การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

ประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเจ้าในการเป็นคนซื่อสัตย์เป็นเช่นไร?  (รู้สึกว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นยากจริงๆ)  เหตุใดจึงรู้สึกว่ายาก?  (ข้าพระองค์อยากเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ  แต่เมื่อตรวจสอบตัวเองในแต่ละวัน ก็พบว่าตัวเองไม่จริงใจและการพูดจาของข้าพระองค์มีสิ่งปลอมปนอยู่มากมาย  บางครั้งข้าพระองค์สอดแทรกอารมณ์ลงไปในคำพูดของตน หรือมีเหตุจูงใจบางอย่างเวลาพูด  บางครั้งก็เล่นตุกติกนิดหน่อย หรือพูดจาอ้อมค้อม หรือพูดสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริง—สิ่งที่หลอกลวง เรื่องที่จริงเพียงครึ่งเดียว และเรื่องเทียมเท็จแบบอื่น ทั้งหมดก็เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายหนึ่งๆ)  พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนทั้งสิ้น เป็นส่วนที่คดโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของผู้คน  เหตุใดผู้คนจึงเล่นกับการทำตัวเลี้ยวลด?  เพื่อสำเร็จลุล่วงวัตถุประสงค์ของตน เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีการที่ไม่ซื่อตรง  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่เปิดใจ ไม่โปร่งใส และไม่ใช่ผู้คนที่ซื่อสัตย์  ในห้วงเวลาเหล่านี้นี่เองที่ผู้คนเผยให้เห็นความมีลับลมคมในและความฉลาดแกมโกงของตน หรือความชั่วและความน่าเหยียดหยามของตน  ความยากของการเป็นคนซื่อสัตย์อยู่ตรงนี้ กล่าวคือ ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ในหัวใจของคนเรา การเป็นคนซื่อสัตย์ย่อมจะดูยากเป็นพิเศษจริงๆ  แต่หากเจ้าเป็นคนที่รักความจริง และสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วการเป็นคนซื่อสัตย์ก็จะไม่ยากลำบากเกินไป  เจ้าจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ง่ายขึ้นมาก  ผู้ที่มีประสบการณ์ด้วยตนเองย่อมรู้ดียิ่งว่ากำแพงที่สูงใหญ่ที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์คือความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของผู้คน ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ความมุ่งร้าย และเจตนาที่น่าดูหมิ่นของพวกเขา  ตราบใดที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ยังคงอยู่ การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ก็ย่อมจะยากเกินไป  พวกเจ้าทุกคนกำลังฝึกตนให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเจ้าจึงพอจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง  ประสบการณ์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง?  (ทุกวันข้าพระองค์จดบันทึกขยะทั้งหมดและเรื่องโกหกที่ตัวเองพูดออกไป  จากนั้นก็พินิจสภาวะภายในและวิเคราะห์ตัวเองบ้าง  ข้าพระองค์พบว่ามีเจตนาบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องโกหกส่วนใหญ่ และที่พูดเรื่องโกหกออกไปก็เพื่อความไม่เป็นแก่นสารของตัวเองและเพื่อรักษาหน้า  แม้จะตระหนักรู้ว่าสิ่งที่พูดไปนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง แต่ข้าพระองค์ก็อดไม่ได้ที่จะโกหกและเสแสร้งอยู่ดี)  นี่คือสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกินในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ไม่ว่าเจ้าจะตระหนักรู้เรื่องนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าดื้อดึงโกหกต่อไปทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นผิด ทั้งนี้ก็เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้า เพื่อรักษาภาพลักษณ์และหน้าตาของเจ้า การกล่าวอ้างใดๆ ว่าไม่รู้เท่าทันย่อมเป็นเรื่องโกหก  กุญแจสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ก็คือการแก้ไขเหตุจูงใจ เจตนา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  นี่เป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาการพูดโกหกที่ต้นตอของมัน  การสัมฤทธิ์เป้าหมายส่วนตัวของคนเรา กล่าวคือ การได้ประโยชน์ส่วนตน ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ ทำให้ตนเองดูดี หรือได้รับความเห็นชอบจากคนอื่น—เหล่านี้คือเจตนาและจุดมุ่งหมายของผู้คนเวลาพวกเขาพูดโกหก  การโกหกแบบนี้เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนี่คือวิจารณญาณที่เจ้าจำเป็นต้องมีเกี่ยวกับการพูดโกหก  แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารักความจริงหรือไม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  หากเจ้าสามารถยอมรับความจริงและไม่พูดจาส่งเสริมตนเอง หากเจ้าเลิกคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนได้ และคำนึงถึงงานของคริสตจักร น้ำพระทัยของพระเจ้า และประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแทน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเลิกพูดปด  เจ้าจะสามารถพูดจาด้วยความสัตย์จริงและตรงไปตรงมาได้  หากไม่มีวุฒิภาวะเช่นนี้ เจ้าก็จะพูดจาด้วยความสัตย์จริงไม่ได้ ซึ่งพิสูจน์ว่าเจ้าขาดวุฒิภาวะ และไม่สามารถปฏิบัติความจริง  ดังนั้นการเป็นคนซื่อสัตย์จึงต้องมีขั้นตอนของการทำความเข้าใจความจริง อันเป็นกระบวนการที่ทำให้มีวุฒิภาวะมากขึ้น  เมื่อพวกเราพิจารณาเรื่องนี้กันแบบนี้ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ถ้าไม่มีประสบการณ์ราวแปดหรือสิบปี  นี่คือระยะเวลาที่ต้องใช้สำหรับกระบวนการเติบโตในชีวิตของคนเรา สำหรับกระบวนการทำความเข้าใจและได้มาซึ่งความจริง  บางคนอาจถามว่า “การแก้ปัญหาเรื่องการโกหกและกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ยากลำบากได้ถึงขนาดนั้นจริงหรือ?”  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ากำลังพูดถึงใคร  ถ้าเป็นคนที่รักความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเลิกโกหกได้เป็นบางเรื่อง  แต่หากเป็นคนที่ไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้วการเลิกโกหกก็จะยิ่งยากขึ้นอีก

การฝึกตนให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาการพูดปด รวมทั้งแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา  การทำเช่นนี้เกี่ยวพันกับการปฏิบัติที่สำคัญคือ เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้าโกหกใครบางคนและใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกพวกเขาให้หลงเชื่อ เจ้าก็ควรเปิดใจกับพวกเขา ตีแผ่ตนเอง และขอโทษ  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแก้ไขการโกหก  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าหลอกใครบางคนให้หลงเชื่อ หรือมีการปลอมปนหรือเจตนาส่วนตัวบางอย่างในถ้อยคำที่เจ้าพูดกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรไปหาพวกเขาและชำแหละตนเอง  เจ้าควรบอกพวกเขาว่า “สิ่งที่ฉันพูดกับคุณนั้นเป็นเรื่องโกหกที่คิดขึ้นมาเพื่อปกป้องความภาคภูมิใจของฉันเอง  หลังจากที่พูดไปแล้ว ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ถึงได้ขอโทษคุณอยู่ในตอนนี้  กรุณายกโทษให้ฉันด้วย”  คนคนนั้นย่อมจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ทีเดียว  พวกเขาจะประหลาดใจว่าทำไมถึงมีคนที่พูดโกหกแล้วมาขอโทษได้  ความกล้าแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่พวกเขาเลื่อมใส  คนเราได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการปฏิบัติเช่นนี้?  จุดประสงค์ของการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น แต่เพื่อยับยั้งและห้ามตนเองโกหกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ดังนั้นหลังจากโกหกแล้ว เจ้าก็ต้องขอโทษที่ทำเช่นนั้นลงไป  ยิ่งเจ้าฝึกตนให้ชำแหละ ตีแผ่ตนเอง และขอโทษผู้คนในหนทางนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้น—และเรื่องโกหกที่เจ้าพูดก็จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ  การชำแหละและตีแผ่ตนเองเพื่อให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์และยับยั้งตนเองไม่ให้โกหกนี้ต้องใช้ความกล้า และการขอโทษใครสักคนหลังจากโกหกพวกเขาก็ยิ่งต้องใช้ความกล้ามากขึ้นอีก  ถ้าพวกเจ้าปฏิบัติเช่นนี้สักหนึ่งหรือสองปี—หรืออาจจะสามถึงห้าปี—รับรองว่าพวกเจ้าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเป็นแน่ และการขจัดเรื่องโกหกไปจากตัวเจ้าก็จะไม่ใช่เรื่องยาก  การขจัดเรื่องโกหกไปจากตนเองเป็นขั้นตอนแรกของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และไม่สามารถทำได้หากไม่พยายามนานสามหรือห้าปี  หลังจากแก้ปัญหาเรื่องการโกหกแล้ว ขั้นตอนที่สองก็คือการแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยม  บางครั้งการใช้เล่ห์เหลี่ยมและการหลอกลวงก็ไม่จำเป็นต้องให้คนคนหนึ่งโกหก—สิ่งเหล่านี้สามารถสำเร็จลุล่วงได้ด้วยการลงมือทำเท่านั้น  ดูภายนอกคนคนหนึ่งอาจไม่โกหก แต่พวกเขาอาจจะเก็บงำการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาไว้ในหัวใจของตนอยู่ดี  พวกเขาย่อมจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครอื่น เพราะครุ่นคิดมามากและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว  การคิดทบทวนในภายหลังจะทำให้พวกเขาตระหนักรู้เรื่องนี้ได้ง่าย  เมื่อแก้ปัญหาเรื่องการโกหกแล้ว การแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมย่อมจะง่ายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกันแล้ว  แต่คนเราต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เพราะตอนที่หลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมนั้น มนุษย์ย่อมถูกเจตนากำกับอยู่  ผู้อื่นไม่สามารถล่วงรู้เรื่องนี้ได้จากการดูภายนอก และไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะได้  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถพินิจพิเคราะห์เรื่องนี้ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ล่วงรู้เรื่องนี้  เพราะฉะนั้น คนเราจึงทำได้เพียงแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมโดยพึ่งพาการอธิษฐานถึงพระเจ้าและยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระองค์เท่านั้น  หากคนเราไม่รักความจริงหรือยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของตน ก็จะไม่สามารถแก้ไขการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมของตนได้  เจ้าอาจอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยอมรับความผิดพลาดของตน เจ้าอาจสารภาพและกลับใจ หรือเจ้าอาจวิเคราะห์อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน—กล่าวด้วยความสัตย์จริงว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในเวลานั้น เจ้าพูดอะไรบ้าง เจตนาของเจ้าคืออะไร และเจ้าหลอกลวงอย่างไร  ทั้งหมดนี้ทำได้ค่อนข้างง่าย  อย่างไรก็ดี หากมีการขอให้เจ้าตีแผ่ตนเองให้อีกคนหนึ่งฟัง เจ้าก็อาจจะสูญเสียความกล้าและความตั้งใจแน่วแน่ของตนเพราะเจ้าอยากรักษาหน้า  เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าจะเปิดใจและตีแผ่ตนเองก็จะยากมาก  บางทีเจ้าอาจจะยอมรับได้กว้างๆ ว่าในบางโอกาสเจ้าก็พบตนเองกำลังพูดจาหรือทำอะไรตามจุดมุ่งหมายและเจตนาส่วนตัวของตน มีเล่ห์ลวง สิ่งปลอมปน เรื่องโกหก หรือการใช้เล่ห์เหลี่ยมในสิ่งที่เจ้าทำหรือพูดอยู่ระดับหนึ่ง  แต่แล้วเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นและเจ้าถูกบังคับให้ชำแหละตนเอง เปิดโปงว่าสิ่งทั้งหลายดำเนินไปอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ อธิบายว่าสิ่งเจ้าพูดมีคำใดบ้างที่หลอกลวง มีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ ตอนนั้นเจ้าคิดอะไรอยู่ รวมทั้งเจ้ามุ่งร้ายหรือคิดชั่วหรือไม่ เจ้ากลับไม่อยากพูดให้แน่ชัดหรือลงรายละเอียด  บางคนถึงกับพูดกลบเกลื่อนว่า “เรื่องต่างๆ เป็นไปอย่างนั้นเอง  ฉันก็แค่เป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ยอกย้อนและไว้ใจไม่ได้อย่างมาก”  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้าแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและยอกย้อนเพียงใด  คนเหล่านี้มีรูปแบบและสภาวะของการหลบหลีกอยู่เสมอ  พวกเขาตามใจตัวเองและยกโทษให้ตัวเองเสมอ ไม่สามารถทนทุกข์หรือจ่ายราคาเพื่อปฏิบัติความจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์ได้  ผู้คนมากมายประกาศวาทะและคำสอนมาหลายปี โดยพูดอยู่เสมอว่า “ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและยอกย้อนมาก มักจะมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่ในการกระทำของตน และไม่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างจริงใจแต่อย่างใด”  แต่หลังจากร้องบอกอยู่อย่างนี้มานานหลายปี พวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหมือนเมื่อก่อนอยู่ดี เพราะไม่มีใครเคยได้ฟังพวกเขาชำแหละหรือสำนึกผิดอย่างแท้จริงยามที่พวกเขาเผยให้เห็นสภาวะที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนี้  พวกเขาไม่เคยตีแผ่ตนเองต่อหน้าผู้อื่นหรือขอโทษหลังจากโกหกหรือหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อ และยิ่งไม่เคยสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์ในการชำแหละตนเองและทำความรู้จักตนเองเวลาชุมนุม  พวกเขาไม่เคยพูดเช่นกันว่าพวกเขาทำความรู้จักตนเองอย่างไร หรือกลับใจในเรื่องดังกล่าวอย่างไร  พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รู้จักตนเองและไม่เคยกลับใจอย่างแท้จริง  เวลาพวกเขาบอกว่าตัวเองเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาเพียงแต่ร้องบอกคำขวัญและประกาศคำสอนเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้  อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพราะกำลังพยายามว่ายตามกระแสและทำตามฝูงชน  หรืออาจเป็นไปได้ว่าสภาพแวดล้อมของชีวิตคริสตจักรบีบให้พวกเขาทำตามขั้นตอนอย่างขอไปทีและสร้างภาพ  ไม่ว่าจะเป็นหนทางใด ผู้ที่ร้องบอกคำขวัญและผู้ที่ประกาศคำสอนแบบนี้ย่อมจะไม่มีวันกลับใจอย่างแท้จริง และแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุความรอดของพระเจ้า

ความจริงทุกข้อที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนปฏิบัตินั้นย่อมต้องให้พวกเขาจ่ายราคา ปฏิบัติความจริง และมีประสบการณ์กับความจริงอย่างแท้จริงในชีวิตจริงของตน  พระเจ้าไม่ได้ขอให้ผู้คนดีแต่พูดด้วยการเอาแต่สาธยายวาทะและคำสอน พูดคุยถึงการรู้จักตนเอง ยอมรับรู้ว่าตนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เป็นคนโกหก ฉลาดแกมโกง คิดคด และทรยศหลอกลวง หรือพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง แล้วก็จบกันไป  หากมีใครบางคนยอมรับทั้งหมดนี้ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยในเวลาต่อมา หากพวกเขาโกหก ฉ้อโกง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงต่อไป หากพวกเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเยี่ยงซาตานเช่นเดิม วิธีการเยี่ยงซาตานเช่นเดิมเวลาพบเจอบางสิ่ง หากวิถีทางและวิธีการของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วคนแบบนี้จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาจะมีวันสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนได้หรือไม่?  ไม่เลย—ไม่มีวัน!  เจ้าต้องสามารถทบทวนและรู้จักตนเองได้  เจ้าต้องมีความกล้าที่จะเปิดใจและตีแผ่ตนเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง และสามัคคีธรรมถึงสภาวะที่แท้จริงของตน  หากเจ้าไม่กล้าตีแผ่หรือชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หากเจ้าไม่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ใช่คนที่รู้จักตนเอง  ถ้าทุกคนเป็นเหมือนคนเคร่งศาสนาที่โอ้อวดเพื่อให้คนอื่นเลื่อมใส เป็นพยานว่าตนนั้นรักพระเจ้ามากเพียงใด นบนอบพระองค์มากเพียงใด อุทิศตนให้พระองค์มากเพียงใด และพระองค์ก็ทรงรักพวกเขามากขนาดไหน เพื่อให้ผู้อื่นเคารพและเลื่อมใสตนเองเท่านั้น และถ้าทุกคนเก็บงำแผนการเฉพาะตัวและรักษาพื้นที่ส่วนตัวภายในหัวใจของตนเอาไว้ เช่นนั้นแล้วจะมีคนที่สามารถบอกเล่าประสบการณ์จริงได้อย่างไร?  จะมีคนที่สามารถมีประสบการณ์จริงไว้เล่าสู่กันฟังได้อย่างไร?  การแบ่งปันและสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของเจ้าหมายถึงการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า  เป็นการกล่าวความในใจของเจ้าออกมาดังๆ เล่าสภาวะของเจ้าและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยให้เห็นอยู่ในตัวเจ้า  นี่คือการยอมให้ผู้อื่นใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ แล้วจากนั้นก็แก้ปัญหาด้วยการสามัคคีธรรมความจริง  เฉพาะเมื่อมีการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ในลักษณะนี้เท่านั้น ทุกคนจึงจะได้ประโยชน์และเก็บเกี่ยวรางวัล  นี่เท่านั้นคือชีวิตคริสตจักรที่แท้จริง  หากเป็นเพียงการพูดคุยที่กลวงเปล่าเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้ามีในพระวจนะของพระเจ้าหรือเพลงนมัสการ แล้วจากนั้นเจ้าก็ชี้แจงไปตามใจชอบโดยไม่ไปไกลกว่านี้ ไม่นำสภาวะหรือปัญหาตามจริงของเจ้ามาพูด สามัคคีธรรมแบบนั้นย่อมไม่นำประโยชน์มาให้  หากทุกคนพูดถึงความรู้ทางด้านคำสอนหรือทฤษฎี แต่ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความรู้ที่พวกเขาได้รับจากประสบการณ์จริง และระหว่างที่สามัคคีธรรมความจริง ถ้าพวกเขาหลีกเลี่ยงการพูดถึงชีวิตส่วนตัว ปัญหาในชีวิตจริง และโลกภายในตัวพวกเขา เช่นนั้นแล้วการสื่อสารที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?  จะมีความไว้วางใจเกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้อย่างไร?  ไม่อาจเกิดขึ้นได้แม้แต่น้อย!  หากภรรยาไม่เคยพูดความในใจให้สามีรู้ นั่นนับเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถรู้สิ่งที่อยู่ในใจของกันและกันได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วสมมุติว่าพวกเขาพูดอยู่เรื่อยๆ ว่า “ฉันรักเธอ”  พวกเขาเอาแต่พูดเช่นนี้ แต่ไม่เคยตีแผ่หรือบอกว่าแท้จริงแล้วลึกลงไปตนกำลังคิดอะไรอยู่ ตนคาดหวังอะไรจากคู่ครอง หรือกำลังมีปัญหาอะไร  พวกเขาไม่เคยปรับทุกข์กัน  และเวลาอยู่ด้วยกันพวกเขาก็มีแต่มารยาทให้กันภายนอก  เช่นนั้นแล้วพวกเขาเป็นสามีภรรยากันยอย่างแท้จริงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  ในทำนองเดียวกัน หากพี่น้องชายหญิงสามารถบอกความในใจกันได้ ช่วยเหลือแบ่งเบากัน และจัดเตรียมให้กันได้ เช่นนั้นแล้วแต่ละคนก็ต้องเล่าประสบการณ์จริงของตนเอง  หากเจ้าไม่เล่าประสบการณ์จริงของเจ้าเอง—หากเจ้าเอาแต่ประกาศวาทะและคำสอนที่มนุษย์เข้าใจเท่านั้น หากเจ้าเอาแต่ประกาศคำสอนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าและพูดแต่เรื่องพื้นๆ ที่จำเจ ไม่เปิดใจ—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ และไม่สามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้  หากใช้ตัวอย่างเดียวกันก็คือ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานหลายปี สามีภรรยาก็พยายามที่จะทำความคุ้นเคยกัน มีปากเสียงกันบ้างเป็นครั้งคราว  แต่ถ้าพวกเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติกันทั้งคู่ และเจ้าก็พูดจากับเขาจากใจอยู่เสมอ และเขาก็พูดจากับเจ้าจากใจ เกี่ยวกับปัญหาอะไรก็ตามที่เจ้าเผชิญในชีวิตหรือในงาน สิ่งใดก็ตามที่เจ้าคิดอยู่ลึกๆ ในใจ เจ้าวางแผนที่จะจัดการแก้ไขสิ่งต่างๆ อย่างไร หรือเจ้ามีแนวคิดหรือแผนการสำหรับอนาคตของลูกๆ อย่างไร และเจ้าก็เล่าทั้งหมดนี้ให้คู่ของเจ้าฟัง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งสองย่อมจะรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษมิใช่หรือ?  แต่ถ้าเขาไม่เคยบอกเล่าความคิดเบื้องลึกที่สุดให้เจ้าฟัง มีแต่เอาเงินเดือนกลับมาบ้านเท่านั้น และถ้าเจ้าไม่เคยพูดกับเขาถึงความคิดของเจ้าเอง ไม่เคยบอกความในใจกัน เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะมีความห่างเหินทางอารมณ์ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าย่อมจะมี เพราะพวกเจ้าไม่เข้าใจความคิดหรือแผนการของอีกฝ่าย  ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะไม่สามารถบอกได้ว่าคู่ของเจ้าเป็นคนประเภทใด และเขาก็จะไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าเป็นคนประเภทใด  เจ้าจะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร และเขาก็จะไม่เข้าใจความต้องการของเจ้า  หากผู้คนไม่สื่อสารกันทางวาจาหรือทางจิตใจ เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใกล้ชิดสนิทสนมกัน และพวกเขาย่อมไม่สามารถจัดเตรียมให้กันหรือช่วยเหลือกันได้  เจ้าเคยมีประสบการณ์เช่นนี้แล้วใช่หรือไม่?  ถ้าเพื่อนของเจ้าเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าฟัง พูดทุกสิ่งที่พวกเขาคิด รวมทั้งความทุกข์หรือความสุขที่พวกเขามี เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขาเป็นพิเศษมิใช่หรือ?  เหตุผลที่พวกเขาเต็มใจบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้าก็เพราะเจ้าเล่าให้พวกเขาฟังเช่นกันว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจ  พวกเจ้าใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ และเพราะเหตุนี้พวกเจ้าจึงเข้ากันได้ดียิ่งและช่วยเหลือแบ่งเบากัน  หากไม่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนแบบนี้ระหว่างพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร พวกเขาย่อมจะไม่สามารถเข้ากันได้อย่างกลมเกลียว และย่อมจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกันด้วยดีเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน  นั่นคือสาเหตุที่การสามัคคีธรรมความจริงจำต้องมีการสนทนาสื่อสารกันในเรื่องฝ่ายวิญญาณ และต้องพูดจาจากหัวใจได้  นี่เป็นหนึ่งในหลักธรรมที่คนเราต้องมีจึงจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์

เมื่อบางคนได้ยินว่าการที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น คนเราต้องพูดความจริงและพูดออกมาจากหัวใจ และหากพวกเขาโกหกหรือหลอกลวง พวกเขาก็ต้องเปิดใจ ตีแผ่ตัวเอง และยอมรับความผิดพลาดของตน คนเหล่านั้นก็พูดว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์นั้นยาก  ฉันจำเป็นต้องพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันคิดให้คนอื่นฟังกระนั้นหรือ?  การสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เป็นบวกย่อมเพียงพอแล้วมิใช่หรือ?  ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นถึงด้านมืดหรือด้านที่เสื่อมทรามของตัวเองไม่ใช่หรือ?”  หากเจ้าไม่ตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นฟัง และไม่ชำแหละตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันรู้จักตัวเจ้าเอง  เจ้าจะไม่มีวันตระหนักรู้ว่าเจ้าเป็นเช่นไร และผู้อื่นก็จะไม่มีวันไว้ใจเจ้าได้  นี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง  หากเจ้าอยากให้ผู้อื่นไว้ใจเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องซื่อสัตย์  การที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น อันดับแรกเจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และมองดูใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามอำพรางหรือปิดบังตนเอง  เมื่อนั้นเท่านั้นผู้คนจึงจะไว้ใจเจ้า และมองว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์  นี่คือการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุด และเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ถ้าเจ้าเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งทำอยู่เสมอว่าเจ้านั้นบริสุทธิ์ ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ และมีบุคลิกที่สูงส่ง ถ้าเจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามและข้อเสียของเจ้า ถ้าเจ้าเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จให้ผู้คนเห็นเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้าซื่อตรง ยิ่งใหญ่ รู้จักปฏิเสธตัวเอง ยุติธรรม และไม่เห็นแก่ตัว—นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและความเทียมเท็จมิใช่หรือ?  เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนย่อมจะมองเจ้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งมิใช่หรือ?  ดังนั้น จงอย่าใช้อะไรมาปลอมแปลงหรือปิดบังตัวเจ้าเอง  แต่จงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น  หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—นั่นก็คือความซื่อสัตย์มิใช่หรือ?  หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าให้ผู้อื่นดู เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ย่อมจะมองเห็นเจ้าด้วย  พระองค์ย่อมจะตรัสว่า “ถ้าเจ้าตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นมองเห็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราเป็นแน่”  แต่หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าเวลาอยู่นอกสายตาของผู้อื่น และแสร้งทำตัวยิ่งใหญ่และประเสริฐอยู่เสมอ หรือไม่เห็นแก่ตัวเวลาอยู่ร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรกับเจ้า?  พระองค์จะตรัสว่าอย่างไร?  พระองค์จะตรัสว่า “เจ้าเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงโดยแท้  หน้าซื่อใจคดและต่ำทรามอย่างแท้จริง เจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์”  พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าเช่นนี้  หากเจ้าอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เจ้าก็ควรให้คำอธิบายถึงสภาวะภายในตัวเจ้า รวมทั้งความในใจของเจ้าได้อย่างถ่องแท้และเปิดเผย  เรื่องนี้ทำได้ง่ายหรือไม่?  นี่ต้องมีระยะเวลาฝึกฝน ต้องหมั่นอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า  เจ้าต้องฝึกตัวเองให้กล่าวความในใจออกมาอย่างเรียบง่ายและเปิดเผยในทุกเรื่อง  ด้วยการฝึกฝนเช่นนี้ เจ้าจึงจะก้าวหน้าได้  ถ้าเจ้าเผชิญความยากลำบากครั้งใหญ่ เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง เจ้าจำเป็นต้องต่อสู้อยู่ในหัวใจของตนและเอาชนะเนื้อหนัง จนกระทั่งเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้  เมื่อฝึกฝนตนเองแบบนี้ไปทีละนิด หัวใจของเจ้าก็จะค่อยๆ เปิดกว้าง  เจ้าจะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ และผลจากคำพูดและการกระทำของเจ้าย่อมจะแตกต่างจากเมื่อก่อน  เรื่องโกหกและเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าจะลดน้อยลงทุกที และเจ้าจะสามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้วในแก่นแท้

เมื่อถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว มวลมนุษย์ก็ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ผู้คนอำพรางและปิดบังทุกแง่ทุกมุมของตนเองในทำนองเดียวกับซาตาน พวกเขาหันไปใช้เล่ห์ลวงและการเล่นไม่ซื่อในทุกเรื่อง  ไม่มีเรื่องใดที่พวกเขาไม่ใช้เล่ห์ลวงและการเล่นไม่ซื่อ  บางคนถึงกับใช้เล่ห์ลวงเล่นไม่ซื่อในกิจกรรมที่เป็นปกติมากอย่างการจับจ่ายซื้อของ  ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจซื้อชุดที่ทันสมัยที่สุดมา แต่—แม้พวกเขาจะรักชุดนี้จริงๆ—พวกเขาก็ไม่กล้าสวมใส่ชุดนี้ในคริสตจักร เกรงว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดถึงตนและบอกว่าตนนั้นตื้นเขิน  ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแต่สวมชุดนี้ลับหลังผู้อื่น  นี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  เป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและฉลาดแกมโกง  เหตุใดบางคนจึงซื้อชุดที่ทันสมัย แต่ไม่กล้าสวมใส่เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิง?  หัวใจของพวกเขาชอบของตามสมัยนิยม และพวกเขาก็ติดตามกระแสนิยมของโลกเช่นเดียวกับผู้ไม่เชื่อ  พวกเขากลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะรู้ทัน มองเห็นว่าตนตื้นเขินเพียงใด มองเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่น่านับถือและซื่อตรง  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าตามสมัยนิยมอยู่ในหัวใจของตน และมีปัญหาในการปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงสวมใส่สิ่งเหล่านี้ที่บ้านเท่านั้น และกลัวที่จะให้พี่น้องชายหญิงเห็น  ถ้าสิ่งที่พวกเขาชอบไม่อาจเผยให้ใครเห็นได้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้?  พวกเขาถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานควบคุมอยู่มิใช่หรือ?  พวกเขากล่าววาทะและคำสอนตลอดเวลา และดูเหมือนจะเข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  นี่คือคนที่ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ถ้าคำพูดและการกระทำของใครฉ้อฉลอยู่เสมอ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และถ้าพวกเขาสร้างภาพว่าเป็นคนเคร่งศาสนาต่อหน้าคนอื่นตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วพวกเขาแตกต่างจากฟาริสีอย่างไร?  พวกเขาอยากดำเนินชีวิตอย่างโสเภณี แต่ก็อยากให้สร้างอนุสาวรีย์สำหรับการถือพรหมจรรย์ของตนด้วย  พวกเขารู้ดีแก่ใจว่าไม่สามารถสวมชุดที่แปลกใหม่ของตนในที่สาธารณะได้ แล้วพวกเขาซื้อชุดนั้นมาทำไม?  เป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์มิใช่หรือ?  เพียงเพราะว่าพวกเขาชอบของแบบนั้นและปักใจชอบชุดนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนต้องซื้อชุดนั้น  แต่พอซื้อมาแล้ว พวกเขากลับไม่สามารถสวมชุดออกไปข้างนอกได้  ผ่านไปไม่กี่ปี พวกเขาย่อมเสียใจที่ซื้อชุดนั้นมา และตระหนักขึ้นมาทันทีว่า “ฉันโง่เขลาและน่ารังเกียจถึงขั้นทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”  กระทั่งตัวพวกเขาก็ยังนึกรังเกียจสิ่งที่ตนทำลงไป  แต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมการกระทำของตนได้ เพราะไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งที่ตนชอบและไล่ตามไขว่คว้าได้  ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีตีสองหน้าเพื่อทำให้ตนเองพอใจ  ถ้าพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงเมื่อเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นได้หรือไม่?  นี่ย่อมจะเป็นไปไม่ได้  เห็นได้ชัดว่าการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงคือธรรมชาติของพวกเขา และการหลอกลวงก็คือจุดตายของพวกเขา  มีเด็กอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งที่เคยกินของอร่อยกับครอบครัวของตนอยู่ครั้งหนึ่ง  เมื่อเด็กอื่นถามว่าของนั้นคืออะไร เด็กนั้นก็กะพริบตาแล้วตอบว่า “ฉันลืมไปแล้ว” แต่แท้จริงแล้วเขาแค่ไม่อยากบอกเด็กเหล่านั้น  แท้จริงแล้วเป็นไปได้หรือที่เขาจะลืมว่าตนเพิ่งกินอะไรไป?  เด็กอายุหกเจ็ดขวบคนนี้สามารถพูดโกหกได้  นั่นใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่สอนให้เขาทำหรือไม่?  นั่นเป็นผลที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในบ้านของเขาหรือไม่?  ไม่ใช่—นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสิ่งที่สืบทอดอยู่ในตัวมนุษย์ มนุษย์เกิดมาพร้อมอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  อันที่จริง ไม่ว่าของอร่อยที่เด็กกินจะเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมทำเช่นนี้เป็นปกติ  พ่อแม่ของเขาทำของอร่อยให้เขา เขาไม่ได้ขโมยอาหารของคนอื่น  หากเด็กคนนี้สามารถพูดโกหกในรูปการณ์เช่นนี้ ในยามที่ไม่จำเป็นต้องพูดปดเลย เช่นนั้นแล้วเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะโกหกมากยิ่งขึ้นในเรื่องอื่นๆ มิใช่หรือ?  นี่แสดงให้เห็นปัญหาเรื่องใด?  นี่คือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของเขามิใช่หรือ?  ตอนนี้เด็กคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และการโกหกก็กลายเป็นธรรมชาติของเขาไปแล้ว  เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงจริงๆ คนเราสามารถมองเห็นสิ่งนั้นในตัวเขาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนัก  คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมอดไม่ได้ที่จะโกหกและหลอกให้ผู้อื่นหลงเชื่อ เรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาสามารถแสดงตัวให้เห็นได้ทุกเวลาและทุกที่  พวกเขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีทำสิ่งเหล่านี้ หรือถูกยุยงให้ทำสิ่งเหล่านี้—พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการทำเช่นนี้  หากเด็กคนนี้สามารถสร้างเรื่องโกหกเพื่อหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้นได้ การโกหกของเขาจะเป็นการฝ่าฝืนแบบครั้งเดียวจบได้จริงหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  นี่แสดงให้เห็นว่าโดยแก่นแท้ธรรมชาติแล้ว เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ไม่ง่ายที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะใช่หรือไม่?  ถ้าบางคนพูดปดมาตั้งแต่เด็ก โกหกบ่อยๆ ถึงกับโกหกและหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อในเรื่องพื้นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น และถ้าการโกหกกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขาไปแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  พวกเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอย่างแท้จริง  เหตุใดจึงพูดว่าคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด?  เพราะพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะยอมรับความจริง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง  ผู้ที่สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้าย่อมต่างออกไป  พวกเขาค่อนข้างไร้เล่ห์มารยามาตั้งแต่แรก และหากพูดโกหกเล็กน้อย พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะหน้าแดงและรู้สึกไม่สบายใจ  การที่คนแบบนั้นจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ย่อมจะง่ายกว่า กล่าวคือ หากเจ้าขอให้พวกเขาโกหกหรือฉ้อโกง พวกเขาก็จะรู้สึกว่าทำยาก  เวลาโกหก พวกเขาจะไม่สามารถพูดทุกคำออกมาได้หมด และทุกคนก็จะมองออกทันที  คนเหล่านี้ค่อนข้างเรียบง่าย และมีแนวโน้มที่จะสัมฤทธิ์ความรอดได้มากกว่าถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้  คนประเภทนี้โกหกเฉพาะในรูปการณ์ที่พิเศษเท่านั้น คือเมื่อพวกเขาเจอทางตัน  โดยทั่วไปแล้วพวกเขาสามารถพูดเรื่องจริงได้เสมอ  ตราบใดที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมทิ้งความเสื่อมทรามแง่นี้ได้โดยใช้ความพยายามอยู่ไม่กี่ปี จากนั้นก็ไม่ยากที่พวกเขาจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์

พระเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานสำหรับคนที่ซื่อสัตย์ไว้ว่าอย่างไร?  ข้อกำหนดที่พระเจ้าให้ไว้ในพระวจนะของพระเจ้า บท การตักเตือนสามประการ นี้มีว่าอย่างไร?  (“ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆ ก็คือ การซื่อสัตย์คือการมีการกระทำและคำพูดที่บริสุทธิ์ ไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์…  หากคำพูดของเจ้าเต็มไปด้วยข้อแก้ตัวกับการอ้างเหตุผลที่ไร้ค่า เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่าเจ้าเป็นคนที่ชังการนำความจริงไปปฏิบัติ  หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า))  ในนี้มีประโยคหนึ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ  พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าเป็นประโยคใด?  (พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย”)  ถูกต้อง เป็นประโยคนั้น  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน”  ผู้คนทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาไม่กล้าพูดถึง และมีด้านมืดอยู่มากเกินไป  การกระทำในแต่ละวันของพวกเขาไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่กบฏต่อเนื้อหนัง  ทำอะไรก็ตามที่ตนอยากทำ และแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  “หากเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย”  ตรงนี้พระเจ้าได้ทรงชี้เส้นทางปฏิบัติให้แก่มนุษย์  หากเจ้าไม่ปฏิบัติในหนทางนี้ เอาแต่ร้องบอกคำขวัญและคำสอน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่จะได้รับความรอดโดยง่าย  เรื่องนี้เชื่อมโยงกับความรอดโดยแท้  การได้รับการช่วยให้รอดสำคัญต่อทุกคนเป็นอย่างยิ่ง  พระเจ้าเคยตรัสถึง “การไม่บรรลุความรอดโดยง่าย” เอาไว้ในที่อื่นใดอีกหรือไม่?  ในที่อื่นๆ นั้น พระเจ้าแทบจะไม่ตรัสว่าการได้รับการช่วยให้รอดนี้ยากเพียงใด แต่กลับตรัสถึงเรื่องนี้เวลาเสวนาเรื่องการเป็นคนซื่อสัตย์  หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ช่วยให้รอดได้ยากมาก  “การไม่บรรลุความรอดโดยง่าย” หมายความว่าหากเจ้าไม่ยอมรับความจริง ก็ยากที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าจะไม่สามารถเลือกใช้ครรลองที่ถูกต้องไปสู่ความรอด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  พระเจ้าทรงใช้วลีนี้เพื่อเปิดทางให้ผู้คนมีทางออกบ้าง  ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะช่วยเจ้าให้รอด แต่ถ้าเจ้านำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีหวังที่จะบรรลุความรอด  นั่นคือความหมายอีกด้านหนึ่งของวลีนี้  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่เคยชำแหละความลับของตนและปัญหาที่ท้าทายเจ้าออกมา ไม่เคยเปิดใจเวลาสามัคคีธรรมแก่ผู้อื่น ไม่สามัคคีธรรมหรือวิเคราะห์หรือเผยความเสื่อมทรามและข้อเสียขั้นร้ายแรงของเจ้าร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ถ้าเจ้าไม่ตีแผ่หรือชำแหละตัวเจ้าเองในหนทางนี้ เจ้าก็จะไม่เกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และด้วยเหตุนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  และถ้าเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เจ้าจะคิดเรื่องการได้รับการช่วยให้รอดไปด้วยได้อย่างไร?  พระวจนะของพระเจ้าแสดงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้ง และชี้ให้เห็นน้ำพระทัยของพระเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงเน้นเสมอว่าผู้คนควรที่จะซื่อสัตย์?  เพราะการเป็นคนซื่อสัตย์นี้สำคัญมาก—เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ว่าคนคนหนึ่งจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่ และจะบรรลุความรอดได้หรือไม่  บางคนกล่าวว่า “ฉันโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ ฉันมักจะโกรธและเผยให้เห็นความเสื่อมทราม”  ส่วนผู้อื่นก็บอกว่า “ฉันตื้นเขินมาก ไม่มีแก่นสาร แล้วพอมีคนยกยอปอปั้น ฉันก็ชอบใจ”  ทั้งหมดนี้คือสิ่งภายนอกที่ผู้คนมองเห็นได้ และไม่ใช่ปัญหาใหญ่  เจ้าไม่ควรข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป  ไม่ว่าอุปนิสัยหรือบุคลิกของเจ้าจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าสามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด เจ้าย่อมจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?  การเป็นคนซื่อสัตย์สำคัญหรือไม่?  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และนี่คือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในบทที่ชื่อ การตักเตือนสามประการ นี้ในพระวจนะของพระองค์  ส่วนในบทอื่นๆ พระองค์ตรัสบ่อยครั้งว่าผู้เชื่อควรมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ และมีชีวิตคริสตจักรที่ถูกต้องเหมาะสม และทรงอธิบายว่าพวกเขาควรใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร  พระวจนะของพระองค์กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไว้กว้างๆ ไม่เสวนาลงลึกเกินไปหรือมีรายละเอียดมากเกินไปในเรื่องเหล่านี้  อย่างไรก็ดี เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ทรงชี้เส้นทางให้ผู้คนทำตาม  พระองค์ตรัสบอกวิธีปฏิบัติแก่ผู้คน โดยตรัสอย่างละเอียดและชัดเจนมากพอ  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย”  การเป็นคนที่ซื่อสัตย์สัมพันธ์กับการบรรลุความรอด  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์?  นี่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องการวางตัวของมนุษย์  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนที่ซื่อสัตย์ให้รอด และผู้ที่พระองค์ต้องการที่จะได้ไว้ในราชอาณาจักรของพระองค์ก็คือผู้คนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าสามารถโกหกและหลอกลวงได้ เจ้าย่อมเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง คดโกง และมีลับลมคมใน เจ้าไม่ใช่คนซื่อสัตย์  หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอด และเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าเปี่ยมศรัทธาเป็นอย่างมาก เจ้าไม่โอหังหรือคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เจ้าสามารถจ่ายราคาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเรียกให้ผู้คนมากมายมารับเชื่อ  แต่เจ้าไม่ซื่อสัตย์ เจ้ายังคงเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ดังนั้นเจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  และด้วยเหตุนี้ พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าจึงย้ำเตือนทุกคนว่าการที่จะได้รับการช่วยให้รอดนั้น พวกเขาต้องซื่อสัตย์ตามที่ระบุไว้ในพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าเสียก่อน  พวกเขาต้องเปิดใจ ตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจตนา และความลับของตนเอง และแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง  การ “แสวงหาหนทางแห่งความสว่าง” หมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  เมื่อเจ้าตีแผ่ความเสื่อมทราม จุดหมายและเจตนาที่ทอดตัวอยู่เบื้องหลังการกระทำของตน เจ้าย่อมชำแหละตัวเจ้าเองไปด้วย ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าก็แสวงหาว่า “ทำไมฉันถึงทำอย่างนี้?  การทำเช่นนี้มีหลักการพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  นี่ตรงตามความจริงหรือไม่?  ตอนทำเรื่องนี้ ฉันรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำสิ่งที่ผิด?  ฉันหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?  ถ้าฉันกำลังหลอกลวงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วฉันก็ไม่ควรทำเช่นนี้ ฉันควรดูข้อกำหนดของพระเจ้า พิจารณาสิ่งที่พระเจ้าตรัส และหาให้พบว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร”  นี่คือความหมายของการแสวงหาความจริง นี่คือความหมายของการก้าวเดินในความสว่าง  เมื่อผู้คนสามารถปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ พวกเขาย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถบรรลุความรอด

การที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนซื่อสัตย์ ย่อมพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเกลียดและไม่ชอบผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  ความไม่ชอบที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงคือความไม่ชอบวิธีทำสิ่งต่างๆ อุปนิสัย เจตนา และวิธีใช้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเขา พระเจ้าไม่ชอบเรื่องทั้งหมดนี้  หากผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงสามารถยอมรับความจริง ยอมรับอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของตน และเต็มใจที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดเช่นกัน—เพราะพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม และความจริงก็ทำเช่นนั้นด้วย  ดังนั้น หากพวกเราอยากเป็นผู้คนที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือเปลี่ยนแปลงหลักธรรมในการวางตน  พวกเราไม่สามารถดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตานอีกต่อไป ไม่สามารถเอาตัวรอดด้วยเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมอีกต่อไป  พวกเราต้องโยนเรื่องโกหกทั้งหมดทิ้งไปและกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์  จากนั้นทัศนะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเราจึงจะเปลี่ยนแปลง  ก่อนหน้านี้ผู้คนพึ่งพาเรื่องโกหก การเสแสร้ง และการใช้เล่ห์เหลี่ยมเวลาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น และใช้ปรัชญาของซาตานเป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ เป็นชีวิต และเป็นรากฐานในการวางตน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงดูหมิ่น  ในหมู่ผู้ไม่เชื่อนั้น หากเจ้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา พูดความจริง และซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะถูกใส่ความ ถูกตัดสิน และถูกทอดทิ้ง  ดังนั้นเจ้าจึงทำตามกระแสนิยมทางโลกและดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เจ้าเริ่มมีทักษะมากขึ้นเรื่อยๆ ในการโกหก และมีเล่ห์ลวงมากขึ้นทุกที  เจ้ายังเรียนรู้ที่จะใช้วิธีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาสัมฤทธิ์เป้าหมายและปกป้องตัวเจ้าเองอีกด้วย  เจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของซาตาน และผลที่ตามมาคือเจ้าร่วงลึกลงไปเรื่อยๆ ในบาป จนกระทั่งเจ้าไม่สามารถถอนตัวได้  แน่นอนว่าในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งต่างๆ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม  ยิ่งเจ้าโกหกและใช้เล่ห์ลวงเล่นไม่ซื่อ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยิ่งเอือมระอาและทอดทิ้งเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมกลับใจและยังคงยึดมั่นในปรัชญาและตรรกะของซาตาน ถ้าเจ้าใช้ลูกเล่นและกลอุบายอันซับซ้อนมาอำพรางและตกแต่งตัวเองให้ดูดี เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปได้อย่างมากที่เจ้าจะถูกเปิดโปงและขับออกไป  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเกลียดชังผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมจะถูกทอดทิ้งและขับออกไปในที่สุด  พระเจ้าได้ทรงลิขิตทั้งหมดนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนในราชอาณาจักรสวรรค์  หากเจ้าไม่พยายามที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าไม่มีประสบการณ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ปฏิบัติในทิศทางนั้น หากเจ้าไม่เปิดโปงความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเอง และไม่ตีแผ่ตัวเองออกมา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร เจ้าก็ต้องมีท่าทีที่ซื่อสัตย์  หากไม่มีท่าทีที่ซื่อสัตย์ เจ้าย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินเสมอ และล้มเหลวที่จะทำบางสิ่งให้ดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรทบทวนตนเอง ทำความรู้จักตนเอง และเปิดใจชำแหละตัวเจ้าเอง  จากนั้นเจ้าก็ควรแสวงหาหลักธรรมความจริง และเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป แทนที่จะทำตัวสุกเอาเผากิน  หากเจ้าไม่พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ และมองหาทางตอบสนองเนื้อหนังของเจ้าเองหรือความภาคภูมิใจของเจ้าเองอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถทำงานได้ดีกระนั้นหรือ?  เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีกระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  ผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมสุกเอาเผากินเสมอเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไม่ทำให้ดี และผู้คนเช่นนี้ย่อมเห็นว่าการบรรลุความรอดนั้นยาก  จงบอกเราเถิด—เมื่อผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาใช้เล่ห์ลวงหรือไม่?  การนำความจริงไปปฏิบัติย่อมต้องให้พวกเขาจ่ายราคา ละทิ้งผลประโยชน์ของตนเอง เปิดใจและตีแผ่ตัวเองต่อหน้าผู้อื่น  แต่พวกเขาก็ซ่อนเร้นบางสิ่งเอาไว้ เวลาพวกเขาพูด พวกเขาก็เปิดเผยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และเก็บงำส่วนที่เหลือเอาไว้  ผู้อื่นจึงต้องเดาอยู่เสมอว่า พวกเขาหมายถึงอะไร และจำต้องลากเส้นเชื่อมโยงเอาเองว่าพวกเขาพูดถึงอะไร  พวกเขาเหลือพื้นที่ให้ตัวเองยักย้ายถ่ายเทได้เสมอ เหลือที่ทางให้ตัวเองขยับทำการบางอย่าง  เมื่อผู้อื่นสังเกตเห็นว่าพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ผู้อื่นก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขา และระวังตัวกับพวกเขาในทุกสิ่งที่ทำ  พวกเขาโกหกและฉ้อโกง และคนอื่นก็ไม่อาจเชื่อใจพวกเขาได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสิ่งใดจริงและสิ่งใดเท็จ หรือมีการปลอมปนมากเพียงใด  พวกเขามักจะกลับคำกับผู้อื่น ผู้คนจึงไม่ให้ค่าพวกเขาในหัวใจของตน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ในพระทัยของพระเจ้าย่อมเป็นเช่นไร?  พระเจ้าทรงมองพวกเขาเช่นไร?  พระเจ้ายิ่งรังเกียจพวกเขามากขึ้นอีก เพราะพระเจ้าทรงมองเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  มนุษย์มองเห็นได้แต่เพียงสิ่งที่อยู่ตามพื้นผิวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงมองเห็นได้อย่างถูกต้องแม่นยำกว่า แหลมคมกว่า และตามความเป็นจริงมากกว่า

พวกเราควรจะสามารถมองเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า เพื่อช่วยพวกเราให้รอดและเปลี่ยนแปลงพวกเรา พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงทำพระราชกิจเตรียมการบางอย่างหรือพระราชกิจที่แสดงให้เห็นสิ่งที่มีอยู่ในอนาคตเมื่อพระองค์ทรงทำเสร็จสิ้นแล้ว  อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายนอกของผู้คน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยนแปลงทุกคน โดยเริ่มจากส่วนลึกในสุดของหัวใจของพวกเขา จากอุปนิสัยของพวกเขาและจากแก่นแท้ที่แท้จริงของพวกเขา และเปลี่ยนแปลงพวกเขาที่แหล่งกำเนิด  เมื่อคำนึงถึงว่านี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ เช่นนั้นแล้วพวกเราควรปฏิบัติตนต่อตัวพวกเราเองอย่างไร?  พวกเราควรจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเราแสวงหา ต่อการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเรา และต่อหน้าที่ที่พวกเราทำ โดยไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ลื่นล้ม และสามารถนำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมารับการชำแหละได้

แท้จริงแล้วผู้คนกระตือรือร้นเสมอเวลาที่พวกเขายังใหม่ต่อความเชื่อ  เมื่อพวกเขาได้ฟังพระเจ้าสามัคคีธรรมความจริงโดยเฉพาะ พวกเขาก็คิดว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริงแล้ว  ฉันพบหนทางที่แท้จริงแล้ว  ฉันมีความสุขจริงๆ!”  ทุกวันให้ความรู้สึกชื่นบานราวกับงานฉลองวันปีใหม่หรือวันแต่งงาน ทุกวันพวกเขาจะตั้งตารอคอยให้ใครสักคนเป็นเจ้าภาพการชุมนุมหรือการสามัคคีธรรม  แต่ผ่านไปไม่กี่ปี บางคนกลับสูญเสียความรู้สึกแรงกล้าที่ตนมีต่อชีวิตคริสตจักร และสูญเสียความรู้สึกแรงกล้าที่มีต่อการเชื่อในพระเจ้าไปด้วย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพวกเขามีเพียงความเข้าใจที่ผิวเผินทางด้านทฤษฎีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้เข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือมีประสบการณ์กับความเป็นจริงของตนด้วยตนเอง  เหมือนที่พระเจ้าตรัสไว้ว่าผู้คนมากมายมองไปที่อาหารเลิศหรูในงานเลี้ยง แต่พวกเขาส่วนใหญ่แค่มาดูเท่านั้น  พวกเขาไม่หยิบอาหารอร่อยที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้มากิน ชิมรส และใช้ทำให้ร่างกายของตนอิ่มหนำ  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ และเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงกังวล  นี่คือสภาวะแบบที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในขณะนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าทุกคนบ่อยๆ เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า  สิ่งที่ทำให้เรากังวลเป็นที่สุดก็คือหลังจากฟังคำเทศนาเหล่านี้และความต้องการทางฝ่ายวิญญาณของเจ้าได้รับการตอบสนองแล้ว เจ้ากลับไม่ทำอะไรที่เป็นการนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติ และจะไม่นึกถึงสิ่งเหล่านี้อีกเลย  ในกรณีนี้ ทั้งหมดที่เราพูดไปย่อมจะเสียเปล่า  ไม่ว่าใครจะมีขีดความสามารถแบบใดก็ตาม พอพวกเขาเชื่อไปสักสองหรือสามปี เจ้าย่อมจะสามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่  หากพวกเขาเป็นคนที่รักความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนที่รักความจริง พวกเขาย่อมจะทนอยู่ได้ไม่นาน และจะถูกเปิดโปงและขับออกไป  แท้จริงแล้วพวกเจ้ารักความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าเต็มใจที่จะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  ในอนาคตพวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  หลังสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าจะลงมือปฏิบัติเรื่องนี้ด้วยตนเองมากเพียงใด?  แท้จริงแล้วที่พูดไปนี้จะมีสักเท่าใดที่ก่อให้เกิดผลในตัวพวกเจ้า?  ทั้งหมดนี้ไม่มีใครรู้ และจะถูกเปิดเผยในท้ายที่สุด  นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ใครบางคนมีความรู้สึกแรงกล้าเพียงใด หรือสามารถทนทุกข์ได้มากเพียงใดในตอนที่พวกเขายังใหม่ต่อความเชื่อ  กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ และสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  มีเพียงผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่จะนำความจริงไปขบคิดหลังการฟังคำเทศนา  มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะไตร่ตรองว่าจะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติอย่างไร จะมีประสบการณ์กับพระวจนะอย่างไร จะนำพระวจนะไปใช้ในชีวิตประจำวันของตนได้อย่างไร และจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรจึงจะกลายเป็นคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  นั่นคือสาเหตุที่ผู้ที่รักความจริงย่อมจะได้รับความจริงในท้ายที่สุด  ผู้ที่ไม่รักความจริงอาจจะยอมรับหนทางที่แท้จริง พวกเขาอาจจะชุมนุมกัน  ฟังคำเทศนาทุกวัน และเรียนรู้คำสอนบ้าง แต่ทันทีที่เผชิญความยากลำบากหรือบททดสอบ พวกเขาก็คิดลบ อ่อนแอ และอาจถึงกับตัดขาดจากความเชื่อของตน  ในฐานะผู้เชื่อ การที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริง และขึ้นอยู่กับว่าจุดหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าคืออะไร กล่าวคือ แท้จริงแล้วใช่การได้รับความจริงมาเป็นชีวิตของเจ้าหรือไม่  บางคนนำความจริงติดตัวไปด้วยเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น รับใช้พระเจ้า หรือเพื่อนำทางคริสตจักรให้ดี  นั่นไม่เลวเลย และย่อมหมายความว่าผู้คนเหล่านั้นแบกภาระบางอย่างเอาไว้บนบ่า  แต่หากพวกเขาไม่มุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง หรือการปฏิบัติความจริง และหากพวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้  ถ้าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถทำงานคริสตจักรได้ดีกระนั้นหรือ?  นั่นก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  เจ้าจะฟังคำเทศนาไปกี่ครั้งหรือเลือกเส้นทางเช่นใดก็ไม่สำคัญ  เราจะแบ่งปันมุมมองที่ถูกต้องกับพวกเจ้า กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่อะไร จะเป็นผู้นำหรือผู้ติดตามทั่วไป เจ้าก็ต้องทุ่มเทความพยายามของตนให้กับพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลัก  เจ้าต้องอ่านและตรึกตรองพระวจนะอย่างจริงจังตั้งใจ  ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจความจริงทุกสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้และจำเป็นต้องปฏิบัติ ทำตนได้เทียบเคียงความจริงเหล่านั้น และนำไปปฏิบัติเพื่อตัวเจ้าเอง  เจ้าจะไม่ได้รับความจริงจนกว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงเสียก่อน  หากเจ้าอธิบายคำสอนที่เจ้าเข้าใจให้ผู้อื่นฟังอยู่เสมอ แต่กลับไม่สามารถนำคำสอนเหล่านั้นไปปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับคำสอนได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความผิดพลาด—นี่คือความโง่เขลาและไม่รู้ความ  เจ้าควรปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในฐานะความจริง ทำความเข้าใจความจริงอันมากมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป  จากนั้นเจ้าก็จะเริ่มเห็นผลที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในหน้าที่ของตน และมีคำพยานจากประสบการณ์เป็นอันมากไว้แบ่งปัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ พระวจนะของพระเจ้าย่อมจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า  และเจ้าย่อมจะทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีเป็นแน่ และจะสามารถทำให้พระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าเสร็จสิ้นได้เช่นกัน  หากเจ้าอยากนำพระวจนะเหล่านี้ไปใช้เทียบดูผู้อื่น ใช้พระวจนะกับผู้อื่น หรือใช้พระวจนะเป็นต้นทุนในงานของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเดือดร้อน  เวลาทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วเจ้ากำลังใช้เส้นทางเดียวกันกับเปาโล  ในเมื่อมุมมองของเจ้าเป็นเช่นนี้ ก็แน่นอนว่าเจ้าย่อมทำเหมือนว่าพระวจนะเป็นคำสอน เป็นทฤษฎี และเจ้าก็อยากใช้ทฤษฎีเหล่านี้ไปกล่าวสุนทรพจน์และทำงานให้สำเร็จ  นี่อันตรายมาก—นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทำ  หากเจ้ามองสภาวะของตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า ทบทวนและทำความเข้าใจตนเองเสียก่อน แล้วค่อยนำความจริงไปปฏิบัติ เจ้าก็จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัลและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีคุณสมบัติและมีวุฒิภาวะที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ หากเจ้าไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแต่อย่างใด และทำได้เพียงสาธยายวาทะและคำสอนเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าทำงาน เจ้าก็จะทำงานอย่างมืดบอด ไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดที่เป็นรูปธรรม  ในท้ายที่สุดเจ้าย่อมจะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ และจะถูกขับออกไป  หากเจ้าเข้าใจความจริงสักแง่มุมหนึ่ง เจ้าก็ควรนำแง่มุมดังกล่าวมาเทียบดูตัวเองและนำไปใช้ให้เกิดผลในชีวิตของเจ้าเสียก่อน เพื่อให้แง่มุมนี้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า  เมื่อนั้นก็แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะได้บางสิ่งเอาไว้และเกิดการเปลี่ยนแปลง  หากเจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าดีงาม เป็นความจริงและมีความเป็นจริง แต่เจ้าไม่ได้ใคร่ครวญหรือพยายามเข้าใจความจริงในหัวใจของตน หรือปฏิบัติและมีประสบการณ์กับความจริงในชีวิตจริงของตน กลับเอาแต่จดลงสมุดบันทึก แล้วก็หยุดไว้เท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันเข้าใจหรือได้รับความจริง  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือฟังคำเทศนา และสามัคคีธรรม เจ้าต้องไตร่ตรองและนำสิ่งเหล่านั้นมาเทียบดูตัวเอง เชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นกับสภาวะของตน และใช้สิ่งเหล่านั้นแก้ปัญหาของตน  เฉพาะเมื่อนำพระวจนะไปใช้ในลักษณะนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้บางสิ่งจากพระวจนะอย่างแท้จริง  นี่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าปฏิบัติหลังจากฟังคำเทศนาไปแล้วหรือไม่?  หากไม่ใช่ เช่นนั้นแล้วชีวิตของพวกเจ้าก็ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย และไม่มีพระวจนะของพระองค์ และพวกเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงของการเชื่อในพระองค์  เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่นอกพระวจนะของพระเจ้าเหมือนผู้ไม่เชื่อ  ใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่สามารถนำพระวจนะของพระองค์ไปใช้ในชีวิตจริงเพื่อปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะ แท้จริงแล้วย่อมไม่เชื่อในพระเจ้า—พวกเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อ  ผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ไม่ใช่คนที่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นคนที่กบฏต่อพระองค์ และต้านทานพระองค์  หากคนเราไม่นำพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตจริงของตน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  และหากคนเราไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หรือการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระองค์ในชีวิตจริงของตน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ความจริงไว้  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจวจนะเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมจะดีที่สุด—แต่ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจวจนะเหล่านี้ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเข้าใจมากเพียงใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าควรนำพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่เจ้าเข้าใจเข้ามาในชีวิตจริงของตน และปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นในชีวิตจริง  นี่เป็นหนทางเดียวที่วุฒิภาวะของเจ้าจะเติบโตและอุปนิสัยของเจ้าจะเปลี่ยนแปลง

เมื่อพระเจ้าทรงแสดงความจริงหรือวางข้อกำหนดแก่ผู้คน พระองค์จะทรงชี้หลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติให้พวกเขาเห็นอยู่เสมอ  จงดูการเป็นคนซื่อสัตย์เป็นตัวอย่างเถิด เหมือนที่พวกเราเพิ่งพูดกันไปว่าพระเจ้าได้ประทานเส้นทางสายหนึ่งแก่ผู้คน ตรัสบอกวิธีเป็นคนที่ซื่อสัตย์และวิธีปฏิบัติตามหลักธรรมของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาเดินตามครรลองที่ถูกต้อง  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย”  ในที่นี้ความหมายโดยนัยก็คือพระองค์ทรงกำหนดให้พวกเรานำสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็นความลับหรือเป็นเรื่องส่วนตัวออกมาเปิดเผย มานำเสนอให้ชำแหละ  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าไม่ได้นึกถึง กล่าวคือ พวกเจ้าไม่ได้เข้าใจหรือรู้ว่าพระเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อให้พวกเจ้าปฏิบัติตามนี้  บางครั้งเจ้ากระทำการด้วยเจตนาที่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวง ดังนั้นเจ้าจึงควรเปลี่ยนแปลงการกระทำและเจตนาของเจ้า  บางทีอาจไม่มีใครล่วงรู้ธรรมชาติอันฉลาดแกมโกงหรือหลอกลวงในคำพูดของเจ้า—แต่จงอย่าชมตนเองไปเลย  เจ้าควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตรวจสอบตนเอง—เจ้าสามารถหลอกผู้คนได้ แต่เจ้าหลอกพระเจ้าไม่ได้  เจ้าจำเป็นต้องอธิษฐาน ตีแผ่และชำแหละเจตนาและวิธีการของตน คิดทบทวนว่าเจตนาเหล่านี้ของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย หรือจะเป็นที่รังเกียจของพระองค์ เจ้าจะสามารถตีแผ่เจตนาเหล่านี้ได้หรือไม่ เจตนาเหล่านี้พูดยากหรือไม่ และสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  ด้วยการชำแหละและวิเคราะห์แบบนี้ เจ้าย่อมจะค้นพบว่าที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง พฤติกรรมแบบนี้ยากที่จะเปิดเผย และย่อมทำให้พระเจ้าขุ่นเคือง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมเปลี่ยนพฤติกรรมนี้  สามัคคีธรรมครั้งนี้ของเราทำให้พวกเจ้ารู้สึกเช่นไร?  เป็นไปได้มากว่าพวกเจ้าบางคนอาจรู้สึกกังวล  เจ้าคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าซับซ้อนจริงๆ  ที่มาได้ไกลขนาดนี้ก็ยากพออยู่แล้ว—ตอนนี้ฉันต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดหรือ?”  ความเป็นจริงก็คือตอนนี้พระเจ้าเสด็จมาแล้ว และทรงเริ่มนำมวลมนุษย์เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  นี่คือการเริ่มต้นในฐานะผู้เชื่อและในฐานะคนคนหนึ่ง  หากเจ้าจะเริ่มต้นให้ดี เจ้าต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงในความเชื่อของเจ้า เรียนรู้ความจริงของนิมิตและนัยสำคัญของการติดตามพระเจ้าเสียก่อน แล้วจึงมุ่งปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดี  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ถ้าเจ้าเอาแต่มุ่งเน้นการกล่าววาทะและคำสอน และสร้างรากฐานที่อิงตามสิ่งเหล่านี้เท่านั้น นั่นย่อมกลายเป็นปัญหา  นั่นก็เหมือนการก่อฐานบ้านบนพื้นทราย กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะสร้างบ้านสูงเพียงใด ก็เสี่ยงที่จะพังถล่มลงมาเสมอ และบ้านย่อมจะไม่คงอยู่ตลอดไป  อย่างไรก็ดี ถึงตรงนี้พวกเจ้ามีสิ่งที่น่าชมเชยอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือพวกเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่เราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้า และเต็มใจที่จะรับฟัง  ข้อนี้ดีแล้ว  การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องรอง  ตราบใดที่เจ้ารู้เช่นนี้ การเดินอยู่ในครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อของตนก็ย่อมจะไม่ยาก  การที่จะเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น เจ้าต้องรู้จักตนเองก่อน—เจ้าต้องชัดเจนว่าเจ้ามีอุปนิสัยอะไรที่เสื่อมทรามบ้าง และข้อบกพร่องของเจ้าคืออะไร  เมื่อนั้นเจ้าจึงจะเข้าใจความสำคัญของการเตรียมตนให้พร้อมสำหรับความจริง และเจ้าย่อมจะสามารถแสวงหาความจริงได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะแก้ปัญหา  กาลเวลาไม่คอยใคร!  เมื่อเจ้าจัดการแก้ปัญหาของตนในการเข้าสู่ชีวิตและมีความเป็นจริงความจริงแล้ว เจ้าย่อมจะรู้สึกมีสันติสุขภายในมากขึ้น  ไม่ว่าความวิบัติจะใหญ่หลวงเพียงใด เจ้าก็จะไม่รู้สึกกลัว  หากเจ้าปล่อยให้เวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เสียเปล่าโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพอมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้น เจ้าก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะงุนงง และอยู่ในสภาวะที่รอคอยอย่างนิ่งเฉยร่ำไป ไม่สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาของตนได้ แต่ยังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาทางโลกและอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้วนั่นก็จะน่าสังเวชอย่างยิ่ง!  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย เมื่อวันที่ความวิบัติอันใหญ่หลวงมาถึง เจ้าย่อมจะเสียใจที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ได้ความจริงใดๆ ไว้เลย  เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่กระวนกระวายใจตลอดเวลา  ในตอนนี้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่คอยท่ามนุษย์คนใด  ในช่วงไม่กี่ปีแรกๆ ที่พวกเขามาเชื่อ พระองค์ก็ประทานพระคุณบางอย่าง ความกรุณาบางอย่างแก่ผู้คน ประทานความช่วยเหลือและสิ่งบำรุงเลี้ยงแก่พวกเขา  ถ้าผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่เคยเข้าสู่ความเป็นจริง แต่กลับพอใจในวาทะและคำสอนที่พวกเขารู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตราย  พวกเขาพลาดโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว และพลาดโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าจะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและทำให้มนุษย์เพียบพร้อม  สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงตกอยู่ในความวิบัติ ร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเท่านั้น

เมื่อเจ้าเริ่มก่อรากฐานในความเชื่อของตนเป็นครั้งแรก พวกเจ้าควรก้าวไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างมั่นคง  เจ้าควรอยู่ที่เส้นเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ไม่ใช่เส้นเริ่มสาธยายวาทะและคำสอน  เจ้าควรมุ่งเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง แสวงหาและปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ในทุกเรื่องและใช้ความจริงเป็นเครื่องเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างได้  เจ้าควรไตร่ตรองว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร หลักธรรมของการปฏิบัติมีว่าอย่างไร และการปฏิบัติความจริงในลักษณะใดบ้างที่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าและจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย  อย่างไรก็ดี ผู้คนด้อยวุฒิภาวะเกินไป  พวกเขาถามถึงสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริงอยู่เสมอ ไม่สัมพันธ์กับการรู้จักตนเองหรือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  นี่น่าเวทนามิใช่หรือ?  นี่แสดงให้เห็นความด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  บางคนยอมรับพระราชกิจขั้นตอนนี้ของพระเจ้าทันทีที่พระองค์เริ่มทำ และเป็นผู้เชื่อมาจนถึงทุกวันนี้  แต่พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือความเป็นจริงความจริง หรืออะไรคือการปฏิบัติความจริง  บางคนกล่าวว่า “ข้าพระองค์ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานเพื่อความเชื่อของตน และผ่านอะไรมาไม่น้อย  พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าข้าพระองค์ไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย?  ข้าพระองค์ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง—นั่นคือความเป็นจริงมิใช่หรือ?  ข้าพระองค์ล้มเลิกชีวิตสมรสของตน—นั่นคือความเป็นจริงมิใช่หรือ?  ทั้งหมดนั้นคือการแสดงออกว่านำความจริงไปปฏิบัติมิใช่หรือ?”  ภายนอกแล้ว เจ้าละทิ้งทางโลกและครอบครัวของตนมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว  แต่นั่นหมายความว่าเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วกระนั้นหรือ?  หมายความว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คนที่นบนอบพระเจ้าแล้วกระนั้นหรือ?  หมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว หรือเจ้าเป็นคนที่มีความจริงหรือสภาวะความเป็นมนุษย์แล้วกระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่  สิ่งที่เจ้าทำอยู่ภายนอกเหล่านี้อาจดูดีในสายตาของผู้อื่น—แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงหรือนบนอบพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  การพลีอุทิศและการสละของผู้คนมีการปลอมปนมากเกินไป ทุกคนถูกเจตนาที่จะได้รับพรควบคุมเอาไว้ทั้งสิ้น และยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางบททดสอบและกระบวนการถลุง  นั่นคือสาเหตุที่คนจำนวนมากมายยังคงสุกเอาเผากินในหน้าที่ของตน และไม่ได้ผลลัพธ์ที่เป็นจริงแต่อย่างใด พวกเขาถึงกับขัดขวาง ก่อกวน บ่อนทำลาย และก่อให้เกิดปัญหาสารพัดชนิดกับงานของคริสตจักร  พวกเขาไม่คำนึงถึงการกลับใจ และเฝ้ากระจายความคิดลบ พูดโกหก และบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันข้อโต้แย้งของตน แม้ในขณะที่คริสตจักรให้เอาตัวพวกเขาออกไป  บางคนเชื่อมาสิบหรือยี่สิบปีแล้ว แต่ยังคงเกะกะระรานและทำความชั่วทุกชนิด  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงถูกคริสตจักรเอาตัวออกไปหรือขับไล่  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถทำเรื่องเลวร้ายมากมายได้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้วว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่เลวร้าย คิดคดและฉลาดแกมโกงเกินไป พวกเขาไม่ได้ไร้เล่ห์มารยา เชื่อฟัง หรือนบนอบเลย  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยใส่ใจการปฏิบัติความจริงและการเป็นคนซื่อสัตย์มากนัก  พวกเขามองว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการที่ว่า “ตราบใดที่ฉันยอมทิ้งครอบครัวของฉัน สละตัวเองเพื่อพระเจ้า ทนทุกข์ และจ่ายราคา พระเจ้าก็ควรที่จะจดจำการกระทำของฉัน และฉันควรได้รับความรอดจากพระองค์”  นี่เป็นเพียงความคิดฝันเฟื่องและชวนหัว  หากเจ้าอยากได้รับความรอดและอยากมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง ก่อนอื่นเจ้าต้องมาแสวงหากับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควรนำสิ่งใดไปปฏิบัติ?  มาตรฐานของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอดคืออะไร?  พระองค์ทรงช่วยผู้คนแบบใดให้รอด?”  นี่คือสิ่งที่พวกเราควรแสวงหาและรู้เอาไว้มากกว่าเรื่องอื่น  จงสร้างรากฐานของเจ้าบนความจริง ทุ่มเทพยายามให้กับความจริง รวมทั้งความเป็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะเป็นคนที่มีรากฐาน และมีชีวิต  หากเจ้าก่อรากฐานของตนบนวาทะและคำสอน ไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติหรือทุ่มเทพยายามให้กับความจริงใดๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเป็นคนที่ไม่เคยมีชีวิต  เวลาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเราย่อมมีชีวิต ความเป็นจริง และแก่นแท้ของคนที่ซื่อสัตย์  และแล้วพวกเราย่อมมีการปฏิบัติและพฤติกรรมของคนที่ซื่อสัตย์ และอย่างน้อย ด้านที่ซื่อสัตย์ของพวกเราย่อมจะนำความเบิกบานมาให้พระเจ้า และพระองค์ย่อมจะทรงเห็นชอบ  อย่างไรก็ดี พวกเรามักจะแต่งเรื่องโกหก ใช้เล่ห์เหลี่ยม และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอยู่ดี ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการชำระให้สะอาด  นั่นคือสาเหตุที่พวกเราจำเป็นต้องแสวงหาต่อไป และไม่มัวติดอยู่ที่เดิม  พระเจ้าทรงรอพวกเราอยู่ ประทานโอกาสแก่พวกเรา  หากเจ้าไม่เคยมีแผนการที่จะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่เคยแสวงหาวิธีพูดจาอย่างซื่อสัตย์และจากใจ วิธีทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่มีเล่ห์กลหรือการหลอกลวงปลอมปนอยู่ด้วย วิธีประพฤติตนอย่างคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่เจ้าจะมีชีวิตอยู่ในสภาพเสมือนมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ หรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงของแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งของความจริงแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมได้แง่มุมนั้นของความจริงแล้ว ถ้าเจ้าไม่มีความเป็นจริงนั้นๆ เจ้าก็ไม่มีชีวิตหรือวุฒิภาวะเช่นนั้น  เวลาเผชิญหน้าบททดสอบและการทดลอง หรือเมื่อเจ้าได้รับพระบัญชา หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงอะไรเลย เจ้าย่อมจะสะดุดและผิดพลาดโดยง่าย มีแนวโน้มที่จะล่วงเกินและไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เจ้าจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้  ผู้คนมากมายทำตัวเกะกะระรานในหน้าที่ของตน ไม่ยอมรับคำแนะนำและยังคงทำตัวเหลือวิสัยที่จะแก้ไขร่ำไป ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง และทำความเสียหายร้ายแรงให้แก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้จึงถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ในที่สุด—นี่เป็นจุดจบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  แต่ถ้าในปัจจุบันเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงเพื่อเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คำพยานจากประสบการณ์ของเจ้าในฐานะคนที่ซื่อสัตย์ก็ย่อมได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่มีใครสามารถพรากสิ่งนั้นไปจากเจ้าได้ และไม่มีใครสามารถริบเอาความเป็นจริงนี้ ชีวิตนี้ไปจากเจ้าได้  บางคนถามว่า “ฉันเป็นคนที่ซื่อสัตย์มานานแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่ฉันจะกลับกลายเป็นคนที่ฉลาดแกมโกงอีก?”  หากเจ้าทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปแล้ว หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์และหัวใจของเจ้าดูหมิ่นเล่ห์กล ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และโลกของผู้ไม่เชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถกลับไปอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตานอีก  นี่เป็นเพราะเจ้าสามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างแล้ว  การเปลี่ยนจากคนฉลาดแกมโกงไปเป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้นไม่ง่าย  การเปลี่ยนจากคนซื่อสัตย์ซึ่งเป็นที่เปรมปรีดิ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงกลับไปเป็นคนที่ฉลาดแกมโกงอีกย่อมจะเป็นไปไม่ได้ และยากกว่าด้วยซ้ำ  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีประสบการณ์หลายปีในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ฉันพูดความจริงเกือบจะตลอดเวลา และฉันซื่อสัตย์พอสมควร  แต่บางครั้งบางคราวฉันก็พูดสิ่งที่ไม่จริง ไม่ตรง หรือฉลาดแกมโกงบ้าง”  นี่เป็นปัญหาที่แก้ง่ายกว่ามาก  ตราบใดที่เจ้ามุ่งเน้นการแสวงหาความจริง และเพียรพยายามเพื่อความจริง ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต  เจ้าจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน  เช่นเดียวกับต้นอ่อนที่ปลูกไว้ในดิน หากเจ้าให้น้ำต้นอ่อนตรงเวลาและให้มันได้แสงแดดทุกวัน เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะออกผลในภายหลังหรือไม่ และจะมีผลให้เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอย่างแน่นอน  สิ่งที่พวกเจ้าควรใส่ใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ พวกเจ้าเคยเข้าถึงการเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่?  เจ้าพูดโกหกน้อยลงเรื่อยๆ หรือไม่?  เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าโดยรวมแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์?  เหล่านี้คือคำถามที่สำคัญ  ถ้ามีคนพูดว่า “ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง แต่ฉันก็ไม่เคยทำตัวเป็นคนที่ซื่อสัตย์” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์แต่อย่างใด  เจ้าจำเป็นต้องพยายามให้มาก นำมุมเล็กมุมน้อยทุกแง่ทุกมุมในชีวิตของเจ้าออกมาชำแหละ รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ทั้งหมดของเจ้า วิธีทั้งปวงที่เจ้าใช้เล่ห์ลวง และการปฏิบัติต่อผู้อื่น  ก่อนที่เจ้าจะชำแหละสิ่งเหล่านี้ เจ้าอาจรู้สึกครึ้มใจนัก พอใจในตนเองอย่างมากที่ลงมือทำสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป  แต่เมื่อเจ้าชำแหละสิ่งเหล่านี้ด้วยการเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะตกใจว่า “ฉันไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองต่ำทรามอย่างนี้ มุ่งร้ายและยอกย้อนขนาดนี้!”  เจ้าจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเอง และตระหนักรู้ปัญหาของเจ้า ข้อเสีย และความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้าไม่ชำแหละอะไรเลย และคิดตลอดไปว่าเจ้านั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่ก็ยังคงบอกว่าตนเองเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากเจ้าไม่ขุดเจตนาอันชั่วที่น่ารังเกียจในหัวใจของเจ้าขึ้นมา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมองเห็นความอัปลักษณ์และความเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  หากเจ้าไม่คิดทบทวนและชำแหละสภาวะที่เสื่อมทรามของตน เจ้าจะมองเห็นความจริงหรือไม่ว่าตัวเจ้าเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเพียงใด?  เมื่อไม่เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนแต่อย่างใด เจ้าย่อมจะไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา เจ้าจะไม่รู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงตามข้อกำหนดของพระเจ้า  นั่นคือความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังวลีที่ว่า “เจ้าจะไม่มีวันมีความเป็นจริงหากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง”

ทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสล้วนเป็นความจริง—ทุกคำจนคำสุดท้ายมีความเป็นจริงความจริง และทั้งหมดคือความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก  ผู้คนเพียงต้องนำพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปสู่ชีวิตประจำวันของพวกเขาเพื่อปฏิบัติและเข้าไปสู่  พระวจนะทุกคำที่มาจากพระเจ้ามุ่งหมายไปที่สิ่งที่จำเป็นต่อมวลมนุษย์ และทุกคำมีไว้ให้ผู้คนใช้เทียบดูตัวเอง  พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อหมายจะให้มองผ่าน ไม่ได้มีไว้เพื่อหมายจะให้ตอบสนองความจำเป็นบางประการในทางฝ่ายวิญญาณของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่สำหรับให้เจ้านำไปเที่ยวพูดหรือใช้ตอบสนองความต้องการของเจ้าที่จะกล่าวคำพูดและคำสอน  พระวจนะแต่ละคำของพระเจ้ามีความเป็นจริงของความจริงอยู่  ถ้าเจ้าไม่นำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เจ้าก็จะไม่มีเส้นทางเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง—เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับความเป็นจริงเสมอ  ถ้าเจ้าฝึกตนให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความเป็นจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะที่แท้จริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้ ไม่ใช่แค่เสแสร้งสร้างภาพเทียมเท็จ  เจ้าจะสามารถเข้าใจได้ด้วยว่าคนเช่นใดซื่อสัตย์และคนเช่นใดไม่ซื่อสัตย์ และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงรังเกียจผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  เจ้าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงนัยสำคัญของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะมีประสบการณ์ว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเวลาที่ทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์ และเหตุใดพระองค์จึงทรงกำหนดให้ผู้คนเป็นเช่นนั้น  เมื่อเจ้าพบว่าตัวเองเต็มไปด้วยความฉลาดแกมโกง เจ้าจะนึกเกลียดความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและความคดโกงของเจ้าเอง  เจ้าจะนึกเกลียดที่เจ้าใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคดโกงของตนอย่างไร้ซึ่งความละอาย  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลง  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าการเป็นคนซื่อสัตย์คือทางเดียวที่จะดำรงชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  เจ้าจะรู้สึกว่าการที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์นั้นมีความหมายอย่างยิ่ง  เจ้าจะรู้สึกว่าด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ มีแต่คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะได้รับความรอด และสิ่งที่พระเจ้าตรัสเอาไว้ย่อมถูกต้องทั้งสิ้น!  พวกเจ้าจงบอกเราเถิดว่า ข้อกำหนดของพระเจ้าที่ให้ผู้คนซื่อสัตย์นี้มีความหมายหรือไม่?  (มี)  เมื่อเป็นเช่นนั้น นับแต่นี้ไป พวกเจ้าก็ควรชำแหละส่วนต่างๆ ของตนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคดโกง  เมื่อชำแหละแล้ว เจ้าก็จะพบว่าเบื้องหลังทุกสิ่งที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นมีเจตนาอยู่ มีเป้าหมายบางอย่าง และมีความอัปลักษณ์ของมนุษย์  เจ้าจะพบว่าการใช้เล่ห์ลวงนี้เผยให้เห็นความโง่เขลา ความเห็นแก่ตัว และความน่ารังเกียจของผู้คน  เมื่อเจ้าพบว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของตนเอง และเมื่อเจ้ามองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของตน เจ้าย่อมจะนึกเกลียดตัวเอง  เมื่อเจ้าเริ่มเกลียดตัวเอง เมื่อเจ้ารู้อย่างถ่องแท้ว่าตนเองเป็นอะไรจำพวกไหน เมื่อนั้นเจ้ายังจะอวดตัวต่อไปหรือไม่?  เจ้าจะคุยโวทุกครั้งที่มีโอกาสอีกหรือไม่?  เจ้าจะอยากได้คำชมเชยและการสรรเสริญจากผู้อื่นตลอดเวลาหรือไม่?  เจ้าจะยังคงพูดหรือไม่ว่าข้อกำหนดของพระเจ้าสูงส่งเกินไปและไม่มีความจำเป็น?  เจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น และเจ้าจะไม่กล่าวอะไรแบบนั้น  เจ้าจะเห็นพ้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสและกล่าว “อาเมน”  เจ้าจะเชื่อมั่นด้วยหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และด้วยสายตาของเจ้าเอง  เมื่อเรื่องเกิดขึ้นตามนี้ ก็ย่อมหมายความว่าเจ้าเริ่มปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงแล้ว และเจ้าเริ่มเห็นผลแล้ว  ยิ่งเจ้านำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าพระวจนะถูกต้องแม่นยำและมีความจำเป็นเพียงใด  สมมุติว่าเจ้าไม่ได้นำพระวจนะไปปฏิบัติ  แต่กลับเอาแต่พร่ำเพ้ออยู่เสมอว่า “ฉันไม่ซื่อสัตย์ ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง” แต่พอพบเจอสถานการณ์หนึ่งๆ เจ้าก็กระทำการที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอยู่ดี พลางคิดไปว่านี่ไม่นับเป็นความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง นึกว่าตนนั้นยังคงซื่อสัตย์ แล้วก็เอาแต่ปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปอย่างนั้น  พอมีบางสิ่งเกิดขึ้นในครั้งต่อไป เจ้าก็หันไปใช้เล่ห์เหลี่ยม และมีส่วนในการคดโกง และการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอีก พูดปดทันทีที่เจ้าอ้าปาก  หลังจากนั้นเจ้าก็นึกสงสัยว่า “ฉันคดโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอีกหรือเปล่า?  ฉันโกหกอีกแล้วหรือเปล่า?  ฉันไม่คิดว่าใช่” แล้วเจ้าก็อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงมองเห็นว่าข้าพระองค์หันไปใช้กลอุบายอยู่เสมอ คดโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงตลอดเวลา  ได้โปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด  คราวหน้าข้าพระองค์จะไม่เป็นอย่างนั้นอีก ถ้าเป็น ก็ขอให้ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด” เจ้าแตะเรื่องเหล่านี้อย่างผิวเผินเท่านั้น กลบเกลื่อนเรื่องราว  นี่คือคนแบบใด?  นี่คือคนที่ไม่รักความจริงและไม่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ  เจ้าอาจจ่ายราคาบ้างหรือใช้เวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนบ้าง รับใช้พระเจ้า หรือฟังคำเทศนาบ้าง  เจ้าอาจเสียสละเวลางานบางส่วนและหาเงินได้น้อยลงหน่อย  แต่ที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติเลย และไม่ได้จริงจังกับเรื่องของการปฏิบัติความจริง  เจ้าตื้นเขินและไม่เอาใจใส่ ไม่เคยคิดเรื่องนี้เท่าใดนัก  ถ้าเจ้าเอาแต่ทำอย่างไม่ตั้งใจเวลาปฏิบัติความจริง นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงไม่ใช่ท่าทีแห่งความรัก  เจ้าเป็นคนที่ไม่เต็มใจนำความจริงไปปฏิบัติ เอือมระอาและห่างไกลความจริง  ความเชื่อของเจ้านั้นเป็นไปเพื่อให้ได้รับพร และสาเหตุเดียวที่เจ้าไม่เดินจากพระเจ้าไปก็เพราะเจ้ากลัวถูกลงโทษ  ดังนั้นในเรื่องความเชื่อของเจ้า เจ้าจึงทำแต่พอให้พ้นตัว เสาะแสวงที่จะประกาศคำพูดและคำสอนเพื่อทำให้ตนดูดี เรียนรู้คำศัพท์ฝ่ายวิญญาณบางคำและเพลงสรรเสริญซึ่งกำลังเป็นที่นิยมบางเพลง เรียนรู้วลีติดปากไว้สามัคคีธรรมความจริงบ้าง รวมทั้งคำศัพท์ยอดนิยมที่สัมพันธ์กับความเชื่อของเจ้า  เจ้าตกแต่งตัวเองให้ดูเหมือนบุคคลทางฝ่ายวิญญาณ คิดไปว่าตนเองเป็นคนที่คล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและคู่ควรที่จะให้พระองค์ใช้งาน  เจ้าลำพองใจและลืมตัว  หลงใหลและหลงเชื่อภาพลักษณ์ภายนอกจำพวกนี้ พฤติกรรมหน้าซื่อใจคดเหล่านี้  เจ้าย่อมถูกสิ่งเหล่านี้หลอกจนตัวตาย และแม้เจ้าจะคิดว่าเจ้าจะขึ้นสวรรค์ แต่ที่จริงแล้วเจ้าย่อมจะลงนรก  ความเชื่อแบบนั้นมีความหมายอะไร?  ไม่มีอะไรจริงในสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อ” ของเจ้า  อย่างมากเจ้าก็ยอมรับรู้แล้วว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  ดังนั้นเมื่อถึงปลายทาง จุดจบของเจ้าย่อมจะเหมือนกับผู้ไม่เชื่อ—เจ้าย่อมจะไปนรก ไร้ซึ่งจุดจบอันดีงาม  พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งที่เราขอนี้มิใช่ดอกไม้ที่สะพรั่งสดใส แต่คือผลอันดกดื่น”  ไม่ว่าเจ้าจะมีดอกไม้สักกี่ดอกหรือดอกไม้เหล่านั้นจะสะสวยเพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการ  ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะพูดดีเพียงใดหรือดูจะสละ ทำคุณความดี หรือพลีอุทิศมากเท่าใด นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงยินดี  พระเจ้าเพียงแต่ดูว่าแท้จริงแล้วเจ้าเข้าใจและนำความจริงไปปฏิบัติมากเท่าใดแล้ว เจ้าใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบ้างหรือยัง เจ้ามีคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์มากเพียงใด เจ้าตระเตรียมความประพฤติดีเอาไว้มากเท่าใด เจ้าสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว และเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ถึงมาตรฐานหรือยัง  พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้  เวลาผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้าและไม่รู้น้ำพระทัยของพระองค์ พวกเขาย่อมเข้าใจน้ำพระทัยผิดและเสนอบางสิ่งที่ตื้นเขินแก่พระองค์เพื่อใช้ชำระบัญชีกับพระองค์  พวกเขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้ว  เดินทางไปทั่ว ประกาศข่าวประเสริฐ และเรียกผู้คนมากมายมารับเชื่อ  ข้าพระองค์สาธยายพระวจนะของพระองค์ได้หลายบทตอนและร้องเพลงสรรเสริญได้ไม่น้อย  เมื่อมีบางสิ่งที่ใหญ่โตหรือยากเย็นเกิดขึ้น ข้าพระองค์ก็ถืออดอาหารและอธิษฐานอยู่เสมอ อ่านพระวจนะของพระองค์ตลอดเวลา  แล้วข้าพระองค์จะไม่คล้อยตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้อย่างไร?”  และแล้วพระเจ้าก็ตรัสถามพวกเขาว่า “ตอนนี้เจ้าใช่คนซื่อสัตย์หรือไม่?  ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของเจ้าเปลี่ยนไปหรือยัง?  เจ้าเคยจ่ายราคาเพื่อที่จะเป็นคนซื่อสัตย์บ้างหรือไม่?  เรื่องทั้งหมดที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงซึ่งเจ้าทำเอาไว้ ทุกทางที่เจ้าเคยแสดงให้เห็นการใช้เล่ห์ลวง เจ้าเคยนำมาเปิดเผยเบื้องหน้าเราหรือไม่?  ความไม่ซื่อสัตย์ที่เจ้ามีกับเราลดน้อยลงบ้างหรือไม่?  เวลาเจ้าให้คำปฏิญาณเทียมเท็จหรือคำสัญญาที่กลวงเปล่ากับเรา หรือพูดเรื่องดีๆ เพื่อหลอกเรา เจ้ารู้ตัวหรือไม่?  เจ้าวางมือจากเรื่องเหล่านี้หรือยัง?”  เมื่อเจ้าใคร่ครวญและพบว่าเจ้ายังไม่ได้วางมือจากเรื่องเหล่านี้เลย เจ้าย่อมจะอึ้งไป  เจ้าจะตระหนักรู้ข้อเท็จจริงว่าเจ้าไร้ซึ่งหนทางที่จะชำระบัญชีต่างๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เราเปิดโปงสภาวะที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าก็เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเจ้ารู้จักตัวเอง เราพูดมามากมายเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและเข้าสู่ความเป็นจริงได้  พระวจนะ สามัคคีธรรม หรือความจริงไม่ได้มีไว้ให้ผู้คนใช้สาธยายกันไปทั่ว แต่ให้นำไปปฏิบัติ  เพราะอะไรถึงบอกพวกเจ้าอยู่เสมอว่าให้ยอมรับและนำความจริงไปปฏิบัติ?  เพราะมีเพียงความจริงเท่านั้นที่ชำระความเสื่อมทรามของพวกเจ้าให้สะอาดได้และเปลี่ยนทัศนคติที่พวกเจ้ามีต่อชีวิต เปลี่ยนสิ่งที่พวกเจ้าให้คุณค่าได้ และมีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นชีวิตของคนเราได้  เมื่อเจ้ายอมรับความจริง เจ้าต้องนำไปปฏิบัติด้วยเพื่อให้ความจริงกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ถ้าเจ้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจความจริง แต่ไม่เคยปฏิบัติความจริง และความจริงยังไม่กลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลง  ในเมื่อเจ้ายังไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่มีทางที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะได้รับการชำระให้สะอาด  ถ้าเจ้าปฏิบัติความจริงไม่ได้ เจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  ในที่สุดถ้าความจริงยังไม่หยั่งรากลงในหัวใจของเจ้าและยังไม่กลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาในการเป็นผู้เชื่อของเจ้าจวนจะหมดลง ชะตากรรมและจุดจบของเจ้าย่อมจะถูกกำหนด  เมื่อพิจารณาตามสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าทุกคนรู้สึกถึงความเร่งด่วนของการนำความจริงไปปฏิบัติบ้างหรือไม่?  จงอย่ารอสักสามปี ห้าปี หรือมากกว่านั้น แล้วค่อยเริ่มปฏิบัติความจริงเมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้น  ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรือสายเกินไปเมื่อเป็นการปฏิบัติความจริง ถ้าเจ้าลงมือปฏิบัติแต่เนิ่นๆ เจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงเร็ว และถ้าเจ้าปฏิบัติในภายหลัง เจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงทีหลัง  ถ้าเจ้าพลาดโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และพลาดการทำให้มวลมนุษย์เพียบพร้อมของพระเจ้า เจ้าย่อมจะมีภัยเมื่อความวิบัติครั้งใหญ่มาถึง  และแล้วเมื่อพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าสรุปปิดตัว ก็จะไม่มีโอกาสหลงเหลืออยู่อีกเลย  หลังจากที่เจ้าสูญเสียโอกาสไปแล้ว ถ้าเจ้ากล่าวว่า “ตอนนั้นฉันไม่ได้ใช้ความพยายาม แต่ตอนนี้ฉันจะเริ่มปฏิบัติแล้ว” ก็ย่อมจะสายเกินการ และย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม  นั่นเป็นเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไป และความเข้าใจที่เจ้ามีในทุกสรรพสิ่ง ในความจริงทั้งปวง ก็ย่อมจะตื้นเขินมาก  ตอนนี้มีสถานการณ์สารพัดอย่างเกิดขึ้น และเพราะการสามัคคีธรรมความจริง ความเชื่อของพวกเจ้าจึงเพิ่มพูน และพวกเจ้าก็มีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า  ถ้าไม่มีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นสักพักหนึ่ง พวกเจ้าย่อมจะคิดลบและไร้วินัยกันเป็นแน่ ล่องลอยห่างจากพระเจ้าออกไปทุกที  พวกเจ้าจะเป็นเหมือนผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาโดยแท้ เอาแต่ชุมนุมและประกอบศาสนพิธีตามรูปแบบ ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด  ถึงตอนนั้นการทุบอกและร้องไห้คร่ำครวญจะให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเจ้า?

จงบอกเราเถิดว่า การใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นเหนื่อยยากหรือไม่?  (เหนื่อยยาก)  พวกเขาก็เหนื่อยยากเช่นกันมิใช่หรือ?  อันที่จริงพวกเขาก็เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของตนเอง  นี่เป็นเพราะผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและผู้คนที่ซื่อสัตย์แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ย่อมเรียบง่ายกว่า  ความคิดของพวกเขาไม่ซับซ้อนเท่า และพวกเขาก็กล่าวตามที่ตนคิด  ในทางตรงกันข้าม คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงจำต้องพูดจาอ้อมค้อมอยู่เสมอ  พวกเขาไม่พูดอะไรตรงๆ—แต่กลับใช้เล่ห์ลวงเล่นตุกติกและปกปิดเรื่องโกหกของตนเอาไว้ตลอดเวลา  พวกเขาใช้ความคิดอยู่เสมอ คิดอ่านตลอดเวลา กลัวว่าถ้าตนเผอเรอสักหน่อย ก็จะหลุดอะไรออกมา  ผู้คนบางคนใช้เล่ห์ลวงเล่นไม่ซื่อกันถึงขั้นใด?  ไม่ว่าพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครอยู่ พวกเขาก็พยายามดูตลอดเวลาว่าใครคิดคำนวณมากกว่ากัน ใครฉลาดหลักแหลมกว่ากัน ใครคือสุดยอด และท้ายที่สุดแล้วความอยากแข่งขันของพวกเขาย่อมกลายเป็นโรคประสาท  ตกกลางคืนพวกเขานอนไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด และคิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นเรื่องปกติ  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมกลายเป็นปีศาจที่มีลมหายใจไปแล้วมิใช่หรือ?  เวลาที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาละทิ้งอิทธิพลของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์  การใช้ชีวิตอย่างคนที่ซื่อสัตย์นั้นอิสระและเสรี ทั้งยังเจ็บปวดน้อยกว่ากันมาก  เป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด  คนซื่อสัตย์เรียบง่ายกว่า  พวกเขากล่าวความในใจ และพูดสิ่งที่ตนคิด  พวกเขาทำตามมโนธรรมและเหตุผลของตนทั้งในวาจาและการกระทำ  พวกเขาเต็มใจที่จะพากเพียรเพื่อความจริง และเมื่อเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็นำไปปฏิบัติ  เวลาที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจเรื่องหนึ่งๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาก็เต็มใจที่จะแสวงหาความจริง แล้วจากนั้นก็ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง  พวกเขาแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกหนแห่งและในทุกสิ่ง จากนั้นก็ลงมือทำตามน้ำพระทัย  อาจมีบ้างบางเรื่องที่พวกเขาเบาปัญญาและต้องหาหลักธรรมความจริงติดตัวไว้ และนี่ก็ทำให้พวกเขาต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง  การมีประสบการณ์เช่นนี้หมายความว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นคนที่มีปัญญา ซื่อสัตย์ และคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกประการได้  แต่ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่เป็นเช่นนี้  พวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน แสดงความเสื่อมทรามของตนออกมา แต่กลับกลัวว่าเมื่อตนทำเช่นนั้น ผู้อื่นก็อาจพบเจอบางสิ่งบางอย่างไว้ใช้เล่นงานตน  ดังนั้นพวกเขาจึงใช้กลโกงที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโต้ตอบ  พวกเขากลัวช่วงเวลาที่ทุกสิ่งจะเผยตัวออกมา พวกเขาจึงใช้ทุกทางที่เป็นไปได้มาสร้างเรื่องโกหกและปกปิดเรื่องที่กุขึ้นมาเอาไว้ พอมีช่องโหว่ พวกเขาก็ยิ่งพูดเรื่องโกหกมากขึ้นเพื่ออุดช่องโหว่  การพูดปดและปกปิดเรื่องโกหกของตนเอาไว้—วิถีชีวิตเช่นนั้นย่อมเหนื่อยยากมิใช่หรือ?  พวกเขาเค้นสมองคิดแต่งเรื่องโกหกและหาทางปกปิดเอาไว้เสมอ  แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและใช้วันเวลาของตนไปกับการกุเรื่องโกหกและปกปิดเอาไว้ ย่อมมีชีวิตที่เหนื่อยยากและเจ็บปวดดังกล่าว!  อย่างไรก็ดี กับคนซื่อสัตย์ย่อมต่างออกไป  เมื่อเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คนเราก็ไม่มีอะไรให้คิดมากขนาดนั้นเวลาพูดจาและกระทำการ  โดยมากแล้ว คนที่ซื่อสัตย์ได้แต่พูดจาด้วยความสัตย์จริงเท่านั้น  พวกเขาจะคิดหนักขึ้นอีกหน่อยเฉพาะเมื่อมีเรื่องจำเพาะมาแตะต้องผลประโยชน์ของตน—พวกเขาอาจพูดปดบ้างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน ดำรงความทะนงตัวและความภาคภูมิใจของตนเอาไว้  เรื่องโกหกเช่นนี้มีอยู่จำกัด ดังนั้นการพูดจาและการกระทำจึงไม่เหนื่อยยากนักสำหรับผู้คนที่ซื่อสัตย์  เจตนาของผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงซับซ้อนกว่าเจตนาของคนที่ซื่อสัตย์มากนัก  เรื่องที่อยู่ในความคิดคำนึงของพวกเขามีเหลี่ยมมุมมากมายเกินไป กล่าวคือ พวกเขาต้องคำนึงถึงเกียรติยศของตน ความมีหน้ามีตา ผลประโยชน์ และสถานะของตน ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตน—พวกเขาทำทั้งหมดนี้โดยไม่ยอมให้ผู้อื่นมองเห็นข้อเสียหรือเผยความลับให้ผู้อื่นรู้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเค้นสมองแต่งเรื่องโกหกขึ้นมา  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงยังมีความอยากได้อยากมีที่ใหญ่โตและล้นเหลือ มีข้อเรียกร้องมากมาย  พวกเขาต้องคิดหาทางสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพูดปดและโกงต่อไป แล้วพร้อมกับที่พวกเขาพูดโกหกมากขึ้น พวกเขาก็จำเป็นต้องปกปิดเรื่องโกหกที่มีจำนวนมากขึ้น  นั่นคือสาเหตุที่ชีวิตของคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหนื่อยยากและเจ็บปวดกว่าชีวิตของคนที่ซื่อสัตย์มากนัก  บางคนเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์  ถ้าคนเหล่านี้ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ ทบทวนตนเองได้ไม่ว่าจะโกหกเรื่องอะไรไปบ้างแล้วก็ตาม สามารถตระหนักรู้ว่าตนใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มองการใช้เล่ห์เหลี่ยมนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อชำแหละและทำความเข้าใจ และลงมือเปลี่ยนแปลงการกระทำของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถขจัดการโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมออกจากตัวได้มากภายในเวลาไม่เกินสี่ห้าปี  เมื่อถึงตอนนั้น โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาย่อมจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์  การใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยยากมากมายเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขามีสันติและความสุขอีกด้วย  ในหลายๆ เรื่องพวกเขาย่อมจะเป็นอิสระจากเครื่องจองจำซึ่งก็คือเกียรติยศ ผลประโยชน์ สถานะ ตลอดจนความทะนงตนและความภาคภูมิใจ และจะมีชีวิตที่อิสระและเสรีไปเอง  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมมีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่เบื้องหลังวาจาและการกระทำของตนเสมอ  พวกเขาแต่งเรื่องโกหกสารพัดรูปแบบไว้ล่อลวงและหลอกให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และทันทีที่ถูกเปิดโปง พวกเขาก็คิดหาทางปกปิดเรื่องโกหกของตน  เมื่อทุกข์ทรมานหลายทาง พวกเขาจึงรู้สึกเช่นกันว่าชีวิตของตนช่างเหนื่อยยาก  สำหรับพวกเขา การพูดเรื่องโกหกมากมายหลายเรื่องในทุกสถานการณ์ที่ตนพบเจอก็เหนื่อยยากมากพออยู่แล้ว และการที่ต้องปกปิดเรื่องโกหกเหล่านั้นหลังจากนั้นก็ยิ่งเหนื่อยยากมากขึ้นอีก  ทุกสิ่งที่พวกเขากล่าวล้วนมีเจตนาที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายอย่างหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้พลังความคิดมากมายไปกับคำพูดแต่ละคำที่ตนพูด  แล้วพอพูดจบ พวกเขาก็นึกกลัวว่าเจ้านั้นรู้ทันพวกเขาเข้าแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเค้นสมองคิดหาทางซ่อนเร้นเรื่องโกหกของตนไปด้วย อธิบายสิ่งต่างๆ ให้เจ้าฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามให้เจ้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้โกหกหรือหลอกลวงเจ้าอยู่ พวกเขาเป็นคนดี  ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านี้  ถ้ามีคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอยู่ด้วยกันสองคน ก็ไม่แคล้วที่จะมีแผนร้าย ความขัดแย้ง และการออกอุบายเกิดขึ้น  การทะเลาะเบาะแว้งจะไม่มีวันจบสิ้น ส่งผลให้เกลียดชังกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกัน  ถ้าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ และอยู่กับคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พฤติกรรมเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้านึกรังเกียจเป็นแน่  ถ้าพวกเขาเพียงแต่ทำตัวเช่นนี้เป็นครั้งคราว เจ้าย่อมจะคิดว่าทุกคนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม เรื่องแบบนี้จึงยากที่จะหลีกเลี่ยง  แต่ถ้าพวกเขาทำตัวเช่นนี้ตลอดเวลา วิธีการเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าสะอิดสะเอียนและรังเกียจเป็นพิเศษ เจ้าจะนึกรังเกียจด้านนี้ของพวกเขาและเจตนาที่พวกเขามี  เมื่อเจ้ารังเกียจมาก เจ้าย่อมจะดูหมิ่นและปฏิเสธพวกเขาได้  นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก  ถ้าพวกเขาไม่กลับใจและไม่ได้แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ก็ไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้

พวกเจ้าคิดอย่างไร—สำหรับผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงแล้ว ชีวิตย่อมเหนื่อยยากมิใช่หรือ?  พวกเขาใช้เวลาให้หมดไปกับการพูดปด จากนั้นก็พูดเรื่องโกหกมากขึ้นเพื่อปกปิดเรื่องโกหก และมีการใช้เล่ห์เหลี่ยม  พวกเขาคือคนที่ทำให้ตัวเองเหนื่อยยากเช่นนี้  พวกเขารู้ว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เหนื่อยยาก—แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากจะใช้เล่ห์ลวงอยู่ดี ไม่อยากซื่อสัตย์?  พวกเจ้าเคยคิดถามเช่นนี้บ้างหรือไม่?  นี่คือผลจากการที่ผู้คนถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนหลอกเอา มันหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ขจัดชีวิตเช่นนี้ อุปนิสัยแบบนี้ไปจากตัว  ผู้คนเต็มใจที่จะยอมรับการถูกหลอกแบบนี้และการใช้ชีวิตเช่นนี้ พวกเขาไม่อยากปฏิบัติความจริงและเดินบนเส้นทางที่สว่าง  เจ้าคิดว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เหนื่อยยากและการทำเช่นนี้ก็ไม่จำเป็น—แต่ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกลับคิดว่านี่จำเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาคิดว่าการไม่ทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้พวกเขาถูกเหยียดหยาม ทำร้ายภาพลักษณ์ ความมีหน้ามีตา และผลประโยชน์ของพวกเขาด้วย และพวกเขาก็จะสูญเสียมากเกินไป  พวกเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่า ชื่นชูว่าภาพลักษณ์ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตนนั้นล้ำค่า  นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้คนที่ไม่รักความจริง  สรุปแล้ว เมื่อผู้คนไม่เต็มใจที่จะซื่อสัตย์หรือปฏิบัติความจริง ย่อมเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริง  หัวใจของพวกเขาชื่นชูสิ่งต่างๆ เช่น ความมีหน้ามีตาและสถานะว่าล้ำค่า พวกเขาชอบทำตามกระแสนิยมทางโลก และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตาน  นี่คือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขา  ตอนนี้มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ฟังคำเทศนาไปก็มาก และรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไรบ้าง  แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่ดี และไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย—เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่รักความจริง  ต่อให้พวกเขาพอจะเข้าใจความจริงบ้าง พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้อยู่ดี  สำหรับผู้คนแบบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี ก็ย่อมจะสูญเปล่า  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะช่วยผู้คนที่ไม่รักความจริงให้รอด?  แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้  การไม่รักความจริงเป็นปัญหาเกี่ยวกับหัวใจของคนเรา ธรรมชาติของคนเรา  ไม่อาจแก้ไขได้  การที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดในความเชื่อของตนหรือไม่นั้น โดยมากแล้วขึ้นอยู่กับว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่  มีแต่คนที่รักความจริงเท่านั้นที่สามารถยอมรับความจริงได้ มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถก้าวผ่านความทุกข์ยากและจ่ายราคาเพื่อความจริงได้ และพวกเขาเท่านั้นที่สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ได้  มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถใช้ประสบการณ์ของตนแสวงหาความจริง ทบทวนและทำความรู้จักตนเองได้ มีความกล้าที่จะละทิ้งเนื้อหนัง ตลอดจนปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้สำเร็จ  มีแต่ผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ในลักษณะเช่นนี้ สามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่มีเส้นทางอื่นนอกจากเส้นทางนี้อีกแล้ว  เป็นเรื่องยากยิ่งที่ผู้ที่ไม่รักความจริงจะยอมรับความจริง  นี่เป็นเพราะตามธรรมชาติของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเอือมระอาและเกลียดชังความจริง  ถ้าพวกเขาอยากเลิกแข็งขืนพระเจ้าหรือไม่อยากทำความชั่ว ก็เป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกเขาเป็นคนของซาตาน พวกเขากลายเป็นมารและศัตรูของพระเจ้าไปแล้ว  พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ไม่ทรงช่วยหมู่มารหรือซาตานให้รอด  บางคนตั้งคำถามทำนองว่า “แท้จริงแล้วฉันเข้าใจความจริง  ฉันแค่นำไปปฏิบัติไม่ได้  ฉันควรทำอย่างไร?”  นี่คือคนที่ไม่รักความจริง  ถ้าคนเราไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริง ก็จะนำความจริงไปปฏิบัติไม่ได้ เพราะหัวใจของพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้นและพวกเขาไม่ชอบความจริง  คนแบบนี้เหลือวิสัยที่จะช่วยให้รอด  บางคนบอกว่า “ในสายตาของฉัน ดูเหมือนคุณสูญเสียอะไรไปมากจากการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ฉันเลยไม่อยากเป็นคนซื่อสัตย์  คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่เคยสูญเสียอะไร—พวกเขาได้ผลประโยชน์จากการเอาเปรียบคนอื่นด้วยซ้ำ  ดังนั้นฉันก็เลยอยากเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากกว่า  ฉันไม่เต็มใจที่จะให้คนอื่นมารู้เรื่องส่วนตัวของฉัน รู้ทัน หรือเข้าใจฉัน  ชะตากรรมของฉันควรอยู่ในมือของฉันเอง”  แน่นอนว่าเมื่อคิดเช่นนั้น—ก็จงลองทำเช่นนั้นดูเถิด  ดูเอาว่าเจ้าจะลงเอยด้วยจุดจบแบบใด ดูเอาว่าท้ายที่สุดแล้วใครบ้างไปนรกและใครบ้างถูกลงโทษ

พวกเจ้าเต็มใจที่จะซื่อสัตย์กันหรือไม่?  หลังจากที่ฟังการเสวนาเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าวางแผนว่าจะทำเช่นไรบ้าง?  พวกเจ้าจะเริ่มทำอะไรก่อน?  (ข้าพระองค์จะเริ่มด้วยการไม่พูดปด)  นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่การไม่พูดปดไม่ใช่เรื่องง่าย  มักจะมีเจตนาอยู่เบื้องหลังเรื่องโกหกของผู้คน แต่เรื่องโกหกบางเรื่องก็ไม่มีเจตนาอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ได้จงใจวางแผนมา  แต่กลับพูดไปอย่างนั้นเอง  เรื่องโกหกแบบนี้แก้ง่าย เรื่องโกหกที่มีเจตนาอยู่เบื้องหลังนั้นแก้ยาก  นี่เป็นเพราะเจตนาเหล่านี้เกิดจากธรรมชาติของคนเรา เป็นตัวแทนการใช้เล่ห์เหลี่ยมของซาตาน และเป็นเจตนาที่ผู้คนตั้งใจเลือก  ถ้าใครบางคนไม่รักความจริง พวกเขาย่อมจะละทิ้งเนื้อหนังไม่ได้—ดังนั้นพวกเขาจึงควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนั้น  แต่การโกหกไม่อาจแก้ไขให้หมดไปได้ในทันที  ย่อมจะมีการกลับไปโกหกอีกเป็นครั้งคราว หรือหลายครั้งด้วยซ้ำ  นี่เป็นสถานการณ์ที่ปกติ และตราบใดที่เจ้าสลายเรื่องโกหกแต่ละเรื่องที่เจ้าพูด และเฝ้าทำเช่นนี้ต่อไป ตราบนั้นก็ย่อมจะถึงวันที่เจ้าจะสลายเรื่องเหล่านั้นไปจนหมด  การแก้ไขการโกหกเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ กล่าวคือ เมื่อพรั่งพรูเรื่องโกหกออกมาเรื่องหนึ่ง จงทบทวนตัวเอง แล้วจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า  เมื่อพรั่งพรูออกมาอีกเรื่องหนึ่ง ก็จงทบทวนตัวเองและอธิษฐานถึงพระเจ้าอีก  ยิ่งเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าก็จะยิ่งเกลียดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า เจ้าจะยิ่งอยากปฏิบัติความจริงและใช้ชีวิตตามความจริง  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะมีความเข้มแข็งที่จะละทิ้งเรื่องโกหกทั้งหลาย  หลังจากผ่านประสบการณ์และปฏิบัติเช่นนี้ไปสักระยะ เจ้าก็จะมองเห็นได้ว่าเรื่องโกหกของเจ้าลดน้อยลงมาก เจ้าใช้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และไม่จำเป็นต้องพูดปดหรือปกปิดเรื่องโกหกของตนอีกต่อไป  แม้เจ้าอาจจะไม่พูดมากนักในแต่ละวัน แต่ทุกประโยคย่อมจะมาจากหัวใจและเป็นเรื่องจริง มีเรื่องโกหกน้อยมาก  การดำเนินชีวิตแบบนั้นย่อมจะให้ความรู้สึกเช่นไร?  อิสระและเสรีมิใช่หรือ?  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าจะไม่กำกับเจ้าและตัวเจ้าก็จะไม่ถูกมันพันธนาการเอาไว้ อย่างน้อยเจ้าก็จะเริ่มเห็นผลของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  แน่นอนว่าเมื่อเจ้าพานพบรูปการณ์ที่พิเศษ บางครั้งเจ้าก็อาจหลุดปากโกหกบ้าง  อาจมีบางครั้งที่เจ้าเผชิญอันตรายหรือปัญหาบางอย่าง หรืออยากรักษาตัวให้ปลอดภัย ซึ่งในเวลาแบบนั้นก็ย่อมช่วยไม่ได้ที่จะโกหก  ถึงกระนั้นเจ้าก็ต้องคิดทบทวนเรื่องการพูดปด ทำความเข้าใจและแก้ปัญหาดังกล่าว  เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและกล่าวว่า “ในตัวข้าพระองค์ยังคงมีเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่  ขอพระเจ้าโปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างถาวรด้วยเถิด”  เมื่อคนเราตั้งใจใช้ปัญญา ก็ไม่นับว่าเป็นการเผยความเสื่อมทรามออกมา  นี่คือสิ่งที่คนเราต้องมีประสบการณ์ด้วยเพื่อที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ด้วยวิธีนี้ เรื่องโกหกของเจ้าก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ  วันนี้เจ้าพูดโกหกไปสิบเรื่อง พรุ่งนี้เจ้าก็อาจจะพูดสักเก้าเรื่อง มะรืนนี้เจ้าย่อมจะพูดสักแปดเรื่อง  ต่อไปเจ้าก็จะพูดเพียงสองหรือสามเรื่องเท่านั้น  เจ้าจะพูดเรื่องจริงมากขึ้นทุกที และการฝึกตนให้ซื่อสัตย์ของเจ้าก็จะใกล้เคียงน้ำพระทัยของพระเจ้า ข้อกำหนด และมาตรฐานของพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ—และนั่นย่อมจะดีงามยิ่ง!  การที่จะฝึกตนให้ซื่อสัตย์นั้น เจ้าต้องมีเส้นทางและต้องมีจุดหมาย  ก่อนอื่นจงแก้ปัญหาเรื่องการพูดปด  เจ้าต้องทำความรู้จักแก่นแท้เบื้องหลังการที่เจ้าพูดเรื่องโกหกเหล่านี้  เจ้าต้องชำแหละเจตนาและแรงจูงใจที่ผลักดันให้เจ้าพูดเรื่องโกหกเหล่านี้ว่ามีอะไรบ้าง  ทำไมเจ้าถึงมีเจตนาเช่นนั้น และแก่นแท้ของเจตนาเหล่านั้นคืออะไร  เมื่อเจ้าแจกแจงเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เจ้าย่อมจะเข้าใจปัญหาเรื่องการโกหกอย่างถ่องแท้แล้ว และเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็จะมีหลักธรรมไว้ปฏิบัติ  ถ้าเจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเห็นผลเป็นแน่  สักวันหนึ่งเจ้าจะพูดว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์นี้ง่าย  การเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงช่างเหนื่อยนัก!  ฉันไม่อยากเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอีกแล้ว ต้องคิดอยู่เสมอว่าจะพูดโกหกเรื่องอะไรและจะปกปิดเรื่องที่โกหกเอาไว้อย่างไร  เหมือนคนป่วยทางจิต พูดจาย้อนแย้ง—เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะได้ชื่อว่า ‘มนุษย์’!  ชีวิตแบบนั้นเหนื่อยมาก แล้วฉันก็ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกแล้ว!”  ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมมีหวังที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ที่แท้จริง และนี่ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเริ่มก้าวหน้าในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้ว  นี่เป็นพัฒนาการที่สำคัญ  แน่นอนว่าอาจมีพวกเจ้าบางคนที่พอเริ่มปฏิบัติ เมื่อพูดจาอย่างซื่อสัตย์และตีแผ่ตนเองไปแล้ว กลับจะรู้สึกอับอายขายหน้า  เจ้าจะหน้าแดง รู้สึกละอาย และกลัวว่าผู้อื่นจะหัวเราะตน  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ดี และขอให้พระองค์ประทานความเข้มแข็งแก่เจ้า  เจ้าย่อมกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่ก็กลัวว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะเวลาที่ข้าพระองค์พูดเรื่องจริง  ขอได้โปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากพันธนาการของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนด้วยเถิด ขอให้ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เป็นอิสระและมีเสรีด้วยเถิด”  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ หัวใจของเจ้าก็จะสว่างไสวยิ่งขึ้นทุกที และเจ้าก็จะบอกตัวเองว่า “ดีแล้วที่นำเรื่องนี้มาปฏิบัติ  วันนี้ฉันปฏิบัติความจริงแล้ว  ในที่สุดฉันก็ได้เป็นคนซื่อสัตย์สักครั้ง”  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ พระเจ้าก็จะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า  พระองค์จะทรงพระราชกิจในหัวใจของเจ้า และจะทรงดลใจเจ้า เปิดโอกาสให้เจ้ารู้ซึ้งว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นให้ความรู้สึกอย่างไร  ต้องมีการนำความจริงไปปฏิบัติกันแบบนี้  แรกเริ่มเลยเจ้าย่อมจะไม่มีเส้นทาง แต่ด้วยการแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะหาเส้นทางพบ  ในเวลาที่ผู้คนเริ่มแสวงหาความจริง พวกเขาอาจจะยังไม่มีความเชื่อก็ได้  การไม่มีเส้นทางเป็นเรื่องยากสำหรับผู้คน แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริงและมีเส้นทางปฏิบัติ หัวใจของพวกเขาย่อมเกิดความชื่นชมยินดีในเส้นทางนั้นๆ  ถ้าพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรมได้ หัวใจของพวกเขาก็จะพบกับความชูใจ และพวกเขาก็จะมีอิสระและเสรี  ถ้าเจ้าพอจะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงบ้าง เจ้าย่อมจะสามารถมองเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้ได้อย่างชัดเจน หัวใจของเจ้าจะได้รับความกระจ่าง และเจ้าก็จะมีเส้นทาง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีเสรีและเป็นอิสระอย่างแท้จริง  ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะเข้าใจว่าการนำความจริงไปปฏิบัติ การทำให้พระเจ้าพอพระทัย และการเป็นคนที่แท้จริงหมายความว่าอย่างไร—และเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะอยู่ในครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า

ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2007

ก่อนหน้า: ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง

ถัดไป: เส้นทางปฏิบัติไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger