูกเหยียบย่ำภายใต้ที่รองพระบาทของพระองค์ ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในระยะใหม่ใด พระราชกิจนั้นจะได้รับการพัฒนาและขยายไปท่ามกลางมวลมนุษย์อย่างแน่นอน และจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีการขัดขวางทั่วทั้งจักรวาลจนกระทั่งพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์จะครบสมบูรณ์แล้วอย่างแน่นอน นี่คือความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระองค์ สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงสามารถเสด็จออกไปและทรงพระราชกิจในวันสะบาโตได้อย่างเปิดเผยเพราะในพระทัยของพระองค์ไม่มีกฎ ไม่มีความรู้หรือคำสอนใดที่กำเนิดขึ้นจากมวลมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีคือพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและหนทางแห่งพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์คือวิธีทำให้มวลมนุษย์เป็นอิสระ ปลดปล่อยผู้คน ทำให้พวกเขาอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิต ในขณะเดียวกัน พวกที่นมัสการรูปเคารพหรือเทพเจ้าเทียมเท็จใช้ชีวิตทุกๆ วันโดยที่ถูกผูกมัดด้วยซาตาน และถูกหน่วงเหนี่ยวด้วยกฎและข้อห้ามทุกประเภท—วันนี้สิ่งหนึ่งถูกห้าม พรุ่งนี้อีกสิ่งหนึ่งจะถูกห้าม—ในชีวิตของพวกเขาไม่มีอิสรภาพ พวกเขาเป็นเหมือนนักโทษในโซ่ตรวนที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีความชื่นบานให้กล่าวถึง “ข้อห้าม” เป็นตัวแทนของสิ่งใด? มันเป็นตัวแทนของข้อจำกัด พันธนาการ และความชั่ว ทันทีที่บุคคลหนึ่งนมัสการรูปเคารพ พวกเขาก็กำลังนมัสการเทพเจ้าเทียมเท็จ วิญญาณชั่ว ข้อห้ามเกิดขึ้นเมื่อมีการทำกิจกรรมเช่นนั้น เจ้าไม่สามารถกินสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น วันนี้เจ้าไม่สามารถออกไปข้างนอก พรุ่งนี้เจ้าไม่สามารถทำอาหาร วันต่อไปเจ้าไม่สามารถย้ายไปบ้านใหม่ ต้องเลือกวันที่แน่นอนเพื่อการแต่งงานและงานศพ และแม้กระทั่งเพื่อการคลอดบุตร สิ่งนี้เรียกว่าอะไร? สิ่งนี้เรียกว่าข้อห้าม มันเป็นเครื่องพันธนาการของมวลมนุษย์ และมันคือโซ่ตรวนของซาตานและบรรดาวิญญาณชั่วที่ควบคุมผู้คนและหน่วงเหนี่ยวหัวใจและร่างกายของพวกเขา ข้อห้ามเหล่านี้มีอยู่กับพระเจ้าหรือไม่? เมื่อพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อันดับแรกเจ้าควรนึกถึงสิ่งนี้: ไม่มีข้อห้ามกับพระเจ้า พระเจ้าทรงมีหลักการในพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ แต่ไม่มีข้อห้ามใดๆ เพราะพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นความจริง ทรงเป็นหนทาง และทรงเป็นชีวิต

ตอนนี้พวกเรามาดูบทตอนถัดไปจากข้อพระคัมภีร์กันเถิด: “แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มัทธิว 12:6-8) คำว่า “พระวิหาร” อ้างอิงถึงสิ่งใดในที่นี้? กล่าวอย่างง่ายๆ คือ คำนี้หมายถึงอาคารที่สูงส่งสง่างาม และในยุคธรรมบัญญัติ พระวิหารคือสถานที่ที่นักบวชมานมัสการพระเจ้า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่” คำว่า “ที่” อ้างอิงถึงผู้ใด? คำว่า “ที่” นี้หมายถึงองค์พระเยซูเจ้าในเนื้อหนังอย่างชัดเจน เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนว่าอย่างไร? พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนให้ออกมาจากพระวิหาร—พระเจ้าทรงออกมาจากพระวิหารแล้วและไม่ได้ทรงพระราชกิจในนั้นอีกต่อไป ดังนั้น ผู้คนจึงควรแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้านอกพระวิหาร และติดตามย่างก้าวของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์ มีข้อสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ นั่นคือ ภายใต้ธรรมบัญญัติ ผู้คนได้มามองเห็นพระวิหารว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าพระองค์เอง นั่นคือ ผู้คนนมัสการพระวิหารแทนที่จะนมัสการพระเจ้า ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนพวกเขาให้อย่านมัสการรูปเคารพ แต่นมัสการพระเจ้าแทน เพราะพระองค์ทรงอำนาจสูงสุด ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” เห็นได้ชัดเจนว่าในสายพระเนตรขององค์พระเยซูเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่เพียงแค่พลีอุทิศไปอย่างพอเป็นพิธี และองค์พระเยซูเจ้าตกลงพระทัยว่านี่ถือเป็นการนมัสการรูปเคารพ ผู้นมัสการรูปเคารพเหล่านี้เห็นว่าพระวิหารเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าพระเจ้า ในหัวใจของพวกเขามีเพียงพระวิหาร ไม่ใช่พระเจ้า และหากพวกเขาสูญเสียพระวิหารไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะสูญเสียที่อาศัยของพวกเขา หากปราศจากพระวิหาร พวกเขาก็ไม่มีที่ใดให้นมัสการ และไม่สามารถทำการพลีอุทิศของพวกเขาได้ สิ่งที่เรียกว่า “ที่อาศัย” ของพวกเขานั้นคือสถานที่ที่พวกเขาใช้การกล่าวอ้างเท็จถึงการนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อให้อยู่ในพระวิหารต่อไปและทำกิจการงานต่างๆ ของพวกเขาเอง สิ่งที่เรียกว่า “การพลีอุทิศ” ของพวกเขานั้นเป็นแค่การที่พวกเขากระทำการอันน่าอับอายส่วนตัวของตนเองภายใต้การแสร้งทำเป็นปรนนิบัติในพระวิหาร นี่คือเหตุผลที่ผู้คน ณ ขณะนั้นมองเห็นว่าพระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้เพื่อเป็นคำเตือนให้กับผู้คน เพราะพวกเขากำลังใช้พระวิหารเป็นฉากหน้า และใช้การพลีอุทิศเป็นฉากบังการคดโกงผู้คนและการคดโกงพระเจ้า หากเจ้านำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติกับปัจจุบัน พระวจนะเหล่านี้ยังคงใช้ได้เท่าเดิมและตรงประเด็นเท่าเดิม ถึงแม้ว่าผู้คนในวันนี้จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าที่แตกต่างจากที่ผู้คนในยุคธรรมบัญญัติได้รับประสบการณ์ แต่ธรรมชาติและแก่นแท้ของพระราชกิจเหล่านั้นเหมือนกัน ในบริบทของพระราชกิจในวันนี้นั้น ผู้คนยังคงทำสิ่งต่างๆ ในประเภทเดียวกับที่ถูกแสดงแทนด้วยคำว่า “พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” ตัวอย่างเช่น ผู้คนมองเห็นว่าการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงคืองานของตน พวกเขามองเห็นว่าการเป็นพยานต่อพระเจ้าและการต่อสู้กับพญานาคใหญ่สีแดงคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิมนุษย์ เพื่อประชาธิปไตยและอิสรภาพ พวกเขาเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาเป็นการใช้ทักษะของพวกเขาในอาชีพการงาน แต่พวกเขาปฏิบัติต่อการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเสมือนไม่ใช่สิ่งใดนอกจากคำสอนอย่างหนึ่งทางศาสนาที่ควรทำตาม เป็นต้น โดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เหมือนกับคำว่า “พระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” หรอกหรือ? ความแตกต่างคือ เมื่อสองพันปีก่อน ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารทางกายภาพ แต่วันนี้ ผู้คนทำกิจธุระส่วนตัวของตนในพระวิหารที่ไม่อาจจับต้องได้ ผู้คนที่ให้คุณค่ากับกฎเหล่านั้นมองเห็นว่ากฎยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักสถานะเหล่านั้นมองเห็นว่าสถานะยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ผู้คนที่รักอาชีพการงานของตนเหล่านั้นมองเห็นว่าอาชีพการงานยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า และอื่นๆ อีกมากมาย—การแสดงออกของพวกเขาทั้งหมดทำให้เรากล่าวว่า “ผู้คนสรรเสริญพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยผ่านทางคำพูดของพวกเขา แต่ในสายตาของพวกเขา ทุกสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า” นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่ผู้คนพบโอกาสที่จะแสดงพรสวรรค์ของตนเอง หรือทำกิจธุระของตนเองหรือประกอบอาชีพการงานของตนเองตามเส้นทางในการติดตามพระเจ้าของตน พวกเขาเว้นระยะห่างของตัวพวกเขาเองจากพระเจ้า และทุ่มเทตนเองในอาชีพการงานที่ตนรัก ส่วนสิ่งที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้กับพวกเขาและน้ำพระทัยของพระองค์นั้น สิ่งเหล่านั้นได้ถูกละทิ้งไปนานแล้ว สภาวะของผู้คนเหล่านี้กับบรรดาผู้ที่ทำกิจธุระของตนในพระวิหารเมื่อสองพันปีก่อนมีความแตกต่างกันอย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี

10. การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี มาระโก 3:21-22 เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นี้ ก็ออกไปรั้งพระองค์ไว้...

พระวจนะของพระเยซูถึงบรรดาสาวกของพระองค์หลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์

ยอห์น 20:26-29 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger