การเทศนาบนภูเขา คำอุปมาขององค์พระเยซูเจ้า และพระบัญญัติ
6. คำเทศนาบนภูเขา
ผู้เป็นสุข (มัทธิว 5:3-12)
เกลือและความสว่าง (มัทธิว 5:13-16)
ธรรมบัญญัติ (มัทธิว 5:17-20)
ความโกรธ (มัทธิว 5:21-26)
การล่วงประเวณี (มัทธิว 5:27-30)
การหย่าร้าง (มัทธิว 5:31-32)
การสาบาน (มัทธิว 5:33-37)
การตอบแทน (มัทธิว 5:38-42)
จงรักศัตรู (มัทธิว 5:43-48)
การทำทาน (มัทธิว 6:1-4)
การอธิษฐาน (มัทธิว 6:5-8)
7. นิทานอุปมาขององค์พระเยซูเจ้า
อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (มัทธิว 13:1-9)
อุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:24-30)
อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (มัทธิว 13:31-32)
อุปมาเรื่องเชื้อขนม (มัทธิว 13:33)
การทรงอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:36-43)
อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ (มัทธิว 13:44)
อุปมาเรื่องไข่มุก (มัทธิว 13:45-46)
อุปมาเรื่องอวน (มัทธิว 13:47-50)
8. พระบัญญัติ
มัทธิว 22:37-39 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’”
อันดับแรก พวกเรามาดูที่แต่ละส่วนของ “คำเทศนาบนภูเขา” กัน ส่วนที่แตกต่างกันเหล่านี้กล่าวถึงเรื่องใด? สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าเนื้อหาของส่วนต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดยกระดับขึ้นมากกว่า เป็นรูปธรรมมากกว่า และใกล้ชิดกับชีวิตของผู้คนมากกว่ากฎระเบียบของยุคธรรมบัญญัติ ถ้าพูดในภาษาสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติจริงของผู้คนมากกว่า
พวกเรามาอ่านเนื้อหาเฉพาะดังต่อไปนี้กัน: เจ้าควรเข้าใจเกี่ยวกับผู้เป็นสุขว่าอย่างไร? เจ้าควรรู้อะไรเกี่ยวกับธรรมบัญญัติ? ความกริ้วควรได้รับการกำหนดนิยามอย่างไร? ผู้ล่วงประเวณีควรได้รับการจัดการอย่างไร? การหย่าควรได้รับการพูดถึงอย่างไร และมีกฎชนิดใดเกี่ยวกับเรื่องนี้? ใครสามารถหย่าได้ และใครไม่สามารถหย่าได้? แล้วการสาบาน การตอบแทน การรักศัตรู และการทำทานเล่าเป็นอย่างไร? เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของการปฏิบัติในความเชื่อพระเจ้าของมวลมนุษย์ และการปฏิบัติในการติดตามพระเจ้าของพวกเขา การปฏิบัติเหล่านี้มีบางส่วนยังคงสามารถใช้ได้ในวันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งเท่ากับสิ่งที่พึงประสงค์จากผู้คนในปัจจุบันนี้ก็ตาม—สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่ค่อนข้างอยู่ในขั้นต้น ซึ่งผู้คนพบในความเชื่อพระเจ้าของพวกเขา นับจากเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นปฏิบัติพระราชกิจ พระองค์ทรงเริ่มต้นดำเนินพระราชกิจเกี่ยวกับอุปนิสัยในชีวิตของพวกมนุษย์แล้ว แต่แง่มุมเหล่านี้ของพระราชกิจของพระองค์มีพื้นฐานมาจากรากฐานของธรรมบัญญัติ กฎและวิธีการพูดเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับความจริงหรือไม่? แน่นอนว่ามี! กฎระเบียบและหลักการก่อนหน้าทั้งหมด อีกทั้งคำเทศนาในยุคพระคุณเหล่านี้ ต่างสัมพันธ์กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และแน่นอนว่าสัมพันธ์กับความจริงด้วย ไม่ว่าพระเจ้าทรงแสดงออกสิ่งใด และไม่ว่าวิธีการแสดงออกหรือภาษาที่พระองค์ใช้จะเป็นแบบใดก็ตาม สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกทั้งหมดต่างมีรากฐาน จุดกำเนิด และจุดเริ่มต้นของมันมาจากหลักการของพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น นี่เป็นความจริงอย่างแน่นอน ดังนั้น ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ตรัสดูเหมือนจะตื้นเขินเล็กน้อยในตอนนี้ แต่เจ้าก็ยังคงไม่สามารถพูดได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้คนในยุคพระคุณในการที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ผลในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขา เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าในคำเทศนาเหล่านี้มีคำเทศนาหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง? ไม่ เจ้าพูดไม่ได้! ทุกๆ คำเทศนาเหล่านี้คือความจริง เพราะทั้งหมดเป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ ทั้งหมดเป็นหลักการและขอบเขตที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนเราควรปฏิบัติตัวเองอย่างไร และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถยอมรับและจับใจความได้ ตามระดับของการเติบโตในชีวิตของพวกเขา ณ ขณะนั้น เพราะบาปของมวลมนุษย์ยังไม่ได้รับการแก้ไข พระวจนะเหล่านี้จึงเป็นพระวจนะเดียวที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสามารถออกได้ และพระองค์ทรงสามารถใช้ได้เพียงคำสอนที่เรียบง่ายที่อยู่ในขอบเขตประเภทนี้เพื่อบอกผู้คนในขณะนั้นว่าพวกเขาควรกระทำอย่างไร พวกเขาควรทำอะไร พวกเขาควรทำสิ่งต่างๆ ภายในหลักการและขอบเขตใด และพวกเขาควรเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างไร ทั้งหมดนี้ได้รับการกำหนดโดยมีพื้นฐานมาจากวุฒิภาวะของมวลมนุษย์ ณ ขณะนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติที่จะยอมรับคำสอนเหล่านี้ ดังนั้น สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนจึงต้องอยู่ภายในขอบเขตนี้
อันดับต่อไป พวกเรามาดูเนื้อหาต่างๆ ของ “นิทานอุปมาขององค์พระเยซูเจ้า” กัน
เรื่องแรกคืออุปมาเรื่องผู้หว่านพืช นิทานอุปมานี้มีความน่าสนใจอย่างมาก การหว่านพืชเป็นเหตุการณ์ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตของผู้คน เรื่องที่สองคืออุปมาเรื่องข้าวละมาน ผู้ใดก็ตามที่ปลูกพืชผล และแน่นอนว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะรู้ว่า “ข้าวละมาน” คืออะไร เรื่องที่สามคืออุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด พวกเจ้าทุกคนรู้ว่ามัสตาร์ดคืออะไร ใช่หรือไม่? หากเจ้าไม่รู้ เจ้าสามารถดูในพระคัมภีร์ได้ นิทานอุปมาเรื่องที่สี่คืออุปมาเรื่องเชื้อขนม ตอนนี้ คนส่วนใหญ่รู้ว่ามีการใช้เชื้อขนมเพื่อการหมัก และรู้ว่ามันคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา นิทานอุปมาต่อไป ซึ่งรวมถึงเรื่องที่หก อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ เรื่องที่เจ็ด อุปมาเรื่องไข่มุก และเรื่องที่แปด อุปมาเรื่องอวน ทั้งหมดต่างนำมาจากและมีต้นกำเนิดมาจากชีวิตจริงของผู้คน นิทานอุปมาเหล่านี้วาดรูปภาพแบบใด? รูปภาพนี้เป็นรูปภาพของพระเจ้าที่ทรงกลายเป็นบุคคลปกติและดำรงพระชนม์ชีพอยู่เคียงข้างมวลมนุษย์ โดยใช้ภาษาของชีวิต ภาษาแบบมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับมนุษย์และเพื่อจัดหาสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีให้กับพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์เป็นเวลานาน หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์และเป็นประจักษ์พยานวิถีชีวิตที่หลากหลายของผู้คนแล้ว ประสบการณ์เหล่านี้ก็ได้กลายเป็นเนื้อหาการสอนที่พระองค์ทรงแปลงจากภาษาแบบพระเจ้าของพระองค์มาเป็นภาษาแบบมนุษย์ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ทอดพระเนตรและทรงได้ยินในชีวิตยังได้ประเทืองประสบการณ์แบบมนุษย์ของบุตรมนุษย์ด้วยเช่นกัน เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความจริงบางอย่าง ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้าง เช่นนั้นแล้วพระองค์จึงทรงสามารถใช้นิทานอุปมาที่คล้ายคลึงกับนิทานอุปมาข้างต้นเพื่อบอกผู้คนเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์ นิทานอุปมาเหล่านี้ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน ไม่มีนิทานอุปมาสักเรื่องเดียวที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับมวลมนุษย์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชาวนาดูแลไร่นาของตน และพระองค์ทรงรู้ว่าข้าวละมานคืออะไร และเชื้อขนมคืออะไร พระองค์เข้าพระทัยว่ามนุษย์รักขุมทรัพย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงใช้การอุปมาเกี่ยวกับทั้งขุมทรัพย์และไข่มุก ในชีวิต พระองค์ทรงเห็นชาวประมงลากอวนของตน องค์พระเยซูเจ้าทรงมองเห็นสิ่งนี้และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ และพระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตประเภทนั้นด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับกิจวัตรประจำวันของมนุษย์และการรับประทานอาหารวันละสามมื้อของพวกเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ปกติอื่นๆ ทุกคน พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับชีวิตของคนทั่วไปด้วยพระองค์เอง และได้ทรงสังเกตชีวิตของผู้อื่น เมื่อพระองค์ทรงสังเกตและได้รับประสบการณ์กับทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองแล้ว สิ่งที่พระองค์มีพระดำริถึงไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร หรือพระองค์จะสามารถดำรงพระชนม์ชีพอย่างเป็นอิสระและสะดวกสบายมากขึ้นได้อย่างไร แทนที่จะเป็นเช่นนั้น องค์พระเยซูเจ้ากลับทอดพระเนตรเห็นความยากลำบากในชีวิตของผู้คนจากประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ที่เป็นของแท้ของพระองค์ พระองค์ทรงมองเห็นความยากลำบาก เคราะห์ร้าย และความโศกเศร้าของผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานและใช้ชีวิตแห่งบาปใต้ความเสื่อมทรามของซาตาน ในขณะที่พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ว่าผู้คนที่ไร้ที่พึ่งคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสื่อมทรามอย่างไร และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นและได้รับประสบการณ์กับสภาวะที่ทุกข์ยากของพวกมนุษย์ที่ใช้ชีวิตในบาป ผู้สูญเสียทุกการชี้นำท่ามกลางความทรมานที่ซาตานและความชั่วควบคุมให้เกิดกับพวกเขา เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงมองเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยเทวสภาพของพระองค์หรือสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์? สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ปรากฏอยู่จริงๆ และมีชีวิตอยู่อย่างยิ่ง พระองค์ทรงสามารถรับประสบการณ์และทอดพระเนตรสิ่งทั้งหมดนี้ แต่แน่นอนว่าพระองค์ยังทรงมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในเนื้อแท้ของพระองค์ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือเทวสภาพของพระองค์ นั่นคือ พระคริสต์พระองค์เอง องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์ทรงมองเห็นสิ่งนี้ และทุกสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรทำให้พระองค์ทรงรู้สึกถึงความสำคัญและความจำเป็นของพระราชกิจที่พระองค์ทรงได้ปฏิบัติในระหว่างช่วงเวลาที่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังนี้ ถึงแม้ว่าพระองค์เองทรงทราบว่าความรับผิดชอบที่พระองค์ทรงต้องรับในเนื้อหนังนั้นมหาศาลนัก และพระองค์ทรงทราบว่าความเจ็บปวดที่พระองค์จะทรงเผชิญจะโหดร้ายเพียงใด เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นมนุษย์ไร้ที่พึ่งในบาป เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเคราะห์ร้ายของชีวิตของพวกเขาและความดิ้นรนอย่างอ่อนแรงภายใต้ธรรมบัญญัติของพวกเขา พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และกลับกลายเป็นวิตกกังวลที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป ไม่ว่าพระองค์จะทรงเผชิญกับความลำบากยากเย็นแบบใด หรือพระองค์จะทรงทนทุกข์กับความเจ็บปวดแบบใด พระองค์ทรงกลับกลายเป็นตัดสินพระทัยแน่วแน่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะไถ่มวลมนุษย์ผู้กำลังใช้ชีวิตอยู่ในบาป ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าสามารถพูดได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเริ่มเข้าพระทัยพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงปฏิบัติและสิ่งที่พระองค์ทรงได้รับมอบหมายมากขึ้นและชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จะปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์จะต้องทรงปฏิบัติ—การรับบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ การไถ่โทษให้กับมวลมนุษย์เพื่อให้พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปอีกต่อไป และในขณะเดียวกัน พระเจ้าจะสามารถประทานอภัยให้กับบาปของมนุษย์เพราะเครื่องบูชาลบล้างบาป ทำให้พระองค์ทรงพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์เพิ่มเติมได้ต่อไป สามารถกล่าวได้ว่าในพระทัยขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์เต็มพระทัยที่จะสละพระองค์เองเพื่อมวลมนุษย์ ที่จะพลีอุทิศพระองค์เอง พระองค์ยังเต็มพระทัยที่จะทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ที่จะถูกตรึงที่กางเขน และพระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะทำพระราชกิจนี้ให้ครบบริบูรณ์โดยแท้ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นสภาวะที่ทุกข์ยากของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงต้องประสงค์ยิ่งขึ้นไปอีกที่จะทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงโดยเร็วที่สุด โดยไม่ให้ล่าช้าสักนาทีเดียวหรือแม้เพียงหนึ่งวินาที เมื่อทรงรู้สึกถึงความเร่งด่วนเช่นนั้น พระองค์จึงไม่มีพระดำริว่าความเจ็บปวดของพระองค์เองจะมากเพียงใด อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเก็บงำการจับความเพิ่มเติมใดๆ ว่าพระองค์จะทรงต้องทนฝ่าการเหยียดหยามเพียงใด พระองค์ทรงมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าเพียงอย่างเดียวในพระทัยของพระองค์: ตราบเท่าที่พระองค์ทรงมอบถวายพระองค์เอง ตราบเท่าที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป เช่นนั้นแล้วน้ำพระทัยของพระเจ้าก็จะได้รับการดำเนินการ และพระเจ้าก็จะทรงสามารถเริ่มพระราชกิจใหม่ได้ ชีวิตของมวลมนุษย์และสภาวะการดำรงอยู่ในบาปของพวกเขาจะถูกแปลงรูปไปโดยสิ้นเชิง ความมั่นใจอย่างแรงกล้าของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งมั่นจะทำนั้นสัมพันธ์กับการช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าทรงสามารถเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในช่วงระยะถัดไปได้สำเร็จ นี่คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจขององค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้น
เมื่อดำรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ทรงมีอารมณ์และเหตุผลของบุคคลที่ปกติ พระองค์ทรงรู้ว่าความสุขคือสิ่งใด ความเจ็บปวดคือสิ่งใด และเมื่อพระองค์ทรงมองเห็นมวลมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในชีวิตประเภทนี้ พระองค์ทรงรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าแค่การให้คำสอนบางอย่างแก่ผู้คน การจัดเตรียมบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขา หรือการสอนบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขาคงจะไม่เพียงพอที่จะนำพวกเขาออกจากบาปได้ แค่การทำให้พวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติก็ไม่สามารถไถ่พวกเขาจากบาปเช่นกัน—มีเพียงเมื่อพระองค์ทรงรับบาปของมนุษยชาติและกลายเป็นความเสมือนของเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยบาปเท่านั้นที่พระองค์จะทรงสามารถรับชัยชนะเป็นเสรีภาพของมวลมนุษย์และการให้อภัยมวลมนุษย์ของพระเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน ดังนั้น หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงได้รับประสบการณ์และเป็นประจักษ์พยานต่อชีวิตในบาปของผู้คนแล้ว พระประสงค์อันแรงกล้าอย่างหนึ่งจึงเกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์—การทำให้พวกมนุษย์สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากชีวิตแห่งการดิ้นรนในบาปของพวกเขา พระประสงค์นี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพระองค์ทรงต้องไปที่กางเขนและรับบาปของมนุษย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งเหล่านี้คือพระดำริขององค์พระเยซูเจ้า ณ ขณะนั้น หลังจากที่พระองค์ได้ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คน และได้ทอดพระเนตร ได้ทรงสดับ และได้ทรงรู้สึกถึงความทุกข์เข็ญของชีวิตในบาปของพวกเขาแล้ว การที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์สามารถมีน้ำพระทัยแบบนี้เพื่อมวลมนุษย์ การที่พระองค์ทรงสามารถแสดงออกและเผยถึงพระอุปนิสัยประเภทนี้—นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปสามารถมีได้หรือไม่? คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมประเภทนี้จะเห็นเป็นอย่างไร? พวกเขาจะคิดอะไร? หากคนทั่วไปเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเขาจะมองดูปัญหาจากมุมมองที่อยู่สูงหรือไม่? แน่นอนว่าไม่! ถึงแม้ว่าการทรงปรากฏภายนอกของพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะเหมือนกับมนุษย์อย่างแน่ชัด และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเรียนรู้ความรู้ของมนุษย์และพูดภาษาของมนุษย์ และแม้กระทั่งทรงแสดงออกถึงแนวความคิดของพระองค์โดยผ่านทางวิธีการหรือลักษณะการพูดของมวลมนุษย์เองในบางครั้ง กระนั้น วิธีการที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกมนุษย์และทอดพระเนตรเห็นเนื้อแท้ของสิ่งต่างๆ ก็ไม่เหมือนกับวิธีที่ผู้คนที่เสื่อมทรามมองเห็นมวลมนุษย์และเนื้อแท้ของสิ่งต่างๆ มุมมองของพระองค์และจุดสูงที่พระองค์ประทับยืนคือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่เสื่อมทรามไม่สามารถบรรลุไปถึงได้ นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง เพราะเนื้อหนังที่พระองค์ทรงสวมใส่ก็ครอบครองเนื้อแท้ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน และพระดำริและสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์แสดงออกก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน สำหรับผู้คนที่เสื่อมทราม สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกในเนื้อหนังคือการจัดเตรียมความจริง และการจัดเตรียมชีวิต การจัดเตรียมเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อบุคคลหนึ่งคน แต่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหมด ในหัวใจของบุคคลที่เสื่อมทรามคนใดก็ตาม มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาใส่ใจและกังวลแค่กับผู้คนหยิบมือนี้เท่านั้น เมื่อความวิบัติจะเกิดขึ้นในไม่ช้า พวกเขาคิดถึงบุตรหลาน คู่ครอง หรือบิดามารดาของพวกเขาเป็นอันดับแรก อย่างมากที่สุด บุคคลที่มีความสงสารเห็นใจมากกว่าคงจะเผื่อความคิดไปถึงญาติหรือเพื่อนที่ดีบางคนอยู่บ้าง แต่ความคิดของบุคคลที่สงสารเห็นใจเช่นนั้นขยายไปเกินกว่านั้นหรือไม่? ไม่มีวัน! เพราะในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และพวกเขาสามารถเพียงมองดูทุกสิ่งได้จากจุดสูงและมุมมองของมนุษย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงแตกต่างจากมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะธรรมดาเพียงใด จะปกติเพียงใด จะต่ำต้อยเพียงใด หรือแม้ผู้คนจะดูถูกพระองค์ด้วยการดูหมิ่นใด พระดำริของพระองค์และท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถครอบครองได้ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเอาอย่างได้ พระองค์จะทรงสังเกตมวลมนุษย์จากมุมมองของเทวสภาพเสมอ จากจุดสูงของฐานะของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง พระองค์จะทอดพระเนตรมวลมนุษย์โดยผ่านทางเนื้อแท้และกรอบความคิดของพระเจ้าเสมอ พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรมวลมนุษย์จากจุดที่ต่ำต้อยของบุคคลทั่วไป หรือจากมุมมองของบุคคลที่เสื่อมทราม เมื่อผู้คนมองดูมวลมนุษย์ พวกเขามองดูด้วยวิสัยทัศน์ของมนุษย์ และพวกเขาใช้สิ่งต่างๆ เช่น ความรู้ของมนุษย์และกฎและทฤษฎีของมนุษย์มาเป็นตัววัดของพวกเขา สิ่งนี้อยู่ภายในขอบเขตของสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นด้วยตาของพวกเขา และขอบเขตที่ผู้คนที่เสื่อมทรามสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรมวลมนุษย์ พระองค์ทอดพระเนตรด้วยนิมิตของพระเจ้า และพระองค์ทรงใช้เนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นมาเป็นตัววัด ขอบเขตนี้รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ และนี่คือจุดที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์และมนุษย์ที่เสื่อมทรามแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างนี้กำหนดด้วยเนื้อแท้ที่แตกต่างกันของมนุษย์และพระเจ้า—เนื้อแท้ที่แตกต่างกันเหล่านี้นี่เองที่กำหนดอัตลักษณ์และฐานะของมนุษย์และพระเจ้า ตลอดจนมุมมองและจุดสูงที่มนุษย์และพระเจ้าใช้มองดูสิ่งต่างๆ พวกเจ้ามองเห็นการแสดงออกและการเปิดเผยของพระเจ้าพระองค์เองในองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่? เจ้าสามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำและตรัสนั้นสัมพันธ์กับพันธกิจของพระองค์และพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าพระองค์เอง ว่าทั้งหมดนั้นคือการแสดงออกและการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีการสำแดงแบบมนุษย์ แต่เนื้อแท้ที่เป็นเทวสภาพของพระองค์และการเปิดเผยถึงเทวสภาพของพระองค์เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ การสำแดงแบบมนุษย์นี้เป็นการสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์จริงๆ หรือไม่? การสำแดงแบบมนุษย์ของพระองค์โดยเนื้อแท้จริงๆ แล้วแตกต่างจากการสำแดงแบบมนุษย์ของผู้คนที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ หากพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในผู้คนเสื่อมทรามที่ปกติธรรมดา พระองค์จะสามารถทอดพระเนตรเห็นชีวิตในบาปของมวลมนุษย์จากมุมมองของพระเจ้าได้หรือ? ไม่อย่างแน่นอน! นี่คือความแตกต่างระหว่างบุตรมนุษย์และผู้คนปกติธรรมดา ผู้คนที่เสื่อมทรามทั้งหมดล้วนใช้ชีวิตในบาป และเมื่อมีใครก็ตามมองเห็นบาป พวกเขาไม่มีความรู้สึกที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เกี่ยวกับมัน พวกเขาทั้งหมดเป็นแบบเดียวกัน เหมือนกับหมูที่ใช้ชีวิตในโคลนและไม่รู้สึกว่าไม่สบายใจหรือสกปรกแต่อย่างใดเลย—ในทางตรงกันข้าม มันกลับกินได้ดีและนอนหลับได้สนิท หากมีคนทำความสะอาดเล้าหมู อันที่จริงหมูจะรู้สึกกระสับกระส่าย และมันจะไม่อยู่อย่างสะอาดต่อไป ไม่นานนัก มันจะกลิ้งเกลือกในโคลนไปทั่วอีกครั้ง รู้สึกสบายใจเต็มที่เพราะมันคือสิ่งทรงสร้างที่โสโครก พวกมนุษย์มองว่าหมูโสโครก แต่หากเจ้าทำความสะอาดที่อยู่อาศัยของหมู มันจะไม่รู้สึกดีขึ้นเลย—นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีผู้ใดเลี้ยงหมูไว้ในบ้านของพวกเขา วิธีที่มนุษย์มองหมูจะแตกต่างจากวิธีที่หมูมันรู้สึกเองเสมอ เพราะพวกมนุษย์และหมูไม่ได้เป็นชนิดเดียวกัน และเพราะบุตรมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาไม่ทรงเป็นชนิดเดียวกับมนุษย์ที่เสื่อมทราม จึงมีเพียงพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถประทับยืนที่มุมมองของพระเจ้า ที่จุดสูงของพระเจ้าที่พระองค์ทอดพระเนตรมวลมนุษย์และทุกสิ่งทุกอย่างจากจุดนั้น
ความทุกข์แบบใดที่พระเจ้าทรงได้รับประสบการณ์เมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์? ความทุกข์นี้คืออะไร? มีใครเข้าใจจริงๆ หรือไม่? บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง ว่าถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ผู้คนก็ไม่เข้าใจเนื้อแท้ของพระองค์ แต่มีแนวโน้มจะปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกและถูกกระทำผิด—พวกเขาพูดว่าเพราะเหตุผลเหล่านี้ ความทุกข์ของพระเจ้าจึงยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อีกคนพูดว่าพระเจ้าทรงไร้เดียงสาและปราศจากบาป แต่ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์ในแบบเดียวกับมวลมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์จากการข่มเหง การให้ร้าย และการเสียเกียรติเคียงข้างมวลมนุษย์ พวกเขาพูดว่าพระเจ้ายังทรงทนต่อความเข้าใจผิดและการไม่เชื่อฟังของบรรดาผู้ติดตามของพระองค์อีกด้วย—ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงพูดว่าความทุกข์ของพระเจ้านั้นไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่ได้เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง อันที่จริงแล้ว ความทุกข์ที่พวกเจ้าพูดถึงนี้ไม่ได้นับว่าเป็นความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับพระเจ้า เพราะมีความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เช่นนั้นแล้ว ความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับพระเจ้าพระองค์เองคือสิ่งใด? ความทุกข์ที่แท้จริงสำหรับเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์คือสิ่งใด? สำหรับพระเจ้า การที่มวลมนุษย์ไม่เข้าใจพระองค์นั้นไม่นับเป็นความทุกข์ และผู้คนที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้างและไม่มองว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าก็ไม่นับเป็นความทุกข์เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผู้คนมักรู้สึกว่าพระเจ้าทรงต้องเคยได้ทนทุกข์กับความอยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ ว่าในช่วงระหว่างเวลาที่พระเจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ไม่ทรงสามารถแสดงตัวตนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ และว่าพระเจ้ากำลังทรงซ่อนเร้นอย่างถ่อมพระทัยในเนื้อหนังที่ไม่มีนัยสำคัญ และว่าสิ่งนี้ต้องเป็นความทรมานที่ยิ่งใหญ่สำหรับพระองค์ ผู้คนเชื่อในสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจและสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นเกี่ยวกับความทุกข์ของพระเจ้าอย่างสุดใจ และถวายความเห็นอกเห็นใจทุกชนิดให้กับพระเจ้า และกระทั่งจะถวายการสรรเสริญเล็กน้อยให้กับความทุกข์ของพระองค์อยู่บ่อยครั้ง ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกัน มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ผู้คนเข้าใจเกี่ยวกับความทุกข์ของพระเจ้ากับสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกจริงๆ เรากำลังบอกความจริงกับพวกเจ้า—สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าหรือเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ ความทุกข์ที่พรรณนามาข้างต้นไม่ใช่ความทุกข์ที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงทนทุกข์จริงๆ คือสิ่งใด? พวกเรามาพูดถึงความทุกข์ของพระเจ้าจากมุมมองของพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้นกันเถิด
เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเปลี่ยนเป็นบุคคลปกติทั่วไปและดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างผู้คนท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น พระองค์ไม่ทรงสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงวิธีการ กฎ และปรัชญาการใช้ชีวิตของผู้คนหรอกหรือ? วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร? พระองค์ทรงรู้สึกเกลียดชังในพระทัยของพระองค์หรือไม่? เหตุใดพระองค์จึงทรงรู้สึกเกลียดชัง? วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตของมวลมนุษย์มีอะไรบ้าง? วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตเหล่านี้มีรากเหง้าในหลักการใด? วิธีการและกฎในการใช้ชีวิตเหล่านี้มีพื้นฐานบนสิ่งใด? วิธีการ กฎ และสิ่งอื่นๆ ของมวลมนุษย์ตามที่สัมพันธ์กับวิธีการใช้ชีวิตนั้น—ทั้งหมดนี้ได้รับการสร้างขึ้นบนพื้นฐานแห่งตรรกะ ความรู้ และปรัชญาของซาตาน พวกมนุษย์ที่ใช้ชีวิตภายใต้กฎประเภทเหล่านี้ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ไม่มีความจริง—พวกเขาทั้งหมดต่างประณามความจริงและเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า หากเราดูที่เนื้อแท้ของพระเจ้า เราจะมองเห็นว่าเนื้อแท้ของพระองค์ตรงกันข้ามกับตรรกะ ความรู้ และปรัชญาของซาตานโดยสิ้นเชิง เนื้อแท้ของพระองค์เต็มไปด้วยความชอบธรรม ความจริง และความบริสุทธิ์ และความเป็นจริงอื่นๆ ของทุกสรรพสิ่งที่เป็นบวก พระเจ้าผู้ทรงครอบครองเนื้อแท้นี้และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์เช่นนั้นทรงรู้สึกอย่างไร? พระองค์ทรงรู้สึกอะไรในพระทัยของพระองค์? พระทัยของพระองค์ไม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรอกหรือ? พระทัยของพระองค์เจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ไม่มีบุคคลใดสามารถเข้าใจหรือได้รับประสบการณ์ได้ นี่เป็นเพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญ ทรงพบปะ ทรงสดับ ทอดพระเนตร และทรงได้รับประสบการณ์คือความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทั้งหมด ความชั่ว และความกบฏต่อความจริงและการต้านทานความจริงของพวกเขา ทั้งหมดที่มาจากมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความทุกข์ของพระองค์ นั่นจึงกล่าวได้ว่า เพราะเนื้อแท้ของพระองค์ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ที่เสื่อมทราม ความเสื่อมทรามของพวกมนุษย์จึงกลายมาเป็นแหล่งกำเนิดของความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงสามารถพบใครบางคนที่มีภาษาเดียวกันกับพระองค์หรือไม่? บุคคลเช่นนั้นไม่สามารถพบได้ท่ามกลางมวลมนุษย์ ไม่สามารถพบผู้ใดที่สามารถสื่อสารหรือสามารถมีการโต้ตอบแลกเปลี่ยนนี้กับพระเจ้าได้—เจ้าจะพูดว่าพระเจ้าทรงมีความรู้สึกแบบใดเกี่ยวกับเรื่องนี้? สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนหารือ รัก ไล่ตามเสาะหา และถวิลหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของบาปและความชั่ว เมื่อพระเจ้าทรงเผชิญกับสิ่งทั้งหมดนี้ นี่มันไม่เหมือนกับมีดที่ทิ่มแทงพระทัยของพระองค์หรือ? เมื่อพระองค์ทรงเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ พระองค์จะทรงสามารถมีความชื่นบานในพระทัยของพระองค์ได้หรือไม่? พระองค์จะทรงสามารถพบการปลอบโยนได้หรือไม่? บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตกับพระองค์คือพวกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความกบฏและความชั่ว—พระทัยของพระองค์จะไม่ทนทุกข์ได้อย่างไร? ความทุกข์นี้จริงๆ แล้วยิ่งใหญ่เพียงใด และใครใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้? ใครที่เอาใจใส่? และใครที่สามารถซึ้งคุณค่าถึงเรื่องนี้? ผู้คนไม่มีหนทางที่จะทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้า ความทุกข์ของพระองค์คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถซึ้งคุณค่าอย่างเฉพาะเจาะจงได้ และความเย็นชาและความด้านชาของสภาวะความเป็นมนุษย์ทำให้ความทุกข์ของพระเจ้าดิ่งลึกยิ่งขึ้นไปอีก
มีบางคนที่มักเห็นอกเห็นใจกับสภาพเลวร้ายของพระคริสต์ เพราะมีวรรคหนึ่งในพระคัมภีร์ที่เขียนว่า: “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาเก็บเอาไปคิดและเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงทนฝ่า และความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระคริสต์ทรงทนฝ่า ตอนนี้ เมื่อดูจากมุมมองของข้อเท็จจริง มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่? ไม่ พระเจ้าไม่ทรงเชื่อว่าความลำบากยากเย็นเหล่านี้เป็นความทุกข์ พระองค์ไม่เคยทรงร่ำไห้จากความอยุติธรรมเพราะความลำบากยากเย็นของเนื้อหนังของพระองค์ และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้พวกมนุษย์ต้องชดใช้หรือให้รางวัลใดก็ตามกับพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์และชีวิตที่เสื่อมทรามและความชั่วของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เมื่อพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานว่ามวลมนุษย์อยู่ในเงื้อมมือของซาตานและถูกซาตานกักขังและไม่สามารถหนีรอดได้ ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในบาปไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร พระองค์ไม่ทรงสามารถทนยอมรับบาปทั้งหมดเหล่านี้ได้ ความเกลียดชังพวกมนุษย์ของพระองค์เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน แต่พระองค์ต้องทรงทนฝ่าทั้งหมดนี้ นี่คือความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงสามารถแสดงออกแม้กระทั่งพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์หรืออารมณ์ของพระองค์ท่ามกลางผู้ติดตามของพระองค์ และไม่มีผู้ใดท่ามกลางผู้ติดตามของพระองค์ที่สามารถเข้าใจความทุกข์ของพระองค์อย่างแท้จริง ไม่มีผู้ใดที่แม้กระทั่งพยายามที่จะทำความเข้าใจหรือทำให้พระองค์สบายพระทัยของพระองค์ ซึ่งทนฝ่าต่อความทุกข์นี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า และซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเจ้ามองเห็นอะไรในทั้งหมดนี้? พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์สิ่งใดก็ตามจากพวกมนุษย์เป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้ แต่เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงสามารถทนยอมรับความชั่ว ความเสื่อมทราม และบาปของมวลมนุษย์ได้โดยสิ้นเชิง และกลับทรงรู้สึกถึงความเกลียดชังและความเกลียดอย่างสุดขีดแทน ซึ่งทำให้พระทัยของพระเจ้าและเนื้อหนังของพระองค์ทนฝ่าความทุกข์ไม่รู้จบ พวกเจ้าเคยมองเห็นสิ่งนี้หรือไม่? ที่มีแนวโน้มที่สุดคือ ไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้ เพราะไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถเข้าใจพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าควรจะได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ทีละน้อยๆ ด้วยตัวเจ้าเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ